พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทานอาหารเสริมอย่างไร ไม่ให้ตับอักเสบ-ติดเชื้อในกระแสเลือด
    -http://health.sanook.com/5689/-


    โดย จันทร์เจ้า

    ไม่ผอม แต่ก็เป็นหมูแข็งแรง!

    ใครๆ ก็อยากสวย อยากแข็งแรง นอกจากอาหารที่ทานกันอยู่ทุกวัน เลยอยากได้ตัวช่วยที่จะเห็นผลดี เห็นผลเร็ว เมื่ออาหารที่ทานอยู่ทุกวันไม่เห็นผลชัดเจน หลายคนจึงหันไปพึ่งอาหารเสริมที่โฆษณาว่า ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เราต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสวยๆ งามๆ ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมัน เรื่องผิวพรรณของคุณผู้หญิง ไปจนถึงสุขภาพร่างกายทั้งสมอง หัวใจ ระบบประสาท ระบบโลหิต ระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงระบบขับถ่าย และรักษาโรคบางโรค เช่น มะเร็ง

    ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่ว่าอาหารเสริมทุกชนิดบนโลกจะไม่ดี ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ อาหารเสริมดีๆ จากผู้ผลิตระดับโลกก็มีเช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าบางชนิดก็ไม่ได้ผลิตตรงตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ผลงานวิจัยที่นำมาอ้างอิงก็ยังไม่ชัดเจน และมีความเป็นไปได้สูงที่คนที่ซื้อทานยังไม่ทราบวิธีทานอาหารเสริมที่ถูกต้อง



    อันตรายจากอาหารเสริม

    ไอคิวต่ำลง เนื่องจากอาหารเสริมบางชนิดแนะนำให้ทานแทนอาหารหลัก ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และพัฒนาการสมอง ในวัยที่ต้องใช้สมองในการร่ำเรียน และทำงาน หากร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้สมองมีพัฒนาการที่แย่ลงได้

    อาหารเสริม ไม่ว่าจะโฆษณาว่าทำมาจากธรรมชาติ 100% ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีสารเคมีปะปนระหว่างการผลิต ดังนั้นการที่เราทานอาหารเสริมติดต่อกันนานๆ อาจมีความเป็นไปได้ว่าเรารับเอาสารเคมีเข้าสู่ร่างกายติดต่อกันเป็นเวลานานเช่นกัน ซึ่งทำให้ตับทำงานหนักขึ้น เพื่อกรอง และคัดเลือกเอาสารอาหารที่จำเป็น และเกินความจำเป็นออก การทานอาหารเสริมมากเกินไปทำให้ตับทำงานหนักมากเกินไป จนอาจมีความเสี่ยงที่ตับและไตจะเสื่อม อักเสบ จนติดเชื้อในภายหลังได้

    การทานอาหารเสริมจากแหล่งผลิตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และ/หรือผลิตจากงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจน เราอาจกำลังเป็นหนูทดลองให้เขาอยู่ก็เป็นได้ เมื่อเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ผู้ผลิตเหล่านี้อาจไม่สามารถช่วยเหลือ หรือรับผิดชอบอะไรเราได้เลย



    ดังนั้นเรามาดูวิธีการทานอาหารเสริม เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะทำให้รางกายได้รับอันตรายกันดีกว่าค่ะ


    ทานอาหารเสริมตามคำแนะนำที่ฉลากข้างผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด

    อาหารเสริมแต่ละชนิดมีวิธีการทานไม่เหมือนกัน วิตามินรวมอาจต้องทานตอนเช้าครั้งเดียว แต่อาหารเสริมบางประเภทต้องทานวันละ 2-3 ครั้ง ดังนั้นควรอ่านฉลากอย่างละเอียดก่อนทานเสมอ



    ความต่อเนื่องในการทานอาหารเสริมก็สำคัญ

    เราอาจเคยได้ยินว่าควรทานอาหารเสริม หรือวิตามินเดือนเว้นเดือน หรือ 3 เดือน เว้น 3 เดือน เพื่อไม่ให้ตับพัง อันที่จริงแล้วจะบอกว่าไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูก เพราะอาหารเสริม หรือวิตามินบางชนิดสามารถทานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจนได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทานอาหารเสริมเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง หากรับประทานจนเห็นผลเป็นที่พอใจแล้ว สามารถหยุดการทานได้เช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับสารอาหารบางชนิดมากจนเกินไป ดังนั้นก่อนทานอาหารเสริมควรสอบถามเภสัชกรให้ละเอียดก่อนทาน



    ไม่จำเป็นต้องทานอาหารเสริมหลายตัวในคราวเดียวกัน

    หากเราอยากบำรุงผิวพรรณ สามารถเลือกทานวิตามินอี หรือน้ำมันอีฟนิ่ง พริมโรส ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณใกล้เคียงกัน โดยไม่ต้องทาน 2 ตัวนี้พร้อมกัน ป้องกันการทานวิตามินซ้ำซ้อน หรือมากเกินไปโดยไม่มีความจำเป็น



    คอลลาเจน กลูต้า ยังไม่มีงานวิจัยรับรองชัดเจน

    วิตามินอื่นๆ อาจมีรายงานชัดเจนว่าช่วยในเรื่องของอะไรได้บ้างอย่างชัดเจน แต่สำหรับคอลลาเจน และกลูต้าในรูปแบบของอาหารเสริม ที่ยังไม่มีผลงานวิจัยที่สามารถยืนยันถึงคุณสมบัติ และความปลอดภัยต่อร่างกายอย่างแท้จริงนั้น สามารถบอกได้ว่าผลลัพธ์ และความเสี่ยง อยู่ที่ตัวผู้บริโภคเองล้วนๆ



    สำรวจความจำเป็นก่อนทาน

    อาหารเสริม ก็คืออาหารเสริม หมายถึงร่างกายขาดเราถึงต้องเสริม หากร่างกายของเราไม่ได้ขาดสารอาหารอย่างชัดเจนจนถึงขั้นต้องหามาทานเสริม ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปซื้อมาทาน หากคุณไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทานอาหารไม่ค่อยมีประโยชน์ พักผ่อนน้อย หรือมีปัญหาใดปัญหาหนึ่งกับร่างกายจริงๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อมองหาอาหารเสริมที่เหมาะสมกับร่างกายของเราจริงๆ ได้ การปรึกษาแพทย์ก่อนซื้ออาหารเสริมมาทาน นอกจากจะสามารถช่วยหาอาหารเสริมที่เหมาะกับร่างกายของเราจริงๆ แล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และลดภาวะการรับสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปได้ด้วย



    อาหารเสริมไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายจนทำให้ตับไตวาย หากเราทานอย่างมีความรู้ ศึกษาหาข้อมูลเยอะๆ หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทาน ดังนั้นควรเลือกทานอาหารเสริมกันอย่างมีสตินะคะ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้
    -http://cooking.kapook.com/view127999.html-



    น้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มอาหารทะเลสุดแซ่บ สูตรน้ำจิ้มรสเด็ด มีให้เลือกถึง 6 สูตร 6 สไตล์ตามชอบ ทำเองง่าย ๆ เสิร์ฟพร้อมอาหารทะเลปิ้งย่าง หรือเมนูลวกจิ้ม รับรองอร่อยเด็ดเกินห้ามใจ

    วันหยุดนี้อยากจัดงานเลี้ยงวันเกิดเล็ก ๆ ที่บ้านกับครอบครัวก็เลยมองหาอาหารปิ้ง ๆ ย่าง ๆ แนวซีฟู้ดไว้ทำทานกัน แล้วจะขาดน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำจิ้มอาหารทะเลสุดแซ่บไปได้อย่างไรกันล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมขอเสนอสูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด 6 แบบที่รสชาติเผ็ดซี้ดโดนใจ ใครถูกใจรสชาติไหนก็จัดเลยตามชอบ ไม่ต้องไปหาซื้อน้ำจิ้มที่ไหนให้เมื่อยตุ้ม ทำเองง่ายกว่าแถมอร่อยด้วย

    6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้

    1. น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรอาหารทะเลลวกจิ้ม

    น้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรนี้เหมาะกับอาหารทะเลแนวลวกจิ้ม ทีเด็ดอยู่ตรงที่มีความเผ็ดจี๊ดจนน้ำหูน้ำตาไหล ส่วนผสมไม่เยอะแค่จับพริกขี้หนูมาผสมกับกระเทียม รากผักชี เกลือ และน้ำตาลทราย ที่ขาดไม่ได้คือ น้ำมะนาว เสิร์ฟพร้อมอาหารทะเลลวก กินเพลิน ๆ ข้าวสวยไม่ต้อง แค่นี้ก็อิ่มหนำสำราญใจแล้วค่ะ

    ส่วนผสม

    พริกขี้หนูสวน (สีเขียวผสมสีแดง) 20 เม็ด
    พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด
    กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย
    รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
    เกลือ 4 ช้อนชา
    น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา
    น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย
    น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย

    วิธีทำ

    1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
    2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

    ++++++++++++++++++++

    6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้

    2. น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรใช้ครกตำ

    น้ำจิ้มซีฟู้ด เมนูน้ำจิ้มที่มีความเผ็ดระดับกลาง เหมาะสำหรับคนชอบกระเทียมมาก ๆ เพราะได้ลิ้มรสชาติกระเทียมไปเต็ม ๆ และยังเหมาะกับครัวเรือนที่ไม่มีเครื่องปั่น ถ้าได้จิ้มปลาหมึกลวกหน่อยรับรองเคี้ยวเพลินจนวางไม่ลงเชียวล่ะ

    ส่วนผสม

    พริกขี้หนูสวน 10 เม็ด
    กระเทียมไทย 10 กลีบ
    รากผักชีโขลกละเอียด 2 ราก
    น้ำปลา 6 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมะนาว 6 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทราย 4 ช้อนชา

    วิธีทำ

    1. โขลกพริกขี้หนูสวน กระเทียมไทย และรากผักชีเข้าด้วยกันพอหยาบ ๆ
    2. เติมน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลทรายละลายเข้ากัน
    3. ตักใส่ภาชนะที่มีฝาปิดแช่ไว้ในตู้เย็น สามารถเก็บได้นาน 3 วัน

    ++++++++++++++++

    6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้

    3. น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรใส่ผักชีและน้ำตาลปี๊บ

    อาหารทะเลมื้อไหน ๆ ก็ต้องมีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด สูตรนี้ใช้ความหวานละมุนจากน้ำตาลปี๊บ และใส่เกลือแทนน้ำปลา ปรุงออกมาครบรส ทั้งเผ็ด เค็ม เปรี้ยว และหวาน เวลาจิ้มกับกุ้งเผาจะได้ลิ้มรสผักชีหอม ๆ อีกด้วย

    ส่วนผสม

    น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม
    เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำร้อน 3 1/2 ถ้วย
    น้ำมะนาว 4 ถ้วย
    พริกขี้หนู 200 กรัม
    กระเทียมไทย 200 กรัม
    ผักชี 200 กรัม

    วิธีทำ

    1. ใส่น้ำตาลปี๊บลงในอ่างผสม ตามด้วยเกลือและน้ำร้อน คนให้เข้ากันจนให้น้ำตาลปี๊บละลายเป็นน้ำ จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไปคนให้เข้ากัน
    2. เทส่วนผสมน้ำที่ผสมไว้ลงในเครื่องปั่น ตามด้วยพริกขี้หนู กระเทียม และผักชี ปั่นให้เข้ากันตามความละเอียดที่ต้องการ ตักใส่ขวดโหลแก้ว หรือภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด

    +++++++++++++++

    6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้

    4. น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรโบราณ

    น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรโบราณ ใส่พริกขี้หนูลงไปตามชอบ ใส่น้ำส้มสายชูลงไปแทนน้ำมะนาว ไม่ใส่น้ำปลาแต่ใส่เกลือลงไป ใช้การโขลกพอหยาบทำให้ได้ลิ้มรสเนื้อน้ำจิ้มจริง ๆ แถมสูตรนี้ยังสามารถนำไปจิ้มกินคู่กับไก่ต้มน้ำปลาได้อีกด้วยนะคะ

    ส่วนผสม

    พริกขี้หนู 1 กำมือ
    กระเทียม 5 กลีบ
    เกลือป่น ปลายช้อน
    น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
    น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

    วิธีทำ

    1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ
    2. เติมน้ำส้มสายชูและน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ

    ++++++++++++++

    6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้

    5. น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรใส่ใบโหระพา

    น้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรนี้จะมีสีเขียวจัดเพราะจะใส่พริกขี้หนูเขียวอย่างเดียว และเพิ่มความเขียวขจียิ่งขึ้นด้วยใบโหระพา เพิ่มความเค็มด้วยน้ำปลา รสชาติจะออกเปรี้ยวและหวานนำจากน้ำเชื่อม รสเผ็ดไม่มาก เหมาะสำหรับคนไม่ทานเผ็ด แถมสีสันของน้ำจิ้มยังเป็นสีเขียวดูแล้วสบายตาอีกด้วย

    ส่วนผสม

    พริกขี้หนูสีเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
    กระเทียมไทยสับ 1 ช้อนโต๊ะ
    รากผักชีสับ 2 ต้น
    ใบโหระพา 1/2 ถ้วย
    น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
    น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    1. ใส่พริกขี้หนู กระเทียมสับ รากผักชีสับ ใบโหระพา น้ำเชื่อม น้ำปลา และน้ำมะนาวลงในเครื่องปั่นแล้วปั่นทุกอย่างให้ละเอียดและเข้ากัน
    2. ตักใส่ภาชนะมีฝาปิด สามารถเก็บไว้ได้ 3 วัน

    ++++++++++++++++++

    6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้

    6. น้ำจิ้มซีฟู้ด สูตรใส่สับปะรด

    น้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรนี้เพิ่มความแปลกแต่แฝงไปด้วยรสชาติที่กลมกล่อมด้วยการใส่สับปะรดลงไปผสมกับพริกขี้หนู กระเทียม น้ำตาลทราย เพิ่มความเปรี้ยวจากน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชู และมีรสเค็มจากเกลือ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากรากผักชี ถ้าอยากรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไรต้องลอง

    ส่วนผสม

    เนื้อสับปะรด 1 ถ้วย
    กระเทียม 1/2 ถ้วย
    พริกขี้หนูสีแดง 1 กำมือ
    รากผักชี 5 ราก
    น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
    น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
    น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย
    น้ำปลา 1/2 ถ้วย
    เกลือ 20 กรัม
    วิธีทำ

    นำทุกอย่างใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้แล้วปั่นรวมกันให้ละเอียดตามชอบ

    ว้าว… ตาลายมาก ๆ เลือกไม่ถูกเลยว่าจะทำน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไหนสำหรับอาหารทะเลมื้อนี้ดีก็เล่นมีให้เลือกถึง 6 สูตร แต่ละสูตรก็รสชาติต่างกันออกไป เห็นทีแบบนี้ต้องลองทำทุกสูตรแล้วล่ะ จิ้มกันเพลินเลยที่นี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98 KB
      เปิดดู:
      108
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      109.5 KB
      เปิดดู:
      116
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.8 KB
      เปิดดู:
      85
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.9 KB
      เปิดดู:
      130
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.8 KB
      เปิดดู:
      138
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.6 KB
      เปิดดู:
      81
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเกิด และแปรเป็นพระธาตุได้อย่างไร หลวงปู่เหรียญบอกไว้

    -http://www.pageqq.com/en/content/view/page/cntth1/0-865881.html%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94-


    เกี่ยวกับพระธาตุ เป็นที่แปลกอยู่ว่า เส้นผมของหลวงปู่หลวงพ่อในสายกรรมฐานที่สิ้นไปแล้ว ลูกศิษย์ได้เก็บเอาไว้บูชา ต่อมาค่อยๆ รวมตัวกันจับตัวเป็นก้อนเท่าเม็ดพุทรา จากนั้นจะกลายเป็นพระธาตุได้ในเรื่องนี้ หลวงปู่เหรียญได้เมตตาบอกเล่าว่า เป็นไปได้..ของหลวงปู่หลุยก็ได้มีลูกศิษย์บางคนเก็บเอาไว้ ต่อมาได้รวมตัวเป็นก้อนกลมแล้วอีกระยะหนึ่งถึงค่อยแปรเป็นพระธาตุ อย่างของพระอาจารย์จวน ส่วนใดที่เป็นพระธาตุแล้ว คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต ก็จะเอาใส่ผอบไว้ แล้วตั้งเรียงเอาไว้บูชา ส่วนที่ยังไม่เป็นก็เอาใส่ขวดโหลไว้ บัดนี้กระดูกที่เป็นผงนั้นก็ได้ค่อยรวมตัวกันเป็นก้อนเท่าเม็ดพุทราเท่ากันหมดทั้งโหลเลย เราได้เห็นก็เลยเชื่อว่าเป็นได้จริงอย่างนั้น

    แต่ที่มาเห็นเป็นแก้วใสอยู่ในผอบตามที่ต่างๆ เราก็ไม่แน่ใจว่า เขาจะเอาแก้วอะไรที่ไหนมาใส่ไว้ ทีแรกไม่ค่อยเชื่อ แต่พอมาเห็นที่ขวดโหลใหญ่ จึงเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ เถ้ากระดูกเหล่านั้นจะค่อยเกาะยึดแน่นเป็นก้อนกลมเช่นเดียวกันกับเสื้อผม

    ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาก็มี แปลกอยู่เหมือนกัน บางคนเมื่อมีชีวิตอยู่เขาก็สวดมนต์ภาวนาถือศีลทำบุญตามปกติ แต่พอตายไป เมื่อเผาแล้วปรากฏว่า กระดูกบางส่วนได้กลายเป็นแก้วบางคนก็คล้ายกับว่า มีทองมาหุ้ม มีสีทองเป็นแวว คงเป็นเพราะมีศีลบริสุทธิ์ แต่ในตำราไม่ได้มีบอกไว้ว่าเป็นบุคคลระดับใด ซึ่งอาจจะเป็นอริยบุคคลแล้ว เวลาตายไปกระดูกจึงจะกลายเป็นพระธาตุ อาตมาก็ไม่กล้ายืนยัน กล้ายืนยันเฉพาะของพระพุทธเจ้า

    ในสมัยนี้ก็พอมีหลักฐานยืนยันได้ว่า กระดูกของพระสาวกก็แปรเป็นพระธาตุได้อย่างของหลวงปู่มั่นก็ใสเป็นแก้ว ,ของหลวงปู่พรหมจะเป็นเม็ดกลม มีสีดำเป็นนิล มของหลวงปู่ขาวจะเหมือนพลอยใส ,ของหลวงปู่แหวนดูเหมือนว่า จะเป็นแก้วใสเร็วกว่ารูปอื่น ,ของหลวงปู่สามก็แปรเป็นพระธาตุเหมือนกัน จะช้าเร็วก็แต่ละรูป แต่แปลกที่ว่าไม่ได้แปรทั้งหมด คงแปรเฉพาะที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดกับท่านเก็บแบ่งไว้เท่านั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้แปรเป็นพระธาตุ ของหลวงปู่ตื้อก็เป็นพระธาตุ ของท่านนี้ มีลูกศิษย์คนหนึ่งได้ไปงานเผาศพท่าน และก็ได้เก็บเอาผงเถ้าถ่านจากเมรุที่เผาเป็นชิ้นเล็กๆ เอามาใส่ไว้ในตลับยาหม่อง เอาสำลีรองไว้ ต่อมาอีกประมาณหนึ่งปี ผงถ่านเหล่านั้นได้จับตัวเป็นก้อนเล็กๆ หลายก้อน อีกระยะหนึ่งจึงได้กลายเป็นพระธาตุแต่ไม่ใส เป็นสีน้ำตาล อาจเฉพาะรวมจากผงเถ้าหลายอย่าง กระดูกบ้าง ไม้บ้าง พระธาตุเหล่านี้บางรูปก็มีปาฏิหาริย์ แบ่งแยกได้เองก็มีมาก เป็นเรื่องของการอธิษฐานและความเชื่อมั่น

    ที่มา : ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • large41.jpg
      large41.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.3 KB
      เปิดดู:
      93
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อพุธไขข้อข้องใจ เพราะเหตุใดที่ทำให้ "กระดูกคนตาย" กลายเป็น "พระธาตุ"?
    -http://panyayan.tnews.co.th/contents/217633/-


    คำอธิบายเรื่องกระดูกคน กลายเป็นธาตุ โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระอริยสงฆ์วัดป่่าสาลวัน จ.นครราชสีมา


    ถาม : ทำไมพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เมื่อนิพพานไปแล้ว กระดูกจึงกลายเป็นพระธาตุ?

