พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2548

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 5 ธันวาคม 2005.

  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,673
    พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2548

    <HR style="COLOR: #6bc7c7" SIZE=1>
    <!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="26%" bgColor=#f7f7f7>
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD>
    <CENTER></CENTER>
    Administrator

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD><TD vAlign=top width="74%" bgColor=#f7f7f7><TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD height=20>[​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสต่อคณะผู้เข้าเฝ้าถวายพระพร อยากให้วิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้ เพราะถ้าวิจารณ์ไม่ได้เท่ากับกับว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ใช่คน ทรงเตือนทุกคนในรัฐบาล จะคิด พูด ทำต้องระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นเมืองไทยตาย ทรงเน้นย้ำเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินมาก ให้ทุกฝ่ายยึดเป็นแนวทาง ให้บ้านเมืองไปได้

    เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 4 ธ.ค. 2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จลง ณ ศาลาดุสิตดาลัย พระตำหนักจิตลดารโหฐาน โปรดฯ ให้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ นิสิตนักศึกษา พ่อค้าประชาชน และผู้แทนมูลนิธิต่างๆ เข้าเฝ้า ถวายพระพร เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 78 พรรษา

    พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลฯ ถวายพระพรชัยมงคลในนามของคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ความว่า

    "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยประชาชนทุกศาสนา ทุกสาขาอาชีพ รู้สึกปีติยินดีเป็นล้นพ้น ที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง ความปีติยินดีนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระราชวโรกาสให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล และรับพระราชทานพระราชดำรัส อันจะเป็นศุภศิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลชัยคุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อมสืบไปชั่วกาลนาน

    นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา บรรดาพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาทั้งหลายที่นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เริ่มเฉลิมข้อความไว้ในพระราชปรารภว่าเป็นปีที่ 60 ในรัชกาลปัจจุบัน ความข้อนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทางราชการจึงได้ประกาศให้ พ.ศ.2548 เป็นปีเริ่มต้นแห่งการเฉลิมฉลองวาระที่ทรงดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติเป็นปีที่ 60 ซึ่งจะมีต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2549 โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่การประกอบพิธีต่างๆ ในเดือน มิถุนายน.ศกหน้า อันจะบรรจบครบ 60 ปี แห่งรัชกาลโดยบริบูรณ์

    บรรดาชาวไทยถือเอาวโรกาสนี้เป็นศุภมงคลดิถีอันเกรียงไกร ซึ่งจะเกริกก้องอัศจรรย์บรรลือไกลไปในนานาประเทศ ด้วยเหตุอันแซ่ซ้องสดุดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งราชอาณาจักรไทย ทรงดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติ ยาวนานยิ่งกว่าพระราชาธิบดีพระองค์ใดในประเทศทั้งปวง ณ สมัยปัจจุบัน โดยได้ทรงประกอบการรัชดาภิเษกสมโภชครบ 25 ปี และกาญจนาภิเษกสมโภชครบ 50 ปี แห่งการเสด็จผ่านพิภพแล้ว พสกนิกรชาวไทยที่มีโอกาสได้พบเห็นการสมโภชวโรกาสดังกล่าวจนถึงบัดดนี้ จะเป็นคำรบที่สามนั้นต้องถือว่าเป็นบุญตัวและสิริมงคลแก่ตนยิ่งนัก

    ทั้งนี้รัฐบาลได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคับทูลไปยังสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชนีทั้งหลายในสากลประเทศด้วยแล้ว เพื่อเชิญเสด็จพระราชดำเนินมาทรงร่วมงานมหาสโมสรสันนิบาตในปี 2549 นี้ ความยืนยงแห่งรัชกาล มิใช่เป็นความยาวนานแห่งกาลเวลาแต่ประการเดียว หากแต่ยังเกี่ยวด้วยสายสัมพันธ์อันร้อยรับไว้ด้วยความจงรักภักดีในหัวใจของชาวไทยทุกรูปทุกนาม และสนองตอบด้วยความเมตตาอาทร ความเสียสละที่ทรงมีต่อพสกนิกรถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นชาวป่า ชาวเขาที่ยากแค้นรำเค็ญ ชาวบ้านที่ขาดแหล่งน้ำ ขาดที่ดินทำกิน ชาวกรุงที่ประสบปัญหาจราจร ตำรวจ ทหารที่ลาดตระเวนอยู่ตามชายแดน หรืออยู่ในบังเกอร์หลบภัย นักศึกษาใดที่เรียนดี ควรได้ไปศึกษาวิทยาการชั้นสูงในต่างประเทศก็ได้ทรงตั้งทุนอานันทมหิดล พระราชทานมาแล้วหลายรุ่น เมื่อปรากฏว่าเยาวชนไทยขาดความรู้ในเชิงลึก

    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เชิญผู้รู้มาเรียบเรียงสารานุกรมไทยฉบับเยาวชนเผยแพร่ และโปรดให้จัดระบบการสอนทางไกลผ่านดาวเทียมพระราชทานไปทั่วทุกถิ่น ทรงอนุเคราะห์ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ตั้งแต่ภัยแล้งในภาคกลาง น้ำท่วมในภาคอีสาน จนถึงวาตภัยที่แหลมตลุมพุก และธรณีพิบัติภัยที่ภาคใต้ ได้พระราชทานแนวทางการสร้างฝายแม้ว การทำฝนหลวง การจัดระบบชลประทานตั้งแต่แก้มลิงจนถึงอ่างเก็บน้ำและเขื่อนตามความจำเป็นในแต่ละภูมิประเทศตลอดจนการแปลงบ่อพุให้เป็นบึงและนาข้าว ที่บัดนี้ออกรวงเหลืองอร่าม ทรงห่วงใยเยาวชนของชาติ

