พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จริงแค่ไหน ?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ไจโกะ, 7 พฤศจิกายน 2013.

  1. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147
    เมื่อตอนที่ผมศึกษาธรรมะใหม่ ได้ไปอ่านเจอเรื่องนี้โดยบังเอิญที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง
    ด้วยสำนวนที่ใช้เป็นข้อความที่น่าเชื่อถือมาก บวกกับที่พระอาจารย์ ภูริทัตโต ท่านนั้นก็เป็นพระชื่อดัง
    และมีความน่าเชื่อถืออยู่แล้วแต่ก็ยังคลางแคลงใจอยู่ดี จากนั้นผมก็มีโอกาศได้ศึกษาคำพระพุทธเจ้าโดยตรง
    ซึ่งหลายๆอย่างขัดแย้งกับพุทธพจน์มาก เช่น ในเรื่องสังขตลักษณะ
    แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่านิพพานเป็นอสังขตธรรม นั้นคือ
    ๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ)
    ๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ)
    ๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ).

    .(ภาษาไทย) ติก. อํ. ๒๐/๑๔๔/๔๘๗.

    หากนิพพานมีการเกิดปรากฏ (ปรากฏออกมาเป็น รูปนาม หรือขันธ์ทั้งหลาย)
    นั่นหมายถึงพระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติคำสอนผิดไป ซึ้งน่าเสียดาย
    ที่ถ้าศึกษาแต่คำสาวกอย่างเดียว ปัญหาเรื่องพุทธพจน์ก็จะไม่เกิดอยู่แล้ว

    [และถึงแม้ในข้อความจะบอกว่าพระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่าน
    ที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่เลย]

    ด้วยเหตุที่ว่า ถ้าสิ่งใดๆไม่มีปรากฏแม้เพียงเสี้ยว ก็จะไม่สามารถบรรญัติธรรมนั้นๆขึ้นมาได้
    และท่านยังทรงตรัสสอนอีกว่า หากจะนิยามนิพพานนั้น ไม่ทำได้โดยง่ายเลย
    ที่จะสามารถให้ปุถุชนโดยทั่งไปได้รู้โดยทั่วถึง ซึ่งพระองค์ตรัสว่า

    “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง
    เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
    มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่;
    ใน “สิ่ง” นั้นแหละ
    ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้;
    ใน “สิ่ง” นั้นแหละ
    ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่
    ความงาม ความ ไม่งาม ไม่หยั่งลงได้;
    ใน “สิ่ง” นั้นแหละ
    นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ;
    นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้
    เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล.
    สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.

    เท่าที่พิจารณาด้วยเหตุและผลที่อิงพุทธพจน์ถ้าไม่มีส่วนสมมติเป็นจะมาปรากฏได้อย่างไร
    เพราะถ้าคำของสาวกถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น พระศาสดาซึ่งเป็นถึง
    ผู้รู้มรรค (มคฺคญฺญู) เป็นผู้รู้แจ้งมรรค (มคฺควิทู)
    เป็นผู้ฉลาดในมรรค (มคฺคโกวิโท).
    ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้ เป็น
    ผู้เดินตามมรรค (มคฺคานุคา) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.
    ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๒/๑๒๖.

    คำสอนนี้จะผิดไปทันที เพราะสาวกที่เป็นเพียงผู้เดินตามมรรค (มคฺคานุคา)
    สิ่งชื่อก็บอกว่าเป็นเพียงผู้เดินตามแต่จะมาบัญญัติคำสอนเสียเองนั้น
    จะเป็นไปได้หรือ เพราะพระพุทธเจ้าท่าน ทรงกําชับให้ศึกษาปฏิบัติ
    เฉพาะจากคําของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่นแม้สาวก

    ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้,
    สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน
    มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก**
    เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้
    ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วน สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก
    มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา,
    เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง
    ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน
    จึงพา กันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า ข้อนี้เป็นอย่างไร ?
    มีความหมายกี่นัย ? ดังนี้.

    ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้.
    ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความ
    สงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัยเธอก็บรรเทาลงได้
    ทุก. อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒


    ประเด็ดไม่ได้อยากจะลบหลู่ใครเลย เพราะโดยส่วนตัว
    ผมเองก็นับถือพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อยู่แล้ว
    เพียงแต่อยากนำความจริงมาเปิดเผยให้ปรากฏ และอยาก
    ด้วยปราถนาอยากจะให้ผู้อ่านคิดวิเคราะห์ให้ดีๆก่อนที่จะปรงใจเชื่อต่อสิ่งใด
    และสุดท้ายแม้ผู้อ่านได้ใจความกลับไปไม่มากก็น้อยนั่น
    ก็จะเป็นแนวความคิดที่จะสามารถจุดประกายความเห็นที่แท้จริงขึ้นมาได้.



    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
  2. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,816
    ค่าพลัง:
    +15,099
    เป็นเรื่องของการตีความครับ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ^_^
     
  3. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,842
    ค่าพลัง:
    +16,082
    แนะนำนะครับ..


    [​IMG]

    เล่าเรื่องหลวงปู่มั่น (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)


    มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมาหาเถระ

    ท่านเคยเล่า ว่าคืนหนึ่งขณะท่านปฏิบัติอยู่ในป่า ใจร่ำร้องกราบพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา ขอประทานพระมหาเมตตาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสมปรารถนาได้พ้นทุกข์ และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงพระเมตตาเสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้าพระพุทธบาทรับประทานวิธีปฏิบัติธรรมไปสู่ความไกลกิเลสได้สิ้นเชิง

    ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงให้ท่านได้เฝ้าพระพุทธบาท ได้เห็นพระพุทธองค์ดั่งได้เฝ้าพระองค์จริงขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น

    ไม่ทราบว่าท่านพระอาจารย์ท่านบอกหรือเปล่า ว่าท่านทีความปีติโสมนัสเพียงไรในบุญวาสนาของท่านที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิตผู้ใดแต่ได้เกิดแก่ชีวิตท่านพระอาจารย์ท่านแล้วจริงโปรดประทานพระมหากรุณาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีเดินจงกรม วิธีปฏิบัติจิตใจ

    จนในที่สุดท่านพระอาจารย์ท่านก็ได้เป็นดั่งองค์แทนศิษยานุศิษย์ผู้สามารถปฏิบัติธรรมดำเนินถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ได้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมองค์สำคัญที่สุดอยู่ในยุคนี้ เป็นที่รู้กันอยู่ในบรรดาผู้ใส่ใจในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า

    เรื่องนี้ ที่ท่านพระอาจารย์ท่านได้เล่าไว้ ไม่เพียงทำให้ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้สอนธัมมะสำคัญแก่ศิษยานุศิษย์มากหลาย แต่ทำให้ได้ความเข้าใจที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย

    ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเมืองพระนิพพานแน่ ยังทรงได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง ที่ควรแก่การได้รับพระพุทธเมตตา เช่นท่านอาจารย์มั่นท่านนั่นเอง ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านควรที่สุดแน่นอนแล้วที่จะได้รับพระมหากรุณา ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายย่อมเห็นด้วยกับความจริงนี้แน่นอน.

    แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    [​IMG]
    กราบๆๆๆ ในพระเมตตาทรงชี้ทาง...

    อ่านเพิ่มเติมที่นี่...

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอฝากอีกอัน..

    กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

    มา อนุสฺสวเนน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
    มา ปรมฺปราย - อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
    มา อิติกิราย - อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
    มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
    มา ตกฺกเหตุ - อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
    มา นยเหตุ - อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
    มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
    มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
    มา ภพฺพรูปตา - อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
    มา สมโณ โน ครูติ - อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3
     
  4. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อย่าเพิ่งพูดถึง พระนิพพาน จะดีกว่าไหม ท่านเจ้าของกระทู้ เพราะพระนิพพานนั้นเป็นธรรมอันละเอียดอ่อน ยากแก่การเข้าถึง และยากแก่การพิสูจน์ แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้
    เพียงแต่ ผู้ที่ต้องการพิสูจน์ จะต้องมีทุนของตัวเองก่อน ถึงจะสามารถกระทำการพิสูจน์พระนิพพานได้ ทุนที่ว่านี้ ได้แก่ 2ในวิชชาสาม มโนมยิทธิ 5ในอภิญญาหก
    มิทราบว่าท่านเจ้าของกระทู้มีทุนที่ว่ามานี้หรือยัง ถ้ายังไม่มี ไปสร้างทุนของตัวท่านเองก่อนดีไหม พอท่านมีทุนของตัวเองแล้วจึงค่อยไปพิสูจน์ดูว่าพระนิพพานนั้น ตรงกับคำสอนของครูบาอาจารย์รึไม่ อย่างไร
     
