พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิญญาณสัตว์จะกู่ร้องหาความยุติธรรมในนรก คำยืนยันจาก"หลวงปู่คำคนิง" เมื่อสัตว์เป็นโจทก์ฟ้องมนุษย์ต่อหน้าพระยายม!

    -http://www.pageqq.com/en/content/view/page/1/0-53177.html-

    เรื่องราวต่อเนื่องหลังจากที่หลวงปู่คำคนิงได้มานรก เพราะต้องรับผลของเศษกรรมที่ได้ก่อนไว้ เมื่อใช้กรรมเรียบร้อยแล้วจึงขอพญายม เดินท่องเมืองนรก จนกระทั้งพบ...



    หลวงปู่ออกเดินชมต่อไป รู้สึกว่าเดินตัวเบาหวิว เท้าไม่แตะพื้น เคลื่อนไถลไปอย่างรวดเร็ว เบา นุ่มนวล สบายอย่างยิ่ง มาถึงที่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงหมู่สัตว์อื้ออึง ระงมเซ็งแซ่ไปหมด เสียงเป็ด ไก่ สุนัข วัว ควาย หมู ม้า ช้าง พวกสัตว์เหล่านี้กำลังส่งเสียงร่ำร้องเป็นภาษามนุษย์กล่าวโทษโจทก์ฟ้องร้องจ่ายมบาลว่า

    “พวกมนุษย์ที่ขาดศีลธรรมได้ทำร้ายและทรมานพวกมันอย่างไรบ้าง?”


    มีช้างสารเชือกหนึ่ง ยืนแกว่งหัวอันใหญ่โตไปมา มันร้องทุกข์เป็นภาษามนุษย์ว่า มนุษย์ใจดำ อำมหิตมาก เอาตะขอเหล็กสับหัวมันจนเลือดไหลได้รับความเจ็บปวด

    นอกจากนั้น มนุษย์ยังเอาปลอกขาใส่มัน ทำให้เดินไม่สะดวก แล้วยังเอาบ้านเรือนขึ้นไปปลูกใส่หลังมัน (หมายถึงเอากูบใส่หลัง) มันเรียกร้องให้จ่ายมบาลเอาตัวมนุษย์คนนั้นมาลงโทษให้จงได้

    หลวงปู่ได้ฟังแล้วก็สลดใจ ! เพิ่มพูนความเชื่อมั่นในกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นแฟ้นว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายตายแล้วต้องเกิดอีก บาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง จิตวิญญาณเป็นธาตุเดิมแท้ ส่วนร่างมนุษย์ร่างสัตว์ต่างๆนั้น เป็นเพียงพาหนะ หรือหุ่นสรีระยนต์สำหรับให้จิตวิญญาณเข้าสิงสู่ในแต่ละภพชาติเท่านั้น เช่น ชาติก่อนเกิดเป็นช้าง ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดา หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามอำนาจบุญกรรมนำแต่ง



    เมื่อเรามารู้ความจริงเสียแล้วเช่นนี้ ก็ควรจะนำความรู้นี้กลับไปเที่ยวบอกกล่าว สั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้รู้ความจริง จะได้เลิกเบียดเบียน กดขี่ข่มเหง ทำทารุณสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ช้าง ม้า เป็นต้น เพราะทุกชีวิตต่างก็มีจิตวิญญาณ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : -http://thammadeedee.blogspot.com/2011/01/blog-post_928.html,ปัญญาญาณ สำนักข่าวทีนิวส์-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • shy.png
      shy.png
      ขนาดไฟล์:
      727.4 KB
      เปิดดู:
      68
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    DSI เตือนประชาชน ระวังภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปลอมเบอร์โทรเป็น DSI จริง หลอกให้โอนเงิน

    -http://www.it24hrs.com/2016/phone-scam-voip-dsi-fake-warning/-

    ระวังภัยหลอกลวงผ่านทางโทรศัพท์ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ประกาศเตือนภัยระวังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรศัพท์หลอกลวงประชาชนให้โอนเงิน

    โดยตอนแรกคนร้ายจะแอบอ้างว่าเป็นโทรศัพท์มาจากธนาคารพาณิชย์ โทรมาแจ้งให้ทราบว่าวงเงินสินเชื่อที่ขอไว้กับธนาคารได้รับอนุมัติแล้ว ทั้งที่เหยื่อไม่ได้ทำการร้องขอ จากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคาร (ตัวปลอม) จะสร้างเรื่องว่า อาจมีผู้นำข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อไปเปิดบัญชีธนาคารและขอสินเชื่อ จึงขอส่งข้อมูลให้ DSI ตรวจสอบและวางสายไป

    ต่อมา จะมีโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องของเหยื่อ แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI แสดงหมายเลขโทรเข้าเป็น 0-2831-9888 ซึ่งเป็นหมายเลขเบอร์โทรของ DSI จริง โดยปลายสายจะแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI โทรมาสอบถามข้อมูลส่วนตัวเพิ่มเติมรวมทั้งข้อมูลทางการเงิน จากนั้นจะแจ้งว่าเหยื่อถูกลักลอบใช้ข้อมูลส่วนตัวมาเปิดบัญชี และจะย้ำให้เหยื่อโทรกลับมาที่ DSI ตามหมายเลขที่ปรากฎเพื่อหลอกลวงให้เหยื่อเชื่อว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI จริง

    เนื่องจากหมายเลขโทรศัพท์ 0-2831-9888 นี้เป็นหมายเลขติดต่อจริงๆ ของ DSI ดังนั้นไม่ว่าเหยื่อจะตรวจสอบจากเว็บไซต์หรือโทรศัพท์ติดต่อกลับเข้ามาที่หมายเลขดังกล่าวก็จะพบว่าเป็นหมายเลขติดต่อของ DSI จริง ทำให้เหยื่อเชื่อถือผู้ที่ติดต่อเข้ามา จากนั้นคนร้ายจะหว่านล้อมให้เหยื่อไปทำธุรกรรมที่ตู้ ATM โอนเงินออกจากบัญชีไปยังบัญชีที่คนร้ายเตรียมไว้ โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการรักษาไม่ให้บัญชีของคุณถูกอายัด

    DSI แจ้งว่า การโทรศัพท์หลอกลวงในลักษณะนี้กำลังระบาดหนัก โดยมีลักษณะแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงานที่เป็นหน่วยงานด้านการเงินและหน่วยงานความมั่นคง เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงาน ปปง. ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพากร หรือธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น

    และคนร้ายใช้วิธีการโทรศัพท์ผ่านระบบ VoIP ซึ่งสามารถปลอมเบอร์โทรเข้าให้เป็น 0-2831-9888 ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์กลางของ DSI และ หมายเลขใดๆ ก็ได้ ทำให้เหยื่อจำนวนมากหลงเชื่อและสูญเสียเงินไป

    phone-scam-voip-dsi-fake-warning-02

    ทั้งนี้ ทาง DSI ได้ออกแจ้งเตือนว่า เจ้าหน้าที่จาก DSI จะไม่มีการโทรศัพท์ไปแจ้งให้บุคคลใดโอนเงินผ่าน ATM หรือธนาคาร หากพบว่ามีโทรศัพท์ลักษณะนี้ติดต่อเข้ามาก็อย่าลงเชื่อ ให้ปฎิเสธโดยการวางสายไป เพราะเจ้าหน้าที่ DSI ไม่กระทำการแจ้งเตือนให้โอนเงินผ่าน ATM
    แต่หากหลงเชื่อโทรศัพท์หลอกลวง และโอนเงินไปแล้ว ให้รีบแจ้งธนาคารเจ้าของบัญชี และแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เกิดเหตุทันที เพื่อหยุดรายการที่คนร้ายถอนเงินไปจากบัญชี

    ข้อมูลจาก เว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI
    -https://www.dsi.go.th/view.aspx?tid=T0001519-
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    4 คำถามเรื่องพินัยกรรม ที่ทุกคนต้องรู้
    -http://money.sanook.com/415503/-



    -http://www.moneyguru.co.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพินัยกรรมคืออะไรนะคะ สำหรับพินัยกรรมนั้นเป็นการแสดงเจตนาเผื่อตาย เพื่อกำหนดว่าจะให้ใครดูแลจัดการทรัพย์สินและหนี้สินในส่วนใดของเรา หลาย ๆ คนคงจะเคยเห็นหรือเคยได้ยินตามละครหลังข่าวกันบ่อย ๆ เวลาที่มีตัวละครตายจะต้องมีการเปิดพินัยกรรมที่มีมรดกเป็นพันล้านบาท แต่ในหมู่คนทั่ว ๆ ไป ที่ไม่มีทรัพย์สินมากขนาดนั้น พินัยกรรมจะเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่? วันนี้ MoneyGuru.co.th มีคำตอบมาฝากค่ะ

    พินัยกรรมจำเป็นไหม?
    จริง ๆ แล้วพินัยกรรมเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเอาไว้ค่ะ ไม่ใช่แค่เฉพาะคนที่มีทรัพย์สินมาก ๆ เท่านั้นที่ต้องทำพินัยกรรม เพราะพินัยกรรมจะเป็นการแสดงเจตนาของผู้ตายว่า ต้องการที่จะแบ่งทรัพย์สินส่วนใดให้ใครบ้างอย่างชัดเจนที่สุด และก่อให้เกิดปัญหาทางทรัพย์สินน้อยที่สุด เพราะในพินัยกรรมจะต้องระบุตัวคนรับพินัยกรรมอย่างชัดเจน ทำให้ไม่เกิดปัญหาการอ้างสิทธิในมรดกระหว่างทายาทด้วยกัน

    พินัยกรรมกำหนดอะไรได้บ้าง?
    พินัยกรรมนอกจากจะกำหนดให้ทรัพย์สินเป็นของใครได้บ้างแล้ว ยังสามารถกำหนดเรื่องอื่น ๆ ที่สามารถมีผลบังคับได้ตามกฎหมายอีกด้วย เช่น กำหนดวิธีการจัดการศพ การบริจาคส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้โรงพยาบาล กำหนดให้ใครจะเป็นผู้ดูแลลูกของคุณต่อไป หรือกำหนดให้ใครไปติดต่อยกเลิกบัตรเครดิตที่คุณเคยสมัครไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียค่ารายปีต่อไป

    วิธีทำพินัยกรรม
    คุณสามารถทำพินัยกรรมได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพานักกฎหมาย เพียงแต่ต้องทำให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น พินัยกรรมที่สามารถทำเองได้คือพินัยกรรมแบบเขียนเอง กรณีนี้ คุณต้องเขียนพินัยกรรมเองทั้งฉบับ ทั้งลงวันที่ด้วยลายมือของคุณเอง และลงลายมือชื่อกำกับในตอนท้ายของพินัยกรรมโดยไม่ต้องมีพยานรับรอง เพียงเท่านี้ พินัยกรรมของคุณก็ใช้ได้แล้วค่ะ

    แต่ถ้าหากต้องการให้มีคนรับรู้เกี่ยวกับพินัยกรรม คุณก็สามารถทำพินัยกรรมที่พิมพ์ขึ้น ลงวันที่ จากนั้นก็ลงชื่อ พร้อมพยานอีกสองคน และระบุว่าใครมีสิทธิได้ทรัพย์สินอะไรบ้าง เพียงเท่านี้พินัยกรรมก็จะมีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อคุณตายค่ะ

    เงินประกันชีวิต ต้องกำหนดไว้ในพินัยกรรมหรือไม่?
    ในส่วนของเงินประกันชีวิตที่จะได้เมื่อตายนั้น ไม่ใช่มรดก เราจึงไม่อาจกำหนดไว้ในพินัยกรรมได้ค่ะ เพราะเงินประกันชีวิตนั้นจะได้ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันชีวิตตายลง จึงไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้เอาประกันชีวิตที่มีอยู่ก่อนตาย แต่บริษัทประกันภัยจะจ่ายให้ผู้รับประโยชน์ตามที่กำหนดในสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น ไม่จ่ายให้กับทายาทอื่น จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินประกันชีวิตแต่อย่างใดค่ะ

    พินัยกรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในการจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สิน เงินฝาก เงินลงทุนทั้งหลายของคุณ เพื่อคนที่มีชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากที่คุณจากโลกนี้ไปจะได้แบ่งสันปันส่วนทรัพย์สินของคุณได้อย่างลงตัวตามเจตนาในพินัยกรรมของคุณ

    และหากคุณอยากรู้ข้อมูลทางการเงินและประกันรถยนต์ ก็สามารถกด Subscribe เพื่อรับสาระความรู้แบบนี้จาก MoneyGuru.co.th ได้เลยค่ะ เราจะส่งตรงถึงอีเมลของคุณทุก ๆ สัปดาห์
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อตัวเองเป็นแค่ทางผ่านของเงินเดือน แล้วชีวิตจะเหลืออะไร
    -http://money.sanook.com/415359/-



    -https://moneyhub.in.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีความฝันอันสวยหรูเมื่อเริ่มทำงานว่าภายในปี XXX จะต้องเก็บเงินให้ได้เท่านั้นเท่านี้ เพื่อที่ตัวเอง พ่อแม่และลูกเมียจะได้สบาย


    ทว่าพอเข้าสถานการณ์จริงดูเหมือนว่าเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นได้แค่อุดมคติ ไม่มีวันเป็นจริง สำหรับมนุษย์เงินเดือน คนทำงานหลายคน กลายสภาพจากแหล่งหาเงินทุนกลายเป็นเพียงทางผ่านของเงินเดือน พอรับมาแล้วก็จ่ายไป พอรู้ตัวอีกทีหนึ่งก็พบว่าตัวเองมีเงินเก็บอยู่แค่นิดเดียว บางคนไม่มีเงินเก็บเลยสักบาทด้วยซ้ำ จนเกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมแทนที่เราจะกลายเป็นแหล่งเงินทุนให้พ่อแม่ลูกเมียสบาย กลายเป็นแค่ทางผ่านของเงินเดือน อย่าว่าแต่พ่อแม่เลย แม้ตัวเราเองก็ยังไม่ได้อะไรจากการทำงานมาร่วม 5 ปี 10 ปี เลย


    จากการข้อมูลเราพบกับกระทู้ ๆ หนึ่ง ในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ชื่อกระทู้ว่า “มนุษย์เงินเดือนเรา...เก็บเงินได้เท่าไหร่แล้วครับ เก็บยังไง อะไรคือสาเหตุที่เก็บเงินไม่อยู่บ้างครับ...แชร์กันครับ” อ้างอิง : http://pantip.com/topic/31528279 ซึ่งในกระทู้ก็มีคนมาตอบถึง 43 ความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่ มนุษย์เงินเดือนในกระทู้นั้นจะเล่าว่าตนเองได้เงินเดือนอยู่เดือนละ XXX บาท แล้วต้องนำมาใช้จ่ายทั้งค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมัน ฯลฯ พอรู้ตัวอีกที เงินก็หมดแล้ว

