พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธนาราวันตบพิตร อนุสรณ์ในหลวงทรงผนวช
    -http://thaprajan.blogspot.com/2010/12/blog-post_20.html-

    พระพุทธนาราวันตบพิตร อนุสรณ์ในหลวงทรงผนวช
    พระพุทธรูปซึ่งไม่ได้รับการเรียกขานว่า "พระพุทธรูปทรงผนวช" เหมือนเช่น "เหรียญทรงผนวช" แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระราชพิธีทรงพระผนวชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ พระพุทธนาราวันตบพิตร


    พระพุทธนาราวันตบพิตร เป็นพระพุทธรูปศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร ประดิษฐานบนฐานรูปกลีบบัวคว่ำบัวหงาย ซึ่งประดับอยู่เหนือฐานสิงห์ทรงกลม ฐานส่วนล่างสุดเป็นฐานปัทม์แปดเหลี่ยม จารึกประวัติการสร้างไว้ที่ท้องไม้ เนื้อพระพุทธรูปและฐานทั้งสามชั้นทำด้วยโลหะผสมทอง สูงจากพระรัศมีถึงพระบาท 15.5 นิ้ว ฐานกลีบบัวและฐานสิงห์สูงรวม 4 นิ้ว ฐานปัทม์สูง 3.5 นิ้ว


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างตามพระราชประเพณีซึ่งเริ่มมาแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือ โปรดให้สร้างพระพุทธรูปเป็นพุทธบูชาเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการที่ได้ทรงผนวชในพระพุทธศาสนา ดังนั้น ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเป็นพระภิกษุระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 เมื่อทรงลาผนวชแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประติมากรของกรมศิลปากรปั้นหุ่นและหล่อพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อพระพุทธรูปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ณ พระที่นั่งราชฤดี ในพระบรมมหาราชวัง และโปรดให้จารึกที่ส่วนท้องไม้ของฐานชั้นล่างว่า

    "พระพุทธนาราวันตบพิตร ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนากาลล่วงแล้ว ๒๔๙๙ พรรษา วันที่ ๒๒ ตุลาคมมาส พระบาทสมเด็จพระประมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชศรัทธาในพระบวรพระพุทธศาสนา ได้เสด็จออกทรงผนวชเป็พระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จมาประทับบำเพ็ญสมณปฏิบัติ ณ พระปั้นหยาวัดบวรนิเวศวิหาร ได้ทรงสถาปนาพระพุทธปฏิมาพระองค์นี้ขึ้นไว้ในพระบวรพุทธศาสนา เมื่อ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้ถวายพระนามว่า พระพุทธนาราวันตบพิตร เชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ พระปั้นหยาเป็นพระราชกุศลสืบไป"

    พระพุทธนาราวันตบพิตรประดิษฐานอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า จนถึง พ.ศ.2507 ได้หายไป ทางวัดฯ ได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท แต่ต่อมาด้วยเดชะพระบารมีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพุทธนาราวันตบพิตรได้กลับมาสู่วัดบวรนิเวศวิหารดังปาฏิหาริย์ กล่าวคือ ในคืนวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 ได้มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนำห่อของสองห่อมาฝากพระภิกษุในวัด ขอให้ถวายเจ้าอาวาส เมื่อเจ้าอาวาสแก้ห่อออกมา ปรากฏว่าเป็นพระพุทธนาราวันตบพิตรและฐานที่หายไป จึงเป็นที่ยินดีและเป็นที่ประหลาดใจของวัดและผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทั่วกัน ฉะนั้น ทางวัดจึงได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตฉลองพระพุทธนาราวันตบพิตร ในคราวเดียวกับการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองพระรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507

    ปี พ.ศ. 2542 ในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ 72 พรรษา ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างพระพุทธนาราวันตบพิตร ให้พสกนิกรได้สักการะบูชา เพื่อนำรายได้สมทบมูลนิธิชัยพัฒนา


    พระพุทธนาราวันตบพิตรที่จัดสร้างขึ้นนี้ เป็นพระเนื้อผง ขนาดสูง 3.2 เซนติเมตร เนื้อพระประกอบด้วยมวลสารจากสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน ในประเทศเนปาลและอินเดีย และจากวัดสำคัญและเก่าแก่หลายแห่งในประเทศศรีลังกา จีน และญี่ปุ่น รวมทั้งมวลสารจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และวัดสำคัญ ๆ ทั่วประเทศ ผงพุทธคุณจากพระคณาจารย์ที่เคารพบูชาทั่วพระราชอาณาจักร ที่สำคัญยิ่งคือ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ พระราชทานเส้นพระเจ้า (เส้นผม) พระจีวร และมวลสารส่วนพระองค์ (ผงจิตรลดา) โดยพระราชทานผ่านสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อัญเชิญมาผสมอยู่ในเนื้อพระพุทธนาราวันตบพิตรนี้ด้วย

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก


    อ้างอิง พระพุทธรูปสำคัญ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
    ขอขอบคุณ krusiam.com ที่เอื้อเฟื้อภาพเป็นวิทยาทาน
    เขียนโดย ท่าพระจันทร์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง...คำสอนของพ่อหลวง ร.9
    -http://money.kapook.com/view159964.html-

    รวมพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงสอนลูกหลานชาวไทยอยู่เสมอ ทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้

    คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำรัสให้คนไทยได้นำไปปฏิบัติกันมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว หากแต่เราเข้าใจคำสอนของพ่อในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน

    ...จำเป็นไหมที่การใช้ชีวิตพอเพียง หมายถึง การปลูกพืชผักทานเอง ต้องประหยัด ต้องตระหนี่ มีแต่น้อย ไม่ใช้อะไรเลย ?

    เพื่อให้เข้าใจคำนี้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น กระปุกดอทคอม ขอน้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงบางส่วน ที่พระราชทานไว้ในโอกาสต่าง ๆ มาเผยแพร่ให้เราทุกคนได้อ่านกันอีกครั้ง หากได้อ่านทุกคำ ทุกประโยค เราจะเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของเศรษฐกิจพอเพียงที่พ่อสอนไว้อย่างถ่องแท้


    เศรษฐกิจพอเพียง

    "การใช้จ่ายโดยประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น ยังจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป..."

    พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้..."

    "...ฉะนั้น ถ้าทุกท่านซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิด และมีอิทธิพล มีพลังที่จะทำให้ผู้อื่นซึ่งมีความคิดเหมือนกัน ช่วยกันรักษาส่วนรวมให้อยู่ดีกินดีพอสมควร ขอย้ำ พอควร พออยู่พอกิน มีความสงบ ไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้จากเราไปได้ ก็จะเป็นของขวัญวันเกิดที่ถาวร ที่จะมีคุณค่าอยู่ตลอดกาล..."

    "...ถ้าท่านทั้งหลายช่วยกันคิด ช่วยกันทำ แม้จะมีการเถียงกันบ้าง แต่เถียงด้วยรากฐานของเหตุผล และเมตตาซึ่งกันและกัน และสิ่งที่สูงสุด ที่สุดก็คือประโยชน์ร่วมกัน คือ ความพอมีพอกิน พออยู่ ปลอดภัยของประเทศชาติ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2517

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและประชาชนโดยทั่วไป มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอด เนื่องมาจากความวิปริตผันแปรของวิถีแห่งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่น ๆ ของโลก ยากยิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ จึงต้องระมัดระวัง ประคับประคองตัวเรามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นอยู่โดยประหยัด เพื่อที่จะอยู่ให้รอดและก้าวหน้าต่อไปได้โดยสวัสดี..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 31 ธันวาคม 2521

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้า ให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 9 พฤษภาคม 2529


    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ในทุกวันนี้ ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้อมมูล ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถนำมาใช้เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ และเสถียรภาพอันถาวรของบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ข้อสำคัญ ต้องรู้จักใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฉลาด โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2529

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2534

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทยเรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่าถ้ามีเงินเท่านั้น ๆ มีการกู้เท่านั้น ๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2536

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา 2 ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2539

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ว่า การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง อันนี้ก็เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยจริง อาจจะล้าสมัย คนอื่นเขาต้องมีเศรษฐกิจ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน เรียกว่าเศรษฐกิจการค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียง เลยรู้สึกว่าไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่า ผลิตให้พอเพียงได้…"

    "...การกู้เงินนี้นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ดี อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ กู้เงินนั้น เงินจะต้องให้เกิดประโยชน์ มิใช่กู้สำหรับไปเล่นไปทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์..."

    "...เมื่อปี 2517 ถึง 2541 ก็ 24 ปีใช่ไหม วันนั้นได้พูดว่า เราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดีใหญ่…"

    "…สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน มาสมัยนี้ชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมีนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อที่จะให้ทุกคนพอเพียงได้ ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้ว่าบางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจพอเพียง หรือระบบพอเพียง …"

    "... แต่ว่าพอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็เพียงพอเพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนผู้อื่นน้อย..."

    "...มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง..."

    "… ความพอเพียงนี้ก็แปลว่าความพอประมาณ และความมีเหตุผล…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2540

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy…"

    "...คำว่า Sufficiency Economy นี้ ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่..."

    "...Sufficiency Economy นั้น ไม่มีในตำรา เพราะหมายความว่าเรามีความคิดใหม่…"

    "...และโดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่าเราก็สามารถที่จะไปปรับปรุง หรือไปใช้หลักการ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลกพัฒนาดีขึ้น..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2541

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทําอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข..."

    "...ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็หมายความอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือระบบพอเพียง...พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง..."

    "เศรษฐกิจพอเพียง...จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2541

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ ๆ เหมือนการสร้างเขื่อนป่าสัก ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่จริงแล้วเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน..."

    "...ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นชาวไทยมีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้ คือให้ความรัก ความเมตตากัน ให้น้ำใจไมตรีกัน ให้อภัย ไม่ถือโทษ โกรธเคืองกัน ให้การสงเคราะห์ อนุเคราะห์กัน โดยมุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์ และจริงใจ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็ม ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากวารสารชัยพัฒนาประจำเดือนสิงหาคม 2542

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้น ๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 23 ธันวาคม 2542

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...แต่ว่าพอเพียง ในทฤษฎีหลวงคือ ให้สามารถดำเนินงานได้ แต่ที่ว่าเมืองไทยไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง นี่ไม่ได้ตำหนิ ไม่เคยพูด นี่พูดในตอนนี้ พูดเวลานี้ ขณะนี้ว่าประเทศไทย ไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ค่อนข้างจะแย่ เพราะว่าจะทำให้ล่มจม..."

    "...เศรษฐกิจพอเพียงที่หมายถึงนี้ คือว่าอย่างคนที่ทำธุรกิจ ก็ย่อมต้องไปกู้เงิน เพราะว่าธุรกิจ หรือกิจการอุตสาหการสมัยใหม่นี้ คนเดียวไม่สามารถที่จะรวบรวมทุนมาสร้างกิจการ กิจกรรมที่ใหญ่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้กิจกรรมที่ใหญ่…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2543

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ 200-300 บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมาย ไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกล ๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล วันที่ 17 มกราคม 2544

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…การอยู่พอมีพอกิน ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความก้าวหน้า มันจะมีความก้าวหน้าแค่พอประมาณ ถ้าก้าวหน้าเร็วเกินไป ไปถึงขึ้นเขายังไม่ถึงยอดเขา หัวใจวาย แล้วก็หล่นจากเขา ถ้าบุคคลหล่นจากเขา ก็ไม่เป็นไร ช่างหัวเขา แต่ว่าถ้าคนคนเดียวขึ้นไปวิ่งบนเขา แล้วหล่นลงมา บางทีทับคนอื่น ทำให้คนอื่นต้องหล่นไปด้วย อันนี้เดือดร้อน…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันที่ 30 พฤษภาคม 2544

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "… เศรษฐกิจพอเพียงที่ได้ย้ำแล้วย้ำอีกแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า sufficiency economy ใครต่อใครก็ ต่อว่า ว่า ไม่มี sufficiency economy แต่ว่าเป็นคำใหม่ของเราก็ได้ก็หมายความว่า ประหยัด แต่ไม่ใช่ขี้เหนียว ทำอะไร ด้วยความอะลุ้มอล่วยกัน ทำอะไรด้วยเหตุและผล จะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง แล้วทุกคนจะมีความสุข แต่เศรษฐกิจพอเพียงนี้ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติยากที่สุด…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2544

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…เมืองไทยเนี่ยมีทรัพยากรดี ๆ ไม่ทำไม่ใช้ เดี๋ยวต้องไปกู้เงินอะไรที่ไหนมา มาพัฒนาประเทศ จริง ๆ สุนัขฝรั่งก็ต้องซื้อมา ต้องมี แต่ว่าเรามีของมีทรัพยากรที่ดี เราต้องใช้ ไม่ใช่สุนัขเท่านั้น อื่น ๆ ของอื่นหลายอย่าง แล้วที่นายกฯ พูดถึงทฤษฎีใหม่ พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง ไอ้เนี่ยเราไม่ได้ซื้อจากต่างประเทศ แต่ว่าเป็นของพื้นเมืองแล้วก็ไม่ได้ อาจจะอ้างว่าเป็นความคิดพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ทำมานานแล้ว ทั้งราชการ ทำราชการ ทั้งพลเรือน ทั้งทหาร ทั้งตำรวจ ได้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงมานานแล้ว…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2545

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…ความสะดวกจะสามารถสร้างอะไรได้มาก นี่คือเศรษฐกิจพอเพียง สำคัญว่าต้องรู้จักขั้นตอน ถ้านึกจะทำอะไรให้เร็วเกินไป ไม่พอเพียง ถ้าไม่เร็ว ช้าไป ก็ไม่พอเพียง ต้องให้รู้จักก้าวหน้า โดยไม่ทำให้คนเดือดร้อน อันนี้เศรษฐกิจพอเพียงคงได้ศึกษามานานแล้ว เราพูดมาแล้ว 10 ปีต้องปฏิบัติด้วย…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2546

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พอเพียงคืออะไร ไม่ใช่เพียงพอ คือว่า ไม่ได้หมายความว่า ให้ทำกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ทำกำไรก็ทำ ถ้าเราทำกำไรได้ดี มันก็ดี แต่ว่าขอให้มันพอเพียง ถ้าท่านเอากำไรหน้าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง…"

    "...ฟังว่ารัฐบาลหรือเมืองไทย ประชาชน มีเงินเยอะ มีเงินเกิน ก็ใช้สิ เขาหาว่าเราเศรษฐกิจพอเพียง คำว่า พอเพียง ถ้ามีเงินก็ต้องใช้ ไม่ใช่ขี้เหนียว ถ้ามีเงินไม่ต้องขี้เหนียว ซื้อไปเถอะ อะไรก็ตาม เครื่องบิน เรือ รถถัง ซื้อ ถ้ามีเงินเยอะ ก็ถือว่าสนับสนุนให้จ่าย เดี๋ยวนี้เขาบอกว่า ในหนังสือพิมพ์เห็นรึเปล่า ว่าเขาสนับสนุนให้จ่าย ถ้ามีก็จ่าย แต่ถ้าไม่มีก็ระงับหน่อย ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2550



    ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    สำนักงาน กปร.
    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    มูลนิธิชัยพัฒนา
    เครือข่ายกาญจนาภิเษก
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นี่คือสิ่งที่คร่าชีวิต สันติ ดวงสว่าง ได้ไวมาก ทำเอารู้ว่าอันตรายอยู่รอบตัวเราจริงๆ อ่านแล้วจะเข้าใจเลย

    -http://www.clip007.com/news-185129-


    หลังวานนี้ มีข่าวช็อกวงการบันเทิง สันติ ดวงสว่าง นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เสียชีวิตแล้วอย่างสงบที่ รพ. ใน จ.สมุทรสงคราม ด้วยวัยเพียง48ปี หลังหมดสติ เส้นเลือดสมองแตก นอนโคม่า 4 วัน สร้างความเศร้าสลดอย่างมาก
    จะเห็นได้ว่า ช่วงหลังนี้ คนดังๆมักจะเสียชีวิตด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก เรามาดูว่ากันโรคนี้คืออะไร อาการเป็นอย่างไร พร้อมรับมือกับมัน
    และถ้ายังจำกันได้ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา สันติ ดวงสว่างนั้น เคยวูบจนขับรถชนมาแล้ว
    ธันวาคม 2558 สันติ ดวงสว่าง เข้ามาโรงพยาบาลช่วงค่ำด้วยอาการปวดหัวรุนแรงอ่อนเพลียมาก จึงตรวจเช็คร่างกายพบว่าความตันโลหิตตัวบนสูง 190 มิลลิเมตรปรอทและน้ำตาลในเลือดสูงถึง 527 จึงให้การรักษาโดยฉีดอินซูลินลดน้ำตาลและให้ยาแอมโรไดปีนลดความดัน จนล่าสุดความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดลดลงตามลำดับ ซึ่งมีโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานอยู่แล้วอาจจะหักโหมกับการทำงานทำให้พักผ่อนน้อยรวมทั้งขาดยาลดความดันและลดน้ำตาลในเลือดทำให้อาการกำเริบจนต้องหามส่งโรงพยาบาลดังกล่าว
    ผ่านไป เกือบ 1 ปี สันติ ดวงสว่าง ก็มีอาการเส้นเลือดในสมองแตก จนเสียชีวิตในที่สุด