  5. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659
    การปรากฏในนิมิตของท่านพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ขัดนิยามของนิพพานที่ท่านได้ยกมานี่ครับ เพราะไม่ใช่ทั้งการเกิดหรือเสื่อมสูญ แท้จริงนิพพานคือสภาพจิตพ้นและเหนือสมมุติการหลองลวงของอวิชชาไม่ต้องหลงยึดที่เป็นเหตุให้เวียนวายตายเกิดที่ต้องผจญทุกข์ต่างๆนานา

    และเรื่องเล่านี้ก็ไม่ใช่ส่วนของมรรค เพราะ มรรค หมายถึงหนทาง ในที่นี่คือ หนทางแห่งความพ้นทุกข์ ซึ่งต้องมีลักษณะเป็นข้อปฏิบัติที่ปฏิบัติได้ ถูกต้องมั้ยครับ

    อันที่จริงการปรากฏของท่านต่างๆ ในนิมิตหรือไม่นิมิต โดยมากจะเป็นเพราะเคยเกี่ยวพันกันมาแต่ชาติก่อนๆ หรือไม่ก็มีเหตุผลสำคัญมากๆเท่านั้นนะครับ

    หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนละเอียดละออมากนะครับ แม้ว่าท่านจะถึงธรรมสูงสุดแล้วท่านก็ยังคงรักษาข้อวัตรอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลังที่ศรัทธาเห็นปฏิปทาปฏิบัติตามได้ด้วย น่ายกย่องมากๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2013
  6. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    ผมว่านะคับ ปฏิบัติให้รู้จริง หรือ ละกิเลสทั้งหลายที่มีในใจให้หมด จะได้รู้จริง ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามใคร จะดีกว่านะคับ การตีความตามความเห็นของเรา เรามั่นใจได้แล้วหรือว่าเราตีความถูกในพุทธวจนะนั้นๆ ที่สำคัญบุคคลที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราไม่ควรไปแตะต้องจะเป็นการดีนะครับ ท่านจะถึงนิพพานหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของท่าน อย่างดีก็เสมอตัวไป อย่างแย่ก็เป็นกรรมติดตัวเราไป

    ถ้าจะกล่าวถึงนิพพาน ผมก็ยังไม่บรรลุนิพพาน ก็เลยไม่ค่อยอยากจะกล่าวถึง แต่ก็คงต้องกล่าวไว้บ้าง

    ตราบใดที่ยังมี สมมุติอยู่ คือ ยังมี นรก สวรรค์ พรหมโลก อยู่ ด้วยอาศัยสมมุติ หรือ ด้วยเหตุที่ยังมีสมมุติอยู่ นิพพาน ก็ย่อมต้องแสดง อาการตามสมมุติ หรือ ปรากฏ ตามสมมุติ

    เมื่อใด้ที่ จิต ทุกๆ ดวง เข้านิพพานหมด ไม่มีเหลือแม้แต่ ดวงเดียว ทั้ง นรก สวรรค์ พรหมโลก ก็ดับ ไม่ปรากฏ ไม่มีสมมุติปรากฏ เมื่อนั้น นิพพาน ก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏอะไรอีก เพราะไม่มีเหตุให้ต้องปรากฏอะไรอีก ด้วยเพราะสมมุติ คือ นรก สวรรค์ พรหมโลก อันเป็น สมมุติเขตแดน สูง ต่ำ ดับไป นิพพาน จึงจะชี้ชัดเจน ว่าไม่มีขอบเขต ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีสมมุติ ไม่มีการเกิดดับ ไม่มีการไปการมา แล้วจะชี้ชัดว่า ทุกๆที่ คือ นิพพาน