    แต่บางคนก็บอกว่าจริงๆ แล้ว ตนเองได้เงินเดือนมาก แต่เพราะเป็นคนใจดี เจอใครก็ต้องซื้อของไปฝากเขาเสมอ ใครมาขอยืมก็ให้ยืม รู้ตัวอีกที เงินเดือนก็หมดไปกับการซื้อของฝาก การให้คนอื่นยืมไปแล้ว หรือไม่บางคนก็หมดไปกับของฟุ่มเฟือย อย่างไม่รู้จะทำอะไรก็ไปชอปปิ้ง ซื้อพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า บางเดือนเรียกได้ว่าซื้อทุกสัปดาห์และในที่สุดเงินก็หมดไปกับสิ่งของเหล่านี้


    แม้ว่าในกระทู้จะมีอยู่หลายสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคนกลายเป็นเพียงทางผ่านของเงินเดือน แต่เมื่อนำมาสรุปประเด็นแล้ว ก็จะได้ว่าสาเหตุที่มีปัญหาดังกล่าว เป็นเพราะ “ไม่รู้จักวางแผนการใช้เงิน” พอรายจ่ายมารอและได้เงินมาก็ใช้ ๆ ไปก่อน ไม่นึกถึงอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ทำให้พอบางเดือนมีค่าใช้จ่ายน้อย เงินเก็บก็จะมาก แต่เดือนไหนมีค่าใช้จ่ายมาก รายได้ก็แทบจะไม่เหลือเลย อาจดูเหมือนว่าเป็นจุดบกพร่องเล็ก ๆ แต่จุดบกพร่องเล็ก ๆ นี่แหละที่อันตรายมาก เพราะนำไปสู่ความเสี่ยงของการไม่มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน อย่างเช่น ถูกให้ออกจากงานหรือคนในครอบครัวประสบเหตุที่ต้องใช้เงิน อีกทั้งยังทำให้ไม่มีเงินเก็บไว้ดูแลตัวเองยามชราอีกด้วย กลายเป็นปัญหาใหญ่กันเลยทีเดียว


    จากที่กล่าวมาทั้งหมด เชื่อว่าผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ คงจะรู้ว่าสาเหตุที่มนุษย์เงินเดือนเก็บเงินไม่อยู่คืออะไร และเป็นปัญหาร้ายแรงขนาดไหน เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่ในวัฏจักรแบบนั้น จงหาทางออกโดยเร็ว ต่อไป เราจะไปดูกันว่า ทำอย่างไร เราจึงจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เป็นแหล่งเงินทุนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทางผ่านของเงินเดือนแบบที่เคยเป็นมา


    ข้อสำคัญที่สุดประการแรก ก็คือ ต้องรู้จักวางแผนทางการเงิน อย่าคิดแต่ว่า ถ้าเงินเหลือแล้วค่อยเก็บก็ได้ เพราะถ้าคิดอย่างนั้น เงินมันจะไม่เหลือเลย ต้องมีการทำบัญชีให้แน่ชัดว่าเดือนนี้ได้เงินมาเท่านี้จะต้องเอาไปใช้อะไรบ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต รวมทั้งค่ากินของตนเองและคนในครอบครัวด้วย เพื่อที่จะได้รู้ทิศทางที่แน่นอนต่อให้มีอะไรที่เกินงบมา ก็ไม่เจ็บตัวมากและที่สำคัญ กำหนดเงินออมให้แน่ชัดไปเลย ว่าจะออมครั้งละกี่บาท แต่จำนวนที่กำหนดไว้ก็ต้องไม่สูงเกินไป เพราะอาจทำให้ทำตามไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่เก็บ อาจจะกำหนดไว้สัก 500 บาท 1,000 บาทต่อเดือน ก็ได้

    เพื่อให้ทำตามได้จริง ๆ อย่าเพิ่งรีบหมิ่นว่าเงินออมทีละน้อย ๆ แล้วจะเอาไปทำอะไรได้ ขอบอกว่าต่อให้เงินออมต่อครั้งน้อย แต่ถ้าออมติด ๆ กันเป็นเดือน เป็นปี มันก็อาจจะกลายเป็นหลักหมื่น หลักแสน หลักล้านก็ได้


    ขั้นต่อมา ถ้าอยากจะมีเงินเก็บ คือ อย่ายึดติดทำแต่งานประจำเพียงอย่างเดียว ลองเอาเงินออมที่ได้จากข้อที่ 1 ไปลงทุนบ้าง อาจจะลงทุนรับสินค้ามาขายหรือลงทุนในหุ้น กองทุนรวมแห่งประเทศก็ได้ พวกการลงทุนเหล่านี้จะทำให้เงินเกิดการงอกเงยขึ้น ไม่แช่แข็งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน ๆ บางคน ออมเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วเอาไปลงทุนหุ้น จนทุกวันนี้ได้เงินปันผลมา 4-5 เท่าของเงินออมเดิมก็มี แต่ทั้งนี้การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง


    ข้อสำคัญข้อสุดท้าย คือ อย่าเป็นหนี้เด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นในระบบหรือนอกระบบก็ตาม เพราะหนี้นี่แหละ เป็นตัวการสำคัญที่จะดูดเงินรายได้ของเราไป แต่ทีนี้ หนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ หนี้จำเป็น เช่น การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าน้ำ ค่าไฟต่าง ๆ อันนี้จะห้ามไม่ให้เป็นก็คงไม่ได้ ดังนั้น เราต้องบริหารหนี้ส่วนนี้ให้อยู่ในกำลังของเรา อย่าทำให้มันงอกจนจ่ายไม่ไหว

    กับหนี้แบบที่ 2 คือ หนี้ไม่จำเป็น ซึ่งเกิดจากการกู้เงิน รูดบัตรเครดิต เพื่อนำเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือย หนี้ส่วนนี้ ขอให้ควบคุมอย่าให้มันเกิดขึ้นมาเด็ดขาด ขอให้ใช้เงินแต่พอดี อย่าเกินตัวจนต้องไปสร้างหนี้ตัวนี้ขึ้นมา


    วัฏจักรการเป็นทางผ่านเงินเดือนของมนุษย์เงินเดือนนั้น แม้จะไม่ได้ก่อความเดือดร้อนในตอนนี้ แต่มันจะส่งผลชัดเจน เมื่อเกิดวิกฤติในชีวิตหรือเมื่อต้องเกษียณอายุการทำงาน เพราะฉะนั้น หากมนุษย์เงินเดือนคนใดกำลังประสบกับชะตากรรมนี้อยู่ ขอให้เริ่มเก็บเงิน วางแผนการเงินเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะสายเกินไป


    สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
    -https://moneyhub.in.th/-
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2560 ปรับใหม่ ดูชัด ๆ เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไรถึงต้องเสียภาษี
    -http://money.kapook.com/view146748.html-

    ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2560 ปรับโครงสร้างครั้งนี้ช่วยเสียภาษีน้อยลง แต่มนุษย์เงินเดือนจะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนเท่าไรกัน ลองมาดู

    มนุษย์เงินเดือนได้เฮกันดัง ๆ เมื่อคณะรัฐมนตรีไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560 ซึ่งมีทั้งเพิ่มวงเงินหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวเป็น 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มค่าลดหย่อนทั้งส่วนตัว คู่สมรส บุตร รวมทั้งปรับอัตราภาษีในช่วงอัตราร้อยละ 30-35 ที่จากเดิมมีรายได้สุทธิ 4,000,001 บาทขึ้นไปต้องเสียภาษี 35% ปรับเป็นต้องมีรายได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป (อ่านข่าว ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2560 ค่าลดหย่อนเพียบ เงินเดือน 26,000 ถึงเสียภาษี)

    การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560 ดังกล่าว ส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนเสียภาษีในอัตราน้อยลง ซึ่งทางเพจเฟซบุ๊ก กรมสรรพากร (Revenue Department) ก็ได้ทำภาพมาให้ดูกันชัด ๆ ว่า มนุษย์เงินเดือนจะเริ่มมีภาษีที่เงินเดือนแค่ไหน หากใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียว

    กรณีโสด หรือสมรสแต่แยกยื่นภาษี

    - ใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียว : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 25,833 บาท
    - มีบุตร 1 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 28,333 บาท
    - มีบุตร 2 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 30,833 บาท
    - มีบุตร 3 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 33,333 บาท
    - มีบุตร 4 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 35,833 บาท

    กรณีคู่สมรสมีเงินได้และรวมยื่นภาษี

    - ใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวและคู่สมรสเพียงอย่างเดียว : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 39,166 บาท
    - มีบุตร 1 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 44,166 บาท
    - มีบุตร 2 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 49,166 บาท
    - มีบุตร 3 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 54,166 บาท
    - มีบุตร 4 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 59,166 บาท

    คราวนี้มาดูว่าสำหรับคนโสดที่มีเงินเดือนมากกวา 25,833 บาท จะต้องเสียภาษีประมาณเท่าไร (ในที่นี้คำนวณเบื้องต้นจากรายได้สุทธิโดยหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวไม่เกิน 100,000 บาท และหักค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท)


    ส่วนใครที่มีค่าลดหย่อนอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ประกันชีวิต, กองทุน LTF-RMF, ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา, เงินบริจาคต่าง ๆ ฯลฯ ก็จะมีอัตราเงินเดือนเริ่มต้นเสียภาษี กับจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายลดลงจากตัวเลขดังกล่าว โดยการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้จะใช้สำหรับการยื่นแบบภาษีในปี 2561


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    กรมสรรพากร, เฟซบุ๊ก กรมสรรพากร (Revenue Department)

    -https://www.facebook.com/RevenueDepartment/photos/a.195554743806681.53390.193960577299431/1273309289364549/?type=3&theater-

    -https://www.facebook.com/RevenueDepartment/photos/a.195554743806681.53390.193960577299431/1273309289364549/?type=3&theater=-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • salary_1.jpg
      salary_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.9 KB
      เปิดดู:
      61
    • tax60.jpg
      tax60.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.2 KB
      เปิดดู:
      91
    • z4.jpg
      z4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.2 KB
      เปิดดู:
      77
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "5 พฤติกรรมทำให้รวยแบบ Warren Buffett"

    -https://www.facebook.com/aommoneyth/posts/1057915674261572:0-



    1. หลีกเลี่ยงของแพง
    Warren Buffett มักแนะนำว่า เราไม่ควรซื้อรถหรูราคาแพง หรือเสื้อผ้าแบรนด์เนม แต่เราควรเก็บเงินของเราไว้ เพื่อใช้ในการลงทุนต่อยอดเมื่อโอกาสในการลงทุนมาถึง แม้บางครั้งเราต้องอดทนรอ แต่เราจะรู้สึกดีเมื่อเห็นเงินของเราเติบโตขึ้น มากกว่าที่จะเห็นเงินลอยหายไปกับสิ่งของที่เป็นเพียงของฉาบฉวยและสร้างความพึงพอใจได้ไม่นาน Warren Buffett ไม่มีเรือยอร์ชหรือสิ่งของหรูๆ เพราะเขารู้ว่าของเหล่านี้กลับเป็นเจ้าของเรา แทนที่เราจะเป็นเจ้าของมัน!!!
    บอกเล่าเก้าสิบ - Say no!!! ของแพงที่เป็นตัวลดความมั่งคั่ง

    2.จงประหยัด
    'ราคาคือมูลค่าที่คุณจะจ่าย คุณค่าคือสิ่งที่คุณจะได้' Warren Buffett บอกเสมอว่าวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการรักษาเงินไว้ คือ ไม่จ่ายเงินซื้อของในราคาเต็มจำนวน หนทางสู่ความมั่งคั่งนั้นเริ่มจากความคิดที่ว่าเราต้องประหยัดและนำเงินที่ได้จากการประหยัดนั้นไปใช้ในการลงทุนหรือเก็บออม จำไว้เสมอว่าเงินคือเมล็ดพันธุ์ที่จะเติบโตออกดอกผลมาเป็นเงินอีกจำนวนมาก หากคุณคิดแบบนี้จะทำให้สมองของคุณคิดหาวิธีที่จะลดรายจ่ายเพื่อที่จะนำเงินที่เหลือไปทำงานสร้างดอกผลต่อ!
    บอกเล่าเก้าสิบ - มองหาของลดราคาหรือรอจนกว่าของที่ต้องการราคาลดลงจนอยู่ในระดับที่ดีพอ

    3.รู้จักรอคอย
    'นั่นก็เพื่อไม่ให้คุณทำเรื่องโง่ๆ' ชีวิตจะง่ายมากหากเราแกล้งลืมๆ การคิดถึงข้อดีกับข้อเสียก่อนจะตัดสินใจในเรื่องเกี่ยวกับเงินๆทองๆ แต่นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราใช้เงินเกินความจำเป็นบ่อยๆ Warren Buffett จะจดบันทึกความคิดต่างๆเอาไว้เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าทางเลือกไหนทำให้การเงินของเขาประสบความสำเร็จ ความสำเร็จของ Warren Buffett ไม่ได้มาจากการทำหลายสิ่งให้ถูกต้องเท่านั้น แต่มาจากการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดด้วย คนที่ประสบความสำเร็จด้านการเงินนับไม่ถ้วนเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่เยอะมากแต่กลับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่จากนั้นกลับทำในสิ่งที่ไม่ได้เรื่องจนต้องกลับไปอยู่ในจุดเดิม
    บอกเล่าเก้าสิบ - อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องเงินๆทองๆ

    4.เก็บออมและปลอดหนี้
    'จงใช้จ่ายหลังจากเก็บออม' เมื่อมีคนถาม Warren Buffett ว่า 'อะไรคือข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับเรื่องเงิน?' คำตอบของเขาคือ 'ผมคิดว่าข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดคือการไม่เรียนรู้นิสัยที่จะออมเงินแต่เนิ่นๆเพราะการออมเป็นนิสัยที่ต้องฝึกฝน จากนั้นก็พยายามที่จะร่ำรวยให้ได้อย่างรวดเร็ว มันง่ายมากที่จะทำทุกอย่างให้ดีแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้รวยได้อย่างรวดเร็ว' เราไม่สามารถรวยได้จากเงินที่ยืมมาใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตหรือสินเชื่อต่างๆ แต่หลายคนคิดว่าสามารถจัดการที่ยืมมาได้ แต่จากประสบการณ์ของหลายคนพบว่าการจัดการหนี้นั้นลำบากมาก
    บอกเล่าเก้าสิบ - ฝึกตนเองให้เก็บออมเงินทุกบาท

