" พระมหาเทวะ " พระสงฆ์นอกรีต : เหตุแห่งนิกายของพระพุทธศาสนาที่เปลี่ยนไป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 4 ตุลาคม 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    " พระมหาเทวะ " พระสงฆ์นอกรีต : เหตุแห่งนิกายของพระพุทธศาสนาที่เปลี่ยนไป

    พุทธศาสนาที่เปลี่ยนไป พุทธเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน

    หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น เพื่อรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ให้เป็นหมวดหมู่ และชำระสะสาง พระวินัยเพื่อให้มีกฎเกณฑ์ ดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาให้บริสุทธิ์ยั่งยืนต่อไปในอนาคต ( เปรียบดังรัฐธรรมนูญการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ) จึงมีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ครั้งที่ ๑ , ๒ , ๓ นั้น กระทำในประเทศอินเดีย พระสงฆ์ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันจึงแบ่งแยกพุทธศาสนาออก เป็น ๒ นิกายใหญ่ๆ คือ นิกายเถรวาทหรือหีนยาน กับอาจริยวาท หรือมหายาน นกจากนี้ ยังมี ลัทธิ นิกายอื่นๆ แต่จะกล่าวถึงเฉพาะการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๑ , ๒ และ ๓ โดยลำดับ การสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๑ กระทำหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน ๓ เดือน สาเหตุเพราะว่า พระภิกษุรูปหนึ่งบวชเมื่อแก่ ชื่อว่า พระสุภัททะ กล่าวดูหมิ่นพระธรรมวินัย พระมหากัสสปะ เกรงว่าพระธรรมวินัยจะเสื่อมสูญจึงเรียกประชุมสงฆ์ พระอรหันต์ ๕๐๐ รูปได้ทำสังคายนา ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา พระมหากัสสปะเป็นประธาน ทำหน้าที่ซักถาม พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย ทำอยู่ ๗ เดือนจึงสำเร็จ สังคายนาฯครั้งที่๒ เกิดขึ้นหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๑๐๐ ปี สาเหตุมาจากพระภิกษุวัชชีบุตร กลุ่มหนึ่ง ปฏิบัติย่อหย่อนต่อพระวินัย ๑๐ ประการ เช่น เก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์เพื่อนำมาผสมอาหารได้ตลอดไป, เมื่อตะวันตกเกินเที่ยงวันไปแล้วประมาณ ๒ องคุลีฉันอาหารได้, ฉันสุราอ่อนๆได้ เป็นต้น ทำสังคายนาที่เวลุการามเมือง ไพสาลี พระเจ้ากาฬโสตเป็นผู้อุปถัมภ์ ทำอยู่ ๘ เดือนจึงสำเร็จการสังคายนา ครั้งที่ ๓ กระทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๒๓๕ ปี เนื่องจากมีเดียรถีย์ผู้ปลอมบวชในศาสนา แสดงธรรมผิดไปจากหลักธรรมของพุทธศาสนา ในครั้งนี้มีพระโมคคัลลีติสสเถระเป็นประธาน เรียกประชุมสงฆ์ มีพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้อุปถัมภ์ในการทำสังคายนา เพื่อดำรงไว้ซึ่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องและบริสุทธิ์ และส่งพระเถระที่สำคัญไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ พระพุทธศาสนาจึงมาถึงดินแดนสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยปัจจุบัน ในสมัยนั้นนั่นเอง

