พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อาณาจักรสุโขทัย
    Posted by ราษีไศล
    วันอังคาร ที่ 5 พฤศจิกายน 2556
    http://oknation.nationtv.tv/blog/bangkoksuvarnabhumi-college/2013/11/05/entry-1
    ขอบคุณข้อมูล www.baanjomyut.com

    อาณาจักรสุโขทัย
    การก่อตั้งกรุงสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยก่อตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. 1780 พ่อขุนศรีอินทรา- ทิตย์ ทรงพระนามเดิมว่า พ่อขุนบางกลางหาว ทรงสถาปนาสุโขทัยขึ้นมา สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชนชาติไทย โดยขยายเขตการปกครองออกไปอย่างกว้างขวาง สุโขทัยเป็นราชอาณาจักรของชาติไทย อยู่ประมาณ 200 ปี จึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1981

    อาณาจักรสุโขทัย ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ และที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง มีอาณาเขตดังนี้

    เดิมที สุโขทัย เป็นสถานีการค้าของแคว้นละโว้ (ลวรัฐ) ของอาณาจักรขอม บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ กับเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง (ประเทศลาว) คาดว่าเริ่มตั้งเป็นสถานีการค้าในราวพุทธศักราช 1700 ในรัชสมัยของพระยาธรรมิกราช กษัตริย์ละโว้ โดยมีพ่อขุนศรีนาวนำถม เป็นผู้ปกครองและดูแลกิจการภายในเมืองสุโขทัย และศรีสัชนาลัย ต่อมาเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสวรรคต ขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งเป็นคล้ายๆกับผู้ตรวจราชการจากลวรัฐ เข้าทำการยึดอำนาจการปกครองสุโขทัย จึงส่งผลให้ พ่อขุนผาเมือง (พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถม) เจ้าเมืองราด และ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ตัดสินพระทัยจะยึดดินแดนคืน การชิงเอาอำนาจจากผู้ครองเดิมคือ อาณาจักรขอม เมื่อปี พ.ศ. 1781 และสถาปนาเอกราช ให้กรุงสุโขทัยขึ้นเป็นรัฐอิสระ โดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐใด

    และพ่อขุนผาเมือง ก็กลับยกเมืองสุโขทัย ให้พ่อขุนบางกลางหาวครอง พร้อมทั้ง พระแสงขรรค์ชัยศรี และพระนาม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงพระราชทานให้พ่อขุนผาเมืองก่อนหน้านี้ โดยคาดว่า เหตุผลคือพ่อขุนผาเมืองมีพระนางสิขรเทวีพระมเหสี (ราชธิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) ซึ่งพระองค์เกรงว่าชาวสุโขทัยจะไม่ยอมรับ แต่ก็กลัวว่าทางขอมจะไม่ไว้ใจจึงมอบพระนามพระราชทาน และพระแสงขรรค์ชัยศรี ขึ้นบรมราชาภิเษก พ่อขุนผาเมืองให้เป็นกษัตริย์ เพื่อเป็นการตบตาราชสำนักขอม

    หลังจากมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี และมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แล้ว พระองค์ทรงดูแลพระราชอาณาจักร และบำรุงราษฏรเป็นอย่างดี

    พระมหากษัตริย์พระองค์ที่สาม พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถทั้งในด้านนิรุกติศาสตร์ การปกครอง กฎหมาย วิศวกรรม ศาสนา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น ผลงานของพระองค์ที่ปรากฏให้เห็น อาทิ ศิลาจารึกที่ค้นพบในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่อธิบายถึงความเป็นมา ลีลาชีวิตของชาวสุโขทัยโบราณ น้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ การพิพากษาอรรถคดี ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีผลงานทางวิศวกรรมชลประทาน คือ เขื่อนสรีดภงค์ที่เป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง มีการทำท่อส่งน้ำจากตัวเขื่อนมาใช้ในเมือง


    พระมหากษัตริย์ที่ทรงทำนุบำรุงศาสนามากที่สุดคือ พระเจ้าลิไท ในรัชสมัยของพระองค์มีการสร้างวัดมากที่สุด


    กษัตริย์พระองค์สุดท้ายในฐานะรัฐอิสระ คือ พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) ต่อจากนั้น อาณาจักรได้ถูกแบ่งส่วนออกเป็นของอาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรล้านนา จนในที่สุด อาณาจักรทั้งหมด ก็ถูกรวมศูนย์ เข้าเป็นดินแดนสวนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา โดยสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) แห่งอาณาจักรอยุธยา สุโขทัยถูกแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน



    - พระยาบาล (บรมปาลมหาธรรมราชา) ครองพิษณุโลก

    - พระยาราม ครองสุโขทัย
    - พระยาเชลียง ครองเชลียง
    - พระยาแสนสอยดาว ครองกำแพงเพชร


    พื้นที่อานาจักร สุโขทัย



    1. ทิศเหนือ มีเมืองแพร่ (ปัจจุบันคือแพร่) เป็นเมืองปลายแดนด้านเหนือสุด
    2. ทิศใต้ มีเมืองพระบาง (ปัจจุบันคือนครสวรรค์) เป็นเมืองปลายแดนด้านใต้
    3. ทิศตะวันตก มีเมืองฉอด (ปัจจุบันคือแม่สอด) เป็นเมืองชายแดนที่จะติดต่อเข้าไปยังอาณาจักรมอญ
    4. ทิศตะวันออก ถึงเมืองสะค้าใกล้แม่น้ำโขงในเขตภาคอีสานตอนเหนือ




