พระมาเร่งการปฏิบัติของหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ศึกษาตามคำสอนของพระ

    [​IMG]<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ เป็นวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ก็มาคุยกันถึงเรื่องว่า ตอนที่พระทั้ง ๒ องค์ ท่านมาเตือน ท่านบอกว่า ท่านเป็น อัครสาวกซ้ายขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๒ องค์ มีแสงสว่างออกจากกาย แต่ว่าท่านตำหนิว่า คณะที่ไปปฏิบัติทั้ง ๓ องค์ หนักไปทางด้านสมถภาวนามากเกินไป สำหรับวิปัสสนาภาวนานั้นอ่อนไป และท่านกล่าวบอกว่า ครูบาอาจารย์สอนถูก แต่ทว่าลูกศิษย์ปฏิบัติผิด ไม่ครบถ้วนตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นท่านก็หายไป
    ต่อมาก็มานั่งหารือกันถึงคำสอนของหลวงพ่อปาน ก็ปรึกษากันบอกว่า อันแรกที่เราเจริญกรรมฐาน โดยเฉพาะวันแรกจริง ๆ หลวงพ่อปานสอนตามนี้ ท่านสอนบอกว่าทุกองค์ให้รู้จัก นิวรณ์ ๕ ประการ ก่อน ให้ศึกษานิวรณ์ ๕ ประการว่ามีอะไรบ้าง คือ
    . ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ<o:p></o:p>
    . อารมณ์ไม่พอใจ<o:p></o:p>
    . ความง่วง<o:p></o:p>
    . อารมณ์ฟุ้งซ่านเกินไป<o:p></o:p>
    . สงสัยในผลของการปฏิบัติ<o:p></o:p>
    ให้ทุกองค์พยายามระงับนิวรณ์ ๕ ประการ ในระหว่างที่เจริญภาวนา แต่ว่าก่อนที่จะภาวนาอะไรทั้งหมด คำภาวนาในตอนต้นจริง ๆ ท่านให้ใช้คำว่า พุทโธ คือ ว่า เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ แต่ท่านก็ย้ำอีกทีว่า คำภาวนาทิ้งไว้ก่อน อันดับแรก จับลมหายใจเข้าออกก่อน หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ <o:p></o:p>
    และหลังจากนั้นก่อนภาวนาก็พิจารณาตามนี้ ให้พิจารณาใน ไตรลักษณญาณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำว่า อนิจจัง หมายความว่า ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา เป็นการสลายตัวในที่สุด คำว่า อนิจจัง ให้ดูร่างกายของเรา ร่างกายของคนอื่น ร่างกายของสัตว์ วัตถุธาตุต่าง ๆ เมื่อเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ มันมีสภาพใหม่ คนมีสภาพเป็นเด็ก หลังจากเด็กเล็ก ก็เป็นเด็กใหญ่ หลังจากเป็นเด็กใหญ่ ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ก็เป็นวัยกลางคน พ้นวัยกลางคนแล้ว ก็เป็นคนแก่ นี่มันเป็นอนิจจัง