    หลังจากนั้นก็มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งต่อๆมาในประเทศศรีลังกา พม่า และไทย ตามลำดับ จากหลักฐานของชาวพุทธฝ่ายมหายาน ในประเทศจีน ยอมรับการทำสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๑ และ ๒ ที่กระทำในอินเดีย แต่รายละเอียดแตกต่างจากพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทหรือหินยาน โดยเฉพาะการสังคายนาครั้งที่ ๒ สาเหตุแห่งการทำสังคายนาในครั้งนี้แทนที่จะเป็นวัตถุ ๑๐ ประการ ที่ภอกษุชาววัชชี ประพฤติผิดพระธรรมวินัย หากแต่เป็นทฤษฎี (ทิฐิ) ๕ ประการของพระมหาเทวะเถระ ที่เป็นต้นแบบของพระสงฆ์นิกาย ที่ประพฤตินอกรีต ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ ทฤษฎี ๕ ประการนี้ เป็นสาเหตุ แห่งความขัดแย้งที่สำคัญโดยพระมหาเทวะแยกหมู่ประสงฆ์ออกไปทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ในการแยกพระภิกษุสงฆ์ไปทำการสังคายนาเพื่อตั้งลัทธินิกายของตนขึ้น เรียกว่า “ มหาสังฆิกะ “ ที่เมืองกุสุตปุระ (ปาตลีบุตร ) มีจำนวนพระภิกษุสงฆ์เข้าร่วมประชุมถึง ๑,๐๐๐ รูป ทฤษฎี (ทิฐิ) ๕ ประการ (ที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้ง) มีดังนี้ ๑.พระอรหันต์ อาจถูกมารยั่วยวนได้ ๒.พระอรหันต์อาจมี อัญญาณ (ความไม่รู้) ในบางสิ่งบางอย่างได้ มิใช่ผู้รู้แจ้งทุกอย่าง ๓.ผู้ที่จะรู้ว่าตนบรรลุมรรคผลแล้วนั้น ต้องอาศัยคำพยากรณ์จากบุคคลอื่น ๔.พระอรหันต์อาจมีความสงสัยในบางสิ่งได้ ๕.อริยะมรรค อริยะผลจะปรากฏแก่ ผู้เปล่งวาจาว่า อโหทุกข(ทุกข์หนอๆ) ทฤษฎี ๕ ประการนี้ เป็นข้ออ้างของพระมหาเทวะเพื่อปกปิดความผิดของตน โดนความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระอรหันต์เป็นผู้รู้แจ้งหมดกิเลสแล้วโดนสิ้นเชิง กิเลสที่ละได้แล้วย่อมไม่กำเริบกลับมาอีก, รู้แจ้งประจักษ์ด้วยตนเองไม่ใช่มีใครมาพยากรณ์ . บาลีว่า “ ขีณา ชาติ วุสิตํ พรหฺมจริยํ นาปรํ อิตฺถตฺตาย “ แปลว่า “ ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องทำเพื่อภาววะนี้อีกต่อไป “ และเป็นแนวคิด ของชาวพุทธทุกคน แม้ไม่บรรลุธรรม ก็เชื่อแนวคิดนี้ว่าถูกต้อง แต่เมื่อมีผู้เสนอแนวคิดใหม่ออกไปจากความเชื่อดั้งเดิม จึงเชื่อได้ว่าจะต้องมีผู้คัดค้านและประณามความเห็นผิดนั้น ต่อไปจะกล่าวถึงประวัติของพระมหาเทวะ ผู้ที่เป็นเจ้าของแห่งทิฐิ หรือทฤษฎี ๕ ประการ จากหนังสือ “ เภทธรรมมติจักรศาสตร์ “ (คัมภีร์สันสกฤตของพุทธศาสนานิกายมหายาน)ของพระวสุมิตร และ “ อรรถกถาแห่งคัมภีร์ “ รจนาโดยพระเถระชื่อจีน ( ก็ต้องเป็นจารึกเป็นอักษรภาษาจีน ) กับ “ อรรถกถาฝ่ายมหายาน “ ของท่านปรมารถะ ซึ่งกล่าวว่าหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ ๑๑๖ ปี