    นรก สวรรค์ พรหมโลก เกิดขึ้ง เพราะอาศัย กุศลและอกุศลของ จิต ที่กระทำ

    จิต ถึง นิพพาน เพราะดับ กิเลส ได้สนิดไม่มีเชื้อเหลืออยู่ หาใช่การดับ จิตไม่ ถ้าหากดับจิต ก็คงไม่มีชีวิตอยู่ได้ แต่ท่านดับ ดับ ตัณหา อุปาทาน ไม่มีเหตุที่จะมาถือกำเนิดใน สามภพอีก

    ถ้าหาก อวิชา เป็นเหตุ ให้ ดวง จิต เกิด เมื่อ อวิชา ดับ ดวง จิต ก็คงดับ ไปด้วย
    แต่ถ้าหาก ดวงจิต เป็น เหตุให้เกิด อวิชา หรือ กิเลสทั้งปวง และ เป็นเหตุให้เกิด วิชา ทั้งปวงแล้ว จิต คงไม่ดับ คงดับเฉพาะ อวิชา ตัณหา อุปาทาน และ ภพ ชาติ

    ที่สำคัญ ดวง จิต เกิดก่อน อวิชา หรือ อวิชา เกิดก่อน ดวง จิต

    ถ้า ดวง จิต เกิดก่อน อวิชา เกิดทีหลัง อวิชา จึงเป็นตัว นำ ดวง จิตไปสู่ ภพ ชาติ

    แล้ว อวิชา กับ วิชา อะไรเกิดก่อน ก็ต้องเป็น อวิชา เกิดก่อน

    เมื่อ อวิชา เกิดก่อน วิชา เมื่อใดที่ วิชา เกิดขึ้น อวิชา ก็ดับไป แล้ว จิต ล่ะจะยังอยู่มั้ย

    อวิชา ตัณหา อุปาทาน เป็น เหตุ ให้ดวงจิต เวียนไปสู่ ภพ ชาติ ต่างๆ เมื่อ อวิชา ตัณหา อุปาทาน ดับ การเวียนไปสู่ ภพ ชาติ ก็ ดับ แล้ว ดวง จิต ล่ะ จะไปที่ไหนในเมื่อ ไม่เวียนไปในสามภพแล้ว สามภพ ยังเป็นสมมุติ ยังเกิดดับ สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ คือ นิพพาน จิต ก็ต้องไปนิพพาน แล้วที่ไม่เกิดไม่ดับ นั้นมีอยู่ แต่อยู่ที่ไหนล่ะ อยู่สูงกว่า พรหมโลก หรือ อยู่ต่ำกว่า นรกล่ะคับ ก็เพราะอาศัยที่ยังมีสมมุติสูงต่ำ คือ นรก สวรรค์ พรหมโลกอยู่ นิพพาน จึงต้องปรากฏเป็นสภาพสมมุติไปก่อน แต่ยังไม่ใช่ นิพพานจริงๆ เมื่อ นรก สวรรค์ พรหมโลก ดับ นิพพาน ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงตามสมมุติอีก เมื่อนั้น จึง กล่าวได้อย่างชัดเจน ว่า นิพพานไม่มีที่ตั้ง ไม่มีเกิดไม่มีดับ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสมมุติปรากฏ เป็นต้น คับ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อย่าพึ่งเชื่อนะคับ พึงเชื่อในสิ่งที่ตนเองรู้จริง เห็นจริงตามความเป็นจริงในสิ่งนั้นๆ นะครับ
     