    นับตั้งแต่เรื่องการใช้ภาษาไทย การออกกำลังกาย ปัญหาอบายมุข มลพิษทางเสียง บุหรี่ จนถึงยาเสพติด ทรงอนุเคราะห์ผู้ป่วยวัณโรค โรคเรื้อน โรคเอดส์ นอกจากนั้นพระมหากรุณายังแผ่กว้างไกลไปจนถึงสัตว์เลี้ยงที่เจ็บป่วย พิการควรได้รับการบำบัดรักษา กระทั่งช้างป่าที่พลัดถิ่นหลงฝูงด้วย ยามใดที่ประเทศชาติมีปัญหาได้พระราชทานทรัพย์และปัญญาแก่ผู้เกี่ยวข้องอยู่เสมอ เมื่อประมาณ 50 ปีที่ล่วงมาได้เคยพระราชทานแนวพระราชดำริให้รัฐจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูง ทางด้านพัฒนบริหารศาสตร์ขึ้นตั้งแต่สมัยที่คนไทยยังไม่รู้จักศาสตร์สาขานี้จนกระทั่งตั้งขึ้นสำเร็จในบัดนี้ คือสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 40 ปีก่อนได้ทรงริเริ่มการจัดรายการบรรเลงดนตรีการกุศลทางสถานีวิทยุกระจายเสียงเป็นครั้งแรก โดยทรงดนตรีร่วมกับข้าราชบริพาร เพื่อรับบริจาคช่วยผู้ประสบภัยภาคใต้จนสามารถตั้งเป็นมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ 30 ปีที่แล้วได้ทรงริเริ่มการปฏิรูปที่ดินด้วยการพระราชทานที่ดินอันเป็นพระราชทรัพย์ในพื้นที่ภาคกลางให้นำมาปฏิรูปช่วยชาวนา

    เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ได้พระราชทานแนวพระราชดำริให้ขยายถนนเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า และสร้างทางคู่ขนานลอยฟ้า รวมทั้งสร้างสะพานแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ จนสามารถแก้ปัญหาการจราจรได้อย่างดี เร็วๆนี้ยังทรงแนะนำให้รัฐจัดสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้น 3 แห่งใน จ.เพชรบุรี รับสั่งว่าถ้าสร้างได้น้ำจะไม่ท่วมเพชรบุรี ซึ่งเป็นความจริงนับแต่บัดนี้ อีกทั้งโปรดให้ขยายขอบอ่างเก็บน้ำยางชุม จ.ประจวบคีรีขันธ์ให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำเมื่อประเทศมีปัญหาเรื่องพลังงานได้พระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องพลังงานทดแทน โดยทรงทดลองและทรงนำมาตรการประหยัดพลังงานมาใช้ด้วยพระองค์เอง ในด้านการพัฒนาวิถีชีวิต ได้พระทานหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น คราวพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ทรงขอให้คนไทยมีคุณธรรม 4 ประการ โดยทรงเน้นการอดทน อดกลั้น และอดออม เมื่อสังคมเริ่มแปลกแยกแตกต่างกัน ได้ทรงเตือนให้ฟังการติติงและพึงโต้เถียงกันแต่เรื่องที่เป็นสาระตลอดจนรู้รักสามัคคียามที่สังคมเริ่มขาดความเอื้ออาทร

    ได้รับสั่งเมื่อคราวเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบว่า ขอให้คนไทยมีไมตรีจิตต่อกัน และเมื่อสังคมท้อแท้ เพราะถดถอยทางเศรษฐกิจได้พระราชทานหลักชัยแห่งชีวิตว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นทางสายกลางนำมาใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ยังไม่นับงานศิลปะที่พระราชทานอีกอเนกอนันต์ เพื่อยังความสดชื่นรื่นรมย์แก่ชาวไทย เช่นเพลงปลุกใจ และบทเพลงอันไพเราะ ที่บัดนี้วงดนตรีในนานาประเทศต่างนำไปขับขานบรรเลง อีกทั้งบทพระราชนิพนธ์อันงดงามด้วยคติธรรม และรสแห่งภาษาที่ชาวไทยทุกคนควรอ่าน กระทั่งถึงภาพวาด ภาพถ่าย และงานปั้นฝีพระหัตถ์นับไม่ถ้วน ทรงรักษาศีล บำเพ็ญภาวนาและปฏิบัติสมาธิ แผ่พระราชกุศล ไปยังพสกนิกรถ้วนหน้า

    ข้าพระพุทธเจ้า มั่นใจว่ามาถึงวันนี้ไม่มีชาวไทยคนไทย ไม่ว่าเชื้อชาติใด ศาสนาใด และไม่ว่าจะพำนักอยู่ ณ ถิ่นใด บนพื้นแผ่นดินนี้ ที่ยังไม่เคยได้รับละอองธุลีแห่งพระมหากรุณาธิคุณอันแผ่พระราชทานไปถึง ซึ่งอาจมากบ้าง น้อยบ้าง ตามอัตภาพ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ทุกครั้งที่พระเถระออกพระนามถวายพระพร จะต่อท้ายด้วยคำว่า "ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ" ซึ่งไพเราะกินใจนัก เพราะมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นก็ดี พระเมตตาอันไพศาลก็ดี และพระปัญญาคุณอันกว้างไกลก็ดี ล้วนแต่บริสุทธิ์ ประเสริฐ ทั้งพระกาย พระวาจา และพระราชหฤทัย ด้วยไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ดังที่ทรงสอนให้ปิดทองหลังพระ และให้ความสำคัญกับการทำตามหน้าที่ด้วยความถูกต้อง เป็นธรรม ยิ่งกว่าการอ้างอำนาจ ได้ตรัสอยู่เสมอดุจที่สมเด็จพระบรมราชชนนีเคยตรัสว่า "ถ้าทำดีคิดดี พูดดี แล้วจะดีเอง" นอกจากนั้นไม่ทรงท้อถอยคอยหวังแต่ผลสำเร็จจากการงานใด ดังที่ทรงสอนให้ชาวไทยมีความฝันอันสูงสุดและมีความเพียรอันบริสุทธิ์ จึงควรที่พสกนิกรทุกคนจะก้าวเดินตามรอยพระยุคลบาท

    ในปีนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้า ต่างปลื้มปีติยินดียิ่งนัก ด้วยได้ประจักษ์แก่ตาว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเกษมสำราญ มีพระพลานามัยดี แต่พสกนิกรก็อดแสดงความห่วงใยด้วยความจงรักภักดีไม่ได้ว่า ยังทรงงานอย่างหนักดังที่ในรอบปีที่ผ่านมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจลงพระปรมาภิไธยในร่างกฎหมายที่นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายจำนวนมากอยู่เป็นนิจ ทรงวินิจฉัยฎีกานักโทษ และฎีการ้องทุกข์เป็นปกติ ทรงสดับรายงานกิจการบ้านเมือง โดยสม่ำเสมอ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล และทรงรับอาคันตุกะ ผู้มาขอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นประจำ ทั้งยังพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าเป็นอาจิณ นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ทรงปฏิบัติตามกฎหมายและจารีตของบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด

    แต่ด้วยพระราชหฤทัยที่เที่ยงธรรม โดยไม่เคยทรงอ้างถึงพระราชอำนาจใดๆ ให้เป็นที่คร้ามเกรง หนทางหนึ่งที่ชาวไทย น่าจะสนองพระมหากรุณาธิคุณได้เป็นอย่างดีในยามนี้ คือการสมัครสมานสามัคคี คิดดี พูดดี ทำดี ช่วยกันสร้างความสงบร่มเย็นและสันติสุขโดยทางสายกลางแก่ชาติบ้านเมือง เพื่อให้การแปรพระราชฐานไปประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน เป็นความไกลจากความกังวลในพระราชหฤทัยอย่างแท้จริง และเป็นการแสดงออกถึงสัจจะวาจา นอกเหนือจากการสวมใส่สายรัดข้อมือว่า "เรารักพระเจ้าอยู่หัว" ได้อีกสถานหนึ่ง

    ด้วยเดชะอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยอันศักดิ์สิทธิ์และมหิธิฤทธิ์แห่งเทพยดาอารักษ์ ทั่วจักรวาล ด้วยบุญญาภินิหาริย์แห่งพระสยามเทวาธิราช คุ้มครองพระเศวตฉัตรและสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ด้วยอำนาจแห่งพระราชกุศลที่ได้ทรงบำเพ็ญปฏิบัติดุจพระโพธิสัตย์ สะสมทศบารมี โปรดประชุมบันดาลอภิบาลรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ อีกทั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ ให้ทรงสมบูรณ์พูนสุขด้วยจตุรพิธพร พระเกียติยศจงแผ่ขจรไปทั่วทิศานุทิศ พระราชปรารถนาให้พสกนิกรสามัคคีร่มเย็นจงเป็นผลสัมฤทธิ์ หมู่ปัจจามิตร ที่หวังประทุษร้ายต่อพระบรมเดชานุภาพจงพ่ายแพ้แก่ทศพิธราชธรรมจรรยา และพระราชสัมมาปฏิบัติ ขอทรงสถิตย์เป็นร่มฉัตรปกเกล้า ปกกระหม่อมชาวไทยให้พ้นจากทุกข์ร้อนและภัยพาล ขอทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจให้บังเกิดความสมานฉันท์แกล้วกล้า อีกทั้งขอทรงเป็นพลังแห่งแผ่นดินดุจธวัชฉัตร ธงนำหน้า ขับเคลื่อนสยามรัฐสีมาอาณาจักร ให้สามารถปกปักรักษาอิสราธิปไตยแห่งพระราชอาณาเขต และพัฒนาประเทศไปสู่ความรุ่งโรจน์อย่างยั่งยืนทุกสถาน ตราบนิรันดร์เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

    หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสตอบ ความว่า

    "ขอขอบใจนายกรัฐมนตรีที่ได้กล่าวอวยพร ในโอกาสที่จะถึงวันเกิดพรุ่งนี้ เข้าใจว่าจะทำให้ทุกคนในที่นี้และนอกที่นี้ มีกำลังใจ ว่านายกฯ พูดดี ก็ไม่ทราบว่า ที่ชมนายกฯ ว่าพูดดี อาจมีคนไม่เห็นด้วย ที่มาพูดนี้เป็นความเดือดร้อนกับตัวเอง ถ้าชมนายกฯ คนอื่นอาจไม่ชม ไม่ชมข้าพเจ้าว่า ชมนายกฯทำไม แต่นายกฯ มีอยู่ไว้สำหรับให้ชม คือถ้ามีนายกฯ แล้วไม่ชม นายกฯ ก็ไม่ค่อยพอใจ และถ้านายกฯ ไม่พอใจ งานการจะไปได้อย่างไร ต้องชมนายกฯ ชมนายกฯ ว่าพูดดี เพราะถือว่านายกฯ พูดดี เพราะมาชมเรา เป็นของธรรมดาที่ทุกคนชอบ ให้เขาชม เขาไม่ชอบให้ติ ข้าพเจ้าเองก็ได้ติคนอยู่เรื่อยๆ เขาก็ไม่พอใจ

    แม้ไม่ติคนบางทีเขาประกาศในหนังสือพิมพ์ พระเจ้าอยู่หัวฯ ติคนนู้นคนนี้ แท้จริงไม่เคยติใครเท่าไร บอกว่าเท่าไร เพราะถ้าจะติแต่ไม่ได้พูดออกมาโจ่งแจ้งว่าติ คนเราถ้าอยู่ในที่แจ้ง ในที่คนเห็นมากๆ ย่อมถูกติได้ง่ายๆ เพราะคนเห็นมาก ถ้าเห็นมากแล้ว เราทำอะไรก็ไม่มีดี ถ้ามีดี ก็มีไม่ดีมาก แต่ถ้าสมมติว่าถ้าดีมาก ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ดีบ้าง คนเขาติ ถ้าเรารู้สึกไม่ดี มีการแสดงตนว่ารู้ว่าไม่ดีนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึก ถ้าเกิดความรู้สึก บางทีก็รู้สึกชื่นชม บางทีก็เคือง ถ้าผู้ที่ถูกเล็ง บางทีรู้สึกว่าถูกติเตียนและแสดงตัวว่า เข้าใจว่าถูกแล้วเขาติเตียนเรา เราไม่พอใจก็เสียหาย ทำให้ส่วนรวมทั้งหมดปั่นป่วน พูดแค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าพูดมากกว่า จะทำให้เกิดเรื่องยุ่ง

