พระราชประวัติ "สมเด็จพระ นเรศวร มหาราช"

........พระราชประวัติ เเห่ง "สมเด็จ พระนเรศวร มหาราชเจ้า" นี้ ผู้เขียนนำมาจากต้นฉบับ ที่ "สมเด็จ กรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ "...ใด้ทรง พระนิพนธ์ ไว้ เเละใด้พิมพ์ เนื่องใน งานพระราชพิธี "ถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระ ปรเมนทรมหา อานันทมหิดล "...ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง

เมื่อ วันที่ 29 มีนาคม 2493

จะใด้ยกเนื้อความเป็นส่วนๆ ที่เป็นสาระสำคัญ โดยไม่ ต่อเติมหรือ ตัดทอนใดๆให้เสียเนื้อความ ตามพระนิพนธ์ เเห่ง "สมเด็จกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ"

...เพื่อ "เฉลิมพระเกียรติเเห่ง บูรพมหากษัตริย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า"


..หากตอนใดที่เป็นข้อมูลเพิ่มเติม ที่มิไช่ "พระนิพนธ์เเห่งสมเด็จกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ" ที่มีข้อมูลจากเเหล่งอื่นๆ ผู้เขียนจะ ระบุเอาไว้

 

....อธิบายเบื้องต้น....

..."สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช "....เสด็จพระราชสมภพ ณ เมือง "พิญณุโลก" เมื่อปีเถาะ..พ.ศ. 2098 พระองค์เป็นพระราชโอรสของ " สมเด็จ พระมหาธรรมราชาธิราช"..กับ "พระวิสุทธิกษัตรี" ....เป็น "หลานตา" เเห่ง "สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เเละสมเด็จพระ ศรีสุริโยทัย "...

..ฉะนั้นถือใด้ว่าพระองค์ ทรงมีเชื้อ "กษัตริย์ เเห่งราชวงศ์ สุโขทัย ฝ่ายพระราชบิดา ...เเละ เชื้อเเห่งราชวงศ์ กรุงศรีอยุธยา ฝ่าย พระราชมารดา"....( การนับลับดับการสืบเชื้อสายเเห่ง ราชวงศ์ ของไทย นับจากวงศ์เชียงเเสนนั้น ผู้เขียน พยายามหาข้อมูลมาพอสมควร เเต่ที่ น่านำมาเล่าสู่กันอ่าน ในโอกาสหน้าคือ ...ในหนังสือ นิทาน อิงประวัติศาสตร์ ที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ใด้เมตตาเล่าเอาไว้ให้ พวกเราเหล่าลูกหลานใด้ทราบ...)

....ทรงมี พระพี่นาง 1 องค์คือ "พระสุพรรณกัลยาณี"....เเละพระน้องยา 1 องค์ คือ " พระเอกาทศรถ"...

....สมเด็จ "พระนเรศวรมหาราช" นั้น เมื่อทรงพระเยาว์ เป็นพระราชนัดดา เเห่ง "สมเด็จพระมหาจักร พรรดิ์ ...คงทรงพระยศ " พระองค์เจ้า"..

..พวกฝรั่ง จึงเรียกในจดหมายเหตุ ว่า ..." the black prince" ..ตรงกับคำว่า ...."องค์ชายดำ "..
.. เเละเรียก"พระอนุชาเอกาทศรถว่า "...." the white prince "...หรือ " องค์ชายขาว "..

...สำรับ "พระนาม "..." พระนเรศ "..นั้น สมเด็จพระราชบิดา เมื่อทรง "เสวยราช" เเล้วจึงใด้ทรง พระราชทาน พระนามนี้ เวลาพระชันษาใด้ 15 ปี..
..

 

.." สมเด็จ พระนเรศวร"...


...พระนาม นี้ เนื่องจาก พระนามเดิมสำรับ "ลูกหลวงเอก"...เมื่อ ขึ้นครองราชสมบัติเเล้ว มีการถวายพระนามอื่น เเต่ บุคคลทั้งหลายยังนิยมเรียก "สมเด็จพระนเรศ หรือ สมเด็จพระนเรศวร "...

... เเม้เเต่ ใน " พงศาวดาร พม่ามอญ" ก็เรียกพระนามเเต่ว่า "พระนเรศ"...อย่างเดียว เหมือนเช่นไทยเราเรียกกันมา ...