  7. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ท่านครับ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่สามารถบรรยายนิพพานให้ปุถุชนเข้าใจได้เลย ได้แต่ทรงยกคุณลักษณะบางประการของนิพพานมาชี้ว่าไม่ใช่สิ่งนั้นสิ่งนี้ที่คนส่วนใหญ่คิด ท่านจะไม่มีทางเข้าใจถึวนิิพพานได้จากตำราหรือการตรึกนึกเอาเอง หนทางเดียวคือปฎิบัติืธรรมจนเห็นนิพพานด้วยตัวเอง เพราะว่านิิพพานเป็นธรรมที่ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก
    ผมคิดว่าท่านเข้าใจว่านิพพานมันต้องไม่มีอะไรเลย(ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยด้วย) แต่จะจริงอย่างนั้นหรือ ผมจะลองตั้งคำถามว่า ทำไมเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แต่เราทำบุญเพื่อพระองค์ เราก็ยังได้รับผลบุญเสมอด้วยการที่พระองค์ทรงยังอยู่ แล้วอะไรที่ดับสูญไป ก็มีแต่รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณที่ดับสูญไปเท่านั้น แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นที่ไม่ดับสูญแม้เบญจขันธ์ของพระองค์จะไม่มีอีกแล้ว ท่านลองตรองดูก็จะเห็นว่ามีอะไรลึกซึ้งกว่าการตรึกนึกจากตำราอีกมาก
    ดังนั้นการที่พระอาจารย์มั่นพบพระพุทธเจ้าก็เป็นสิ่งธรรมดาสำหรับท่าน สมกับพุทธพจน์ที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,073
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    ถ้าเป็นปุถุชนทั่วไป ที่ระงับกิเลสหยาบๆเช่นนิวรณ์ห้า ทำฌาณได้บ้าง
    เบื่อๆอยากๆบ้าง แค่เอากำลังฌาณข่มกิเลสสลับกับเอาปัญญาละเอียดจากภาวนา
    มาขัดเกลากิเลสได้บ้าง................ก็ยังอาจคิดได้ว่า มีโอกาสที่เป็นนิมิตรจากสัญญา
    มาปรุงร่วมกับขันธ์ห้า ที่ยังตัดไม่ขาด

    ถ้าเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นจนถึงพระอนาคามี เหล่าผู้ช่างคิดและนักปราชญ์ทั้งหลาย
    อาจคะเนได้ว่า คงจะเป็นวิปัสสนูอุปกิเลสบ้าง


    แต่ ...สำหรับผู้ที่บัณฑิตทั้งหลายยืนยัน เชื่อมั่นว่า ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านบอกเล่าเรื่องการได้พบพระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์สาวกมาโมทนา เป็นภาษาพูด ภาษาเขียนแบบนั้น

    คนที่ยังตัดขันธ์ห้าไม่ขาด หรือยังไม่เคยผ่านสภาวะเหนือขันธ์ห้าชั่วคราว
    ...................จะเข้าใจ สิ่งที่ท่านเล่ามาอย่างนั้น ได้ถ่องแท้อย่างไร.........


    ต้องวิจารณ์อย่างระวัง ด้วยธัมมวิจัยจริงๆ ไม่มีอคติ จะได้ไม่พลาด จนกลายเป็นปรามาส
    เป็นมโนกรรม วจีกรรม ฯลฯ ต่อพระรัตนตรัยไป

    ระดับปรมาจารย์ ขนาดนั้น ทำไมจะแยก ระหว่างนิมิตจากจิตปรุงแต่ง กับ พุทธนิมิต ธัมมนิมิต สังฆนิมิต ไม่ออก




    สภาวะที่เหนือขันธ์ห้า และ เป็นวิมุตติ ถ้าจะสื่อกับผู้ที่วิมุตติแล้วแต่ยังไม่ทิ้งขันธ์ห้า(อาศัยขันธ์ห้าที่ยังไม่แตกดับอยู่ ) ก็ต้องมาในรูปแบบที่อาศัยสมมุติเพื่อให้ทราบถึงกัน
    จะเป็นไรไป


    พอคนแบบโลกๆ ไม่เคยผ่านสภาวะนั้น แม้เสี้ยวขณะหนึ่ง ที่ข่มกิเลสได้ชั่วคราวเป็นวิขัมภนวิมุติ
    จะเอาอะไรมาขจัดความสงสัยในเรื่องที่ท่านเล่ามาได้

    ไม่ควรเหมา เอาสิ่งที่ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ มาเป็นนิมิตลวงที่เกิดจากขันธ์ห้าอันมีกิเลสเสียหมด

    อย่าลืม!!!!.....ของจริง ที่ละเอียดเกินอายตนะหกที่มีกิเลส จะสัมผัสได้ นั้นมีอยู่




    --------------------------------------


    เห็นอ้างกันมากอีกประการหนึ่ง
    คือ พุทธพจน์ที่ว่า หลังจากกายเนื้อของตถาคตแตกดับ มนุษย์และเทวดา จะไม่ได้เห็นตถาคตอีก .............