    ถ้าเรามองดูร่างกายของเราไม่เห็น ก็ดูร่างกายคนอื่น สำหรับร่างกายคนอื่น ตั้งแต่สมัยหนุ่มสมัยสาว เขายังมีความสวยสดงดงาม พอเริ่มแต่งงานแล้ว ไม่ช้าไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏชัด ในที่สุดวัยกลางคนก็เข้ามาถึง และความแก่ก็เข้ามาถึง ให้ดูสัตว์ ดูบุคคล ดูวัตถุ แล้วเปรียบเทียบกับตัวเองว่า เขากับเรามีสภาพเช่นใด เขามีสภาพเช่นใด เราก็มีสภาพเช่นนั้น เมื่อความเปลี่ยนแปลงมีอย่างนี้ จงอย่ายึดถือว่า ร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเราร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราต้องห้ามมันได้
    ถ้ามันจะแก่ เราก็ห้ามไม่ให้มันแก่ มันจะป่วย เราก็ห้ามไม่ให้มันป่วย มันก็ต้องไม่แก่ มันก็ต้องไม่ป่วย แต่อาศัยที่ร่างกายมันมีอิสระของมัน ในเมื่อเราจะห้ามมันขนาดไหนก็ตาม จะบำรุงเรอขนาดไหนก็ตาม มันต้องแก่ มันต้องป่วย มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ในเมื่อสภาพของร่างกาย มีสภาพเป็นตนของตนเองอย่างนี้ เราคิดว่ามันจะมีการทรงตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อารมณ์เป็นทุกข์ก็เกิด นี่จัดว่าเป็นส่วนช้า
    สำหรับความทุกข์นั้น มันมีตั้งแต่วันเกิด เมื่อเกิดจากครรภ์มารดา เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา มันมีแต่ความอบอุ่น เมื่อออกจากครรภ์มารดาแล้ว มากระทบอากาศ มันเกิดความหนาวเย็น แสบร่างกายจึงร้องจ้า หลังจากนั้นมาเราก็ต้องอาศัยอาหาร ความหิวมีกับเราทุกวัน ความหิวเป็นทุกข์ ในเมื่อความหิวเกิดขึ้น เราก็ต้องหาอาหาร ประกอบกิจการงานทุกอย่าง เพื่อให้ทรงชีวิตอยู่ การประกอบกิจการงานทุกอย่างเป็นอาการของความทุกข์ และในที่สุด ในเมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิด
    ท่านสอนถึง อนิจจัง ทุกขัง แต่ในที่สุด อนัตตา ก็ปรากฏ เราทุกคนต้องตาย เมื่อนึกถึงความตายของเราไม่เห็น เราก็นึกถึงความตายของคนอื่น ที่เขาพูดได้ เขาเดินได้ บางคนก็สั่งสอนเราได้ เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ในที่สุดก็ตาย เมื่อตายแล้ว ความหมายมีอะไรบ้าง ร่างกายคนทั้งหลายเมื่อสมัยที่มีชีวิตอยู่ เขามีความรัก เขามีความเคารพ เขามีความสงสาร เขามีความเกื้อกูล แต่พอตายแล้ว ทุกคนไม่อยากจะแตะต้องร่างกาย รักแสนรักขนาดไหนก็ไม่อยากจะแตะต้องร่างกาย เขาแสดงความรังเกียจในร่างกาย
    เป็นอันว่า หลวงพ่อปานท่านแนะนำบอกว่า ให้พิจารณาไปอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าทุกคนพิจารณาไปโดยไม่ต้องภาวนาเลย จนกระทั่งหมดเวลา แล้วก็พักผ่อนจะดีมา แต่ถ้าพิจารณาไปไม่ไหว จิตมันฟุ้งซ่าน ก็เริ่มภาวนา จับลมหายใจเข้าออก แล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ แต่ว่าก่อนจะเดินไปไหน ก่อนจะตื่นใหม่ ๆ ให้นึกถึง พุทโธ เสียก่อน คือ พระพุทธเจ้า ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ถนัดไม่ชัด ไม่ทราบว่ารูปร่างท่านเป็นอย่างไร ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้เป็นประจำ การนึกถึงภาพพระอยู่นอกกาย อย่างนี้ถือว่าเป็น รูปฌาน เห็นภาพพระอยู่ภายในอก หรือในสมองเป็นอรูปฌาน ท่านบอกว่า จะแบบไหนก็ใช้ได้ทั้งหมด ให้จับภาพพระเป็นปกติ เมื่อปรึกษาหารือกันอย่านี้แล้วจึงได้พากันพูดขึ้นว่า พวกเราผิด ที่เราทำนี่เราเดินสมถะ ใช้สมถะกันหนักเกินไป มุ่งฌานสมาบัติ แต่ความจริงฌานสมาบัติเป็นของดี
