พระพุทธเจ้า เป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 29 ตุลาคม 2008.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​

    p10035.jpg

    พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง​

    ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ
    ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า เมืองทวาราวดี เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง
    มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะไปเที่ยว
    เมืองทวาราวดีคือเขตไทยทางด้านนครปฐม แต่ว่าทวาราวดีเวลานั้น
    ก็กินเขตแดนเกือบทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง

    เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่า เมืองทวาราวดี
    ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ทูลลาองค์สมเด็จพระชินสีห์
    ไปเที่ยวที่เมืองทวาราวดีอยู่เกือบ ๒ ปี ตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว
    คือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยาก คือ


    ๑. นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    ๒. เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
    ๓. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๔. จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์


    พระโสดาบันเขาเป็นกันแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้

    เมื่อมาถึงทวาราวดี อยู่ประมาณเกือบ ๒ ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วก็ไปเฝ้า
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี่มีภาษาพูดที่เพราะมาก
    เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำๆ อย่างคำว่าไปก็ไป กินก็กิน
    อย่างเวลานั้นภาษาแขกหรือชาวมคธ คำว่า “ไป” เขาก็พูดว่า “คันตวา” มันเป็นคู่

    “กิน” เขาก็พูดว่า“ภุญชติ” ภุญชติล่อไป ๓ คำ กลั้วกัน คันตวาล่อไป ๓ คำ
    ของเราไป ของเรากิน มันเป็นคำโดด
    พอกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ

    และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธเจ้าจึงถามว่า ทวารวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ

    ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี
    คุยกับท่านโกมารภัจจ์อยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก
    ทว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ:p
    แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ
    คุยกันไปคุยกันมา ท่านโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานี้

    เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสด์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี่ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณ
    หรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท
    จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า
    ที่พระองค์ตรัสภาษาทวาราวดีนี่ รู้มาเองหรือว่ารู้ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทาญาณ
    หรือว่ารู้ด้วยการพูดได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่
    เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสด์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง
    ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ทูลถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์
    ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ใหม
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่าใช่ คือชาวกรุงกบิลพัสด์ก็ดี
    ชาวกรุงทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน
    นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม

    จากหนังสือธรรมปฏิบัติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๑๗



    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เพียงท่านแวะชมและโมทนาท่านก็จะได้บุญได้กุศลตามกำลังใจของแต่ละท่าน
     
  2. บีว่า

    บีว่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +94
    สาธุ...ขอกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงและขออนุโมทนาด้วยครับ


    [​IMG]
     
  3. aero1

    aero1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +54
    เข้าไป เวบนี้มาครับอ่านแล้วอึ้งเหมือนกัน เพราะเห็นด้วยกับเหตุผลที่นำมาแสดง อึ้งครับ
    เมื่อข่าวการเผยแพร่ความคิดที่ว่า พระพุทธเจ้า น่าจะไม่ได้อุบัติขึ้นในอินเดียโบราณ คนไทยเป็นจำนวนมากไม่เชื่อ บางคนถามว่า "คิดได้อย่างไรนี่" หรือ "เหลวไหล เพ้อฝัน ไร้สาระ ไม่มีอะไรจะทำหรืออย่างไรทำไมไม่มุ่งดับทุกข์ตามคำสอนของพระองค์ มากกว่าที่จะมาพิสูจน์เรื่องอย่างนี้ สำคัญมากนักหรือว่า พระพุทธเจ้าจะเป็นชนชาติใดผิดมากไหมหากจะไม่เห็นด้วย

    ทีมผู้วิจัยเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญ แม้จะไม่ผิด ที่ต้องพิสูจน์ว่า พระพุทธองค์ เป็นชนชาติไทย ใครเห็นว่า ไม่สำคัญก็คงบังคับไม่ได้ หากพ่อแม่เราเป็นคนไทย แล้วมีฝรั่งมาบอกว่า เรา เป็นแขก เราก็คงไม่รับ จริงไหม]แต่นี่ เป็นเรื่ององค์พระศาสดาที่เราเคารพเทิดทูน อยู่ๆ ก็มีฝรั่งที่จะมุ่งหวังลาภสักการะ หรือผลทางการเมืองอะไรก็ช่างเถอะ มาทำการเปลี่ยนแปลงประวัติพระพุทธศาสนา เพื่อแสดงว่า เชื้อชาติของเขายิ่งใหญ่ และก็ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา มาเขียนประวัติพุทธศาสนาใหม่ ต้องถามถึงความชอบธรรมด้วย

    ปฐมเหตุแห่งความสงสัยเกิดจากคำถามและ ข้อสังเกตบางประการ อาทิ

    เหตุใด ในประเทศไทย จึงมีโบราณสถานและโบราณวัตถุเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า[เป็นจำนวนมาก แต่ในอินเดียและเนปาล กลับมีไม่ถึง ๒๐๐ แห่ง

    ทำไม พระเจ้าอโศกของอินเดียไม่ได้จารึกเรื่องสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ไว้ในเสาหินอโศก ทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์สำคัญมากตามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา.....

    "ทำไมปีที่ขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าอโศกอินเดีย (พ.ศ.๒๖๙-๓๐๖) จึงไม่ตรงกับข้อมูลที่เกี่ยวกับพระเจ้าอโศก (พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช) ที่ระบุในพระปฐมสมโพธิกถาว่า กระทำสังคายนาพระไตรปิฎก พ.ศ. ๒๓๕ และสิ้นพระชนม์ พ.ศ.๒๕๙ พระเจ้าอโศกอินเดีย กับพระเจ้าอโศกไทย จะเป็นคนละองค์กันหรือไม่....

    "ช่วงเวลาเข้าพรรษา คือกลางเดือนแปด ถึงกลางเดือน ๑๑ ทำไมตรงกับเมืองไทยพอดี

    ฯลฯ

    ข้อสงสัยเหล่านี้ ประจวบกับ ข้อมูลที่ไม่ตรงกันระหว่างสภาพจริงในอินเดียและในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศ ประเพณี วิถีชีวิตโบราณคดี สถาปัตยกรรม ภาษา หลักฐาน/ตำนานไทย ฯลฯ ประกอบกับงานเขียนของพระธรรมเจดีย์ (ปาน) จุดชนวนทำให้พวกเราทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ขึ้น



    ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (อดีตพระอภิญญาโณภิกขุ) ศาสตราจารย์ ระดับ ๑๑ หนึ่งในกลุ่มผู้นำการฟื้นคติเกี่ยวกับพุทธอุบัติภูมิ

    วัตถุประสงค์การวิจัย

    ๑) เพื่อพิสูจน์ว่า ชมพูทวีป คือ ดินแดนสุวรรณภูมิ และนำไปสู่การพิสูจน์ว่า พระพุทธอุบัติภูมิอยู่ในประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน

    ๒) เพื่อศึกษาร่องรอยการประสูติ ตรีสรู้ ปฐมเทศนา การเผยแผ่ศาสนา และปรินิพพานขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ๓) เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับสังเวชนียสถานทั้ง ๔ คือ สถานที่ประสูติ ตรีสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพานของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมืองต่างๆ ในพระไตรปิฎก

    ขั้นตอนการวิจัย

    ระยะที่ ๑ เป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) จากพระไตรปิฎก อรรถกถาจารย์ เอกสารโบราณทางพระพุทธศาสนา ศิลาจารึก พงศาวดาร และตำนาน และสัมภาษณ์ผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน ๙๐ ปี หรือผู้ที่ยังไม่ถูกครอบงำด้วยแนวคิดประวัติพระพุทธศาสนาจากตะวันตกและอินเดีย

    ระยะที ๒ เป็นการศึกษาภาคสนาม โดยเดินทางไปศึกษาแนวลึกตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาร่องรอยการประสูติ ตรัสรู้ เผยแผ่ศาสนา และปรินิพพานทั้งในประเทศไทยและใกล้เคียง รวมทั้งในประเทศอินเดียและเนปาล

    ระยะที่ ๓ เป็นการวิเคราะห์และหาข้อสรุปเพื่อกำหนดสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน พร้อมทั่งระบุเมืองต่างๆ จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้จากการวิจัยระยะที่ ๑ และ ๒


    "ประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่เราทราบ หากเราทราบมาผิดๆ ประวัติศาสตร์ก็ผิดด้วย" คำกล่าวนี้ อาจเป็นจริงสำหรับประวัติพระพุทธศาสนา