    ผมมีความเห็นว่า ...ก็ใช่แล้วครับ

    ผมขอถามให้คิดละเอียดเป็นธัมมวิจัยว่า "ท่านทั้งหลาย คิดว่า พระตถาคต คือกายเนื้อที่เป็นกายสังขาร ที่ต้องแตกดับ นี้หรือ!!!!????"

    ถ้าท่านทั้งหลาย เชื่อและเข้าใจว่า พระตถาคต ไม่ใช่กายเนื้อ

    แล้วท่านคืออะไรหละครับ!!!!!


    ก็เพราะ กายเนื้อ กายทิพย์ที่จำลองแบบกายเนื้อ ไม่ใช่พระตถาคต ยังไงเล่า ท่านจึงบอกว่า เมื่อกายเนื้อตถาคตแตกดับ มนุษย์ (เห็นด้วยตาเนื้อ จากกายเนื้อ) เทวดา (เห็นจากกายทิพย์ที่แปลง จำลองกายเนื้อ) จะไม่เห็นตถาคตอีก


    ...ลองพิจารณาดูว่า ถ้าพระกายเนื้อของพระองค์ นั้นจำลองรูปแบบสภาวะธรรม ที่มนุษย์และเทวดา ไม่สามารถมองเห็นได้ พอกายเนื้อพระองค์แตกดับไป มนุษย์และเทวดาก็ไม่สามารถเห็นพระองค์ได้อีก ก็ถูกแล้วไง !!!!!!!!!!!!


    .........อย่าลืม ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

    เมื่อมนุษย์และเทวดา เห็นธรรม ก็กลายเป็นพระอริยบุคคล

    แล้วพระอริยบุคคล ได้เห็นสภาวะธรรมที่เป็นพระตถาคต (แม้บางส่วน) ก็ไม่เห็นแปลก!!!





    ..........ถ้าเข้าใจ ถ้าทราบ ถ้าฝึกตน จนแยกออกระหว่างนิมิต กับ สภาวะละเอียดที่ไม่ใช่นิมิต ได้

    ก็คงไม่ต้องคิดอะไร ให้ฟุ้งซ่านมากมาย
    และไม่ต้องเสี่ยงกับการปรามาสโดยไม่เจตนา ว่า หลวงปู่มั่นและพระหลายองค์ที่ท่าน
    ได้เห็นพุทธสภาวะรูปแบบหนึ่ง ด้วยบารมีของท่านที่บำเพ็ญมาต่างจากพระอริยสาวกบางประเภท( ฉฬภิญญโญ เตวิชโช ย่อมต่างจากสุกขวิปัสสโกในความสามารถบางประการ แต่ตัดกิเลสได้จนเป็นสมุทเฉทประหารได้เหมือนกัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤศจิกายน 2013
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,073
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    ออกซิเจน ไฮโดรเจน เป็นสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น ยากที่คนทั่วไปจะรู้จัก
    และยิ่งยากที่จะบ่งบอกว่า อนุภาคของกาซทั้งสองอยู่ที่ไหน ตอนใด

    เมืออนุภาคก๊าซทั้งสอง อันเป็นเหตุ
    ได้ประสพกับปัจจัยต่างๆ อันพอดี เช่นอุณหภูมิ ความกดอากาศ ฯลฯ ก็เกิดการรวมตัว
    มาเป็นไอน้ำ จากไอน้ำ ก็ควบตัว กลั่นมาเป็นหยดน้ำ ให้เราสัมผัสได้


    และ เมื่อน้ำ ได้รับปัจจัยพอเหมาะ ก็จะสลายเป็นออกซิเจนและไฮโดรเจนที่มองไม่เห็น
    สัมผัสได้ยาก ได้อีกเช่นกัน


    -----------นี่ เป็นการเปรียบเทียบง่ายๆเท่านั้น



    “โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ม ํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเราตถาคต,
    โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม,
    โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ปฏิจจสมุปฺปทามํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท,
    โย ปฏิจจสมุปฺปทามํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม,
     

แชร์หน้านี้

Loading...