    แต่ว่า ฌานสมาบัติไม่เป็นกำลังตัดกิเลสไม่ใช่อาวุธ เป็นแค่เพียงกำลังกาย หมายความว่า กำลังดี แต่อาวุธของเราไม่ดี ต่อจากนี้ไปเราจะใช้ทั้งสมถะ และวิปัสสนาสมถะ เราจะทิ้งไม่ได้ นั่นคือ อานาปนสติกับคำภาวนา พุทโธ และเมื่อจิตสบายเราจะใช้วิปัสสนาญาณ แต่ว่าวิปัสสนาญาณที่พระท่านสอน ท่าบอกว่า ให้ถือ บังสุกุลตาย และบังสุกุลเป็น ถ้าอารมณ์เบา ๆ ให้ถือบังสุกุลตาย คือ อนิจจ วต สงขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง อุปปาทวยธมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปปชชติวา นิรชฌติ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เตสํ วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั่น ชื่อว่า ความสุข นั่นหมายถึง นิพพาน <o:p></o:p>
    อีกอันหนึ่งท่านใช้ บังสุกุลเป็น ว่า อจิรํ วต ยํ กาโย ปฐวิ อธิเสสสติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโณ นิรตถํ ว กลิงครํ ๔ ร่างกายภายในไม่ช้า วิญญาณก็ไปปราศแล้ว คือ หมด จิตดับ วิญญาณไม่เหลือ ในเมื่อวิญญาณไม่เหลือแล้ว ร่างกายนี้ก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของคน คนทุกคนเขารังเกียจร่างกาย ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์มันดีกว่า ร่างกายของเรา
    ก็ตกลงกันบอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้ไม่ประมาท เราจะทำให้ครบถ้วน ตามที่หลวงพ่อปานสอน และทำให้ครบถ้วนตามที่พระทั้ง ๒ องค์ท่านสอน ในฐานะที่ท่านบอกว่า ท่านเป็นอัครสาวก ก็หมายถึงว่า พระโมคคัลลาน์ กับพระสารีบุตร จะใช่ท่านหรือไม่ท่านก็ตาม แต่ว่าท่านสอนถูก สอนตรงตามความเป็นจริงเราต้องการเอาตามนั้น
    ก็เป็นอันว่า นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ใช้กำลังสมถะ และวิปัสสนากันเรื่อยไป จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ก็ใช้บังสุกุลทั้งสองควบคู่ไปกับอารมณ์ของใจ ถ้าอารมณ์เผือไปนิด กำลังจะส่ายก็ใช้ อานาปานสติ กับคำภาวนาว่า พุทโธ ควบคุมใจก่อน เมื่อใจสบายแล้ว ก็ใช้บังสุกุลทั้งสองเข้าควบคุมใจ สิ่งที่พอใจมากนั่นก็คือว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย ร่างกายนี้ ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว คือตาย เมื่อตายแล้ว ร่างกายใช้อะไรไม่ได้ ก็นึกถึงร่างกายของคนที่ตาย สภาพความจริงเป็นไปตามพระที่ท่านพูด ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ดีกว่าร่างกายของเรา ท่อนไม้ถึงแม้ว่าไร้ประโยชน์ คนเขายังหยิบ เขายังเก็บ ดีไม่ดี ถ้าขวาทาง เขาก็หยิบโยนทิ้ง หรือเก็บไปกองไว้