    หากจะกล่าวว่า โรคที่เกี่ยวกับ หลอดเลือดสมอง เป็นโรคที่อันตรายและน่ากลัวเป็นอันดับต้นๆ ของคนยุคปัจจุบันก็คงไม่ผิดนัก ไม่ว่าจะเป็น โรคเส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดสมองตัน หรือ เส้นเลือดสมองแตก โดยในอดีตเรามักเข้าใจว่าโรคที่เกี่ยวกับ เส้นเลือดสมองเป็นโรคของผู้สูงอายุ ทว่าในปัจจุบันกลับพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากขึ้นตามลำดับทั้งที่อยู่ในวัยกลางคนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนับรวมบรรดาโรคที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันทั้งหลายแล้ว ภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรือตีบนี้พบมากเป็นอันดับ 2 ของโรคที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน (รองจากโรคหัวใจ) ดังนั้น การรู้จักและรู้ทันโรคนี้เพื่อหาทางป้องกันตนเองและคนรอบข้างจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม


    สาเหตุ โรคหลอดเลือดในสมอง ตีบ ตัน แตก เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อไขมันหรือลิ่มเลือดเกิดการอุดตัน แล้วเข้าไปคั่งอยู่ในเส้นเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและถูกทำลายไป ซึ่งหากผู้ป่วยเกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบหรือตันแล้วไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงที ก็อาจนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพหรืออัมพาตได้ หรือหากรุนแรงกว่านั้นคือเกิดภาวะเส้นเลือดสมองแตก ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตโดยกะทันหันได้

    โรคนี้มีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น ภาวะที่ต้องเผชิญกับความเครียดเป็นประจำ รวมไปถึงสิงห์อมควันทั้งหลายด้วย โดยปกติแล้วโรคนี้มักเกิดขึ้นกับผู้สูงวัย หรือคนอายุน้อยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูงมานานแต่ไม่ได้รับการรักษา หรือเกิดกับคนที่มีเส้นเลือดผิดปกติ ซึ่งทำให้ โรคหลอดเลือดสมอง ทำงานบกพร่องจน ตีบ ตัน หรือแตกในที่สุด

    สัญญาณอันตราย ความน่ากลัวของโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดสมอง คือ อาการของโรคมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน ซึ่งผู้ป่วยไม่สามารถล่วงรู้ได้ก่อนว่าจะเกิดขึ้นเวลาใด ดังนั้น หากผู้ป่วยไม่หมั่นสังเกตความผิดปกติของตนเองอย่างสม่ำเสมอและรู้เท่าทันถึง “สัญญาณอันตราย” แล้วก็อาจนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพหรืออัมพาต หรืออาจเสียชีวิตได้ “สัญญาณอันตราย” ที่ว่านี้ก็คือ เดินไม่ตรง มีอาการเซ ออกเสียงไม่ชัด พูดไม่ออก เอื้อมหยิบสิ่งของไม่ได้ ไม่มีแรง ชาบริเวณ มือ แขน ขา มองภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน มีอาการปวดศีรษะ หรือ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หากพบว่าคุณมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคดังที่กล่าวมาแล้ว หากพบสัญญาณอันตรายเหล่านี้แม้เพียงประการเดียวก็จงอย่าละเลยหรือนิ่งนอนใจเป็นอันขาด


    ลำดับขั้นของอาการ อาการของโรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะหลอดเลือกสมองตีบ ตัน และแตกนี้ มีระดับขั้นของความรุนแรงเป็น 2 ระยะ ดังนี้

    ระยะที่ 1 อาการเส้นเลือดตีบและตัน เมื่อเส้นเลือดเกิดภาวะตีบหรือตันที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวกและติดขัด สมองจึงได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ อาการที่เกิดขึ้นเป็นเบื้องต้นในระยะนี้ เช่น ชาตามร่างกาย ตามมือ เท้า หรืออาจหมดสติได้ หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงแรกที่ปรากฏอาการ

    ระยะที่ 2 เส้นเลือดในสมองแตก ระยะนี้ถือเป็นระยะอันตราย เนื่องจากเป็นภาวะที่มีเลือดออกในสมอง ซึ่งนอกจากจะต้องนำผู้ป่วยไปถึงมือหมอโดยเร็วที่สุดแล้ว ยังจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เนื่องจากกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะทุพพลภาพ หรืออาจฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มแรก

    การป้องกัน เนื่องจากโรคที่เกี่ยวกับ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และเมื่อเกิดอาการของโรคนี้ขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงภาวะทุพพลภาพหรือเสียชีวิตกะทันหันได้ ดังนั้น การระมัดระวังตนเองและป้องกันมิให้เกิดโรคจึงน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ด้วยการดูแลสุขภาพของตนตั้งแต่อายุยังน้อย หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคอยตรวจสอบตนเองอยู่เสมอ ไม่ให้เผชิญกับโรคที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยง ด้วยการเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และตรวจเช็คเป็นพิเศษเกี่ยวกับ หัวใจ ตับ ความดัน และไขมันในเลือด เป็นต้น

    นอกจากดูแลสุขภาพร่างกายแล้ว ยังต้องดูแลสุขภาพจิตให้เบิกบานแจ่มใสควบคู่ไปด้วย เรียกว่า กิน อยู่ หลับนอน ต้องเป็นไปอย่างสมดุล เพื่อความสุขกาย และสบายใจอย่างแท้จริง
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แบบนี้นี่เอง!!?? เหตุไฉน? ‘ม้าทรง’ พระบรมรูปพระเจ้าตาก ทำไม ‘หางชี้สูงไม่ลู่ลง’ ทั้งที่ยืนนิ่งมิได้ออกรบ ช่างแยบยลยิ่งนัก!!

    -http://skynews.thaimom.net/46844/-

    แบบนี้นี่เอง!!?? เหตุไฉน? ‘ม้าทรง’ พระบรมรูปพระเจ้าตาก ทำไม ‘หางชี้สูงไม่ลู่ลง’ ทั้งที่ยืนนิ่งมิได้ออกรบ ช่างแยบยลยิ่งนัก!!

    1

    วันนี้ทางทีมงานได้หาข้อมูลเกี่ยวกับ อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าที่วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี ผลงานการออกแบบของ “อาจารย์ฝรั่ง” สุภาพบุรุษแห่งเมืองฟลอเรนซ์ มีชื่อไทยว่า ศ.ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร

    น่าแปลกไหม อนุสาวรีย์หล่อตั้งแต่ปี 2480 ยุคพระยาพหลพลพยุหเสนา แต่กว่าจะได้ติดตั้งต้องใช้เวลาต่อสู้กับกลุ่มอำมาตย์เก่าอยู่นานถึง 17 ปี มาสำเร็จเอาในปี พ.ศ.2497 ยุครัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม

    และแม้จะทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์อย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายถูกขุนนางผู้ดีในยุคนั้นทั้งสายสถาปนิก นักวิจารณ์ศิลปะ และสัตวแพทย์หลายท่านเอาชนะคะคานโจมตีในเรื่องไม่เป็นเรื่องของม้าทรง

    เหตุเพราะม้ายืนตรง แต่กลับทำหางชี้สูงไม่ลู่ลง เหล่า “อีหลีด” โวยวายจนเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับว่า เป็นม้าที่ดูอุบาทว์ ประดักประเดิด สี่ขายืนสงบนิ่งไม่ได้ทำท่ากระโจนสักนิด แต่กลับยกหางสั่นเหมือนพวกขี้ครอกขึ้นวอ ท่าเช่นนี้เหมือนม้ากำลังจะขี้ (ขออภัย การตอบโต้ของอีหลีดยุคนั้นเขาใช้คำว่า “ขี้” ชัดเต็มปากเต็มคำ) อาจารย์ศิลป์โดนรุมประณามว่ามั่วนิ่มนั่งเทียนปั้น

    อันที่จริงแล้ว มิใช่ว่าอาจารย์ศิลป์จักไม่รู้เรื่องกายวิภาคของม้าเลย ตรงข้ามท่านให้ความสำคัญกับม้าทรงชิ้นนี้เสียยิ่งกว่างานปั้นชิ้นใดๆ ถึงกับลงทุนปีนนั่งร้านที่มีความสูงกว่าสามเมตรขึ้นไปปรับแต่งแก้ไขปั้นดินจนถึงพอกปูนทุกขั้นตอนในโรงหล่อ หลังจากที่ให้ลูกศิษย์ช่วยกันหล่อปั้นตามแบบแล้ว เป็นเหตุให้ท่านพลัดตกลงมาจากนั่งร้าน จนแขนขาหักต้องเข้าเฝือกอยู่หลายเดือน

    2

    นอกจากนี้แล้ว อาจารย์ศิลป์ยังครุ่นคิดถึงเรื่องสายพันธุ์ของม้า ว่าควรเป็นชนิดใด ต้องไม่ใช่ม้าอาหรับ ม้าออสเตรเลีย หรือม้านอร์แมน หากแต่ต้องเป็นม้าไทยเท่านั้น และเมื่อเป็นม้าไทย อาจารย์ศิลป์ก็ต้องกำหนดส่วนสัดให้แตกต่างไปจากม้าเทศที่เคยศึกษามาจากยุโรป

    ปัญหาก็คือ พวกที่วิจารณ์นั้นคือกลุ่มผู้ลากมากดีสยามที่ดูถูกชาวจีนว่าเป็นคนต่างด้าว จึงจ้องแต่จะทับถมเกียรติภูมิของพระเจ้าตากสินผ่านการกดหางม้าทรงไว้มิให้เผยอผยองพองขน อาจารย์ศิลป์จึงถูกบีบให้กลายเป็นหนังหน้าไฟไปโดยปริยาย

    ความตั้งใจแรกของอาจารย์ศิลป์นั้น ท่านต้องการนิรมิตม้าทรงของพระเจ้าตากในท่าผาดโผนโจนทะยานกำลังออกศึก เชื่อกันว่าหากไม่โดนกระแหนะกระแหนคอยจิกคอยตอดเป็นระยะๆ พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระเจ้าตากสินนั้น คงจะต้องมีความงามสง่าสมชายชาติอาชาไนย ดุจเดียวกับอนุสาวรีย์ของพระเจ้านโปเลียนมหาราชที่กรุงปารีส หรือไม่ก็ต้องละม้ายกับรูปม้าทรงของจักรพรรดิทราจันแห่งกรุงโรม ณ ประเทศอิตาลี แผ่นดินมาตุภูมิของอาจารย์ศิลป์โน่นเทียว

    ข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจากเอกสารต่างชาติก็คือ เมื่อครั้งที่มีการจ้างวานศิลปินชาวฝรั่งเศสหล่อพระบรมรูปทรงม้าของรัชกาลที่ 5 นั้น ทางสยามต้องการให้ม้าทรงอยู่ในท่ายกขาหน้าเหมือนม้าของนโปเลียน แต่ทางโรงหล่อที่ยุโรปแย้งกลับมาว่า ท่าม้าเผ่นผยองหรือยกขาหน้าตามธรรมเนียมสากลมีไว้สำหรับจักรพรรดิที่เป็นนักรบเท่านั้น

    โดยโรงหล่อกรุงปารีสมีความเห็นว่า รัชกาลที่ 5 ไม่ใช่กษัตริย์นักรบยกทัพทำสงครามด้วยพระองค์เอง จึงไม่อาจสร้างรูปทรงม้าในท่าเผ่นโผนตอบสนองความต้องการของผู้จ้างได้ จึงปั้นในท่าขี่ม้าสงบนิ่งตามที่เราเห็น

    "เมื่อไม่สามารถบันดาลให้ม้าทรงยกขาหน้าได้ดั่งที่ควรจะเป็น อาจารย์ศิลป์จึงแอบซ่อนรหัสนัยไว้ที่หางของมันให้ชี้ตระหวัดขึ้น เป็นภาพของม้าที่อยู่ในอิริยาบทเคร่งเครียด พร้อมที่จะออกวิ่งทะยานอยู่ทุกขณะ รอแต่ว่าเมื่อไหร่องค์จอมทัพจักกระชับบังเหียนให้สัญญาณเท่านั้น"
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    12 ฮวงจุ้ยบ้านไม่ดี ลักษณะแบบนี้ไม่ควรอยู่ !

    -http://home.kapook.com/view160068.html-

    12 หลักฮวงจุ้ยบ้านไม่ดี นอกจากจะไล่พลังดีแล้วยังเรียกและเก็บสะสมพลังร้ายในบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยอยู่อย่างไม่มีความสุข ไม่ควรปลูกหรือจัดบ้านในลักษณะแบบนี้เด็ดขาด

    ฮวงจุ้ยบ้าน ไม่ได้หมายความถึงเรื่องตำแหน่งและที่ตั้งของบ้านเท่านั้น แต่ยังหมายถึงรูปแบบการออกแบบและตกแต่งบ้านทั้งภายในและภายนอกอีกด้วย ทั้งนี้ฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์ที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าในบ้านของบริเวณบ้านมีสิ่งที่ขัดต่อหลักฮวงจุ้ย ผู้อยู่อาศัยก็อาจจะมีปัญหาและเกิดความทุกข์ได้เช่นกัน เว็บไซต์ Terrabbk ได้รวบรวมหลักฮวงจุ้ยต้องห้าม ซึ่งส่งผลเสียกับทั้งสุขภาพ หน้าที่การงาน และการเงินของผู้อยู่อาศัย ซึ่งมีด้วยกัน 12 ลักษณะดังนี้

    12 ฮวงจุ้ยต้องห้าม (Terrabbk)

    นอกจากฮวงจุ้ยที่เหมาะสำหรับสร้างบ้านแล้ว เจ้าของบ้านควรทราบด้วยว่า ฮวงจุ้ยลักษณะไหนที่ไม่ควรไปสร้างบ้านในบริเวณนั้น ซึ่ง TerraBKK จะพาไปรู้จักกับฮวงจุ้ยที่ไม่ควรสร้างบ้าน ซึ่งมีมากถึง 12 แบบเลยทีเดียว

    1. มีกระแสลมแรงพัดผ่านตลอดเวลา พลังของลมจะพัดพาเงินทองทรัพย์สินไม่ให้เหลือเก็บ แต่ถ้าไม่มีลมพัดเลย พลังงานที่ดีก็จะไม่หมุนเวียน ฮวงจุ้ยที่ดีคือมีลมพัดผ่าน อากาศถ่ายเทดี แต่ไม่ใช่ลมพัดแรงตลอดเวลา

    2. มืดและเย็น แสดงว่ามีพลังหยินมากเกินไป ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย รวมทั้งเป็นที่อยู่ของวิญญาณซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ดี ไม่ควรอยู่อาศัยร่วมกับมนุษย์

    3. ทางชันพุ่งเข้าหาประตู เหมือนสร้างบ้านบนปลายอาวุธ มีแต่อันตราย ไม่ใช่เรื่องดี

    4. ถนนพุ่งเข้าบ้าน เป็นลักษณะของทางสามแพร่ง หรือทางผีผ่าน ยิ่งถนนยาว มีรถมาก ยิ่งอันตราย

    5. ใกล้ทางโค้ง คล้ายรูปเคียวโดยเฉพาะสะพาน หรือวงเวียน มองเห็นรถหรือสิ่งที่จะเข้ามาในบ้านได้ยาก อาจอันตรายทั้งจากโจรขโมยและเป็นจุดดักพลังงานที่ไม่ดี

    6. ขนาบด้วยตึกสูง ทั้ง ซ้าย-ขวา หรือ หน้า-หลัง ในลักษณะเหมือนหนีบบ้านที่อยู่ตรงกลาง ไม่ดีเพราะเป็นลักษณะของโลงศพ บ้านที่อยู่ตรงกลางเป็นศพตายไม่มีทางฟื้น เท่ากับทำมาหากินไม่ขึ้น

    7. มุมแหลมของบ้านด้านข้างพุ่งเข้าหาตัวบ้าน ลักษณะนี้เป็นลักษณะของศรพิฆาต พลังของความมุ่งร้ายต่าง ๆ จะพุ่งเข้ามาที่บ้าน

    8. ด้านหน้าบ้าน เป็นโรงพัก ศาลเจ้า เรือนจำ สถานดับเพลิง สถานที่เหล่านี้คือแหล่งรวมของเรื่องทุกข์ร้อนและความเดือดเนื้อร้อนใจ ซึ่งจะส่งผลมาถึงคนในบ้านด้วย