    หลวงพ่อพุธ : หลักของการปฏิบัติธรรมเพื่อทำสติให้เป็นมหาสติ ซึ่งเรียกว่า "มหาสติปัฏฐาน ๔" พระพุทธองค์ทรงสอนให้กำหนดพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณากายก็คือ การเจริญกายคตาสติ กำหนดเพ่งดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ ในขณะที่เพ่งลงไปนั้น เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว เราจะมองเห็นส่วนต่างๆ ของร่างกายมีลักษณะใสเหมือนแก้ว มองไปที่ผม ผมก็เป็นแก้ว มองไปที่ขน ขนก็เป็นแก้ว ทีนี้ ในเมื่อจิตมาท่องเที่ยวอยู่ในกาย นักปฏิบัติท่านเอากายเป็นเครื่องอยู่ของจิต เป็นฐานที่ตั้งของสติ ให้เป็นมหาสติ ยิ่งจิตมีความละเอียดขึ้นเท่าไร ความสว่างไสวปรากฏขึ้นในกายอย่างน่าอัศจรรย์ มองไปที่ไหนๆ ก็เป็นแก้วไปหมด ทีนี้ ถ้าหากท่านผู้นั้นมีจิตบริสุทธิ์สะอาด บรรลุพระอรหันต์เมื่อไร ในเมื่อท่านนิพพานไปแล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายท่านก็กลายเป็นพระธาตุไปหมด

    พระธาตุบางท่านก็ใส ของบางท่านก็ไม่ใส อันนั้นเป็นเรื่องความสว่างไสวของจิตของแต่ละท่าน ตัวอย่างที่เปรียบเทียบก็คือว่า เช่นอย่างหมอเรียนวิชาไสยศาสตร์ เขามีมนต์ต่อกระดูก เช่นอย่างกระดูกหักนี้ เขาท่องแต่เพียงคาถาอาคมแล้วก็เป่าลงไปเท่านั้น สามารถต่อกระดูกได้ พวกไสยศาสตร์นี้เขาไม่ได้อาศัยสมาธิอย่างละเอียดเหมือนการปฏิบัติ สมถวิปัสสนา เพียงแค่น้อมใจเชื่อคาถาอาคมที่เขาเรียนมาเท่านั้น แล้วในเมื่อเขาเป่าลงไปนั้นก็สามารถทำให้กระดูกต่อเข้ากันได้





    ถาม : พระธาตุที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นพระธาตุจริงหรือพระธาตุปลอม?

    หลวงพ่อพุธ : เรื่องนี้ถ้าหากเราสงสัย เราไม่สามารถจะทราบว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นของปลอม เราไปเทียบกับพระพุทธรูปที่เราหล่อขึ้น เราสมมุติว่านี่เป็นพระพุทธรูป นี่เป็นองค์แทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบไหว้บูชาก็เป็นบุญ พระธาตุนี้ที่มีลักษณะเป็นพระธาตุ ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเป็นพระธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ แต่เราสมมุติเอาเป็นพระธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราสักการบูชา ก็เป็นบุญเป็นกุศล จะจริงหรือไม่จริงไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่จิตของเรานี้ว่า เชื่อในพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่



    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


    ถาม : อัฐิของพระที่มรณภาพแล้วกลายเป็นพระธาตุขึ้นมานั้นเพราะเหตุใด?

    หลวงพ่อพุธ : อัฐิของพระที่มรณภาพแล้วกลายเป็นพระธาตุขึ้นมานั้นจะต้องเป็นอัฐิของพระ อริยบุคคลตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไป ทีนี้มีปัญหาว่า ทำไมกระดูกคนที่ตายไปแล้ว แม้จะเก็บไว้สักพันปีหมื่นปีก็ยังเป็นกระดูกอยู่อย่างเดิม ไม่แปรสภาพเป็นอย่างอื่น นอกจากจะผุพังไปเป็นดินเป็นหญ้าไปเท่านั้น แต่กระดูกของพระอริยบุคคลนี้ ทำไมกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ อันนี้เป็นปัญหาที่น่าสงสัย ถ้าหากเราจะไปนึกถึงหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เฉพาะกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ เราตั้งกายของเราเป็นฐานที่ตั้งของสติ เป็นฐานที่รู้ของจิต เพื่อเป็นการฝึกฝนอบรมสติให้มีประสิทธิภาพขึ้นจนกลายเป็นมหาสติ

    ทีนี้ โดยทางปฏิบัติแล้ว พระผู้ที่ปฏิบัติท่านเพ่งอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ ในเมื่อกายคืออาการ ๓๒ ถูกเพ่งบ่อยเข้า จิตเกิดมีสมาธิแล้ว ย่อมเกิดนิมิตให้เห็นในกายทั่วไป ส่วนมากสิ่งที่ปรากฏให้รู้เห็นอยู่นานที่สุดก็คือกระดูก มีโครงกระดูกเป็นต้น ในบางครั้ง ในเมื่อจิตวิ่งเข้ามาดูกายแล้วก็มาสงบสว่างในกาย จิตจะมองทะลุกายออกมา มีลักษณะดูเหมือนคล้ายๆ กับแก้วโปร่ง มีความใสเหมือนกับแก้วโปร่ง

    เพราะฉะนั้น กระดูกของพระอริยบุคคลถูกจิตที่บริสุทธิ์สะอาดเพ่งเป็นวิหารธรรมอยู่บ่อยๆ ด้วยอิทธิพลของจิตนั้นจะสามารถทำให้กระดูกของท่านเมื่อท่านมรณภาพไปแล้วกลาย เป็นพระธาตุขึ้นมาได้

    สำหรับทฤษฎีในทางอื่นนั้นไม่สามารถที่จะนำมาประกอบกับปัญหานี้ได้ แต่ถ้าจะพิจารณาตามประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้ว รู้สึกว่า จิตเมื่อเพ่งดูโครงกระดูกจะรู้สึกว่า โครงกระดูกนั้นมีความใสเหมือนแก้ว เพราะในขณะนั้นจิตสงบ สว่างแล้ว เกิดนิมิตขึ้นมาพอมองเห็นได้ ข้อเปรียบเทียบก็คือว่า ขณะที่ว่าพระอริยบุคคลที่ท่านเพ่งดูอาการ ๓๒ คือร่างกายของท่าน จนจิตเกิดเป็นสมาธิ รู้จริงเห็นจริงภายในกาย แล้วมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมีความใสสะอาด สว่างไสวไปหมดภายในกาย เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว กระดูกก็กลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ อันนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่น่าสงสัยเท่าไรนัก แต่สำหรับนักเรียนมนต์ไสยศาสตร์เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพียงแต่คาถาอาคมแล้วไปเสกน้ำมันไปทา แล้วก็เป่าในขณะที่คนขาหักแขนหัก ก็ยังมีประสิทธิภาพพอที่จะต่อกันได้ เพราะด้วยอำนาจแห่งพลังมนต์และพลังจิต

    ฉะนั้น จิตของท่านผู้บำเพ็ญสมาธิภาวนานี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าจะมีประสิทธิภาพซึ่งสามารถทำให้กระดูกกลายเป็นพระธาตุ ขึ้นมาได้



    โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระอริยสงฆ์วัดป่่าสาลวัน จ.นครราชสีมา

    จินต์จุฑา สำนักข่าวทีนิวส์ เรียบเรียง

    ที่มา : -https://www.facebook.com/Sornkritsana/posts/1542657296061012-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • phut1.jpg
      phut1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      86
    • monkbone1.jpg
      monkbone1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.1 KB
      เปิดดู:
      119
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทรมานจนขาดใจ! ทำกรรมไม่ดีกับพระ ผลกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า เจ็บหนักตั้งแต่ชาตินี้! เรื่องจริงจากบันทึกของมหาดเล็กร. ๔

    สร้างกรรมกับพระ ทรมานจนขาดใจตาย

    -http://www.pageqq.com/en/content/view/page/cntth1/0-840873.html-

    เห็นได้ว่าในยุคปัจจุบัน มีโรคเกิดขึ้นมากมายและหลายโรคมาจากเหตุที่ไม่รู้จักรักษาสุขภาพของตัวเอง คือรับประทานอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการ รับประทานอาหารไม่เป็นประโยชน์ ซ้ำยังเป็นโทษต่อร่างกาย หรือรับประทานอาหารอย่างหนึ่งอย่างใด จนเกินความพอดีจึงทำให้เกิดโรคได้ เพราะขาดความรู้ ความเอาใจใส่ต่อร่างกาย ไม่ระมัดระวังรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี หรือไม่ยอมดูแลสุขภาพอย่างที่ควรจะเป็นเรียกได้ว่า เป็นกรรมปัจจุบันและก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่มีความเชื่อว่า อาการเจ็บป่วยเป็นโรคที่เกิดจาก“กรรมเก่า” โดยเฉพาะโรคเวรโรคกรรมที่รักษากันอย่างไรก็ไม่หายเสียที

    เมื่อมีผลกระทบต่อชีวิต ไม่สบาย ล้มป่วยจนหมดหนทางรักษาทางการแพทย์จึงต่างยกอ้างกันว่า มีเหตุมาจากกรรมเก่า เพราะเชื่อว่า คือ ผลของกรรมหรือการกระทำที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ เป็นผลกรรมที่ผูกพันกันมาเพราะเคยกระทำกรรมไม่ดีไว้กับคนสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆมาก่อนเมื่อเหล่าดวงจิตวิญญาณยังมีความอาฆาตแค้นอยู่กับตัวผู้ที่สร้างกรรมกับตนเอง ก็มักจะติดตามคนที่มีกรรมผูกพัน และการที่เหล่าดวงวิญญาณติดตามตัวใครก็ตามนี้จะส่งผลให้คนๆนั้นเกิดอาการเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ตามอาการที่ดวงวิญญาณเหล่านั้นเคยเป็นและได้รับความทรมานก่อนตายเช่น หากดวงวิญญาณนั้นเคยปวดท้องอย่างรุนแรงก่อนตาย ก็จะทำการเบียดเบียนให้คนที่มีดวงวิญญาณติดตาม เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ และกรรมที่ว่านี้อาจเกิดจากผลกรรมที่ได้สร้างเอาไว้ในภพชาติปัจจุบัน เรียกได้ว่า รับผลกรรม ในชาติภพนั้นๆ โดยไม่ต้องรอให้ข้ามภพข้ามชาติก็ได้เช่นกัน

    ดั่งเรื่องของหลวงวิจารณ์ เป็นตัวอย่างของผู้ได้รับความทรมานจาก “กรรม” ซึ่งเห็นผลในชาติปัจจุบันของท่าน เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ถูกบันทึกโดย “พระยาวจีสัตยารักษ์” (ขำ ศรียาภัย)

    ซึ่งเป็นมหาดเล็กในล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ได้บันทึกเรื่องราว กรรมของบุคคลผู้หนึ่งที่เป็นข้าราชการในสมัยนั้นคือ “หลวงวิจารณ์ฯ” แห่งบ้านเจ็ดเสมียน จ. ราชบุรีไว้ว่า

    ราวปี พ.ศ. 2455 หลวงวิจารณ์ได้รับราชการเป็นกรรมการจังหวัด มีหน้าที่ตรวจตามวัดต่างๆ เพราะท่านเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องในพระธรรมวินัยแตกฉานเนื่องจากเคยบวชเรียนจนสอบได้เปรียญธรรมหลังจากสิกขาลาเพศบรรพชิตไปแล้ว ก็ออกมารับราชการและมีครอบครัวตามวิสัยปุถุชนทั่วไปแต่การบวชเรียนของหลวงวิจารณ์ฯ ไม่ได้ช่วยอะไรในการประกอบอาชีพการงานมากนัก เพราะหลวงวิจารณ์เป็นคนที่หลงในยศศักดิ์ ในอำนาจของตนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมีนิสัยหยาบกระด้างไม่มีความเคารพศรัทธาในพระรัตนตรัยเลย ทั้งๆ ที่ตนเองได้บวชเรียนมาแล้ว


    เมื่อตนเองไปตรวจงานตามวัดต่างๆ จะเรียกเหล่าพระสงฆ์สามเณร มาเพื่อสอบถามความรู้เหมือนคอยจ้องจับผิด ถ้าพระเณรตอบปัญหาถูกก็รอดตัวไป แต่ถ้าตอบปัญหาธรรมผิดก็จะถูกหลวงวิจารณ์ผู้นี้ ด่าว่าอย่างรุนแรงและถูกโขกสับใช้ โดยไม่มีความยำเกรงต่อภิกษุหรือผู้ใดทั้งสิ้นแม้แต่ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอาวุโสในพรรษา หลวงวิจารณ์ผู้นี้ก็ไม่ไว้หน้าใคร

    ความประพฤติไม่ดีไม่ได้ปรากฏทางวาจาเท่านั้น หลวงวิจารณ์ยังแสดงถึงความโลภกับพระภิกษุเพราะไปตรวจวัดใด หลวงวิจารณ์มักจะชอบขอเอาสิ่งของต่างๆ จากพระสงฆ์หรือของวัด ถ้าพระท่านยินดีให้เพราะเมตตา หรือให้เพราะไม่ใช่สิ่งของที่ควรสงวนเพื่อส่วนตัว ก็ถือว่าโชคดีไปแต่ถ้าหาก หลวงวิจารณ์ไปขอเอาสิ่งของที่เป็นของคณะสงฆ์ พระและลูกวัดซึ่งเป็นของส่วนรวมแห่งนั้นแล้ว พระท่านให้ไม่ได้ ทั้งพระผู้ใหญ่และพระลูกวัดต่างก็จะต้องตกที่นั่งลำบากเพราะ หลวงวิจารณ์จะคอยกลั่นแกล้งจ้องจับผิดแบบไม่ลดละทำให้พระภิกษุและเณรเดือดร้อนเป็นอันมาก

    หลวงวิจารณ์ผู้ดำรงชีพอย่างไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมมาจนอายุได้ 50 ปี ผลกรรมหนักก็ตามให้เห็นผลในชาติปัจจุบัน ทันทีเมื่อต้องล้มป่วยเป็นไข้ที่บ้าน และอาการป่วยที่เกิดขึ้นก็นับว่าเป็นโรคแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เพราะหลวงวิจารณ์จะมีอาการ “ทุรนรนทุราย เหมือนมีคนเอาไฟมาสุมทั้งภายนอกและภายในร่างกาย จนร้อนระอุไปทั้งตัวถึงขั้นดิ้นรนร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา ได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส” แม้จะไปตามหมอมาให้รักษาอาการป่วยแต่ความร้อนในทรวงอกนี้ก็ไม่ทุเลาลงได้เลยแม้แต่น้อย

    สิ่งเดียวที่จะพอบรรเทาความร้อนให้เบาบางอาการลงได้บ้างคือ หลวงวิจารณ์ต้องขอร้องให้ภรรยาหรือบุตรคอยตักน้ำเย็นราดลงบนที่หน้าอกอยู่เรื่อยๆ ความเร่าร้อนจึงจะพอลดลงไปบ้าง แต่ถ้าหยุดรดน้ำบนหน้าอกความร้อนก็จะเริ่มกลับขึ้นมาอีกวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ทุกเช้าค่ำ และต้องทนทรมานในอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาดนี้ไม่หาย ทั้งบุตรและภรรยาต่างก็พากันอิดหนาระอาใจ เพราะเมื่อมีอาการหนักมากขึ้นก็ต้องเอาน้ำรดที่หน้าอกแทบจะตลอดเวลา เมื่อหยุดรดก็จะต้องดิ้นรนร้องโวยวายจนผู้เฝ้าไข้ต้องตักน้ำราดรดให้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องทำอย่างอื่น จนกระทั่งใต้ถุนบ้านของหลวงวิจารณ์กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่เพราะมีน้ำไหลตกลงไปตลอดทั้งวันทั้งคืน


    หลวงวิจารณ์ต้องทรมานอยู่เช่นนี้ยาวนานถึงปีเศษจึงได้สิ้นใจตายไปอย่างน่าเวทนาหาความสุขสงบไม่ได้ในช่วงท้ายของชีวิต

    หลังจากปลงศพของหลวงวิจารณ์เรียบร้อยแล้ว ครอบครัวต่างก็พากันอพยพย้ายออกไปจากตำบลเจ็ดเสมียนและไม่ยอมหวนกลับมาที่แห่งนี้อีกเลย อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ย่อมไม่สามารถรักษาให้หายทางการแพทย์โดยทั่วไป เพราะหมอ ก็จะไม่สามารถตรวจวินิจฉัยได้ว่า ป่วย เป็นโรคอะไร แม้จะรักษาอาการทางการแพทย์ก็ดูเหมือนจะไม่ทุเลาและหายได้ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาความเชื่อในเรื่องของการไปทำ “พิธีแก้กรรมขจัดโรคร้าย” ด้วยวิธีการต่างๆ ตามความเชื่อ ซึ่งบ้างก็ถูก บ้างก็ผิดเพี้ยนไปโดยเฉพาะคนที่ขาดความรู้อาจถูกชักนำให้หลงผิดไปยังวิชาไสยศาสตร์ จนเป็นเหตุให้การรักษาที่ถูกต้องไม่มีความคืบหน้าจนผู้ป่วยอาจถึงกับเสียชีวิต

    ซึ่งแท้จริงแล้วได้มาครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวว่า โรคที่ไม่สามารถหาสาเหตุการเจ็บป่วย อันเกิดจากเวรกรรม จากดวงวิญญาณติดตามนี้ สามารถรักษาให้หายได้ ด้วยการใช้อำนาจของบุญกุศล มาอุทิศให้ดวงจิตวิญญาณที่ติดตามร่างกายของคนผู้นั้น เพราะเมื่อดวงวิญญาณเขาอนุโมทนารับในผลบุญที่เราอุทิศให้จนเพียงพอแล้ว เขาก็จะสามารถไปเกิดใหม่ได้ตามสมควรแก่ภพภูมิเมื่อนั้นความเจ็บป่วย ที่เป็นอยู่ก็ย่อมจะทุเลาลงและหายไปในที่สุด

    หากจะกล่าวโดยสรุปแล้ว โรคอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เราก็ต้องทำการรักษาให้ถูกต้องตรงกับโรคเสียก่อน เมื่อรู้สาเหตุและรักษาสาเหตุแห่งโรคที่เป็นจะหายหรือทุเลาได้รวดเร็ว ดังนั้นเมื่อเกิด โรคจะต้องมีสติปัญญาพิจารณาอย่างถ้วนถี่ หาสาเหตุของโรคให้เจอ และพยายามรักษาให้หาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาทางการแพทย์ ด้วยการให้ยา การผ่าตัด หรือทางธรรมะ ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาทางพุทธศาสนาด้วยการสร้างบุญบารมี การทำทาน รักษาศีล สวดมนต์ เจริญภาวนากรรมฐาน ซึ่งมีการพิสูจน์กันมาเป็นเวลานานแล้วว่ามีพลานุภาพในการบำบัดรักษาป้องกันโรคภัยได้จริง
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    Firefox จะหยุดซัพพอร์ต Windows XP/Vista ในเดือนกันยายน 2017
    -http://hitech.sanook.com/1415257/-

    -https://www.blognone.com/node/88610-
    สนับสนุนเนื้อหา

    Mozilla ประกาศแผนการของ Firefox บน Windows XP และ Windows Vista ว่าจะหยุดซัพพอร์ตระบบปฏิบัติการเหล่านี้ในปี 2017 แล้ว

    ช่วงเดือนมีนาคม 2017 ผู้ใช้ Firefox บน XP/Vista จะถูกย้ายจากรุ่นปกติมาเป็นรุ่นสนับสนุนระยะยาว Extended Support Release (ESR) ที่ออกแบบมาสำหรับลูกค้าองค์กรเป็นหลัก (จะตรงกับ Firefox 52)
    จากนั้น Mozilla จะอัพเดตแพตช์ความปลอดภัยให้ถึงเดือนกันยายน 2017 แต่ไม่มีฟีเจอร์ใหม่แล้ว
    ช่วงกลางปี 2017 ทาง Mozilla จะประเมินตัวเลขผู้ใช้งาน Firefox บน XP/Vista เพื่อประกาศวันที่หยุดซัพพอร์ตที่ชัดเจนอีกครั้ง