    5.ซื้อของแบบถ่อมตน
    'การลงทุนที่ดีที่สุดอย่างที่ 3 ของผมก็คือบ้านที่ผมอยู่' Warren Buffett อาศัยอยู่ในบ้านขนาด 5 ห้องนอนซึ่งเป็นบ้านที่เขาซื้อตั้งแต่ปีค.ศ. 1958 ตอนที่เขาซื้อบ้านหลังนี้ราคา 31,500 ดอลลาห์ (ประมาณ 1 ล้านบาท) ตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นมาเป็น 255,000 ดอลลาห์ (ราวๆ 8.8 ล้านบาท) แม้การซื้อบ้านราคาแพงที่ห้อมล้อมด้วยเพื่อนบ้านมีฐานะช่างเป็นสิ่งที่ยั่วยวนในบางครั้ง แต่การซื้อบ้านที่พอเหมาะและสะดวกสบายเหมือน Warren Buffett ก็ช่วยให้คุณประหยัดเงินและสามารถนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ลงทุนสำหรับการเกษียณต่อได้อีก การประหยัดเพื่อที่จะเป็นเจ้าของบ้าน 1 หลังต้องใช้เวลานานมาก แต่การซื้อบ้านในราคาที่พอเหมาะจะช่วยให้คุณไม่เข้าสู่วงจรหนี้อีกด้วย

    บอกเล่าเก้าสิบ - ซื้อบ้านราคาน้อยกว่าที่คุณหาเงินได้และคุณจะกลายเป็นคนร่ำรวย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    20 คำถาม-คำตอบไขข้อสงสัย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2560

    -http://money.kapook.com/view150002.html-


    มาร่วมไขข้อสงสัยเรื่อง ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ รู้ไว้ให้ชัดก่อนนำมาใช้จริงในอนาคต เพื่อประโยชน์ทางด้านภาษีของประชาชน

    สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังนำเสนอ โดยมีจุดประสงค์เพื่อทดแทน พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและทำให้การเก็บภาษีมีความเป็นธรรมมากขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจถึงหลักการของร่างพ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว กระทรวงการคลังจึงได้จัดทำ 20 คำถามภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อตอบข้อสงสัยต่าง ๆ และให้ความรู้กับผู้ที่สนใจ ก่อนที่ร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะมีผลใช้ในอนาคต

    1. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นภาษีประเภทใหม่ที่รัฐบาลจะนำมาใช้เพื่อจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม เนื่องจากรัฐบาลมีรายได้จากภาษีประเภทอื่นไม่เพียงพอกับรายจ่ายของรัฐบาลใช่หรือไม่ ?

    ตอบ ไม่ใช่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นภาษีประเภทใหม่ที่จะนำมาใช้จัดเก็บแทนภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน โดยรายได้ จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด จะเป็นของ อปท. เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น โดยไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินหรือรายได้ของรัฐบาล

    ภาษีที่ดิน

    2. ทำไมจึงต้องนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้จัดเก็บแทนภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ ?

    ตอบ พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 เป็นกฎหมายที่ออกมานาน ทำให้การจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่มีปัญหาและข้อจำกัดเกี่ยวกับฐานภาษี อัตราภาษี และการลดหย่อนภาษีที่ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ ปัจจุบัน ทำให้ อปท. มีรายได้ไม่เพียงพอในการพัฒนาท้องถิ่น รัฐบาลจึงต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่ออุดหนุนเพิ่มเติม

    1. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน

    ภาษีโรงเรือนและที่ดินใช้ฐานค่ารายปีหรือค่าเช่าต่อปีในการประเมินภาษีจึงซ้ำซ้อนกับการเก็บภาษีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน การประเมินค่ารายปีขึ้นกับดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการกำหนดค่าเช่าที่สมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง นอกจากนี้ อัตราภาษีก็กำหนดไว้สูงมาก คือ ร้อยละ 12.5 ของค่ารายปีหรือเทียบเท่ากับค่าเช่าเดือนครึ่ง

    2. ภาษีบำรุงท้องที่

    - ฐานภาษีไม่เป็นปัจจุบัน เนื่องจากใช้ราคาปานกลางของที่ดินซึ่งปกติต้องปรับปรุงทุกรอบ 4 ปี แต่ปัจจุบันยังคงใช้ราคาปานกลางที่ดินเดิมที่ใช้ในการประเมินภาษีปี 2521–2524 และยังมีการลดหย่อนเนื้อที่ดินที่นำมาคำนวณภาษีเป็นจำนวนมาก

    - อัตราภาษีมีการกำหนดตามชั้นของราคาปานกลางที่ดิน ถึง 34 ชั้น และมีลักษณะถดถอย โดยที่ดินที่มีมูลค่าสูงเสียภาษีในอัตราภาษีเฉลี่ยที่ต่ำกว่าที่ดินที่มีมูลค่าต่ำ

    3. การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคาดว่าจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ?

    ตอบ

    1. ลดความเหลื่อมล้ำผู้มีทรัพย์สินมูลค่าสูงมีภาระต้องเสียภาษีมากกว่าผู้ที่มีทรัพย์สินมูลค่าต่ำ ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นธรรมและช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

    2. เพิ่มประสิทธิภาพ

    - ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ในการประเมินภาษี
    - กระตุ้นให้เจ้าของที่ดินใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ
    - ลดปัญหาการกักตุนที่ดินเพื่อเก็งกำไร รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน

    3. เพิ่มรายได้

    อปท. มีรายได้เพียงพอที่จะนำไปใช้ในการลงทุนและจัดบริการสาธารณะที่มีคุณภาพต่อประชาชนในพื้นที่มากขึ้น

    4. ส่งเสริมการมีส่วนร่วม

    กระตุ้นให้ประชาชนในพื้นที่มีการตรวจสอบการดำเนินงานของ อปท. ว่ามีการเก็บภาษีอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมถึงติดตามการใช้จ่ายเงินภาษีซึ่งเก็บภาษีจากประชาชนในพื้นที่ไปพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของประชาชนหรือไม่

    ภาษีที่ดิน

    4. ใครคือผู้เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ?

    ตอบ เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เจ้าของอาคารชุด และผู้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นทรัพย์สินของรัฐ

    5. หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษี ?

    ตอบ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา

    6. ทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้แก่ทรัพย์สินประเภทใดบ้าง ?

    ตอบ ทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นภาษีประกอบด้วยทรัพย์สินต่าง ๆ ดังนี้

    1. ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
    2. ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มิได้ใช้หาผลประโยชน์
    3. ทรัพย์สินของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐ หรือในกิจการสาธารณะ โดยมิได้ใช้หาผลประโยชน์
    4. ทรัพย์สินที่เป็นที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษขององค์การสหประชาชาติ หรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ที่ประเทศไทยมีข้อผูกพันให้ยกเว้นภาษีตามสนธิสัญญาหรือความตกลง
    5. ทรัพย์สินที่เป็นที่ทำการสถานทูตหรือสถานกงสุลของต่างประเทศตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน
    6. ทรัพย์สินของสภากาชาดไทย
    7. ทรัพย์สินที่เป็นศาสนสมบัติไม่ว่าของศาสนาใด เฉพาะที่มิได้ใช้หาผลประโยชน์
    8. ทรัพย์สินที่ใช้เป็นสุสานสาธารณะหรือฌาปนสถานสาธารณะ โดยมิได้รับประโยชน์ตอบแทน
    9. ทรัพย์สินที่เป็นของมูลนิธิหรือองค์การที่ประกอบกิจการสาธารณะ ทั้งนี้ เฉพาะที่มิได้ใช้หาผลประโยชน์
    10. ทรัพย์สินของเอกชนเฉพาะส่วนที่ได้ยินยอมให้ทางราชการจัดให้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือทรัพย์สินของเอกชนที่ได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยเจ้าของทรัพย์สินนั้นมิได้ใช้หรือ
    หาผลประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น
    11. ทรัพย์ส่วนกลางตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด และที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคตามกฎหมาย
    ว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
    12. ทรัพย์สินตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

    7. ภาระภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปีจะต้องคำนวณอย่างไร ?

    ตอบ ฐานภาษีของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คือ มูลค่าทั้งหมดของที่ดินรวมกับสิ่งปลูกสร้าง

    ภาษีที่ดิน

    ทั้งนี้ กรมธนารักษ์จะเป็นผู้กำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด และอัตราค่าเสื่อมราคา

    8. สิ่งปลูกสร้างมีการหักค่าเสื่อมราคาอย่างไร ?

    ตอบ การหักค่าเสื่อมราคาของสิ่งปลูกสร้างมีรายละเอียด ดังนี้

    ภาษีที่ดิน


    9. สิ่งปลูกสร้างที่จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืออะไรบ้าง ?

    ตอบ สิ่งปลูกสร้างที่จะต้องนำมาคำนวณหามูลค่าเพื่อเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้แก่ โรงเรือน อาคาร ตึก หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่บุคคลอาจเข้าอยู่อาศัยหรือใช้สอยได้ หรือที่ใช้เป็นที่เก็บสินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรม และให้หมายความรวมถึงห้องชุดหรือแพที่บุคคลอาจใช้อยู่อาศัยได้หรือที่มีไว้เพื่อหาผลประโยชน์ด้วย แต่ไม่รวมถึงเครื่องจักรหรือส่วนควบ ที่สำคัญที่มีลักษณะเป็นเครื่องจักรกลไก เครื่องกระทำ เครื่องกำเนิดสินค้า หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา

    10. ผู้เสียภาษีสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่า อปท. มีการประเมินภาษีที่ถูกต้องแล้ว ?

    ตอบ อปท. จะต้องประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ จำนวนภาษีที่ต้องชำระ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษีในแต่ละปี ณ สำนักงานหรือที่ทำการของ อปท. ก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของปีภาษีนั้น และหากผู้เสียภาษีเห็นว่าข้อเท็จจริงตามประกาศดังกล่าวไม่ถูกต้อง สามารถอุทธรณ์ให้ผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาทบทวนและแก้ไขให้ถูกต้องได้

    11. อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีการกำหนดไว้อย่างไร และใครเป็นผู้กำหนดอัตราภาษี ?

    ตอบ อัตราภาษีที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... จะเป็นอัตราเพดานภาษีสูงสุด ไม่ใช่อัตราที่จะใช้จัดเก็บจริง โดยจะแบ่งอัตราตามลักษณะการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้

    ภาษีที่ดิน

    สำหรับอัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริงจะกำหนดโดยรัฐบาล และออกเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยอัตราภาษีที่จัดเก็บจริงจะกำหนดไว้ ดังนี้

    - ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทเกษตรกรรม และบ้านพักอาศัยหลังหลัก

    เพื่อเป็นการลดภาระให้แก่เกษตรกรและเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีบ้านอยู่อาศัยเป็นของตนเอง จึงกำหนดอัตราภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทเกษตรกรรม และบ้านพักอาศัยหลังหลัก ดังนี้

    ภาษีที่ดิน

    ​- ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทบ้านพักอาศัยหลังที่ 2

    ในส่วนของผู้ที่เป็นเจ้าของที่พักอาศัยหลายหลัง จะต้องเสียภาษีสำหรับที่พักอาศัยหลังอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้เป็นบ้านพักอาศัยหลังหลักในอัตรา ดังนี้

    ภาษีที่ดิน

    - ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทอื่น ๆ

    สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือไปจากใช้เพื่อการเกษตรและที่พักอาศัย กฎหมายกำหนดให้เสียภาษีในอัตรา ดังนี้

    ภาษีที่ดิน

    ทั้งนี้ การที่กำหนดให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทอื่น ๆ เสียภาษีในอัตราที่เหมือนกันไม่ว่า เจ้าของจะใช้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นทำกิจการใด ๆ นั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจในการประเมินภาษี ดังนั้น การเลือกที่จะใช้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ก็จะมีต้นทุนที่เกิดจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่ากัน ไม่เกิดการบิดเบือน

    12. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ?

    ตอบ กรณีที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพที่ดิน จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงและ ปรับเพิ่มขึ้นทุก ๆ 3 ปี เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกำหนดอัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ดังนี้

    13. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะมีการบรรเทาภาระภาษีหรือไม่ อย่างไร ?

    ตอบ กฎหมายให้อำนาจทั้งรัฐบาลและผู้บริหารท้องถิ่นในการบรรเทาภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีรายละเอียดดังนี้

    ภาษีที่ดิน

    1. การบรรเทาภาระภาษีโดยรัฐบาล รัฐบาลสามารถตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อบรรเทาภาระภาษี โดยมีมาตรการ ดังนี้

    - ลดภาษีให้ไม่เกินร้อยละ 75 ของภาระภาษีที่ต้องเสีย สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เช่น บ้านพักอาศัยหลักซึ่งได้กรรมสิทธิ์มาจากการรับมรดกก่อนที่พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบังคับใช้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับกิจการสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล และโรงเรียน เป็นต้น

    - ลดอัตราภาษีให้กับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เช่น ลดอัตราภาษีให้กับที่ดินที่เจ้าของ ซื้อมาเพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัยของตนเองเป็นเวลา 1 ปี และที่ดินที่นิติบุคคลที่ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาเพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่พักอาศัยเพื่อขายเป็นเวลา 3 ปี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่เป็นของตนเอง เป็นต้น

    2. การลดและยกเว้นภาษีโดยผู้บริหารท้องถิ่นโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามารถทำได้ในกรณีต่อไปนี้

    - กรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายมากหรือถูกทำลายให้เสื่อมสภาพด้วยเหตุอันพ้นวิสัยที่จะป้องกันได้โดยทั่วไป เช่น ภัยพิบัติ เป็นต้น

    - กรณีที่มีเหตุอันทำให้ที่ดินได้รับความเสียหายหรือ ทำให้สิ่งปลูกสร้างถูกรื้อถอนหรือทำลาย หรือชำรุดเสียหายจนเป็นเหตุให้ต้องทำการซ่อมแซมในส่วนสำคัญ เช่น ไฟไหม้ เป็นต้น

    14. การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะมีผลกระทบต่อเกษตรกรและเจ้าของที่พักอาศัยหรือไม่ ?