    9. ที่ดินปากทางน้ำ ถือว่าไม่เป็นมงคล เพราะน้ำไหลตลอดเวลา เก็บทรัพย์ไม่ได้ ทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกกัดเซาะและน้ำท่วมอีกด้วย

    10. มีต้นไม้ใหญ่ เสาไฟ หรือเสาหลัก ขวางตรงประตูหน้าบ้าน สิ่งของเหล่านี้ถือเป็นสิ่งอัปมงคล ไม่ควรให้ตั้งอยู่หน้าบ้าน

    11. มีคลอง ร่องน้ำ ไหลผ่านตัวบ้าน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย

    12. มีแอ่งตรงกลางบ้านหรือกลางตัวบ้านเป็นหลุมบ่อ กลางบ้านคือหัวใจของพลังงานในบ้าน หากยุบหรือเป็นหลุมลงไปย่อมไม่เป็นมงคล

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://terrabkk.com/news/12-%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1/-
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำพ่อสอน เรื่อง 'การทำงาน' ให้ประสบความสำเร็จ
    18 ต.ค. 2559 14:10

    -http://www.thairath.co.th/content/754102-

    จากหนังสือ "คำพ่อสอน" (หนังสือเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสการจัดงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542) ยังมีพระราชดำรัส และพระบรมราโชวาท ที่พ่อหลวงตรัสเตือนประชาชนที่รักของพระองค์ท่าน ซึ่งในวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอหยิบยกพระราชดำรัส คำสอน ที่เกี่ยวข้องกับ "การทำงาน" มาใส่เกล้าใส่กระหม่อม และอยากจะเผยแพร่ให้กับทุกคนได้อ่าน

    ความสัตย์สุจริตประเทศบ้านเมืองจะวัฒนาถาวรอยู่ได้

    ...ข้าพเจ้าขอฝากคติไว้เป็นเครื่องกำกับใจ มีคุณธรรมข้อหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งท่านต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ คือ ความสัตย์สุจริตประเทศบ้านเมืองจะวัฒนาถาวรอยู่ได้ ก็ย่อมอาศัยความสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐาน ท่านทั้งหลายจะออกไปรับราชการก็ดี หรือประกอบกิจการงานส่วนตัวก็ดี ขอให้มั่นอยู่ในคุณธรรมทั้ง 3 ประการคือ สุจริตต่อบ้านเมือง สุจริตต่อประชาชน และสุจริตต่อหน้าที่ ท่านจึงจะเป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญของมวลชนทั่วไป...

    พระบรมราโชวาท
    ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    วันที่ 12 มิถุนายน 2497

    ต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี

    ...ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใด ๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริง ๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น ๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ...

    พระราชดำรัส
    พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    วันที่ 12 ธันวาคม 2513

    การปฏิบัติงานให้ได้ผลดังปรารถนานั้น จำเป็นต้องมีหลักและวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม

    ...ผู้ที่ตั้งใจเข้ามาศึกษาวิชาการขั้นสูง ย่อมต้องปรารถนาจะใช้ความรู้ความสามารถที่อุตสาหะอบรมฝึกฝนมา ปฏิบัติงานให้เป็นผลดีแก่ตัว แก่สังคมอย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ การปฏิบัติงานให้ได้ผลดังปรารถนานั้น จำเป็นต้องมีหลักและวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม หลักสำคัญประการหนึ่ง คือ การศึกษาสภาพความจริงของงาน ของบุคคล ของสังคม ภาวะแวดล้อมอื่น ๆ ให้กระจ่างอย่างทั่วถึงอีกประการหนึ่ง การละความเครียดในหลักวิชาให้เบาบางลง กล่าวคือ รู้จักพิจารณาใช้หลักวิชาตามความสำคัญและจำเป็น เพื่อมิให้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชากลายเป็นสิ่งกีดขวางการปฏิบัติไป...

    พระบรมราโชวาท
    ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2516

    การทำงานให้มีประสิทธิผล ต้องเข้าใจคำว่า "ความรับผิดชอบ"

    …การจะทำงานให้มีประสิทธิผลและให้ดำเนินไปโดยราบรื่นนั้น จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องทำด้วยความรับผิดชอบอย่างสูง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือนจุดประสงค์ที่แท้จริงของงาน สำคัญที่สุดต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ความรับผิดชอบ” ให้ถูกต้อง ขอให้เข้าใจว่า “รับผิด” ไม่ใช่การรับโทษ หรือถูกลงโทษ “รับชอบ” ไม่ใช่รับรางวัล หรือรับคำชมเชย การรู้จักรับผิด หรือยอมรับรู้ว่าอะไรผิดพลาดเสียหาย และเสียหายเพราะอะไร เพียงใดนั้น มีประโยชน์ ทำให้บุคคลรู้จักพิจารณาตนเอง ยอมรับความผิดของตนเองโดยใจจริง เป็นทางที่จะช่วยให้แก้ไขความผิดได้ และให้รู้ว่าจะต้องปฏิบัติแก้ไขใหม่ ส่วนการรู้จักชอบหรือรู้ว่าอะไรถูก อันได้แก่ถูกตามความมุ่งหมาย ถูกตามหลักวิชา ถูกตามวิธีการนั้น มีประโยชน์ทำให้ทราบแจ้งว่าจะทำให้งานสำเร็จสมบูรณ์ได้อย่างไร จักได้ถือปฏิบัติต่อไป นอกจากนั้น เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่า “รับผิดชอบ” ตามนัยดังกล่าวแล้ว ผู้ที่เข้าใจซึ้งในความรับผิดชอบ จะสำนึกตระหนักได้ทันทีว่า ความรับผิดชอบคือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ จะหลีกเลี่ยงละเลยไม่ได้ จึงใคร่ขอให้บัณฑิตศึกษาและสังวรระวังในความรับผิดชอบให้มากที่สุด ผู้ใดมีความรับผิดชอบ จะสามารถประกอบการงานให้บรรลุผลสำเร็จ ตามที่มุ่งหมายไว้ ได้อย่างแน่นอน...

    พระบรมราโชวาท
    ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    วันที่ 16 กรกฎาคม 2519

    ไม่ว่าจะทำงานด้านใด งานเล็ก งานใหญ่ ง่ายยาก ถือว่างานทุกอย่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน

    …งานของชาตินั้นมีมากมายหลายด้าน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม ศิลปวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง และจำเป็นจะต้องมีผู้มีความรู้ความสามารถในแต่ละสาขาวิชามาปฏิบัติบริหารให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีในทุก ๆ ด้าน ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัด ก็จะขอเปรียบเหมือนวงดนตรีวงหนึ่ง ซึ่งจะต้องประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ มีเครื่องดีด สี ตี เป่า เป็นต้น และมีผู้ชำนาญในเครื่องดนตรีนั้น ๆ เป็นผู้ปฏิบัติให้กลมกลืนไพเราะ และถูกต้องตามจังหวะจะโคน จึงจะเป็นวงดนตรีที่สมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาความสามารถไม่ว่าจะทำงานใดด้านใด เป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ง่ายยาก จะต้องถือว่างานทุกอย่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และต้องตั้งใจกระทำให้ดีที่สุด ด้วยความรับผิดชอบ และความอุตสาหะวิริยะโดยมุ่งถึงความสำเร็จของงานเป็นจุดหมายสำคัญ...

    พระบรมราโชวาท
    ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    วันที่ 11 กรกฎาคม 2539

    การทำงานทุกอย่างต้องยึดมั่นในจรรยาบรรณในวิชาชีพของตน

    ...การงานทุกอย่างทุกอาชีพ ย่อมจะมีจรรยาบรรณของตนเอง จรรยาบรรณนั้นจะบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่ยึดถือกันว่าเป็นความดีงาม ที่คนในอาชีพนั้นพึงประพฤติปฏิบัติ หากผู้ใดล่วงละเมิดก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งแก่บุคคล หมู่คณะ และส่วนรวมได้ เหตุนี้ ผู้ปฏิบัติงานในทุกสาขาอาชีพ นอกจากจะต้องมีความรู้ในสาขาของตนอย่างลึกซึ้ง จัดเจนและศึกษาให้ก้าวหน้าอยู่เสมอแล้ว ยังจะต้องยึดมั่นในจรรยาบรรณในวิชาชีพของตน ทั้งข้อที่ควรปฏิบัติและไม่พึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย จึงจะสามารถประพฤติตนปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จได้รับความเชื่อถือยกย่องในเกียรติ ในศักดิ์ศรีและความสามารถด้วยประการทั้งปวง...

    พระบรมราโชวาท
    ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล
    วันที่ 4 กรกฎาคม 2540

    ผู้หนักแน่นในสัจจะ พูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ

    …ผู้หนักแน่นในสัจจะ พูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริงทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม…

    พระบรมราโชวาท
    ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    วันที่ 10 กรกฎาคม 2540
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบรมราโชวาท เรื่อง การทำงาน

    -https://www.linkedin.com/pulse/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-yongyuth-buranatepaporn-

    ''...หลักการสำคัญประการหนึ่ง ที่ จะส่งเสริมให้ปฏิบัติงานสำเร็จและ เจริญก้าวหน้าได้แท้จริง คือ การไม่ทำตัวทำความคิดให้คับแคบ หากให้มีเมตตาและไมตรี ยินดี ประสานสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ร่วม งานอย่างจริงใจ...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 18 กรกฎาคม 2530


    ''...การทำงานใด ๆ ไม่ว่าเล็ก ใหญ่ ง่าย ยาก ถ้าย่อหย่อนจากความเพียรแล้ว ยากที่จะให้สำเร็จเรียบร้อยทันเวลา ได้ และเมื่อใดพลังของความเพียรนี้ เกิดขึ้น เมื่อนั้นการงานทั้งหลายก็สำเร็จได้โดย ง่ายดายและรวดเร็ว...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 21 มิถุนายน 2522


    ''...ผู้ที่มีปัญหาที่สามารถจะทำการงาน สำคัญ ๆ ให้ยึดหลักเป็นกำลังของ บ้านเมืองต่อไปได้นั้น จะต้องเป็นผู้ หนักแน่นในสัจจะ คือต้องมีความจริง พร้อมทั้งในคำพูดในการกระทำ ทั้งในบุคคลอื่นและในตนเองสิ่งใด ที่ตั้งใจจริงต้องปฏิบัติให้ได้ โดยเคร่งครัดครบถ้วน...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร, 28 ตุลาคม 2521


    ''...การทำงานด้วยความรู้ความสามารถด้วย ความตั้งใจและเอาใจใส่ศึกษานั้น เป็นการ พัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพสูงขึ้นโดยแท้ และ บุคคลที่มีคุณภาพอันพัฒนาแล้วย่อมสามารถ จะพัฒนางานส่วนรวมของชาติ ให้เจริญก้าวหน้าได้ดังประสงค์...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา, 8 กรกฎาคม 2530


    ''...เมื่อมีโอกาสและมีงานให้ทำ ควรเต็มใจ ทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใด ไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริง ๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมี ความเอาใจใส่ มีความขยันและซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา, 8 กรกฎาคม 2530


    ''...การทำงานใด ๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ควรอย่างยิ่งที่จะตั้งเป้าหมาย ขอบเขตและ หลักการไว้ให้แน่นอน เพราะจะช่วยให้สามารถ ปฏิบัติมุ่งเข้าสู่ผลสำเร็จได้โดยตรง และ ถูกต้องพอเหมาะพอดี เป็นการป้องกันและ ขจัดความล่าช้า ความสิ้นเปลือง ความเสียเปล่า ทุกอย่างได้อย่างสิ้นเชิง...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 17 กรกฎาคม 2530


    "'...การปฏิบัติงานให้บรรลุผลเลิศนั้น นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถ ทางวิชาการเป็นอย่างดีแล้ว ทุกคนจะต้องมีความสำนึกตระหนักในหน้าที่ของตนแล้ว ตั้งใจปฏิบัติงานรับใช้ชาติบ้านเมือง ด้วย ความพากเพียรและอดทน...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรแก่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนนายทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร, 6 มีนาคม 2529


    ''...การทำงานสร้างอนาคตนี้ นอกจากจะต้องใช้วิชาความรู้ที่จัดเจนเป็นหลักแล้ว บุคคลยังจำเป็นต้องอาศัยคุณสมบัติพิเศษอีก หลายด้านเป็นเครื่องอุดหนุนและส่งเสริม ความรู้ของตนเป็นอย่างมากอีกด้วย...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 31 ตุลาคม 2528


    ''...การทำงานให้สำเร็จผลแน่นอนและสมบูรณ์ ตามเป้าหมายนั้นจะต้องใช้ความรู้ความสามารถ พร้อมทั้งคุณสมบัติที่สำคัญ ๆ ในตัวบุคคลหลายประการ ทั้งความตั้งใจที่มั่นคง ความคิดสร้างสรรค์ ความ อุตสาหะพยายาม ความรับผิดชอบ ตลอดจนความสุจริต เป็น ธรรมนำมาปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 19 กรกฎาคม 2528


    ''...ทุกคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำเฉพาะหน้าที่นั้นเพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่ เฉพาะของตัว โดยไม่มองดูคนอื่นงานก็ ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่างานทุกงาน จะต้องพาดพิงกัน จะต้องเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้น แต่ละคนจะต้องรู้ถึงงานของผู้อื่นแล้ว ช่วยกันทำ...''

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย, 4 ธันวาคม 2533


    ''...เมื่อมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น ทุกคน ชอบที่จะทำความคิดความเห็นให้สอดคล้อง กัน ร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไขด้วย เหตุและผล ตามความเป็นจริง บนพื้นฐานอันเดียวกัน ก็จะเห็นแนวทาง ปฏิบัติแก้ไขได้อย่างเที่ยงตรงถูกต้อง และเหมาะสม...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 14 กรกฎาคม 2537


    ''...ในชีวิตการงานนั้น ทุกคนมีภาระ อันหนักที่จะต้องกระทำมากมาย ทั้งในงาน อาชีพและงานที่ทำประโยชน์แก่สังคม นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ รับใช้ชาติบ้านเมืองในฐานะที่เป็นพลเมือง ไทยอีกประการหนึ่งด้วย...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ณ วังท่าพระ, 14 ตุลาคม 2512


    ''...การที่จะทำงานเพื่อความมั่นคงและ ก้าวหน้านั้น มิใช่ว่าจะก้มหน้าก้มตาทำ หน้าที่ของแต่ละคนเท่านั้นจะต้องมีความ ร่วมมือสัมพันธ์กันระหว่างหน่วยงานทุกหน่วย เพื่อให้งานรุดหน้าไปพร้อมเพรียงกัน...''

    พระบรมราโชวาท ในโอกาสพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน, 22 กรกฎาคม 2513


    ''...แต่ละคนก็มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติงาน ของตน ที่เรียกว่าอาชีพของตน ถ้าทำดีก็เป็น สิ่งที่น่าชมและน่าปลาบปลื้มใจ เป็น ประโยชน์แก่ตัวเองและถ้ากิจการที่ทำ มีความเจริญในทางที่ดีที่ชอบก็ ทำให้ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง มีความ ก้าวหน้าด้วยดี...''

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา, 4 ธันวาคม 2518


    ''...เมืองไทยของเรา ประกอบด้วยคนหลาย จำพวก หลายวัยหลายความคิด หลายหน้าที่ ซึ่งทั้งหมดจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ ว่าคนหนึ่งคนใดจะอยู่ได้โดยลำพัง...''

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา, 4 ธันวาคม 2517


    ''...การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความ สุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิดเห็น ที่เป็นอิสระปราศจากอคติ และด้วย ความถูกต้องตามเหตุตามผลจึง จะช่วยให้งานบรรลุจุดมุ่งหมาย และประโยชน์ที่พึง ประสงค์โดยครบถ้วนแท้จริง...''

    พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน, 1 เมษายน 2528


    ''...การทำงานสร้างเกียรติยศชื่อเสียง และความเจริญก้าวหน้านอกจากจะต้อง ใช้วิชาความรู้ที่ดีแล้ว แต่ละคนยังต้องมี จิตใจที่มั่นคงในความสุจริต และ มุ่งมั่นต่อความสำเร็จเป็นรากฐานรองรับ จึงจะบันดาลผลเลิศให้เกิดขึ้นสมบูรณ์ เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง...''

    พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน, 1 เมษายน 2526


    ''....เกียรติและความสำเร็จ เกิดจากผลการ ปฏิบัติงานและปฏิบัติตัวของแต่ละคน ที่สามารถปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ ให้ได้ผลสมบูรณ์ตรงตามวัตถุประสงค์และ ปฏิบัติตัวให้สุจริต เที่ยงตรง พอควรพอดีแก่ ตำแหน่งหน้าที่ที่ดำรงอยู่...''

    พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน, 1 เมษายน 2531


    ''...เมื่อทำงาน ต้องมุ่งถึงจุดมุ่งหมาย ที่แท้จริงของงาน งานจึงจะสำเร็จ ได้รับประโยชน์ครบถ้วน ทั้งประโยชน์ของงาน และประโยชน์ของผู้ทำ...''

    พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน, 1 เมษายน 2532


    ''...การจะทำงานให้มีประสิทธิผลและให้ ดำเนินไปได้โดยราบรื่นนั้น จำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องทำด้วยความรับผิดชอบอย่างสูงไม่ บิดเบือนข้อเท็จจริงไม่บิดเบือนจุดประสงค์ที่ แท้จริงของงานสำคัญที่สุดต้องเข้าใจความหมาย ของคำว่า ความรับผิดชอบเพราะความรับผิดชอบ คือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ จะหลีกเลี่ยงละเลยไม่ได้...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 16 กรกฏาคม 2519


    ''...งานที่กระทำโดยอาศัยหลักวิชาที่ดี บนรากฐานแห่งความสุจริตและความ มุ่งมั่นและด้วยวิธีการอันแยบคายพร้อม ด้วยความพึงพอใจความอุตสาหะขะมักเขม้น เอาใจใส่ ด้วยความพินิจพิจารณา จะต้อง บรรลุที่ปราศจากโทษ และเป็นประโยชน์ แท้จริงอย่างแน่นอน...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 14 กรกฏาคม 2522


    ''...เมื่อจะเริ่มงานสิ่งใด ให้พยายามคิด พิจารณาให้เห็นจุดหมายเห็นสาระและประโยชน์ ที่แท้จริงของงานนั้นอย่างแจ่มแจ้ง แล้วจึง ลงมือทำด้วยความตั้งใจ มั่นใจ ด้วยความ รับผิดชอบอย่างสูง ให้ดำเนินลุล่วงตลอดไปอย่าง ต่อเนื่อง โดยมิให้บกพร่องเสียหาย...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล, 5 กรกฏาคม 2533


    ''...อุปสรรคสำคัญของการทำงาน คือความท้อถอยและความหวั่นเกรงต่อ อิทธิพลต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหตุบั่นทอนความสามารถ ในตน กับทั้งความเที่ยงตรงต่อหน้าที่ อย่างร้ายกาจ จึงต้องระมัดระวังควบคุมสติ และรักษาความสุจริตเป็นธรรมไว้ให้ได้ ตลอดเวลา...''

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร 18 เมษายน 2532


    ''...ในการประกอบการงานทั้งปวงนั้น ทุกคนต้องมีความตั้งใจจริงและขยัน หมั่นเพียรต้องรู้จักคิดพิจารณาด้วยปัญญา และความรอบคอบยึดมั่นในความ สามัคคีและความซื่อสัตย์สุจริต ถือเอา ประโยชน์ส่วนรวมเป็นจุดประสงค์สำคัญจึงจะ สามารถปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้สำเร็จผลโดย สมบูรณ์ได้...''

    พระราชดำรัส ในพิธีพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรประจำจังหวัดน่าน, 10 มีนาคม 2512


    ''...การประชาสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์ ระหว่างประชาชน หรือให้ประชาชนเข้าใจ สัมพันธ์กัน และงานกิจการต่าง ๆก็ต้อง อาศัยการประชาสัมพันธ์เกือบทั้งนั้นถ้าทุกคน ตั้งใจทำเพื่อให้ผลที่เป็นประโยชน์แก่ ส่วนรวม ก็เชื่อได้ว่าส่วนรวมจะอยู่เย็นเป็นสุข...''

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะกรรมการบริหารสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน, 24 มีนาคม 2523


    ''...ศิลปิน มีหน้าที่ที่จะดูว่ามีความรู้สึก อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและแสดงออก มาในทางของตน ดังนั้นศิลปินทุกฝ่าย จึงมีหน้าที่ที่จะตั้งจิตเจตนาที่บริสุทธิ์ เจตนาที่ดี ผลที่ออกมาก็ดีเป็นผลที่ สร้างสรรค์เป็นผลที่ทำให้โลกเรามีความเจริญ ก้าวหน้าโดยแท้จริง...''

    พระราชดำรัส พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือสุพรรณหงส์ทองคำ, 20 ธันวาคม 2522


    ''...หนังสือพิมพ์ เป็นกำลังของบ้านเมือง ถ้าหากว่าใช้กำลังในทางที่ดีก็จะทำให้ บ้านเมืองไปในทางที่ดี แต่ถ้าใช้กำลังในทาง ที่เรียกว่าไม่ดี ก็จะทำให้บ้านเมือง เป็นไปในทางที่ไม่ดี จึงต้องระมัดระวังและ ต้องใช้ความพินิจพิเคราะห์ที่ดีและ ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าความเสียสละบ้าง เพื่อ ส่วนรวม...''

    พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะกรรมการสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน, 25 กรกฎาคม 2515


    ''...การเขียนเรื่องใด ๆ จะเป็นแนวใดก็ตาม จะเป็นคุณเป็นประโยชน์ได้และจะเป็นโทษ ได้ทั้งนั้น แล้วแต่วิธีการเขียนที่ ประพันธ์หรือที่เรียบเรียง ถ้ามีความคิดที่ดี ที่ชอบธรรมอยู่แล้วเขียนลงไปด้วยความ สามารถก็เป็นคุณได้...''

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดรายการโดยเสด็จพระราชกุศล ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 10 มีนาคม 2513


    ''...ผู้มีหน้าที่สื่อข่าว ควรสำนึกอยู่เสมอว่างาน ที่ทำเป็นงานสำคัญและมีเกียรติสูง การ แพร่ข่าวโดยขาดความระมัดระวัง หรือแม้แต่ คำพูดง่าย ๆ เพียงนิดเดียว ก็สามารถจะทำลาย งานที่ผู้มีความปรารถนาดีทั้งหลาย พยายาม สร้างไว้ด้วยความยากลำบากเป็นเวลาแรมปี เหมือน ฟองอากาศนิดเดียวถ้าเข้าไปอยู่ในเส้นเลือดก็สามารถ ปลิดชีวิตคนได้...''

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่นักธุรกิจและนักหนังสือพิมพ์ ณ พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตันนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา, 8 มิถุนายน 2510
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง...คำสอนของพ่อหลวง ร.9
    -http://money.kapook.com/view159964.html-

    รวมพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงสอนลูกหลานชาวไทยอยู่เสมอ ทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้

    คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำรัสให้คนไทยได้นำไปปฏิบัติกันมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว หากแต่เราเข้าใจคำสอนของพ่อในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน

    ...จำเป็นไหมที่การใช้ชีวิตพอเพียง หมายถึง การปลูกพืชผักทานเอง ต้องประหยัด ต้องตระหนี่ มีแต่น้อย ไม่ใช้อะไรเลย ?

    เพื่อให้เข้าใจคำนี้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น กระปุกดอทคอม ขอน้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงบางส่วน ที่พระราชทานไว้ในโอกาสต่าง ๆ มาเผยแพร่ให้เราทุกคนได้อ่านกันอีกครั้ง หากได้อ่านทุกคำ ทุกประโยค เราจะเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของเศรษฐกิจพอเพียงที่พ่อสอนไว้อย่างถ่องแท้


    เศรษฐกิจพอเพียง

    "การใช้จ่ายโดยประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น ยังจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป..."

    พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้..."

    "...ฉะนั้น ถ้าทุกท่านซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิด และมีอิทธิพล มีพลังที่จะทำให้ผู้อื่นซึ่งมีความคิดเหมือนกัน ช่วยกันรักษาส่วนรวมให้อยู่ดีกินดีพอสมควร ขอย้ำ พอควร พออยู่พอกิน มีความสงบ ไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้จากเราไปได้ ก็จะเป็นของขวัญวันเกิดที่ถาวร ที่จะมีคุณค่าอยู่ตลอดกาล..."

    "...ถ้าท่านทั้งหลายช่วยกันคิด ช่วยกันทำ แม้จะมีการเถียงกันบ้าง แต่เถียงด้วยรากฐานของเหตุผล และเมตตาซึ่งกันและกัน และสิ่งที่สูงสุด ที่สุดก็คือประโยชน์ร่วมกัน คือ ความพอมีพอกิน พออยู่ ปลอดภัยของประเทศชาติ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2517

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและประชาชนโดยทั่วไป มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอด เนื่องมาจากความวิปริตผันแปรของวิถีแห่งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่น ๆ ของโลก ยากยิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ จึงต้องระมัดระวัง ประคับประคองตัวเรามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นอยู่โดยประหยัด เพื่อที่จะอยู่ให้รอดและก้าวหน้าต่อไปได้โดยสวัสดี..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 31 ธันวาคม 2521

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้า ให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 9 พฤษภาคม 2529


    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ในทุกวันนี้ ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้อมมูล ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถนำมาใช้เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ และเสถียรภาพอันถาวรของบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ข้อสำคัญ ต้องรู้จักใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฉลาด โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2529

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2534

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทยเรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่าถ้ามีเงินเท่านั้น ๆ มีการกู้เท่านั้น ๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2536

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา 2 ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2539

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ว่า การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง อันนี้ก็เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยจริง อาจจะล้าสมัย คนอื่นเขาต้องมีเศรษฐกิจ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน เรียกว่าเศรษฐกิจการค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียง เลยรู้สึกว่าไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่า ผลิตให้พอเพียงได้…"

    "...การกู้เงินนี้นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ดี อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ กู้เงินนั้น เงินจะต้องให้เกิดประโยชน์ มิใช่กู้สำหรับไปเล่นไปทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์..."

    "...เมื่อปี 2517 ถึง 2541 ก็ 24 ปีใช่ไหม วันนั้นได้พูดว่า เราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดีใหญ่…"

    "…สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน มาสมัยนี้ชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมีนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อที่จะให้ทุกคนพอเพียงได้ ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้ว่าบางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจพอเพียง หรือระบบพอเพียง …"

    "... แต่ว่าพอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็เพียงพอเพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนผู้อื่นน้อย..."

    "...มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง..."

    "… ความพอเพียงนี้ก็แปลว่าความพอประมาณ และความมีเหตุผล…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2540

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy…"

    "...คำว่า Sufficiency Economy นี้ ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่..."

    "...Sufficiency Economy นั้น ไม่มีในตำรา เพราะหมายความว่าเรามีความคิดใหม่…"

    "...และโดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่าเราก็สามารถที่จะไปปรับปรุง หรือไปใช้หลักการ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลกพัฒนาดีขึ้น..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2541

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทําอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข..."

    "...ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็หมายความอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือระบบพอเพียง...พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง..."

    "เศรษฐกิจพอเพียง...จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2541

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ ๆ เหมือนการสร้างเขื่อนป่าสัก ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่จริงแล้วเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน..."

    "...ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นชาวไทยมีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้ คือให้ความรัก ความเมตตากัน ให้น้ำใจไมตรีกัน ให้อภัย ไม่ถือโทษ โกรธเคืองกัน ให้การสงเคราะห์ อนุเคราะห์กัน โดยมุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์ และจริงใจ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็ม ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากวารสารชัยพัฒนาประจำเดือนสิงหาคม 2542

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้น ๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 23 ธันวาคม 2542

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...แต่ว่าพอเพียง ในทฤษฎีหลวงคือ ให้สามารถดำเนินงานได้ แต่ที่ว่าเมืองไทยไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง นี่ไม่ได้ตำหนิ ไม่เคยพูด นี่พูดในตอนนี้ พูดเวลานี้ ขณะนี้ว่าประเทศไทย ไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ค่อนข้างจะแย่ เพราะว่าจะทำให้ล่มจม..."

    "...เศรษฐกิจพอเพียงที่หมายถึงนี้ คือว่าอย่างคนที่ทำธุรกิจ ก็ย่อมต้องไปกู้เงิน เพราะว่าธุรกิจ หรือกิจการอุตสาหการสมัยใหม่นี้ คนเดียวไม่สามารถที่จะรวบรวมทุนมาสร้างกิจการ กิจกรรมที่ใหญ่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้กิจกรรมที่ใหญ่…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2543

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ 200-300 บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมาย ไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกล ๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล วันที่ 17 มกราคม 2544

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…การอยู่พอมีพอกิน ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความก้าวหน้า มันจะมีความก้าวหน้าแค่พอประมาณ ถ้าก้าวหน้าเร็วเกินไป ไปถึงขึ้นเขายังไม่ถึงยอดเขา หัวใจวาย แล้วก็หล่นจากเขา ถ้าบุคคลหล่นจากเขา ก็ไม่เป็นไร ช่างหัวเขา แต่ว่าถ้าคนคนเดียวขึ้นไปวิ่งบนเขา แล้วหล่นลงมา บางทีทับคนอื่น ทำให้คนอื่นต้องหล่นไปด้วย อันนี้เดือดร้อน…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันที่ 30 พฤษภาคม 2544

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "… เศรษฐกิจพอเพียงที่ได้ย้ำแล้วย้ำอีกแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า sufficiency economy ใครต่อใครก็ ต่อว่า ว่า ไม่มี sufficiency economy แต่ว่าเป็นคำใหม่ของเราก็ได้ก็หมายความว่า ประหยัด แต่ไม่ใช่ขี้เหนียว ทำอะไร ด้วยความอะลุ้มอล่วยกัน ทำอะไรด้วยเหตุและผล จะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง แล้วทุกคนจะมีความสุข แต่เศรษฐกิจพอเพียงนี้ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติยากที่สุด…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2544

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…เมืองไทยเนี่ยมีทรัพยากรดี ๆ ไม่ทำไม่ใช้ เดี๋ยวต้องไปกู้เงินอะไรที่ไหนมา มาพัฒนาประเทศ จริง ๆ สุนัขฝรั่งก็ต้องซื้อมา ต้องมี แต่ว่าเรามีของมีทรัพยากรที่ดี เราต้องใช้ ไม่ใช่สุนัขเท่านั้น อื่น ๆ ของอื่นหลายอย่าง แล้วที่นายกฯ พูดถึงทฤษฎีใหม่ พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง ไอ้เนี่ยเราไม่ได้ซื้อจากต่างประเทศ แต่ว่าเป็นของพื้นเมืองแล้วก็ไม่ได้ อาจจะอ้างว่าเป็นความคิดพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ทำมานานแล้ว ทั้งราชการ ทำราชการ ทั้งพลเรือน ทั้งทหาร ทั้งตำรวจ ได้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงมานานแล้ว…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2545

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "…ความสะดวกจะสามารถสร้างอะไรได้มาก นี่คือเศรษฐกิจพอเพียง สำคัญว่าต้องรู้จักขั้นตอน ถ้านึกจะทำอะไรให้เร็วเกินไป ไม่พอเพียง ถ้าไม่เร็ว ช้าไป ก็ไม่พอเพียง ต้องให้รู้จักก้าวหน้า โดยไม่ทำให้คนเดือดร้อน อันนี้เศรษฐกิจพอเพียงคงได้ศึกษามานานแล้ว เราพูดมาแล้ว 10 ปีต้องปฏิบัติด้วย…"

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2546

    เศรษฐกิจพอเพียง

    "...ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พอเพียงคืออะไร ไม่ใช่เพียงพอ คือว่า ไม่ได้หมายความว่า ให้ทำกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ทำกำไรก็ทำ ถ้าเราทำกำไรได้ดี มันก็ดี แต่ว่าขอให้มันพอเพียง ถ้าท่านเอากำไรหน้าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง…"

    "...ฟังว่ารัฐบาลหรือเมืองไทย ประชาชน มีเงินเยอะ มีเงินเกิน ก็ใช้สิ เขาหาว่าเราเศรษฐกิจพอเพียง คำว่า พอเพียง ถ้ามีเงินก็ต้องใช้ ไม่ใช่ขี้เหนียว ถ้ามีเงินไม่ต้องขี้เหนียว ซื้อไปเถอะ อะไรก็ตาม เครื่องบิน เรือ รถถัง ซื้อ ถ้ามีเงินเยอะ ก็ถือว่าสนับสนุนให้จ่าย เดี๋ยวนี้เขาบอกว่า ในหนังสือพิมพ์เห็นรึเปล่า ว่าเขาสนับสนุนให้จ่าย ถ้ามีก็จ่าย แต่ถ้าไม่มีก็ระงับหน่อย ..."