    เมื่อสองร้อยปีก่อน อินเดียเป็นดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีประวัติศาสตร์เป็นของตนเอง และไม่มีวัฒนธรรม แต่เมื่อตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ชาวอังกฤษที่มาอยู่ในอินเดียก็กลายเป็นนักโบราณคดี และได้เขียนประวัติศาสตร์อินเดียขึ้นจนกลายเป็นศูนย์กลาง วัฒนธรรมของโลก

    พระพุทธศาสนา ก็เช่นกัน ก่อนพ.ศ. ๒๓๙๗ ชาวตะวันตกในยุโรปและอเมริกา ที่มีความรู้เรื่องราวของพุทธศาสนาคงมีไม่มากนักหรือแทบจะไม่มีเลย จนกระทั่งนักโบราณคดีอังกฤษกลุ่มหนึ่ง อาทิ Francis Buchanan ผู้ระบุใน ค.ศ. 1814 ว่า โบสถ์พราหมณ์ ที่ โพธคยาเป็นเจดีย์พุทธJames Prinsep ผู้อ่านเสาหินและพบชื่อDevanum Piya Piyadassi แต่ไม่ทราบว่าเป็นใครจนกระทั่ง George Turnour จากCeylon เป็นผู้บอกว่า Devanum Piya Piyadassi คือ พระเจ้า Ashoka และAlexander Cunningham (1814-1893) ซึ่งเป็นผู้เขียนประวัติพระพุทธศาสนาใหม่

    นักโบราณคดีเหล่านี้ ได้ทำการขุดต้นที่ต่างๆ เช่น ใน ช่วง พ.ศ. ๒๓๗๗-๒๓๙๗ Alexander Cunningham ได้ขุดสำรวจโบราณสถานในเมืองสารนาท พิศาล สาญจี ฯลฯ หลังจากขุดพบซากสลักปรักพังของโบราณสถานบางแห่งก็ได้ข้อสรุปว่า พระพุทธเจ้าน่าจะประสูติที่ประเทศสมัยนั้นเรียกว่า "ฮินดูสถาน (Hindustani) ดังนั้นความเชื่อที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นชาวอินเดียก็เกิดขึ้น และเผยแพร่ไปทั่วโลก ใน ค.ศ. 1887Alexander ก็ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็น Sir Alexander Cunningham

    ในประเทศไทยและลาว ดังปรากฏในจารึกและใบลานจาร พงศาวดารท้องถิ่นที่แสดงเรื่องราวในสมัยพุทธกาลของการเกิดพระเจดีย์ พระพุทธบาท พระพุทธฉายและพระพุทธรูปของชาวเหนือและชาวลาว แสดงว่า ประชาชนมีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าของพวกเขาอุบัติขึ้นที่ดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน

    ที่สำคัญยิ่งคือ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระวันรัตน์แห่งวัดพระเชตพน ได้นิพนธ์ หนังสือ "สังคีติยวงศ์" เป็นภาษาบาลี และได้ระบุอย่างชัดเจนในหน้า ๒๘๒ ว่า กรุงสุโขทัยปุระและสยามประเทศตั้งอยู่ในชมพูทวีป ก่อนหน้าที่จะถูกฝรั่งบิดเบือนไม่ถึง 120 ปี จนกระทั่งครอบงำความคิดนักวิชาการไทยและเทศว่า ชมพูทวีป คือ อินเดีย


    พระธาตุศรีสองรัก: สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า ที่อำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย

    พระแท่นดงรัง: สถานที่ปรินิพพานพระพุทธเจ้า ที่อำเภอท่ามะกา จังหสัดกาญจนบุรี โปรดสังเกตลำแสงบุญเหนือพระแท่น

    (ซ้าย)ปกหนังสือ India Discovered: The Recovery of a Lost Civilization โดย John Keay (2001) หนังสือเล่มนี้ได้ให้ข้อมูลเดียวกับการค้นคว้าของนักโบราณคดีอังกฤษที่นำไปสู่ความเชื่อที่ว่า พระพุทธอุบัติภูมิอยู่ในอินเดีย (ขวา) ปกหนังสือ สังคีติยวงศ์ ประวัติพระพุทธศาสนาฉบับสุดท้ายก่อนที่คณะสงฆ์ไทยจะไปเชื่อฝรั่ง ตามเจ้านายและพระผู้ใหญ่ไทยเพียงไม่กี่องค์

    ในรัชสมัยพระปิยมหาราช มีพระเถระรูปหนึ่ง คือ พระเดชพระคุณพระธรรมเจดีย์ (ปาน) แห่งวัดมหรรณพาราม ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่พระปิยมหาราช ครองราชย์ได้ ๒๙ ปี เนื้อหาของหนังสือ ประท้วงคณะสงฆ์ที่ยอมเชื่อว่า พระพุทธองค์ประสูติในอินเดีย ตามที่แขกจากเมืองกาสี ๘ คน นำเสนอ แขกทั้ง ๘ คนนี้หลวงพ่อกล่าวหาว่า ได้นำพระไตรปิฎก อภิธานศัพท์ และคำสอนในพระพุทธศาสนากลับประเทศอินเดีย นัยว่า คงนำไปประกอบประวัติพระพุทธศาสนาที่ Sir Alexander Cunningham ได้เขียนขึ้นในก่อนหน้านี้ไม่นาน เมื่อแขกพวกนี้กลับมากรุงเทพ ก็นำแผนที่ประเทศฮินดูสถานฉบับใหม่ ที่มีชื่อเมือง แม่น้ำ ภูเขา ฯลฯ ตามที่ปรากฏในประไตรปิฎก ก็ยิ่งทำให้คนไทยเชื่อว่า พระพุทธอุบัติขึ้นในอินเดียมากยิ่งขึ้น โดยให้การต้อนรับอย่างดี ได้ขายนมเนย ภายหลังก็ได้มีการเรี่ยรายเงินทองเพื่อไปเสริมสร้างปฏิสังขรณ์โบสถ์พราหมณ์ ณ พุทธคยา ซึ่งเป็นสถานที่ฝรั่งสองคนคือ Francis Buchanan (1812) และAlexander Cunningham (1862) ระบุว่า เป็นโบสถ์พุทธและเป็นที่ตรัสรู้ ก็เป็นข้อมูลที่ต้องศึกษาให้แจ้ง เดี๋ยวนี้พวกพราหมณ์ก็ยังถือว่า มหาเจดีย์ที่พุทธคยาเป็นของเขาและไม่ยอมขายกรรมสิทธิที่ดินให้ชาวพุทธ
    นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ มีนักวิชาและกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม ๓ กลุ่ม ได้รับการจุดประกายจากหนังสือ ชื่อ "อ้อย-ต้นจืดปลายหวานฯ" ของพระธรรมเจดีย์ (ปาน) และความสงสัยที่มีมายาวนานเกี่ยวกับคติที่ว่า พระพุทธเข้าอุบัติขึ้นในอินเดีย จึงได้เริ่มศึกษาค้นคว้า ประวัติพระพุทธศาสนาตามคติเดิม เกี่ยวกับที่ประทับ และการเทศนาขององค์พระศาสดาในช่วงเวลา ๘๐ พรรษา จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
    การแสวงหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ดำเนินมาหลายปีแล้ว จนคณะผู้วิจัยมีความเชื่อมั่นว่า พระพุทธอุบัติภูมิอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งเป็น"ชมพูทวีป" ที่แท้จริง จึงใคร่ขอเชิญผู้สนใจได้เข้ามาอ่านข้อสังเกต และเหตุผลต่างๆ เพื่อจะได้ช่วยกันทำความจริงให้ปรากฏ และหาทางสนับสนุนทั้งแรงกาย แรงใจ และทุนทรัพย์เพื่อว่า นับจากนี้ไป จะเป็นสิบปีหรือร้อยปีในอนาคต ความจริงเกี่ยวกับพระพุทธอุบัติภูมิจะได้กระจ่างขึ้น ตรงตามความเป็นจริ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 สิงหาคม 2019
  4. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"...ยืนยันโดยองค์หลวงปู่มั่น
    เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่านพระอาจารย์ที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทานฟังเทศน์ และได้นำกระดาษห่อธูปมีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำข้อวัตร ปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านฯเหลือบมาเห็น ถามว่า “ นั่นอะไร ” “รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม ” ท่านกล่าว “ ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ” แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า “ ให้บรรจุเสีย ” ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า บรรจุ จับพิจารณาดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา ท่านพูดซ้ำอีกว่า “ บรรจุเสีย” “ ทำอย่างไรขอรับกระผม ” “ ไหนเอามาซิ ” ยื่นถวายท่าน