    Mozilla แนะนำให้ผู้ใช้ XP/Vista อัพเกรดไปใช้ Windows รุ่นใหม่เพื่อความปลอดภัยที่ดีกว่า ก่อนหน้านี้เบราว์เซอร์ตัวอื่นๆ อย่าง Chrome ก็หยุดซัพพอร์ต XP/Vista มาก่อนแล้ว

    ขอขอบคุณ

    ข้อมูล : blognone , Mozilla
    -https://www.blognone.com/node/88610-
    -https://blog.mozilla.org/futurereleases/2016/12/23/firefox-support-for-xp-and-vista/-
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    25698.การสูญเสียพระป่ากัมมัฏฐานครั้งใหญ่ไปพร้อมกันทีเดียวถึง ๕ รูป
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=25698

    การสูญเสียพระคณาจารย์พระป่ากัมมัฏฐาน
    สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    ครั้งใหญ่ไปพร้อมกันทีเดียวถึง ๕ รูปด้วยกัน
    ด้วยเหตุเครื่องบินตกครั้งประวัติศาสตร์

    b47.gif b46.gif b47.gif
    พระคณาจารย์พระป่ากัมมัฏฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้รับอาราธนาจากทางสำนักพระราชวัง เพื่อไปในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในวโรกาสครบรอบ ๓๐ ปีวันบรมราชาภิเษกสมรส วันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๓ ทั้งหมดจำนวน ๕ รูปด้วยกัน คือ หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม, พระอาจารย์วัน อุตฺตโม (พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร), พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ, พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม พระคณาจารย์พระป่ากัมมัฏฐานทั้งหมดท่านจึงได้ไปรวมกันที่ จ.อุดรธานี เพื่อขึ้นเครื่องบินโดยสารแอฟโร ๔ ของบริษัทเดินอากาศไทย (ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้มารวมกิจการกับบริษัทการบินไทย) เที่ยวบิน TG 231 สายนครพนม-กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเครื่องบิน ๒ ใบพัด รุ่น HS-748 รหัส HS-THB บินออกจากท่าอากาศยานนครพนม จะไปลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพราะลูกศิษย์ลูกหาต้องการถวายความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทาง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๓

    ครั้นเมื่อเครื่องบินมาถึงท้องนาทุ่งรังสิต เขตหมู่ที่ ๔ ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เหลือระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตรเศษ เครื่องบินได้ตั้งลำและลดเพดานบินเพื่อเตรียมลงสู่สนาม แต่เนื่องจากเครื่องบินได้ประสบพายุหมุน ประกอบกับมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก มีลมกระโชกแรง เกินที่นักบินจะควบคุมเครื่องให้ลงจอดได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายจึงเสียการควบคุมตกลงมากระแทกกับพื้นดินบนท้องนาทุ่งรังสิต อุบัติเหตุเครื่องบินตกในคราครั้งนี้เป็นเหตุทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องบินจำนวน ๕๓ คน เสียชีวิตลงพร้อมกันทั้งสิ้น ๔๐ คน ในจำนวนนี้มีพระสงฆ์มรณภาพ ๗ รูป เป็นพระคณาจารย์ดังกล่าว ๕ รูป เมื่อเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ นาฬิกา

    paragraph___213.jpg
    พระอาจารย์วัน-พระอาจารย์จวน-พระอาจารย์สุพัฒน์

    paragraph_2_166.jpg

    paragraph_1_212.jpg
    ซากเครื่องบินที่ประสบอุบัติเหตุ


    สำหรับผู้โดยสารที่รอดชีวิตจำนวน ๑๓ คนนั้นเป็นผู้ที่นั่งทางส่วนหางหรือส่วนท้ายของเครื่องบิน เพราะส่วนหางหรือส่วนท้ายของเครื่องบินยังอยู่ในสภาพดี ในจำนวนนี้มี “นายสมพร กลิ่นพงษา” ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตำแหน่งในขณะนั้น ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ถือเอกสารราชการลับของประเทศ

    เมื่อพระคณาจารย์ทั้ง ๕ รูปได้ถึงแก่มรณภาพแล้ว มีการนำศพไปตกแต่งบาดแผลที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช แล้วนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพฯ โดยอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้ง ๗ วัน วันแรกพระราชทานหีบทองทึบ วันต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ รับสั่งให้เปลี่ยนใหม่เพราะทรงเห็นว่าไม่สวยงาม จึงได้เปลี่ยนเป็นหีบลายทอง

    หลังจาก ๗ วันแล้ว ในวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๒๓ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสน์ วาสโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงเป็นเจ้าภาพ และในวันที่ ๖ พฤษภาคม คณะรัฐบาลซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์ของพระคณาจารย์ที่มรณภาพดังกล่าวซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ นับว่าเป็นเกียรติประวัติแก่พระคณาจารย์ทั้ง ๕ รูปที่จากไปอย่างยิ่งยวด ยังความปลื้มปิติยินดีแก่ญาติพี่น้อง เพื่อนสหธรรมิก คณะศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือของพระคณาจารย์ทั้ง ๕ รูปอย่างหาที่สุดมิได้

    paragraph_198.jpg
    ศพพระคณาจารย์ที่ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ

    paragraph__373.jpg
    สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธฯ
    ทรงเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ

    __455.jpg
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
    เสด็จร่วมบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ

    ___206.jpg
    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ
    เสด็จร่วมบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ

    paragraph_113.jpg
    รถพยาบาลหลายคันจากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เชิญศพพระคณาจารย์ต่างๆ
    เดินทางจากวัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน ไปถึงวัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี
    บรรดาพระภิกษุ สามเณร และประชาชนไปคอยเคารพศพอยู่อย่างคับคั่ง


    เมื่อครบกำหนดการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายที่วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เขตบางเขนแล้ว ก็ได้อัญเชิญศพพระคณาจารย์ทั้ง ๕ รูปกลับไปสู่ยังวัดเดิมของแต่ละท่าน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หัวหน้าแผนกพระราชพิธีเป็นผู้ดูแลโดยตลอด สำหรับรถยนต์ที่เชิญศพพระคณาจารย์ต่างๆ คุณหมอปัญญา ส่งสัมพันธ์ แห่งโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เป็นผู้จัดหา และได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลต่างๆ เป็นอย่างดียิ่ง

    วันพุธที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๒๓ เวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา รถเชิญศพได้เคลื่อนออกจากวัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เขตบางเขน โดยมีรถตำรวจทางหลวงนำ ถัดมาเป็นรถหลวง รถพระอาจารย์สมชาย ฐิติวิริโย และรถเชิญศพพระคณาจารย์ทั้ง ๕ รูป ตามลำดับ เมื่อเวลาประมาณ ๐๗.๐๐ นาฬิกาเศษ ขบวนเชิญศพได้มาถึง จ.นครราชสีมา มีคณะพระภิกษุสามเณรโดยการนำของพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระชินวงศาจารย์ และพระครูคุณสารสัมบัน (หลวงพ่อสมาน ชิตมาโร) แห่งวัดป่าศรัทธารวม พร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา ได้นำข้าวห่อมาต้อนรับคณะเชิญศพและมาเคารพศพกันเป็นจำนวนมาก

    paragraph___143.jpg
    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)
    สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    _124_696.jpg
    พระอาจารย์สมชาย ฐิติวิริโย

    paragraph__872.jpg
    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่
    พระชินวงศาจารย์ ได้นำคณะพระภิกษุสามเณร-อุบาสกอุบาสิกา
    มาเคารพศพพระคณาจารย์ ๕ รูปที่ถึงแก่มรณภาพลงพร้อมกัน
    เมื่อครั้งขบวนรถคณะเชิญศพได้เดินทางมาถึงยังจังหวัดนครราชสีมา


    หลังจากพระฉันอาหารและเจ้าหน้าที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ขบวนเชิญศพได้ออกเดินทางต่อไปถึงวัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อเวลา ๑๒.๓๐ นาฬิกา ทางวัดโพธิสมภรณ์และชาวอุดรธานีได้จัดต้อนรับเป็นอย่างดี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีได้นำประชาชนหลายจังหวัดมารอเคารพศพ ซึ่งแล้วเสร็จเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ นาฬิกาเศษ รถเชิญศพจึงได้แยกย้ายกันไปยังวัดต่างๆ อันเป็นวัดเดิมของแต่ละพระคณาจารย์ ดังนี้

    ๑. หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่
    วัดสิริสาลวัน บ้านโนนทัน ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

    ๒. พระอาจารย์วัน อุตฺตโม (พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร) ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่
    วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (วัดถ้ำพวง) ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร

    ๓. พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) ต.นาสะแบง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ

    ๔. พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่
    วัดป่าแก้วชุมพล บ้านชุมพล ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

    ๕. พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่
    วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี บ้านต้าย ต.บ้านต้าย อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

    นับว่าการเชิญศพถึงวัดได้รับความสะดวกสบายปลอดภัยทุกประการ

    ท่ามกลางความเศร้าสลดอาลัยของคณะสงฆ์ เพื่อนสหธรรมิก คณะศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทั่วไปเป็นยิ่งนัก ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียของวงการสงฆ์ครั้งใหญ่มากอีกครั้งหนึ่งของเมืองไทย

    __236_193.jpg
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
    พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
    และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
    ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่พระคณาจารย์ที่มรณภาพด้วยเหตุเครื่องบินตก
    ณ ตึกติสสมหาเถร วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๓


    b8.gif เรียบเรียงเนื้อหาบางตอนมาจาก...
    หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
    พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม)
    เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๔
    .....................................................
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว

    แก้ไขล่าสุดโดย สาวิกาน้อย เมื่อ 11 ม.ค. 2010, 14:23, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a01.png
      a01.png
      ขนาดไฟล์:
      885.9 KB
      เปิดดู:
      87
    • a02.png
      a02.png
      ขนาดไฟล์:
      154.3 KB
      เปิดดู:
      94
    • a03.png
      a03.png
      ขนาดไฟล์:
      173.7 KB
      เปิดดู:
      110
    • a04.png
      a04.png
      ขนาดไฟล์:
      360.3 KB
      เปิดดู:
      104
    • a05.png
      a05.png
      ขนาดไฟล์:
      612.5 KB
      เปิดดู:
      104
    • a06.png
      a06.png
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      97
    • a07.png
      a07.png
      ขนาดไฟล์:
      67.8 KB
      เปิดดู:
      115
    • a08.png
      a08.png
      ขนาดไฟล์:
      946 KB
      เปิดดู:
      104
    • a09.png
      a09.png
      ขนาดไฟล์:
      581.1 KB
      เปิดดู:
      93
    • a10.png
      a10.png
      ขนาดไฟล์:
      73.9 KB
      เปิดดู:
      97
    • a11.png
      a11.png
      ขนาดไฟล์:
      488.8 KB
      เปิดดู:
      106
    • a12.png
      a12.png
      ขนาดไฟล์:
      910.1 KB
      เปิดดู:
      127
    • a13.png
      a13.png
      ขนาดไฟล์:
      814 KB
      เปิดดู:
      116
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฉันนะ หายไปไหนในพุทธประวัตฺิ
    -https://www.pageqq.com/en/content/view/page/cntth1/0-1349280.html-

    พระฉันนะ ประวัติพระภิกษุผู้ว่ายากสอนยาก ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า ผู้ดื้อดึง ถือทิฐิยกตนข่มผู้อื่น แต่สุดท้ายกลับใจจนเป็นพระอรหันต์ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย

    ประวัติพระฉันนะ หรือนายฉันนะ

    พระฉันนะ ก่อนบวชมีชื่อว่า นายฉันนะ ในอดีตชาติเคยสร้างบุญบารมีร่วมกับพระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระโพธิสัตว์มาหลายชาติ ทำให้ผลบุญที่สะสมมา ส่งผลให้นายฉันนะได้เกิดเป็น 1 ใน 7 สหชาติ หรือผู้ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า โดยสหชาติทั้ง 7 ประกอบด้วย 1. พระนางพิมพา 2. พระอานนท์ 3. นายฉันนะ 4. กาฬุทายี 5. ม้ากัณฐกะ 6. ต้นศรีมหาโพธิ์ และ 7. ขุมทรัพย์ทั้งสี่
    โดยประวัติของพระฉันนะจะแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้

    1. นายฉันนะ คนสนิทของพระพุทธเจ้า (ก่อนออกบวช)

    นายฉันนะ ถือเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญและใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าสมัยที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอย่างมาก เพราะนอกจากนายฉันนะจะเป็นสหชาติแล้ว นายฉันนะยังเติบโตมาพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะ รวมทั้งเป็นอำมาตย์และเป็นสารถี มีหน้าที่ขับรถม้าทรงของเจ้าชายสิทธัตถะ และสิ่งที่ทำให้นายฉันนะยึดตนเหนือกว่าผู้อื่นนั่นก็คือ เรื่องราวตอนที่นายฉันนะขับรถม้าพาเจ้าชายสิทธัตถะไปนอกพระราชวัง ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบกับเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่, คนเจ็บ, คนตาย และสมณะ ที่เทวดานิรมิตขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงเห็นแต่ความสุขเกิดความเบื่อหน่ายและต้องการหาทางพ้นทุกข์

    อีกบทบาทสำคัญของนายฉันนะ นั่นก็คือ เรื่องราวในคืนวันประสูติของพระราหุล ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าชายสิทธัตถะ ถือกำเนิดขึ้น ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ รู้สึกเหมือนมีบ่วงพันธนาการและต้องการหลดพ้นจากวัฏฏะสงสาร จึงปลุกนายฉันนะให้เตรียมม้ากัณฐกะออกไปจากวังจนถึงแม่น้ำอโนมา ทรงปลงพระโมลี ปลงผม แล้วสั่งให้นายฉันนะนำเสื้อผ้าและม้ากัณฐกะกลับวังพร้อมแจ้งข่าวต่อพระเจ้าสุทโธทนะว่า พระองค์ออกผนวชแล้ว

    2. นายฉันนะบวช เป็นพระภิกษุที่ขึ้นชื่อเรื่องความดื้อดึง

    หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้บำเพ็ญพระบารมีได้ระยะหนึ่ง ก็ได้กลับมาอบรมสั่งสอนพระประยูรญาติที่พระราชวัง ซึ่งทำให้พระประยูรญาติหลายพระองค์เกิดความเลื่อมใสขอบวชตาม ซึ่งนายฉันนะก็ขอบวชด้วยเป็นพระฉันนะ แต่ด้วยความที่พระฉันนะถือตนเองว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทกับพระพุทธเจ้า จึงเกิดความลำพอง เย่อหยิ่ง มีทิฏฐิมานะ ทำให้พระฉันนะไม่บำเพ็ญธรรม วัน ๆ ก็ทำตัวเตร็ดเตร่เดินเข้าไปใกล้ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและทำตัวกร่างกับพระภิกษุรูปอื่น ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งพระอัครสาวกทั้ง 2 คือพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร

    พระสารีบุตรเมื่อเห็นพฤติกรรมของพระฉันนะ ก็ได้กล่าวตักเตือน แต่พระฉันนะไม่ฟังและได้โต้เถียงกลับอย่างไม่ยำเกรงพร้อมยกตนเองว่าเป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธเจ้าออกผนวช ทำให้พระสารีบุตรเงียบ แต่ที่เงียบไม่ใช่เพราะกลัวพระฉันนะ แต่เป็นเพราะเห็นว่าพระฉันนะเป็นผู้ที่เตือนยาก

    หลังจากนั้นพระฉันนะก็ยังทำพฤติกรรมเช่นเดิมจนทำให้พระโมคคัลลานะตักเตือน แต่พระฉันนะก็ไม่ฟังและโต้เถียงอีกตามเคย จนกระทั่งพระโมคคัลลานะเอ่ยปากตักเตือนเป็นครั้งที่ 2 อย่างกัลยาณมิตรที่มีความหวังดีว่า ไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาท แต่พระฉันนะสวนกลับ ว่า ท่านเป็นใครถึงได้มาเตือนข้าพเจ้า และบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พาพระพุทธองค์ออกผนวชนะ ไม่ใช่ท่าน เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องมาเตือนข้าพเจ้า ซึ่งนั่นทำให้พระอานนท์ได้ฟังคำที่พระฉันนะโต้ปากกับพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรทั้งหมดไม่อาจนิ่งเฉยได้ จึงไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า เรื่องที่พระฉันนะเป็นพระที่ดื้อดึงสอนยาก พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเตือนด้วยความหวังดีก็ไม่ฟัง

    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ฟังเรื่องราวจากพระอานนท์ก็ได้เรียกพระฉันนะมาตักเตือนอบรมว่า การคบกัลยาณมิตรที่ดีเป็นบุญสูง เมื่อกัลยาณมิตรเป็นมิตรที่คอยตักเตือนก็เป็นเรื่องที่ดี ควรคบหาด้วย ส่วนมิตรที่ไม่ดีก็ควรถอยห่าง ซึ่งพระฉันนะก็ก้มหน้ารับฟัง แต่พอลับหลังพระพุทธเจ้าก็ทำตัวกร่างและไม่สนใจคำตักเตือนของภิกษุรูปอื่นเช่นเดิม เพราะพระฉันนะเชื่อฟังพระพุทธเจ้าแค่องค์เดียว ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เรียกพระฉันนะมาตักเตือนถึง 3 ครั้ง ก็เลิกเตือนเพราะอาจารย์ที่นี่จะเตือนลูกศิษย์ไม่เกิน 3 ครั้ง หากเกิน 3 ครั้งถือว่าเลิกเตือน เพราะนั่นหมายความว่าเป็นผู้ที่หนาแน่นอยู่ด้วยกิเลส

    3. พระฉันนะถูกลงโทษด้วยการพรหมทัณฑ์ หลังพระพุทธเจ้าดับขันธ์ กระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

    พระฉันนะยังคงทำพฤติกรรมแบบเดิม ๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ก่อนปรินิพพานว่า ขณะที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ พระฉันนะจะไม่เชื่อฟัง แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ให้พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทำพรหมทัณฑ์พระฉันนะ นั่นก็คือการที่พระภิกษุไม่ต้องเสวนา ไม่ต้องพูดคุย ไม่ต้องสั่งสอนพระฉันนะ หากพระฉันนะอยากทำอะไรก็ให้ทำไป ซึ่งเวลานั้นพระฉันนะ อยู่ที่วัดโฆสิตาราม นครโกสัมพี

    หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ก็ประชุมกัน โดยมีพระอานนท์เป็นประธานในการประชุม และได้ถ่ายทอดคำสั่งของพระพุทธเจ้าที่มีต่อพระฉันนะให้ทุกคนได้รับรู้ และให้พระทั้งหมดจำนวน 500 รูป เดินทางไปที่วัดโฆสิตาราม นครโกสัมพี และเริ่มการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ โดยการไม่สุงสิง ไม่ใส่ใจ ไม่ทำสังฆกรรมด้วย ไม่พูดคุยด้วย ถ้าไม่จำเป็น ไม่คบค้าสมาคม จนกว่าพระฉันนะจะเปลี่ยนพฤติกรรม

    จากนั้นเมื่อพระภิกษุทั้งหมดเดินทางไปถึง ได้เรียกพระฉันนะมานั่งท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งเมื่อพระฉันนะอยู่ต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์มาก ๆ ก็ไม่กล้าอวดดี ซึ่งเมื่อพระอานนท์กล่าวว่า จะทำการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ พร้อมอธิบายความหมายให้พระฉันนะได้ฟัง ก็ทำให้พระฉันนะสลบหมดสติสลับกับฟื้นถึง 3 ครั้ง

    จากการที่พระฉันนะถูกลงพรหมทัณฑ์ ทำให้พระฉันนะแยกตัวออกจากหมู่สงฆ์และเข้าป่าไปทำสมาธิค้นหาตัวเอง ซึ่งระหว่างนั้นทำให้พระฉันนะเกิดนิมิตเห็นภาพตนเองขณะที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนมชีพอยู่ แต่ตนเองก็ไม่ฟังคำตักเตือน

    ซึ่งตอนนี้ตนเองก็อายุ 80 ปีแล้ว ที่ผ่านมามัวแต่ทำอะไรอยู่ พระฉันนะได้เฝ้าถามตัวเองไปมาจนสามารถคิดได้และสามารถบรรลุหลักธรรมถึงขั้นอรหันต์ได้ จากนั้นพระฉันนะจึงกลับไปพบพระอานนท์และขอให้พระอานนท์เลิกลงพรหมทัณฑ์ ซึ่งพระอานนท์ได้ตอบกลับว่า เมื่อพระฉันนะบรรลุถึงอรหันต์แล้วการลงพรหมทัณฑ์ก็จะยกเลิกไปเอง

    หลังจากได้ทราบประวัติของพระฉันนะ ซึ่งตอนแรกแม้จะปฏิบัติตนดื้อดึง ไม่ฟังคำตักเตือนแต่สุดท้ายก็สามารถลดทิฐิในใจลงได้ไปแล้วนั้น ทำให้รู้ว่าการทำตนเป็นคนว่ายาก สอนยากจะเป็นคนที่อยู่ลำบาก ดังนั้นจึงควรประพฤติตนให้ว่าง่าย สอนง่าย เปิดใจรับคำสอนและคำตักเตือนดี ๆ ก็จะเป็นที่รักคนผู้อื่นได้ไม่ยาก


    ภาพจาก -DrSomchaiV-, -atom.rmutphysics.com-
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากgotoknow.org, เฟซบุ๊ก ธรรมะจากเพื่อนร่วมบุญ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เต๋าแห่งอาลีบาบา เมื่อแจ็ค หม่า พูด ทุกคนฟัง
    -http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9600000009381-

    โดย MGR Online blank.gif 28 มกราคม 2560 09:55 น. (แก้ไขล่าสุด 28 มกราคม 2560 13:53 น.)

    แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา ในโอกาสเข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจโลก 2017 เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2017 ที่ผ่านมา (ภาพรอยเตอร์ส)

    blank.gif
    MGR Online / เอเจนซี - ทศวรรษนี้ คงไม่มีนักธุรกิจคนไหนเดินทางจับมือผู้นำประเทศทั่วโลกเท่าแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กิจการเว็บไซต์ขายส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีศักยภาพที่ทวีคูณอีกมากในเศรษฐกิจใหม่ยุค 4.0 ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา แจ็ค หม่า ได้เข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจโลก ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และแสดงความเห็นของธุรกิจยุคใหม่ไว้ อาทิ โลกาภิวัตน์ ความแตกต่างของผู้ประกอบการอย่าง "อเมซอน" ร้านค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา กับ "อาลีบาบา" รวมถึง การใช้งบประมาณในสงครามของสหรัฐฯ จนเสียโอกาสของประชาชนในประเทศตนเองตลอดเวลาที่ผ่านมา

    ในการประชุมเศรษฐกิจโลกประจำปี 2017 World Economic Forum (WEF) เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ระหว่าง 17-20 มกราคมที่ผ่านมานี้ แจ็ค หม่าได้กล่าวถึงความแตกต่างในเชิงปรัชญาธุรกิจระหว่างอเมซอน กับอาลีบาบา ไว้ว่า "ความที่เป็นกิจการในอุตสาหกรรมเดียวกัน คนมักเปรียบเทียบ อาลีบาบา ว่าเป็นดัง "อเมซอนของจีนแผ่นดินใหญ่" ซึ่งนั่นไม่ใช่ เพราะรูปแบบธุรกิจอเมซอนแตกต่างจากอาลีบาบา กิจการอเมซอนดำเนินการแบบจักรวรรดิ มีเจ้าใหญ่ เจ้าบ้าน เจ้าเดียวที่ควบคุมทุกอย่างด้วยตนเอง ทั้งการซื้อ การขาย"

    "ปรัชญาธุรกิจของอาลีบาบา ชัดเจนคือเราต้องการเป็นระบบนิเวศน์ธรรมชาติ ไม่ต้องการควบคุมผู้ใด แต่เราต้องการเสริมส่ง สนับสนุนผู้ค้ารายย่อยๆ ให้ทำกิจกรรมซื้อ-ขาย-บริการกันและกันเอง เรามีนวัตกรรม เรามีหุ้นส่วน และผู้ค้าปลีกรายย่อยกว่า 10 ล้านราย พวกเขามีศักยภาพที่จะแข่งขันกับกิจการใหญ่ๆ อย่างไมโครซอฟต์ และไอบีเอ็ม ปรัชญาของอาลีบาบา คือมุ่งใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ทุกคนเป็นรายใหญ่อย่างอเมซอน"

    แจ็ค หม่า กล่าวกับ ซีเอ็นบีซี และแอนดรูว์ รอสส คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทม์ส ที่เวทีประชุมเศรษฐกิจโลก เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ว่า การจะจ้างคนงานเพื่อส่งสินค้าทั้งหมดในอาลีบาบา เราต้องใช้คนงาน 5 ล้านคน แล้วอาลีบาบาจะบริหารจ้างคนมหาศาลขนาดนั้นได้อย่างไร ทางเดียวที่เราทำได้คือการส่งเสริมกิจการบริการส่งสินค้าทั้งหลาย สร้างปัจจัยต่างๆ ให้พวกเขามีประสิทธิภาพ มั่นใจว่าพวกเขาต้องรุ่งเรือง แต่ละรายเติบโตด้วยตนเอง สามารถจ้างคนและสร้างกำลังธุรกิจได้ด้วยตนเอง

    รายงานข่าวกล่าวว่า ก่อนหน้าการประชุมฯ นี้ แจ็ค หม่า ได้เดินทางพบปะกับประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีการหารือกันเรื่องขยายงานให้กับคนอเมริกันจำนวน 1 ล้านราย โดยรายละเอียดนั้นยังไม่มีการเปิดเผย เพียงแต่รูปแบบนั้นคือการสร้างโอกาสให้ธุรกิจรายย่อยชาวอเมริกันทางตอนกลางของภาคตะวันตก ทำการค้าบนเว็บไซต์อาลีบาบา

    ข้อมูลของ เอสอีซี ระบุว่า อาลีบาบาเป็นบริษัทที่ใหญ่ระดับโลก มีพนักงานประจำเต็มเวลาเพียง 36,446 คน และเกือบทั้งหมดอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่

    "ผมจินตนาการไม่ออก ในการหางานโดยตรงให้คน 1 ล้านคนทำ "แจ็ค หม่ากล่าว และว่า "ปัจจุบัน อาลีบาบามีพนักงานราว 45,000 คน แต่เราสามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงผู้ค้าปลีกรายย่อยหลายล้านรายได้"

    เมื่อเปรียบเทียบกับ อเมซอน ซึ่งมีพนักงาน 230,800 คน (ข้อมูลปี 2015) สร้างงานอื่นๆ จากผู้ค้า คู่สัญญาและบริการสนับสนุนต่างๆ เมื่อถามว่า ระบบธุรกิจจักรวรรดิ์ของอเมซอน กับแบบนิเวศน์ของอาลีบาบา อย่างไหนเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง แจ็ค หม่าตอบว่า ก็คงถูกทุกข้อ

    "ก่อนนี้ ผู้คนเรียกผมว่า ทั้งโง่ และบ้า ในการจะใช้วิธีที่เพี้ยนไปจากแบบอย่างของอเมซอน และ อีเบย์ แต่โลกไม่เคยมีโมเดลเดียว เพราะถ้ามีเพียงวิธีเดียว โลกคงน่าเบื่อเกินไป คนที่ยึดแบบไหน ก็มีความเชื่อในแบบนั้น ซึ่งผมก็เชื่อในแบบของผม" แจ็ค หม่า กล่าว

    ทั้งนี้ ฐานอีคอมเมิร์ซจีน จะเริ่มขยายเข้าสู่สหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในยุคของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งก็เคยให้คำมั่นว่าจะตั้งกำแพงกำหนดอัตราภาษีให้หนักในการค้ากับจีน อีกทั้งตั้งแง่ฯ ว่าโลกาภิวัตน์เป็นภัยกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ แตกต่างกับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ผู้ประกาศจะเป็นผู้นำและปกป้องโลกาภิวัตน์ ที่ดาวอสนี้

    แจ็ค หม่า แสดงความเห็นว่า หากจะโทษจีนในเรื่องมาแย่งงานคนอเมริกันและทำให้เศรษฐกิจตกต่ำนี้ หรือกลัวโลกาภิวัตน์ ก็เป็นความเข้าใจตนเองที่คลาดเคลื่อนของสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ ควรโทษตัวเองมากกว่า

    "ไม่ใช่ประเทศอื่นๆ มาขโมยงานของคนอเมริกัน แต่เป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ต่างหาก ย้อนมองตลอด 30 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ใช้งบประมาณมากกว่า 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการก่อสงครามนอกประเทศ มากยิ่งกว่าการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคในประเทศตนเอง"

    แจ็ค หม่า ไม่เพียงกล่าวถึงการใช้งบประมาณจากนโยบายสงครามนอกประเทศของสหรัฐฯ หม่ายังย้ำว่านี่คือเหตุผลที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่งอกงาม

    หม่า กล่าวว่า ความเป็นจริงแล้ว โลกาภิวัตน์ ทางการจ้างแรงงานนอกประเทศ กลับเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีด้วยซ้ำ กิจการข้ามชาติของสหรัฐฯ ต่างได้กำไรจากส่วนต่างต้นทุนโลกาภิวัตน์ ตลอด 30 ปี ที่ผ่านมา ไอบีเอ็ม ซิสโก้ ไมโครซอฟต์ ล้วนสร้างรายได้มหาศาล มากกว่าผลประกอบการของธนาคารใหญ่จีนทั้ง 4 แห่งรวมกันด้วย ... ว่าแต่ เงินมหาศาลของกิจการเหล่านั้นหมุนหายไปไหนหมด?

    "สหรัฐฯ ไม่กระจายเงินเหล่านั้น ไม่ลงทุนเงินของตนอย่างถูกต้อง และนี่คือความวิตกของประชาชน เงินจำนวนมหาศาลไหลเข้าไปในวอลล์สตรีท และซิลิคอนแวลลีย์ แทนที่จะกระจายไปยังประชาชนที่เศรษฐกิจไม่ดีทางตอนกลางของภาคตะวันตก และระบบการศึกษาอื่นๆ ที่ผ่านมา"

    "สหรัฐฯ ควรจะกระจายโอกาสไปยังประชาชนของตน เพราะไม่ทุกคนหรอกที่จะมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผมเองก็ไม่มีโอกาส หนำซ้ำยังถูกปฎิเสธจากสถาบันนี้มาเป็นสิบครั้ง" แจ็ค หม่ากล่าวย้ำอีกว่า โลกาภิวัตน์ คือสิ่งที่ดี แต่โลกาภิวัตน์ควรจะกระจายให้กับส่วนรวม ไม่ควรจำกัดอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มเดียว

    แจ็ค หม่า กล่าวด้วยความเชื่อว่า ในยุคนี้จีนกับสหรัฐฯ อย่างไรเสียก็คงไม่ทำสงครามการค้ากัน ถึงแม้โลกาภิวัตน์อาจจะมีผลข้างเคียงส่งผลต่อรูปแบบธุรกิจของอาลีบาบาก็ตาม และการพบปะกับผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ก็มีบรรยากาศดีเกินกว่าตนคาดไว้ จากที่เคยได้ยินได้ฟังคำร่ำลือต่างๆ เกี่ยวกับทัศนคติของโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีต่อจีน

    แจ็ค หม่า ตอบคำถามนักข่าวฯ ซีเอ็นบีซี เกี่ยวกับเรื่องการเผชิญแรงต้านการค้านำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจให้คนอเมริกันที่อาจจะเกิดขึ้นในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า "อเมริกามีเสรีภาพในการพูด ใครจะพูดอะไรก็ได้ ซึ่งเราไม่อภิปรายว่าการค้า การจัดการใครดีกว่ากัน ที่เราพูดคุยกัน คือเรื่องที่เราเห็นด้วย ได้แก่การสร้างพลังเศรษฐกิจให้ธุรกิจรายย่อย"

    "โลกต้องการผู้นำใหม่ แต่ต้องเป็นผู้นำใหม่ที่ทำงานร่วมกับทุกคน ผมเป็นผู้ประกอบการ ผมต้องการให้โลกแบ่งปันความรุ่งเรืองมั่งคั่งนี้ด้วยกัน" แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กล่าวในโอกาสเข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจโลก 2017 เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2017 ที่ผ่านมา
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นรกภูมิ
    -http://thammadeedee.blogspot.com/2011/01/blog-post_928.html-

    หลวงปู่ท่องนรก
    หลวงปู่คำคนิง จุลมณี
    L.Khamkaning.jpg

    จากประวัติ “หลวงปู่คำคนิง จุลมณี” วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยว่า มีคราวหนึ่ง หลวงปู่คำคนิงกล่าวว่า ท่านประมาทไปไม่สนใจร่างกายของตนที่เจ็บออดๆแอดๆ มาตลอดพรรษา เมื่อท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงไปได้สิบกว่าวันแล้ว ไม่ฉันอาหารอะไรเลย ปรากฏว่าสังขารนั้นทนรับไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นไปเฉยๆ มีความรู้สึกด้วยสติปัญญาว่า สังขารของเราถึงกาลแตกดับเสียแล้ว แต่ท่านสติยังดี ไม่ตกใจหวั่นกลัวความตายแม้แต่น้อย
    จิตวิญญาณของท่าน ! พอวูบวาบออกจากร่างก็ไปรวดเร็วมาก ไม่สนใจไยดีร่างกายเดิมที่หมอบฟุบอยู่บนอาสนะเลย เหมือนคนเราถอดเสื้อผ้าตัวเก่าทิ้งไว้แล้วไปใส่ชุดใหม่ไปเที่ยวนั่นแหละ ! สติของท่านตามจิตวิญญาณไป สตินี้เป็นตัวปัญญาเบื้องสูง เป็นตัวบังคับบัญชาจิต สติของอาตมาตามจิตไป จิตวิญญาณของท่านเดินไปอย่างรวดเร็วมาก ทางที่ไปนั้นเป็นทางสายใหญ่กว้างขวางมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึง ๘,๐๐๐ วา เป็นทางไปสู่ “ศาลาพันห้อง”
    ศาลาพันห้อง เป็นศาลาใหญ่โตมโหฬาร เป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้างถึง ๘,๐๐๐ วา จำนวน ๘ สาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้
    ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิงลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาว และเฒ่าแก่เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนน มองสุดลูกหูลูกตา มองเห็นแต่หัวดำบ้าง หัวหงอกบ้าง ทองบ้าง นับไม่ถ้วน คล้ายตัวไหมนับล้านๆตัว ในกระด้งใหญ่ที่เขาเลี้ยงตัวไหมตามหมู่บ้านในชนบท ดูไปอีกทีคล้ายฝูงมดปลวก ผู้คนมากมายเหลือคณานับ มีทั้งแขกจีนไทยฝรั่ง ทุกเชื้อชาติศาสนา
    people.bmp.jpg

    ทุกคนเดินไปเงียบกริบ ไม่มีใครพูดจากัน ท่านได้พบพ่อแม่ที่ตายไปนานแล้วเดินรวมอยู่ในหมู่วิญญาณ ได้แต่มองดูกัน ไม่อาจพูดทักทายกัน คล้ายต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนใบ้ เมื่อถึงประตูทางเข้าศาลาพันห้องที่รวมคนบาปและคนบุญ มีทหารยามตัวสูงใหญ่ผิวดำถือหอกสามง่ามเป็นประกายแปลบปลาบ ! คล้ายเปลวไฟลุกไหม้ ทหารยามพูดกับหลวงพ่อคำคนิงว่า “สร้างเวรสร้างกรรมพอแล้วหนอ หลวงพ่อถึงได้มาทางนี้”
    ว่าแล้ว ! ก็เอาหอกสามง่ามจี้หน้าอกหลวงพ่อไว้เกิดควันฉุยไหม้เสื้อผ้าแต่ไม่รู้สึกเจ็บ ทหารยามหลายคนในที่นั้น ต่างก็ใช้หอกสามง่ามจี้หน้าอกร่างวิญญาณทุกร่าง เข้าใจว่าคงเป็นการประทับตราที่หน้าอก ก่อนให้ผ่านเข้าไปในศาลาพันห้อง ตรงประตูทางเข้าชั้นใน หลวงพ่อได้พบครูบาอาจารย์เก่าๆ หลายท่านที่มรณภาพไปนานแล้วถูกควบคุมตัวเพื่อมาชำระโทษ ได้แต่มองหน้ากัน ทักทายกันไม่ได้ เพราะพูดไม่ออก ปากเป็นใบ้ จ่ายมบาลนำตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ศาลาพันห้อง ร่างวิญญาณเข้าไปแออัดยัดเยียดมองสุดลูกหูลูกตา พญายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นประธาน เอื้อมมือไปแตะที่กองสมุดบัญชีเล่มใหญ่เท่านั้น สมุดก็เปิดปั๊ปๆ ขึ้นเองอย่างรวดเร็วพอถึงรายชื่อของใคร? สมุดก็หยุดให้พญายมบาลอ่าน พญายมบาลบอกว่า “มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์ คำพูดทุกคำของมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติ ถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทรทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ตัวหนังสือจะมาปรากฏเด่นชัดเป็นพิเศษในสมุดของยมโลก”
    สระขุมนรก

    เมื่อยมบาลเปิดบัญชีดูแล้ว ก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายว่า “เฮ้ย ! พวกเจ้า ทำไมเนื้อตัวสกปรกแท้เว้ย ! โน่น สระน้ำอยู่โน่น ! พวกเจ้ารีบพากันออกไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาพบข้า รีบออกไปเร็วๆ ข้าเหม็นทนไม่ไหวอยู่แล้ว !”
    ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็สำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า “ร่างวิญญาณของแต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะเต็มไปด้วยอุจจาระ ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว ไม่รู้ว่าอุจจาระนี้เปรอะเปื้อนได้อย่างไร?” สระน้ำนั้นกว้างใหญ่ น้ำใสกระจ่างเหมือนกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ทุกคนต่างพากันกระโดดลงในสระน้ำ หลวงปู่คำคนิงกระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำในสระนั้นร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันที !
    หลวงปู่คำคะนิงตกใจ ! บังเกิดความปวดร้อนอย่างแสนสาหัส ต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไป ความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ร่างวิญญาณคนอื่นๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำ แล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้พรึ่บขึ้น แดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ คล้ายกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่ได้ตายไปทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสน ส่งเสียงโอดโอยโหยหวนสยดสยองอยู่ในสระน้ำ เป็นภาพที่สยดสยองเหลือที่จะกล่าว หลวงปู่คำคนิง รู้ได้ในบัดดลว่าที่แท้สระน้ำนี้เป็น “ขุมนรก !” ขุมแรก สำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ซึ่งได้เคยสั่งสมบุญไว้ไม่น้อย ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม

    เศษกรรม
    หลวงปู่คำคนิงกลับเข้าไปในศาลาพันห้อง ใจคอไม่ดี รู้แน่แก่ใจแล้วว่าที่นี่เป็นด่านเมืองนรก ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อตะกี้นี้ ทั้งนี้เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้สรรพสัตว์ใดต้องลำบากเลย
    แม้แต่มดตัวแดงแมลงตัวน้อย ก็ไม่เคยทำให้มันตาย เพราะทราบว่าทุกสรรพสัตว์ล้วนมีชีวิตจิตใจ แต่อาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนาเพราะไม่เห็น เมื่อไม่มีเจตนาแล้ว ย่อมไม่ถือว่าเป็นบาป
    เมื่อไปยืนอยู่หน้ายมบาลแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมว่า “ตบะธรรมของหลวงพ่อแก่กล้าที่มาเมืองนรกนี้ เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูบัญชีแล้วบารมีของหลวงพ่อนั้นยังมากอยู่ ยังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ในขณะนี้ สมควรที่หลวงพ่อจะกลับคืนสู่ร่างเดิมในโลกมนุษย์ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับพระคุณเจ้า !”