    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2550

    รวมข่าวในหลวง รัชกาลที่ 9

    ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    สำนักงาน กปร.
    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    มูลนิธิชัยพัฒนา
    เครือข่ายกาญจนาภิเษก


    -http://www.finearts.go.th/nat/2016-10-16-06-41-18.html-
    -http://km.rdpb.go.th/Knowledge/View/74-
    -http://www.cca.chula.ac.th/protocol/sufficiency-economy.html-
    -http://www.chaipat.or.th/index.php-
    -http://kanchanapisek.or.th/speeches/index.th.html-
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    5 ท่าง่ายๆ คลายเมื่อยล้าจากการขับรถ
    5 ท่าง่ายๆ คลายเมื่อยล้าจากการขับรถ
    -http://men.sanook.com/15913/-

    penthouse
    สนับสนุนเนื้อหา

    แทนที่จะไปนวดให้เสียเงิน (ไม่ว่านวดแผนโบราณหรือแผนปัจจุบัน) ถ้าขับรถต่อเนื่องยาวนานจนเกิดการเมื่อยล้า ต่อไปนี้คือวิธีคลายเมื่อยที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

    ท่าที่ 1 หงายมือแขนแนบลำตัว: อาจยกมือเดียวหรือสองมือก็ได้ เกร็งข้อศอกแล้วยกขึ้นถึงหัวไหล่ จากนั้นค่อยๆ เอาแขนลงช้าๆ ทำซ้ำสลับกันทั้ง 2 แขน จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการบังคับพวงมาลัยเป็นเวลานานๆ

    ท่าที่ 2 ยืดกล้ามเนื้อใต้ท้องแขนส่วนบน: เริ่มจากยกแขนขวาตั้งศอกให้ขนานกับพื้น (ตั้งฉากกับลำตัว) ใช้มือซ้ายจับข้อศอกขวา แล้วออกแรงผลักไปข้างหลังค้างไว้ นับ 1-5 แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 5 ครั้ง

    ท่าที่ 3 ยืดไหล่: ทำได้โดยนั่งยืดตัว แล้วบีบไหล่ยกขึ้นไปหาใบหู ค้างไว้ นับ 1-5 แล้วเอาลง ทำซ้ำ 5 ครั้ง จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น

    ท่าที่ 4 บิดตัว: นั่งยืดตัวตรง มือจับที่ขอบเบาะ มือซ้ายสอดใต้ขาขวา บิดตัวค้างไว้ นับ 1-5 ทำสลับข้างละ 5 ครั้ง

    ท่าที่ 5 บริหารเท้า: นั่งเหยียดขาออกไปด้านหน้า ยกเท้าให้ลอยขึ้นจากพื้น เหยียดปลายเท้าให้สุด จากนั้นกระดกปลายเท้าขึ้น-ลง 5 ครั้ง แล้วสลับข้างซ้าย-ขวา จะช่วยคลายเมื่อยได้

    นอกจากท่าบริหารทั้ง 5 สิ่งสำคัญที่สุดในการขับรถคือความปลอดภัย ดังนั้นผู้ขับขี่ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา และห้ามดื่มของมึนเมาเด็ดขาด และถึงจะไม่ปวดหลัง ไม่เมื่อยล้า แต่ถ้ารู้สึกเพลีย รู้สึกง่วงนอนขึ้นมา ต้องแวะจอดพักในสถานที่ปลอดภัยทันที อย่าฝืนขับต่อไปเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

    ยอมเสียเวลาพักสักนิด จะได้มีแรงขับรถต่อไปถึงจุดหมายปลายทาง ดีกว่าต้องมาเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุระหว่างทาง
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นี่เป็นเรื่องของ "กรรม" การลักทรัพย์

    -----------------------------------------


    นักวาดภาพอัดคลิปแฉสำนักพิมพ์ไทยละเมิดลิขสิทธิ์ พอติดต่อกลับโดนบล็อก
    -http://hilight.kapook.com/view/145197-

    .

    Hongsamut: the Thai Publisher that stole content
    -https://www.youtube.com/watch?v=8ZRLbyzoPkY-



    .





    เรื่องเล่าจากหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เรื่องนรกของหญิงที่ชอบขโมย

    -https://torthammarak.wordpress.com/2012/07/30/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%A3/-

    กรกฎาคม 30, 2012 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    เรื่องราวที่จะนำมาถ่ายทอดนี้เป็นเรื่องที่หลวงพ่อจรัญได้บันทึกไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องกรรม” โดยที่มีโยมมาเล่าถวายไว้ให้รับทราบถึงรายละเอียดของกรรมที่ทำไม่ดีอันเป็นเหตุให้ตกนรก

    “ภรรยาตกนรกกลับมาเกิดใหม่อยู่กับสามีคนเดิม”

    เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ประหลาดที่มีหญิงสาววัย 16 ปีเดินทางมาพบกับหลวงพ่อจรัญพร้อมด้วยสามีวัย 78 ปี ซึ่งไม่น่าจะเป็นสามีภรรยากันได้เลย การเดินทางมาพบหลวงพ่อจรัญก็เพราะโยมทั้งสองนั้นมีความต้องการจะสร้างสำนักวิปัสสนากรรมฐานให้ที่วัดอัมพวัน เมื่อหลวงพ่อถามถึงเหตุผลที่ต้องการจะสร้างสำนักวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้ทราบความดังนี้ว่า

    ย้อนหลังกลับไปเมื่อในอดีต ชายแก่ที่เป็นสามีชื่อ นายปุ่น ส่วนตัวภรรยาชื่อ นางสะอิ้ง เมื่อสมัยที่ยังเป็นนายปุ่นยังเป็นหนุ่มนั้นค่อนข้างเป็นคนที่มีฐานะ เมื่ออายุครบบวชพ่อแม่จึงจัดงานบวชให้ ซึ่งตัวของนายปุ่นเป็นคนดีมีศีลธรรมมาก เมื่อบวชก็ตั้งใจปฏิบัติศึกษาในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี ถึงขนาดสวดปาฏิโมกข์ได้ครบถ้วนเลยทีเดียว

    สามปีต่อมานายปุ่นก็สิกขาลาเพศไปมาช่วยบิดามารดาทำมาหากิน และพ่อแม่ก็ได้หาคู่ครองให้ โดยได้แต่งงานกับ นางสะอิ้ง โดยที่นางสะอิ้งนั้นมีวิสัยความประพฤติที่ตรงกันข้ามกับนายปุ่นผู้เป็นสามีมาก เพราะนายปุ่นเป็นคนธรรมะธัมโม ตื่นเช้า และเวลาเข้านอนก็ต้องสวดมนต์ภาวนาไหว้พระเป็นประจำ

    ในทางกลับกันภรรยาอย่างนางสะอิ้งนั้นไม่เคยสนใจในการปฏิบัติธรรมเลย ไม่สามารถสวดมนต์ได้ ไหว้พระก็ไม่เอา อ่านหนังสือก็ไม่ออก และยังมีวิสัยโลภมากอยากได้ใคร่ดีในสมบัติทรัพย์สินของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

    ครั้งหนึ่ง นางสะอิ้งได้ไปช่วยงานบวชหลานของสามี ได้เห็นสายสร้อยทองของคนในบ้านหลานด้วยความโลภ เมื่อทองหายไปจึงมีการค้นหาซักไซ้ไล่เลียงกันโดยนางสะอิ้งก็ใส่ความให้กับหลานชายของสามีว่าเป็นคนขโมยไป ทำให้หลานชายของสามีโดนพ่อแม่ตีจนหัวแตกทั้งที่ไม่ใช่คนผิดแม้แต่น้อย

    ส่วนตัวแม่สะอิ้งก็สบายอกสบายใจที่ไม่มีใครจับได้ในการกระทำของตัวเองเพราะตัวเองได้แต่งงานในครอบครัวที่มีฐานะอยู่แล้วจึงไม่มีใครตั้งข้อสงสัย แม่สะอิ้งและนายปุ่นอยู่กินกันมาจนมีลูกด้วยกันสองคน แต่นิสัยชอบการลักขโมยนั้นแก้ไม่หาย

    เมื่อถึงฤดูกาลทำนาซึ่งที่นาของครอบครัวก็มีมากมายอยู่แล้วเกี่ยวข้าวได้มากอยู่แล้ว นางสะอิ้งยังชอบที่จะใช้ให้ลูกจ้างไปลักขโมยข้าวของที่นาอื่นที่เขานวดเอาไว้แล้วเอามาผสมกับข้าวเปลือกของตนเอง เมื่อข้าวหายก็มีการสอบสวนกันก็ไม่มีใครสงสัยอีกเพราะ นายปุ่นเองก็เป็นคนออกทุนทรัพย์ให้คนในละแวกหมู่บ้านกู้เงินไปทำนากันหลายราย พอขายข้าวได้ค่อยนำมาคืนกัน หรือ เอาข้าวมาใช้แทนก็ได้โดยมีการคิดดอกเบี้ยไปตามธรรมเนียม

    นางสะอิ้งเพลิดเพลินกับการทำความชั่วแบบนี้ไปหลายปีจนกระทั่งในวันใกล้สิ้นอายุไขก็ยังทำชั่วด้วยกรรมที่ขโมยของอีก

    เวลานั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สาม ใจคอก็หงุดหงิดไม่สบาย นางมีสร้อยสะพายทองคำอยู่สองสาย น้ำหนักทองเส้นละ 8 บาทซึ่งเป็นทองหมั้น จู่ๆ นางก็ตกใจกลัวว่าจะมีใครมาขโมยทองไปดังที่ตนเองเคยขโมยของคนอื่นและโกงคนอื่นมาหลายปี

    นางสะอิ้งในสภาพท้องแก่ก็ไม่ยอมอยู่บ้านตะเกียกตะกายออกไปคุมลูกจ้างในนาทำงานโดยปล่อยให้สามีนายปุ่นอยู่เฝ้าบ้าน ซึ่งเจตนาที่แท้จริงก็ยังเป็นเช่นเดิมคือจะหาโอกาสให้ลูกจ้างไปลักขโมยข้าวในนาของคนอื่นมานั่นเอง

    เมื่อนามีที่กว้างมากจึงมีการสร้างโรงนาเป็นที่พักแปลงนาพอกันแดดกันฝนได้ โดยมีต้นกระทุ่มอยู่ใกล้ๆแปลงนา โดยนางสะอิ้งเอาสร้อยสองเส้นไปด้วย แล้วแอบไปฝังเอาไว้ตรงโคนต้นกระทุ่มเพราะความหวาดกลัวในจิตใจว่าจะมีใครมาขโมยไป

    วันที่นางสะอิ้งเสียชีวิตเธอได้ออกไปกลางนาอีก พอตกเย็นเหลือเธอเพียงคนเดียวในโรงนา ขณะที่กำลังจะกลับบ้านก็เจ็บท้องคลอด เดินกลับบ้านเองไม่ไหวและไม่มีใครช่วยเพราะอยู่คนเดียว เธอต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสอยู่คนเดียวจนสิ้นใจตายคาโรงนา

    นายปุ่นสามีเสียใจอย่างมากที่ภรรยาต้องตายไปแบบตายท้องกลมอีกต่างหาก เมื่อนำศพภรรยามาประกอบพิธีตามประเพณีแล้วนายปุ่นก็อยู่อย่างสงบมาโดยตลอด ส่วนนางสะอิ้งตอนมีชีวิตอยู่ไม่ยอมเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ จิตใจก็ไม่เคยยกระดับขึ้นมาได้เลยแม้จะอยู่ใกล้ชิดพระ และคนดีเช่นสามี เมื่อตายไปแล้ว นางสะอิ้งซึ่งกลับชาติมาเกิดในปัจจุบันเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี ได้เล่าให้หลวงปู่จรัญฟังว่า

    “ตอนที่ตายไปแล้ว วิญญาณก็ต้องดิ่งลงนรกเลย ได้รับความทุกข์เวทนาแสนสาหัส โดยพญายมให้รับโทษฐานลักขโมยสร้อยทองและข้าวในนาผู้อื่น และคดีที่ใส่ความหลานของสามีเป็นเวลานานถึง 100 ปี โดยในนรกนั้นมีการสวดมนต์ไหว้พระกันด้วย

    ตอนที่เป็นมนุษย์อยู่ไม่เคยสนใจเรื่องการสวดมนต์เลย ก็ใช้ความพยายามในการจดจำคำสวดมนต์ได้หมดตอนที่กำลังรับกรรมในนรก พอถึงวันโกนวันพระมีก็จะมีพระมาลัยมาเทศน์โปรดเหล่าสัตว์นรกให้ฟังด้วย”

    ฝ่ายสามีนายปุ่นก็เฝ้าคิดถึงภรรยาคอยทำบุญอุทิศให้ภรรยาตลอด โดยครั้งหนึ่งนายปุ่นเอาข้าวเปลือกมาก่อเป็นเจดีย์ ซึ่งเป็นขนบประเพณีโบราณของการทำบุญวิธีหนึ่ง แล้วถวายให้กับวัดเป็นสังฆทานต่อไป

    ด้วยการอุทิศส่วนกุศลนั้นยมบาลจึงมาแจ้งแก่นางสะอิ้งซึ่งกำลังรับโทษว่าได้ลดโทษให้ยี่สิบปีและจะเหลือเวลาใช้กรรมอีกแปดสิบปีเพราะบุญที่นายปุ่นสามีอุทิศมาให้ด้วยการก่อเจดีย์ข้าวเปลือก โดยต่อมานายปุ่นก็จัดการเอาเรือนที่เคยอยู่กับนางสะอิ้ง ทำการรื้อทิ้งนำไม้ไปปลูกเป็นกุฏิถวายวัด โดยท่านสมภารก็มีความเห็นดีด้วย นายปุ่นก็สามารถปลูกกุฏิถวายวัดได้สำเร็จ ถวายเป็นสังฆทานให้วัดใช้ประโยชน์เป็นที่อาศัยของพระภิกษุที่มาปฏิบัติธรรม

    ในวันที่ถวายกุฏิ นายปุ่นก็จัดให้มีการฉลองกุฏิ โดยว่าจ้างคณะหมอลำกับหนังตะลุงมาประชันกันเพื่อให้ชาวบ้านได้รับความสนุกสนานกันด้วย โดยบุญที่ทำนายปุ่นก็อุทิศให้กับภรรยา นางสะอิ้งซึ่งอยู่ในนรกก็ได้รับบุญนั้น โดยพญายมได้มาแจ้งว่าเธอได้รับการลดโทษลงไปอีก 20 ปี เหลือโทษที่จะต้องรับอีกเพียง 60 ปี

    นายปุ่นอยู่ต่อมาก็เริ่มคิดจะมีภรรยาใหม่ เนื่องจากมีผู้ใหญ่แนะนำผู้หญิงคนหนึ่งที่ดี มีคุณสมบัติพร้อมให้เป็นแม่เรือนและมีคุณธรรมเสมอกัน และลูกที่เกิดกับภรรยาเก่าคือนางสะอิ้งโตกันหมดแล้วจึงไม่มีอะไรที่จะต้องห่วงมาก อย่างไรก็ตามนายปุ่นยังคงอาลัยในภรรยาจึงตัดสินใจสร้างกุศลใหญ่อีกครั้งด้วยการบวชอีกหนึ่งพรรษาเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แม่สะอิ้ง

    เมื่อบวชอยู่พระปุ่นก็ได้ถือปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัดถึงระดับถือธุดงควัตร ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว อยู่ในป่าช้าเจริญกรรมฐานแผ่บุญกุศลให้กับแม่สะอิ้งเป็นสำคัญอยู่ตลอด เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้ลาสิกขาอีกครั้ง และเข้าพิธีแต่งงานกับภรรยาใหม่ไปตามปกติ

    นางสะอิ้งซึ่งอยู่ในนรกได้รับบุญกุศลครั้งสำคัญจากการบวชของสามี พญายมจึงลดโทษให้อีกถึง 40 ปี แล้วพญายมก็เรียกให้นางสะอิ้งมาพบและอธิบายว่า

    “ตัวเจ้านี้เหลือเวลารับโทษในนรกอยู่อีก 20ปี ซึ่งเราอภัยโทษให้เจ้าไม่ได้อีกแล้วเพราะเจ้าต้องชดใช้กรรมที่ขโมยของคนอื่นแล้วโยนความผิดให้คนอื่น และยังขโมยข้าวในนาของคนอื่นอยู่เป็นประจำ เมื่อเจ้าอยู่ในนรกนี้ ได้หมั่นสวดมนต์อยู่ เราจะให้โอกาสแก่เจ้าไปเกิดใหม่ในโลกมนุษย์อีก 20 ปี เจ้าจงไปใช้หนี้กรรมแก่ผัวเก่าเจ้าเสีย โดยเจ้าต้องรักษาสัญญาดังนี้

    ประการที่หนึ่งต้องรักษาอุโบสถศีล (ศีล 8) ทุกวันพระ

    ประการที่สองต้องไปสร้างกุฏิเพื่อกรรมฐานด้วยเงิน 1 ชั่ง (80 บาท) ไม่ให้เกินหรือขาดเพื่ออุทิศเป็นส่วนบุญกุศล หากเจ้ารักษาสัญญาได้ก็จะให้เจ้าไปเกิดแต่หากเจ้าเสียสัจจะแล้ว เจ้าก็จะต้องกลับมารับทุกขเวทนาในขุมนรกนี้อีก”