    ท่านมหาเทวะเป็นบุตรพ่อค้าเมืองมถุราเกิดในตระกูลเกาศิวะ เป็นชายหนุ่มรูปงามเป็นที่ต้องตา ต้องใจของสตรีมาก จนเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี บิดาไปค้าขายต่างเมือง มหาเทวะอยู่กับมารดาได้ลักลอบได้เสียกับมารดาของตน เมื่อบิดากลับมาเกรงว่า พ่อจะทราบความ จึงวางแผนร่วมกับมารดาฆ่าบิดาของตนเสียโดยการวางยาพิษในอาหารจนสำเร็จ กลัวความผิดจะปรากฏจึงนำมารดาไปอยู่เมืองปาตลีบุตร ได้พบพระอรหันต์รูปหนึ่ง ที่ตนเคยรู้จัก เมื่อครั้งอยู่เมืองมถุรา เกรงว่าพระอรหันต์รูปนี้จะเปิดเผยความลับของตน จึงฆ่าพระอรหันต์รูปนั้นเสีย หลังจากนั้น มารดาที่เป็นภรรยานั้นไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น เขาโกรธมากจึงฆ่ามารดาของตนอีก หลังจากก่อกรรมทำเข็ญมากมาย เกิดความสลดใจ จึงไปขอบวชอยู่ในวัดกุกกุฎาราม อาศัยเป็นคนที่เรียนเก่งจึงศึกษาพระปริยัติธรรมจนมีความรู้แตกฉาน เป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เมื่อมีคนเคารพนับถือมาก ก็อวดอุตริมนุษสยธรรม(กล่าวอวดอ้างคุณวิเศษของตน)เพื่อต้องการลาภสักการะมากขึ้นไปกว่าเดิม ประกาศให้คนโดยทั่วไปได้รู้ว่า ตนเป็นอรหันต์จนมีผู้เลื่อมใสมาขอบวชเป็นลูกศิษย์มากมาย วันหนึ่ง พระมหาเทวะนอนหลับฝัน อสุจิเคลื่อน เมื่อลูกศิษย์นำสบงไปซักเห็นเข้าจึงถามว่า “ พระอาจารย์เป็นพระอรหันต์หมดกิเลสแล้วทำไมจึงฝันจนอสุจิเคลื่อน “ พระมหาเทวะตอบว่า “ พระอรหันต์ทั้งหลาย บางครั้งอาจถูกมารยั่วยวน จนอสุจิเคลื่อนได้ในเวลาหลับ “ ศิษย์ของท่านบางคนถูกมหาเทวะบอกว่า พระรูปนี้เป็นอริยบุคคล ระดับนั้น ระดับนี้ แล้วพระเหล่านั้น มีความรู้สึกว่าตนเองยังไม่ค่อยรู้อะไร แต่ทำไมอาจารย์บอกว่าเป็นพระอริยบุคคล จึงเข้าไปเรียนถาม พระมหาเทวะตอบว่า “ พระอรหันต์บางที ก็มีความไม่รู้ในบางสิ่งได้ “ “ ถ้าผมเป็นพระอรหันต์จริง ทำไมผมจึงยังมีความสงสัยอยู่ “ ตอบว่า “ พระอรหันต์อาจมีความสงสัยในบางสิ่งได้ “ .” ตามธรรมดา พระอรหันต์ย่อมมีญาณหยั่งรู้ด้วยตัวเองมิใช่หรือ ทำไมผมจึงไม่รู้ต้องให้อาจารย์บอกจึงรู้ว่าตนเป็นพระอรหันต์ “ ศิษย์ถาม “ ผู้ที่จะรู้ว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ต้องอาศัยคนอื่น พยากรณ์ให้เท่านั้น “ พระมหาเทวะตอบ หลังจากประพฤติตนนอกรีตนอกรอยหลายอย่างเข้า พระมหาเทวะก็กลุ้มใจ อยู่ในอิริยาบถไหนก็มีแต่ความร้อนรุ่ม คือหนึ่งกลุ้มใจมาก จนนอนไม่หลับจึงอุทานขึ้นว่า “ อโห ทกฺขํ อโห ทกฺขํ “ แปลว่าทุกข์หนอๆ (กลุ้มจริงโว้ย)

    เหล่าศิษย์ได้ยินเข้าจึงถามว่าพระอรหันต์ทำไมถึงกลุ้มใจ เป็นทุกข์ พระมหาเทวะตอบว่า “ อริยมรรค อริยผล จะปรากฏแก่บุคคลผู้เปล่งวาจาว่า “ อโห ทกฺขํ อโห ทกฺขํ “ คัมภีร์ของพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทคือทีปวงศ์เรียกพระสงฆ์ กลุ่มของมหาเทวะ หรือ “ มหาสังฆิกะ “ ด้วยถ้อยคำแรงๆว่าภิกษุลามกเลยทีเดียว ภิกษุกลุ่มวัชชีบุตร และกลุ่มของมหาเทวะถูกขับออกจากหมู่แล้ว และตั้งนิกายของตนขึ้นใหม่ แยกไปทำสังคายนาคัมภีร์พุทธศาสนาของตน แต่งพระสูตร ตัดทอนพระวินัย แต่งพระสูตรเทียม บัญญัติวินัยขึ้นมาใหม่ หลักตรีกาย และแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ก็แตกหน่อออกไปจากนิกายนี้อีกที เป็นแนวคิดของพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่พุทธศาสนามหายาน ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของพระมหาเทวะ พระสงฆ์สมัยนั้นจึงแยกเป็น ๒ นิกายคือ เถรวาทและสังฆิกะ ที่วัดกุกกุฎาราม เกิดความโต้แย้งด้วยเรื่องทฤษฎี ๕ ประการข้างต้นนั้น พระราชา ( พระเจ้ากาฬโสต ) จึงมาระงับเหตุ ตรัสถามวิธียุติ ข้อโต้แย้ง พระสงฆ์กลุ่มของพระมหาเทวะเสนอว่า ให้ถือเสียงข้างมาก ( แบบประชาธิปไตยสมัยนี้ ) แล้วให้อาราธนาพระภิกษุ สงฆ์มาทั้งสองฝ่าย กลุ่มของพระมหาเทวะมีมากจึงชนะ พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทถือพระวินัยที่บริสุทธิ์ จึงพากันออกจากวัดกุกกุฎาราม