    แต่ว่าวันนี้ตั้งใจจะพูดอะไรที่ไม่พาดพิงใครเลย ไม่ติเตียนใครเลย เพราะการติเตียนใคร พาดพิงใครก็เกิดความไม่สบายใจ แต่ที่เห็นอยู่ข้างหน้า มีคนที่พูดก็คงรู้ว่าใครพูด มีคนพูดว่าข้าพเจ้าไม่ดี พระเจ้าอยู่หัวฯไม่ดี ทำอะไรผิด แต่เขาต้องแสดงออกมาว่า พระเจ้าอยู่หัวฯไม่ผิด ผิดไม่ได้ เป็นตามความจริงในระบอบประชาธิปไตย ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระเจ้าอยู่หัวฯ ผิดไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น THE KING can do no wrong เหมือนท่าน องคมนตรีชอบพูดว่า กษัตริย์ผิด แต่เวลาบอก THE KING บอกว่า THE KING can do no wrong ก็เป็นสิ่งที่ wrong แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ผิดแล้ว ไม่ควรพูดอย่างนั้น

    ความจริงเวลาอ่านตำรากฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ มีตำราที่คนอ้างเสมอ และคนที่เรียนภาษาอังกฤษ เรียนกฎหมายอังกฤษต้องอ้างเสมอ เรื่อง THE KING can do no wrong และนักกฎหมายแถวนี้พยักหน้าว่าใช่ ความจริง THE KING can do no wrong คือการดูถูก THE KING อย่างมาก เพราะว่า THE KING ทำไม can do no wrong ไม่ได้ do wrong แสดงให้เห็นว่า เดอะคิงไม่ใช่คน แต่เดอะคิงทำ wrong ได้ สำคัญที่สุด

    ข้าพเจ้าเป็น เดอะคิง และเขาบอกว่า do no wrong เราก็เห็นด้วยกับเขา เพราะการทำอะไร ถ้าคนเรา ถือว่าต้องมีสติ คือหมายความว่ารู้ว่าทำอะไร คิดอะไร และไม่ปล่อยให้ผิดออกมา ก็ไม่ผิด ผิดไม่ได้ อันนี้ก็เป็นการพูดว่าข้าพเจ้าเองไม่ผิด ไม่มีวันผิด ถ้าสมมติพูดผิดเพราะไม่รู้ แต่ผิดโดยรู้ว่าผิด การทำผิดโดยรู้ไม่ดี แต่บางทีไม่รู้เพราะว่าไม่มี ขอโทษนะ พูดไม่มีสติ ขาดสติ คือไม่ระวังตัว ทีหลังก็เสียใจ เมื่อก่อน ก่อนจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นคิง ก็เสียใจหลายครั้ง แต่ตอนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเป็น คิง คิงแบบไทยๆ ฝรั่งบอกเป็นเดอะคิง เข้าใจว่าน้อยครั้งที่ทำผิด เพราะระวัง ถ้าไม่ระวัง ป่านนี้ตายแล้ว ลำบาก ต้องระวัง ไม่ระวังก็ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เรียกว่าการเมือง หรือการอยู่ในสายตาของคน สายตาคนฆ่าได้ ถ้าเราไม่ระวัง เราตาย ก็เลยถึงบอกได้ว่าทำไมการที่บอกว่า THE KING can do no wrong เพราะต้อง can do no wrong

    ทุกคนก็มีฐานะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่า THE KING เก่ง แต่ทุกคนก็มีส่วนเก่ง เพราะมีตำแหน่งรับ รับตำแหน่งสูง ได้รับเหรียญตรา และคนชี้คนๆ นี้สูงมาก มียศศักดิ์ เดอะคิงเป็นยศศักดิ์สูง แต่คนที่อยู่ในที่นี้ ยศศักดิ์ทั้งนั้น ไม่ระวังตัวก็ตายเหมือนกัน ถ้าไม่ระวัง ไม่ใช่คนที่นึกว่า คนนั้นเขาต้องตายแน่ เพราะไม่ระวัง ทุกคนตั้งแต่แถวแรกจนถึงแถวสุดท้าย จนหลังแถว จนถึงข้างนอก ทุกคนถ้าไม่ระวังก็มีอันตราย ที่พูดอย่างนี้อาจแปลกๆ หน่อย นี่ก็หาว่าแช่ง จริงๆ ไม่แช่ง สงสาร เพราะถ้าไม่ระวัง เมืองไทยตาย

    เพราะฉะนั้นจึงขอร้องอย่างเดียวว่า มาวันนี้ให้ระวัง ๆ ระวังที่จะคิด จะพูด ที่ทำ เรื่องที่มีและก็บอกในหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ บอกว่า ที่ เดอะคิงทำอะไร ก็ไม่วิจารณ์ และเขาบอกอย่าวิจารณ์ เพราะว่าเราทำอะไรไป ก็ต้องรู้ว่าเขาเห็นดีไม่ดี ถ้าไม่พูด ก็หาว่าทำดีแล้ว แต่แท้จริงที่พูดที่ออกข่าวให้สัมภาษณ์บอกว่าอย่าไปวิจารณ์ THE KING ต้องบอกว่าอย่าไปวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าไม่ควร ในรัฐธรรมนูญก็มีอยู่ว่าละเมิดมิได้ นักกฎหมายก็พยักหน้าอีกแล้วว่าถูกต้องว่าไม่ควรจะวิจารณ์ วิจารณ์ไม่ได้ ละเมิดไม่ได้ แต่ว่าถ้าพูดว่าพระเจ้าอยู่หัวทำถูก พูดถูก ไม่ใช่ละเมิด เป็นการถ้าพูดภาษาอังกฤษก็ approve พระเจ้าอยู่หัว เห็นชอบด้วย แต่ไม่เคยมีใครมาบอกเห็นชอบว่าพระเจ้าอยู่หัวพูดดี พูดถูก

    แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนอยู่ในสมองว่าพระเจ้าอยู่หัวพูดชอบกล พูดประหลาดๆ ถ้าขอเปิดเผยว่าวิจารณ์ตัวเองได้ว่าบางทีก็อาจจะผิด แต่ให้รู้ว่าผิด ถ้าเขาบอกว่าวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวว่าผิด งั้นขอทราบว่าผิดตรงไหน ถ้าไม่ทราบ เดือดร้อน