    นางสะอิ้งรับปากพญายมจึงได้กลับมาเกิดใหม่เป็นลูกสาวของชายแก่คนหนึ่งซึ่งมีภรรยาอายุน้อย ซึ่งก็เป็นเพราะกรรมผูกพัน บริเวณละแวกบ้านของชายแก่คนนี้ซึ่งเป็นร้านขายของชำ อยู่กันคนละตำบลกับบ้านของนายปุ่น ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น และชายแก่คนนี้ก็รู้จักนายปุ่นเป็นอย่างดีเพราะเป็นพ่อค้าเหมือนกัน

    ลูกสาวของชายแก่ซึ่งก็คือนางสะอิ้งในอดีตชาติพออายุครบ 11 ปี ก็ระลึกชาติได้ว่าตนเองเป็นใคร ซึ่งก็ไปบอกพ่อแม่ว่าตนเองเคยเป็นภรรยาของตาปุ่นที่อยู่อีกตำบลหนึ่ง ซึ่งทำให้พ่อแม่กลุ้มใจมากแม้จะทำตามความเชื่อโบราณที่ต้องหาไข่ข้าว (ไข่หลงรัง) เอามาต้มให้กินก็ไม่เป็นผล เด็กสาวไม่ยอมลืมอดีตชาติ รบเร้าให้พ่อแม่พาไปหาคุณตาปุ่นให้ได้

    ขณะนั้น ตาปุ่นอายุล่วงเลยมาได้ถึง 78 ปี โดยภรรยาใหม่ก็อายุไล่เลี่ยกันคือ 72 ปีได้เจอกับเด็กสาวที่อ้างว่าเป็นภรรยาเก่าในอดีตชาติก็ตกใจ ซึ่งตอนแรกนายปุ่นไม่เชื่อ โดยนางสะอิ้งในร่างเด็กสาวก็เล่าสาธยายถึงวีรกรรมที่เคยทำในอดีตชาติทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องการลักทองแล้วป้ายความผิดให้หลาน ซึ่งทีแรกตาปุ่นยังไม่เชื่อ เพราะแม้จะเป็นเรื่องเก่านานมาแล้ว แต่ใครๆ ก็อาจจะรู้ได้ ไปฟังความมาแล้วนำมากล่าวอ้างก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน

    แม่สะอิ้งในร่างเด็กสาวก็เล่าต่อไปถึงเรื่องบุญที่ได้รับ เพราะการก่อเจดีย์ข้าวเปลือก บุญจากการปลูกกุฏิถวายวัด บุญที่ได้จากการบวชจนกระทั่งได้รับการลดโทษเรื่อยมาจนพญายมอนุญาตให้กลับมาในโลกมนุษย์ได้ ซึ่งทั้งตาปุ่นและภรรยาก็ยังเฉยอยู่ เพราะทุกเรื่องยังเป็นเรื่องที่สามารถรับรู้กันทั่วไป อาจจะมีการรู้มาจากใครก็ได้ การจะให้เชื่อว่านางสะอิ้งกลับมาเกิดใหม่จึงเป็นเรื่องที่ทำใจไม่ได้

    นางสะอิ้งในร่างสาวจึงบอกเล่าเรื่องที่นางเอาทองไปซ่อนที่ต้นกระทุ่มกลางนา ซึ่งปัจจุบันต้นกระทุ่มยังอยู่ แต่โรงนาทั้งหลายรื้อทิ้งไปนานแล้วจึงบอกให้ไปขุดดูก็พบทองสร้อยสายสะพายซึ่งเป็นทองหมั้นเมื่อครั้งที่นายปุ่นเอามาหมั้นกับนางสะอิ้งจริง

    ในที่สุดตาปุ่นจึงต้องยอมรับว่าลูกสาวของชายแก่ร้านขายของชำเป็นภรรยาเดิมของตน โดยเธอขอมาอยู่รับใช้ปรนนิบัติตาปุ่นไม่ยอมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของเธออีก โดยภรรยาของตาปุ่นก็ยินยอมเพราะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินจะกล่าว อีกทั้งผู้เฒ่าทั้งสองก็ชราภาพมากแล้ว

    นางสะอิ้งในชาติใหม่นี้ต่างจากคนเดิมมาก ซึ่งทุกเช้าจะชอบสวดมนต์ไหว้พระไม่เคยขาดและรักษาอุโบสถศีลอยู่เป็นประจำทุกวันพระ และในที่สุดก็มีการปรึกษาหารือกันกับพ่อแม่ของเธอ และครอบครัวของตาปุ่นว่าจะมีการสละทรัพย์เพื่อสร้างกุฏิกรรมฐานถวายวัดให้ได้

    ทั้งสามคนคือตาปุ่น ภรรยาใหม่ และนางสะอิ้งจึงได้เดินทางจากนครสวรรค์มากรุงเทพ โดยมีเทวดาดลใจบันดาลให้มาถึงจังหวัดสิงห์บุรี มาถึงวัดอัมพวัน แม่สะอิ้งจึงได้สร้างกุฏิกรรมฐานถวายที่วัดแห่งนี้ข้างโบสถ์เป็นหลังแรกของวัด โดยใช้งบประมาณ 80 บาท ( 1 ชั่ง) พอดี บรรลุความประสงค์ของนางสะอิ้งและพญายมราชทุกประการ

    เวลาต่อมาตาปุ่นเริ่มป่วยเป็นอัมพาต ก็ได้นางสะอิ้งที่เป็นภรรยาในอดีตมาคอยปรนนิบัติ รวมถึงปรนนิบัติภรรยาใหม่ของสามีด้วยความเคารพ เมื่อถึงวันที่นางสะอิ้งอายุครบ 20 ปีพอดี วันที่เธอกำลังทำกับข้าวไปถวายที่วัด พอถวายเสร็จนางสะอิ้งก็ฟุบลงไปแล้วเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุเลย หลังจากนั้นไม่นานตาปุ่นและภรรยาใหม่ก็เสียชีวิตตามไปในอีกสองปีถัดมา

    เรื่องที่หลวงพ่อจรัญเล่ามาให้รับทราบทั้งหมด เป็นผลกรรมหนักของการลักขโมยของและการให้ร้ายป้ายสีมีโทษหนักมากและมีนรกเป็นที่ไป หลวงพ่อจรัญยังชิ้ให้เห็นว่าในนรกนั้นแม้จะเต็มไปด้วยความทุกข์แต่ก็เชื่อสัตว์นรกยังสามารถสวดมนต์ทำความดีได้ ที่สำคัญการสร้างบุญกุศลเอาไว้นั้นบุญไม่ได้สูญหายไปไหน เมื่อหมั่นมีการอุทิศบุญกุศลให้แล้ว ภพภูมิที่เป็นทุกข์อยู่เขาก็จะได้รับบุญนั้นจริงและมีสุขเป็นที่ไป

    นรกของการขโมย ลักทรัพย์

    นรกขุมที่ถูกกล่าวอ้างถึงกรรมชั่วของคนที่ลักขโมยของ ฉ้อโกงคนอื่นเพื่อให้ได้ทรัพย์มาเป็นของๆ ตนเรียกนรกขุมนี้ว่า “กาฬสุตตนรก” ชีวิตของสัตว์นรกในกาฬสุตตนรกนั้น สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลจับมัดให้นอนเหนือแผ่นเหล็กแดงที่ร้อนแรงด้วยไฟนรก

    จากนั้นนายนิรยบาลก็จะเอาด้ายดำซึ่งทำด้วยเหล็กนรกใหญ่โตเท่าลำตาล มาตีบนร่างของสัตว์นรกซึ่งเป็นร่างกายที่ใหญ่โตมาก จนทำให้เป็นรอยเส้น แล้วก็ทำการเลื่อย ด้วยเลื่อยนรกที่ลุกแดงด้วยค่อยๆ เลื่อยไปจนกายขาดเป็นท่อนๆ

    นายนิรยบาลก็บังคับจับมัดให้แน่นเข้าไปอีก แล้วเลื่อยตัดร่างกายของสัตว์นรกเหล่านั้นต่อไป จนกว่าจะถึงอายุขัยของสัตว์นรกนั้นหรือเมื่อหมดกรรม เมื่อหมดกรรมแล้วเมื่อเศษเวรเศษกรรมนั้นจะส่งผลต่อมาให้เกิดมาเป็นเปรต

    เมื่อพ้นกรรมจากเปรตแล้ว หากได้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะต้องเกิดมามามีฐานะที่ยากจน ทำการใดๆ ก็ไม่อาจจะเจริญรุ่งเรือง ถูกคดโกงอยู่ตลอดเวลา อาจประสบภัยร้ายถูกปล้น ถูกทำให้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมากๆ

    กรรมของผู้ที่ชอบลักทรัพย์นั้นนับว่ามีโทษร้ายแรงยิ่ง คนเราควรพิจารณาตนเองอย่าให้ความโลภครอบงำเพราะจะนำให้ไปสู่นรกนับว่าเสียเวลาเปล่าแทนที่จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีเป็นสุขเป็นที่ไปต้องกลับมาเวียนเกิดเวียนตายในภพภูมิที่ต่ำ หรือ แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ต้องลำบากยากจนอีกหลายภพชาติ

    หนีนรกชอบขโมยทำอย่างไร

    วิสัยการขโมยของ คดโกง เบียดบัง ยักยอกทรัพย์สินของผู้อื่นให้มาเป็นของตนเองนั้นเราต้องดูสาเหตุหลักที่แท้จริงที่ทำให้เกิดวิสัยนี้และมาดูขอบข่ายของศีลข้อที่สองด้วยว่าเป็นอย่างไร

    การกระทำที่ถือว่าเข้าข่ายลักทรัพย์นั้นต้องประกอบด้วยองค์ 5 ได้แก่

    1. ทรัพย์นั้นมีเจ้าของที่หวงแหน

    2. ผู้ลักทรัพย์นั้นก็รู้อยู่ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของหวงแหน

    3. มีจิตคิดจะลักทรัพย์นั้น

    4. มีความพยายามในการลักทรัพย์นั้น

    5. ลักทรัพย์นั้นได้สำเร็จ

    จิตที่มีความโลภและตระหนี่นั้นเป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้ผิดศีล การจะแก้ไขก็ต้องแก้ด้วยการให้ทานเป็นสำคัญ การให้ทานเป็นยาแก้โดยตรงของผู้ที่ชอบลักขโมยและคนตระหนี่ วิธีการให้ทานให้ได้ผลและได้ประโยชน์สูงสุดนั้นอยู่ที่ “จิต” เป็นสำคัญ หากให้แล้วยังเสียดายอยู่ผลแห่งทานนั้นก็ไม่เกิดอะไรมากนัก กลายเป็นการให้ไปเสียเปล่าๆ

    การฝึกให้เป็นเรื่องบุญที่สร้างกันได้ง่ายที่สุด แต่บางทีสำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องยากก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนกันไปโดยฝึกให้ในทรัพย์สินที่เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ก่อนไม่ว่าจะเป็นเศษเงินที่จะให้ไปตามตู้รับบริจาค การแบ่งปันสิ่งของที่มีให้กับคนอื่นหรือคนในครอบครัว เมื่อได้ฝึกฝนเป็นเวลานานแล้ว จิตที่มีความตระหนี่ก็จะค่อยๆ คลายตัวลง สามารถให้ได้มากขึ้นและเมื่อสามารถให้ได้มากขึ้น การจะไปสร้างกรรมในการลักขโมยก็จะลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ

    ข้อสำคัญก็คือ ต้องหมั่นฝึกภาวนาอยู่เป็นประจำโดยใช้หลักพิจารณาที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกล้วนเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนและเป็นทุกข์ทั้งสิ้น สิ่งของมากมายต่างๆ ที่เราได้ครอบครองอยู่นั้นมีเหตุให้ต้องผุพังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีอะไรจีรังเลยสักอย่างเดียว

    เมื่อได้มาย่อมต้องเสียไปในเวลาอันสมควรเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนกับกรณีที่ เรื่องเล่าของหลวงพ่อขำแห่งวัดเสาธงทองที่ของที่ได้มาจากการถวายนั้นต้องเก็บไว้จนผุพังไปไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็เพราะมีเหตุจากความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นที่ตั้ง

    หรือในกรณีของแม่สะอิ้งซึ่งแม้จะร่ำรวยล้นฟ้าสักปานใดเมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติ ข้าวเปลือก หรือเงินทองใดๆ ไปใช้ที่นรกได้เลยแม้แต่บาทเดียวมีเพียงแต่ผลกรรมของตนเองเท่านั้นที่จะได้ชดใช้ ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะหนีให้พ้นจากนรกขุมนี้ ต้องหมั่นฝึกให้ทาน รักษาศีลข้อที่สองให้ดี และเจริญภาวนาให้จิตละเสียซึ่งความตระหนี่ให้ได้ ก็จะมีสุขเป็นที่ไป
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    3 สุดยอด ! สูตรมะนาวลดน้ำหนักที่คุณผู้หญิงต้องจดไปทำด่วน
    -http://women.sanook.com/54429/-



    คุณผู้หญิงแต่ละคนนั้นต่างก็มีกลเม็ดเคล็ดลับเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกิน หรือทำให้ความอ้วนที่ไม่รู้ว่าอยู่ติดตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ให้เร่งหายไป บ้างก็ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร บ้างก็เคลื่อนไหวร่างกาย อย่างการทำงานให้มีการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ มากขึ้น หรือแม้แต่คุณสาวๆ ที่หันมาออกกำลังกายอย่างจริงจังเพื่อให้รูปร่างกลับมาดูดีได้ภายในไม่กี่วัน เชื่อรึเปล่าว่ายังมีวิธีที่ไม่ต้องใช้ความพยายามขนาดนั้น อย่าง การใช้ มะนาว มาคั้นเป็นน้ำสำหรับดื่ม

    ว่ากันว่า มะนาว เป็นสมุนไพรที่ใช้ลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากผู้ที่มีประสบการณ์การดื่มน้ำมะนาวมาก่อนเล่าถึงพฤติกรรมในแต่ละวันให้เราได้รู้ว่า พอตื่นเช้ามา ก็ดื่มน้ำมะนาวผสมกับน้ำสะอาด หรือจะเป็นน้ำอุ่นก็ได้ ทำก่อนที่จะเริ่มทำกิจวัตรในแต่ละวัน โดยน้ำมะนาวนั้นจะช่วยระบายท้องได้เป็นอย่างดี หากได้ดื่มเช่นนี้เป็นประจำภายใน 2 อาทิตย์ เชื่อว่าผลที่ออกมาจะเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเริ่มหลวม สัดส่วนเริ่มกระชับเข้ารูปมากขึ้น ปวดแข้ง ปวดขาน้อยลง นอกจากนั้นแล้ว การดื่มน้ำมะนาวก็ยังเป็นการรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย ช่วยขจัดสารพิษออกจากตับ อีกทั้งยังช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็น ดื่มทีไร ก็ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย

    เอาล่ะ คุณผู้หญิงก็ได้เห็นถึงสรรพคุณของเจ้ามะนาวลูกกลมๆ นี้แล้ว คราวนี้เรามาลองดูกันดีกว่าว่า 3 สุดยอด ! สูตรมะนาวลดน้ำหนักที่ Sanook! Women นำมาฝากจะช่วยให้คุณสาวๆ มีน้ำหนักที่ลดลง รวมถึงมีรูปร่างที่ดีขึ้นได้ยังไง

    สูตรมะนาวลดน้ำหนัก สูตรที่ 1 มะนาวโซดาช่วยลดความอ้วน

    สิ่งที่ต้องเตรียมก็มีแค่เพียงมะนาว 1 ลูก และน้ำโซดา 1 ขวด มาผสมให้เข้ากันแล้วดื่ม ด้วยฤทธิ์ที่เป็นกรดของโซดา หากเราดื่มทุกเช้า มะนาวโซดาก็จะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวเพื่อให้สารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ถูกดันออกมาพร้อมกับอุจจาระ ซึ่งบางคนที่ดื่มแล้วอาจจะอยากเข้าห้องน้ำทันที คล้ายกับเป็นการดีท็อกซ์ลำไส้ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างปกติ มีการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ น้ำมะนาวก็ยังช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมที่กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมันได้ในปริมาณที่เพียงพอ ทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างได้ผล และไม่เป็นการทำลายสุขภาพ