    ในพระคัมภีร์กล่าวว่า พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทออกจากวัดไปตามแม่น้ำคงคาด้วยเรือที่พระราชา จัดถวาย เป็นเรือรั่ว เพื่อต้องการจะทราบว่าท่านใดเป็นพระอรหันต์บ้าง เมื่อเรือล่มพระอรหันต์ทั้ง๕00 รูป เหาะไปพำนักอยู่บนเขาและลำธาร ณ แคว้นกัษมีระ ( แคชเมียร์ ) แม้พระราชาทรงทราบ ทรงไปอาราธนากลับก็ไม่มีรูปไหนยอมกลับ จึงทรงสร้างอารามถวาย ชื่อว่า กโปตาราม ( แปลว่า วัดนกพิราบ ) แต่พระราชาก็ยังมีความเลื่อมใสในพระมหาเทวะจนมรณภาพ เวลาปลงศพของพระมหาเทวะจุดไฟไม่ติด ต้องไปเอาอุจจาระสุนัขมาผสมเป็นเชื้อเพลิงจึงจุดไหม้ลมได้พัดพากระดูกและเถ้าถ่านไปจนหมดสิ้น นิกายดั้งเดิมของพระมหาเทวะประพฤตินอกรีต นิกายนี้เรียกว่า “สงฆ์อรี” ต่อมามีผู้ที่นับถือลัทธิฮินดูตันตระซึ่งฝักใฝ่ในกามจากกามสูตร ซึ่งมีแนวคิดใกล้เคียงกัน ตั้งลัทธินิกายขึ้นมาใหม่ในประเทศอินเดีย จนพัฒนามาเป็นนิกายพุทธตันตระ พระสงฆ์ในนิกายนี้เสพกามได้ และประกอบกามกิจได้ดังเช่นชาวบ้าน และโลดโผนถึงขนาดชาวบ้านและกษัตริย์ต้องส่งธิดาและพระธิดาไปสังเวยพรหมจรรย์แก่พระสงฆ์กลุ่มนี้ ก่อนเข้าสู่พิธีแต่งงาน ทำให้พุทธศาสนาในประเทศอินเดียเสื่อมลงตามลำดับ พระสงฆ์นิกายพุทธตันตระหรือ “ สงฆ์อรี “ นี้ เผยแพร่มาถึงอาณาจักรพุกามหรือประเทศพม่าในสมัยพระเจ้าอนุรุทธะ (อโนรธามังช่อ) ครองราชย์ พ.ศ.๑๕๘๘ – ๑๖๓๔ ทรงเห็นความต่ำช้าลามกของลัทธินี้ จึงไม่ทรงพอพระทัย แม้ชาวบ้านก็รังเกียจลัทธินี้ จึงไม่ทรงพอพระทัย แม้ชาวบ้านก็รังเกียจลัทธินี้ ดังปรากฏในคัมภีร์ศาสนวงศ์ว่า “ สมณกุตตกะ “ (สงฆ์อารี) ให้โอวาทแก่ผู้ที่เข้าหาตนด้วยมิจฉาวาทะ เป็นต้นว่า ผู้ใดทำปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) ให้สวดปริตรบทนี้แล้วจะพ้นบาปนั้น ผู้ใดทำอนันตริยกรรมฆ่ามารดา – บิดาของตน ใคร่จะพ้นจากอนันตริยกรรม สวดปริตรบทนี้ก็จะพ้นได้ ถ้าทำการสมรสต้องมอบตัวให้อาจารย์ก่อน ผู้ใดละเมิดจารีตนี้ จะต้องประสบบาปเป็นอย่างมาก“

    พระเจ้าอนุรุทธะสดับเนื้อความนั้นแล้ว ทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงให้ขับไล่พระสงฆ์กลุ่มนี้ออกไปจากประเทศให้หมด พระองค์ทรงเลื่อมใสพระอรหันต์รูปหนึ่งนามว่า พระธรรมทัสสี ที่อยู่ในนิกายเถรวาทบริสุทธิ์จากเมืองสะเทิม ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในประเทศพม่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ปัจจุบัน ลัทธินิกาย “ สงฆ์อรี “ นี้ยังมีหลงเหลืออยู่และปรับเปลี่ยนวินัยใหม่เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ ได้แก่ ในประเทศทิเบต เกาหลี และญี่ปุ่น โดยพระนิกายนี้ แต่งงานและมีภรรยาได้ ไม่น่าเชื่อว่าพระวินัย ซึ่งเป็นสิกขาบท ข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้จะเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้.

    ที่มา : จากหนังสือ 'ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย' โดยพระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ พระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ ๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...