    ตอบ ไม่มีผลกระทบ เนื่องจากเกษตรกรและเจ้าของที่พักอาศัยส่วนใหญ่จะได้รับยกเว้นภาษีภาคเกษตรกรรม เนื่องจากที่ดินเกือบทั้งหมดที่เกษตรกรใช้ทำการเกษตรกรรม หรือคิดเป็นร้อยละ 99.99 ของที่ดินเกษตรทั้งประเทศ (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2556) มีมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งอัตราภาษีที่จะใช้จัดเก็บอยู่ที่ร้อยละ 0 ดังนั้น

    เกษตรกร - โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยจะไม่ได้ได้รับผลกระทบ แต่จะได้ประโยชน์จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

    เจ้าของที่พักอาศัย - เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่พักอาศัยเป็นของตนเอง ที่พักอาศัยที่เจ้าของใช้เป็นบ้านหลักเกือบทั้งหมดจะได้รับการยกเว้นภาษี เนื่องจากที่พักอาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 99.96 ของที่พักอาศัยทั้งหมด (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2556) ส่วนที่พักอาศัยที่เจ้าของใช้เป็นบ้านหลักที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งทั่วประเทศมีทั้งหมดประมาณ 8,500 หลัง จะต้องเสียภาษีโดยคำนวณจากมูลค่าของทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่เกินกว่า 50 ล้านบาท

    ภาษีที่ดิน

    15. บ้านที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเองกับบ้านที่เจ้าของให้ผู้อื่นเช่าจะเสียภาษีเหมือนกันหรือไม่ ?

    ตอบ บ้านที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเองกับบ้านที่เจ้าของให้ผู้อื่นเช่าจะต้องเสียภาษีต่างกัน โดยบ้านที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเองจะต้องเสียภาษีในอัตราของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทบ้านพักอาศัย แต่การให้เช่าบ้านเป็นการทำธุรกิจ ซึ่งเจ้าของได้รับผลตอบแทนจากการให้เช่าดังกล่าว จึงต้องเสียภาษีในอัตราของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทอื่น ๆ เช่นเดียวกับห้องชุดที่มีกรรมสิทธิ์และห้องชุดที่มีสิทธิ์การเช่าระยะยาว

    16. เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในการประกอบธุรกิจขนาดเล็ก และ SMEs จะได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ ?

    ตอบ ไม่ได้รับผลกระทบเพราะอัตราภาษีที่กำหนดไว้ในร่างกฎหมายจะใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่เสียอยู่ในปัจจุบัน

    17. กรณีธุรกิจบางประเภทที่มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินเป็นจำนวนมาก เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการซื้อที่ดินมาเก็บไว้เพื่อรอการพัฒนาเชิงธุรกิจ รวมถึงที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการขาย จะมีการจัดเก็บภาษีที่ดิน โดยเฉพาะที่ดินที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนาจะเสียภาษีในอัตราของที่ดินที่ ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพที่ดินหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ภาระต้นทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น

    ตอบ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่เป็นของตนเอง และลดภาระภาษีที่ประชาชนผู้ซื้อที่อยู่อาศัยถูกผู้ประกอบการผลักภาระมาให้ รัฐบาลจึงลดอัตราภาษีสำหรับที่ดินที่นิติบุคคลที่ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์ซื้อมาเพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่พักอาศัยเพื่อขาย โดยให้จัดเก็บภาษีในอัตราต่ำที่ร้อยละ 0.05 ของฐานภาษี เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่เจ้าของที่ดินหรือผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทั้งนี้ จะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขสำหรับที่ดินประเภทดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อไป

    ภาษีที่ดิน

    18. กรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นทรัพย์ส่วนกลางของหมู่บ้านจัดสรรหรืออาคารชุด จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ ?

    ตอบ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นทรัพย์ส่วนกลางของหมู่บ้านจัดสรรหรืออาคารชุด ที่ไม่มีการนำไปหาประโยชน์ตอบแทนจากทรัพย์สินดังกล่าว จะได้รับการยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

    19. กรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีการใช้ประโยชน์หลายประเภท เช่น กรณีอาคาร 2 ชั้น ที่เจ้าของเปิดเป็นร้านค้าที่ชั้นล่าง ส่วนชั้น 2 ใช้เป็นที่พักอาศัยของตนเอง จะเสียภาษีในอัตราใด ?

    ตอบ เสียภาษีตามลักษณะของการใช้ประโยชน์จริง

    20. จะเริ่มเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเมื่อไร ?

    ตอบ อปท. จะเริ่มเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2560 ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดเตรียมพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และประกาศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดำเนินการในด้านอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเริ่มเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

    คงจะพอเข้าใจกันมากขึ้นเกี่ยวกับเงื่อนไขของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับนี้ ใครที่มีบ้านพักอาศัยและที่ดิน ก็ลองคำนวณกันดูคร่าว ๆ ก่อนจะมีผลบังคับใช้จริงในปี 2560

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
    กระทรวงการคลัง
    -http://www.thaigov.go.th/index.php/th/news-ministry/2012-08-15-09-16-10/item/103915-20-%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • l01.png
      l01.png
      ขนาดไฟล์:
      664.4 KB
      เปิดดู:
      68
    • l02.png
      l02.png
      ขนาดไฟล์:
      114 KB
      เปิดดู:
      78
    • l03.png
      l03.png
      ขนาดไฟล์:
      310.5 KB
      เปิดดู:
      86
    • l04.png
      l04.png
      ขนาดไฟล์:
      283 KB
      เปิดดู:
      70
    • l05.png
      l05.png
      ขนาดไฟล์:
      628.8 KB
      เปิดดู:
      69
    • l05-1.png
      l05-1.png
      ขนาดไฟล์:
      293.4 KB
      เปิดดู:
      61
    • l05-2.png
      l05-2.png
      ขนาดไฟล์:
      359.9 KB
      เปิดดู:
      48
    • l06.png
      l06.png
      ขนาดไฟล์:
      208.2 KB
      เปิดดู:
      78
    • l07.png
      l07.png
      ขนาดไฟล์:
      143.2 KB
      เปิดดู:
      80
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อเดิมท่านได้เล่าย้อนหลังขึ้นไปสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะล่ม เหมือนท่านอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวท่านเอง:
    -http://www.pageqq.com/en/content/view/page/5/0-57222.html-

    หลวงพ่อเดิมท่านได้เล่าย้อนหลังขึ้นไปสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะล่ม เหมือนท่านอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวท่านเอง:

    " ชาวบ้านบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ตั้งค่ายเข้าต่อตีกองทัพพม่าจนแตกกระจัดกระจายไปถึง ๗ ครั้ง ๗ หน สู้อย่างกล้าหาญ คนเพียงหยิบมือเดียวเมื่อเทียบกับกองทัพพม่า แต่สามารถทำลายกำลังพม่าข้าศึกเป็นก่ายเป็นกอง แล้วทำไมกรุงศรีอยุธยาจึงล่ม

    มันไม่ได้ล่มเพราะคนไทยไม่มีฝีมือ แต่พม่าเอาสุกี้พระนายกองมอญ ที่เคยพึ่งบารมีข้าวแดงแกงร้อนของไทย มาเป็นคนนำทางเข้าทำลายคนไทย ประการหนึ่ง

    ประการที่สอง คนไทยเราแตกความสามัคคี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ค่ายบางระจันสู้จนล้มตายเป็นอันมาก เพราะสุกี้พระนายกองมอญเอาปืนใหญ่มายิงใส่ค่าย ส่งคนไปขอปืนใหญ่จากกรุงศรีอยุธยา ยังถูกคนไทยด้วยกันพูดให้ต้องน้ำตาตกว่า “น้ำหน้าอย่างชาวบ้านธรรมดานะหรือจะเอาปืนใหญ่ไปสู้พม่า ขืนเอาไปก็ถูกพม่ามันชิงเอามายิงกรุงศรีอยุธยาเท่านั้นเอง”

    ท่านขุนสรรค์ พันเรือง นายทองแสงใหญ่ นายจัน หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น นายดอกแก้ว นายแท่น มาประชุมหารือกันแล้วก็ท้อแท้ใจว่า ดูหรือเราสละเลือดเนื้อกันแทบตาย แต่ผลที่ได้รับก็คือ การดูหมิ่นฝีมือและน้ำใจ พม่ามันยิงด้วยปืนใหญ่ทุกวัน ล้มตายกันวันละหลายคน อย่ากระนั้นเลยเปิดค่ายออกไปรบกับมัน ให้รู้ดีรู้ชั่วไปให้โลกเขาร่ำลือว่า ชาวบางระจันยอมสละชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดิน

    หลวงพ่อเดิมท่านเล่าไปอีกว่า

    “คุณรู้ไหมว่า ครั้งนั้นชาวค่ายบางระจันควงมีดพร้า กระท้าขวานดาหน้าเข้าหาห่าปืนใหญ่ของพม่าข้าศึก เข้ารบกับพม่าด้วยความกล้าหาญ เอาชีวิตเข้าแลก ยอมตายกันหมดทั้งค่าย ให้พม่าเดินข้ามศพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาดีกว่าให้พวกมันจับไปร้อยหวายผูกเป็นพวงเอาไปเป็นขี้ข้าที่หงสาวดี

    พม่าข้ามศพชาวบ้านบางระจันเข้ามาตั้งทัพที่วัดทุ่งพระเมรุ มันจึงไม่เผาทำลาย มันล้อมกรุงเอาไว้ คนไทยมีฝีมือจะสู้พม่า แต่เจ้าบ้านผ่านเมืองสมัยนั้นกลับไม่ยอมสู้ นอนงอมืองอเท้ากะให้น้ำหลาก พม่าจะได้ยกทัพกลับ แต่คราวนี้ผิดคาด พม่ามันเตรียมตัวมาอย่างดี เอาปืนใหญ่ยิงเข้ามาทุกวัน ถูกเรือนชานชาวบ้าน ไฟไหม้วอดวายตายกันเป็นเบือ พระยาตาก สุดจะทน ลากปืนใหญ่มายิงใส่พม่า จนล้มตายเกลื่อน กำลังจะบรรจุลูกที่สอง ก็มีคนถือดาบอาญาสิทธิ์มาบอกว่า “ให้พระยาตากเข้าไปรับการพิจารณาโทษที่ศาลาลูกขุน ในฐานะฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาล ที่ห้ามยิงปืนใหญ่ก่อนจะได้รับอนุญาต เพราะนางสนมกรมพระแม่จะตกใจ”

    เนื่องจากพระยาตากมีความดีความชอบในแผ่นดินมาก่อน ให้รอลงพระราชอาญา หากฝ่าฝืนยิงปืนอีกจะถูกตัดหัวทันที ในที่สุดพระยาตากได้ตัดสินใจตีหักแหวกวงล้อมพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปกู้ชาติ

    หลวงพ่อเฒ่า ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนศึกคู่ใจ ก็ร่วมตีหักออกมาในครั้งกระนั้น ได้ช่วยพระยาตากทำศึกกับพม่าอย่างโชกโชน จนกระทั่งพระยาตากได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช จึงได้แต่งตั้งหลวงพ่อเฒ่าจะให้เป็นคุณหลวง แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านถวายบังคมลาออกจากการรับราชการ เพราะเห็นว่าได้ทำศึกมามากแล้ว ฆ่าคนมาก็มาก จะขอเข้าบวชในพระพุทธศาสนา พระยาตากก็อนุญาตให้ตามที่ขอ

    หลวงพ่อเฒ่าท่านจึงเดินทางมาจังหวัดนครสวรรค์ แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้มาฟื้นฟูวัดหนองโพขึ้น หลังจากที่กรุงธนบุรีได้เป็นปึกแผ่นแล้ว พระยาตากยังได้ให้คนนำของมาถวายและไถ่ถามทุกข์สุขอยู่เสมอ แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านไม่ได้บอกชาวบ้าน ชาวบ้านจึงรู้แต่เพียงว่าท่านบวชแล้วก็ลงเรือมากับเพื่อนภิกษุด้วยกัน แล้วอพยพหลบนายภาษีมาตั้งวัดหนองโพ "

    [ ถ่ายทอดโดย: หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ]

    หลวงพ่อเดิม พุทธสโร
    วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์
    Fb.วิมุติธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุดอัศจรรย์!"หลวงพ่อโอภาสี"ทุบแหวนเพชรแตก!ทำเอาเจ้าของช็อค แต่ต้องช็อคกว่าเมื่อแหวนคืนรูปเองเฉย!!

    -http://www.pageqq.com/en/content/view/page/5/0-55316.html-

    กี่ยวกับเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อโอภาสีนั้นดูจะมีหลายประการ โดยเฉพาะได้แก่การมีหูทิพย์ ตาทิพย์ และวาจาสิทธิ์ ท่านกล่าวคำใดออกมาไม่ใคร่จะพลาดจากคำนั้น ซึ่งอาจจะสืบจากผลการปฏิบัติอย่างแรงกล้าของท่านก็เป็นได้มีเรื่องเล่าว่า เคยมีสุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่ง มีความศรัทธาหลวงพ่อโอภาสีเหลือเกิน ถึงแก่ปรารภกับญาติพี่น้องที่บ้านว่า อยากได้เส้นผมของหลวงพ่อไว้บูชา ครั้นต่อมาสุภาพสตรีท่านนั้นไปนมัสการหลวงพ่อ พอก้มลงกราบ ยังไม่ทันจะกล่าวอะไรหลวงพ่อก็ยกมือจับเส้นผมของท่าน พร้อมกับบอกว่า

    "ผมของอาตมาสั้นออกอย่างนี้ จะตัดไปให้โยมได้อย่างไร"

    สุภาพสตรีท่านนั้นถึงแก่นั่งตกตะลึงพูดไม่ออกครั้งหนึ่งได้มีสุภาพสตรีผู้สูงด้วยอำนาจวาสนาท่านหนึ่งพาบริวารไปนมัสการหลวงพ่อที่สวนส้มบางมด ได้สนทนาปราศรัยกับท่านเป็นอันดี ชั่วครู่หลวงพ่อเหลือบไปเห็นแหวนเพชรในนิ้วมือของสุภาพสตรีท่านนั้น เปล่งประกายสุกสกาวจึงถามว่า

    ถ้าอาตมาจะขอแหวนวงนี้จากคุณโยม จะเสียดายไหม"

    สุภาพสตรีท่านนั้นถอดแหวนออกจากนิ้วนางประเคนท่านแทนคำตอบทันที ท่ามกลางความชื่นชมของบริวาร หลวงพ่อรับไว้ หยิบพลิกดูไปมาแล้วหันไปหยิบค้อนที่อยู่ข้างหลัง วางแหวนเพชรที่ไม่รู้ว่ากี่กะรัตลงบนพื้นแล้วตอกด้วยค้อนบัดนี้!