.....คิดหาเหตุ ไม่เปลี่ยนพระนาม ก็พอเห็นใด้ เนื่องด้วย "สมเด็จพระนเรศวร "...."ทรงบำเพ็ญพระอภินิหาร"...ปรากฎ พระเกียรติว่าเป็น..... "วีรบุรุษ"... มาตั้งเเต่เป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ" ..

..." พระนามนั้น เลื่องลือระบือไกล ไปทั่วทุกประเทศเเล้ว ...จึง ไม่ มีใครสามารถ จะให้คน เรียก เป็นอย่างอื่นใด้ "...

 

" ทรงถือกำเนิด มาเพื่อเป็น มหาวีระบุรุษเเห่งชนชาติไทย อย่างเเท้จริง "...

...ประเทศต่างๆหลายๆเเห่งย่อมมี... "พระเจ้าเเผ่นดิน"..เป็น "วีรบุรุษ"...ในบางสมัย ..เเละต่างย่อมจดจำ "อภินิหาร ของพระเจ้าเเผ่นดิน " เชิดชูพระเกียรติ เอาไว้ "ในพงศาวดารของประเทศ"...มีให้อ่านกันอยู่มาก




สังเกตุในเรื่อง "ประวัติของวีรมหาราช" ทั้งหลาย ดูมีเค้าคล้ายกันหมด ดังนี้

1 บ้านเมืองต้องมียุคเข็ญ

2 ย่อมเป็น ...."บุรุษพิเศษ"...มี สติปัญญญา เเละความ "กล้าหาญเด็ดเดี่ยว" ผิดกับผู้อื่น ในยุคนั้น

3 สามารถ "ทำให้ผู้อื่น เชื่อถือ ไว้วางใจในพระปรีชาสามารถ "

4 สามารถ " บำเพ็ญอภินิหาร กู้บ้านเมือง เเละเเผ่ขยาย ราชอาณาเขต จนเป็น ..."พระราชาธิราช " ใด้ในที่สุด..."





... " สมเด็จ พระนเรศวร " ก็ทรงคุณสมบัติ ดังกล่าวมาบริบูรณ์ ทุกอย่าง ดังจะพึงเห็นใด้ในเรื่อง "พระประวัติ" ต่อไปข้างหน้า อันจะเขียนเเบ่งเป็น 3 ภาค คือ

1 เรื่อง...." บ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ "

2 เรื่อง...." สมเด็จพระ นเรศวร ทรงกู้บ้านเมือง เมื่อครั้งยังทรงเป็น สมเด็จพระราชโอรส "...

3 เรื่อง...." สมเด็จพระ นเรศวร ทรงเเผ่ พระราชอาณาเขต ..เมื่อ ทรงเป็น พระเจ้าเเผ่นดิน .."

( และผู้เขียน จะใด้ พยายาม ลง "ภาพประกอบ เรื่อง" ที่เป็น .. "ภาพเขียนสี " ... โบราณ ด้วย)

 

....ภาค 1 " บ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ "..


...เมื่อปี "มะเมีย" พ.ศ. 2089 นั้น "สมเด็จพระชัยราชาธิราช" พระเจ้าเเผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ....." สวรรคต" .... มีพระราชบุตรพระองค์เดียวคือ "พระเเก้วฟ้า"...อัน "ท้าวศรีสุดาจันทร์"...พระสนมเอก เป็นเจ้าจอมมารดา

พระเเก้วฟ้าใด้ "รับรัชทายาท" เเต่เหตุที่พระเเก้วฟ้ายังทรงพระเยาว์ พระชันษาใด้เพียง 11 ปี ว่าราชการ เองไม่ใด้

...เหล่า ขุนนาง ใด้ทูลเชิญ " พระเทียรราชา " (พระอนุชาต่างพระมารดากับ สมเด็จพระไชยราชาธิราช) ...ขึ้น "เป็นผู้สำเร็จราชการเเผ่นดิน"...


...เเต่การณ์ กลับเป็นว่า การภายในเเละราชกิจหลายประการ ในพระราชวัง ตกอยู่ในอำนาจ "ท้าวศรีสุดาจันทร์".. ซึ่ง ณ เวลานั้น ใด้เป็น ... " สมเด็จพระชนนีพันปีหลวง"..