    ท่านจับไม้ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า “ หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำจะเป็นบาป” ผู้เล่าเลยพูดไปว่า “ พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม ” ท่านฯตอบ “ หือคนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้ ” ท่านฯกล่าวต่อไปว่า “ อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวกในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์และศีล ๕ เขาก็ไม่รู้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้นและชาวพม่า คือ รัฐโกศลเป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่า ในปัจจุบัน” “ ส่วนรัฐสักกะนั้นใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว” ผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า “ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม” “ไม่รู้สิ อาจเป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้” ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี ตอนท้านก่อนจบท่านเลยสรุปว่า “ อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น” ผู้เล่าพูดอีกว่า “แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม” ท่านบอก “พวกอิสลามที่มาไล่ฆ่าเรานะซิ” “ถ้าเช่นนั้นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสกฤตด้วย” “ อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำตาม ” ท่านยังพูดคำแรงๆว่า “ คุณตาบอด ตาจาวหรือ เมืองเราวัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นหรือ ” (ตาบอดตาจาวเป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า) “ แขกอินเดียเขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฏหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั้นแหละถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด ” “ ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้” “ พระพุทธเจ้าทรงวางพระพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สุญญกัปป์ก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา

    แต่ชนชาติที่ได้เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็คงขาดแต่ผู้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่างจาก บรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่ ” ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แล ฯ คัดลอกจาก หนังสือ "รำลึกวันวาน" โดยกองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนาราม หมวดรำลึกพระธรรมเทศนา หน้าที่ ๒๒๗ (เป็นหนังสือรวบรวมเกร็ดประวัติ ปกิณกธรรม และพระธรรมเทศนา แห่งองค์หลวงปู่มั่น จากบันทึกความทรงจำของหลวงตาทองคำ จารุวณโณ ในสมัยที่ได้อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๙๒)


    ที่มา http://www.watgiessen.com/index.php...w&Category=watgiessencom&thispage=1&No=460820


    ผู้ตั้งกระทู้ waraporn :: วันที่ลงประกาศ 2008-02-18 01:11:10​
     
  5. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง กับคุณหาธรรม ที่ได้นำข้อมูลสำคัญที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านกล่าวไว้ตามข้อความที่อ้างอิง ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง และโมทนาเป็นอย่างสูงกับคุณ aero1 ที่ได้นำข้อมูลที่มีการค้นคว้าหาหลักฐานอย่างเป็นรูปธรรม มายืนยันว่า "พระพุทธเจ้า เป็นคนไทย"
    พระพุทธศาสนาจึงยังเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ท่านเคยกล่าวไว้ว่าเมืองต่างๆ ในสมัยพุทธกาล ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเผยแผ่ธรรมและเมืองที่ทรงจำพรรษาอยู่เป็นเวลานาน เมืองนั้นๆ ส่วนใหญ่จะมีคนไทยอยู่มากกว่าชนชาติอื่น ทรงจำพรรษาที่นครสาวัตถีนานถึง ๒๕ พรรษา โดยจำพรรษาที่เชตวันมหาวิหารที่อนาถบิณฑิกะเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙ พรรษา และจำพรรษาที่วิหารบุพพารามที่นางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างถวาย ๖ พรรษา รองมาก็เป็นกรุงราชคฤห์ ทรงจำพรรษา ณ เวฬุวันมหาวิหาร ที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายรวม ๕ พรรษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2008
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,282
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    เรื่องนี้ผมไม่กล้าคิดครับ เเต่จริงๆ ท่านจะเป็นคนชาติไหนก็ดีหมดครับ เพราะยังไงท่านก็เป็นคนดี บอกเลยว่า ผมภูมิใจที่ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้พบธรรมะ เเละรอยยิ้มไปทั่วทุกสารทิศที่ได้ก้าวย่างไป ถ้าชาตินี้ ผมยังนิพพานไม่ได้อย่างที่ใจอยากจะเป็น ถ้าชาติหน้าไม่้ต้องเกิดมาเป็นอะไรนอกเหนือไปจากมนุษย์อีก ขอให้ผมได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้เรียนรู้ศึกษาธรรมะต่อไปอีกด้วยเถิด สาธุ
     
  7. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    จากข้อความที่ยกมาอ้างอิง ที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านกล่าวถึงชาวมคธได้อพยพมายังสุวรรณภูมิ ซึ่งตรงกับตำนานสิงหนวัติ ขอนำมาให้อ่านโดยย่อดังนี้แคว้นมคธ มีกรุงราชคฤห์เป็นเมืองหลวง พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระเจ้าเทวกาล มีราชโอรสมาก โดยมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นโอรสองค์โต ให้ครองราชสมบัติต่อ ส่วนน้องๆ ก็แบ่งทรัพย์สมบัติและผู้คนให้แยกย้ายกันไปสร้างเมืองกันใหม่

    เจ้าชายสิงหนวัติได้นำประชาชนอพยพมาถึงบริเวณริมแม่น้ำโขงซึ่งเป็นบริเวณเชียงแสนในปัจจุบัน ตามตำนานกล่าวว่าพญานาคได้เนรมิตร่างเป็นพราหมณ์และได้ชี้ที่สร้างเมืองให้ จึงตั้งชื่อเมืองว่า โยนกนาคนคร ซึ่งถือว่าเป็นต้นราชวงค์เชียงแสน
    และต่อมาพระเจ้าอชุตราชซึ่งเป็นรัชกาลที่สามของเชียงแสนได้รับพระบรมสารีริกธาตุ จากพระมหากัสสปเถระเจ้า จึงสร้างเจดีย์บรรจุ
    ต่อมาพระเจ้ามังรายมหาราชพระราชโอรสได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากพระมหาวชิรเถระเจ้าจึงสร้างเจดีย์บรรจุไว้เคียงคู่กับเจดีย์ของพระราชบิดา
    ซึ่งก็คือพระบรมธาตุดอยตุงในปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2008
  8. แงซาย ชายดอย

    แงซาย ชายดอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +1,314
    [​IMG]
    ภาพมงคลครับ
    โมทนา สาธุ ครับ กับทุกท่านในความตั้งใจดีนะครับ
    เคยอ่านเรื่องนี้จากหนังสือธรรมะ ปฏิบัติ ของหลวงพ่อฤาษีแล้ว ยินดีๆ

    ขอเสริม ครับ
    พระพุทธเจ้าเข้าปรินิพพานในเมืองไทย เรียบเรียงโดย พระชัยวัฒน์ อชิโต วัดท่าซุง
    ลิ้งอ่านดูนะครับ
    http://www.danpranipparn.com/web/article.php?sid=193

    เมื่อ วันที่ 18 ต.ค.51 ที่ผ่าน มาผมเดินทางไปกราบพระแท่นดงรังมาแล้วครับ
    มีภาพ ที่ในหลวงท่านเคยเสด็จไปกราบด้วยครับ
    ตั้งใจว่าจะไปทุกปี ปีละครั้ง เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ตุลาคม 2008
  9. Quail

    Quail สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +4
    แล้วทำไมในประเทศอินเดียถึงมีวัดถ้ำที่ใช้การสกัดหินเข้าไปทำภูเขาทั้งลูกให้เป็นวัดที่มีอายุประมาณ 2000 ปี และมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นวัดพุทธเพราะมีทั้งรูปสลักหินเป็นรูปธรรมจักร รูปสถูปเจดีย์ และอื่นๆอีกมากมายอยู่หล่ะครับ ส่วนในประเทศไทยหลักฐานทางพุทธศาสนาที่มีอายุ 2000 ปีแทบจะหาไม่ได้หรือไม่มีเลยด้วยซ้ำ

    แล้วเสาอโศกที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างขึ้นนั้นก็เป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนอีกชิ้นหนึ่ง และยังมีอีกเยอะครับ พูดทั้งวันก็ไม่หมด คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่อินเดียที่แสดงถึงศาสนาพุทธและเก่าแก่กว่าที่มีในประเทศไทยหลายเท่านั้นมีอยู่มากมาย ที่เอามากล่าวอ้างกันนั้นเป็นข้อมูลจากพระไตรปิฏกที่มีการบอกต่อกันมาและเพิ่งมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรได้ไม่กี่ร้อยปี แต่ทางอินเดียมีแผ่นจารึกที่เป็นหินอายุ 2000ปีขึ้นไปยืนยันถึงต้นกำเนิดพุทธศาสนาว่าเกิดขึ้นที่นั่น แล้วทำไมเรายังคิดว่าศาสนาพุทธไม่ได้เกิดขึ้นที่นั่นอีกเหรอครับ
     
  10. แงซาย ชายดอย

    แงซาย ชายดอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +1,314
    ผมทราบข้อมูลบางอย่าง นี้ บอกมากมิได้ครับเพราะเป็นกระทู้สาธารณะครับ
    ทราบจากพระที่เคารพบูชาท่าน ลองศึกษาจากหนังสือ ของหลวงพ่อฤาษีไปเรื่อยๆ และมีโอกาสก็สอบถามครูบาอาจารย์ท่านดู ก็คงรู้ที่มาที่ไปเอง

    แต่เรื่องบางเรื่อง เป้นเรื่องเฉพาะของศรัทธาและภูมิธรรม จะเปิดเผยและเล่าให้ใครฟังก็ต้อง ดูด้วยนะครับ เกรงคนทั่วไปจะไม่เข้าใจ คิดสงสัยและไปปรามาส
    เอา เราจะแย่ครับ

    ขอขมาโทษต่อพระตรันตรัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
    "สัพพัง อะปะราธัง ขะมะธะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ
    กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะธะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต"

    สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ใน พุทธคยา อินเดีย นั่นเอง
    แต่ไม่ใช่สถานที่ในปัจจุบันใต้โพธิ์ปัจจุบันนั้น แต่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 กม.