    สุภาพสตรีท่านนั้นเกือบเป็นลม

    หลวงพ่อโอภาสีมองหน้าพลางเปรยออกมาว่า

    "ของดี ๆ อย่างนี้ จะสูญได้อย่างไร"

    ปรากฏว่าเย็นวันนั้น หลังจากอาบน้ำชำระกายเรียบร้อยแล้ว เปิดโถแป้งออกมา ตั้งใจจะหยิบแป้งขึ้นมาผัด กลับเห็นแหวนเพชรวงที่หลวงพ่อโอภาสีทุบจนแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ วางอยู่ในนั้นชัดแจ้ง...เป็นวงแหวนสมบูรณ์เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน!

    สุภาพสตรีผู้นั้นหมดกำลังใจจะสนทนาต่อ อ้อมแอ้ม ๆ ออกมาสอง-สามประโยค ก็นมัสการลากลับไม่เหลียวหลัง

    ปัจจุบันศพของหลวงพ่อโอภาสียังคงอยู่ในอาศรมบางมดเชิญผู้มีจิตศรัทธาไปนมัสการได้

    ขอขอบคุณข้อมูล จาก http://www.dharma-gateway.com/…/lp-opa…/lp-opasi-hist-03.htm [http://www.dharma-gateway.com/monk/..._foi0ip_qtjzanvkirdpg91rxz0g5jjy4q&s=1_green]

    ที่มา ปัญญาญาณ สำนักข่าวทีนิวส์

    --------------------------------------------

    ความเห็นของผม


    นี่แหละครับ

    หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (องค์ที่ 5 ในคณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ) หลวงปู่ชื่อ หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หรือหลวงปู่หน้าปาน)

    -------------------------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ops.png
      ops.png
      ขนาดไฟล์:
      479.9 KB
      เปิดดู:
      86
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อกัสสปะมุนี วัดปิปผลิวนาราม ใช้อาโลกสิณลากรถไฟ

    -http://jitdham.blogspot.com/2016/09/blog-post_64.html-

    -ท่านเคยเกิดเป็นฤาษี สมัยพุทธกาล จึงมีฤทธิของเก่าติดตามมามาก แม้ชาตินี้จะบำเพ็ญไม่นาน ก็สำเร็จธรรมขั้นที่น่าพอใจ

    -ชาติปัจจุบัน ท่านเป็นข้าราชการชั้นสูง เกือบได้เป็นรองอธิบดี กระทรวงพาณิชย์ แต่ขอลาออกก่อนเกษียน เพื่อไปบวช เนื่องจากเกิดมรณานุสติ เห็นคนที่รู้จักเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

    -ท่านสอนกรรมฐานแนวอานาปานสติ แบบกำหนดรู้ลมหายใจอย่างเดียวล้วนๆ โดยไม่ต้องบริกรรมคำภาวนาใดๆทั้งสิ้น

    (ผมเข้าใจเอาเองว่า ท่านสำเร็จธรรมด้วยอานาปานสติ จึงมุ่งเน้นสอนศิษย์ของท่านในแนวนี้จริงๆ ว่าให้ทำแบบที่ท่านสอน คือ กำหนดลมหายใจล้วนๆ โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมภาวนา เช่น คำสอนทีว่า "ดับความครุ่นคิดในใจทั้งปวง แล้วกำหนดรู้ลมหายใจเท่านั้น")

    -ท่านมีประสบการณ์ใช้อรูปฌานขั้นอาสานัญจายตนะประลองฤทธิกับฤาษีในอินเดีย

    (ผมขออธิบายแทรกตรงนี้ว่า หลวงพ่อกัสสปะมุนีท่านสำเร็จธรรมขั้นแสดงฤทธิ์ได้ เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์, แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์)

    -ระหว่างปฏิบัติธรรมที่อินเดีย ท่านใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ในการสนทนากับผู้อื่น ควบคู่กับภาษาฮินดี หลวงพ่อกัสสปะมุนี ท่านเก่งภาษาอังกฤษมาก เพราะเคยเรียนโรงเรียนที่มีบาทหลวงสอนมาก่อน

    -ท่านบำเพ็ญสมาธิขั้นนิโรธสมาบัติที่อินเดีย

    (ผมขออธิบายแทรกตรงนี้ว่า มีพระอนาคามี และ พระอรหันต์เท่านั้น ที่บำเพ็ญสมาธิคล่องแคล่วถึงขั้นอรูปฌาน จึงจะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้)

    -ท่านเคยใช้อำนาจฌานสมาบัติ ช่วยลากตู้รถไฟทีอินเดีย

    1) บันทึกเก่า ระบุว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2524 มีศิษย์ท่านหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า ตอนที่หลวงพ่อใช้พลังจิต"ลากรถไฟขึ้นเขาที่อินเดีย"นั้น หลวงพ่อทำอย่างไร.
    หลวงพ่อกัสสปมุนีตอบว่า
    "ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่ง และออกเดินนำหน้าทันที ไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่อิทธิวิธี หากเป็นการใช้"อาโลกสิน"(แสงสว่าง,ความว่าง) ดึงรถไฟขึ้นไป..!!?!"


    วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๗ คณะของหลวงพ่อกัสสป ฉันอาหารเช้าแล้ว ได้เวลา ๙.๐๐ น. จึงพาพวกอุบาสกและอุบาสิกาออกเดินทาง ไปยังสถานีเนาก้า เพื่อไปยังสวนป่าลุมพินีวันในแคว้นเนปาลอันเป็นสถานที่พระบรมศาสดาทรงประสูติ ถึงสถานีเนาก้าเวลา ๑๑.๐๐ น. แต่เจ้ากรรมแท้ๆ ... ที่พนักงานรถไฟแขกอินเดียมันมักง่าย ตัดรถตู้คณะของหลวงพ่อกัสสปมุนีออกปล่อยทิ้งไว้ อยู่ห่างจากตัวสถานีเกือบสามร้อยเมตร ตรงที่รถตู้ถูกตัดออกนี้เป็นที่ลาดต่ำกว่าที่ตั้งสถานี และห่างจากที่รถบัสจอดเกือบครึ่งกิโลเมตร

    ในคณะแสวงบุญของหลวงพ่อ มีอุบาสิกาอยู่ในวัยชราหลายคนจะต้องเดินไกล ทั้งตัวรถตู้ก็สูง บันไดก็ยิ่งลอยสูงขึ้นไปด้วย เพราะรถถูกตัดทิ้งไว้ในที่ลาดต่ำ แม้แต่ผู้ชายที่แข็งแรงอย่างนายเอื้อ บัวสรวง ก็ยังต้องเกร็งข้อโหนตัวลอยขึ้นไป ยิ่งเป็นพระ เป็นผู้หญิงยิ่งทุลักทุเลใหญ่ ทำให้นายสุวรรณ เจามหาสุข ผู้อำนวยการเดินทางในครั้งนี้ และนายเอื้อ บัวสรวงโมโหมาก ปัญหาจึงมีอยู่ว่า จะทำอย่างไรจึงจะให้ตู้รถแล่นขึ้นไปจอดบนชานชาลาเหนือสถานีได้

    ในที่สุดปรึกษาตกลงกันได้ว่า ให้คณะแสวงบุญที่ขึ้นไปก่อนลงมาจากรถเพื่อให้รถเบาขึ้น แล้วจ้างพวกแขกสองสามคน และเด็กแถวนั้นให้ช่วยกันดันรถ แต่เมื่อทำดูแล้วรถไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย เพราะตู้รถไฟใหญ่กว่าตู้รถไฟในบ้านเมืองเรามาก มีน้ำหนักเป็นตันๆ และจะต้องดันให้เคลื่อนขึ้นที่สูงเสียด้วย มันต้องใช้ช้างสารฉุดถึงจะเขยื้อนขึ้นไปได้

    ตอนนี้นายเอื้อ บัวสรวงเห็นหมดหนทางที่จะพึ่งแรงคน จึงคิดจะพึ่งแรงบารมีของพระเสียแล้ว จึงได้หันมาอาราธนาขอร้อง อาจารย์วิริยังค์ (ท่านเจ้าคุณญาณวิริยาจารย์) ช่วยให้รถเคลื่อนด้วยอานุภาพที่ท่านมีอยู่ เพราะมองไม่เห็นใครที่จะช่วยได้ ก็ต้องพึ่งพระกันบ้าง

    ท่านพระอาจารย์วิริยังค์ ได้เข้าไปยืนข้างตู้รถไฟภาวนาอยู่สักครู่ก็ทำท่าดัน แล้วบอกให้ทุกๆ คนช่วยกันดันรถ แต่ดันเท่าไหร่ๆ รถก็ไม่มีทีท่าจะเขยื้อน

    นายเอื้อจึงได้หันมาอาราธนาท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดยะลา ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะอำเภอยะลาและหลวงพ่อทิมวัดช่างไห้ ขอให้ช่วยแสดงอานุภาพทำให้ตู้รถไฟเคลื่อนที่ แต่ท่านทั้งสามองค์ก็ตอบตรงๆ ว่าไม่ได้ฝึกมาทางนี้ คือไม่ได้ฝึกทางอภิญญา สุดท้ายนายเอื้อ บัวสรวงหมดหนทางอับจนปัญญา จึงได้ขอร้องให้ หลวงพ่อกัสสปมุนี ช่วยด้วย

    ?ยังเหลือแต่หลวงพ่อกัสสป องค์เดียวเท่านั้น ผมเชื่อว่าคงจะไม่สิ้นหวังเสียทั้งหมด?

    นายเอื้อ บัวสรวง พูดค่อนข้างเสียงดังเปิดเผย พลางพนมมือนอบน้อม หลวงพ่อกัสสป จึงเอ่ยว่า

    ?ทำไมมาเจาะจงอาตมา ก็ท่านเหล่านั้นยังรับไม่ไหว แล้วอาตมาภาพจะรับได้ยังไง?

    นายเอื้อ บังสรวง ได้ยืนกรานว่า

    ?ถึงอย่างนั้น ก็ขอให้หลวงพ่อเห็นแก่ญาติโยมผู้หญิง และคนแก่ เถอะครับ ที่จะต้องโหนตัวขึ้นรถ?ว่าแล้วก็ไหว้อีก หลวงพ่อกัสสปเห็นนายเอื้อมีความมั่นใจเช่นนั้น จึงจำเป็นต้องช่วยสงเคราะห์ จึงบอกเบาๆ ว่า

    ?โยมบอกพวกนั้นให้ดันรถพร้อมๆ กัน พอเห็นอาตมาเดินขึ้นหน้ารถก็ดันเลย?

    นายเอื้อก็รับคำเตรียมอยู่ข้างตู้รถไฟ จากนั้นหลวงพ่อกัสสป ก็เดินขึ้นไปทางริมรั้วสถานี ครั้นพอถึงหน้ารถตู้ นายเอื้อก็ร้องบอกให้พวกนั้นดันรถ เสียงรถเคลื่อนดังครืด แล่นตามหลังหลวงพ่อกัสสปมาได้หน่อยหนึ่ง หลวงพ่อกัสสปจึงยื่นไม้เท้าให้นายเอื้อจับปลายไว้ นายเอื้อเอื้อมมือขวามาคว้าปลายไม้เท้าไว้ ส่วนมือซ้ายจับอยู่ที่ราวบันไดรถ หลวงพ่อจับหัวไม้เท้าไว้ข้างแล้วจูงนำหน้า เท่านั้นเอง ตู้รถไฟอันใหญ่โตหนักอึ้ง ก็แล่นปราดๆ ขึ้นไปตามรางสู่สถานีอย่างง่ายดายน่ามหัศจรรย์ สร้างความตะลึงงันให้แก่ญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายที่ได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวต่อหน้าต่อตา สุดที่จะกล่าวพรรณาเป็นอักษรภาษาใดๆได้...!!!!!!

    นับว่าหลวงพ่อกัสสป ได้ฝังรากความมั่นใจให้แก่นายเอื้อ และญาติโยมในที่นั้นว่า อานุภาพของพุทธศาสนานั้น เป็นของมีจริง ที่พระสาวกของพระพุทธองค์ สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น หรือวาระอันสมควรจะพึงแสดง!

    2) ในบทความ ?พลังจิตของหลวงพ่อกัสสปมุนี? ในหนังสือ ปกิณกสารธรรม อนุสรณ์ ๑๐ ปี แห่งการมรณภาพของหลวงพ่อกัสสปมุนี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ นายเอื้อ บัวสรวง ได้เล่าถึงเหตุการณ์นี้ว่า

    ?หลวงพ่อได้ชูไม้เท้า ยาวราว ๑.๕๐ เมตร เห็นจะได้ ยกชูไปในอากาศ แล้วก็ส่งหัวไม้เท้ามาให้ผม และหลวงพ่อตั้งท่าเดินหน้านำไป ผมก็คว้าไม้เท้าที่ท่านส่งมาให้ทันที ทันใดนั้นผมรู้สึกราวกับว่าถูกไฟฟ้าดูด หรือเหมือนผมไปจับสายไฟฟ้าแบตเตอรี่รถยนต์ แล้วรถไฟก็เคลื่อนตามหลวงพ่อกัสสปมุนีไป?

    มีบันทึกเก่า ระบุว่า เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๔ มีศิษย์ท่านหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า ตอนที่หลวงพ่อใช้พลังจิต "ลากรถไฟขึ้นเขาที่อินเดีย" นั้น หลวงพ่อทำอย่างไร?