    การปกครองกรุงสุโขทัย
    1. แบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดแบบเครือญาติ เรียกพระมหากษัตริย์ว่า พ่อขุน
    2. แบบธรรมราชา พระมหากษัตริย์ เป็นแบบอย่างของธรรมราชา เรียกพระมหากษัตริย์ว่าพระมหาธรรมราชา

    รายพระนามพระมหากษัตริย์สุโขทัย
    ราชวงศ์นำถุม (ราชวงศ์ผาเมือง)
    - พ่อขุนศรีนาวนำถุม ครองราชย์ปีใดไม่ปรากฏ - พ.ศ. 1724
    ขอมสบาดโขลญลำพง
    - ขอมสบาดโขลญลำพง (พ.ศ. 1724 - พ.ศ. 1780)
    ราชวงศ์พระร่วง
    - พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ.ศ. 1780- สวรรคตปีใดไม่ปรากฏ (ประมาณ พ.ศ. 1801) )
    - พ่อขุนบานเมือง (หลังพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สวรรคต - พ.ศ. 1822)
    - พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. 1822 - พ.ศ. 1842) (ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เรียกว่า พ่อขุนรามราช)
    - ปู่ไสสงคราม (รักษาราชการชั่วคราวแทน พญาเลอไท ซึ่งขณะนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองสุโขทัย)
    - พญาเลอไท (พ.ศ. 1842 - พ.ศ. 1833)
    - พญางั่วนำถุม (พ.ศ. 1833 - พ.ศ. 1890) [1]
    - พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) (พ.ศ. 1890 - พ.ศ. 1913)
    - พระมหาธรรมราชาที่ 2 (ลือไท) (พ.ศ. 1913 - พ.ศ. 1931) (ตกเป็นประเทศราชของอยุธยาในปี พ.ศ. 1921)
    - พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสยลือไท) (พ.ศ. 1931 - พ.ศ. 1962)
    - พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) (พ.ศ. 1962 - พ.ศ. 1981)
    - พระยายุทธิษฐิระ (พ.ศ. 1991 - พ.ศ. 2011) (เป็นประเทศราชล้านนาในปี พ.ศ. 2011) [2]
    ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
    - สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 2011 - พ.ศ. 2031) (สถาปนา และประทับ ณ พิษณุโลก จนสิ้นรัชกาล)
    - พระเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2031 - พ.ศ. 2034) (ตำแหน่งพระมหาอุปราชของอยุธยา)
    - พระอาทิตยวงศ์ (พระหน่อพุทธางกูร) (พ.ศ. 2034 - พ.ศ. 2072) (ตำแหน่งพระมหาอุปราชของอยุธยา)
    - พระไชยราชา (พ.ศ. 2072 - พ.ศ. 2077) (ตำแหน่งพระมหาอุปราชของอยุธยา)
    ราชวงศ์สุโขทัย
    - พระมหาธรรมราชา (ขุนพิเรนทรเทพ) (พ.ศ. 2077 - พ.ศ. 2111) (เจ้าราชธานีฝ่ายเหนือ)
    - พระนเรศวร (หลังเสด็จกลับจากหงสาวดี - พ.ศ. 2127) (ตำแหน่งพระมหาอุปราชของอยุธยา)



    การจัดรูปแบบการปกครอง
    1. การปกครองราชธานี กรุงสุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครองในอาณาจักร
    2. การปกครองส่วนภูมิภาค เป็นการปกครองเมืองต่าง ๆ ที่อยู่นอกเมืองหลวงออกไป แบ่ง ออกเป็น 3 ประเภท
    - หัวเมืองชั้นใน (เมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่าน) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่รอบ ราชธานี ทั้ง 4 ทิศ
    - หัวเมืองชั้นนอก (เมืองพระยามหานคร) อยู่ไกลจากราชธานีมากกว่าเมือง ลูกหลวง กษัตริย์ทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์หรือขุนนางชั้นสูงไปปกครองดูแลดินแดน
    - หัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองที่อยู่ไกลราชธานีออกไปมาก เป็นเมืองของคน ต่างชาติ ต่างภาษา ที่อยู่ใต้การปกครองของสุโขทัย

    ด้านการปกครองสามารถแยกกล่าวเป็น 2 แนว ดังนี้

    ในแนวราบ
    จัดการปกครองแบบพ่อปกครองลูก กล่าวคือผู้ปกครองจะมีความใกล้ชิดกับประชาชน ให้ความเป็นกันเองและความยุติธรรมกับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อประชาชนเกิดความเดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนกับพ่อขุนโดยตรงได้ โดยไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่หน้าประตูที่ประทับ ดังข้อความในศิลาจารึกปรากฏว่า "…ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งไว้ให้ ไพร่ฟ้าหน้าใส…" นั่นคือเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมาสั่นกระดิ่งเพื่อแจ้งข้อร้องเรียนได้

    ในแนวดิ่ง
    ได้มีการจัดระบบการปกครองขึ้นเป็น 4 ชนชั้น คือ

    - พ่อขุน เป็นชนชั้นผู้ปกครอง อาจเรียกชื่ออย่างอื่น เช่น เจ้าเมือง พระมหาธรรมราชา หากมีโอรสก็ จะเรียก "ลูกเจ้า"
    - ลูกขุน เป็นข้าราชบริพาร ข้าราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่ช่วงปกครองเมืองหลวง หัวเมืองใหญ่น้อย และภายในราชสำนัก เป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดและได้รับการไว้วางใจจากเจ้าเมืองให้ปฏิบัติหน้าที่บำบัด ทุกข์บำรุงสุขแก่ไพร่ฟ้า
    - ไพร่หรือสามัญชน ได้แก่ราษฎรทั่วไปที่อยู่ในราชอาณาจักร (ไพร่ฟ้า)
    - ทาส ได้แก่ชนชั้นที่ไม่มีอิสระในการดำรงชีวิตอย่างสามัญชนหรือไพร่ (อย่างไรก็ตามประเด็นทาส นี้ยังคงถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่)