 

ตามพงศาวดารกล่าวว่า "ท้าวศรีสุดาจันทร์" ปรารถนาเอา "พระเทียรราชา" ไว้ในมือ
(เป็นคู่ครอง) เเต่ไม่สำเร็จดังประสงค์ ก็จึงใด้พยายามขัดขวาง มิให้ "พระเทียรราชา" ว่าราชการด้วยความสะดวก

พระเทียรราชา จึงทูลลาออก "ทรงผนวช" เป็นพระภิกษุเสีย ...นับเเต่นั้นอำนาจในราชการบ้านเมือง ก็ตกอยู่ในมือ "ท้าวศรีสุดาจันทร์ "

เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือเเล้ว "ท้าวศรีสุดาจันทร์" ที่ ลักลอบใด้เสียกับ "พันบุตรศรีเทพ" อยู่ ( ต่อมาใด้เลื่อน ขึ้นเป็น "ขุนวรวงศาธิราช" ) เเละเมื่อ "ท้าวศรีสุดาจันทร์ มีครรภ์ " ขึ้นมา

" ขุนวรวงศาธิราช " เห็นว่าจะปกปิด เหตุ ที่ "ท้าวศรีสุดาจันทร์" มีครรภ์ กับตนเองมิใด้ ก็ "ลอบปลงพระชนม์ พระเเก้วฟ้า" เสีย เเล้วท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงใด้เชิญ "ขุนวรวงศาธิราช ....." ขึ้นครอง ราชสมบัติ กรุงศรีอยุธยา....

 

ตามพงศาวดารกล่าวว่า "ท้าวศรีสุดาจันทร์" ปรารถนาเอา "พระเทียรราชา" ไว้ในมือ
(เป็นคู่ครอง) เเต่ไม่สำเร็จดังประสงค์ ก็จึงใด้พยายามขัดขวาง มิให้ "พระเทียรราชา" ว่าราชการด้วยความสะดวก

พระเทียรราชา จึงทูลลาออก "ทรงผนวช" เป็นพระภิกษุเสีย ...นับเเต่นั้นอำนาจในราชการบ้านเมือง ก็ตกอยู่ในมือ "ท้าวศรีสุดาจันทร์ "

เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือเเล้ว "ท้าวศรีสุดาจันทร์" ที่ ลักลอบใด้เสียกับ "พันบุตรศรีเทพ" อยู่ ( ต่อมาใด้เลื่อน ขึ้นเป็น "ขุนวรวงศาธิราช" ) เเละเมื่อ "ท้าวศรีสุดาจันทร์ มีครรภ์ " ขึ้นมา

" ขุนวรวงศาธิราช " เห็นว่าจะปกปิด เหตุ ที่ "ท้าวศรีสุดาจันทร์" มีครรภ์ กับตนเองมิใด้ ก็ "ลอบปลงพระชนม์ พระเเก้วฟ้า" เสีย เเล้วท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงใด้เชิญ "ขุนวรวงศาธิราช ....." ขึ้นครอง ราชสมบัติ กรุงศรีอยุธยา....

 

ขออนุโมทนาครับ ท่านสมเด็จพระนเรศ ท่านทรงเป็นมหาราชาธิราช เปี่ยมด้วยมหาบุญบารมี ควรแก่การกล่าวสรรเสริญและเอาเป็นแบบอย่างที่ดีครับ

อีกนิดคือ เวลาที่กระผมนึกถึงท่านสมเด็จพระนเรศครั้งใด จิตใจย่อมน้อมไประลึกถึง บุคคลอีกสามท่านคือ
1ท่านพระเจ้าบุเรงนอง
2สมเด็จพระวันรัตน์[เถระคันฉ่อง]พระอาจารย์
3 พระนางสุพรรณ
และที่ขาดไม่ได้เลยคือพระพุทธชินราช ครับ

สุดท้าย ประวัติศาสตร์ การสร้างความดี บารมี ล้วนเป็นประโยชน์เป็นแบบอย่างในการสร้างความดี ทุกๆด้าน ครับ สาธุ

 

ขออนุโมทนาครับ ท่านสมเด็จพระนเรศ ท่านทรงเป็นมหาราชาธิราช เปี่ยมด้วยหมาบุญบารมี ควรแก่การกล่าวสรรเสริญและเอาเป็นแบบอย่างที่ดีครับ



ควรอ่านก่อน Post ครับ คุณ tjs

 

..เมื่อเหตุเป็นดังนั้น จึงมีพวกข้าราชการ อัน ...."ขุนพิเรนทรเทพ" .... เป็นหัวหน้า พร้อมใจกันจับ "ขุนวรวงศาธิราช กับท้าวศรีสุดาจันทร์ ".. ฆ่าเสีย