    หลวงพ่อกัสสปมุนีตอบว่า
    "ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่ง และออกเดินนำหน้าทันที ไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่อิทธิวิธี หากเป็นการใช้ "อาโลกสิน" ดึงรถไฟขึ้นไป"
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตามล่าหา ‘จ่ามงกุฎ’ ตัวจริง! ตามบทพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
    -https://www.matichonweekly.com/featured/article_3112-



    ๏ งามจริงจ่ามงกุฎ ใส่ชื่อดุจมงกุฎทอง
    เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล

    ๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
    ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม

    ๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
    คิดสีสไบคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน

    ๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
    คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน
    กาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวาน
    พระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2

    เมื่อเอ่ยชื่อ “ขนมจ่ามงกุฎ” หลายคนจะนึกถึงขนมสีเหลืองทองลักษณะคล้ายมงกุฎ มีแผ่นแป้งรอง มียอดปิดทองสวยงาม อันที่จริงขนมนั้นมีชื่อว่า “ดาราทอง” หรืออีกชื่อหนึ่งคือทองเอกกระจัง เป็นขนมที่มีผู้คิดทำขึ้นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

    ส่วนขนมจ่ามงกุฎ แบบดั้งเดิมนั้นมีชื่อปรากฏในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 มีส่วนประกอบ ได้แก่ แป้งข้าวเหนียว กะทิ น้ำตาลทราย น้ำใบเตย เมล็ดแตงโมกะเทาะเปลือก

    สิ่งที่ต้องเตรียมอีกสองอย่าง คือ ใบตองตานีอ่อน ตัดขนาดพอเหมาะ ผึ่งแดดให้แห้ง แล้วนำไปอังไฟเพื่อให้มีกลิ่นหอม และไม้กลัดทำจากก้านมะพร้าว สำหรับกลัดห่อขนม

    แป้งข้าวเหนียวที่ใช้ทำขนม ทางกลุ่มยังใช้วิธีการแบบโบราณ คือนำเมล็ดข้าวเหนียวดิบไปแช่น้ำ แล้วนำไปโม่


    ขั้นตอนการทำขนมจ่ามงกุฎ จะต้องนำกะทิมากวนกับน้ำตาลทราย แป้งข้าวเหนียว และน้ำใบเตย กวนไปเรื่อย ๆ จนเหนียวคล้ายกะละแม ซึ่งต้องใช้เวลากวนนานประมาณสองชั่วโมง เมื่อได้ที่แล้ว ตักหยอดลงบนใบตองตานีที่เตรียมไว้ ใส่เมล็ดแตงโมกะเทาะเปลือกลงไป ห่อให้สวยงาม กลัดด้วยไม้กลัดแบบโบราณ

    ห่อเสร็จแล้ว ต้องนำขนมไปผึ่งแดด ให้เนื้อขนมแห้ง กรอบนอกนุ่มใน ไม่เหนียวติดใบตอง ซึ่งทางกลุ่มได้ทำตู้สำหรับผึ่งขนมอย่างสะอาดถูกหลักอนามัย ถ้าแดดดี ตากเพียงแดดเดียวก็ใช้ได้


    สำหรับผู้อ่านท่านใด ที่สนใจอยากลองชิม “ขนมจ่ามงกุฎ” ขอแนะนะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนขนมไทยโบราณ และจักสานก้านมะพร้าวบางช้าง มีจำหน่ายที่ตลาดน้ำท่าคา และร้านเจ๊หม่วย ปากทางเข้าวัดจุฬามณี อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อได้ที่คุณอรพิน ประชานิยม หมายเลขโทรศัพท์ 085 128 2618

    โครงการอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์ ร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ขนมไทยโบราณ นำขนมจ่ามงกุฎของกลุ่มฯ มาวางจำหน่ายที่โครงการ ในวันศุกร์ เสาร์และวันอาทิตย์ หากสนใจอยากเรียนทำขนมจ่ามงกุฎแบบดั้งเดิม ติดต่อไปที่หมายเลขโทรศัพท์ 034 752 245 ทางโครงการยินดีประสานงานเชิญคุณอรพินมาสอนให้ในโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • jmk01.png
      jmk01.png
      ขนาดไฟล์:
      289.1 KB
      เปิดดู:
      87
    • jmk02.png
      jmk02.png
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      83
    • jmk03.png
      jmk03.png
      ขนาดไฟล์:
      535.1 KB
      เปิดดู:
      100
    • jmk04.png
      jmk04.png
      ขนาดไฟล์:
      511.9 KB
      เปิดดู:
      73
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 สูตรทำน้ำซุป กลมกล่อมทำเองได้เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า
    -http://cooking.kapook.com/view155758.html-


    เปิดเคล็ดลับเด็ดสูตรทำน้ำซุปสไตล์โฮมเมด เคี่ยวอร่อยง่าย ๆ ไม่ใส่ผงชูรส เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

    เมนูก๋วยเตี๋ยวนอกบ้านก็อร่อย แต่กลัวลูกน้อยแพ้ผงชูรสเลยอยากลงมือทำเอง เครื่องเคราเตรียมพร้อมแล้วเหลือแต่สูตรน้ำซุปนี่แหละที่หนักใจ ถ้าทำไม่อร่อยก็จบ ! กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ 7 สูตรทำน้ำซุป มีทั้งน้ำซุปกระดูกหมูน้ำใส น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้นสีดำ น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้นสีขาว น้ำซุปโครงไก่ และน้ำซุปผัก เลือกวิธีทำน้ำซุปให้เหมาะกับก๋วยเตี๋ยวเลยจ้า

    น้ำซุป

    1. น้ำซุปกระดูกหมู (สูตรทำก๋วยเตี๋ยว)

    เริ่มกันที่สูตรทำน้ำซุปกระดูกหมู จาก คุณ swin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ส่วนผสมไม่เยอะ น้ำซุปหวานหอมอร่อยโดนใจ ทำเป็นน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวน้ำใสหรือน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวต้มยำก็ได้จ้า

    ส่วนผสม น้ำซุปกระดูกหมู

    • กระดูกหมู 1 กก.
    • พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
    • รากผักชี
    • กระเทียม

    วิธีทำน้ำซุปกระดูกหมู

    • 1. ลวกกระดูกหมูในน้ำเดือด 2 นาทีก่อน เพื่อล้างเลือด แล้วนำไปล้างน้ำอีกครั้งให้สะอาด
    • 2. ใส่กระดูกหมูลงในหม้อความดัน ตามด้วยพริกไทย รากผักชี และกระเทียม ใช้เวลาต้ม 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือประมาณ 90 นาที

    soup101

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ หมูแดง ขาหมู ชามเดียวอิ่มสะใจ
    -http://cooking.kapook.com/view114421.html-

    ++++++++++++++++++++

    น้ำซุป

    2. น้ำซุปไก่

    น้ำซุปไก่สูตรนี้ถอดมาจากการทำน้ำต้มไก่สำหรับทำข้าวมันไก่ ของ คุณมันแกวกะแห้วหมู สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีทีเด็ดตรงที่ว่า นอกจากน้ำซุปไก่จะอร่อยแล้ว แทนที่เราจะให้ความหวานจากเนื้อไก่ถูกปล่อยออกมาสู่น้ำซุป แต่จะเปลี่ยนเป็นทำให้รสชาติน้ำซุปซึมเข้าไปที่เนื้อไก่แทน ทำให้เนื้อไก่ที่เรานำลงไปต้มไม่จืดชืดด้วย อร่อยทั้งน้ำและเนื้อเลยล่ะ

    ส่วนผสม น้ำซุปไก่

    • ผักกาดขาว หรือผักหางหงส์สด 1 หัว (ต้องเลือกที่สด ๆ เพื่อให้หวาน)
    • กระเทียม 3-4 หัว (ประมาณ 30 กลีบ)
    • รากผักชี 5-6 ราก
    • ขิงแก่หั่นเป็นแว่นบาง 5–6 แว่น
    • ขิงทุบ เล็กน้อย
    • พริกไทยขาวทุบหยาบ 20–30 เม็ด
    • เกลือสมุทร 1-2 ช้อนโต๊ะ (ได้ดอกเกลือยิ่งดี เพื่อให้มีรสเค็มขึ้นมาบ้าง ปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ)
    • น้ำตาลกรวด 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วขาว 2–3 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำมันพืช 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • ไก่ส่วนที่ชอบ

    วิธีทำน้ำซุปไก่

    • 1. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อยกเว้นไก่ (ควรใส่น้ำเผื่อไว้หน่อยกันน้ำแห้งเกินไป) นำขึ้นตั้งไฟแรง (ไม่ต้องปิดฝา) ต้มให้เดือดนานอย่างน้อย 30 นาที
    • 2. พอครบเวลาใส่ไก่ลงไปจนหมด (ถ้าหม้อใบเล็กเกินจะเอาผักกาดขาวออกให้หมดก่อนก็ได้) พอใส่ไก่ชิ้นสุดท้ายลงไป ให้ลดไฟอ่อนลง จากนั้นต้มไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเดือด หมั่นช้อนฟองอากาศทิ้ง

    หมายเหตุ : ควรจับเวลาให้ดี ถ้าต้มนานไปไก่จะสุกเกินไม่อร่อย ถ้าไก่ดิบไปก็กินไม่ได้ (คือกระดูกมีเลือด เนื้อส่วนที่ติดกระดูกเหนียวเลาะไม่ออก) ปกติจะใช้เวลาในการต้มประมาณ 1 ชั่วโมงนับจากใส่ไก่ลงไป หมั่นตักฟองทิ้งไปบ้าง จากนั้นก็ปล่อยให้ไฟรุม ๆ ไปเรื่อย ๆ

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ข้าวมันไก่ พร้อมสูตรน้ำจิ้ม เคล็ดไม่ลับที่ทำเองได้
    -http://cooking.kapook.com/view97623.html-

    ++++++++++++++++++++

    น้ำซุป

    3. น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้น (สีขาว)

    ใครอยากทำน้ำซุปกระดูกหมูแบบสีขาวน้ำข้นก็ต้องสูตรจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรน้ำซุปสีขาวหวานธรรมชาติจากหอมใหญ่ เพิ่มความหอมจากกระเทียม ทำเองคุ้มกว่าเยอะเลยค่ะ

    ส่วนผสม น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้น

    • กระดูกซุปหมู ประมาณ 1.6 กิโลกรัม
    • น้ำ 3 ลิตร
    • ต้นหอมญี่ปุ่น (หั่นเป็นท่อนสั้น) 2 ต้น
    • กระเทียมสด (ทุบแล้วปอกเปลือก) 12 กลีบ
    • หอมใหญ่ (ผ่า 4 ส่วน) 2 หัว
    • เหล้ามิริน 2 ทัพพี
    • เกลือ เล็กน้อย
    • น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำน้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้น

    • 1. ใส่น้ำลงในหม้อกะพอท่วมกระดูกหมู จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟ ต้มจนน้ำเดือด
    • 2. ใส่กระดูกหมูลงต้ม นานประมาณ 5 นาที (ไม่ต้องคน) พอต้มครบ 5 นาที ให้เทน้ำทิ้ง จากนั้นตักกระดูกหมูออกมาล้างน้ำให้สะอาด 2 ครั้ง เตรียมไว้
    • 3. เติมน้ำ 3 ลิตรลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟแรง ใส่กระดูกหมูล้างสะอาด ต้นหอมญี่ปุ่น กระเทียม และหอมใหญ่ลงไป ต้มไปเรื่อย ๆ หากน้ำในหม้อแห้งให้หมั่นเติมน้ำเป็นระยะ ๆ หมั่นช้อนฟองทิ้ง เคี่ยวจนผักและเนื้อเริ่มเปื่อยและน้ำซุปสีขาวข้นขึ้น
    • 4. เติมเหล้ามิริน เกลือ และน้ำตาลทรายลงไป กรองน้ำซุปด้วยตะแกรง โดยใช้ทัพพีคนและกดไปเรื่อย ๆ ทำเสร็จพร้อมราดเส้นราเมน

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ราเมนน้ำซุปกระดูกหมูแบบประหยัด อาหารญี่ปุ่นดูดี ใครก็ทำได้
    -http://cooking.kapook.com/view96783.html-

    ++++++++++++++++++++

    น้ำซุป

    4. น้ำซุปโครงไก่ (ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ)

    ทำสูตรน้ำซุปกระดูกหมูมาหลายมื้อลองเปลี่ยนมาสูตรน้ำซุปโครงไก่ สูตรจาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา สูตรนี้น้ำซุปสีดำเหมาะสำหรับทำก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ เอาล่ะ... เตรียมไก่ตุ๋นกับเส้นรอเลยจ้า

    ส่วนผสม น้ำซุปโครงไก่

    • โครงไก่ 2 โครง
    • น้ำเปล่า 8 ลิตร
    • หอมใหญ่ปอกเปลือก 2 หัว
    • รากผักชี 5 ราก
    • น้ำกระเทียมดอง 1/2 ถ้วยตวง
    • กระเทียมดอง 3 หัว
    • เครื่องเทศสำหรับตุ๋น 1 ชุด
    • น้ำตาลมะพร้าว 70 กรัม
    • เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วขาว (สูตร 5) 12 ช้อนโต๊ะ
    • ซอสปรุงรส (ตราแม็กกี้) 12 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำน้ำซุปโครงไก่

    • 1. เทน้ำเปล่าลงในหม้อใบใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟแรง ใส่หอมใหญ่ รากผักชี น้ำกระเทียมดอง กระเทียมดอง เครื่องตุ๋น 1 ชุดลงไป ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว เกลือป่น ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว และซีอิ๊วดำ ปิดฝา ต้มให้เดือด
    • 2. พอเดือดแล้วจึงใส่โครงไก่ลงไป (หากจะให้ดีโครงไก่ควรถลกหนังและตัดตูดออก) แล้วลดเป็นไฟอ่อน ปิดฝาต้มจนน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม

    หมายเหตุ : หากมีน้ำมันไก่หรือฟองลอยบนน้ำซุปก็ให้ช้อนออกเท่าที่จะทำได้ น้ำซุปจะได้ใส และไม่มันเลี่ยน

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นมะระ รสเข้มข้น สูตรเด็ดสร้างอาชีพได้
    -http://cooking.kapook.com/view116658.html-

    ++++++++++++++++++++

    น้ำซุป

    5. น้ำซุปผัก

    ฝนตกออกจากบ้านไปจ่ายตลาดลำบากก็ลองจับผักเหลือ ๆ ในบ้านมาทำเป็นน้ำซุปผัก สูตรจาก คุณ iamrabbiy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม น้ำซุปผักใส่ไช้เท้ากับแครอท ปรุงรสตามชอบ ขอบอกง่ายเว่อร์

    ส่วนผสม น้ำซุปผัก

    • น้ำเปล่า
    • แครอทหั่นชิ้น
    • ไช้เท้าหั่นชิ้น
    • รากผักชี
    • ซอสหอยนางรม (สูตรโซเดียมต่ำ)
    • น้ำปลา (สูตรโซเดียมต่ำ)

    วิธีทำน้ำซุปผัก

    • ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อตั้งไฟปานกลาง ใส่แครอท ไช้เท้า และรากผักชี ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรมและน้ำปลา

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ อาหารคลีนแบบไทย 29 เมนู กินแล้วชีวิตดี๊ดี ไขมันต่ำอิ่มโปรตีนประโยชน์เต็ม
    -http://cooking.kapook.com/view124911.html-

    ++++++++++++++++++++

    น้ำซุป

    6. น้ำซุปผัก (สูตรเจ)

    น้ำซุปผักสูตรเจก็น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ สูตรจาก คุณ a pinky pig สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม น้ำซุปอุดมไปด้วยผักนานาชนิด ปรุงรสด้วยเกลือ เหมาะกินกับเมนูก๋วยเตี๋ยวเจมากเลยจ้า