    ส่วนสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธิถัตถะนั้น ความนี้ ผมไม่ขอออกความเห้นใดๆครับ

    อันนี้เป้นความเห้นส่วนตัวนะครับ
    เรื่องของสถานที่ อาจจะต่างกันได้ในแต่ละประเทศเพราะ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    ในการซ้อนทับและปรากฏของกาลเวลาในอนาคต เนื่องแต่ มีเหตุและผลในสิ่งนั้น ซึ่ง เราจะทราบใด ก็ต่อเมื่อเรามีบารมีมากพอนั่นเอง
    " อะหัง วันทามิ ทูระโต"
    ขอกราบวันทาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกสถานอันมีมาแต่องค์สมเด้จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ป.ล.จะอยู่ที่แห่งใด เราน้อมจิต ตั้งใจกราบก็มีผล เช่นเดียวกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2008
  11. ถนอม021

    ถนอม021 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,098
    ค่าพลัง:
    +3,163
    อนุโมทนาสาธุด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    และขออุทิศบุญกุศลทั้งปวงแด่เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ
    ให้ทุกท่านมีความสุขกายสุขใจตลอดไป ขอให้อโหสิรรมและ
    ขออโหสิกรรมกับทุกรูปทุกนามด้วยเถิด ให้ทุกท่านได้พระนิพพาน
    ในชาตินี้ด้วยเถิด

    ถนอม สุพัตรา ถกนธ์ พร้อมครอบครัวและญาติมิตร

    หลังจากสวดบูชาพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลามาก แนะนำบทสวดพุทธมนต์แบบย่อ ๆ แต่มีพลานุภาพมาก มีอานิสงส์มาก สวดไม่เกิน 5 นาทีจบ ดังนี้

    นะโม 3 จบ


    หัวใจ อิติปิโส ว่า
    อิสะวาสุ
    หัวใจพาหุง
    พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ
    หัวใจพระเจ้าสิบชาติ
    เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
    หัวใจบารมี 30 ทัส
    ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ
    หัวใจพระอาการวัตตาสูตร
    มุนินทะ วะทะนัมโพชะ คัพพะสัมภาวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะ ยะตัง มะนัง
    หัวใจพระธารณะปริตร
    ทิฏฐิลา ทัณฑิลา มันติลา โรคิลา ขะระรา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา
    หัวใจพระไตรปิฎก
    จิเจรุนิ
    หัวใจพระคาถาชินบัญชร
    ชะ จะ ต ะ สะ สี สัง หะ โก ทะ กะ เก นิ กุ โส ปุ เถ เส เอ ชะ ระ ธะ ขะ อา ชิ วา อะ ชิ สะ อิ ตัง
    คาถาบูชาพระพุทธเจ้า 16 พระองค์
    นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

    นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ นะมะอะอุ

    [​IMG]สวดจบควรแผ่เมตตาทุกครั้ง[​IMG]
     
  12. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ไม่ว่าพระพุทธองค์จะประสูติที่ใดไม่สำคัญ
    ที่สำคัญยังศรัทธาในคำสอนของพระองค์ทุกชาติไป
     
  13. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +4,559
    สาธุๆ

    มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ใหญ่ทั้ง 2 องค์มายืนยันอย่างนี้ ก็ทำให้น่าคิดที่มีวาสนาได้เกิดเป็นคนไทย ขออนุโมทนาขอรับ
     
  14. ืnttr

    ืnttr สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +10
    รู้สึกว่าข้อมูลในกระทู้นี้ จะมีอยู่ 2 ข้อมูลที่สวนกันนะครับ คือ 1.ศาสนาพุทธมาจากอินเดียโดยบรรพบุรุษชาวไทยส่วนหนึ่ง ก็อพยพมาจากแคว้นมคธด้วย กับ ข้อที่ 2 ข้อมูลที่ว่า ศาสนาพุทธเกิดแถบอินโดจีน ส่วนตัวแล้วผมว่า ข้อมูลแรก น่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะ ในทางโบราณคดีก็มีข้อมูลอยู่ว่า ชาวอินเดียโบราณแถบลุ่มน้ำคงคากลุ่มหนึ่ง ได้อพยพกระจายไปสองทาง คือ อินเดียตอนใต้ และทางอินโดจีน มีตัวอย่าง ระหว่างภาษาเขียน ในอินโดจีน และแถบอินเดียตอนใต้ ว่า คล้า่ยๆกัน
     
  15. เตอร์

    เตอร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,009
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +52,961
    เคยตั้งกระทู้ "สถานที่ประสูติ,ตรัสรู้ และปรินิพพานไม่ใช่ประเทศไทย" นานแล้ว ที่

    http://www.pranippan.com/new/board/index.php?act=ST&f=7&t=179&st=0#entry455

    ขอนำรายละเอียดมาให้อ่านกันที่กระทู้ "พระพุทธเจ้า เป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)" นี้ด้วยครับ

    จากแนวความคิดเรื่องพระพุทธเจ้าประสูติ,ตรัสรู้ และปรินิพพานที่ประเทศไทยซึ่งมีการเผยแพร่ไปทั่วแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอนำคำกล่าวของหลวงปู่มั่นและหลวงพ่อฤาษีฯ มาให้อ่านและพิจารณากัน ซึ่งไม่ใช่เพื่อการโต้แย้ง แต่เพื่อประดับความรู้ สำหรับผู้ที่ศรัทธาหลวงพ่อฤาษีฯและหลวงปู่มั่นที่ยังไม่ทราบว่า หลวงปู่และหลวงพ่อได้เคยกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ไว้หมือนกัน

    ข้อมูลจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อฤาษีฯ ข้าพเจ้าได้รวบรวมจากหนังสือของหลวงพ่อหลายเล่มเท่าที่นึกได้ในขณะนี้ก็คือ ธัมมวิโมกข์, เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ

    .....การที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตจะประสูติเวลานั้น มารดาไม่ได้นั่งและก็มารดาไม่ได้นอน มารดายืน เป็นการยืนคลอด ถ้าหากว่าคนไทยเราได้ยินข่าวว่ายืนคลอดนี้ จะรู้สึกว่าแปลกใจมาก แต่ถ้าหากถ้าเราไปในอินเดีย จะไปพูดว่า สมเด็จพระบรมโลกนาถเวลาจะคลอด พระมารดายืนคลอด ชาวอินเดียจะหัวเราะ เพราะปกติชาวอินเดียน่ะ ยืนคลอดบุตร เวลาจะคลอดก็มีเจ้าหน้าที่คอยรองรับเด็กที่จะคลอดออกมา ถึงแม้สมัยปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน.....

    .....พระองค์ได้ทรงพิจารณาว่า เวลานี้ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ อยู่ที่ไหน... องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงทราบว่า เธอพวกนี้หลีกเราไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี สำหรับองค์สมเด็จพระมหามุนีนี่อยู่ที่พุทธคยาปัจจุบัน ที่โคนต้นโพธิ์.....

    .....ที่วัดไทยพุทธคยา พ่อมองดูพระไทยที่ไปเรียนพระพุทธศาสนา พ่อมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งว่า พระพุทธศาสนาจริงๆนี่ เราเรียนกันในเมืองไทย รู้สึกว่าจะได้ละเอียดกว่า เพราะว่าพระพุทธศาสนาเกิดในประเทศแขก ที่แขกบอกว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ความรู้จริงๆแขกรู้ไม่เท่าไทย.....