....เเล้วจึงทูลเชิญ "พระเทียรราชา "...ขึ้น เป็นพระเจ้าเเผ่นดิน ...ทรงพระนาม ..."สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ "

เพื่อเป็นการ "พูนบำเหน็จเเก่ ข้าราชการในครั้งนั้น".. ขุนพิเรนทรเทพผู้เป็นหัวหน้ามีความชอบ ยิ่งกว่าผู้ใด อีกทั้งเป็นเ ....ชื้อเจ้าเเห่งราชวงศ์ "พระร่วงสุโขทัย " ... จึงโปรดให้ สถาปนาขุนพิเรนทรเทพ ขึ้นเป็น เจ้า ทรงพระนามว่า...."พระมหาธรรมราชา "....

พร้อมทั้ง พระราชทาน " พระวิสุทธิกษัตรี" ราชธิดา เป็น "มเหสี" เเล้วให้ขึ้นไปครองหัวเมืองเหนือทั้ง 6 อยู่ ณ เมือง ....."พระพิษณุโลก สอง เเคว"

 

..."เกิดศึกหงสาวดี"...

พระเจ้า "ตะเบงชเวตี้" พระมหากษัตริย์เเห่ง กรุงหงสาวดี ...กรีธาทัพ พม่า มอญ เข้ามาประชิด...." กรุงศรีอยุธยา"... "สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิ"...ให้กองทัพเมืองเหนือ ของ "พระมหาธรรมราชา ตีกระหนาบ "...

...กองทัพ "พระเจ้าตะเบงชเวตี้"..ใด้รับความเสียหายเป็นอันมาก ...จึงตรัสสั่งให้ถอนทัพ "หงสาวดี"...

.... เมื่อ กองทัพ พม่ารามัญ พากันล่าถอย ฝ่ายไทยเห็นใด้ที กองทัพไทย โดยการนำของ " พระราเมศวร ราชโอรส กับทั้ง พระมหาธรรมราชา "....ใด้ยกทัพติดตามข้าศึกไป ..

....เเต่ไป "เสียกล" ถูกข้าศึกล้อมจับใด้ทั้งสองพระองค์ สมเด็จพระมหาจักพรรดิ จึงทรงต้อง จำยอมเลิกรบ ...ไถ่ พระราเมศวร กับ พระมหาธรรมราชา กลับมา

เเต่นั้นจึงว่างศึกหงสาวดี 14 ปี นับเเต่ พ.ศ. 2092 จนถึงปี พ.ศ. 2106

...

 

..."เด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงพระราชสมภพ"...

....ในระหว่าง "ว่างศึก14 ปี"...นั้น พระโอรสธิดา เเห่ง พระมหาธรรมราชา กับ พระ วิสุทธิกษัตรี ถือกำเนิด 3 พระองค์ คือ "พระสุพรรณกัลยาณี"..."สมเด็จพระนเรศวร" ...."สมเด็จ พระเอกาทศรถ"....

 

ที่ห้องทำงาน มีพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ท่าน งดงามและเด็ดเดี่ยวมาก
รออ่านต่อนะค่ะ

 

...เรียน เพื่อนๆ ญาติๆ พี่น้อง เราครับ...


ผม ผู้เขียนเอง หลายปีมาเเล้ว มีโอกาสใด้อ่าน ใด้รับฟัง เเละรวบรวมพระราชประวัติ เเละประวัติ "บุพการี ของไทย "..หลายๆท่านหลายๆพระองค์ ทั้งในเเง่ บันทึก โบราณ ในเเง่ บุญญาบารมี ของเเต่ละท่าน

อาทิ ท่านนี้ ปรารถนาพุทธภูมิ หรือไม่ ถ้าปรารถนา บารมีท่านอยู่ระดับใด ปัจจุบันท่านอยู่ภพภูมิใด(จากครู อาจารย์ จากบันทึกต่างๆ) รวมทั้ง คุณูปการ ที่เเต่ละท่าน บำเพ็ญไว้ในพระบวรพุทธศาสนา เเละ ชาติบ้านเมือง...( เรื่องข้อมูล ทีเลยจากตาดูหูฟังใด้นั้น ผู้เขียน รวมรวมไว้เป็น "ข้อมูลดิบ" ส่วนตัว เท่านั้น)

ผมจะขอ "ยกตัวอย่าง" ประสบการณ์ ส่วนตัว ดังนี้ครับ ประมาณ 5 ปีก่อน ใด้มีโอกาสพาเพื่อน ไปกราบทำบุญเเละฟัง "ธรรม" จาก "พระอาจารย์ท่านหนึ่ง" ที่ภาคอิสาน
(พระอาจารย์ ท่านนี้ เป็นอาจารย์ ของ "หมออ๋อย"...หรือ "หลวงตาย่ามเเดง"...)