    ฉะนั้นก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิดเขาก็ถูกประชาชนบอมบ์ คือเป็นเรื่องของขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกไม่ว่า แต่ถ้าเขาวิจารณ์ผิดไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิดไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้ายก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบากแย่ อยู่ในฐานะลำบาก ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัวนี่ ก็ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ซึ่งถ้าคนไทยด้วยกันก็ยังไม่กล้า สองไม่เอ็นดูพระเจ้าอยู่หัว ไม่อยากละเมิด แต่มีฝ่ายชาวต่างประเทศ มีบ่อยๆ ละเมิดพระเจ้าอยู่หัว ละเมิด THE KING แล้วก็หัวเราะเยาะว่า THE KING ของไทยแลนด์ พวกคนไทยทั้งหลายนี่ เป็นคนแย่ ละเมิดไม่ได้ ในที่สุดถ้าละเมิดไม่ได้ก็เป็นคนเสีย เป็นคนที่เสีย

    ฉะนั้นก็บางโอกาสขอให้ละเมิด จะได้รู้กันว่าใครดีใครไม่ดี นี่พูดเลยเถิด พูดมากไป แต่ว่าคนที่อยู่ข้างหน้านี่ ไม่ต้องกลัว เพราะว่าไม่ได้มีความผิด คนที่นึกว่ามีความผิดพยักหน้า พยักหน้าว่ามีความผิดจริงๆ ความจริงเขาไม่มีความผิด คนที่มาก่อนน่ะมีความผิด แล้วกลัวคนที่พยักหน้าเนี่ยไม่ได้แก้ไข นี่ผิดตรงนี้ ไม่ได้แก้ไข หลบความรับผิดชอบ มันเป็นอย่างนั้น ในเมืองไทยนี่ คนไหนที่ทำอะไรไม่เข้าร่องเข้ารอยก็ลาออก ลาออกแล้วไม่มีอะไรผิดเลย แม้จะทำอะไรผิดอย่างมากๆ ถ้าเป็นข้าราชการก็เรียกเข้ากระทรวง เข้ากรุงเทพฯ แล้วก็หมดเรื่อง นานๆ ทีมีเข้าคุก นี่พูดอย่างนี้ชักจะหนัก ใช้คำว่าเรียกเข้ากรุงเทพฯ หรือเข้าคุก แต่มีที่เกิดเรื่องเข้าคุก

    แต่อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้ว ถ้าเป็นการละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อน เดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่งต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยนี่พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ว่าวิจารณ์ไม่ได้ก็เข้าคุก มีที่เข้าคุก เดือดร้อนพระมหากษัตริย์ ต้องบอกว่าเข้าคุกแล้วต้องให้อภัย ที่เขาด่าเราอย่างหนัก ฝรั่งเขาบอกว่าในเมืองไทยนี่ พระมหากษัตริย์ถูกด่า ต้องเข้าคุก ที่จริงควรเข้าคุก แต่เพราะฝรั่งบอกอย่างนั้นก็ไม่ให้เข้า ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิดก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก ตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆ เป็นกบฏ ก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ 6 ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนถึง ต่อมา รัชกาลที่ 9 ใครเป็นกบฏ ก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุก ให้ปล่อย หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนเดือดร้อน อย่างที่คนที่ละเมิดพระมหากษัตริย์ และถูกทำโทษไม่ใช่คนนั้นเดือดร้อน พระมหากษัตริย์เดือดร้อน นี่ก็แปลก

    คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอนนายกฯ ว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็สอนนายกฯ ว่าใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯ เดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน อาจจะอยากให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน ไม่รู้นะ เขาทำผิด เขาด่าพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน และเดือดร้อนจริงๆ เพราะใครมาด่าเราชอบไหม ไม่ชอบ แต่ถ้านายกฯ เกิดให้ลงโทษ แย่เลย แล้วนักกฎหมายต้องการให้ลงโทษคนที่ด่าพระมหากษัตริย์

    ทำไป ทำมา เอาวะ เขาด่านายกฯ ถ้าด่านายกฯ นายกฯ เดือดร้อนไหม ไม่ควรเดือดร้อน แต่ถ้าด่านายกฯ พระมหากษัตริย์ก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าเป็นเรื่องนายกฯ แต่ถ้าเขาด่าพระมหากษัตริย์ นายกฯ เดือดร้อน เพราะต้องเป็นคนจัดการ

    ยุ่งอย่างนี้ กฎหมายก็สอนนายกฯ มาอย่างนั้น สอนว่าใคร ใครด่าเรา เราต้องด่าเขา นี่พูดชักจะไม่ดี ชักจะเป็นส่วนตัว เราเองก็ไม่ขอบอกว่าควรจะทำอะไร ควรรู้ นักกฎหมายต้องรู้ว่าอะไรถูกผิด ไม่ต้องพูดทุกวัน ๆ แต่เขาทำเทป ทำซีดีไว้ และแจกทั่วให้ คนฟังดู เขาเอือมกัน ที่ไปแก้ตัวแทนนายกฯ วันนี้เราขึ้นมานี้ เราแก้ตัวแทน

    นายกฯ บอกว่านายกฯ ไม่ผิด นายกฯ ทำได้ทุกอย่าง ก็ไม่ต้องไปออกทีวีแล้ว ไปออกทีวีทุกวัน ๆ ๆ มีคนบอกว่าเอือมที่ออก แต่มีหน้าที่ที่ออกก็ออก มีคนที่เขาเดือดร้อน ที่อยู่ในรายการ เพราะเขาเป็นคนต้องพูด และคนที่พูดก็เลยถูกลูกหลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ตัวครั้งเดียว เอาได้ นี่แก้ตัวเท่าไร 10 ครั้งแล้วนะ ที่ออกทีวี คนเลยชักเอือม คนอยากดูละคร มาดูอย่างนี้ พอแล้วเสียไฟฟ้า ไม่ใช่เสียไฟฟ้าคนดู แต่เสียไฟฟ้าคนส่ง ทีวีออกทีไฟฟ้าแรง เสียน้ำมัน นี่ก็เลยนึกว่าควรพูดพอแล้ว นี่ที่พูดก็เสียไฟฟ้ามาก เขาเลยบอกเลิกซะที ไม่ต้องพูดมาก แต่เราก็พูดต่อ เพราะเป็นรายการที่อัดเสียงไว้ ใส่เทปไว้ ไม่ได้ออกโทรทัศน์ ไม่ต้องเสียไฟฟ้าสำหรับโทรทัศน์