    เศรษฐกิจสมัยสุโขทัย

    สภาพเศรษฐกิจสมัยสุโขทัยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ดังข้อความปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 "…ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า…" และ "...เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว..." ประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมด้วยระบบการเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติ เช่นสังคมไทยส่วนใหญ่ในชนบทปัจจุบัน

    1. เกษตรกรรม การเพาะปลูกเป็นอาชีพหลักของประชาชน ประชาชนที่ดินทำกินเป็นของตนเอง มีระบบชลประทานเข้าช่วยในการทำการเกษตร
    2. หัตถกรรม เครื่องสังคโลก เป็นสินค้าส่งออกไปขายยังต่างประเทศ
    3. พาณิชยกรรม ระบบการค้าแบบเสรีไม่เก็บภาษี เงินตรา คือ เงินพดด้วง แบ่งออกเป็น สลึง บาท และตำลึง

    ความเจริญทางศิลปวัฒนธรรม

    1. ขนบประเพณี เป็นประเพณีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา เช่น ประเพณีการบวช ทอดกฐิน การ สร้างวัด เป็นต้น
    2. ศาสนา พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หีนยาน) ลัทธิลังกาวงศ์ เป็นศาสนาประจำชาติ
    3. ศิลปกรรม ส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สถาปัตยกรรมที่ สำคัญ คือ เจดีย์ทรงกลมตามแบบอย่างลังกา เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือดอกบัวตูม
    4. ภาษา และวรรณคดี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 1826
    การใช้ชีวิตของผู้คนในสมัยสุโขทัยมีความอิสรเสรี มีเสรีภาพอย่างมากเนื่องจากผู้ปกครองรัฐให้อิสระแก่ไพร่ฟ้า และปกครองผู้ใต้ปกครองแบบพ่อกับลูก ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกว่า "…ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื่อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน…"

    ด้านความเชื่อและศาสนา สังคมยุคสุโขทัยประชาชนมีความเชื่อทั้งเรื่องวิญญาณนิยม (Animism) ไสยศาสตร์ ศาสนาพราหมณ์ฮินดู และพุทธศาสนา ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 3 ว่า "…เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้มีกุฎิวิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดพงส์ มีป่าพร้าว ป่าลาง ป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขระพุงผี เทพยาดาในเขาอันนั้นเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ว ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยว เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอันนั้นบ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย…"

    ส่วนด้านศาสนา ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราช ในวันพระ จะมีภิกษุเทศนาสั่งสอน ณ ลานธรรมในสวนตาล โดยใช้พระแท่นมนังคศิลาอาสน์ เป็นอาสนะสงฆ์ ในการบรรยายธรรมให้ประชาชนฟัง ยังผลให้ประชาชนในยุคนี้นิยมปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม มีการถือศีล โอยทานกันเป็นปกติวิสัย ทำให้สังคมโดยรวมมีความสงบสุขร่มเย็น

    ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

    • ความสัมพันธ์กับล้านนา และอาณาจักรพะเยา เป็นไมตรีกันตลอดมา
    • ความสัมพันธ์กับอาณาจักรมอญ มอญสวามิภักดิ์ต่อสุโขทัย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง มหาราช เพราะทรงสนับสนุนมะกะโทราชบุตรเขยเป็นกษัตริย์ 3. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรนครศรีธรรมราช สุโขทัยรับเอาพุทธศาสนา นิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ มาจากลังกา โดยผ่านเมืองนครศรีธรรมราช
    • ความสัมพันธ์กับลังกา สุโขทัยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับลังกา ลังกาได้ถวายพระ พุทธสิหิงค์แก่สุโขทัย
    • ความสัมพันธ์กับจีน สุโขทัยทำการค้ากับจีนมาเป็นเวลานาน จีนได้ส่งคณะทูตเข้ามา เจริญสัมพันธไมตรีกับไทย ซึ่งเป็นประโยชน์กับไทยทั้งการเมือง และการค้า
    ความเสื่อมของกรุงสุโขทัย

    1. การแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเชื้อพระวงศ์ของสุโขทัยทำให้อำนาจการปกครองอ่อนแอ ลง
    2. พระมหากษัตริย์ของสุโขทัยสมัยต่อมา ทรงสนพระทัยทางด้านศาสนามากกว่าการ ป้องกันประเทศ
    3. อาณาจักรอยุธยา สถาปนาขึ้นทางตอนใต้ มีความเข้มแข็งมากขึ้น จึงผนวกอาณาจักร สุโขทัยเป็นอาณาเขตเดียวกัน



    การสิ้นสุดยุคอาณาจักร
    พ.ศ. 2127 หลังจากชนะศึกที่แม่น้ำสะโตงแล้ว พระนเรศวรโปรดให้เทครัวเมืองเหนือทั้งปวง (ตาก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย พิษณุโลก กำแพงเพชร ชัยบุรี ศรีเทพ) ลงมาไว้ที่อยุธยา เพื่อเตรียมรับศึกใหญ่ พิษณุโลกและหัวเมืองเหนือทั้งหมดจึงกลายเป็นเมืองร้าง หลังจากเทครัวไปเมืองใต้ จึงสิ้นสุดการแบ่งแยกระหว่างชาวเมืองเหนือ กับชาวเมืองใต้ และถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐสุโขทัยโดยสมบูรณ์ เพราะหลังจากนี้ 8 ปี พิษณุโลกได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้ง แต่ถือเป็นเมืองเอกในราชอาณาจักร มิใช่ราชธานีฝ่ายเหนือ