    ชมนรกก่อนกลับ
    เมื่อออกมาจากศาลาพันห้องแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่าจะกลับถ้ำคูหาสวรรค์บนโลกมนุษย์เลย ก็เป็นการกลับมือเปล่า ! ควรเที่ยวดูชมเมืองนรกให้เป็นกำไรหูตาประดับสติปัญญาเสียหน่อยก็ดี คิดแล้วก็เดินไป พวกจ่ายมบาลทั้งหลายก็เปิดทาง อำนวยความสะดวกให้นิมนต์เลย พระคุณเจ้าอยากชมดูอะไร ? นิมนต์ตามสบาย หลวงปู่เล่าว่า “พวกจ่ายมบาลนี้ก็เหมือนเสมียนทำงานที่ว่าการอำเภอ หรือ ศาลากลางจังหวัด รวมทั้งเป็นผู้คุมนักโทษในเรือนจำด้วย ทำนองนั้นแหละ ! พวกเขามีจำนวนมากทำงานกันว้าวุ่นไม่ได้หยุดหย่อน เดินไปก็เห็นที่คุมขังชั่วคราวเรียงรายสุดสายตา ห้องคุมขังเป็นเหล็กก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่คุมขังชั่วคราวรอการตัดสิน ยังไม่ใช่นรกขุมสำคัญๆ”

    กรรมกาเม
    เดินไปเห็นห้องๆหนึ่งมีนักโทษชายหญิงสองคนชายหนุ่มและหญิงสาวคู้นี้แก้ผ้าเปลือยกายโดยตลอด ยืนเหยียบอยู่บนเหล็กแหลมแดงๆ เผาไฟ เสียบทะลุฝ่าเท้าปากอ้ากว้าง มีเหล็กแดงเผาไฟแดงเสียบตรึงไว้ในลักษณะคล้ายอ้าปากคาบไว้ เบื้องบนศีรษะมีเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ เสียบตรึงกลางกระหม่อมไว้ รอบๆ ข้างมีเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ ทิ่มแทงร่างกาย ใบหน้าหนุ่มสาวทั้งสองบิดเบี้ยว นัยต์ตาเหลือกถลน ส่งเสียงร้องครวญครางอ้อแอ้ บอกถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสสกรรจ์สุดประมาณ กระดิกตัวก็ไม่ได้เพราะเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ ตรึงร่างกายไว้ทุกด้าน เพราะการลงโทษในเมืองนรกไม่มีตาย มีแค่วิสัญญีภาพชั่ววูบเดียว ! แล้วก็ฟื้นขึ้นมารับการทรมานต่อ หรือร่างกายแหลกสลายด้วยอานุภาพไฟนรก แต่ชั่วพริบตาก็เกิดร่างใหม่ขึ้นทดแทนเพื่อจะได้รับการทรมานต่อซ้ำๆ ซากๆ นับพันนับหมื่นปี
    หลวงปู่ได้ถามจ่ายมบาลว่า “หนุ่มสาวทั้งสองนี้ทำผิดสถานใด ? ถึงต้องมารับโทษหนักหนาสาโหดในเมืองนรกเช่นนี้ ! ” จ่ายมบาลตอบให้ทราบว่า “หนุ่มสาวทั้งสองนี้สมัยยังมีชีวิตอยู่โลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ ฝ่ายหญิงชอบนอกใจผัว คบชู้สู่ชายไม่เลือก ไม่นับถือศาสนาใดๆ ไม่เชื่อในศีลธรรมคุณงามความดีใดๆ เชื่ออยู่แต่ว่าเกิดมาเพื่อกิน เพื่อถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ เพื่อสืบพันธุ์ ประเวณี และเพื่อนอนเท่านั้น อย่างอื่นไม่สำคัญ ชาตินี้ต้องหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว ตายแล้วก็หมดกัน ไม่มีชาติหน้า ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมใดๆ”
    “หญิงสาวผู้นี้เป็นมะเร็งในมดลูกตายเมื่ออายุ ๔๐ ปี เมื่อตายแล้วก็มาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินจากพญายมบาลขั้นสุดท้าย แต่ก่อนการพิพากษาตัดสินนั้น ต้องถูกจำจองทรมานแบบนี้ไว้ก่อน”
    “ฝ่ายชายหนุ่ม ! เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์เป็นคนเจ้าชู้ นักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง หลอกลวงพร่าพรหมจารีหญิง ปลิ้นปล้อนเอาทรัพย์ เป็นคนไม่มีศีลธรรม ไม่นับถือศาสนาใดๆ ถือคติว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อขับถ่าย เพื่อเสพกามารมณ์ และเพื่อนอน ตายแล้วสูญ ไม่มีชาติหน้า ไม่มีนรก สวรรค์ ก่อกรรมใดไว้ไม่ต้องใช้กรรม เมื่อถูกสามีของหญิงคนหนึ่งแทงตาย จึงต้องมาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินขั้นสุดท้ายจากท่านพญายมบาล”
    หลวงปู่ได้ฟังแล้วก็บังเกิดสลดสังเวช โธ่เอ๋ย ! กรรมของสัตว์หนอ เพราะความโง่ ความหลงผิด ความจองหอง หยิ่งทะนง อวดดื้อถือดีแท้ๆ ของมนุษย์ เมื่อตายแล้วจึงต้องมารับกรรมเช่นนี้ ขนาดยังอยู่ในระหว่างรอตัดสิน ก็ถูกจองจำ หนักหนาสาโหดถึงเพียงนี้ มิทราบว่าหากรับการตัดสินจากยมบาลแล้ว จะได้รับโทษทัณฑ์สถานหนักสักเพียงไหน ?
    หลวงปู่จึงถามจ่ายมบาลว่า “อยากสนทนากับหนุ่มสาวทั้งสองที่ถูกจองจำลงโทษจะได้ไหม?” จ่ายมบาลตอบว่า “สำหรับพระคุณเจ้าแล้ว ! อนุญาตให้ซักถามได้” เมื่อจ่ายมบาลกล่าวอนุญาตแล้ว ทันใด ! เครื่องจองจำเหล็กเผาไฟแดงๆ เหล่านั้นก็หลุดออกจากร่างหนุ่มสาวทั้งสองหายวับไป หนุ่มสาวทั้งสองร่างสั่นเทา สั่นเหมือนลูกนกตกน้ำสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลพรากอาบหน้า พากันทรุดกายลงกราบเท้าหลวงปู่ อย่างสำนึกในพระคุณท่านที่ช่วยให้หลุดจากเครื่องจำจองทรมานอันทารุณหฤโหด
    “หลวงพ่อเจ้าขา ! ช่วยดิฉันด้วย” หญิงสาวร้องวิงวอน ด้วยเสียงสั่นระริกสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารมาก
    “สีกาจะให้อาตมาช่วยอย่างไร?” หลวงปู่ถาม
    หญิงสาวฟูมฟายน้ำตานองหน้ากล่าวว่า
    “ดิฉันยังมีลูกที่ต้องเลี้ยงดู อายุยังน้อย อยากกลับไปเกิดในโลกมนุษย์อีก หลวงพ่อได้โปรดช่วยให้ดิฉันกลับเข้าไปร่างเดิม ที่ยังไม่ได้เผาด้วยเถิดนะ พระเจ้าค่ะ”
    “สีกาตายแล้ว ! เจ้ายังจำชาติที่แล้วของเจ้าสมัยที่เจ้ายังเป็นมนุษย์ได้ดีอยู่หรือ?”
    “ยังจำได้ดีทุกอย่าง เหมือนนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นจำตัวเองได้ จำลูกได้ จำญาติพี่น้องมิตรสหายได้หมดแต่พูดจากับพวกเขาไม่ได้ เวลาจะไปไหนต้องมีผู้คุมคอยควบคุมตัวไป ก่อนที่ยังไม่ตายนั้น ดิฉันไม่เคยเชื่อเลยที่ว่าความตายไม่ใช่การสิ้นสูญ คิดแต่ว่าตายแล้วก็หมดกัน”
    “แท้จริงเรานั้นตายแล้ว แต่เป็นอีกชีวิตหนึ่งคือ ร่างวิญญาณที่ยังสามารถจำความเดิมได้ดีทุกอย่าง”
    อาตมภาพอยากจะช่วย แต่เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของท่านพญายมบาล อาตมาจะช่วยสีกาได้อย่างเดียวคือ เมื่อกลับไปเมืองมนุษย์แล้ว จะแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้”
    หลวงปู่กล่าวฉันท์เมตตา หญิงสาวรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจกลับเข้าไปในร่างเดิมในโลกมนุษย์ได้อีก ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญโศกเศร้าน่าสังเวช ! หลวงปู่จึงเอ่ยถามชายหนุ่มบ้างว่า “โยมจะให้อาตมภาพช่วยอะไรได้บ้าง?”
    ร่างวิญญาณของชายหนุ่มผู้ถูกแทงตาย เพราะเป็นชู้กับเมียผู้อื่น คลานเข้ามากราบลงบนหลังเท้าของหลวงปู่คำคะนิง แล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า
    “กระผมผิดไปแล้วพระคุณเจ้า ! กว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นคนชั่วช้าก่อกรรมทำเวรกับคนอื่นไว้มาก ก็มารู้เอาเมื่อตายแล้ว ! กระผมไม่ขออะไรมาก ขอให้พระคุณเจ้าแผ่ส่วนกุศลมาให้กระผมบ้าง เพื่อที่กระผมจะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจในยามทุกข์”
    “ได้ ! อาตมาจะแผ่ส่วนกุศลมาให้”
    จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินต่อไป จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า “ในกรงเหล็กที่เป็นแนวยาวเหยียดนี้ คุมขังพวกนักโทษที่รอการตัดสินทั้งนั้น บ้างก็เคยฆ่าพ่อ ตีแม่ บ้างก็ปล้นฆ่า ลักขโมย หลอกลวงปลิ้นปล้อนต้มชาวบ้าน ฉุดคร่าอนาจาร หลอกลวงพระสงฆ์องคเจ้าให้สึกหาลาเพศมาเป็นสามีแห่งตน และที่ทำให้พระต้องปาราชิกก็มี บ้างก็แย่งสามีเขา วายาพิษเมียหลวง มีคดีโทษต่างๆ นับไม่ถ้วน”
    “เพราะมนุษย์ชายหญิงทุกวันนี้ไม่เชื่อในบุญในบาป ทำการทุกสิ่งทุกอย่างตามอำเภอใจ ไม่มียับยั้ง บันยะบันยัง ไม่คำนึงถึงศีลธรรมดีงาม คนเหล่านี้เมื่อตายแล้ว จึงต้องพากันหลั่งไหลมาสู่ศาลาพันห้องแน่นขนัดทุกวัน” ฉะนั้น ก่อนที่เราจะเหลือเพียงวิญญาณที่เรียกร้องสุคติภูมิด้วยความสิ้นหวัง จะไม่บังเกิดแก่เราผู้ไม่ประมาทเป็นแน่นอน ด้วยปัจจุบันเร่งรีบสร้าง ทาน ศีล ภาวนา

    หมู่สัตว์ร้องทุกข์
    หลวงปู่ออกเดินชมต่อไป รู้สึกว่าเดินตัวเบาหวิว เท้าไม่แตะพื้น เคลื่อนไถลไปอย่างรวดเร็ว เบา นุ่มนวล สบายอย่างยิ่ง มาถึงที่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงหมู่สัตว์อื้ออึง ระงมเซ็งแซ่ไปหมด เสียงเป็ด ไก่ สุนัข วัว ควาย หมู ม้า ช้าง พวกสัตว์เหล่านี้กำลังส่งเสียงร่ำร้องเป็นภาษามนุษย์กล่าวโทษโจทก์ฟ้องร้องจ่ายมบาลว่า “พวกมนุษย์ที่ขาดศีลธรรมได้ทำร้ายและทรมานพวกมันอย่างไรบ้าง?”
    มีช้างสารเชือกหนึ่ง ยืนแกว่งหัวอันใหญ่โตไปมา มันร้องทุกข์เป็นภาษามนุษย์ว่า มนุษย์ใจดำ อำมหิตมาก เอาตะขอเหล็กสับหัวมันจนเลือดไหลได้รับความเจ็บปวด

    bobo.jpg นอกจากนั้น มนุษย์ยังเอาปลอกขาใส่มัน ทำให้เดินไม่สะดวก แล้วยังเอาบ้านเรือนขึ้นไปปลูกใส่หลังมัน (หมายถึงเอากูบใส่หลัง) มันเรียกร้องให้จ่ายมบาลเอาตัวมนุษย์คนนั้นมาลงโทษให้จงได้
    หลวงปู่ได้ฟังแล้วก็สลดใจ ! เพิ่มพูนความเชื่อมั่นในกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นแฟ้นว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายตายแล้วต้องเกิดอีก บาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง จิตวิญญาณเป็นธาตุเดิมแท้ ส่วนร่างมนุษย์ร่างสัตว์ต่างๆนั้น เป็นเพียงพาหนะ หรือหุ่นสรีระยนต์สำหรับให้จิตวิญญาณเข้าสิงสู่ในแต่ละภพชาติเท่านั้น เช่น ชาติก่อนเกิดเป็นช้าง ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดา หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามอำนาจบุญกรรมนำแต่ง
    Reincarnation.jpg
    เมื่อเรามารู้ความจริงเสียแล้วเช่นนี้ ก็ควรจะนำความรู้นี้กลับไปเที่ยวบอกกล่าว สั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้รู้ความจริง จะได้เลิกเบียดเบียน กดขี่ข่มเหง ทำทารุณสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ช้าง ม้า เป็นต้น เพราะทุกชีวิตต่างก็มีจิตวิญญาณ

    นางงามนางแบบ
    หลวงปู่เดินเที่ยวชมเมืองนรกต่อไป เห็นสถานที่แห่งหนึ่งสว่างไสวรุ่งโรจน์ดุจแสงฟ้าแลบอยู่ แปลบปลาบยกพื้นเวทีกว้าง สะพานทอดยาวโค้งลงไปในสระน้ำอันกว้างใหญ่ สระน้ำนั้นลุกไหม้เป็นเปลวไฟแดงฉานโชติช่วง น่าสะพรึงกลัว ! ก็รู้ว่าเป็นขุมนรก บนสะพานนั้นมีหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามจำนวนมาก พากันเดินจากเวทีมีม่านผืนใหญ่มหึมา หญิงสาวเหล่านั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม และหลงใหลยึดถือว่าร่างกายตัวตนนั้นแสนงดงามเดินนวยนาดทอดขา ลงจากเวทีมาตามสะพาน
    จ่ายมบาลอธิบายว่า “มนุษย์หญิงเหล่านี้เป็นพวกนางงามนางแบบ กำลังเดินโชว์ร่างกายและเสื้อผ้า” หลวงปู่ยืนงุนงงประหลาดใจยิ่ง เพราะนางงาม นางแบบเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามฉูดฉาดสะดุดตาเหล่านั้น เดินเรียงรายตามกันออกไปยืนอยู่กลางสะพาน แล้วเปลื้องเสื้อผ้าออก เหลือแต่ร่างกายล่อนจ้อน อุจาดนัยน์ตา แต่ละนางเรือนร่างล้วนสวยงาม ด้วยส่วนสัดปานนางฟ้า
    จากนั้น ก็มีนกอินทรีย์ตัวใหญ่บินมาจากไหนก็ไม่รู้ ตานกอินทรีย์แดงฉาน พวยพุ่งออกมาเป็นเปลวไฟ มันบินเข้ามาตรงหน้าหญิงสาวแต่ละนางที่ยืนเปลือยกายอยู่ แล้วใช้จะงอยปากอันคมกริบนั้นจิกเข้าที่หน้าผากของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว และกระชากทีเดียว !
    หนังศีรษะและเส้นผมก็ลอกออกมา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กลายเป็นหนังทั้งแผ่น หญิงสาวนางนั้นส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สุดแสนทุกข์ทรมาน ปวดแสบปวดร้อนเหลือคณา !
    fotolia_293377_XS.jpg
    ชีวิตจิตวิญญาณไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะต้องมารับกรรมสาหัสเช่นนี้ ถ้าพูดได้ก็อยากเตือนรุ่นน้องๆ ว่า “อย่าได้มารับกรรมเหมือนข้าพเจ้าเลย”
    เมื่อนกอินทรีย์จิกลอกเอาหนังออกไป ก็เหลือแต่ร่างที่แดงฉานไปด้วยเลือด น่าขยะแขยง ! ชวนขนพองสยองเกล้า จะมองหาความงามเมื่อตะกี้นี้ไม่พบเลย นกอินทรีย์ได้จิกกินเอาตาทั้งสองข้างก่อน แล้วจิกเอาเนื้อแดงๆออกมา เผยให้เห็นอวัยวะภายในคือ ตับไตไส้พุง ชวนให้อยากอาเจียน จากนั้นนกอินทรีย์จิกกินตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ! เหลือแต่ร่างโครงกระดูกยืนสั่นสะท้านอยู่
    ฝ่ายหญิงสาวคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็มีความหวาดกลัวตายอย่างสุดขีด ! พากันกระโดดหนีลงไปในสระนรกที่เป็นเปลวไฟลุกโชติช่วงแดงฉานนั้น ก็ถูกเปลวไฟนรกลุกเผาไหม้ ส่งเสียงร้องกรีดแหลมระเบ็งเซ็งแซ่ด้วยความเจ็บปวด แล้วก็มีเหล็กคล้ายหอกเผาไฟแดงๆ แทงทะลุร่างหญิงสาวเหล่านั้น ส่งขึ้นมาจากขุมไฟนรก ร่างที่ไหม้เหลือแต่กระดูกขาวโพลนก็กลับกลายร่างเป็นหญิงสาวสวยงามเหมือนเดิม มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่สะดุดตาเหมือนเดิมทุกอย่าง
    take.jpg
    ต่อจากนั้นก็ถูกนกอินทรีย์โผบินเข้าจิก กระชากเสื้อผ้าออกเหลือแต่กายเปลือยล่อนจ้อน แล้วจิกหนังลอกออกทั้งแผ่น จิกกินเนื้อกินตับไตไส้พุงเหมือนที่กระทำกับหญิงสาวคนแรก ส่วนหญิงสาวคนอื่นๆ มีความหวาดกลัว ส่งเสียงหวีดร้องวุ่นวายระเบ็งเซ็งแซ่นั้น จะวิ่งหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีหอกเผาไฟแดงๆ พุ่งแทงขึ้นมาจากขุมนรก มีเพลิงจี้สกัดหน้าสกัดหลังไว้รอบข้างไปหมด
    หลวงปู่สลดสังเวชเป็นที่ยิ่ง ! ไม่ทราบว่าหญิงสาว เหล่านี้มีความผิดสถานใด? ถึงต้องมาถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตสยดสยองแสนเหี้ยมเกรียมถึงปานนี้ !
    จ่ายมบาลล่วงรู้วาระจิต จึงตอบว่า “หญิงสาวเหล่านี้สมัยเป็นมนุษย์ชอบประพฤติตนทางอนาจาร คือ อวดร่างกายของตน เปลือยร่างต่อสาธารณะ และหลงใหลลุ่มหลงในเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องตกแต่งประดับกายอย่างไม่ลืมหูลืมตา สามารถกระทำชั่วได้ในทุกสิ่งเพื่อแสวงหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับตัวเองอวดคนอื่น เป็นผู้หญิงประเภทฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้จักศาสนาคำสั่งสอนของศาสดาองค์ใด ไม่เชื่อในคุณความดีใดๆ ไม่ละอายแก่ใจ เชื่อแต่ว่าเกิดมาชาตินี้ชาติเดียว ต้องแสวงหาความสุขให้เต็มที่ กิน ถ่าย เสพกาม และนอนเท่านั้น อย่างอื่นไม่คิด ชาติหน้าไม่มี บาปบุญไม่มี นรกไม่มี พอใจแต่จะทำตามกิเลสของตน ฉะนั้น เมื่อหญิงสาวเหล่านี้ตายแล้ว จึงมาเสวยกรรมในนรกเช่นนี้"