    มาพูดถึงไฟฟ้าและพลังงาน ไฟฟ้าและพลังงาน การไฟฟ้าต้องใช้พลังงาน สำหรับปั่นไฟฟ้า ต้องใช้พลังงานเพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้า อันนี้ทำมานานแล้ว เวลาขาดแคลนเชื้อเพลิง ก็บอกว่าให้ปิดโทรทัศน์ ให้ปิดไฟ และบอกว่าได้ผลดี ความจริง เปิดโทรทัศน์ไม่เป็นไร ถ้าน้ำมันเชื้อเพลิงหมด ก็ใช้อย่างอื่นได้ มีแต่ต้องขยันหาวิธีที่ทำให้เชื้อเพลิงเกิดใหม่ เชื้อเพลิงที่เรียกว่าน้ำมันนั้นมันจะหมด ภายในไม่กี่ปี หรือไม่กี่ 10 ปีก็หมด ถ้าว่าไป 40 ปีหมด เราก็จะอายุ 118 118 นี่เรามีชีวิตอีก 2 ปี 2 ปีก็ใช้แก๊สโซฮอล์ หรือไม่ใช้แก๊สโซฮอล์ แก๊สโซฮอล์นี่ก็ไม่มี เพราะแก๊สโซฮอล์ ใส่แอลกอฮอล์เพียง 10% อย่างมาก ต้องใช้น้ำมันปาล์ม น้ำมันปาล์มเขาใส่ 10% ระหว่างที่จะถึงอายุ 118 หาวิธีได้แล้ว ที่จริงเมื่อ 2 ปีก็ทำ ทำไบโอดีเซล โดยใช้น้ำมันปาล์ม 100% ไม่ใช่เพียงน้ำมันปาล์ม 10% นายกฯได้เห็น รถแล่นมา น้ำมันปาล์ม 100% เรายืนอยู่ที่รถคันหนึ่งแล้วก็เสร็จแล้วก็มีรถอีกคันหนึ่งถอยหลังมา ได้ยินเสียงบึม ๆ ๆ นั่นอะไร รถดีเซล รถใช้น้ำมันดีเซล 100% 100% น้ำมันปาล์ม แล้วก็นายกฯ ก็บอกว่าหอมดี แล้วก็ถามว่าหอมดีแล้วไม่เดือดร้อน เพราะว่านายกฯ ไม่ต้องกลัวเป็นแกนเซอร์ เพราะว่าxxxนี่ไม่ไเป็นมะเร็ง เราทำแล้วก็หมายความว่าเราไม่เดือดร้อนถึงเวลาเราอายุ 118

    ถ้าอย่างไรเราก็ใช้น้ำมันปาล์มของเราเอง คนอื่นอาจจะไม่ได้ คนอื่นอาจจะไม่มี แต่ว่าเรามีเพราะเราขวนขวายหาวิธีที่จะทำเชื้อเพลิงทดแทนได้ ถ้าไม่ได้ทำเชื้อเพลิงทดแทนเราก็เดือดร้อน แล้วก็เป็นห่วง แต่เราไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าคนอื่นเขาไม่ทำ เขาอาจจะไม่มีน้ำมันไบโอดีเซลใช้ แต่วาเรามี เราคือข้าพเจ้าทำเอง คนอื่นเขาอาจจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ต้องเห็นแก่ตัว แต่ละคนถ้าเห็นแก่ตัวก็รู้ว่าไม่เป็นไร เพราะแต่ละคนก็ต้องพยายามที่จะหาพลังงานทดแทนทั้งนั้น เราเชื่อว่าเวลาเราอายุ 118 นายกฯ ก็บอกว่าแก่แล้ว แต่เราไม่แก่ เพราะเราคิดทำพลังงานทดแทนอยู่เรื่อย แต่นายกฯ บอกแก่ จะถึงอายุเท่าไหร่ 90 อายุ 94 96 นายกฯ จะอายุ 96 อ้าว 94 ก็ไม่รู้ล่ะ 94 อาจจะแข็งแรงก็ได้

    อาจจะมีความคิดที่จะสร้างโรงงานก๊าซโซฮอล์ และไบโอดีเซลสำเร็จแล้ว ก็นายกฯ ก็ไม่เดือดร้อน เอาไบโอดีเซลใส่เครื่องบินได้ เครื่องบินเขาใช้ไบโอดีเซลได้แล้วสมัยนี้ แต่ลำไม่ใช่โต ๆ แต่เวลานั้นอาจจะทำใส่ลำโตๆ สำหรับนายกฯ ได้ อาจจะสามารถที่จะมี แต่ว่าเฉพาะนายกฯ คนอื่นไม่สามารถที่จะมี ก็สองคนล่ะ พระเจ้าอยู่หัวกับนายกฯ มีเครื่องบินใช้แล้ว ใช้ไบโอดีเซล ท่านองคมนตรีสั่น สั่นหัวว่าไม่มี ว่าท่านเวลานั้นอายุท่านเท่าไหร่ 130 มั้ง ก็คงไม่อยู่แล้ว เราก็อยู่สองคน มีไบโอดีเซลใช้ แล้วจะไปไหน จะไปเชียงใหม่ ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินที่สุวรรณภูมิแล้วไปเชียงใหม่ ไปเชียงใหม่ไปดูสวนสัตว์ ก็สวนสัตว์ก็อยู่สบาย เพราะเขาไม่ต้องใช้ไบโอดีเซล ก็เป็นอันว่าไม่ต้องกลัวเราไม่เดือดร้อน เพราะว่าอีก 40 ปี 40 ปีมีไบโอดีเซลพอสำหรับเราใช้สองคน ก็อย่างไรก็ตามที่นี่ชักเฟื่อง พูดว่าเราอีก 40 ปี เราจะมีสองคนที่มีพลังงานน้ำมันใช้ได้ แล้วดูทีวีได้ ดูทีวีก็อาจจะโฆษณาอะไรในทีวี