    ในด้านวิชาการ มีนักวิชาการหลายท่านได้เสนอเพิ่มว่า เหตุการณ์อีกประการ อันทำให้ต้องเทครัวเมืองเหนือทั้งปวงโดยเฉพาะพิษณุโลกนั้น อยู่ที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บนรอยเลื่อนวังเจ้า ในราวพุทธศักราช 2127 แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลให้ตัวเมืองพิษณุโลกราพณาสูญ แม้แต่แม่น้ำแควน้อย ก็เปลี่ยนเส้นทางไม่ผ่านเมืองพิษณุโลก แต่ไปบรรจบกับแม่น้ำโพ (ปัจจุบันคือแม่น้ำน่าน) ที่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไป และยังส่งผลให้พระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก หักพังทลายในลักษณะที่บูรณะคืนได้ยาก ในการฟื้นฟูจึงกลายเป็นการสร้างพระปรางค์แบบอยุธยาครอบทับลงไปแทน
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    7 วิธีดูคนของขงเบ้ง
    by Samkok Wittaya
    http://www.samkok911.com/2017/04/7-ways-to-be-master-mind.html

    "หน้าซื่อแต่ใจคด สุภาพแต่ใจทราม เกรี้ยวกราดแต่ตาขาว แข็งขันแต่กลิ้งกลอก ใจคนนั้นดูยาก แต่ก็ใช่ว่า มิอาจจะหยั่งถึง" ขงเบ้งได้เขียนถึงวิธีการหยั่งรู้ใจคนไว้ในบทที่ 3 ของ "ตำราพิชัยสงครามขงเบ้ง" ตำราวิชาการทหารเล่มสำคัญ ที่ขงเบ้งมอบให้แก่เกียงอุยนายทหารเอก และตำราเล่มนี้ยังคงสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน ซึ่งในบท ๆ นี้มีใจความสำคัญว่า

    "อันการหยั่งรู้ ดูอุปนิสัยใจคอคนนั้นเป็นเรื่องยาก คนมีดีชั่วแตกต่าง นิสัยใจคอหาใช่จะสัมพันธ์กับรูปลักษณ์ภายนอก บางคนหน้าซื่อแต่ใจกลับคิดคด บางคนสุภาพอ่อนหวานแต่กลับมีจิตใจเลวทราม บางคนเกรี้ยวกราดห้าวหาญแต่กลับขี้ขลาดตาขาว บางคนมีมานะแข็งขันแต่กลับกลิ้งกลอกหาความสัตย์มิได้ ใจคนนั้นแม้นจะดูยาก แต่ก็พอมีโอกาสหยั่งถึง"

    วิธีที่จะหยั่งรู้จิตใจมนุษย์นั้น มีอยู่ด้วยกัน 7 ประการดังนี้
    1. ลองใจด้วยความผิดและถูก เพื่อหยั่งรู้คติธรรม
    2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587-1.jpg

    ลองใจด้วยปัญหาทางศีลธรรม สอบถามประเด็นทางการเมือง เพื่อทดสอบจุดยืน ความคิดจิตใจ ทัศนคติ รวมทั้งความปรารถนาลึก ๆ ภายในจิตใจ
    2. โต้แย้งให้จนมุม เพื่อดูปฏิภาณ
    2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587-2.jpg

    หาปัญหาต่าง ๆ มาซักไซ้ไล่เลียง ยั่วยุให้เขาโกรธ เพื่อทดสอบการควบคุมอารมณ์ ไหวพริบปฏิภาณ
    3. ซักถามด้วยกลอุบาย เพื่อดูสติปัญญา
    2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587-3.jpg

    ปรึกษาแผนการ เรื่องราวต่าง ๆ กับเขาเพื่อทดสอบภูมิความรู้ สติปัญญา และความเข้าใจ
    4. แจ้งภัยให้รู้ เพื่อดูความกล้า
    2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587-4.jpg

    แจ้งเขาให้ทราบว่า ภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาหาตัว เพื่อพิจารณาให้เห็นความกล้าหาญและความอดทน
    5. มอมเมาด้วยสุรา พิจารณานิสัย
    2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587-5.jpg

    จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ให้เพียบพร้อมด้วยสุรายาเมา เพื่อดูอุปนิสัยใจคอในยามขาดสติ รวมทั้งวินัยในการควบคุมตน
    6. สรรเสริญด้วยลาภยศ เพื่อดูความสุจริต
    2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587-6.jpg

    ใช้ผลประโยชน์ทั้งลาภ ยศ และคำสรรเสริญเข้าล่อใจ เพื่อทดสอบความซื่อสัตย์สุจริต
    7. มอบงานให้ทำ เพื่อดูความรับผิดชอบ
    2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587-7.jpg

    มอบหมายงานให้เขาทำ เพื่อทดสอบว่ามีความรับผิดชอบ น่าไว้วางใจ สามารถทำงานได้ถูกต้อง ครบถ้วนและตรงต่อเวลาหรือไม่ อย่างไร

    "7 วิธีดูคนของขงเบ้ง" จะต้องนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมด้วยสติปัญญา ตามจังหวะ และโอกาสอันอำนวย หาไม่แล้วก็อาจเกิดผลเสียกับตัวผู้ใช้เสียเอง