    แต่ร่างกายของเรา ในเมื่อมันเน่า อย่าว่าแต่หยิบเลย เข้าใกล้ เขายังไม่อยากเข้าใกล้ ก็ทำอย่างนี้กันตลอด บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ก็อย่าพึงหลงว่า ๓ องค์เป็นผู้วิเศษเสียแล้ว คือว่ายังมีความเลวอยู่มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกำลังสมถะก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี ทั้งหมดที่ว่านี้ มันต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลา
    แต่ว่าการอยู่ในป่า เป็นความดีอย่างหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ว่าเป็นความดีก็เพราะว่า มีความกลัว เรื่อกลัวผีเป็นของธรรมดา อย่านึกว่าไม่กลัว ความกลัว ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าไม่ใช่ม้าอาชาไนยของพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ยังกลัวตายเหมือนกันทุกคน ฉะนั้นทั้ง ๓ องค์เวลานั้นก็ยังมีความกลัว คนที่ยังมีความกลัว ยังไม่ใช่คนดีถึงขั้นที่จะไปนิพพานกันได้ แต่ว่าอาศัยความกลัวเป็นเครื่องควบคุม ก็เป็นความดี
    ที่กลัวอันดับแรกก็คือว่า กลัวว่าตอนเช้าจะไม่มีข้าวจะกิน ตอนนี้จะต้องคุมอารมณ์ไว้ว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ อย่าเข้ามากวนใจฉัน ฉันไม่คบเธอ ทั้ง ๆ ที่ควบคุมอยู่อย่างนี้ก็อย่าลืมว่า นิวรณ์มันต้องเข้ามาสิงใจกันแน่ เผลอเมื่อไร มันเข้ามาเมื่อนั้น ทั้ง ๕ ตัว ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง มันเข้ามาแทรกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่มีความฟุ้งซ่าน มันก็เข้ามาแทรกใจอยู่เสมอ ๆ ต้องห้ามกัน ในเมื่อความฟุ้งซ่านเข้ามาเราเผลอ เราไม่รู้ตัว ก็ว่าเรื่อยไปตามเรื่องของมัน คิดโน่น คิดนี่ คิดนั่น พอรู้ตัวปั๊บว่า นิวรณ์มันเข้ามาแล้ว ก็เริ่มจับอานาปาสติ
    อันดับแรก รู้ลมหายใจเข้าออกก่อน ยังไม่ภาวนา เมื่อจับลมหายใจเข้าออกได้ตามความพอใจคือ รู้ลมเข้ารู้ลมออก รู้ลมเข้ายาวหรือสั้น รู้ลมออกยาวหรือสั้นก็ทราบ อย่างนี้ก็เริ่มภาวนาควบคู่กันไป หลังจากนั้นก็จับอารมณ์วิปัสสนาญาณสลับกันไป ถึงความดีบ้าง ความชั่วบ้างแบบนี้ ฉะนั้นท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว จงอย่าคิดว่า ดี ยัง ยังเลวมาก ดูวัน และเวลาจะถึงเวลากลับ เหลือเวลาอีกประมาณ ๑๕ วัน ถึงเวลา ก็เดินจงกรมบ้าง นั่งตามโคนต้นไม้บ้าง นั่งตามเงื้อมเขาที่มีแดดร่มบ้าง แยกกันไปบ้าง เมื่อถึงเวลาก็มานั่งคุยกันถึงเรื่องสมถวิปัสสนาบ้าง คุยถึงอารมณ์ที่ผ่านมาบ้าง ใครผิด ใครถูก ใครผิดใครถูก ใครมีอารมณ์เป็นอย่างไร ปรึกษากันแบบนั้น