    ประกาศชี้แจง นายกฯ ก็ชี้แจงได้ เพราะว่าเปิดทีวีให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาปั่นไฟฟ้า แต่ป่านนั้นทีวีก็อาจจะมีอะไรใหม่แล้วก็อาจจะมีข่าวต่างๆ ฉะนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี้ก็ต้องดูเป็นบุคคลๆ การที่จะบอกว่าเป็นห่วง เป็นห่วงทั้งบ้านเมือง ก็เป็นห่วง แต่ว่าถ้าเราคิดจริงๆ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะแต่ละคนเขาก็ต้องมีการขวนขวายเหมือนกัน เป็นอันว่าถ้าแต่ละคนขวนขวายของตัว อีก 40 ปี ไม่มีความเดือดร้อน โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยนี่ มีคนที่มีความคิดดีๆ ก็คนหนึ่งข้าพเจ้าคนหนึ่งมีความคิดดีๆ แล้วก็นายกฯ อีกคนมีความคิดดีๆ ไม่จนมุม ฉะนั้นก็สองคนเดือดร้อน ไม่เดือดร้อน คนอื่นเขาก็ต้องไม่เดือดร้อน ของเขาก็ต้องหาทางออกได้เพราะว่าถ้าเดือดร้อน ก็ไปดูพระราชดำริ

    โครงการพระราชดำรินี่เปิดเผยให้ทุกคนได้ทั้งนั้น แล้วก็ถ้าปฏิบัติตามโครงการพระราชดำริ ทำอย่างเศรษฐกิจพอเพียง นี่ก็ตอนนี้ นายกฯเศรษฐกิจพอเพียง ไม่จ่ายเงินแล้ว ใช้แต่เศรษฐกิจพอเพียง เพราะมีการโฆษณาคู่สมรส ครม.ก็ชำนิ ชำนาญในเศรษฐกิจพอเพียงเก่งมาก นี่ก็อีกคนที่ทำได้ ก็เลยไม่ต้องห่วง ไม่ทราบว่าคู่สมรสขององคมนตรีจะทำเศรษฐกิจพอเพียงหรือเปล่า สงสัยว่าไม่ ไม่ทำ แต่ยังไงก็ตาม อย่างนี้เปิดให้ความกว้างขวางของเศรษฐกิจดีขึ้น ถ้ารองนายกฯอาจไม่ทำ เพราะเคยชินกับเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินมาก ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ไม่พอเพียง นายกฯอาจไป นายกฯและคุณหญิงอาจให้เพื่อนนายกฯ รองนายกฯ ต่างๆ ทำเศรษฐกิจพอเพียงนิดหน่อย จะทำให้อีก 40 ปีประเทศชาติไปได้ แต่นี่ มีแต่นายกฯ รองนายกฯ จัดการรวมทั้งคู่สมรส ทำเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อว่าประเทศจะประหยัดได้เยอะ ถ้าไม่ประหยัดประเทศไปไม่ได้ คนอื่นไม่ประหยัด ถ้า ครม..ประหยัด คณะรองนายกฯ จะทำให้ไปได้ดีเยอะ นี่มามอง สภาฯ เป็นยังไง ก็สภาฯด้วยเหมือนกัน อยากทำ สภาฯ เป็นอาจารย์นายกฯ ก็ นายกฯ สอนครูหน่อย ว่าเศรษฐกิจพอเพียงทำยังไง สอนครูคนเดียวพอแล้ว เพราะครูเขาก็ไปสอนคนอื่น

    ต่อไปก็ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านไม่ต้องสอน เขาพอเพียงอยู่แล้ว ฝ่ายค้าน หัวหน้าฝ่ายค้าน ไม่ทราบพอเพียงหรือไม่ แต่อดีตหัวหน้าพรรคพอเพียงมากๆ เขาทำอะไรที่ เขาทำอะไรที่ประเทศชาติใช้เงินนิดเดียวไม่พอ เขาถึงต้องออก เลยไม่รู้ว่าฝ่ายค้านจะพอเพียงหรือไม่ แต่อย่างน้อยอดีตหัวหน้าพรรคก็พอเพียงมาก จนต้องออกจากหัวหน้าพรรค
    นอกจากนั้นถ้าทุกคนเลื่อมใสต้องพอเพียงก็ปฏิบัติเถิด เพราะถ้าปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียง มันใช้ได้จริง ไปได้จริง แต่อาจไม่สบาย ทุกอย่างที่นายกฯ พูดก็มาพูด ไม่ได้แต่งเอา นายกฯพูด ที่พระเจ้าอยู่หัวฯพูดอะไรทำอะไร ถูกต้อง ชื่นชมว่าพระเจ้าอยู่หัวฯทำให้ประเทศชาติอยู่ได้ เช่นเดียวกับแก้มลิง แก้มลิงเมื่อครั้งก่อน พูดถึงแก้มลิงคนหัวเราะ เดี๋ยวนี้ไม่หัวเราะแล้ว เพราะว่าลิงต้องมีแก้ม ถ้าลิงไม่มีแก้มเขาอยู่ไม่ได้ คนเราต้องมีแก้ม แต่แก้มคนเป็นแก้มลิงได้ คือต้องระวังรักษา อะไรที่กล้วยเข้าไปเก็บไว้ได้ เป็นการประหยัด พูดอะไรเก็บไว้ในแก้ม ก็ประหยัด แก้มลิงเป็นการประหยัด โครงการอะไรอื่นที่พูด อย่างฝายแม้ว กับฝ่ายนายกฯ ฝ่ายนายกฯ นายกฯไปดูฝายแม้ว

    คราวนี้ฝายเรานี่ เราทำก็ฝายแม้ว ซาบซึ้งรึเปล่ามีประโยชน์อะไร คือมีประโยชน์ทำให้ไม่มีน้ำท่วม ไม่มีน้ำแล้ง ตอนนี้น้ำท่วมเชียงใหม่ นายกฯ เดือดร้อน โกรธมาก มีฝายแม้วทำไมน้ำท่วม เพราะฝายแม้วไม่ถูกต้อง ทำไม่ดี ปล่อยน้ำลงมาผิดทาง ที่จริงที่ไปดูที่กุยบุรี ก็ไปขยายเขื่อนที่กุยบุรีที่ยังชุ่ม นั่นนะเคราะห์ดีไปทำ โครงการพระราชดำรินี้ ถ้าไม่ได้ทำ ถ้าทำตามชลประทานทำ ป่านนี้ก็ไม่เสร็จ ถ้าไม่เสร็จน้ำท่วมแล้ว ปีนี้ที่ไม่ท่วมกุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์ท่วมบ้าง แต่ไม่ถึงหัวหิน เพราะเขื่อนกุยบุรี เขื่อนกุยบุรีทำไมขยายได้ ขยายเก็บน้ำได้ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร เพราะเดี๋ยวนี้มีโครงการพระราชดำริ ทำเลย อธิบดีชลประทาน ทำยังไงต้องของงบประมาณ งบประมาณไม่มี ก็มีโครงการพระราชดำริ ก็เลยทำทันที แทนที่จะใช้เวลา 3 ปีก็เหลือ 2 ปี ทำงานได้ ที่ไปดู ทำงานได้จริงๆ ถ้าไม่มีน้ำ 9 ล้านลูกบาศก์เมตรเต็มแล้ว