    หากมีโอกาสให้ทำก็จงทำ เพราะการหยั่งรู้อุปนิสัยใจคอของคน คือ "สิ่งแรกสุดของการใช้คน"
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลดเบี้ยประกันรถยนต์ ปี 2017 วีธีไหนเด็ด มาดูกัน !
    http://money.sanook.com/480331/

    https://www.moneyguru.co.th/th
    สนับสนุนเนื้อหา

    ในปี 2017 มีวิธี ลดเบี้ยประกันรถยนต์ เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมายหลายวีธี ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับยุคข้าวยากหมากแพงอย่างในปัจจุบันนี้ จะมีวิธีไหนบ้างที่สามารถช่วยลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ MoneyGuru.co.th ได้รวบรวมมาฝากคุณผู้อ่านแล้วค่ะ

    1. ส่วนลดประวัติการขับขี่ดี
    เป็นที่รู้กันดีว่า มีข้อบังคับของ คปภ. สำหรับผู้ที่ขับรถดี ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีการเคลมตลอดทั้งปีที่ผ่านมา (หรือมีเคลมแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด) จะได้รับส่วนลดประวัติดี หรือในภาษาอังกฤษคือ No Claim Bonus ซึ่งสามารถลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ได้สูงสุดถึง 50% ในปีที่ต่อไป โดยเป็นลำดับขั้นดังนี้

    ขับรถดี 1 ปี ได้รับส่วนลด 20% สำหรับเบี้ยประกันปีต่อไป
    ขับรถดีเป็นปีที่ 2 ติดกัน ได้รับส่วนลด 30% สำหรับเบี้ยประกันปีต่อไป
    ขับรถดีเป็นปีที่ 3 ติดกัน ได้รับส่วนลด 40% สำหรับเบี้ยประกันปีต่อไป
    ขับรถดีตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป ได้รับส่วนลด 50% สำหรับเบี้ยประกันปีต่อไปเรื่อย ๆ
    โดยหากเกิดอุบัติเหตุและมีการเคลมเกิดขึ้นแล้วคุณเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีจะถูกลดลงทีละขั้น เช่น ในปีนี้คุณได้ส่วนลด 30% แล้วเกิดเหตุขึ้นโดยที่คุณเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีสำหรับเบี้ยปีต่อไปจะถูกปรับลดลงเป็น 20% เป็นต้น แต่หากเกินเหตุรุนแรง หรือมีเหตุติดต่อกันหลายครั้งโดยที่เราเป็นฝ่ายผิด และมีค่าซ่อมสูงกว่าเบี้ยประกัน 200% ก็จะถูกลดค่าเบี้ยประกันในบีต่อไปทีเดียว 2 ลำดับขั้น

    2. ระบุชื่อผู้ขับขี่

    อีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ได้ นั่นก็คือการระบุชื่อและอายุของผู้ขับขี่รถยนต์คันเอาประกันให้แก่บริษัทประกันภัย ซึ่งเหมาะกับรถยนต์ที่มีผู้ขับขี่ไม่เกิน 2 คน สามารถลดค่าเบี้ยประกันไปได้สูงสุดมากถึง 20% แล้วแต่ช่วงอายุของผู้ขับขี่ ดังนี้

    อายุ 18-24 ปี ส่วนลด 5%
    อายุ 25-35 ปี ส่วนลด 10%
    อายุ 36-50 ปี ส่วนลด 15%
    อายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนลด 20%
    วิธีนี้ไม่เหมาะกับรถยนต์ที่มีผู้ขับขี่หลาย ๆ คน เพราะถ้าหากเกิดเหตุแล้วผู้ขับขี่ ณ ที่เกิดเหตุ มีชื่อไม่ตรงกับที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันรถยนต์ จะถูกเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก 6,000 บาท สำหรับรถยนต์คันเอาประกัน และ 2,000 สำหรับบุคคลภายนอก

    3. กำหนดค่าเสียหายส่วนแรก

    หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่มีทักษะในการขับขี่ที่ดี มีความชำนาญในการขับรถยนต์อย่างสูง สามารถทำประกันแบบมีค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ได้ ซึ่งก็คือค่าใช้จ่ายที่คุณจะต้องจ่ายเองในกรณีที่มีการเคลมเกิดขึ้น โดย คปภ. บังคับเอาไว้ไม่เกิน 5,000 บาท ส่วนที่เกิน 5,000 บาท บริษัทประกันจึงจะเข้ามารับผิดชอบ วิธีนี้จะช่วยลดเบี้ยประกันไปได้หลายพันบาทเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น ค่าเบี้ยประกันต่อปีราคา 18,000 บาท หากระบุค่าเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท ค่าเบี้ยประกันก็จะลดลงเหลือประมาณ 14,000 บาท เป็นต้น โดยเราขอแนะนำว่าหากค่าซ่อมรถต่าง ๆ ไม่ถึง 5,000 บาท อย่าเคลมกับบริษัทประกัน เพราะคุณจะต้องเสียเงิน 5,000 บาทเต็มให้บริษัทประกันภัย

    4. เปรียบเทียบก่อนซื้อประกัน

    วิธีการในการได้เบี้ยประกันรถยนต์ในราคาถูก ๆ อีกหนึ่งวิธีก็คือการเปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง ขนาดของเล็ก ๆ อย่างยาสระผมหรือยาสีฟันเรายังเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อเลย ของราคาแพงอย่างประกันรถยนต์ก็ต้องเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อเช่นกัน เพื่อให้ได้ประกันภัยรถยนต์ที่มีราคาสมเหตุสมผล พร้อมกับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ชีวิตคุณ