    .....ตอนนั้นเองพ่อก็มานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่แขกสร้างสถูปไว้ตรงนั้นน่ะไม่ใช่ พ่อไม่ได้ทำลายผลประโยชน์ของเขา มันไม่จำเป็นหรอกที่เราจะไหว้กัน ที่จริงๆต้องห่างจากที่ตรงนั้นประมาณ ๓ กิโลเมตร เอาเชือกผูกจากที่เขาทำสัญญลักษณ์ไว้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กางแขนเข้า แล้วก็ตัดมุมเฉียงเป็นตะวันออกเฉียงเหนือ เอาเชือกขึงไป ๓ กิโลเมตร ก็จะเข้าถึงเขตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพบปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ .....

    ....เป็นอันว่า ทั้ง ๕ ท่านนี้ผิวไม่ดำ ท่านเป็นแขกขาว ไม่ใช่แขกดำ อย่าลืมว่าแขกมี ๒ พวก คือแขกขาวกับแขกดำ แขกขาวนี่เนื้อแท้ๆเขามีความฉลาดมากกว่าแขกดำ แต่จะถือว่าแขกขาวเก่งทุกคนก็ไม่ได้ แขกดำที่เขาเก่งก็มี ท่านโกณฑัญญะพรหมณ์มีรูปร่างลักษณะสูงโปร่ง คล้ายคลึงพระพุทธเจ้า คำว่าคล้ายคลึงนี่หมายความว่า สูงไล่ๆกัน แต่ต่ำกว่าหน่อย.....

    .....ที่กุสินาราเขาทำรูปพระพุทธเจ้านิพพานไว้ รู้สึกว่าพระศอขององค์สมเด็จพระบรมครูตกไปนิดหนึ่ง เวลานี้กุสินารามหานครของเก่าพังไปหมด ของเก่าสวยกว่าของปัจจุบันมาก ในสมัยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังอยู่ ประเทศนี้ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีความเจริญรุ่งเรืองเกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน และก็มีวัฒนาธรรมดีมาก เป็นเมืองที่น่ารัก เป็นอันว่าที่นิพพานขององค์สมเด็จพระบรมโลกเซษฐ์ที่ทำไว้ไม่ผิด เรื่องการจะทำถูกหรือผิด ตรงที่หรือไม่ตรงที่ก็ไม่สำคัญ ถ้าจะไหว้พระพุทธเจ้ากันซะอย่างหนึ่ง ที่ไหนก็ไหว้ได้.....

    .....ในสมัยหนึ่งเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจได้ยินข่าวว่า ชาวเมืองทวาราวดี เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดี (คือ เขตไทยทางด้านของนครปฐม)
    แต่ว่าทวาราวดีเวลานั้นก็กินเขตเอาเกือบทั้งหมด ก็เมืองไทยนั่นเอง แต่เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่า เมืองทวาราวดี .....

    เมื่อท่านมาถึงทวาราวดีอยู่ครบประมาณ ๒ ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบอกว่า ชาวเมืองทวาราวดีนี่มีภาษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด หรือพูดเป็นคำๆว่า ไป ก็ ไป กิน ก็ กิน อย่างเรานั้น ภาษาแขก คือ ชาวมคธ คำว่า ไป เขาพูดว่า คัตวา เป็นคำ คู่ กิน ก็ ภุนชติ
    ท่านโกมารภัตกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ภาษาทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด
    พระพุทธเจ้าจึงถามว่า "ทวาราวดีพูดกันอย่างไร ลองพุดให้ฟังซิ" ท่านโกมารภัตก็พูดให้ฟัง
    เมื่อพูดให้ฟังแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดีคุยกับท่านโกมารภัตอยู่พักหนึ่ง
    คุยกันไปคุยกันมา ท่านโกมารภัตนึกขึ้นได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็นลูกชาวกบิลพัสดุ์อยู่อินเดีย
    ที่พุดภาษาทวาราวดีนี่ได้ เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ (ความจริงปฏิสัมภิทาญาณนี้รู้ภาษาทุกภาษา สัตว์ทุกประเภท)จึงได้กราบทุลพระบรมโลกเชษฐ์ว่า
    "ที่พระองค์ตรัสภาษาทวาราวดีนี่ รู้ได้ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทาญาณ หรือว่ารู้ด้วยการพูดได้เป็นภาษาเดิม หรือว่าเรียนมาจากไหน"
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้ตรัสว่า
    "โกมารภัต ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง"
    ท่านโกมารภัตก็ถามว่า
    "ถ้าเช่นนั้นชาวกรุงกบิลพัสดุ์ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหม?"
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ตรัสว่า
    "ใช่ คือชาวกบิลพัสดุ์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดีเป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน"
    นี่ขอบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าความจริงเป็นคนไทยที่เขาเรียกว่า ไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้.....

    .....พระพุทธศาสนาที่สลายตัวมาจากประเทศอินเดียก็ไม่ใช่ใครทำให้เสียน่ะไม่ใช่ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้แล้วว่า ศาสนาของเราจะสลายตัวไปก็ไม่ใช่ใคร ก็คือ ลูกของเราเอง นั่นก็ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัท ๔ เหล่านี้แหละเป็นผู้ทำลาย ไม่ใช่ใครเป็นผู้ทำลาย แต่นี้เวลานี้ประเทศไทยของเราเป็นเมืองพระพุทธศาสนา คือ ในอินเดียน่ะจมปรักหมดกันไปแล้ว.....

    ..... พระพุทธศาสนานี่เวลานี้ในประเทศไทยรู้สึกว่ายังมีสภาวะอุดมสมบูรณ์กว่าทุกประเทศ นี้การไหว้พระพุทธเจ้าน่ะ ไปไหว้แผ่นดินน่ะจะได้อะไร ถ้าจิตใจเราไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้าเสียอย่างเดียว มันก็หมดเรื่อง ถ้าเราจะไหว้พระพุทธเจ้าเราก็เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน และประพฤติตามจรณะที่พระองค์ทรงปฏิบัติ จรณะ ๑๕ เราปฏิบัติเพียงเท่านี้จะอยู่ในป่าในเขาก็ชื่อว่าเราพบพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ทำไมถึงจะต้องเหาะไปประเทศอินเดีย และในประเทศอินเดียเวลานี้นี่มีใครบ้างล่ะที่เขานับถือพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง.....

    .....ความจริงพระพุทธศาสนาตั้งขึ้นที่นั่น แต่ว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่ได้ทรงพยากรณ์ว่า จะฝากพระพุทธศาสนาไว้ในประเทศอินเดีย กลับมาฝากพระศาสนาไว้ในประเทศไทย เวลานั้นน่ะเมืองไทยเขาไม่เรียกว่าเมืองไทย สงสัยเมืองมคธรัฐไล่ไปไล่มาแล้วมันอยู่ไม่ไกลประเทศไทยนัก ไล่กันดูให้ดีเถอะ ดูมคธจริงๆอยู่ตรงไหนกันแน่ ระวังนะจะไปเจอะพี่บังหลอกเข้าให้.....

    .....เหตุใดพระพุทธศาสนาจึงอยู่ในชมพูทวีปไม่ได้ หมายถึงประเทศอินเดีย นี่คุยต่อไปว่า ความรวนเรในวงการพระพุทธศาสนานั้นได้เริ่มตั้งเค้าขึ้นตั้งแต่ก่อนพระพุทธกาล คือก่อนที่พระพุทธเจ้าจะนิพพานแล้ว คือเมื่อพระพุทธเจ้าทรงนำพระสาวกประกาศพระศาสนาได้ประมาณ ๓๕ ปี พระพุทธศาสนารุ่งเรืองในชมพูทวีปเป็นสุดยอด เหมือนจะรุ่งเรืองที่สุด มีพระอรหันต์เยอะ เหาะก็ยังได้เลย และก็แคว้นมหาอำนาจทั้ง ๔ ในยุคนั้นก็คือ แคว้นมคธ แคว้นโกศล แคว้นวังสะ และอวันตีนี่เป็นดินแดนของพระพุทธศาสนาทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าเดินไปเดินมา เดินมาแล้วก็เดินไปอยู่แถวนั้นบ่อยๆ สอนคนเคารพนับถือเป็นพระอรหันต์ก็เยอะ เยอะแยะ เดินหลีกไม่พ้น นี้ส่วนแคว้นเล็กๆน้อยๆอีกตั้งหลายแคว้นไม่มีปัญหา เมื่อแคว้นใหญ่ได้เสียแล้วแคว้นเล็กๆก็มี นี้ตำแหน่งพระศาสดาที่พระพุทธเจ้าดำรงอยู่นั้น เป็นตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าตำแหน่งพระราชาใดๆทั้งสิ้น ไอ้นี่จริงเพราะพระราชาทรงมีความเคารพพระพุทธเจ้านี่

    .....เอาละมาคุยกันไป เรื่องราวของพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะจากอินเดีย คือว่าพระพุทธศาสนาในอินเดีย ซึ่งร่วงโรยมานานแล้ว เพราะว่าถูกกาฝาก คือพระอสัชชีมาเกาะกินมากเกินไป ตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุที่เมืองเวสาลี เมื่อพ.ศ.๑๐๐พอดี เรื่อยมา ครั้นมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชพระบาทท้าวเธอทรงอุปถัมภ์ ให้มีการสังคายนาครั้งที่ ๓ ขึ้น เมื่อพ.ศ. ๒๑๘.....