    แต่น้ำมันก็ล้นมาปกติ ตามจำนวนปกติ เลยทำให้น้ำไม่ท่วม ถ้า 9 ล้านลูกบาศก์เมตรฝนลงซู่ๆ มีหวังท่วม ท่วมบน ท่วมล่าง และท่วมแล้ว น้ำก็ทำลาย ถ้าเราทำโครงการที่ใช้งานได้เร็วๆ ประหยัดการท่วมของพื้นดิน และถ้าว่าไปประหยัดทรัพย์ ความจริงที่ใช้เงินตอนนั้น ใช้เงิน 100 ล้านกว่าๆ กลับคืนมาแล้ว ถ้าไม่ได้ทำ น้ำที่ท่วมก็ทำลาย 100 ล้าน 100 ล้าน สำหรับคนที่พยักหน้า เขาไม่ 100 ล้านไม่ใช่อะไร ต้อง 1,000 ล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน แต่ 100 ล้านชาวบ้านเขารู้สึก ก็หมายความว่า 100 ล้านที่เอาจากโครงการพระราชดำริ กลับคืนมาแล้ว กลับมาไหน มาที่ประชาชน ปชช.เขาได้ ถ้าไม่ได้ใช้เงินนี้ ปีหน้าต้องใช้ 200 ล้าน เพราะถ้าไม่ใช้เงินทันที เงินมีอยู่ คนก็บอก บางทีไม่มี แต่เงินนะมี ในงบฯมี ถ้าไม่มี หมายความว่างบประมาณทำไม่ถูก แต่อันนี้ 100 ล้านใช้ไป ใช้ดีแล้ว ถูกต้องไม่เสียหาย ทำให้ประชาชนได้กำไร ถ้าไม่ได้ใช้ไปก็ไม่รู้ใครใส่กระเป๋าไป ประชาชนไม่ได้

    เพราะฉะนั้นที่ทำโครงการประหยัดไป 1 ปี ที่ไปดูเห็นประจักษ์ น้ำไหลออกมาจากเขื่อนไม่ใช่พูดหลอก น้ำจริงๆ ลงมาเต็มเขื่อน แทนที่จะเป็น 38 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 40 กว่าล้านที่ลงมาทำให้น้ำลงมาเก็บ และล้นมาได้ เพราะน้ำนี่ได้ใช้ เวลาแล่นรถไป ข้างล่างก็เห็นก็ทำนาได้ นามีประโยชน์ เพราะข้าวไม่เสีย ข้าวได้ใช้และถ้าจะเอาข้าวไปส่งนอก เราก็ได้เงิน ของแลกเปลี่ยนได้ ฉะนั้นโครงการ 100 ล้านนี้ ทำดีและช่างชลประทานมีความรู้พอที่จะทำ ไม่ต้องอาศัยช่างต่างประเทศ และใช้เครื่องมือในเมืองไทยได้ ก็เลยรู้สึกว่าปีนี้ที่ได้เห็นการขยายโครงการกุยบุรีได้ผลจริงๆ ได้ไปดูก็ดีใจ พอใจ

    นี่ต้องรอที่ได้ไปดูโครงการชลประทานที่กุยบุรี ที่หมู่บ้านยางชุม เป็นโครงการที่ใช้งานได้ และไม่ใช่ที่ยางชุม ข้างๆมีการสร้างน้ำ เขื่อนที่กักน้ำ ได้ผลดี ยังต้องทำอีกมาก แต่เวลาพูดกับสมาคมนี้ก็พูดถึงชลประทาน ได้ผลดี แต่ค่อยๆ ทำ ไม่ใช่ไม่มีเงิน เงินไม่พอ แต่ที่ๆที่จะทำไม่มี ถ้าจะทำต้องศึกษาให้ดี เพราะพระเจ้าอยู่หัวฯบอกให้ทำอย่างนั้นๆ เสร็จแล้วก็ไม่มีหลักวิชาที่ดี อาจเสียได้ แต่การที่จะทำต้องพยายามหาที่ทำและใช้ความรู้ที่ถูกต้อง โครงการอย่างอื่นมีที่ต้องทำ ไม่เฉพาะชลประทาน แต่โดยเราเป็นผู้ ที่เขาเรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ชลประทานกล้าบอกที่จะทำ รู้สึก ใครคงง่วง เดี๋ยวนี้มืดเร็ว ถ้าง่วงเดี๋ยวไปนอนได้ ก็รู้สึกว่าสมควรแก่เวลา

    ก็ขอขอบใจที่ท่านมาให้พร และให้พรดี ถ้าไม่ให้พรก็ไม่รู้ว่าเราทำอะไร ถ้ามาให้พร เราก็มีกำลังใจทำงานต่างๆ เราต้องให้พรทุกฝ่าย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ให้กำลังใจทำได้ดี แต่วันนี้ไม่พูดให้ทำอะไร ทะเลาะกันไม่เอา ไม่ทะเลา ให้ทำอะไรที่ดูดี และอย่าคิดเกิน เลยเถิด แต่ถ้าทุกคนทำงานเหมาะสมบ้านเมืองไปได้ ให้แต่ละคนไปได้ ไม่ใช่มีการหัวชนฝาจะทำอะไร ก็ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จพอสมควร เศรษฐกิจพอเพียง ถ้าไม่พอเพียงไปไม่ได้ แต่ถ้าพอเพียงสามารถนำพาประเทศไปได้ดี ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จพอเพียง เพื่อให้บ้านเมืองบรรลุความสำเร็จที่แท้จริง ไม่รู้ล่ะ คนที่รับพรก็รับไป คนที่ไม่รับพร ก็คิดในใจ ขอบใจที่ท่านทั้งหลายมาให้พร เรารับพรท่าน"

    ........................
    คัดลอกจาก
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9480000166941
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.dhammajak.net/webboard/sh...mmajak&No=3609
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...