    มนุษย์นรก
    หลวงปู่คำคะนิงได้เดินเที่ยวชมดูต่อไป พวกจ่ายมบาล หรือผู้คุมนักโทษ ในแดนต่างๆ แสดงกิริยานอบน้อม นิมนต์ให้หลวงปู่ได้ดูชมสะดวกใจ ได้พบเห็นสัตว์นรกรูปร่างแปลกๆ น่าเกลียด น่าขยะแขยง สัตว์นรกเหล่านี้เมื่อถึงคราวอานุภาพของ “ศีลห้า” ที่เคยสะสมไว้หลายแสนหลายร้อยชาติ ติดตามมาส่งผลให้ถึงในนรกสัตว์นรกเหล่านี้ก็จะได้รับผลบุญของศีลห้านั่นคือ “ร่างกาย” จะเปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรก เปลี่ยนภูมิไปเกิดในโลกมนุษย์ทันที ! สัตว์นรกที่ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์นี้ จะเกิดเป็นมนุษย์ที่มีสภาวะจิตดุร้าย เหี้ยมอำมหิตเป็นส่วนมาก มีน้อยที่จะมีจิตใจสำนึกผิด มีเมตตากรุณา
    เมื่อสัตว์นรกเหล่านี้มาเกิดเป็นมนุษย์ แม้ผลบุญจะอำนวยให้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์อัครฐานบ้าง เกิดในตระกูลร่ำรวยมหาเศรษฐีบ้าง ตระกูลปานกลางบ้าง ตระกูลต่ำบ้าง แต่จิตใจวิญญาณก็จะเหี้ยมอำมหิตอยู่เหมือนเดิม วิญญาณสัตว์นรกที่ไปเกิดเป็นมนุษย์เหล่านี้แหละ ที่ไปสร้างความเดือดร้อนให้สังคมมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และก็จะมีอยู่สืบไปจนกว่าโลกจะแตกสลาย มันเป็นตามกฎของสังสารวัฏอันหาที่สุดที่ปลายมิได้ เป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์โลกทั้งหลายที่จะต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายทั้งหลาย จ่ายมบาลอธิบายให้หลวงปู่คำคะนิงฟัง
    ศีลห้าสู่สวรรค์
    หลวงปู่คำคะนิงท่องเที่ยวต่อไป ถึงทางแยกแห่งหนึ่ง จ่ายมบาลบอกว่า “ตรงนี้เป็นชุมทางไปสู่สวรรค์ชั้นต่างๆ เส้นทางเป็นสายรุ้งพุ่งจากพื้น เป็นวงโค้งขึ้นไปในอากาศนั้น เป็นเส้นทางสำหรับผู้เจริญวิปัสสนาได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เมื่อตายแล้ว ต้องขึ้นเส้นทางนี้ไปสู่สวรรค์เบื้องสูงสำหรับอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ที่เป็นอู่ทอง อู่แก้วคล้ายบุษบก มีสายชักขึ้นและชักลงจากพื้นดินไปในอากาศนั้น เป็นอู่ยนต์สำหรับผู้ที่จะไปสวรรค์ ตามกำลังบุญวาสนา ที่สร้างไว้สมัยเป็นมนุษย์นั่นเอง !
    stairway_to_heaven_1_.jpg
    อู่ทอง อู่แก้ว อันสวยงามรุ่งเรืองนี้ ! เลื่อนขึ้นเลื่อนลงรับผู้มีวาสนาขึ้นสู่สวรรค์อยู่ตลอดเวลา แสดงว่า “แม้จะมีคนบาปหนาตกนรกมากจนมืดฟ้ามัวดิน ขณะเดียวกันก็มีคนดีๆ ขึ้นสวรรค์มากเหมือนกัน” นอกจากอู่ทองคำ อู่แก้วบุษบกแล้ว ยังมีบันไดเงินบันไดทอง และบันไดแก้ว แพรวพรายทอดขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสรวงสวรรค์ เมื่อคนขึ้นไปแล้ว บันไดวิเศษเหล่านี้ก็จะลอยเลื่อนขึ้นไปจนสุดสายตาจ่ายมบาลบอกว่า “ผู้ที่จะขึ้นสวรรค์ได้ต้องตั้งใจถือศีลห้าเคร่งครัดเป็นอย่างน้อย มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัยไม่คลอนแคลน มีใจบุญสุนทรทานเมตตาต่อผู้อื่น ผู้คนผู้มีบุญวาสนาที่กำลังรอขึ้นสวรรค์ มีทั้งหญิงและชาย เป็นเด็กเล็กก็มี หนุ่มสาวก็มี คนเฒ่าคนแก่ก็มี คนเหล่านี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อิ่มเอิบเบิกบานสดใส แต่งกายสวยงามประณีต มีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองคล้ายหิ่งห้อยตัวใหญ่ พวกเขาล้วนได้ผ่านการพิพากษาตัดสินมาจากศาลาพันห้องแล้ว จึงมีสิทธิจะขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าได้ เพื่อได้รับการมีอินทรีย์สวยงามผ่องใส”

    ws_Fantasy_Land_1600x1200.jpg
    หลวงปู่คำคะนิงหยุดมองดูอย่างตะลึงตะลาน เพราะเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์นั้น สวยงามอัศจรรย์สุดที่จะพรรณนา ! เห็นเป็นเส้นแสงสีต่างๆ เป็นเส้นโค้ง สวยงามยิ่งกว่าสายรุ้ง หลวงปู่อดแปลกใจไม่ได้ว่า “ในขณะที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายหลั่งไหลไปเมืองนรกนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ทำดี มีบุญญาธิการหลั่งไหลไปสวรรค์อยู่มากเหมือนกัน แต่เทียบดูแล้วคนไปสวรรค์มีอยู่น้อยมาก ส่วนคนที่ไปนรกนั้นมีมากกว่า”
    จ่ายมบาลบอกว่า “ผู้ที่จะขึ้นสวรรค์ต้องยึดถือมั่นคงในการกระทำดี สวามิภักดิ์ต่อศาสนาที่ตนนับถืออย่างแน่นแฟ้น ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ มีความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์ มีจิตใจนุ่มนวลงดงามยึดมั่นเคารพในพระรัตนตรัยจริงๆ จึงจะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ชั้นอมรอย่างแน่นอน”

    สัมภเวสี
    ออกจากชุมทางไปสวรรค์แล้ว ก็มาถึงทางสามแพร่งอันอ้างว้างเยือกเย็น เป็นดินแดนอันแห้งแล้งชวนให้หดหู่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก มีผู้คนทั้งหญิงและชายมากมายทุกเพศทุกวัย นั่งบ้าง ยืนบ้าง ที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดินก็มีมาก ทุกคนต่างส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญพร่ำพิไรรำพันต่างๆ นานา ดังระงมไปหมด มิทราบว่า พวกเขามีทุกข์โศกอันใดนักหนา ? จึงได้ออกอาการเช่นนี้
    จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า “คนเหล่านี้ล้วนตายโหงมาทั้งนั้น เป็นพวกวิญญาณที่ตายก่อนถึงกำหนดอายุขัย เพราะถูกบาปกรรมหนักตามตัดรอนชีวิต เมื่อตายโหงแล้วก็ไปยังศาลาพันห้อง แต่พญายมราชไม่อาจตัดสินได้ เพราะพวกนี้ตายก่อนกำหนด จึงได้ขับไล่ส่งให้มาอยู่ตรงชุมทางสามแพร่งนี้ เพื่อให้เที่ยวเร่ร่อนไปในโลกมนุษย์ก่อน รอเวลาที่จะถูกตัดสินให้ไปผุดไปเกิด พวกผีตายโหงหรือวิญญาณตายโหงนี้ เรียกว่าพวก “สัมภเวสี” คือ ผู้แสวงหาที่เกิด แต่ยังหาที่เกิดไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับการพิพากษาตัดสิน ก็เที่ยวตระเวนเรื่อยไป เที่ยวหลอกมนุษย์บ้างเพื่อแสดงคนขอส่วนบุญ ที่เที่ยวหลอกหลอนด้วยความอาฆาตพยาบาทบ้างก็มีเยอะ ! แล้วแต่อุปนิสัยดั้งเดิมของเขา ว่าเป็นพาลมากน้อยเพียงใด ?”
    1213913052WbWixW.jpg เมื่อเที่ยวชมพอสมควรแล้ว จ่ายมบาลก็เตือนให้หลวงปู่คำคะนิงรีบกลับคืนสู่ร่างมนุษย์เสียเถิด เพราะแดนนรกหมกไหม้นั้นยังมีอีกมากมาย เที่ยวไม่จบสิ้นง่ายๆ หรอก พอตั้งใจว่าจะกลับ ก็กลับมาถึงวัดถ้ำคูหาสวรรค์ในโลกมนุษย์โดยเร็ว

    เมื่อมาถึงวัดก็เห็นร่างของตัวเองงองุ้มหมอบฟุบอยู่กับอาสนะ เป็นลักษณะของคนที่สิ้นลมหายใจ จึงหยุดพิจารณาดู เห็นร่างของตัวเองใส คล้ายแก้วโปร่งแสง แต่ชราภาพหนังเหี่ยวย่น มองเห็นตับไตไส้พุงหมด เห็นเส้นเอ็นทุกเส้น กระดูกทุกชิ้นในร่างกาย เห็นเลือดแดงฉานเอิบอาบอยู่ทุกส่วน เมื่อได้พิจารณาดูสังขาร ร่างกายของตนเองแล้วก็รู้สึกขยะแขยง แถมยังมีกลิ่นเหม็นเหมือนหมาเน่า โอ้หนอ “ร่างกายของคนเรานี้มันเป็นโพรงเก็บอวัยวะของเหม็นเน่าสกปรกไว้แท้ๆ คนเรายังมาหลงรักหลงกอดร่างมนุษย์ด้วยกันอยู่ได้ ยิ่งเป็นร่างของตัวเอง ก็ยิ่งรักยิ่งหลง นี่เป็นความหลงผิดแท้ๆ”
    ความจริง ธรรมชาติร่างกายเปรียบเหมือนที่อยู่อาศัยหรือ พาหนะชั่วคราว ที่จิตวิญญาณอาศัยท่านั้น ตัวเราที่แท้จริงคือ “จิตวิญญาณ” ที่ยังยึดอยู่ใน โลภะ โทสะ โมหะ ร่างในความเป็นมนุษย์นี้สกปรก สู้ร่างที่เป็นกายทิพย์ไม่ได้ เพราะกายทิพย์ที่จิตวิญญาณอาศัยไปเที่ยวชมแดนยมโลกนี้ เป็นกายทิพย์ที่โปร่งใส มีรัศมีเรืองรองดุจประกายดาว คิดจะไปไหนมาไหน ก็ไปได้รวดเร็วดังใจนึก อยากรู้ อยากเห็นอะไร ก็สามารถรู้ได้เห็นได้ รวดเร็ว ไม่ติดขัด
    เมื่อพิจารณาดูซากร่างความเป็นมนุษย์ของตนแล้ว ทำให้ไม่อยากกลับเข้าสู่ร่างเดิม เพราะมีกลิ่นเหม็นเน่า น่ารังเกียจขยะแขยงเหลือทน ! แต่แล้วก็มาคิดได้ว่าเรายังสร้างสมบุญบารมีในโลกยังไม่เพียงพอ จะทิ้งร่างมนุษย์ไปยังไม่ได้ แม้แต่พญายมยังไล่ให้เรากลับมาสร้างบุญบารมีเพิ่มเติมเลย ฉะนั้น ถึงแม้ร่างกายจะแก่ชราคร่ำคร่า มีกลิ่นเหม็นเน่าสกปรกโสโครกก็ตามเถอะ ! เราต้องฝืนใจกลับเข้าสิงสู่อยู่ในร่างนี้อีก เพื่อประพฤติพรตพรหมจรรย์ ปฏิบัติธรรมความดีสืบต่อไป
    เพียงนึกเท่านี้ก็รู้สึกวูบหวิวไปชั่วขณะจิต คล้ายจะหมดสติไปชั่ววูบ มารู้สึกตัวในชั่วขณะจิต ต่อมาก็พบว่าจิตได้เข้าสิงร่างเดิมแล้วและเคลื่อนไหวได้ เมื่อตายแล้วฟื้น ญาติโยมทายกทายิกาทั้งหลายก็ดีอกดีใจกันใหญ่ หลั่งไหลกันมาฟังเทศน์ฟังธรรม หลวงปู่คำคะนิงก็เล่าให้ฟังว่า มรณภาพแล้วไปไหนบ้าง ขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลาย จงเชื่อเถิดว่าบาปบุญมีจริง เวลาตายไปแล้วจิตวิญญาณก็พาไปพบสวรรค์จริงๆ นรกจริงๆ ยังจดจำตัวเองได้ชัดเจนหมดทุกอย่าง
    ขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ประมาท อย่าได้ประพฤติชั่วผิดศีลธรรมเลย เพราะถ้าประพฤติผิดศีลธรรม ทำแต่กรรมชั่วแล้ว จะไปถูกลงโทษในแดนนรกจริงๆ เพราะหลวงปู่ไปเห็นมาแล้ว ขอให้ทุกคนเร่งรีบทำความดี ประพฤติอยู่ในศีลกินในธรรมเร็วๆ เข้า จะได้ไปสวรรค์ชั้นฟ้า เมื่อเราตายไปแล้ว
    อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการปฏิบัติธรรม เพราะความตายอาจจู่โจมมากะทันหันเมื่อไรก็ได้
    ขณะมีชีวิตอยู่จงรีบเร่งให้ทาน ปฏิบัติศีลและเจริญจิตภาวนาเสียเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้ทำ โดยตายกะทันหัน เพราะถูกบาปกรรมตัดรอน ต้องทุกขเวทนาเป็นสัมภเวสี อย่างหลวงปู่ไปเห็นมาแล้ว น่าเวทนาเป็นที่สุด ลูกหลานที่รักพึงสังวรด้วยปัญญาเถิด

    จากการตายไปเห็นนรก และได้พบสภาพอันน่าอเนจอนาจแล้ว ทำให้หลวงปู่เพิ่มความเชื่อมั่นในกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ขอลูกหลานญาติโยมทั้งหลาย จงเชื่อเถิดว่า
    “บาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง จิตวิญญาณเป็นธาตุเดิมแท้ ส่วนร่างมนุษย์ ร่างสัตว์ต่างๆนั้นเป็นเพียงพาหนะ หรือหุ่นสรีระยนต์สำหรับให้จิตวิญญาณเข้าสิงสู่ เพื่ออาศัยเพียงชั่วคราวในแต่ละภพแต่ละชาติเท่านั้น”
    ดังนั้น จึงไม่ควรประมาทในการเร่งรีบขวนขวายทำคุณงามความดี จนถึงที่สุดสามารถของตน
    ยิ่งได้ทราบว่า มีบัญชียมโลกบันทึกพฤติกรรมทั้งกาย วาจา ใจ ทุกอย่างของทุกคนในโลกมนุษย์ โดยอัตโนมัติอย่างเที่ยงธรรมสุจริตยิ่ง ทำให้ทุกคนจำต้องยิ่งระมัดระวังเลือกทำแต่เฉพาะสิ่งที่ดีงามเท่านั้น เพื่อบัญชีทิพย์ของเราจักได้สวยงาม ไม่มีอกุศลกรรมมามัวหมอง ขณะที่ยังมีโอกาสโชคดี จึงไม่ยอมละโอกาสในการสร้างมหากุศลให้คุ้มค่ากับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาอันแสนวิเศษสุด ในชาติปัจจุบันนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • k1-1.png
      k1-1.png
      ขนาดไฟล์:
      877.8 KB
      เปิดดู:
      145
    • k1-2.png
      k1-2.png
      ขนาดไฟล์:
      156.7 KB
      เปิดดู:
      108
    • k2.png
      k2.png
      ขนาดไฟล์:
      124.2 KB
      เปิดดู:
      166
    • k3-1.png
      k3-1.png
      ขนาดไฟล์:
      138.2 KB
      เปิดดู:
      125
    • k3-2.png
      k3-2.png
      ขนาดไฟล์:
      172.8 KB
      เปิดดู:
      127
    • k4.png
      k4.png
      ขนาดไฟล์:
      626.6 KB
      เปิดดู:
      173
    • k5.png
      k5.png
      ขนาดไฟล์:
      714.8 KB
      เปิดดู:
      127
    • k6.png
      k6.png
      ขนาดไฟล์:
      61.1 KB
      เปิดดู:
      153
    • k7.png
      k7.png
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      114
    • k8-1.png
      k8-1.png
      ขนาดไฟล์:
      350.3 KB
      เปิดดู:
      133
    • k8-2.png
      k8-2.png
      ขนาดไฟล์:
      195.1 KB
      เปิดดู:
      117
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2017
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิดประวัติ “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์” พระสังฆราชองค์ที่ 20 ชาวราชบุรี
    http://www.matichon.co.th/news/455668

    พระสังฆราชองค์ที่ 20 ชาวราชบุรี

    ประวัติสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14-15 (ธรรมยุต) และแม่กองงานพระธรรมทูต

    เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

    มีราชทินนามตามที่จารึกในสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ พิพัฒนพงศ์วิสุต พุทธปาพจนานุศาสน์ วาสนวรางกูร วิบูลศีลสมาจารวัตรสุนทร ตรีปิฎกธรรมวราลงกรณวิภูษิต ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี อรัณยวาสี”

    A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%BA%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A32-1024x682-1-1024x682.jpe

    สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ หรือ สมเด็จขาว กรรมการมหาเถรสมาคมและแม่กองงานพระธรรมทูต สิริอายุ 89 พรรษา 68 มีพระนามเดิมว่า “อัมพร ประสัตถพงศ์” เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2470 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ จุลศักราช 1289 ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โยมบิดา-มารดาชื่อ นายนับ และนางตาล ประสัตถพงศ์ ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย

    ๐ บรรพชาที่วัดสัตตนารถฯ

    ในช่วงวัยเยาว์ เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ 4 ตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
    บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปีพ.ศ.2480 ณ วัดสัตตนารถปริวัตร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี มีพระธรรมเสนานี (เงิน นันโท) เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ ย้ายไปจำพรรษาที่วัดตรีญาติ ตำบลพงสวาย เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม, พ.ศ.2483 สอบได้นักธรรมชั้นตรี, พ.ศ.2484 สอบได้นักธรรมชั้นโท, พ.ศ.2486 สอบได้นักธรรมชั้นเอก และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค, พ.ศ.2488 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ต่อมาปีพ.ศ.2490 ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี(ทองเจือ จินตากโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี พามาฝากกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) และให้สามเณรอัมพรเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2491 ณ มหาพัทธสีมาวัดราชบพิธฯ มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก(วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์, สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินตากโร) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ภายหลังอุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักเรียนวัดราชบพิธฯ พ.ศ.2491 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค และพ.ศ.2493 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค

    เป็นพระธรรมทูตที่ออสเตรเลีย

    ต่อมาสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) เป็นนักศึกษารุ่นที่ 5 จบศาสนศาสตรบัณฑิต พ.ศ. 2500 ต่อมาปี พ.ศ.2509 ได้เข้าอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เป็นพระธรรมทูตรุ่นแรก ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี (Banaras Hindu University) ประเทศอินเดีย จบการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2512 ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี

    201702051639337-20061002150127-1024x683.jpg

    ในช่วงปี พ.ศ. 2516 เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตนำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยมีพระขันติมาโล ชาวอังกฤษ เป็นสหธรรมิก พร้อมไวยาวัจกร ตามคำนิมนต์ของประธานพุทธสมาคมแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ ถือว่าเป็นพระธรรมทูตไปต่างประเทศรุ่นแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุต ได้วางรากฐานพระพุทธศาสนา ตลอดถึงเป็นเนติให้สหธรรมิกที่มาภายหลังได้เผยแผ่อย่างเป็นรูปแบบ ทำให้พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมีความมั่นคง มีวัดและพระสงฆ์อยู่ประจำรัฐแห่งนี้ ก่อนขยายไปยังเมืองใหญ่อีกหลายเมือง อาทิ กรุงแคนเบอร์รา นครเมลเบิร์น และเมืองดาร์วิน เป็นต้น

    เป็นพระอาจารย์ที่มหามกุฎฯ

    เป็นอาจารย์สอนธรรมวินัยแก่พระภิกษุ-สามเณร, กรรมการสนามหลวงแผนกธรรมและแผนกบาลี, นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) เป็นต้น
    ปี พ.ศ. 2552 สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ถวายปริญญาศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์, พ.ศ. 2553 สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาธรรมนิเทศ

    งานด้านสาธารณูปการ เป็นประธานอำนวยการฝ่ายบรรพชิต พระมหาธาตุเจดีย์และเขตพุทธาวาสเฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และฉลองมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ วัดธัมมธโร กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย, เป็นประธานสร้างวัดแหล่งทองแดงพรหมสราราม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม เป็นต้น

    งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นรองแม่กองงานพระธรรมทูต รูปที่ 2 ผู้นำพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ไปเผยแผ่ในประเทศออสเตรเลีย, เป็นรองประธานกรรมการที่ปรึกษาสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) เป็นต้น