    .....ทีนี้เรื่องราวที่พระพุทธเจ้าแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศอินเดีย แล้วก็พระพุทธศาสนาทรงอยู่ไม่ได้ นี่พระพุทธเจ้าทรงทราบดี ด้วยอำนาจพระพุทธญาณ แต่ถ้าเราจะมาพูดกันว่าทำไมล่ะ ถ้าพระพุทธเจ้าทรงทราบดีแล้วว่าการประกาศพระศาสนาที่นั้น เพราะว่าพระพุทธศาสนาทรงอยู่ได้ไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปีตามที่กำหนด แล้วเหตุใดองค์สมเด็จพระสุคตจึงประกาศพระศาสนาที่นั้น ทั้งนี้เราก็ต้องตอบกันว่า ก็เพราะว่าเวลานั้นคนที่จะรับเอาพระพุทธศาสนามีในที่นั้นแหละเป็นที่เหมาะที่สุด ดินแดนอื่นยังไม่มีคนเป็นล่ำเป็นสันนัก และดินแดนที่จะฝากฝังพระพุทธศาสนาให้ครบถ้วน ๕,๐๐๐ ปีก็คือ เขตโยนกนคร คือสายเหนือของประเทศไทย และอีกสายหนึ่งที่ได้รับพยากรณ์นั่นก็คือที่พระธาตุจอมทอง ที่อื่นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ที่ไหน บ้างหรือเปล่า ไม่ได้ถาม ถามใคร ถามพระอาจารย์ ขี้เกียจถาม พอแล้ว

    .....ทีนี้เราก็มานั่งดูกัน คือคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า คำสั่งสอนของพระองค์ไม่สามารถทรงอยู่ได้ในประเทศอินเดียครบ ๕,๐๐๐ ปี พระองค์รู้และทรงทราบดีว่า ถ้าสมเด็จพระบรมครูมาประกาศทางสายนี้ ในเวลานั้นคนทางสายนี้ยังไม่พร้อมที่จะรับ เพราะคนที่มีบุญญาธิการที่จะได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์อยู่ที่นั่นมาก ก็ไม่เป็นไร อ้ายการขยับขยายการเคลื่อนไหวเป็นของธรรมดา ในเมื่อเราก่อตั้งขึ้นมาได้ มันมีทรัพย์สินขึ้นมาแล้วจะโยกย้ายไปที่ไหนนั่นมันไม่ยาก ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้ทีพระภาคเจ้าเมื่อมีอารมณ์เช่นนี้ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ประกาศพระศาสนาที่นั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามีญาณพิเศษแล้วองค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์ลืมไป คำว่าเผลอน่ะไม่มีสำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว นี้เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ มีคนหลายคนบอกว่าองค์สมเด็จพระบรมครูไม่เคยเสด็จมาสักที อยากจะถามว่าคนนั้นเกิดทันหรือ เกิดทันในสมัยนั้นหรือเปล่า เคยไปเที่ยวกับพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าเกิดไม่ทันแล้วทำไมพูดอย่างนั้นเล่า จะบอกว่าประวัติไม่ได้เขียนไว้ว่าได้มาในประเทศไทย แล้วแน่ใจไหมว่าประวัตินั้นได้เขียนครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง เอาอย่างนี้แล้วกัน เอาประวัติท่านเองน่ะ ท่านเขียนให้มันครบได้หรือยัง ตั้งแต่เกิดมาจนถึงเวลาปัจจุบัน ลองเขียนให้มันละเอียดละออซิ ถ้าเขียนเข้าไปแล้วก็ไปถามปู่ย่าตาแกว่ามะไรบ้างที่ยังบกพร่องไป เรายังไม่รู้ยังจำไม่ได้ เราจะพบจุดบกพร่องของเราตั้งเยอะ เรื่องของเราเองเรายังเขียนไม่ครบ.....

    .....ถอยหลังไปตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็มีพระมาจำพรรษาตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทยถึงภาคเหนือ ภาคเหนือจริงๆส่วนหนึ่งเป็นเขตที่พระโมคคัลลาน์มาคุม ตั้งแต่เหนือไปด้านเชียงตุงต่อประเทศจีน และก็ในเขตจีนเป็นสายพระมหากัสสป สำหรับสายใต้ต่ำลงมานับตั้งแต่จังหวัดสุพรรณบุรีมาถึงจังหวัดนครปฐม เพชรบุรี เป็นต้น และก็แดนประจวบคีรีขันธ์ ตอนนี้เป็นสายของพระมหากัจจายนะกับพระอนุรุทธ มักจะมากันเสมอๆ ต่ำลงมาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาจังหวัดชุมพร จนกระทั่งถึงสุราษฎร์ธานี สายนี้เป็นสายของพระโสณกุฎิกัณณะ มากันเป็นปกติ จากนั้นมาก็เป็นพระลูกศิษย์ของพระทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว เป็นองค์สอนต่อๆกันมา เป็นอันว่าประเทศไทยรับคำสอนของพระพุทธศาสนา มาก่อนที่เราคิดว่าพระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทย และเวลานั้นเมืองมันมาก และคนส่วนใหญ่ในที่นี้นัถือพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ถ้าจะถามว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จไหม ก็ต้องตอบว่าพระพุทธเจ้ามาในเขตนี้หลายวาระ และก็มาคราวหนึ่งทำให้คนสำเร็จพระอรหันต์ไปไม่น้อย การเสด็จมาของพระองค์ใช้เหาะมา มาเป็นกลุ่มๆมาคราวหนึ่งก็มีพระติดตามไม่น้อยกว่า ๕๐๐ รูป มาเพื่อเป็นกำลังใจของคน เวลาก่อนหน้านี้หมอผีมีมาก ดินแดนอินเดียเขาเล่นสมาธิจิต เล่นกำลังจิต แต่ดินแดนแห่งนี้เขาเล่นผีกัน นับถือผีอยู่ก่อน ถือว่าผีเป็นเจ้า ผีเป็นนาย ทำอะไรก็ต้องเชื่อผี เพราะว่ากำลังใจของคนพวกนี้ยอมรับนับถือผีมาเป็นตัวอย่าง เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เสด็จ ก็เอาผีพวกนั้นแสดงตัวให้ปรากฏ สมเด็จพระบรมสุคต ให้บุคคลทั้งหลายเห็นว่า ผีที่เขาบูชานั้นเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เห็นกันอย่างคนเห็นคน และเมื่อผีทั้งหลายเหล่านั้นเห็นพระพุทธเจ้าเข้าก็มากราบพระพุทธเจ้า และก็แสดงอาการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า อันนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความเลื่อมใส เกิดกำลังใจของบุคคลผู้ได้เห็น ฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์อะไรลงไป เขารับฟังทันที สมเด็จพระชินสีห์เทศน์จึงมีผล ให้คนได้เป็นพระอริยเจ้า

    .....บรรดาลูกรักทั้งหลาย เรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆที่พ่อกล่าวมานี้ ขอลูกอย่าไปยืนยันหรืออย่าไปโต้เถียงกับเขา เพราะเราได้มาจากคนที่ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ดีไม่ดี เขาจะหาว่าลูกรักของพ่อทั้งหมดเป็นคนบ้าเป็นคนหลัง จะไม่เกิดประโยชน์ โทษที่จะพึงมี นั่นก็คือความเดือดร้อน เพราะการต่อล้อต่อเถียงซึ่งกันและกัน..... <!--IBF.ATTACHMENT_455-->
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2008
  16. เตอร์

    เตอร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,009
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +52,961
    (บางส่วนจากหนังสือรำลึกวันวาน ที่หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ บันทึกไว้ในช่วงที่ท่านรับใช้อยู่กับท่านอาจารย์มั่น)