พระอาจารย์ มองหน้าผู้เขียน เเล้วกล่าวว่า "โยม รู้ไหมว่า ในหลวง องค์ปัจจุบัน ท่านเกิดอีก 5 ชาติ บารมีพระโพธิญาณ จะบริบูรณ์ "

เเละเนื่อง ด้วยผู้เขียนเอง เป็น ผู้รวบรวม เท่านั้น ไม่ใด้มี "ญาณทัศนะ ใดๆ" หากเพื่อนๆเรา มีข้อมูลใดมา ก็ช่วยกันเพิ่มเติม ช่วยกันเเก้ไขนะครับ


เเละในหัวข้อ "สมเด็จพระนเรศวร มหาราช " ผู้เขียน สรุป จาก "พระนิพนธ์" "สมเด็จกรมพระยาดำรงค์ ราชานุภาพเป็นหลัก"....เเต่ ก็ใด้ เสาะหาข้อมูลจากเเหล่งอื่นๆ ประกอบบ้าง ...

.....จะขอเล่าเกร็ดเล็กน้อยให้ พวกเราใด้ทราบดังนี้ครับ

สมเด็จ กรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ ทรงใด้รับผลกระทบทางการเมืองจากการ เปลี่ยนเเปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ...ใด้เสด็จ ไปอยู่เกาะปีนัง หลายปี

... พระนิพนธ์ เรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนี้ "สมเด็จ กรมพระยาท่าน" ทรงเเต่ง ขณะลี้ภัย อยู่ ในตอนนั้นทรงหมายพระทัยที่ .... "จะ".... "ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเเด่ สมเด็จพระปรเมนทรมหา อานันทมหิดล "....ในวโรกาส " ทรง เสด็จกลับ พระนคร (จากการทรงศึกษาที่ยุโรป) เพื่อมาทรงรับราชสมบัติ "สืบสันตติวงศ์ ใน พระบรมราชวงศ์จักรี "

 

..." พระเจ้า บุเรงนอง ".....

....เมื่อ "พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ " ล่าทัพจากเมืองไทยไป พงศาวดารพม่าว่าไว้ดังนี้....

...พอ "กิตติศัพท์เลื่องลือ" ว่า "พระเจ้าตะเบงชเวตี้" "เเพ้เเก่กองทัพไทย"..." พวกมอญ"..เห็นใด้ช่องก็คิดร้าย

( พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ นั้นเป็น พม่าเมืองตองอู มิไช่มอญ เป็นเเต่ มีอานุภาพ ปราบเมืองมอญ ไว้ใต้อำนาจเเล้ว มาตั้งราชธานีอยู่ ณ เมือง หงสาวดี )..

...พวกมอญที่เป็นขุนนาง ...จึงคบคิดกัน ล่อลวง "พระเจ้าหงสาวดี"....ให้ออกไปตามช้างเผือกในป่า "เเล้วจับปลงพระชนม์เสีย"..

...."เมื่อพระเจ้า ตะเบงชะเวตี้ ถูกปลงพระชนม์"... บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ พากันตั้งตัวเป็นอิสระ มิใด้รวมกันเป็นประเทศใหญ่ เหมือนอย่างเเต่ก่อน

 

....."พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ "...มี พระญาติ 1 องค์ ซึ่งเป็นคู่คิดช่วยทำศึกสงครามมา เเต่เเรก

จึงสถาปนาให้ทรงศักดิ์เป็น ...." บุเรงนอง " ตรงกับคำไทยว่า ..." พระเชษฐาธิราช "..

..เมื่อเกิดกบถ ที่ "เมืองหงสาวดี" นั้น บุเรงนองหลบหนีไปใด้จาก เมืองหงสาวดี ไปอาศัยถิ่นเดิมคือเมือง.... "ตองอู"...

เมื่อ บุเรงนอง เห็นเหตุการณ์ ที่ พวกหัวเมืองมอญ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ เเละรบพุ่งกันเอง ..