    ต่อมาไม่นานนัก ไม่กี่วัน คิดว่า เรามีกำลัง เกือบจะเหนือนิวรณ์แล้ว คำว่า เกือบจะเหนือ ก็หมายความว่า นิวรณ์กวนใจน้อยเข้า ก็มีเหตุเข้ามาขัดข้องอีกนั่นคือ พอบิณฑบาตเวลาเช้าเสร็จ เริ่มลงมือฉันข้าว แต่ก่อนจะลงมือฉันข้าว ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเห็นว่าพนมมือ การพนมมือ นั่นนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า นึกถึงพระอริยะทั้งหมด มีพระอรหันต์ เป็นต้น นึกถึงเทวดา นึกถึงนางฟ้า นึกถึงพรหม ที่ท่านมีคุณ และก็นึกในใจนึกถวายทานบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ที่เรียกว่า ถวายข้าวพระทำอย่างนี้เป็นปกติ ให้จิตเป็นสุข เริ่มทำสมาธิก่อนฉัน และก็ลงมือฉันข้าว
    แต่ว่าพอไหว้พระเสร็จ หรือว่าถวายข้าวพระเสร็จ หรือว่าบูชาพระรัตนตรัยเสร็จก็ตาม จะเรียกอย่างไรก็ได้ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาใหม่นั่น คือ ปี่พาทย์วงใหญ่ มีนักบรรเลงเป็นคนหนุ่มทั้งหมด มาตั้งวงใกล้ ๆ ที่ฉันข้าว บรรเลงไพเราะ บรรเลงเพลงไทย เท่าที่เคยฟัง เพลงนั่นไพเราะจับใจมาก เมื่อฟังเสียงเพลง บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย มันเป็นของใหม่ แต่ความจริงเพลงนี่อยู่ที่วัดน่ะเคยฟัง แต่ว่าการอยู่ในป่า เราทิ้งเสียงเพลงมาแล้ว ในเมื่อเกิดฟังเพลงขึ้น อารมณ์ก็คล้อยไปตามเพลงนี่ก็เป็นนิวรณ์ตัวที่ ๑ รูปสวย เสียงเพราะ ก็เป็นอันว่า เครื่องปี่พาทย์ทั้งวงเขาสวย มีทองประดับแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เห็นรูป รูปสวย ติดรูปเข้าไปแล้ว การบรรเลงไพเราะเพราะพริ้ง ติดในเสียงเพราะ
    ก็รวมความว่านิวรณ์ทั้ง ๒ ตัวเข้าสิงใจทันที ขณะที่นั่งฉันข้าวอยู่ และก็ฟังเพลิน ก็ได้ยินเสียงก้องมาทางอากาศบอกนั่นจงอย่าเผลอ การคิดว่าเครื่องปี่พาทย์สวย คนบรรเลง ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชาย ก็เป็นคนหนุ่ม รูปร่างหน้าตาเรียบร้อย ผิวพรรณดี แต่งตัวงาม อย่างนั้นเป็นการติดในรูป ติดทั้งเสียง ติดทั้งรูป นี่เป็นนิวรณ์ นิวรณ์ แปลว่า ธรรมชาติกั้นความดี หรือว่าเป็นกิเลสหยาบที่ทำให้ปัญญาถอยหลัง ถ้าเราติดรูป ติดเสียง เวลานี้เราเป็นคนไร้ปัญญา เสียงก้องมาในอากาศ เสียงนั้นจำได้ว่า เป็นเสียงของพระ ๒ พระองค์ที่มาบอก