    อริยวาส อริยวงศ์

    เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทานฟังเทศน์ และได้นำกระดาษห่อธูปมีเครื่องหมายการค้ารูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำข้อวัตร ปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านเหลือบมาเห็น ถามว่า "นั่นอะไร"

    "รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม"

    ท่านกล่าว "ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ"

    แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า "ให้บรรจุเสีย"

    ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า "บรรจุ" จับพิจารณาดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา

    ท่านพูดซ้ำอีกว่า "บรรจุเสีย"

    "ทำอย่างไรขอรับกระผม"

    "ไหนเอามาซิ"

    ยื่นถวายท่าน ท่านจับไม้ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า

    "หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำ จะเป็นบาป"

    ผู้เล่าเลยพูดไปว่า "พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม"

    ท่านตอบ "หือ คนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้"

    ท่านกล่าวต่อไปว่า

    "อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวกในยุคพุทธกาล ตลอดถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์และศีล 5 เขาก็ไม่รู้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้น และชนชาติพม่า คือ ชาวรัฐโกศล เป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตายจากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่าในปัจจุบัน"

    "ส่วนรัฐสักกะใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว"

    ผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า "ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม"

    "ไม่รู้สิ อาจเป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้"

    ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี ตอนท้ายก่อนจบ ท่านเลยสรุปว่า

    "อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น"

    ผู้เล่าพูดอีกว่า "แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม"

    ท่านบอก "พวกอิสลามที่มาไล่ฆ่าเราน่ะสิ"

    "ถ้าเช่นนั้นศาสน์พราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสกฤตด้วย"

    "อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆ กันมาจนปัจจุบัน ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำตาม"

    ท่านยังพูดคำแรงๆ ว่า "คุณตาบอดตาจาวหรือ เมืองเรา วัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นหรือ" (ตาบอดตาจาว เป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า)

    "แขกอินเดียเขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฎหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั่นแหละ ถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด"

    "ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธจะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้"

    "พระพุทธเจ้าทรงวางพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สุญญกัปปก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่ได้เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็ขาดแต่ผู้ได้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่าจากบรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่"

    ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการฉะนี้แล

    ความเป็นมาของชาวไทย

    พระปฐมเจดีย์

    พระปฐมเจดีย์เป็นเจติยสถานที่ตั้งอยู่ในประเทศสุวรรณภูมิ ที่เรียกว่า "แหลมทอง" คือประเทศไทยในปัจจุบัน

    ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า เมื่อครั้งมีการทำสังคายนาครั้งที่ 3 นั้น พิเศษคือ มีพระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถอันกว้างไกล เห็นว่า พระพุทธศาสนามารวมเป็นกระจุกอยู่ที่ชมพูทวีป หากมีอันเป็นไปจากเภทภัยต่างๆ พระพุทธศาสนาอาจสูญสิ้นก็ได้ จึงมีพระประสงค์จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ สำหรับพระสงฆ์สายต่างๆ ผู้เล่าจะไม่นำมากล่าว จะกล่าวเฉพาะที่มายังสุวรรณภูมิประเทศ ตามที่ท่านพระอาจารย์เล่าให้ฟัง

    ท่านที่เป็นหัวหน้ามาสุวรรณภูมิคราวนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกไว้ คือ ท่านพระโสณะ และท่านพระอุตตระ

    การส่งพระสงฆ์ไปประกาศพุทธศาสนาคราวสังคายนาครั้งที่ 3 นั้น อย่าเข้าใจว่า จัดแจงบริขารลงในบาตรและย่าม ครองผ้าเสร็จก็ออกเดินทางได้ ต้องมีการจัดการเป็นคณะมากพอสมควร รวมทั้งพระสหจร และสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ด้วยเป็นกระบวนใหญ่ การเดินทางรอนแรมระยะไกลไปต่างประเทศ พระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้า และสหจร ท่านคงมีสายญาติ และญาติโยมผู้เคารพนับถือตามไปด้วย คงไม่ปล่อยให้ท่านเหล่านั้น เดินทางไปลำบาก ต้องมีคณะติดตามเพื่อจะได้คอยช่วยเหลือหุงหาเสบียงอาหารในระหว่างเดินทาง อีกอย่างหนึ่ง หากพบภูมิประเทศที่เหมาะสม ก็ตั้งถิ่นฐานแสวงโชคอยู่ที่สุวรรณภูมิประเทศได้ จึงได้พากันมาเป็นกระบวนใหญ่

    ชนชาติเจ้าของถิ่นเดิม ที่อาศัยอยู่ในสุวรรณภูมิประเทศมีอยู่แล้ว แต่คงไม่มาก หากมีอันตรายจากสัตว์ร้าย และเภทภัยต่างๆ มาย่ำยีเบียดเบียน การป้องกันก็ลำบาก เพราะกำลังไม่พอ นครปฐมคงเป็นที่รวมชุมชน กระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และนักแสวงโชคจากชมพูทวีป คงเอาที่นั้นเป็นจุดเริ่มต้น ชาวสุวรรณภูมิก็คงได้ยินกิตติศัพท์เช่นกัน จึงต้อนรับด้วยความยินดี

    การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ดี การแสวงโชคของญาติโยมที่ตามมาก็ดี ได้รับการสนับสนุนด้วยดี ประกอบกับผืนแผ่นดินก็กว้างใหญ่ไพศาลอุดมสมบูรณ์ ชาวประชาถิ่นเดิมก็ยอมรับนับถือพระรัตนตรัย และศีล5 มีการสร้างวัดถวาย คงเป็นวัดพระปฐมเจดีย์เดี๋ยวนี้ ส่วนนักแสวงโชคก็คงประกอบสัมมาอาชีพไปตามความสามารถ และปฏิบัติพระสงฆ์ไปด้วยพร้อมๆ กัน นี้คือชนชาวชมพูทวีปที่ได้เข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก

    นักแสวงโชคเหล่านั้น เมื่อประสบโชคแล้ว แทนที่จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็นึกถึงญาติๆ ทางชมพูทวีป กลับไปบอกข่าวสารแก่ญาติๆ จึงมีการอพยพย้ายถิ่นฐานตามกันมาอีก

    ลุศักราชประมาณ 500 ถึง 900 ปี หลังพุทธปรินิพพาน อาเพศเหตุร้ายก็เริ่มเกิดขึ้น เนื่องจากชนชาติชาวเปอร์เซีย ในปัจจุบัน คือ แถบตะวันออกกลาง เกิดมีลัทธิอย่างหนึ่งขึ้นมา ในปัจจุบันคือ ศาสนาอิสลาม ได้จัดขบวนทัพอันเกรียงไกร รุกรานเข้าสู่ชมพูทวีป คือ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน อินเดียสมัยนั้น มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งอาศัยของชาวชมพูทวีปทั้ง7รัฐ รวมทั้งชาวศากยวงศ์ของพระองค์ อยู่ด้วยกันฉันท์พี่น้อง การเตรียมรบจึงไม่เพียงพอ เมื่อกองทัพอันเกรียงไกรยกเข้ามา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบสิ้นชาติก็เกิดขึ้น การหนีตายอย่างทุลักทุเลของรัฐเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยนาลันทาเอย พระเวฬุวันเอย พระเชตวันเอย บุพพารามเอย รวมทั้งพระสงฆ์เป็นหมื่นๆ ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกไว้แล้ว ตายเป็นเบือราบเรียบเป็นหน้ากลอง

    ชาวรัฐโกศลและรัฐเล็กรัฐน้อย เช่น ลิจฉวี มัลละ ก็ทะลักเข้าสู่ดินแดนชเวดากอง คือ พม่า มอญ ไทยใหญ่ ในปัจจุบัน ชาวมคธรัฐ มีเมืองราชคฤห์เป็นราชธานี ก็หนีตามสายญาติที่เดินทางมาก่อนแล้ว มุ่งสู่สุวรรณภูมิ รวมทั้งรัฐเล็กรัฐน้อย มีรัฐสักกะ โกลิยะ และอื่นๆ ก็ติดตามมาด้วย แยกเป็นสองสาย สายหนึ่งไปทางโยนกประเทศ คือ รัฐฉาน ปัจจุบันอยู่ในพม่า และเลยไปถึงมณฑลยูนนานของประเทศจีน

    รัฐใหญ่ในครั้งพุทธกาล คือ รัฐมคธ เป็นไทยในปัจจุบัน รัฐโกศล คือ พม่า (เมียนมาร์ในปัจจุบัน) ท่านพระอาจารย์เล่าว่า พม่าและไทย พระพุทธเจ้าทรงโปรดและตรัสสอนเป็นพิเศษ สองประเทศนี้จึงมีพระพุทธศาสนาที่มั่นคงมายาวนาน และจะยาวนานต่อไป แต่พม่าเป็นเมืองเศรษฐีอุปถัมภ์ สมัยเป็นชาวโกศล ก็มีคหบดี คือ ท่านอนาถบิณฑิกะและนางวิสาขาเป็นผู้อุปถัมภ์ แต่ไทยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก พิเศษกว่าพม่า