    ด้านการศึกษาสงเคราะห์และสาธารณสงเคราะห์ ได้มอบทุนสงเคราะห์แก่ผู้เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์, เป็นรองประธานกองทุนวัดช่วยวัดของมหาเถรสมาคม (มส.) ให้ความช่วยเหลือเมื่อมีอุบัติภัย วาตภัย อุทกภัย หรือภัยแล้ง นำเงินบริจาคเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัยนั้นๆ ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    งานปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบัน เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร, ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14-15 (ธรรมยุต), กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.), กรรมการคณะธรรมยุต, นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.), กรรมการบริหารมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, แม่กองงานพระธรรมทูต, ประธานมูลนิธิพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร นับว่าเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้นที่มีสมณศักดิ์สูงสุดในปัจจุบัน คือเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ, พระอุปัชฌาย์ เป็นต้น

    ลำดับสมณศักดิ์

    – พ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระปริยัติกวี
    – พ.ศ.2524 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสารสุธี
    – พ.ศ.2533 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพเมธาภรณ์
    – พ.ศ. 2538 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมเมธาภรณ์
    – พ.ศ. 2543 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏหรือรองสมเด็จพระราชาคณะ ที่ พระสาสนโสภณ วิมลญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการภูษิต ธรรมนิตยสาทร ศาสนกิจจานุกร ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

    – เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ที่ “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ พิพัฒนพงศ์วิสุต พุทธปาพจนานุศาสน์วาสนวรางกูร วิบูลศีลสมาจารวัตรสุนทร ตรีปิฎกธรรมวราลงกรณวิภูษิต ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี” สถิต ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 10 รูป

    201702051639336-20061002150127-1024x683.jpg

    สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เอาใจใส่ในกิจการงานของพระอารามหลวงด้วยดีตลอดมา ดังจะเห็นได้จากตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ที่รับภารธุระอยู่ ทุกประการล้วนต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ พร้อมทั้งความตั้งใจจริงอย่างดียิ่ง ได้ทำหน้าที่ในฐานะแห่งนักปกครองที่เอาใจใส่ดูแลความเป็นไปของวัดและคนในวัดอย่างดียิ่ง รวมทั้งท่านยังได้สร้างคุณูปการแด่คณะสงฆ์อย่างมากมาย

    ศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

    สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่มีสมณศักดิ์สูงสุดในปัจจุบัน คือเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ เป็นพระธรรมทูตไปต่างประเทศรุ่นแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุต และเป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาจากประเทศไทยไปเผยแผ่ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยได้วางรากฐานพระพุทธศาสนาจนมั่นคง มีวัดและพระสงฆ์ไทยอยู่ประจำ ณ นครซิดนีย์ มาจนถึงปัจจุบัน และได้ขยายไปยังเมืองใหญ่อีกหลายเมือง เช่น กรุงแคนเบอร์รา นครเมลเบิร์น และเมืองดาร์วิน เป็นต้น
    สมเด็จพระมหามุนีวงศ์อัมพร-อมฺพโร2-1024x682-1-768x512.jpeg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันมาฆบูชา
    ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓

    http://www.dhammathai.org/day/maka.php

    "มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฎิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป



    โอวาทปาฏิโมกข์

    โอวาทปาฏิโมกข์ - หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),



    คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)

    สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
    สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ

    ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
    นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
    สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

    อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
    อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

    แปล :

    การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


    ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง,

    พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม,

    ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,

    ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ


    การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์,

    ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า
    "ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส"




    คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ "จาตุร" แปลว่า ๔ "องค์" แปลว่า ส่วน "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ

    ๑. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
    ๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
    ๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
    ๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ



    การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำถวายดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดินเวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัดเตรียมไว้เป็นอันเสร็จพิธี
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระเจ้าอยู่หัวกับการประยุกต์ธรรม
    https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_3898

    ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
    ผู้เขียน วสิษฐ เดชกุญชร
    เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2559

    หลังจากที่ได้รับพระราชทานพระ “สมเด็จจิตรลดา” หรือพระ “กำลังแผ่นดิน” (ชื่อหลังนี้เป็นชื่อที่ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรียก) ในเดือนเมษายน ปี ๒๕๑๐ แล้ว ผมเชิญพระที่เคยห้อยออกจากคอหมดทั้ง ๕ องค์ และห้อยแต่พระพระราชทานองค์เดียวมาตั้งแต่นั้น เวลาอาบน้ำผมเชิญพระออกจากคอเพราะไม่อยากให้พระเปียกน้ำ อาบเสร็จแล้วจึงเชิญพระกลับมาห้อยคออีก ทำเช่นนี้จนเป็นนิสัย

    วันหนึ่ง หลังจากที่ได้เฝ้าฯ และรับพระราชทานสติ (โปรดอ่าน ชีวิตตำรวจ (๖๑) ใน “ศิลปวัฒนธรรม” เล่มเดือนตุลาคมที่แล้ว) ขณะที่กำลังรับราชการสนาม (ที่ไหนจำไม่ได้) ผมอาบน้ำและเชิญพระออกจากคอก่อนอาบตามเคย และพออาบเสร็จแล้วก็เชิญพระกลับมาห้อยคอ ขณะนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นอะไรเลื่อมๆ อยู่ที่ขอบองค์พระด้านหน้า ผมยกพระขึ้นดูใกล้ๆ และเห็นชัดว่ามีทองชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งเกาะอยู่ตรงนั้น ที่จริงถ้าใช้เหตุผลก็น่าจะสันนิษฐานว่า ทองที่ปิดอยู่หลังพระนั้นอาจล่อนหรือหลุดออกมาเองเพราะกาวเสื่อม แต่ผมอดรำลึกมิได้ถึงกระแสพระราชดำรัสที่ว่า “ปิดข้างหลังมากๆ แล้วทองก็จะล้นออกมาหน้าพระเอง” ซึ่งทำให้ผมตื่นเต้นมาก ถึงกับเที่ยวเอาพระไปอวดเพื่อนฝูงที่อยู่ใกล้ๆ ในขณะนั้น และบอกเพื่อนว่าทองที่ปิดไว้หลังพระได้ล้นออกมาข้างหน้าพระแล้ว

    ที่ผมไม่ได้เที่ยวโพนทะนาบอกใคร (ยกเว้นเวลาในโอกาสที่ได้รับเชิญให้เล่า) แต่รู้อยู่ลำพังคนเดียวก็คือ ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของผมก็เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็น (ค่อยๆ) ดีมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ ทั้งในด้านลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข แต่เพราะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามรอยพระยุคลบาท ผมจึงสามารถเข้าใจและเตือนตัวเองได้ตลอดเวลาว่า เมื่อมีลาภก็ย่อมมีความเสื่อมลาภ มียศก็มีความเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา และมีสุขก็ย่อมมีทุกข์เป็นของคู่กัน ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าโลกธรรม ผมจึงไม่สู้ตื่นเต้น ไม่ว่ากับความสำเร็จหรือความล้มเหลวในชีวิตของตนเอง เป็นนิสัยมาจนทุกวันนี้

    มีผู้ชอบถามหรือสัมภาษณ์ผมบ่อยๆ ว่า อยู่ในวังกว่า ๑๐ ปี ผมได้อะไรที่ผมคิดว่ามีค่าที่สุดจากในวัง

    คำตอบของผมก็คือ ได้ธรรมที่พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาพระราชทาน ทั้งโดยตรงและจากการปฏิบัติพระองค์ให้ผมเห็น


    ผมเชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกปัจจุบันนี้ ที่ทรงนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไปประยุกต์ในการทรงงานและการดำรงพระชนมชีพอย่างแท้จริง จริงจัง และต่อเนื่อง นอกจากพระธรรมบทใหญ่ที่เรียกว่าทศพิธราชธรรม (ธรรมของพระราชา) และจักรวรรดิวัตร (วัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ) ที่ทรงยึดเป็นหลักปฏิบัติประจำแล้ว พระเจ้าอยู่หัวยังทรงประยุกต์ธรรมบทย่อยๆ อื่นๆ อีก ในการทรงประกอบพระราชกรณียกิจทั้งน้อยและใหญ่ ผู้สนใจหากศึกษาก็จะเห็นว่า พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสที่พระราชทานในโอกาสต่างๆ นั้น ล้วนมาจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มิได้เพียงแต่ทรงคัดมาแต่ได้ทรงศึกษา ทรงปฏิบัติและทรงพิสูจน์ด้วยพระองค์เองแล้วทั้งสิ้น

    โดยเฉพาะพระสมาธิอันเป็นการฝึกสติหรือพัฒนาจิตนั้น ทรงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นพระนิสัย เพราะเหตุนี้ เมื่อเกิดปัญหาหรือวิกฤติการณ์ในบ้านเมืองไม่ว่าครั้งใดและร้ายแรงเพียงใด จึงไม่ทรงหวั่นไหวหรือเสียพระสติ แต่ทรงรักษาพระอารมณ์และดำรงพระสติไว้ได้อย่างมั่นคงและเยือกเย็น ทรงตระหนักว่า ควรจะทรงทำอะไร เมื่อใด และอย่างใด

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตีโพยตีพาย และรีบร้อนขอพระราชทานพระราชวินิจฉัย หรือพระราชปฏิบัติ เมื่อมีปัญหาหรือเกิดวิกฤติการณ์ขึ้น สิ่งที่ผู้มีอำนาจ (หรือเคยมีอำนาจ) ควรทำก็คือ ถามตัวเองว่า ได้พยายามทำหน้าที่ของตนในการแก้ปัญหาหรือวิกฤติการณ์นั้นอย่างเต็มภาคภูมิและสมบูรณ์แล้วหรือยัง ด้วยการใช้ทศพิธราชธรรมหรือจักรวรรดิวัตร ตามรอยพระยุคลบาท

    หรือว่าจะเอาตัวรอดด้วยการปัดสวะที่เกิดจากน้ำมือของตน ไปถวายให้เป็นพระราชภาระของฝ่าละอองธุลีพระบาท?

    ที่มา: “ชีวิตตำรวจ (๖๒) พระเจ้าอยู่หัวกับการประยุกต์ธรรม”. คอลัมน์ บันทึกทรงจำ โดย วสิษฐ เดชกุญชร. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พิธีสถาปนาสังฆราช จากอดีตถึงปัจจุบัน
    http://www.matichon.co.th/news/459303

    พระพุทธศาสนาล่วงลับเเล้ว 2560 ปี ในวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ลำดับที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ราชาแห่งหมู่สงฆ์ในประเทศไทย จะถูกจัดขึ้น ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์นี้

    ย้อนเวลากลับไปในอดีตนับร้อยปี พระราชพิธีดังกล่าวไม่ได้มีการกำหนดการจัดงานสถาปนาขึ้นเป็นพิเศษ แต่ถือเอาวันเฉลิมพระชนมพรรษา หรือวันฉัตรมงคล เป็นวันประกอบพระราชพิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใกล้กับวันใด โดยถือเป็นการสถาปนาพระราชาคณะชั้นหนึ่ง พร้อมๆ กับการเลื่อนพระสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นอื่นๆ

    แม้แต่การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชผู้มีเชื้อสายเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ก็กระทำเพียงให้อาลักษณ์อ่านประกาศ และรับมอบพระสุพรรณบัฏเท่านั้น หรืออาจอัญเชิญพระสุพรรณบัฏเดิมมาสมโภชอีกครั้งหนึ่ง

    “สุพรรณบัฏ” ที่ถวายแด่สมเด็จพระสังฆราช คือ “ลานทอง” มีลักษณะเป็นแผ่นทองคำบางๆ ทำตามอย่างใบลานที่ใช้ในการจดจารหนังสือและพระธรรมคัมภีร์ โดยนำทองคำไปแผ่ให้มีรูปร่างและความยาวเท่าๆ กับใบลาน และจารตัวอักษรเป็นพระนามเต็ม ชื่อพระอารามที่สถิต และข้อความอีกเล็กน้อย

    สำหรับพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นการเฉพาะอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อ พ.ศ.2508 เมื่อมีการสถาปนาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม ขึ้นเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อจะมีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช จะจัดพระราชพิธีขึ้นมาเฉพาะสืบถึงปัจจุบัน

    ในการขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช จะมีเครื่องประกอบพระอิสริยยศ เครื่องประกอบสมณศักดิ์สำแดงเกียรติยศ มักทำจากวัสดุจำพวกถมปัด ทองแดง งา หรือไม้ประดับมุก ไม่ใช่จำพวกเงินและทองคำซึ่งขัดต่อพระวินัย เรียกว่า “วัตถุอนามาส” แปลว่า สิ่งที่ (ภิกษุ) ไม่ควรจับต้อง มิเช่นนั้นจะต้องอาบัติทันที

    ตัวอย่างเครื่องประกอบพระอิสริยยศที่สมเด็จพระสังฆราชในอดีตได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ ได้แก่ ไตรแพร พานพระศรี ขันน้ำพานรอง หีบพระศรี กล่องพระศรี พระเต้าน้ำ ถาดสรงพระพักตร์ บ้วนพระโอษฐ์ปากแตร กาน้ำ หม้อน้ำพระพุทธมนต์ เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีตราประจำตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตัวอย่างเช่น พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้รับพระราชทาน “ตรางาประจำชาด” จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรูปบุษบกราชรถ มีอักษรโดยรอบว่า “สกลคณาธิเบศร์ มหาสังฆปริณายก”

    อีกหนึ่งเครื่องประกอบสมณศักดิ์ที่สำคัญก็คือ “พัดยศ” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าไทยได้ธรรมเนียมดังกล่าวมาจากลังกา โดยมีใช้มาตั้งแต่ยุคกรุงเก่าเป็นอย่างน้อย ดังปรากฏในจดหมายเหตุทูตลังกาที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา โดยพรรณนาว่า สมเด็จพระสังฆราชแห่งสยาม ทรงมีพัดยศ 2 เล่ม มีลักษณะแตกต่างกัน คาดว่าเป็นพัดฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสี

    ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พัดยศมีลักษณะเป็นพัดแฉก ซึ่งเรียกว่า ทรงพุ่มหัวบิณฑ์ มีตัดพัด ยอด และด้ามแบบต่างๆ ที่แสดงถึงเกียรติยศ

    พัดยศของพระสังฆราชมีความแตกต่างกันตามชาติกำเนิด กล่าวคือ หากไม่ใช่ราชวงศ์ เป็นพัดพื้นตาดเหลืองสลับตาดขาว ปักดิ้นเลื่อม ส่วนชั้นราชวงศ์เป็นพัดพื้นตาดเหลืองสลับตาดขาว ปักดิ้นเลื่อม ใจกลางปักตราเครื่องหมายประจำรัชกาลนั้นๆ

    สำหรับลำดับพิธีการพระราชพิธีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษที่สืบมานั้น พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้สำนักพระราชวังจัดพิธีการ กำหนดวันเวลาและรายการตามพระราชประเพณี ท่ามกลางสังฆมณฑลอันประกอบด้วยกรรมการมหาเถรสมาคม โดยสมณศักดิ์เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีการจารึกพระสุบรรณบัฏ พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมายังพระอุโบสถเพื่อทรงประกอบพระราชพิธี ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วทรงประเคนผ้าไตรแด่พระสงฆ์กรรมการมหาเถรสมาคม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพระรัตนตรัย ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะทรงถวายศีลจบ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้พนักงานอาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการสถาปนา

    จากนั้น สมเด็จพระราชาคณะนำสวดสังฆานุโมทนา เสด็จไปถวายน้ำมหาสังข์ทักษิณาวัฏพระสุพรรณบัฏ พระตราตำแหน่ง พัดยศ เครื่องสมณศักดิ์แด่สมเด็จพระสังฆราช พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา โหรลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ พนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ พระสงฆ์ในอารามทั่วพระราชอาณาจักรเจริญชัยมงคลคาถาและย่ำระฆัง พระมหากษัตริย์ถวายใบปวารณาแด่พระสงฆ์ในสังฆมณฑล พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก เสร็จแล้วพระสังฆราชขึ้นประทับอาสน์สงฆ์กลางพระอุโบสถ พระเถระผู้ใหญ่ ผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์ หัวหน้าคณะรัฐบาล ผู้แทนองคมนตรี ประธานสภา ประธานศาลฎีกา เข้าถวายเครื่องสักการะ สมเด็จพระสังฆราชทรงออกไปรับเครื่องสักการะของบรรพชิตญวนและจีน แล้วเสด็จกลับ เป็นอันเสร็จพิธี

    สำหรับพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 20 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย แล้วทรงประเคนผ้าไตรแด่สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม

    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์ กองอาลักษณ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อ่านประกาศกระแสพระราชโองการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช จากนั้นสมเด็จพระสังฆราช เสด็จประทับ ณ อาสนะที่ปูลาดไว้ข้างพระแท่นเศวตฉัตร

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัฏแด่สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระสุพรรณบัฏ ตราตำแหน่ง พัดยศ ไตรแพร เครื่องยศสมณศักดิ์ เสด็จไปถวายใบปวารณาแทนจตุปัจจัยไทยธรรม ทรงหลั่งทักษิโณทก

    อธิบดีกรมการศาสนากราบทูลนำเสด็จสมเด็จพระสังฆราชไปทรงรับเครื่องสักการะจากพระมหาเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุต คือ สมเด็จพระวันรัต และฝ่ายมหานิกาย คือ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานศาลฎีกา

    สมเด็จพระสังฆราชทรงรับเครื่องสักการะจากบรรพชิตญวนและจีน แล้วเสด็จกลับวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แชร์เก็บไว้เลย! บทสวด พระคาถาป้องกันภัยทั้ง 10 ทิศ ของอาจารย์ฝั้น
    http://www.nookna.net/news-relegion-2-11-17/

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.rak-sukapap.com

    เมื่อสวดคาถานี้ก็อาจสามารถป้องกันอันตรายจากสัตว์ป่านานาชนิด และภูตผีปีศาจทั้งหลายได้ ถ้าผู้ใดสวดเป็นประจำ ก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน และรอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลาย จงตั้งใจสวดทุกเช้าทุกเย็น ก่อนออกจากบ้านไหนก็ตาม ถ้าสวดคาถานี้จะเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง มีโชคมีลาภและป้องกันอันตรายต่างๆ



    บูระพารัสมิง พรพุทธะคุณัง บูรพารัสมิง พระธัมเมตัง บูรพารัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    อาคะเนยรัสมิง พรพุทธะคุณัง อาคะเนยรัสมิง พระธัมเมตัง อาคะเนยรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    ทักษิณรัสมิง พรพุทธะคุณัง ทักษิณรัสมิง พระธัมเมตัง ทักษิณรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    หรดีรัสมิง พรพุทธะคุณัง หรดีรัสมิง พระธัมเมตัง หรดีรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    ปัจจิมรัสมิง พรพุทธะคุณัง ปัจจิมรัสมิง พระธัมเมตัง ปัจจิมรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    พายัพรัสมิง พรพุทธะคุณัง พายัพรัสมิง พระธัมเมตัง พายัพรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    อุดรรัสมิง พรพุทธะคุณัง อุดรรัสมิง พระธัมเมตัง อุดรรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    อิสานรัสมิง พรพุทธะคุณัง อิสานรัสมิง พระธัมเมตัง อิสานรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    อากาศรัสมิง พรพุทธะคุณัง อากาศรัสมิง พระธัมเมตัง อากาศรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    ปฐวีรัสมิง พรพุทธะคุณัง ปฐวีรัสมิง พระธัมเมตัง ปฐวีรัสมิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะ ภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม รักขันตุ สุรักขันตุฯ

    บทความที่น่าสนใจ : เผย 10 วิธีกรวดน้ำที่ถูกวิธี และเกิดผลสูงสุดทั้งผู้ให้และผู้รับ เขาทำแบบนี้เอง?

    การกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลนั้น เป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แก่ญาติสายโลหิตและมิตรสหายที่ล่วงลับไปเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต

    การกรวดน้ำ นิยมทำกันอย่างนี้ คือ เตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะ จะเป็นคณฑี แก้วน้ำ ขวดน้ำ หรือขัน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ และหาภาชนะสำหรับรองน้ำกรวดไว้ให้พร้อม พอพระเริ่มอนุโมทนาขึ้นบทว่า “ยถา วาริวหา……….”