บุเรงนองจึงตั้งตัวเป็นใหญ่ ณ เมืองตองอูใด้โดยสะดวก เหตุเพราะผู้คน ต่างเชื่อถือว่าเคยเป็นเเม่ทัพสำคัญ คุมไพร่พลมาก่อน เเล้ว บุเรงนอง ก็สามารถ ตีเมืองมอญใด้ทั้งหมด

แล้วจึง.... " ราชาภิเษกเป็นพระเจ้าหงสาวดี " ...เมื่อ ปีฉลู พ.ศ. 2096 ... (ก่อน สมเด็จพระนเรศวร เสด็จสมภพ 2 ปี )

 

....."พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ "...มี พระญาติ 1 องค์ ซึ่งเป็นคู่คิดช่วยทำศึกสงครามมา เเต่เเรก

จึงสถาปนาให้ทรงศักดิ์เป็น ...." บุเรงนอง " ตรงกับคำไทยว่า ..." พระเชษฐาธิราช "..

..เมื่อเกิดกบถ ที่ "เมืองหงสาวดี" นั้น บุเรงนองหลบหนีไปใด้จาก เมืองหงสาวดี ไปอาศัยถิ่นเดิมคือเมือง.... "ตองอู"...

เมื่อ บุเรงนอง เห็นเหตุการณ์ ที่ พวกหัวเมืองมอญ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ เเละรบพุ่งกันเอง ..

บุเรงนองจึงตั้งตัวเป็นใหญ่ ณ เมืองตองอูใด้โดยสะดวก เหตุเพราะผู้คน ต่างเชื่อถือว่าเคยเป็นเเม่ทัพสำคัญ คุมไพร่พลมาก่อน เเล้ว บุเรงนอง ก็สามารถ ตีเมืองมอญใด้ทั้งหมด

แล้วจึง.... " ราชาภิเษกเป็นพระเจ้าหงสาวดี " ...เมื่อ ปีฉลู พ.ศ. 2096 ... (ก่อน สมเด็จพระนเรศวร เสด็จสมภพ 2 ปี )

 

กราบอนุโมทนากับท่าน จขกท ที่นำประวัติของพระองค์ท่านมาให้รับทราบ ท่านทรงคุณต่อประเทศชาติบ้านเมืองยิ่งนัก

 

สาธุ ๆ ๆ มีสิ่งมีประโยชน์มาให้อ่านอีกแล้ว แบบนี้ดีครับ

 

..................."เกิดศึกหงสาวดี ครั้งที่สอง"...

............สมเด็จพระนเรศวร เมื่อ พระชันษา 8 ขวบก็เกิด " ศึกหงสาวดี ครั้งที่ 2".....

... "เมื่อ พระเจ้าหงสาวดี บุเรงนอง"... จัดการปกครอง "เมืองมอญ"..

เรียบร้อยเเล้ว จึงขึ้นไปตี.... "เมืองพม่า เเละ ไทยใหญ่ "... ใด้ทั้งหมด

ถัดจากนั้นมาตีเมือง.... "เชียงใหม่"....พระเจ้า เชียงใหม่ "เมกุติ".. เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ "จำยอมเป็น เมืองขึ้นของหงสาวดี "..

" พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง"..ใด้ทรง พยายามสะสมกำลัง อยู่นับ 10 กว่าปี เพราะฉะนั้นเมืองไทย "จึงว่างศึกหงสาวดี" อยู่ 14 ปีดังกล่าว


(ผู้เขียนขอ เเทรก เกร็ดเพิ่มเติมสักนิด ดังนี้ อันว่า..."เมืองเชียงใหม่".... นั้น" พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดท่าซุง" องค์ท่านให้ความเห็นไว้ว่า "เป็นเมือง น่าเห็นใจ เมืองไทยเข้มเเข็งก็ ยกทัพไป ตี หากเวลาที่ พม่ามอญ เข้มเเข็ง ก็ มารุกราญ "....)

(เเละมีบันทึกเอาไว้ว่า .. "องค์ สมเด็จพระเจ้า ตากสิน มหาราช"... ทรง ตรัสว่า เมืองเชียงใหม่นั้น หากกองทัพไทย "กรุงศรีอยุธยา" ยกทัพไปตีคราใด ใน ครั้งเเรก..."มักจะ" ...ไม่สำเร็จ ต่อเมื่อ ยกทัพไป "ครั้งที่สอง จึง จะมีชัยชนะ" )