    ซึ่งการเปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์ ในปัจจุบันนั้นง่ายแสนจะง่าย เพราะมีเว็บไซต์ให้บริการการเปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์ให้กับคุณผู้อ่านแล้ว ดังเช่นเว็บไซต์ MoneyGuru.co.th ของเราเป็นต้น ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคุณผู้อ่าน ไม่ต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์โทรไปสอบถาม ไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำมันค่าเดินทางไปยังบริษัทประกันภัยเพื่อสอบถามราคา เพียงคลิ๊กไม่กี่คลิ๊กที่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ราคาประกันภัยรถยนต์จาก 40 บริษัทประกันภัยชั้นนำในประเทศไทย ก็จะมาอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว ง่าย สะดวก และรวดเร็วมาก ๆ

    5. ลดทุนประกัน

    การปรับลดทุนประกันรถยนต์ลงจะช่วยให้ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ต่อปีถูกลงได้ ซึ่งการปรับลดทุนประกันลงนี้ต้องยอมรับว่าจะมีผลกระทบต่อความคุ้มครองที่ลดลงด้วย เพราะโดยปกติทุนประกันจะอยู่ที่ประมาณ 70-80% ของมูลค่ารถยนต์ ถ้าปรับลดลงไปอีกอาจจะส่งผลให้การชดเชยจากบริษัทประกันในกรณีเกิดเหตุเสียหายหนัก เช่น อุบัติเหตุรุนแรง สูญหาย หรือไฟไหม้ ไม่ครอบคลุมหรือไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

    6. ติดตั้งกล้องติดรถยนต์

    การติดตั้งกล้องติดรถยนต์ไว้บนรถยนต์นั้น สามารถช่วยลดราคาค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไปได้มากถึง 5-10% โดยมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งคุณจะต้องแสดงหลักฐานการติดตั้งกล้องติดรถยนต์ภายในรถคันเอาประกันให้กับบริษัทประกันภัยเพื่อรับส่วนลด โดยผู้ที่มีกล้องติดตั้งอยู่ในรถยนต์ที่ซื้อประกันภัยไปก่อนวันที่ 3 มีนาคม 2560 สามารถขอรับส่วนลดเบี้ยประกันภัยย้อนกลังกับบริษัทได้ด้วย

    การใช้มาตรการนี้ช่วยจูงใจให้คนไทยติดตั้งกล้องในรถยนต์มากขึ้น เพราะเมื่อมีการติดตั้งกล้องแล้วทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์มีความระมัดระวัง และกังวลว่ามีกล้องที่ติดตั้งอยู่กับรถยนต์คันอื่นบันทึกภาพเคลื่อนไหวในการกระทำผิดกฎจราจร ทำให้การขับขี่ทุกครั้งต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นซึ่งสามารถลดอุบัติเหตุทางท้องถนนลงได้ นอกจากนี้ หลักฐานการเกิดอุบัติเหตุที่ถูกบันทึกได้โดยกล้องติดรถยนต์ ยังสามารถช่วยให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

    7. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ลดเบี้ยประกันรถยนต์ ได้

    เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ได้มีการเริ่มขายประกันรถยนต์ปลอดแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถลดค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ได้ถึง 10% ซึ่งโครงการนี้ออกมาเพื่อคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ และคาดหวังว่าจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงไป โดยจะเพิ่มเอกสารแนบท้ายมาพร้อมกับกรมธรรม์ประกันภัย มีรายละเอียดว่า สามารถใช้ได้สำหรับประกันรถยนต์ทุกประเภท ซึ่งจะไม่คุ้มครองความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกและไม่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ หากผู้ขับขี่ขณะที่เกิดอุบัติเหตุมีแอลกอฮอล์ในเลือด (เว้นแต่ว่าการมีแอลกอฮอล์ในเลือดนั้นเกิดจากการรับประทานยาบางชนิด แต่จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไว้ไม่เกินกว่า 10 มก.)

    นั่นหมายความว่า ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถคันเอาประกันที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดขณะที่เกิดเหตุ จะต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อบุคคลภายนอกเอง โดยบริษัทจะจ่ายค่าสินไหมแก่บุคคลภายนอกไปก่อน แล้วจะเรียกเก็บกับผู้ขับขี่ในภายหลัง โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายคืนให้กับบริษัทประกันภัยภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องเรียนจากบริษัท แต่ประกันภัยรถยนต์ชนิดนี้ก็มีข้อยกเว้นเช่นกันคือ หากเกิดเหตุแล้วผู้ขับขี่เป็นฝ่ายถูก จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ตามปกติ แม้จะมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิด 10 มก. ก็ตาม

    จะเห็นได้ว่าในปี 2017 นี้ มีวิธีการประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์เพิ่มขึ้นมาถึง 2 วิธี นั่นคือ การติดตั้งกล้องติดรถยนต์ และประกันภัยรถยนต์สำหรับผู้ที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ คาดว่าอาจจะช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนบ้านเราไปได้
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โปรดอย่าเลื่อนผ่าน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือ ผู้ค้ำฯ ยิ่งต้องอ่าน แก้ ป.พ.พ. (ฉบับใหม่ล่าสุด) เป็นแบบนี้
    http://www.todayza.net/24859/


    ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘

    เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องการค้ำประกันและจำนองเพื่อให้มีความเหมาะสมแก่การประกอบธุรกิจในปัจจุบันสมควรกำหนดให้ผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคลสามารถผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้รวมทั้งสามารถทำข้อตกลงล่วงหน้ายินยอมให้มีการผ่อนเวลาได้ หากเป็นสถาบันการเงินหรือประกอบอาชีพค้ำประกันเพื่อสินจ้างเป็นปกติธุระ

    กฎหมายฉบับนี้ มี สิบ มาตรา ดังนี้
    มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่ง ละพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘”

    มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๖๘๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐)พ.ศ. ๒๕๕๗
    “ความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลและยินยอมเข้าผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในกรณีเช่นนั้นผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นย่อมไม่มีสิทธิดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา๖๘๘มาตรา ๖๘๙ และมาตรา ๖๙๐”

    มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๘๕/๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์(ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

    “มาตรา ๖๘๕/๑ บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกต่างไปจากมาตรา ๖๘๑ วรรคหนึ่งวรรคสอง และวรรคสาม มาตรา ๖๘๖ มาตรา ๖๙๔ มาตรา ๖๙๘ และมาตรา ๖๙๙ เป็นโมฆะ”

    มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๖๙๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐)พ.ศ. ๒๕๕๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๖๙๑ ในกรณีที่เจ้าหนี้ตกลงกับลูกหนี้ อันมีผลเป็นการลดจำนวนหนี้ที่มีการค้ำประกันรวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้น ให้เจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบถึงข้อตกลงดังกล่าวภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ตกลงกันนั้นถ้าลูกหนี้ได้ชำระหนี้ตามที่ได้ลดแล้วก็ดีลูกหนี้ชำระหนี้ตามที่ได้ลดไม่ครบถ้วนแต่ผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือนั้นแล้วก็ดี

    หรือลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามที่ได้ลดแต่ผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ตามที่ได้ลดนั้นแล้วก็ดีให้ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากการค้ำประกันในการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันดังกล่าวผู้ค้ำประกันมีสิทธิชำระหนี้ได้ แม้จะล่วงเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่ได้ลดแต่ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาชำระหนี้ดังกล่าว

    ในกรณีที่เจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบถึงข้อตกลงดังกล่าวเมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่ได้ลดแล้วให้ผู้ค้ำประกันมีสิทธิชำระหนี้ได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่เจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบถึงข้อตกลงนั้นทั้งนี้ข้อตกลงที่ทำขึ้นภายหลังที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้แล้วหากในข้อตกลงนั้นมีการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ มิให้ถือว่าเป็นการผ่อนเวลาตามมาตรา ๗๐๐” มาตรา ๖
    ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของมาตรา ๗๐๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐)พ.ศ. ๒๕๕๗ “ความในวรรคสอง มิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือค้ำประกันเพื่อสินจ้างเป็นปกติธุระ” มาตรา๗ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา๗๒๗/๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗

    และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ ข้อตกลงใดอันมีผลให้ผู้จำนองรับผิดเกินที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง หรือให้ผู้จำนองรับผิดอย่างผู้ค้ำประกัน ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ ไม่ว่าข้อตกลงนั้นจะมีอยู่ในสัญญาจำนองหรือทำเป็นข้อตกลงต่างหากทั้งนี้ เว้นแต่เป็นกรณีที่นิติบุคคลเป็นลูกหนี้และบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการตามกฎหมายหรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นเป็นผู้จำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้นั้นของนิติบุคคลและผู้จำนองได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้เป็นสัญญาต่างหาก” มาตรา๘ ข้อตกลงใดที่ได้ทำขึ้นระหว่างวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ มีผลใช้บังคับจนถึงวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้มาตรา๙ในกรณีที่เจ้าหนี้กระทำการใดๆ ระหว่างวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ มีผลใช้บังคับจนถึงวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ อันมีผลเป็นการลดจำนวนหนี้ที่มีการค้ำประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้น ให้เจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบถึงการลดหนี้ดังกล่าวภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและให้ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากการค้ำประกันตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา๖๙๑วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา๑๐ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธรรมะ ยามค่ำคืน

    เป็นสิ่งเตือนใจ อย่าทำชั่ว

    ไม่ว่าใครที่ทำผิดกฎแห่งกรรม

    ไม่มีใครหนีกรรมพ้น

    ว่าด้วยเรื่อง "แผนที่นรก ดูซ๊ะ กันหลงทาง"

    จริงๆแล้ว ไม่ต้องดูก็ได้ เพราะเมื่อถึงเวลา จะมีท่านผู้ที่มีหน้าที่ พาไปเอง

    หมายเหตุ รูปองค์พยามัจจุราชเจ้า ผมไปเช่ามาจากท่าพระจันทร์ แล้วผมอัญเชิญไปขอให้อาจารย์ผม ท่านเชิญองค์พยามัจจุราช มาอธิษฐานจิต
    เมื่อท่านอธิษฐานจิตแล้ว ท่านบอกกับอาจารย์ผมว่า ของๆท่าน กันผีกะเรวะราดได้ แต่กันคนของท่านไม่ได้"

    องค์ในรูป ผมตั้งไว้ที่ทำงาน
    ผมยังมีอีกองค์ ห้อยคออยู่ทุกวัน ในวันที่ผมไปทำงานครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ


    ด้านหลังที่เห็น เป็นเจดีย์(อคิลิค) บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ
    1.องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเ้า พระนามสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑(สมเด็จองค์ปฐม)
    2.องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กกุสันโธ
    3.องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม โกนาคมโน
    4.องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กัสสโป
    5.องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม โคตโม
    และยังมี พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ทราบพระนาม ครับ