    สูตรมะนาวลดน้ำหนัก สูตรที่ 2 มะนาวน้ำผึ้งลดน้ำหนักก่อนนอน

    สิ่งที่ต้องเตรียมก็มีแค่มะนาว 1 ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น นำมาผสมให้เข้ากันแล้วดื่ม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับสาวๆ ที่กังวลเรื่องน้ำหนัก โดยเฉพาะสาวๆ คนไหนที่มีเกณฑ์ว่าตัวเองจะลงพุง แนะนำให้ดื่มทุกคืนก่อนนอนประมาณ 10 - 20 นาที พอตื่นเช้ามาจะขับถ่ายคล่องไม่ต้องสงสัย เป็นอีกหนึ่งวิธีในการกำจัดของเสียออกจากร่างกายโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม หรือใช้ยาให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ

    สูตรมะนาวลดน้ำหนัก สูตรที่ 3 มะนาวน้ำตาลทรายแดง

    สิ่งที่ต้องเตรียมมีมะนาว 1 ลูกเช่นกัน น้ำตาลทรายแดงประมาณ 1 ช้อนชา เกลือนิดหน่อย และน้ำอุ่น ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน เริ่มจากผสมน้ำตาลทรายแดงและเกลือลงไปในน้ำอุ่นให้ละลาย จากนั้นก็บีบน้ำมะนาวตามลงไปแล้วดื่มทันที แนะนำให้ดื่มทุกคืนก่อนนอนประมาณ 15 - 20 นาที โดยดื่มเช่นนี้เป็นประจำประมาณ 2 สัปดาห์ ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่ต้องห้ามกินของจุกจิก ของหวาน หรือของที่ไขมันมากจนเกินไปนะ ไม่อย่างนั้นรูปร่างและน้ำหนักของคุณสาวๆ อาจจะไม่ลดลงแน่ๆ

    นี่ก็เป็น 3 สูตรมะนาวลดน้ำหนักที่เรานำมาฝากกัน สุขภาพดีจากภายในอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ภายนอกก็แข็งด้วย ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายบ้างพอให้ร่างกายได้ออกแรง เพียงเท่านี้ นอกจากสุขภาพจะดีแล้ว ร่างกายก็ยังแข็งแรงด้วย แล้วก็อย่าลืมดื่มน้ำมะนาวสูตรต่างๆ ด้วยล่ะ จะได้สวยครบสูตร

    Photo : istockphoto.com
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    7 พฤติกรรมทำร้าย “ไต” ทั้งที่ไม่ได้กินเค็ม!
    -http://health.sanook.com/4761/-



    หากพูดถึงโรคไต หลายคนคงคิดออกตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินว่า “เพราะทานเค็มมากเกินไป” แต่ Sanook! Health จะมาบอกว่า ไม่ใช่อาหารรสเค็มเท่านั้นที่เป็นสาเหตุของโรคไต คุณอาจยังไม่ทราบ และเผลอทำร้ายไตของตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว!



    1. ทานอาหารรสจัด

    ไม่ใช่แค่รสเค็มจัด แต่อาหารรสจัดรวมไปถึง อาหารหวานจัด เผ็ดจัด หรือแม้กระทั่งมันจัด อาหารรสจัดทำให้ไตทำงานหนักขึ้น จึงมีส่วนทำให้เป็นโรคไตได้เช่นเดียวกันกับอาหารรสเค็ม



    2. ไม่ออกกำลังกาย

    การไม่ออกกำลังกายเป็นสาเหตุของหลายๆ โรค ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน ไขมันอุดตันเส้นเลือด ไขมันพอกตับ เส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอื่นๆ รวมไปถึงโรคไตด้วยเช่นกัน



    3. ดื่มน้ำน้อย หรือมากเกินไป

    การดื่มน้ำน้อยเป็นสาเหตุของหลายๆ โรคเช่นกัน (อ่าน 6 โรคร้ายถามหา ถ้า “ดื่มน้ำน้อย”) รวมไปถึงโรคไตด้วย เพราะไตฟอกของเสียในร่างกาย และต้องใช้น้ำเป็นตัวพาไปสู่การกรองของไตจนกลายเป็นปัสสาวะ หากดื่มน้ำมากเกินไป ไตก็จะทำงานหนักเกินไป แต่หากดื่มน้ำน้อยมากเกินไป (ซึ่งมีโอกาสมากกว่า) ก็จะทำให้ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งไม่ดีต่อไต และกระเพาะปัสสาวะด้วย



    4. ทำงานหนักเกินไป

    เชื่อหรือไม่ว่าการทำงานหนักก็เป็นสาเหตุของโรคไตด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อร่างกายขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ อวัยวะภายในร่างกายก็จะไม่ได้รับการฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่ออวัยวะที่คอยฟอกของเสียในร่างกายอย่างไตไม่ได้หยุดทำงาน ก็อาจทำให้ไตเสื่อมสภาพลงได้ง่าย



    5. ความเครียด

    ความเครียดมักมาพร้อมกับการทำงานหนัก หากเครียดมากๆ ร่างกายก็จะพักผ่อนได้ไม่เต็มที่เช่นเดียวกัน นอกจากนี้เมื่อเราเครียด เราจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าร่างกาย เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ไม่เต็มที่ และไตก็เป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบจากความเครียดด้วยเช่นกัน



    6. ทานอาหารสำเร็จรูป

    แม้ว่าคุณอาจจะบอกว่าไม่ใช่คนทานเค็ม แต่หากคุณใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อ อาหารกระป๋องต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำอัดลม โซดา และเครื่องดื่มบางประเภท คุณจะได้รับโซเดียมเข้าไปในร่างกายในปริมาณสูงโดยที่คุณไม่รู้ตัว ดังนั้นทานให้น้อยลงหน่อยนะ



    7. ความดันโลหิตสูง

    หากใครมีอาการความดันโลหิตสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นโรคไตตามมาด้วย เพราะหากปล่อยให้เป็นความดันสูงต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบรักษา ความดันโลหิตสูงนี้จะทำลายเส้นเลือดที่ไต ทำให้ไตถูกทำลาย หรืออาจเรียกว่าเป็น “ไตวายชั่วคราว”



    รู้อย่างนี้แล้ว ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว ก่อนที่จะเป็นโรตไตแล้วต้องไปฟอกไตทุกวันนะคะ ขอบอกเลยว่าไม่สนุกแน่ๆ



    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก thaijam.com, ชีวจิต
    ภาพประกอบจาก istockphoto
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พวกนี้ ยากที่จะเป็นคนดี
    หากปล่อยออกมา จะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก

    ความจริง ต้องจับตาย
    .--------------------------------

    คุมตัว 4 โจ๋ ปล้นชิงทรัพย์-รุมโทรมสาว 18 ปี พบประวัติต้องคดีข่มขืน-ยาเสพติด
    -http://hilight.kapook.com/view/145697-




    คุม4วัยรุ่นทำแผนรุมโทรม-ชิงทรัพย์สาว18พบก่อคดีซ้ำ | ข่าวช่อง 8
    -https://www.youtube.com/watch?v=Ov9KAJP8KJ0-






    ตำรวจคุมตัว 4 วัยรุ่นชาย ทำแผนคดีปล้นทรัพย์สาววัย 18 ปี ก่อนใช้มีดบังคับผลัดกันข่มขืนในซอยเปลี่ยว พบประวัติผู้ต้องหามีคดีรุมโทรม-ยาเสพติดมาแล้ว

    วันที่ 26 พฤศจิกายน 2559 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มะขาม จ.จันทบุรี คุมตัววัยรุ่นชาย 4 คน ประกอบด้วย นายชาญชัย หรือตง พิมพา, นายสุทัศน์ หรือเฉิน, ทองมา นายศรัณชัย หรือหมี ศิริลักษณ์ และ นายวรพล หรือวี ทองทวี ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น และชิงทรัพย์ มาแถลงผลการจับกุม พร้อมทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
    
    สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นางสาวอ้อม (นามสมมติ) อายุ 18 ปี พร้อมผู้ปกครองได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มะขาม ว่า เมื่อเวลา 04.00 น. ถูกกลุ่มวัยรุ่นชายประมาณ 4 คน ขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน เข้ามาปาดเพื่อยึดเอากุญแจรถ ก่อนจะใช้มีดบังคับเอาทรัพย์สินและพาเข้าไปผลัดกันข่มขืนในซอยเปลี่ยว โดยมี นายวรพล คอยถืออาวุธมีดคุมอยู่แต่ไม่ได้ร่วมข่มขืน เมื่อเสร็จกิจวัยรุ่นทั้ง 4 คนก็ได้พากันหลบหนีโดยนำรถของผู้เสียหายไปด้วย ก่อนจะทั้งหมดจะถูกจับกุมได้ที่บ้านพักในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ พร้อมของกลาง

    ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 4 ได้ให้การรับสารภาพว่า ได้ลงมือกระทำตามที่ถูกกล่าวหาจริงและเคยก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังพบประวัติ นายชาญชัย กับ นายสุทัศน์ เคยต้องโทษในคดีร่วมกันโทรมหญิงมาแล้ว และขณะนี้ยังต้องเข้ารายงานตัวที่สถานพินิจ จ.ระยองทุก 15 วัน ส่วน นายศรัณชัย และนายวรพล เคยต้องโทษในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    15 สิ่งที่ควรเช็คให้ดีเมื่อรถหมดประกัน 1 แสนกิโลเมตร
    -http://auto.sanook.com/56053/-

    รถใหม่ป้ายแดงส่วนใหญ่จะมาพร้อมการรับประกันคุณภาพ (Warranty) 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร หรือรถบางคันอาจครอบคลุมยาวถึง 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แต่ถึงอย่างไร เราก็มักใช้รถกันจนหมดประกันอยู่ดี แล้วแบบนี้จะมีจุดใดที่ต้องเช็คเป็นพิเศษบ้างเมื่อรถหมดประกัน?

    Sanook! Auto จึงขอแนะนำ 15 ที่ควรตรวจเช็คเป็นพิเศษเมื่อรถหมดประกัน ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะยังคงนำรถเข้าศูนย์หรือเปลี่ยนไปใช้อู่นอกก็ตาม



    1.ไฟส่องสว่าง

    ควรเช็คไฟส่องสว่างรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าหรือไฟท้าย หากพบว่ามีหลอดใดหลอดหนึ่งขาดควรรีบเปลี่ยนทันที แต่หากเป็นไฟแบบ LED อาจต้องซื้อทั้งชุดมาเปลี่ยนแทน

    2.ยาง

    ปกติยางรถยนต์จะสามารถใช้งานได้ราว 50,000 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ถ้าไม่ติดว่ายางเสียงดังหรือมีรอยรั่วมา และอาจยืดอายุได้ถึง 70,000 - 100,000 กิโลเมตร ถ้ายังคงมีดอกยางสำหรับรีดน้ำและไม่มีรอยปริของเนื้อยาง อย่างไรก็ดี สำหรับรถที่ใช้งานตามปกติและยังไม่เคยเปลี่ยนยางในช่วง 3 ปี ก็ควรมองหายางใหม่เปลี่ยนได้แล้ว

    3.แบตเตอรี่

    แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานราว 2 ปี หรือน้อยกว่านั้น ดังนั้น เมื่อพ้นระยะรับประกันก็ควรเช็คสภาพแบตเตอรี่ได้แล้ว ว่ายังมีประสิทธิภาพการเก็บไฟเหมือนเดิมหรือไม่

    4.สีตัวถัง

    รถที่ไม่เคยถูกชนหนักมา จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของสนิม แต่สีอาจไม่สดเหมือนสมัยป้ายแดง หากมีเวลาก็ลองเอารถไปขัดเคลือบสีดูบ้าง จะทำให้รถดูใหม่น่าใช้มากขึ้น

    5.ระบบเบรก

    ระบบเบรกประกอบด้วย 3 ส่วนหลักที่ต้องตรวจเช็ค ได้แก่ ผ้าเบรก, น้ำมันเบรก และจานเบรก ซึ่งล้วนแต่ส่งผลเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หากเหยียบเบรกแล้วมีเสียงเอี๊ยด นั่นก็แปลว่าถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้ว อย่าปล่อยให้ลามไปกินเนื้อจานเบรก เพราะราคาจานเบรกแพงกว่าผ้าเบรกอีกหลายเท่าตัว



    6.ไส้กรองแอร์

    ปกติไส้กรองแอร์ควรเปลี่ยนทุก 20,000 กิโลเมตร ดังนั้น เมื่อครบระยะหนึ่งแสนโล ก็ควรจับเปลี่ยนอีกครั้ง เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของคนที่ต้องใช้รถทุกวัน

    7.ไส้กรองอากาศ

    ไส้กรองอากาศมีผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ หากไส้กรองมีสิ่งสกปรกอุดตัน อาจส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานไม่เต็มที่ ซึ่งปกติไส้กรองอากาศควรเปลี่ยนทุก 30,000 กิโลเมตร

    8.ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง

    ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งเบนซินและดีเซล มีหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกที่มากับน้ำมัน รวมถึงน้ำที่เจือปนอยู่ โดยปกติจะเปลี่ยนทุก 2 ปีหรือราว 40,000 กิโลเมตร

    9.น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ (ถ้ามี)

    ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า จะไม่มีกระปุกน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ จึงตัดการดูแลส่วนนี้ไปได้ แต่รถคันนี้ที่ยังต้องใช้น้ำมันชนิดนี้อยู่ ก็ควรเปลี่ยนเมื่อน้ำมันเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจเปลี่ยนที่ระยะ 40,000 หรือ 1 แสนกิโลเมตรแล้วแต่รุ่นรถ

    10.หัวเทียน

    หัวเทียนควรเปลี่ยนทุกระยะประมาณ 40,000 กิโลเมตร แล้วแต่ชนิดของหัวเทียน หากพบว่าเร่งแล้วมีอาการเครื่องสะดุด เดินไม่เรียบ อาจมีอาการมาจากหัวเทียนก็เป็นได้



    11.ลิ้นปีกผีเสื้อ

    ลิ้นปีกผีเสื้อควรทำการล้างทุกๆ 100,000 กิโลเมตร เนื่องจากสิ่งสกปรกที่อุดตันอาจทำให้รอบเครื่องไม่นิ่ง เร่งสูงบ้างต่ำบ้าง สามารถหาอู่นอกที่รับทำได้มากมาย

    12.น้ำมันเครื่อง

    ปกติเราเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกันทุกๆ 10,000 กิโลเมตรบวกลบอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อรถพ้นระยะรับประกัน คุณผู้อ่านก็ยังคงต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำอยู่ดี แต่อาจลองเข้าอู่นอกดูบ้าง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงจากเดิมได้

    13.สายพาน

    สายพานต่างๆ เช่น สายพานไทม์มิ่ง สายพานหน้าเครื่อง จะมีระยะเวลาการเปลี่ยนอยู่แล้ว หากพ้น 1 แสนโลเป็นต้นไป และยังไม่เคยทำการเปลี่ยน ก็ลองเช็คให้ดีว่าสายพานยังคงตึง ไม่ขาด หากพบว่าสึกหรอก็ควรรีบเปลี่ยนทันที

    14.ยางแท่นเครื่อง

    ยางแท่นเครื่องเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่เป็นสิ่งสำคัญที่เชื่อมต่อเครื่องยนต์และตัวถังรถเข้าไว้ด้วยกัน ยางแท่นเครื่องที่เสื่อมสภาพจะทำให้รถสั่นขณะเร่งเครื่อง มีเสียงรบกวนเข้ามามากกว่าปกติ ตัวถังสั่น หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว

    15.ยางขอบประตู

    รถที่ใช้ไปนานๆ ยางขอบประตูจะมีการเสื่อมสภาพจนทำให้มีเสียงเล็ดลอดจากภายนอกเข้ามาได้ หากทนไม่ไหวจริงๆให้จับเปลี่ยนยางขอบประตูเหล่านี้ จะช่วยลดเสียงรบกวนลงได้ครับ



    จริงๆแล้วนี่เป็นชิ้นส่วนเบื้องต้นที่จำเป็นต้องมีการตรวจเช็คเท่านั้น รถเก่ายังมีชิ้นส่วนอีกมากมายที่รอให้ถึงอายุการใช้งาน ดังนั้น หากรู้สึกว่าเกิดความผิดปกติใดๆ ก็ควรรีบนำรถไปแก้ไขให้เร็วที่สุด ปัญหาจะได้ไม่บานปลายครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    11 วิธีการป้องกันสุนัขอุจจาระหน้าบ้าน

    -http://ch3.sanook.com/55703/%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99-


    เคล็บลับวิธีการป้องกันสุนัขอุจจาระหน้าบ้าน นาทีที่ 4.33

    เคล็ดลับวิธีการป้องกันสุนัขอุจจาระหน้าบ้านสุนัข เป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไป และในบ้านเราก็มีไม่น้อยที่ถูกปล่อยทิ้ง วิ่งหากินอยู่ข้างถนน เป็นสุนัขจรจัดไป และหลายคนที่มีบ้านอยู่ในบริเวณที่มีสุนัขจรจัดเยอะ มักจะพบกับปัญหา อุจจาระสุนัข อยู่เป็นประจำ บางคนอาจจะต้องมาเก็บกวาดหน้าบ้านทุกเช้า ซึ่งเป็นปัญหาหนักอก หนักใจ อย่างยิ่ง วันนี้จึงขอเสนอเคล็ดลับง่าย ๆ ในการป้องกันไม่ให้สุนัขมาอึไว้ที่หน้าบ้าน เป็นวิธีการที่ง่าย ๆ ที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป โดยรวมรวมข้อมูลมาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ดังนี้

    1. ใช้พริกไทยป่นไปโรยไว้ตรงบริเวณที่มาถ่ายไว้

    2. ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำแล้วฉีดบริเวณที่ต้องการ ต้องทำทุกวัน ระยะหนึ่ง

    3. เอาน้ำส้มสายชูลาดไปทั่ว ๆ ให้กลิ่นมันหาย ตามด้วยเบคกิ้งโซดาดับกลิ่นเหม็น

    4. ใช้น้ำใส่ขวดพลาสติกใสตั้งในบริเวณที่ไม่ต้องการให้สุนัขอุจจาระระยะห่างระหว่างขวดประมาณ 30 ซม.