    ส่วนผสม น้ำซุปผัก

    • ไช้เท้า 2 หัว
    • แครอท 1 หัว
    • ข้าวโพดหวาน 1 ฝัก
    • ฟักเขียว 1/2 หัว
    • ผักกาดขาว 1 หัว
    • กะหล่ำปลี 1 หัว
    • เกลือป่น เล็กน้อย

    วิธีทำน้ำซุปผัก

    • 1. ล้างผักทั้งหมดให้สะอาด ปอกเปลือกออกและหั่นเป็นชิ้น เตรียมไว้
    • 2. ใส่ไช้เท้า แครอท และข้าวโพดหวานลงต้มในหม้อ ปรุงรสด้วยเกลือป่นเล็กน้อย
    • 3. พอน้ำซุปเดือด ใส่ฟักเขียวลงไป พอเดือด ใส่กะหล่ำปลีลงไป รอจนเดือดอีกครั้ง ใส่ผักกาดขาวลงไป พอเดือดลดเป็นไฟอ่อน ต้มต่อประมาณ 30 นาที

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวน้ำเจ เสิร์ฟเมนูเส้นร้อน ๆ ต้อนรับเทศกาลกินเจ
    -http://cooking.kapook.com/view99248.html-


    อื้อหือ ! มีสูตรน้ำซุปให้เลือกทำถึง 6 สูตรแบบนี้ รับรองสุขภาพดีแน่นอน ไม่ต้องใช้ซุปก้อนให้ระคายสุขภาพ ทุกสูตรเพื่อสุขภาพ เหมาะกับทุกคนทุกวัย โดยเฉพาะลูกรัก
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปอท. ให้คาถากันภัยผู้ใช้อีเมล และเฟซบุ๊ก ป้องหลอกโอนเงิน : ห้ามโง่ ห้ามซื่อ ห้ามขี้เกียจ
    -http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=3592-

    พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย ผู้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวถึงภัยออนไลน์ว่าในระยะเวลา 3 เดือนผ่านมา คนไทยโดนแฮ็ก เฟซบุ๊ก และอีเมล และสร้างความเสียหาย โดยถูกหลอกโอนเงินกว่ายี่สิบล้านบาท ส่วนวิธีที่คนร้ายใช้ในการหลอกขโมย PASSWORD สำหรับแฮ็กเฟซบุ๊กนั้นมี 3 วิธี

    วิธีแรกคือ เดาจากเลขวันเดือนปีเกิด หรือเบอร์โทรศัพท์ และเหยื่อการเดา PASSWORD จะเป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป เนื่องจากมักตั้ง PASSWORD เป็นวันเดือนปีเกิดและเบอร์โทรศัพท์เพื่อกันลืม ซึ่งเป็นการง่ายที่คนร้ายจะสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้บนอินเตอร์เน็ต

    วิธีต่อมาคือ สร้างหน้าเพจปลอมขึ้นมา แล้วแจ้งว่า PASSWORD ของท่านกำลังจะหมดอายุ หรือแจ้งว่ามีคนร้ายกำลังจะแฮ็กเฟซบุ๊ก เพื่อความปลอดภัยให้คลิกไปตามลิงค์ที่ให้มาเพื่อทำการเปลี่ยน PASSWORD ใหม่ โดยเมื่อหลงกลคลิกไปตามลิงค์หน้าเพจปลอมนั้น ก็จะให้เราใส่ PASSWORD อันใหม่และ PASSWORD ปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้คนร้ายได้ PASSWORD ไปทันที

    ส่วนวิธีสุดท้ายคือ คนร้ายจะปล่อย SPYWARE เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยที่ SPYWARE นั้นทำลายระบบ และเข้าถึงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นก็แปลว่าคนร้ายจะสามารถรู้ PASSWORD ได้ทันที

    สำหรับการแฮ็กเฟซบุ๊ก สิ่งที่สร้างความเสียหายคือ โจรจะสวมรอยเป็นเจ้าของเฟซบุ๊ก และส่งข้อความหาเพื่อน ๆ ญาติ ๆ ว่ากำลังเดือดร้อน หรือต้องการใช้เงินด่วนให้โอนเงินไปให้ตามเลขที่บัญชีที่โจรให้มา ถ้าเกิดหลงเชื่อขึ้นมา พวกเขาต้องมาสูญเสียเงินมากมายให้โจรไป ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

    ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนว่าห้ามตั้ง PASSWORD เป็นหมายเลขดังกล่าวเด็ดขาด งดข้อมูล PASSWORD ในหน้าเพจที่ส่งมาหรือตามลิงค์ต่าง ๆ หากต้องการเปลี่ยน PASSWORD สิ่งที่ควรทำคือการเข้าไปที่เว็ปไซต์ของเฟซบุ๊ก โดยตรงเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลคือ และท้ายสุดให้ไปตั้งค่าระบบความปลอดภัยของเฟซบุ๊ก ซึ่งได้มีรองรับ และหากมีเพื่อนเฟซบุ๊กมาหาและบอกให้เราโอนเงินให้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ต้องโทรเช็คเจ้าตัวโดยตรงทุกครั้งว่าข้อความที่ส่งมาเป็นของเขาจริงหรือเปล่า

    สำหรับการแฮ็กอีเมลนั้น ส่วนใหญ่ผู้เสียหายจะเป็นบริษัทที่ต้องติดต่อซื้อขายกับต่างประเทศทางอีเมล เมื่อแฮ็กไปเข้าอีเมลแล้ว โจรจะเฝ้าดูการโต้ตอบอีเมลอย่างใจเย็น รอจนถึงเวลาที่สั่งสินค้า และโอนเงินค่าสินค้าไปให้บริษัทนั้น จังหวะนี้โจรจะสวมรอย ส่งอีเมลมาแจ้งว่าบริษัทได้เปลี่ยนบัญชีรับโอนเงินเป็นบัญชีใหม่ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือบัญชีของโจรนั่นเอง

    สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องไปตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติมในกรณีนี้คือ ต้องใส่รหัสพิเศษอีกตัวที่ทางผู้ให้บริการอีเมล เช่น GMAIL, HOTMAIL หรือ YAHOO จะส่งมาให้ทางมือถือทาง SMS เพื่อใส่ควบคู่กับ PASSWORD ไปด้วย โดยรหัสนี้ (รหัส OTP) จะถูกส่งมายังมือถือเท่านั้นทำให้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้าอีเมลของคุณได้แน่นอน ซึ่งระบบความปลอดภัย 2 ชั้นแบบนี้ ค่ายอีเมลต่าง ๆ มีให้ทุกคนได้ใช้ฟรี แค่สละเวลาเพียงสองสามนาที การทำธุรกิจก็จะปลอดภัยขึ้น

    หากอยู่ ๆ บริษัทที่เราเคยซื้อของกันเป็นประจำอยู่แล้ว ส่งอีเมลมาแจ้งว่าบริษัทได้เปลี่ยนเลขที่บัญชีในการโอนเงินเป็นอีกบัญชีหนึ่ง แล้วบอกให้เราโอนเงินค่าสินค้าที่จะซื้อไปยังบัญชีใหม่แทน ห้ามเชื่อเด็ดขาด ต้องได้รับการยืนยันทางโทรศัพท์เท่านั้นถึงจะมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกหลอก เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าอีเมลที่ได้รับไม่ได้มาจากบริษัท แต่มาจากคนร้ายนั่นเอง

    ดังนั้น เพื่อให้เกิดผลสูงสุดในการป้องกันผู้ประกอบการจากการตกเป็นเหยื่ออีเมลสแกม กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจึงได้ร่วมมือทุกธนาคาร โดยส่งวิทยากรเจ้าหน้าที่เข้าไปอบรมพนักงานธนาคารที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การโอนเงินต่างประเทศ และการบริการลูกค้า เพื่อให้นำความรู้ไปแนะนำลูกค้า โดยเนื้อหาในการอบรมจะครอบคลุมถึงทุกมิติของการหลอกลวงทางอีเมล เช่น ลักษณะคดีที่เกิดขึ้นพฤติการณ์ และกลอุบายของอาชญากร วิธีการสังเกตและป้องกัน รวมทั้งวิธีการปฏิบัติตัวของลูกค้าหากพบว่าตนเองตกเป็นเหยื่ออีเมลสแกมแล้ว โดยบก.ปอท. และธนาคารทุกธนาคารเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะสามารถป้องกันผู้ประกอบการจากการตกเป็นเหยื่อ รวมทั้งเป็นการยกระดับการให้บริการของธนาคารในการดูแลลูกค้าต่อไป

    ทั้งนี้ ผบก.ปอท. ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าหากประชาชนต้องการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยโดยเฉพาะการไม่ตกเป็นเหยื่อหลอกโอนเงินนั้น มีคาถาสั้น ๆ อยู่เพียง 3 ข้อที่อยากให้จำไว้เสมอเมื่อต้องอยู่ในโลกออนไลน์ คือ

    1. ห้ามมึน คืออย่าเป็นเพียงผู้ใช้เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจหาความรู้ในการป้องกันตัวเองเลย ประชาชนต้องคอยหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอทั้งในเรื่องการป้องกัน และอาชญากรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

    2. ห้ามซื่อ เนื่องจากคนร้ายมีวิธีการหลอกลวงต่าง ๆ มากมาย เพราะฉะนั้นต้องหัดเป็นคนช่างสังเกตและไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ เพราะแทบทุกสิ่งในโลกออนไลน์นั้นสามารถปลอมได้หมด และ

    3. อย่าขี้เกียจ นั่นคือ ถ้าหากผู้ให้บริการต่าง ๆ มีระบบความปลอดภัยอะไรมาให้ใช้ ต้องใช้ให้หมด อย่าขี้เกียจไปเซ็ตค่าทั้งที่จริงแล้วใช้เวลาเพียงไม่เกิน 5 นาที ดีกว่าต้องเสียเงินมากมายให้คนร้ายไป



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.tcsd.in.th/-

    ลงประกาศ ณ วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559


    กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อาคาร B ชั้น 4 ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. 10210 TH หมายเลขติดต่อ : 02-142 2555-60
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    5 นิสัยพาจน สำหรับมนุษย์เงินเดือน

    -http://terrabkk.com/news/5-%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%9e%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%99-%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%a9%e0%b8%a2%e0%b9%8c/-


    เคยนั่งคิดนอนคิดไหมครับว่าเงินมันหายไปไหนหมด มีเงินให้ใช้ก็น้อย เงินออมก็ไม่มี!! อุตส่าห์ทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน แต่กลับจนลงทุกวัน สาเหตุที่ทำให้คนเราเก็บเงินไม่อยู่มีหลายปัจจัยด้วยกัน เรามาดูกันดีกว่า ว่า 5 นิสัยแย่ๆ ที่พาเราจนลงๆ ทุกวัน นิสัยที่ควรแก้ไข หรือเลิกขาดโดยด่วน

    1.นิสัยใช้ก่อนออมทีหลัง ถ้าคุณใช้จ่ายตามต้องการทั้งเดือน แล้วเงินเหลือเท่าไหร่ค่อยนำมาออมทีหลัง คุณจะมีเงินเหลือให้ออมน้อยมาก หรือดีไม่ดีไม่เหลือเงินออมเลย คนเรายิ่งมีเงินในกระเป๋ามาก ก็ยิ่งใช้มากเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นการวางแผนออมก่อนใช้ทีหลังจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เราสามารถเก็บออมเงินได้ TerraAds

    2.นิสัยฟุ่มเฟือย เห็นอะไรสวยๆ งามๆ ซื้อหมดทุกอย่างที่ขวางหน้า ใช้จ่ายอย่างไม่คิด อาจจะทำให้จนลงเรื่อยๆ ในเร็ววัน ควรเลิกนิสัยฟุ่มเฟือย แล้วนำเงินในส่วนที่ใช้จ่ายอย่างไม่คิดมาออมเงินแทน คุณอาจจะรวยขึ้นทันตาเห็นเลยทีเดียว

    3. นิสัยตามกระแส เห็นเพื่อนมีของใหม่เป็นไม่ได้ ต่อมความอยากมาเยือนซะอย่างงั้นอ๊ะ! อะไรที่นำเทรนด์ หรืออัพเดจในช่วงนั้น ต้องคอยสันหามาครอบครองให้ได้ คิดก่อนซื้อบ้างนะ มีไอโฟน 6 อยู่แล้ว ใช้งานได้ดีอยู่ ก็ไม่ต้องตามกระแสจะซื้อไอโฟน 6s ควรออมเงินไว้บ้าง บางทีเงินที่คุณเสียไปกับพวกสินค้าตามกระแส อาจจะนำไปดาวน์รถยนต์ได้แล้วครับ

    4. ลด ละ เลิกอบายมุข ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ของมึนเมา การพนัน หรือเกมส์ออนไลน์ และอื่นๆ อีกมากมาย เราเข้าใจว่าเหนื่อยมาทั้งสัปดาห์แล้ว ผ่อนคลายกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ากิจกรรมเกือบทุกอย่างตามที่กล่าวมาก็เป็นเรื่องเสียเงินเช่นกัน หากเราไม่รู้จักการควบคุมตัวเองก็อาจจะเสียเงินมากมายได้ครับ การทำอะไรแต่พอดีจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ เล่นบ้างพอสนุก พอหอมปากหอมคอ อย่าให้ต้องเสียเงินเสียทอง สังสรรค์บ้างแต่ก็อย่าให้บ่อย จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องเงินหมดอดออมนะครับ

    5. นิสัยคิดอยากจะรวยแต่ไม่ทำอะไร ฝันได้ ฝันใหญ่ วาดฝันไว้ว่าเราจะทำโน่นนี่นั่น แต่ว่าทุกวันนี้ยังทำอะไรเหมือนเดิม ก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ การที่เราต้องการคิดหน้าคิดหลัง วางแผนให้รอบคอบก่อนลงมือทำเป็นสิ่งที่ดี แต่หากวางแผนนานจนกลายเป็นวางแผนอย่างเดียวแล้วไม่ทำ ก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการเช่นกัน ดังนั้นการวางแผนให้ดี คิดให้รอบคอบ ตั้งกำหนดระยะเวลาให้ตัวเอง แล้วทำตามแผน ก็จะได้เรียนรู้ไปด้วย และลงมือทำไปด้วย อย่างน้อยก็จะมีสิทธิ์ประสบความสำเร็จไม่มากก็น้อยครับ


    เราได้ดู 5 นิสัยพาจนไปแล้ว พอจะรู้แล้วว่าอะไรที่เราสิ้นเปลืองอยู่ทุกๆ เดือน พอเราสามารถจำกัดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของเราได้แล้ว เราก็จะมีเงินเก็บมากขึ้นพร้อมที่จะนำไปลงทุนต่อยอดให้เพิ่มมากขึ้น