    ชาวพม่ามีอุปนิสัยทุกอย่าง โดยเฉพาะความซื่อสัตย์ เหมือนคนไทย เป็นมิตรคู่รักคู่แค้น จะฆ่ากันก็ไม่ได้ จะรักกันก็ไม่ลง ท่านว่าอย่างนี้ สมัยพุทธกาล รัฐมคธมีปัญหาอะไรก็ช่วยกัน บางคราวก็รบกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ มาเป็นไทยเป็นพม่า ก็รบกัน ประวัติศาสตร์ก็จารึกไว้แล้ว

    ส่วนพระปฐมเจดีย์นั้น ผู้เล่ากราบเรียนถามท่านพระอาจารย์ ท่านตอบว่า คงจะสร้างเป็นอนุสรณ์การนำพระพุทธศาสนามาสู่สุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก ฟังแต่ชื่อก็แล้วกัน ปฐมก็คือที่หนึ่ง คือ พระเจดีย์องค์แรก ท่านกล่าวต่อไปว่า คงบรรจุพระธาตุพระอรหันต์รวมทั้งพระบรมสารีริกธาตุด้วย เมื่อมีการบูรณะแต่ละครั้ง ผู้จารึกเรื่องราว มักบันทึกเป็นปัจจุบันเสีย ประวัติศาสตร์เบื้องต้นจึงไม่ติดต่อ ขาดเป็นขั้นเป็นตอนว่า คนนั้นสร้างบ้าง คนนี้สร้างบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น

    คำพูดแต่ละยุค มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย ย้อนถอยหลังกลับไป คำว่า ประเทศพม่า คนไทยจะไม่รู้จัก รู้จักพม่าว่า เมืองมัณฑะเลย์หรือหงสาวดี และคนพม่าก็จะไม่รู้จักคำว่า ประเทศไทย จะรู้จักไทยว่า เมืองอโยธยา เรื่องราวเหล่านี้ ผู้เล่าได้ฟังมาจากท่านพระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์ชอบ

    ต่อไปจะได้เล่าเรื่องชนชาวไทย ชนชาวลาว

    ท่านพระอาจารย์เล่าว่า ชาวลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ก็คือชาวนครราชคฤห์ หรือรัฐมคธ เช่นเดียวกับชาวไทย ไทยและลาวจึงเป็นเชื้อชาติเดียวกัน แต่หนีตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาคนละสาย ลาวเข้าสู่แดนจีน จีนจึงเรียกว่า พวกฮวน คือ คนป่าคนเถื่อนที่หนีเข้ามา โดยชาวจีนไม่ยอมรับ จึงมีการขับไล่เกิดขึ้น (ประวัติศาสตร์ไทยเขียนไว้ว่า ไทยมาจากจีน เห็นจะเป็นตอนนี้กระมัง)

    ความจำเป็นเกิดขึ้น จึงมีการต่อสู้แบบจนตรอก ถอยร่นลงมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ตามสายญาติ คือ ไทย สู่สิบสองจุไทย สิบสองปันนา หนองแส และแคว้นหลวงพระบาง ปัจจุบันก็ยังมีคนไทยตกค้างอยู่

    พอถอยร่นลงมาถึงนครหลวงพระบาง เห็นว่าปลอดภัยแล้ว และภูมิประเทศก็คล้ายกับนครราชคฤห์ จึงได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นั่น และอยู่ใกล้ญาติที่สุวรรณภูมิด้วย คือ นครปฐม เป็นพวกที่มาตั้งอยู่ก่อน และพวกที่เข้ามาตอนหนีตายคราวนั้น

    การสร้างบ้านแปลงเมืองเป็นมาโดยราบรื่น โดยให้ชื่อว่า "กรุงศรีสัตตนาคนหุต" (เมืองล้านช้าง) จนถึงพระเจ้าโพธิสารเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์มีราชโอรส 2 พระองค์ ชื่อเสียงท่านไม่ได้บอกไว้ พอเจริญวัย พระเจ้าโพธิสารทรงเห็นว่า เมืองปัจจุบันคับแคบ มีภูเขาล้อมรอบ ขยายขอบเขตยาก การเกษตรกรรมทำนาไม่เพียงพอ และเพื่อเป็นการขยายอาณาจักรด้วย จึงส่งราชโอรสองค์ใหญ่ ไปตามลำแม่น้ำโขง มาถึงเวียงจันทน์ จึงได้ตั้งบ้านเรือนขึ้น มีเมืองหลวงชื่อว่า "กรุงจันทบุรีศรีสัตตนาคนหุต"

    ส่วนพระราชโอรสองค์น้อง ได้ไปตามลำน้ำน่าน มาตั้งบ้านเมืองอยู่ที่สุโขทัย โดยมีเมืองหลวง ชื่อว่า "กรุงสุโขทัย" ท่านพระอาจารย์แปลให้ฟังด้วยว่า "สุโขทัย" แปลว่า "ไทยเป็นสุข" เหตุที่อยู่ที่นี้เพราะปัจจัยในการครองชีพเอื้ออำนวย และใกล้ญาติทางนครปฐม ไปมาหาสู่ก็สะดวก ท่านว่าอย่างนี้

    นครปฐมก็มีเมืองหลวง คือ "ทวาราวดีศรีอยุธยา" ที่เรียกว่า ยุคทวาราวดี นั่นเอง เวียงจันทน์จึงเป็นพระเจ้าพี่ สุโขทัยเป็นพระเจ้าน้อง นครปฐม สุโขทัย หลวงพระบาง เวียงจันทน์ ก็คือ ชนชาติชาวราชคฤห์ในครั้งพุทธกาลนั่นเอง

    การอพยพหนีตายคราวนั้น บางพวกลงเรือข้ามทะเล ไปขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราชก็มี ซึ่งมีพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชเป็นสักขีพยานว่า ชาวใต้ทั้งหมดก็เป็นชนชาติรัฐมคธในครั้งพุทธกาล เหมือนกันกับชาวพม่า มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ก็คือ ชาวโกศล ในครั้งพุทธกาลนั้นเอง

    ที่มา : เว็บไซด์ ธรรมะ เกตเวย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 สิงหาคม 2019
  17. lunasea

    lunasea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +433
    ขอเพียงรับฟังไว้ ^^ (No comment)
     
  18. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    ขออนุโมทนากับคุณ Quail ที่กรุณาเสนอความคิดเห็น
    และต้องขออนุญาตชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
    จากชื่อของกระทู้ก็บอกชัดเจนนะครับ "พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"

    ตามที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านเล่าให้ลูกหลานฟัง
    เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์
    และจากบันทึกที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านกล่าวไว้
    บทความที่ผมโพสเพิ่มเติมก็บอกชัดเจนถึงสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงจำพรรษา
    ที่เมืองใดมากที่สุด ซึ่งผมจะเน้นเพียงว่า "พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"
    สรุปโดยรวมส่วนใหญ่สถานที่สำคัญก็อยู่ในประเทศอินเดียครับ

    สถานที่ตรัสรู้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวไว้ว่า ณ ปัจจุบัน
    ห่างจากสถานที่จริงประมาณ ๑ กม.
    จะมีก็บทความที่ท่านอื่นกรุณาโพสถึงการที่พยายามค้นคว้าหาหลักฐาน
    ว่าชมพูทวีปคือประเทศไทย ก็เป็นสิทธิ์ที่ผู้สนใจพึงกระทำได้ จะเท็จจะจริง
    เพียงใดก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานและเหตุผล ความจริงก็ต้องเป็นความจริง
    จะมีที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือสถานที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน มีหลาย
    บทความที่ยืนยันว่าคือที่พระแท่นดงรัง

    ลองไปอ่านบทความของหลวงพี่ชัยวัฒน์
    ตามที่คุณคนเมืองพริบพรีแนะนำในเวปแดนพระนิพพานดูครับ

    http://www.danpranipparn.com/web/article.php?sid=193

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2008
  19. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  20. ตะกอน

    ตะกอน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +26
    เเล้วทำไมท่านพ่อลี ลูกศิษย์พ่อเเม่ครูอาจรย์หลวงปู่มั่น ต้องไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล ไม่เข้าใจเลย ทำผม งง
     

แชร์หน้านี้

Loading...