    ก็เริ่มกรวดน้ำ (รินน้ำ) ลงในภาชนะรอง โดยตั้งใจนึกอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลตามแบบกรวดน้ำทั่วไป เมื่อพระว่าจบและขึ้นบทว่า สัพพีติโย….พร้อมกัน ผู้กรวดน้ำพึงหยุดกรวดน้ำแล้วประนมมือรับพร เสร็จแล้วจึงนำน้ำที่กรวดนั้นไปเทลงบนดินที่สะอาด หรือที่โคนต้นไม้ก็ได้

    1. การกรวดน้ำมี 2 วิธี คือ
    -กรวดน้ำเปียก คือ ใช้น้ำเป็นสื่อ รินน้ำลงไปพร้อมกับอุทิศผลบุญกุศลไปด้วย
    -กรวดน้ำแห้ง คือ ไม่ใช้น้ำ ใช้แต่สิบนิ้วพนมอธิษฐาน แล้วอุทิศผลบุญกุศลไปให้

    2. การอุทิศผลบุญมี 2 วิธี คือ
    อุทิศเจาะจง ได้แก่ การออกชื่อผู้ที่เราจะให้ท่านรับ เช่น ชื่อพ่อ แม่ ลูก หรือใครก็ได้
    อุทิศไม่เจาะจง ได้แก่ การกล่าวรวมๆกันไป เช่น ญาติทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น ทางที่ถูกควรทำทั้งสองวิธี คือผู้ที่มีคุณหรือมีเวรต่อกันมาก เราก็ควรอุทิศเจาะจง ที่เหลือก็อุทิศรวมๆ

    3. น้ำกรวด
    ควรเป็นน้ำที่สะอาด ไม่มีสีและกลิ่น และเมื่อกรวดก็ควรรินลงในที่สะอาดและไปเทในที่สะอาด และที่สำคัญ อย่ารินลงกระโถนหรือที่สกปรก

    4. น้ำเป็นสื่อ – ดินเป็นพยาน
    การกรวดน้ำมิใช่จะอุทิศไปให้ผู้ตายกินน้ำ แต่ใช้น้ำเป็นสื่อและใช้แผ่นดินเป็นพยาน ให้รับรู้ในการอุทิศส่วนบุญ

    5. ควรกรวดน้ำตอนไหนดี ?
    ควรกรวดน้ำทันทีในขณะที่พระอนุโมทนาหรือหลังทำบุญเสร็จ แต่ถ้าไม่สะดวกจะทำตอนหลังก็ได้ แต่ทำในขณะนั้นดีกว่า ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

    – ถ้ามีเปรตญาติมารอรับส่วนบุญ ท่านก็ย่อมได้รับในทันที
    – การรอไปกรวดที่บ้านหรือกรวดภายหลัง บางครั้งก็อาจลืมไป ผู้ที่เขาตั้งใจรับก็อด ผู้ที่เราตั้งใจจะให้ก็ชวดไปด้วย

    6. ควรรินน้ำตอนไหน ?
    ควรเริ่มรินน้ำพร้อมกับตั้งใจอุทิศ ในขณะที่พระผู้นำเริ่มสวดว่า “ยะถาวาริวะหาปูรา…” และรินให้หมดเมื่อพระว่ามาถึง “…มะณิโชติระโส ยะถา…” พอพระทั้งหมดรับพร้อมกันว่า “สัพพีติโย วิวัชชันตุ…” เราก็พนมมือรับพรท่านไปจนจบ จึงจะถือว่าถูกต้อง

    7. ถ้ายังว่าบทกรวดน้ำไม่เสร็จ จะทำอย่างไร ?
    ก็ควรใช้บทกรวดน้ำที่สั้นๆหรือใช้บทกรวดน้ำย่อก็ได้ เช่น “อิทัง โน ญาตีนังไหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขออุทิศส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ …. (ออกชื่อผู้ล่วงลับ) …. และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”

    หรือจะใช้แต่ภาษาไทยอย่างเดียวก็ได้ว่า “ขออุทิศส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนี้ จงสำเร็จแก่ พ่อ แม่ ญาติ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณเจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้รับส่วนบุญกุศลครั้งนี้โดยเร็วพลัน และโดยทั่วถึงกันเทอญ” ส่วนบทยาวๆ เราควรเอาไว้กรวดส่วนตัว หรือกรวดในขณะทำวัตรสวดมนต์รวมกันก็ได้

    8. อย่าทำน้ำสกปรกด้วยการเอานิ้วไปรอไว้
    ควรรินให้ไหลเป็นสายไม่ขาดระยะ และไม่ควรใช้วิธี เกาะตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นทางเหมือนเล่นงูกินหาง ถ้าเป็นในงานพิธีต่างๆ ให้เจ้าภาพหรือประธาน รินน้ำกรวดเพียงคนเดียวหรือคู่เดียวก็พอ คนนอกนั้นก็พนมมือตั้งใจอุทิศไปให้

    9. การทำบุญและอุทิศส่วนบุญ
    ควรสำรวมจิตใจ อย่าให้จิตฟุ้งซ่าน ปลูกศรัทธา ความเชื่อ
    และความเลื่อมใสให้มั่นคงในจิตใจ ผลของบุญและการอุทิศส่วนบุญย่อมมีอานิสงค์มาก
    ผลบุญที่เราอุทิศไปให้ ถ้าไม่มีใครมารับก็ยังคงเป็นของเราอยู่ครบถ้วน ไม่มีผู้ใดจะมาโกงหรือแย่งชิงไปได้เลย

    10. บุญเป็นของกายสิทธิ์
    ยิ่งให้ยิ่งมาก ยิ่งตระหนี่ยิ่งน้อย ยิ่งอุทิศให้คนอื่นหมดเลยเราก็ยิ่งจะได้บุญหมดเลย

    พระคาถาป้องกันภัยทั้ง 10 ทิศ


    พระคาถามงคลจักรวาลแปดทิศ กำแพงมนต์
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ๗๐๐ ปี วัดนครไทยวราราม หลวงพ่อใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อสนองสันโดด
    http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/99297

    วัดนครไทยวราราม หรือวัดหัวร้อง (วัดใต้) เป็นวัดโบราณคู่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก หรือเมืองบางยาง พ่อขุนบางกลางท่าว ตามจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ วัดศรีชุม มีโบราณสถานสำคัญ คือ วิหารโบราณทรงโรง ตามแบบสถาปัตยกรรมพื้นเมือง หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้ สมัยอยุธยาตอนต้น หร
    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วัดหัวร้องเป็นอารามที่มีพระอมตเถราจารย์ชื่อดัง เรืองพระเวทย์มาแต่โบราณ คือ หลวงปู่หุย ผู้ทรงอาคม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่มีอายุพรรษาสูงกว่า หลวงพ่อเรือง วัดบ้านดง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก พระเกจิอาจารย์ร่วมสมัย เจ้าของผ้ายันต์นกคุ้มกันไฟ ที่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ลงไว้บนเพดานศาลาไม้โบราณวัดหัวร้อง ที่ประสบอัคคีภัย แต่เพลิงไฟไม่สามารถเผาไหม้ทำลายได้

    นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมี พระเถรรัตตัญญู ผู้มีศีลาจารวัตร อันงดงาม เก็บตัวเจริญภาวนา สมณธรรม ด้วยความ สมถะ สันโดษ ปล่อยวางไม่ยึดติดใน ลาภ ยศ ตำแหน่ง หรือ สมณศักดิ์ เก็บตัวอยู่เงียบๆ จึงเปรียบเสมือนช้างเผือกย่อมอยู่ในป่าใหญ่ คือ พระครูนครบุราณานุรักษ์ หรือ หลวงพ่อสนอง อตฺตทโป

    หลวงพ่อสนอง เป็นพระเถระที่มีศีลาจาริวัตรอันงดงาม ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาปฏิบัติ มุ่งเจริญสมาธิเพื่อความสงบ ตามที่หลวงพ่อพันธ์ได้สอนไว้จนเชี่ยวชาญ สมถะ สันโดษ พูดน้อย และได้ศึกษาสรรพวิชาเพิ่มเติมจากตำรายันต์ โบราณของหลวงปู่หุย อดีตเจ้าอาวาสวัดหัวร้อง ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีอาวุโสสูงกว่า หลวงพ่อเรือง วัดบ้านดง อ.ชาติตระการ

    ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒ หลวงพ่อสนอง ท่านเห็นว่า ตำแหน่งเจ้าคณะปกครองมีภารกิจมาก ยากแก่การแสวงหาความสงบ สงัด แห่งสมณธรรมได้ และท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว รับธุระพระศาสนาสนองงานคณะสงฆ์มาถึงเวลาอันสมควร รวมทั้งท่านมิได้ติดยึดในยศถาบรรดาศักดิ์ ซึ่งเป็นสมมุติสัจจะ ท่านได้บอกกับคณะศิษย์เสมอว่า “หนัก คือ ยึด ว่าง คือ วาง สว่าง คือ ปัญญา รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน ความสุขสงบที่แท้จริง จึงจะปรากฏ”

    ท่านจึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอนครไทย ที่ได้ปฏิบัติศาสนกิจ รับธุระพระพุทธศาสนามายาวนานกว่า ๑๗ ปี ด้วยวัยเพียง ๔๔ ปี พรรษา ๒๔ ทั้งๆ ที่ยังมีอนาคตที่ยาวไกลถึง พระราชาคณะ เพื่อมุ่งปฏิบัติเจริญกรรมฐาน สมาธิภาวนา วันละ ๒-๓ ชั่งโมง มาโดยตลอด และเก็บตัวอยู่กับ ความสงบ นิ่ง เงียบ สันโดษ

    ในคราวฉลองอายุ ๖๐ ปี เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ คณะศิษย์ได้จัดสร้างเหรียญรูปเหมือน, รูปหล่อลอยองค์ และรูปหล่อขนาดบูชา ๕ นิ้ว พร้อมด้วยพระปิดตา เนื้อผงว่านและปูนที่กระเทาะจากวิหารโบราณวัดหัวร้อง ที่หลวงพ่อสนองได้บูรณปฏิสังขรณ์ ถวายให้ท่านปลุกเสก และแจกแก่คณะศิษย์หมดไปจากวัดภายในเวลาอันรวดเร็ว เป็นพระเครื่องที่มีพุทธคุณเข้มขลัง ประสบการณ์สูงส่งในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เป็นที่หวงแหนของผู้มีไว้สักการบูชาเป็นยิ่งนัก

    หลวงพ่อสนอง ได้มีเมตตาใช้สรรพวิชาที่ หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน สอนไว้ใช้ในการสงเคราะห์ ฉลองศรัทธาแก่คณะศิษย์ที่มารบเร้าขอของดีจากท่าน คือ ลงตะกรุด นะปถมัง ด้วยพระยันต์พระเจ้า ๑๖ พระองค์ และผ้ายันต์ โดยท่านจะเลือกฤกษ์งามยามดี ในดิถี วันเสาร์ ๕ เพียงวันเดียวเท่านั้นในการประกอบพิธี โดยตั้งเครื่องบูชาครู แล้วลงตะกรุดแต่เช้ามืด จนเสร็จ แล้วจึงนำมาปลุกเสก ๗ เสาร์ ๗ อังคาร ก่อนมอบให้คณะศิษย์

    หลวงพ่อสนอง อตฺตทโป จึงเป็นเถรรัตตัญญูรูปสำคัญ ที่มีศีลาจารวัตรอันงดงาม ปล่อย วาง จาก ยศ ลาภ มุ่งเจริญสมณธรรม อันเป็นสร้างพระในตนเอง สมเป็น พุทธบุตร สังฆชิโนรส ที่หาได้ยากยิ่งรูปหนึ่งในสังฆมณฑลสยามประเทศ ที่สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจอย่างแท้จริง สมคำบุราณที่ว่า ช้างเผือกย่อมอยู่ในป่าใหญ่ อย่างแท้จริง

    ชาติภูมิหลวงพ่อสนอง

    “สนอง ขำคง” เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงพ่อสนอง เกิดที่ บ้านนาบัว ต.นาบัว อ.นครไทย เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๗๘ อุปสมบทที่พัทธสีมาวัดนาบัว เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๙๘ โดยมี พระครูประพัฒน์สรศีล (ชม) วัดหัวร้อง เจ้าคณะอำเภอนครไทย เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบได้นักธรรมโท ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ และดำรงตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะอำเภอนครไทย

    เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ พระครูประพัฒน์สรศีล ได้ลาสิกขา หลวงพ่อสนอง ขณะนั้นอายุได้ ๒๗ ปี พรรษา ๗ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นรักษาการเจ้าคณะอำเภอนครไทย ต่อมา พ.ศ.๒๕๐๙ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นโท ที่พระครูนครบุราณานุรักษ์

    พ.ศ.๒๕๑๑ เป็น พระอุปัชฌาย์ และใน พ.ศ.๒๕๑๗ เป็นพระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก จนในพ.ศ.๒๕๒๒ จึงลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอนครไทย เพื่อมุ่งปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา แสวงหาความสงบ ในสมณเพศอย่างแท้จริง ดังพุทธพุจน์ที่ว่า นตฺถิ สนฺติ ปรมํสุขขํ สุขใดยิ่งกว่าใจสงบไม่มี

    ปัจจุบัน หลวงพ่อสนอง อายุวัฒนมงคลได้ ๗๖ ปี คณะศิษย์จึงได้จัดงานฉลองวัดนครไทยวราราม และสมโภชหลวงพ่อใหญ่ อายุครบ ๗๐๐ ปี ในระหว่างวันที่ ๖-๙ มิถุนายนศกนี้

    “หนัก คือ ยึด ว่าง คือ วาง สว่าง คือ ปัญญา รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน ความสุขสงบที่แท้จริง จึงจะปรากฏ”

    เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติราชวงศ์ และการครองราชย์ ของราชงวศ์ไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน
    โดย Koungwhal Thongnetra
    -http://oknation.nationtv.tv/blog/pohthai/2012/04/19/entry-2-

    สมัยสุโขทัย


    ราชวงศ์พระร่วงคือราชวงศ์แรกของไทย มีกษัตริย์ 9 พระองค์ ปกครอง เวลา 120 ปี

    1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครองราชย์ 40 ปี
    2. พ่อขุนบาลเมือง ครองราชย์ 1 ปี
    3. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช 19 ปี
    4. พระยาเลอไท 25 ปี
    5. พระยางั่วนำถม 24 ปี
    6. พระมหาธรรมราชาที่ 1 ( ลิไท ) 21 ปี
    7. พระมหาธรรมราชาที่ 2 ( ลือไท ) 31 ปี
    8. พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท ) 19 ปี
    9. พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล ) 19 ปี

    ครองราชย์ จาก พ.ศ. 1792- พ.ศ. 1981 รวม 120 ปี และเหลื่อมทับกับสมัยอยุธยา อยู่ 27 ปี




    สมัยอยุธยา เริ่มจาก

    ราชวงศ์ อู่ทอง ปกครอง 2สมัย สมัยที่ 1 ปกครอง 20 ปี มีกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ

    1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่1 ( พระเจ้าอู่ทอง ) ครองราชย์ 20 ปี
    2. สมเด็จพระราเมศวร ครองราชย์ครั้งที่1 ไม่ถึง ปี ก็โดน ชิงอำนาจ เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่


    ราชวงศ์สุพรรณภูมิ เข้าปกครอง 2 ครั้ง ครั้งแรก 18 ปี
    มีกษัตริย์ปกครองในครั้งแรก 2พระองค์คือ


    1. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพระงั่ว ) ครองราชย์ 18 ปี
    2. สมเด็จพระเจ้าทองลั่น (เจ้าทองจันท์ ) ครองราชย์ 7 วัน


    สมัยที่ 1 ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ปกครอง 18 ปี จาก พ.ศ. 1913-1931
    แล้วถูกราชวงศ์อู่ทองชิงอำนาจกลับมาอีกครั้ง




    ราชวงศ์อู่ทอง สมัยที่ 2 ครองราชย์ 21 ปี มีกษัตริย์ 2 องค์ คือ

    1. สมเด็จพระราเมศวร สมัยที่ 2 ครองราชย์ 7 ปี
    2. สมเด็จพระราม ราชาธิราช ครองราชย์ 14 ปี

    รวมราชวงศ์อู่ทองครองราชย์ 2ครั้ง 41 ปี มีกษัตริย์ 3 องค์ และสิ้นสุดราชวงศ์

    ราชวงศ์ สุพรรณภูมิ สมัยที่ 2 กลับมาใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ครั้งที่2 ครองราชย์ 160 ปี


    1.สมเด็จพระอินราชาธิราช ( พระนครินทราธิราช ) ครองราชย์ 15 ปี
    2. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา ) - 24 ปี
    3.สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ - 40 ปี
    4. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 - 3 ปี
    5.สมเด็จพระรามาธิบดีที่2 (พระเชษฐาธิราช ) - 38 ปี
    6.สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (หน่อพุทธางกูร ) - 4 ปี
    7. สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร -- 4 เดือน
    8. สมเด็จพระไชยราชาธิราช - 13 ปี
    9. สมเด็จพระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า ) - 2 ปี
    10.สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ - 20 ปี
    11. สมเด็จพระมหินทราธิราช 1 ปี ( เสียกรุงครั้งที่ 1)

    ราชวงศ์สุพรรณภูมิปกครอง 2 สมัย รวม 178 ปี เสียกรุงครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2112


    ราชวงศ์สุโขทัย ปกครอง 61 ปี มีกษัตริย์ 7 พระองค์

    1.พระมหาธรรมราชาธิราช ครองราชย์ 21 ปี
    2. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ( กู้กรุงครั้งที่ 1 ) 15 ปี
    3. สมเด็จพระเอกาทศรถ 5 ปี
    4.สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ ไม่ถึงปี
    5. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม 17 ปี
    6. สมเด็จพระเชษฐาธิราช 1 ปี
    7. สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ 36 (วัน )

    ราชวงศ์สุโขทัยปกครองจาก พ.ศ. 2112-2172 รวม 61 ปี สิ้นสุดราชวงศ์

    ราชวงศ์ปราสาททอง ปกครอง 58 ปี มีกษัตริย์ 4 พระองค์

    1. สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ 27 ปี
    2. สมเด็จเจ้าฟ้าไชย 2 (วัน )
    3. สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา 3 ( เดือน )
    4. สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช 32 ปี

    ราชวงศ์ปราสาททองครองราชย์ จาก พ.ศ.2172-2231 รวม 58 ปี สิ้นสุดราชวงศ์


    ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ปกครอง 79 ปี มีกษัตริย์ 6 พระองค์
    1.สมเด็จพระเพทราชา ครองราชย์ 15 ปี
    ( องค์นี้มีการจัดการปกครองในสมัยพระองค์ด้วย จะนำมาเล่าให้ทราบโอกาสต่อไป )

    2. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 ( พระเจ้าเสือ ) ครองราชย์ 5 ปี
    3.สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ( พระเจ้าท้ายสระ ) 24 ปี
    4 . สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ 26 ปี
    5. สมเด็จพระเจ้า อุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด ) 2 (เดือน )
    6. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์ ) 9 ปี
    ( เสียกรุงครั้งที่ 2 เมื่อ 2310 )


    ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ปกครองจาก พ.ศ. 2231- พ.ศ.2310 สิ้นสุดราชวงศ์



    สมัยกรุงธนบุรี ไม่มีชื่อราชวงศ์
    1. พระเจ้าตากสินมหาราช (กู้ชาติ ครั้งที่ 2 ) ปกครองจาก พ.ศ.2310- 2325 รวม 15 ปี


    ...............................................................................................................................................................

    สมัยรัตนโกสินทร์ จาก 2325- ปัจจุบัน


    1.พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครองราชย์ 27 ปี

    2.พระบาท สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย - 15 ปี

    3. พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 ปี

    4.พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 18 ปี

    5. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว - 42 ปี

    6. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว - 15 ปี

    7. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 9 ปี

    8. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล - 12 ปี

    9. พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จาก พ.ศ. 2489 - ปัจจุบัน


    ***** หมายเหตุุ ทั้งหมดนี้ยังไม่นับ ราชวงศ์ มังราย และราชวงศ์ ทิพย์จักราธิวงศ์
    (เจ้าเจ็ดตน ) ของล้านนา *****


    กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ การปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
     

แชร์หน้านี้

Loading...