    ขอบคุณข้อมูล จาก : Masii.co.th
    -https://masii.co.th/thai-

    อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - -http://terrabkk.com/?p=130541-
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    'ไฟตัดหมอก' เปิดพร่ำเพรื่อ-ผิดกฎหมาย!
    -http://auto.sanook.com/54961/-

    เชื่อว่าหลายคนยังเข้าใจผิดว่าไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์เสริมความสวยงามให้กับรถโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเกิดความรำคาญได้

    ปัจจุบันเรายังสามารถพบเห็นผู้ที่ขับรถโดยเปิดไฟตัดหมอกยามค่ำคืน โดยไม่มีหมอกหรือฝนตกเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นไฟตัดหมอกหน้าหรือหลัง ก็อาจทำให้ผู้อื่นเกิดความรำคาญ จนอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ด้วยเช่นกัน


    ไฟตัดหมอกหน้าจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่

    1.ไฟตัดหมอกที่ให้ลำแสงพุ่งลงไปยังพื้นถนน จะพบได้ในรถยุโรปและรถญี่ปุ่นบางค่าย ซึ่งไฟตัดหมอกชนิดนี้หลายคนคิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่ในขณะที่ขับขี่ท่ามกลางสภาวะหมอกลงจัดนั้น ไฟหน้าทั่วไปจะทำให้เกิดแสงฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ ส่งผลให้มองถนนได้ลำบาก แต่ไฟตัดหมอกที่ติดตั้งอยู่ต่ำ จะช่วยส่องพื้นถนนให้มองเห็นเส้นแบ่งเลนได้ชัดเจนขึ้นขณะขับขี่อย่างช้าๆ

    2.ไฟตัดหมอกที่ให้ลำแสงพุ่งไปข้างหน้า ส่วนใหญ่จะพบในรถญี่ปุ่นบางรุ่น ซึ่งมีจุดประสงค์ก็เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่สวนทางมา สามารถมองเห็นรถคันที่เปิดไฟตัดหมอกได้จากระยะไกลขณะที่หมอกลงจัด ช่วยเพิ่มความปลอดภัยกับผู้ร่วมทาง

    แต่ทั้งนี้ ไฟตัดหมอกทั้ง 2 ประเภท จำเป็นต้องเปิดขณะหมอกลงจัดหรือฝนตกหนักจริงๆเท่านั้น จึงจะเห็นผลดีที่สุด

    ขณะที่ไฟตัดหมอกหลัง มีไว้เพื่อให้ผู้ที่ขับขี่รถตามหลัง สามารถมองเห็นรถคันที่เปิดไฟตัดหมอกได้จากระยะไกลขณะที่หมอกลงจัดหรือฝนตกหนัก ซึ่งปกติไฟตัดหมอกหลังจะมีความเข้มของแสงมากกว่าไฟเบรกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้ผู้ขับรถตามหลังเกิดความรำคาญได้ หากเปิดใช้งานโดยไม่มีหมอกหรือฝนตก

    ในกรณีที่ขับรถเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีสาเหตุอันควร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ระบุว่า การใช้ไฟตัดหมอกสามารถใช้ได้ต่อเมื่อรถวิ่งในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรคอันเกิดอันตรายในการขับรถ หากมีการใช้ไม่เป็นไปตามลักษณะและเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

    อย่าลืมว่าไฟตัดหมอกไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย ดังนั้นจึงควรใช้ให้ถูกต้องครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ftm.png
      ftm.png
      ขนาดไฟล์:
      582.6 KB
      เปิดดู:
      107
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อเช้านี้ ไปตรวจร่างกายประจำปี(ของปี 2559) ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ มา หลังจากที่ตรวจร่างกายที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติแล้ว

    ผมไปทำบุญที่มูลนิธิรามาธิบดี ทำบุญร่วมสร้างอาคารจักรีนฤบดินทร์ จำนวน 2,000 บาท และทำบุญในโครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ จำนวน 500 บาท

    ปกติที่ผมไปตรวจร่างกายที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผมจะไปทำบุญกับมูลนิธิรามาธิบดีมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

    มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “พุทธทำนาย” ของแท้: ศาสนาพุทธจะล่มสลายใน “500 ปี” โดยมี “ผู้หญิง” เป็นต้นเหตุสำคัญ

    -https://www.silpa-mag.com/featured/article_899-


    “หมอดูเขาว่าคู่กับหมอเดา” สำนวนไทยที่มักถูกใช้เพื่อลดคุณค่าของโหราศาสตร์ ซึ่งจะได้ยินบ่อยๆ เมื่อคำทำนายออกมาไม่ตรงใจ หรือเมื่อเวลาผ่านไปแล้วผลของคำทำนายไม่เกิดขึ้น แต่โหราศาสตร์ก็อยู่คู่กับคนไทยมาโดยตลอด ในฐานะที่พึงทางใจ ที่แม้ผลทำนายออกมาไม่ดีแต่ก็ล้วนมีทางแก้ ซึ่งบางครั้งกลายเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์จนเกินส่วนของผู้ทำนายไปด้วย

    ความผูกพันของคนไทยกับคำทำนายและโหราศาสตร์ เห็นได้จากกิจกรรมสำคัญต่างๆ ของคนไทยที่มักพึ่งพาหมอดูหรือผู้รู้ในด้านโหราศาสตร์ในการหาฤกษ์ยามเพื่อความเป็นสิริมงคลตั้งแต่งานบวช งานแต่ง ไปจนถึงงานตาย และในคัมภีร์ หรือบันทึกโบราณของชาวพุทธเองก็มีการกล่าวถึงคำทำนาย ซึ่งว่ากันว่าเป็นคำทำนายของพระพุทธเจ้าเอง ที่มักจะเรียกกันว่า “พุทธทำนาย”

    ตั้งแต่เด็กผู้เขียนได้ยินบ่อยครั้งว่า “พระพุทธเจ้าเคยทำนายเอาไว้ว่า พระศาสนาของพระองค์จะดำรงอยู่ได้ 5 พันปี” และผู้เขียนก็เชื่อมาโดยตลอดว่า คำทำนายดังกล่าวเป็น “พุทธทำนาย” ของแท้ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เอง จนกระทั่งไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้ลองตรวจสอบหาที่มาของคำทำนายดังกล่าวว่า โดยอาศัยพระไตรปิฎก แหล่งรวมพุทธพจน์ที่น่าจะมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่สิ่งที่พบไม่ได้เป็นตามความที่ผู้เขียนได้รับฟังมา กลับกันพระพุทธองค์ทรงทำนายว่า พระธรรมของพระองค์จะอยู่รอดได้เพียง “500 ปี” เท่านั้น และ “ผู้หญิง” ยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้พระธรรมของพระองค์อายุสั้นกว่าที่ควร

    พุทธทำนายดังกล่าวปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม 7 ภาค 2 ในตอนที่พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉาของพระพุทธองค์ พยายามทูลขอออกบวชหลายครั้ง แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต จนกระทั่งพระอานนท์โน้มน้าวให้พระพุทธองค์ทรงยอมให้พระนางปชาบดีโคตมีออกบวชได้ในที่สุด แต่ขณะเดียวกันพระองค์ตรัสว่า

    “ดูก่อนอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปีเท่านั้น ดูก่อนอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อยตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย…”

    หลังการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ได้มีผู้ออกมาตั้งข้อกังขาในพุทธทำนายดังกล่าวของพระองค์ หนึ่งในนั้นคือพระเจ้ามิลินท์ หรือเมนันเดอร์ที่ 1 กษัตริย์ชาวกรีกผู้นับถือศาสนาพุทธซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล (ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 4 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 5) ดังที่ปรากฏใน “มิลินทปัญหา” (เอกสารบันทึกการโต้ตอบระหว่างพระเจ้ามิลินท์ กับพระนาคเสน ปราชญ์ชาวพุทธ ซึ่งเชื่อว่าต้นฉบับน่าจะแต่งขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตในช่วงศตวรรษที่ 1 หรือศตวรรษที่ 2 [ราว พ.ศ. 544-743, หลังรัชสมัยของพระเจ้ามิลินท์นับร้อยปี] โดยนักเขียนนิรนาม ถือเป็นเอกสารสำคัญที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์บาลีของพม่าด้วย) ซึ่งพระมิลินท์ทรงถามพระนาคเสนว่า

    “หลังจากที่ผู้หญิงออกบวช พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า พระธรรมอันบริสุทธิ์จะดำรงอยู่ได้เพียง 500 ปี อย่างไรก็ดีพระองค์ทรงเคยตรัสกับพระสุภัททะว่า ‘ตราบเท่าที่หมู่สงฆ์ยังคงยึดถือพระธรรมเป็นแนวปฏิบัติโดยสมบูรณ์แล้ว โลกนี้ย่อมไม่ขาดแคลนซึ่งพระอรหันต์’ คำพูดทั้งสองย่อมขัดกันเอง”

    พระนาคเสนตอบกลับไปว่า คำพูดของพระพุทธองค์ทั้งสองประโยคถูกกล่าวในบริบทที่ต่างกัน หนึ่งคืออายุขัยของพระธรรมอันบริสุทธิ์ อีกหนึ่งคือแนวปฏิบัติในโลกของพระธรรม ซึ่งพระนาคเสนมองว่าต่างกัน โดยพระนาคเสนเชื่อว่า หากศิษยานุศิษย์ของพระพุทธองค์ยังคงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คำสอนของพระพุทธองค์ย่อมคงอยู่ไม่สูญหาย (แต่อาจจะไม่บริสุทธิ์แล้ว?)

    ทั้งนี้ เนื้อหาในมิลินทปัญหาที่ผู้เขียนยกมานั้นเป็นฉบับภาษาอังกฤษ (The Debate of King Milinda) โดย Bhikku Pesala พระชาวอังกฤษที่ได้รับการบวชให้โดยพระชาวพม่า และเข้ามาศึกษาพระธรรมทั้งในพม่าและไทย ตำราอ้างอิงที่พระรูปนี้ใช้จึงเป็นคัมภีร์บาลีของพม่า (รวมไปถึงฉบับแปลในภาษาอื่นๆด้วย) ซึ่งบันทึกไว้ต่างจากฉบับศรีลังกา (และไทย) ที่ระบุว่า “พระสัทธรรมของตถาคตจะตั้งอยู่นานประมาณกำหนดห้าพันปี”

    การที่บันทึกฝ่ายไทยไปแปลมิลินทปัญหาโดยระบุระยะเวลาเช่นนั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะเนื้อหาในส่วนที่พระเจ้ามิลินท์อ้างถึงคือการบวชของผู้หญิงนั้นในพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยเองก็ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าจะทำให้ “สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปี” ผู้เขียนจึงเชื่อว่ามิลินทปัญหาฉบับศรีลังกาและไทย น่าจะใส่เลขศูนย์เกินไปหนึ่งตัว

    ความผิดพลาดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นด้วยความจงใจ ด้วยชาวพุทธมักเชื่อว่า พระพุทธองค์ทรง “ตรัสรู้” ย่อมเป็นผู้รู้ในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นอดีตปัจจุบัน และอนาคต (บ้างก็ว่าพระองค์ทรงแตกฉานในทุกศาสตร์ รวมถึงกลศาสตร์ควอนตัมและสามารถปรับใช้ได้ด้วยพระองค์เองเหนือชั้นยิ่งไปกว่าไอน์สไตน์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ) ทำให้คำทำนายของพระองค์ต้องเป็นจริงแน่นอน การที่พระองค์ตรัสว่าพระธรรมของพระองค์จะตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปี แต่พุทธศาสนากลับดำรงอยู่ได้เลยช่วงเวลาดังกล่าว ย่อมทำให้ความเชื่อที่ว่าพระองค์คือผู้รู้ในทุกสรรพสิ่งสั่นคลอน

    การเติมศูนย์เพิ่มเข้าไปในเอกสารชั้นรองอย่างมิลินทปัญหา ผู้บันทึกชาวไทยและศรีลังกาคงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การเติมศูนย์เพิ่มเข้าไปในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดของชาวพุทธย่อมเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม พระเถระจึงใช้ “อรรถกถา” หรือคำอธิบายเสริมพระไตรปิฎก เพื่อขยายความคำพูดของพระพุทธองค์ออกไปว่า แท้จริงที่พระองค์ตรัสว่า พระสัทธรรมจะตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปี เพราะมาตุคามบวชแต่กลับไม่ได้เป็นดังที่พระองค์ทรงตรัส เพราะพระองค์ได้ทรงบัญญัติครุธรรมเพื่อกันความละเมิดไว้ก่อน “ทำให้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดพันปีที่ตรัสทีแรกนั่นเอง”

    นอกจากนี้อรรถกถายังอธิบายต่อไปว่า การคงอยู่ของพระสัทธรรมหนึ่งพันปีตามที่พระพุทธองค์ตรัสถึงก็ด้วยอำนาจ “พระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทา” (พระอรหันต์ขั้นสูง) เท่านั้น แต่พระสัทธรรมจะยังคงอยู่ไปอีกพันปีด้วยอำนาจ “พระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ” (พระอรหันต์ขั้นรองลงมา) อีกพันปีด้วยอำนาจ “พระอนาคามี” อีกพันปีด้วยอำนาจ “พระสกทาคามี” และอีกพันปีด้วยอำนาจ “พระโสดาบัน” ทำให้พระสัทธรรมของพระพุทธองค์จะคงอยู่ได้รวม “5,000 ปี”

    ด้วยเหตุนี้จึงพอจะกล่าวได้ว่า ความเชื่อในพุทธทำนายที่ว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ 5,000 ปี แท้จริงแล้วมิได้มาจากพระพุทธองค์เอง แต่เป็นการตีความพุทธพจน์ที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งมีการผลิตซ้ำในเอกสารชั้นรองว่า คำทำนายดังกล่าวเป็นของพระพุทธองค์เองเช่นในมิลินทปัญหาฉบับศรีลังกาและไทย นอกจากนี้ยังมีการอ้างว่า เมื่อครั้งที่คณะธรรมทูตไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่อินเดียเมื่อปี พ.ศ.2484 ได้พบศิลาจารึกในเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวันซึ่งได้ลงจารึกไว้ว่า โลกจะแตกหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว 5,000 ปี (ไปไกลกว่าเดิม) แต่ก็เป็นเพียงการอ้างลอยๆ ไม่มีการระบุชื่อผู้พบและผู้แปลเป็นที่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด


    ----------------------------------------------


    เรื่องนี้ พูดยาก

    แต่ทุกวันนี้ พระพุทธศาสนา ยังคงอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งไม่ใช่ประเทศอินเดีย
     

แชร์หน้านี้

Loading...