    5. เอาผงเเฟ้บ โรยไปทั่ว มันก็จะสูดเอาเเฟ้บ เเล้วจะได้ฉุนจมูกเปลี่ยนใจตรงนั้น

    6. ใช้แอมโมเนียหยด ๆ ไว้ก็พอแก้ได้เหมือนกัน

    7. ตักอุจจาระนั้นไปไว้ตรงที่คุณจะให้มันอุจจาระ

    8. ใช้น้ำยาดับกลิ่น แล้วเอามาผสมน้ำประมาณ 1 ส่วนกับน้ำ 5 ส่วน ราดบนพื้นหน้าบ้าน

    9. ใช้น้ำมันสน หรืออะไรก็ได้ที่กลิ่นต่างจากอึหรือฉี่ของหมา ราดทับรอยที่หมาอึ

    10. ใช้กระจกราคาที่ไม่แพงติดตรงกำแพงนอกบ้านไม่ต้องใหญ่มากนักติดเฉพาะมุมตรงประตูรั้วก็ได้

    11. เอาอาหารไปวางตรงที่สุนัขชอบอุจจาระประจำ เช่นอาหารเม็ด กระดูกหมู กระดูกไก่ เนื้อหนังโครงไก่ แต่ต้องเก็บอุจจาระทิ้งก่อน

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือความรับผิดชอบของเจ้าของสุนัข
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในหลวง ร.9 กับเหตุการณ์สุดระทึก
    -http://www.bangkokbanksme.com/article/9477-


    เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะเล่าให้ฟังนี้ เกิดขึ้นในวันหนึ่งของเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ เยี่ยมพสกนิกร พร้อมทอดพระเนตรโครงการชลประทานทุ่งลิปะสะโง และโครงการจัดที่ดินช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ ทุ่งลิปะสะโง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แล้วเสด็จฯ กลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส

    ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งและรถยนต์ในขบวนเสด็จฯ มาถึงบริเวณแยกพิชิตบำรุง อ.เมือง จ.นราธิวาส ปรากฏว่ามีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ฝ่าแนวกั้นของตำรวจที่ยืนอารักขาหรือรักษาการณ์ แล้วพุ่งเข้าชนรถยนต์พระที่นั่งที่พระองค์ทรงนั่ง แรงอัดที่พุ่งชนส่งผลให้รถจักรยานยนต์คันนั้นกระเด็นล้มลงบนพื้นถนน ผู้ขับขี่และผู้ที่นั่งซ้อนท้ายกระโดดออกไป ตำรวจทุกนายที่ทำหน้าที่อารักขาตกใจกันไปตาม ๆ กันรีบวิ่งกรูเข้ามาทันที พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร หนึ่งในตำรวจผู้ทำหน้าที่อารักขา รีบวิ่งไปยืนคุ้มกันข้างรถพระที่นั่ง แล้วหยิบอาวุธปืนขึ้นมาคอยป้องกันระวังภัย ด้วยความหวั่นเกรงว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีต่อพระยุคลบาท

    ส่วนผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่กำลังบาดเจ็บอยู่นั้นได้รับการรักษาพยาบาล และถูกควบคุมตัวไว้ในข้อหาขับรถโดยประมาท ขณะเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ทรงทอดพระเนตรอยู่ในเหตุการณ์ และเมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งไปยังโรงพยาบาลแล้ว พระองค์จึงทรงขับรถพระที่นั่งเสด็จฯ ยังพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ต่อไป

    ส่วนผู้ที่ก่อเหตุนั้น เมื่อสืบสาวราวเรื่องก็ทราบว่า เป็นพลตำรวจสังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ก่อนเกิดเหตุนั้น นายตำรวจผู้นี้ไปเที่ยวดื่มสุราและคงเกิดอาการเมามาย จึงกระทำการไม่คาดฝัน ขับรถพุ่งฝ่าแนวตำรวจที่กำลังยืนอารักขาหรือรักษาการณ์เข้าไปชนรถยนต์พระที่นั่ง

    แต่พระองค์ทรงมีพระเมตตากรุณาเป็นล้นพ้นต่อนายตำรวจผู้กระทำความผิดนี้ โดยทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า ขออย่าให้ลงโทษหนัก และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่นายตำรวจผู้นี้ในการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเขาด้วย

    หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว วันรุ่งขึ้นก็พบว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก ซึ่งคราวนี้ค่อนข้างจะรุนแรงเลยทีเดียว นั่นคือ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ออกจากพระตำหนักทักษิณราชวิเวศน์ เพื่อไปพระราชทานรางวัลแก่โรงเรียนที่จัดการศึกษาดีเด่น ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาคัดเลือกไว้แล้ว ที่สวนสาธารณะสนามโรงพิธีช้างเผือก ต.สะเตง จ.ยะลา

    ต่อมาเมื่อใกล้เสร็จพิธี ปรากฏว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นสองครั้งติดกันบริเวณด้านซ้ายของพลับพลาพิธีที่ประทับ ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง 50 เมตรเท่านั้น ถือว่าใกล้มาก พสกนิกรต่างพากันตกใจลุกหนีกันจ้าละหวั่น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งเป็นนายตำรวจผู้มีหน้าที่อารักขาในขณะนั้นรีบวิ่งไปคุ้มกันจนใกล้ชิดพระวรกายของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่ทั้งสองพระองค์ทรงแสดงกิริยาที่มั่นคง สีพระพักตร์เป็นปกติ

    เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงก้าวพระบาทเข้าไปที่ไมโครโฟน แล้วทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทด้วยพระสุรเสียงที่เป็นปกติ โดยข้อความตอนหนึ่งของพระบรมราโชวาทนั้นมีว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น หากปรองดองกัน ให้กำลังใจและขวัญซึ่งกันและกัน รู้จักสงบจิตสงบใจ ก็จะสามารถขจัดภยันตราย และรักษาสถานการณ์ไว้ได้ด้วยดี

    ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือรอยพระยุคลบาท : บันทึกความทรงจำของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร

    Tagged พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เหตุการณ์สุดระทึก
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    หลวงพ่อจรัญ สอนการนั่งวิปัสสนา
    -https://www.youtube.com/watch?v=p-7AMV-mLLc-



    .

    หลวงพ่อจรัญ สอนสมาธิวิปัสสนากรรมฐานแบบเข้าใจง่าย
    -https://www.youtube.com/watch?v=ZsL5NCFRT4c-



    .

    หลวงพ่อสอนกรรมฐาน - หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
    -https://www.youtube.com/watch?v=1ASyn4BmU3w-



    .

    บาป-บุญ มีจริงหรือ - หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
    -https://www.youtube.com/watch?v=870C2VcE_W8-



    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อยากพ้นกรรมเรื่อง “หนี้สิน” ต้องแก้ที่ต้นเหตุ!
    -http://horoscope.sanook.com/110029/-


    การเป็นหนี้โดยไม่จำเป็นและปัญหาความเดือนร้อนจากการเป็นหนี้รู้สึกว่าทำอะไรก็ติดขัดไปหมด จะได้เงินก็มีคนมาตัดหน้า ทำอะไรก็มีคนมาขวางเพราะเราอาจจะเคยโกหก หรือ เอาเปรียบใครมา เป็นวิบากกรรม หาได้มาก็มีเรื่องต้องจ่าย ทำอะไรติดขัดไม่ราบรื่น พบกับอุปสรรคต่างๆ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น หยิบจับอะไรเป็นเสียหาย ไร้คนช่วยเหลือมองไปทางไหนก็มืดมน ซึ่งมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้

    1.พ้นกรรมหนี้สินจะทำอย่างไร หนี้สิน ถือเป็นผลพวงของกรรมอย่างหนึ่งอันเกิดจากกิเลสความต้องการในทางกามารมณ์ ที่ควบคุมไม่ได้ เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็นเหมือนดังเช่นผู้อื่นจึงก่อให้เกิดความพยายามตะเกียกตะกายที่จะมีทรัพย์สินให้มากขึ้น โดยที่ไม่ได้สำรวจศักยภาพความสามารถในการหารายได้ให้พอกับค่าใช้จ่าย จึงเกิดแต่ความทุกข์และกลายเป็นหนี้ในที่สุด

    2. “อย่าคิดที่จะเพิ่มหนี้อีก” หากอยากเป็นคนดีก็ต้องหยุดทำความชั่วเสียก่อน อยากหยุดหนี้สินก็ต้องหยุดสร้างหนี้ฉันนั้น ถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิตใบหนึ่งด้วยจำนวนเงินที่มากพอแล้ว ก็ไม่ควรไปสร้างหนี้เพิ่มให้กลายเป็นภาระดินพอกหางหมู หากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นในทางธรรมก็คือ “ลดความอยากลงเสีย” หนี้ก็จะไม่เพิ่มขึ้น

    3. ลดการใช้จ่ายเกินความจำเป็น คนที่ประสบปัญหามีหนี้มากก็เพราะมัวปล่อยจิตใจให้ไหลไปตามความอยากเพราะ “การซื้อหาด้วยอารมณ์” มากกว่า “การซื้อหาด้วยเหตุผล” จึงเป็นเหตุให้เป็นหนี้สินมากมาย ซึ่งเมื่อได้ของสิ่งนั้นมาแล้วก็ใช่ว่าจะได้ใช้สอยอย่างคุ้มค่าตามที่ซื้อไปหรือไม่

    4. หลีกเลี่ยงการหาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะก่อให้เกิดหนี้ เช่น การใช้บัตรเครดิต เปรียบเหมือนถ้าคุณเป็นจอมยุทธที่ชอบท่องเที่ยวในยุทธภพต้องการเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม และให้สัญญากับตนเองว่าจะไม่ฆ่าหรือทำร้ายใคร แต่บังเอิญได้พกกระบี่อย่างดีที่สุดติดตัวไว้อำนวยความสะดวกที่จะสังหารผู้อื่นได้ทุกเมื่อ เช่นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการพลั้งเผลอฆ่าคนได้แน่นอน
    การใช้บัตรเครดิตเพื่อการใช้จ่ายที่ดีนั้น ควรใช้บัตรเครดิตเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น โดยมูลค่าบัตร จะต้องมีวงเงินอยู่ในขั้นต่ำที่สุด ที่สำคัญต้องสามารถรูดใช้ได้ไม่เกิน 25% ของรายได้ และแนวทางป้องกันหนี้บัตรเครดิตที่ดีที่สุดก็คือ การเลิกใช้บัตรเครดิตไปเลย เพราะการมีบัตรเครดิตจะทำให้ชะล่าใจ จับจ่ายซื้อของอย่างเกินความจำเป็น

    5. มีการจัดสรรเงินทองอย่างเป็นระบบ เป็นข้อหนึ่งในหลักธรรมที่ว่า “สมถชีวิตา” หรือ เลี้ยงชีพให้เหมาะสม โดยการแบ่งเงินรายได้ออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ เช่น เก็บเงิน 60% และไว้ใช้จ่ายอีก 40% วิธีนี้จะทำให้มีเงินเก็บที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ที่สำคัญหากเราได้รับเงินพิเศษที่นอกเหนือไปจากเงินรายได้ที่ได้รับตามปกติแล้ว ก็ควรนำเอาเงินส่วนนั้นเก็บไว้เป็นทุนฉุกเฉินสำรองเอาไว้ เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินคุณก็จะได้มีเงินทุนสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นได้

    6. ต้องชำระหนี้สิน ไม่มีใครหนีหนี้ได้พ้นต่อให้เราหลบหนีไปไกลสักเท่าไหร่ก็จะถูกตามทวงถามเอาคืนได้สักวันหนึ่ง เพียงแต่การจ่ายหนี้นั้นต้องกระทำอย่างมีปัญญาด้วย สิ่งหนึ่งที่ควรพึงระลึกเอาไว้เสมอ ๆ ก็คือ การชำระหนี้อย่างพอดี ๆ ควรผ่อนชำระหนี้สินอย่างพอเหมาะตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น เพื่อที่จะได้เงินเหลือใช้ทำอย่างอื่นต่อไป การทุ่มใช้หนี้ทั้งหมดจนไม่มีเงินเหลือไว้กินไว้ใช้ ต่อยอดชีวิตให้เดินหน้าต่อไปย่อมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่เราต้องแสดงเจตจำนงการใช้หนี้ให้ชัดเจน นอกจากนั้นแล้วก็ควรไล่ดูหนี้สินที่มีทั้งหมด ตรวจสอบดูว่าตนเองมีหนี้สินอะไรบ้าง และแต่ละอย่างต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ เพื่อจะได้คำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้อย่างลงตัว ทั้งค่าใช้จ่าย เงินเก็บ และเงินชำระหนี้

    7. มีการวางแผนการใช้จ่ายและการใช้ชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือการคิดก่อนทำ การวางแผนค่าใช้จ่ายในแต่ละวันเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้รู้ว่าวันหนึ่งๆ เราจะต้องจ่ายอะไรบ้าง และต้องมีการจำกัดวงเงินเมื่อต้องออกไปแสวงหาความสุขส่วนตัวทั้งหลาย คือไม่ว่าจะสนุกมากน้อยเพียงใด ก็ต้องใช้จ่ายตามวงเงินที่ได้กำหนดเอาไว้จะดีที่สุด วิธีนี้จะได้ผลมากน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวจิตคุณเองที่จะต้องซื่อสัตย์ และที่สำคัญต้องเลิกนิสัยการขอหยิบยืมเงินคนอื่นรวมถึงฝึกความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งเร้านอกกายมากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือของใช้ต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็น หากลองสำรวจจิตตนเองก็จะพบว่า สิ่งใดที่เราอยากได้มามากๆ แล้วสิ่งนั้นไม่ได้มีความจำเป็นต่อชีวิตมากนัก จิตก็จะเบื่อหน่ายในสิ่งนั้นได้เร็ว เพียงแค่ 3 วัน 7 วันก็ทำให้รู้สึกเฉยๆ หรือเบื่อหน่ายได้แล้ว

    8. เพิ่มรายได้ด้วยงานพิเศษ รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เราสามารถวางแผนจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างลงตัวมากขึ้น และยังช่วยให้มีเงินเหลือไปชำระหนี้บางส่วนได้อีกด้วย สิ่งนี้ต้องเริ่มต้นด้วยจิตที่ขยันขันแข็งจะสร้างรายได้ ซึ่งจะนำไปสู่การหางานพิเศษที่ไม่หนักหนาจนเกินไปในช่วงนอกเวลางานปกติ เมื่อมีรายได้มากขึ้นย่อมสามารถคลี่คลายปัญหาหนี้สินได้เร็วขึ้นเช่นกัน

    9. ออมเงิน หรือการรักษาให้ดี ถือเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเราเองได้มากที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ว่าเราจะมีภาระหนี้สินหรือไม่ หรือจะมีเงินรายได้มากน้อยขนาดไหน การออมเงินทีละเล็กละน้อย ก็จะทำให้เราได้มีเงินเก็บซึ่งเป็นเงินก้อนขึ้นมาเอง และเงินส่วนนี้เองจะเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้จ่ายในอนาคตต่อไปได้ หนี้สินที่เกิดขึ้นกับตัวเราทั้งหมดมีเหตุจากความโลภ ความอยาก จงระงับความอยากให้มากที่สุดแล้วโอกาสเกิดหนี้ก็จะน้อยลง โอกาสจะเบี้ยวหนี้ หนีหนี้ก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีพื้นฐานมาจากธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าด้วยคาถา “หัวใจเศรษฐี” ที่ว่า “อุอากาสะ” คือ ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร และเลี้ยงชีวิตให้เหมาะสม ใครได้ประพฤติปฏิบัติตามก็จะพ้นหนี้สินได้และไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องทรัพย์และความเป็นอยู่อีกต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...