    ท่านบอกว่า เวลานี้ฉันข้าวเข้าไป หูฟังเสียงเพลง อย่าทิ้งเสียงเพลง แต่จิตใจจับภาพคน จับภาพเครื่องประดับ เครื่องปี่พาทย์ จงคิดตัดอารมณ์เป็นวิปัสสนาญาณว่า ปี่พาทย์นี่ต้องเคาะมันจึงดัง ถ้าเขาเลิกเคาะเมื่อไร มันก็สิ้นเสียงดังเมื่อนั้น มันก็เหมือนกับชีวิตของเรา ถ้ายังมีลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ มันก็ยังมีชีวิต ถ้าลมหายใจเข้า เข้าแล้วไม่ออก หรือออกแล้วไม่เข้า มันก็ตาย จงจับเสียงปี่พาทย์ เป็นวิปัสสนาญาณ เป็น มรณนุสสติกรรมฐาน เสียง เขาเคาะเป๊งลงไป มันก็มีเสียง ถ้าเขาไม่เคยใหม่ เสียงก็ไม่มี ถ้าเราหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก ร่างกายก็หมดไป
    สำหรับรูปทั้งหมดเวลานี้ เครื่องปี่พาทย์ทั้งหมดใหม่ ใหม่เอี่ยมสวยสดงดงาม แต่ว่าถ้าตั้งอยู่นาน ๆ ไม่ช้ามันก็เริ่มเก่า นั่นเป็นอนิจจัง เป็นความเสื่อม คนที่บรรเลงก็เหมือนกัน เวลานี้เขาหนุ่มไม่ช้าเขาก็แก่ แต่ว่าคนที่บรรเลงทั้งหมดนี่ไม่ใช่คน เป็นเทวดา อีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง อนัตตามันก็จะปรากฏ นั่นคือเมื่อเราฉันอิ่ม เขาก็จะเลิกบรรเลง ถ้าเลิกบรรเลงเสียงไม่มี ก็เหมือนกับชีวิตของเรามันต้องตายในที่สุด เป็นอนัตตา ประเดี๋ยวภาพทั้งสองอย่าง ทั้งคน และเครื่องบรรเลงก็จะหายไป ก็มีสภาพเป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน
    จับภาพนี้เป็นวิปัสสนาญาณ ก็นึกตามท่าน เขาบรรเลงเพลงไพเราะ ก็คิดว่าเพลงไพเราะอย่างนี้ คนที่ฟังเพลงอย่างนี้ ฟังมาเยอะแยะแล้ว ตายไปไม่รู้เท่าไร เราก็ต้องตายเช่นเดียวกัน และคนที่บรรเลงหนุ่ม ๆ อย่างนี้ไม่ช้าก็เป็นคนแก่ สมัยที่เราก่อนบวชเราก็เคยฝึกปี่พาทย์ ครูของเราสมัยก่อนท่านเป็นคนหนุ่ม แต่ว่าเวลาที่ฝึกให้ ท่านเป็นคนแก่ และบรรดาพวกรุ่นพี่ทั้งหลาย ฝึกปี่พาทย์มาตั้งแต่เด็ก ๆ ตั้งแต่สมัยเด็ก ขณะที่เข้าไปศึกษา รุ่นพี่สอนให้ รุ่นพี่ก็เริ่มแก่แล้ว เราก็มีสภาพเช่นนั้นเหมือนกัน
    รวมความว่า พยายามทำอย่างนั้น ให้จิตไม่ติดในเสียง ฟังเสียงให้เป็นวิปัสสนาญาณ ดูรูปเป็นวิปัสสนาญาณ ก็พอดีอิ่มข้าว เมื่ออิ่มข้าวเสียงก็หายไป ภาพคนก็หายไป ก็คิดว่า เวลานี้เขาทั้งหลายเป็นอนัตตาไปแล้ว ไม่ช้าเราก็เป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน แล้วก็นึกในใจว่า บรรดาเทวดาทั้งหลายทั้งหมดที่มาบรรเลง ในสมัยก่อนท่านก็เป็นมนุษย์เวลานี้สภาพความเป็นมนุษย์ของท่านหมดแล้ว ท่านตายจากความเป็นคน มีความดีจึงเป็นเทวดา เพราะอาศัย หิริ และโอตตัปปะ หิริ ความละอายกับใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว กลัวผลของความชั่ว อายความชั่ว เราก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราควรจะเป็นคนมีหิริและโอตตัปปะ หิริ กลัวว่าเราจะไม่ได้ภาวนา กลัวว่าเราจะไม่ได้รู้ลมหายใจเข้าออก กลัวว่าเราจะทิ้งอารมณ์วิปัสสนาญาณ จะหลงในรูป หลงในเสียง ก็พยายามตั้งใจฟัง ตั้งใจทำ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจทำ มันก็เผลอ ไป ๆ มา ๆ มันก็เผลอ นึกโน่น นึกนี่มาอีก นอกลู่นอกทาง
    นี่บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง เมื่อฟังตรงนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งชมว่า คนพูดนี่กับเพื่อนทั้ง ๒ คนดีเหลือเกิน อย่าเพิ่ง ยังมีความเลวอยู่มาก ต่อมาก็เตรียมตัวแบบนั้น ทั้ง ๒-๓ วัน คิดอย่างนั้น มาอีก ๒-๓ วันมาใหม่แล้ว ปี่พาทย์ คราวนี้เป็นวงมโหรี มีทั้งระนาด มีทั้งซอ มีทั้งพิณ มีทั้งจะเข้ อะไรต่ออะไรมีครบ เสียงไพเราะเพราะพริ้ง ไม่บรรเลงอย่างเดียว ร้องส่งด้วย แต่คณะบรรเลง คณะร้องส่งทั้งหมดไม่มีผู้ชายเลย มีผู้หญิงล้วน แต่งตัวกันแบบชาวบ้านธรรมดา แต่งหน้าตาสวยเพริดพริ้ง ส่วนสัดดีทุกอย่าง เครื่องแต่งกายก็ดี เครื่องประดับก็แพรวพราวเป็นระยับ หลังจากบูชาข้าวพระพุทธก่อนฉันเสร็จ ภาพก็ปรากฏทันมี เริ่มบรรเลง เลยมองหน้ากันทั้ง ๓ องค์ ทั้ง ๓ องค์ก็บอกว่า เราเริ่มชนะผู้ชาย
    แต่ทว่าเวลานี้ผู้หญิงมาแล้ว แต่ความจริง ผู้หญิงนี่ก็เคยเป็นคนมาก่อน เคยเกิดเป็นเด็กเล็ก เคยเกิดเป็นเด็กใหญ่ เคยเป็นสาว ตอนเป็นสาวนี่ เธอมีประจำเดือน ประจำเดือนนี่มันก็น่าเกลียด ร่างกายของเธอทุกคนข้างใน มีตับไตไส้ปอด อุจจาระปัสสาวะน่าเกลียด แล้วต่อมาก็เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ แล้วก็เป็นคนตาย ในสมัยที่เป็นคนแก่ คนก็เริ่มรังเกียจร่างกาย พอเป็นคนตาย ไม่มีใครปรารถนาร่างกายของเธอ แม้แต่เข้าใกล้ เวลานี้เธอเป็นนางฟ้า นางฟ้าไม่ใช่สมบัติของเรา เราเป็นมนุษย์ และเสียงบรรเลงของเธอก็มีสภาพเดิม เมื่อในขณะเสียดสีไป เสียงก็ปรากฏ แต่ว่าถ้าเธอเลิกเสียดสีเมื่อไร เสียงก็หายไปเมื่อนั้น เป็นอนัตตา
    ก็เป็นอันว่า เราก็ไม่ยอมรับเสียงเป็นสรณะ ไม่ยอมรับเสียงเป็นที่พึ่ง เราก็กินข้าวของเราตามปกติ คิดว่า เธอทั้งหลายเวลานี้มาพิสูจน์ นั่นหมายความว่า มาสอบอารมณ์ของนิวรณ์ ๕ ประการว่า เราจะเห็นเธอสวยไหม ความรู้สึกเวลานั้นก็คิดว่า ผิวพรรณของเธอดี รูปร่างดี เครื่องประดับสวย แต่ประเดี๋ยวเดียวก็สลายตัวไป ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเรา ถ้าเราติดเธอ เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเราไม่ติดเธอ เราก็ไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใจเราก็เริ่มเป็นสุข เมื่อจิตเริ่มเป็นสุข เห็นภาพเธอแล้วก็นึกถึงพระพุทธเจ้าตามที่เคยเห็น ภาพพระพุทธเจ้าปรากฏชัดทรงแย้มพระโอษฐ์ และตรัสว่า ความรู้สึกอย่างนี้ถูกต้องดีแล้ว
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เสียงสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...