    หมายเหตุเพิ่มเติม

    บริวารของท่าน มี 2 กลุ่ม คือ
    1.นายนิริยบาล มีทั้งหมด 8 ท่าน มีหน้าที่ดูเรื่องของคนทำบุญ และทำบาป
    2.ท่านยมทูต มีหน้าที่หลายเรื่อง เช่น ไปพาคนที่ถึงเวลาตาย ลงมารับการพิจารณาในเรื่อง บุญ และ บาป , มีหน้าที่ลงโทษผู้ที่ต้องรับกรรมในเรื่องของคนที่ทำบาป ทำผิดกฎแห่งกรรม เป็นต้น

    หมายเหตุ เพิ่มเติมอีกนิด

    ผมถามอาจารย์ผม (ตามความเข้าใจของผม) ว่า รูปหล่อลอยองค์ที่องค์พยามัจจุราช ท่านอธิษฐานจิตชุดนี้ สามารถเป็นสื่อถึงองค์ท่านได้ ใช่หรือไม่

    อาจารย์ผมตอบว่า เหมือนกับเรามีโทรศัพท์สายตรงถึงองค์พยามัจจุราช เลย เพียงแต่ผมไม่สามารถที่จะรับทราบในเรื่องที่องค์พยามัจจุราชท่านจะบอกกับผมได้
    และต้องหมั่นปฎิบัติภาวนา เมื่อถึงเวลา จะรู้ด้วยตนเอง nnn.png nn001.png nn002.png nn001.png nn002.png nn003.png nn003.png nn004.png nnn.png nn001.png nn002.png nn003.png nn004.png nn005.png nn006.png nn007.png nn008.png nn009.png nn010.png nn011.png nn012.png nn013.png nn014.png nn015.png
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 1 พระมหาบุรุษทรงชนะมาร





    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 2 ทรมานอาฬวกยักษ์





    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 3 ปราบช้างนาฬาคีริง





    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 4 ปราบโจรองคุลีมาล





    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 5 ผจญนางจิญจมาและนางสุนทรี





    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 6 โต้วาทะชนะสัจจกนิครนถ์

    https://www.youtube.com/watch?v=TXU98kByEts



    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 7 ปราบพญานาคนันโทปนันทะ

    https://www.youtube.com/watch?v=ZPKGcXlKUS0



    พุทธชัยมงคลคาถา ที่ 8 โปรดพกพรหม

    https://www.youtube.com/watch?v=QlTqHBH_i0E
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สังกัปปราคชาดก ว่าด้วยลูกศรคือกิเลส

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 1

    พระสุตตันตปิฎก
    ขุททกนิกาย ชาดก
    เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๔
    ขอนอบน้อมแด่
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

    ติกนิบาตชาดก
    ๑. สังกัปปวรรค
    ๑. สังกัปปราคชาดก
    ว่าด้วยลูกศรคือกิเลส

    [๓๕๒] อาตมภาพอันลูกศรที่อาบด้วยราคะดำริ
    อันลับด้วยกามวิตก อันนายช่างศรไม่ได้ตก-
    แต่งขัดเกลาและเหลาเสี้ยมแทงเข้าแล้ว.

    [๓๕๓] อาตมาภาพมิได้ถูกลูกศรที่เขายกคันขึ้นยิง
    มาหรือที่ติดพู่หางนกยูงเสียบแทงเลย แต่
    อาตมาภาพถูกลูกศร คือ กิเลสเครื่องเผา
    อวัยวะทั้งปวงให้เร่าร้อน เสียบแทงที่หทัย.

    [๓๕๔] แต่อาตมภาพไม่เห็นรอยแผล ไม่เห็น
    โลหิตไหลออกจากรอยแผลนั้น จิตที่ไม่มี
    อุบายอันแยบคาย ถูกลูกศรตรึงไว้แล้วอย่าง
    มั่นคง อาตมภาพนำความทุกข์มาให้แก่ตนเอง.

    จบ สังกัปปราคชาดกที่ ๑

    อรรถกถาชาดก
    ติกนิบาต
    อรรถกถาสังกัปวรรคที่ ๑
    อรรถกถาสังกัปปราคชาดกที่ ๑
    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
    ภิกษุผู้กระสัน จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สงฺกปฺปราคโธเตน ดังนี้.
    ได้ยินว่า มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง บวชถวายชีวิตได้เห็น
    ศาสนาของพระศาสดา วันหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตไปในเมืองสาวัตถีได้เห็น
    หญิงคนหนึ่งตกแต่งประดับประดาสวยงาม เกิดความกำหนัดรักใคร่ไม่
    ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ อาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น ได้เห็นอาการ
    ดังนั้น จึงถามถึงเหตุที่ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ครั้นทราบว่าเธอ
    มีความประสงค์จะสึก จึงพากันกล่าวว่า นี่แน่ะคุณ ธรรมดาว่าพระ-
    บรมศาสดาทรงสังหารกิเลสมีราคะเป็นต้น ทรงทรมานแล้วประกาศ
    อริยสัจ ประทานโสดาปัตติมรรคเป็นต้น มาเถิดคุณ พวกเราจะพาไป
    เฝ้าพระศาสดาแล้วได้พาไป และเมื่อพระบรมศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อน
    ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพาภิกษุผู้ไม่มีแก่ใจมาทำไมหรือ จึงพากันกราบ
    ทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่าเธอ
    กระสันจะสึกจริงหรือภิกษุ ? เมื่อเธอกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึง
    ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร ? ภิกษุนั้นจึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.

    ลำดับนั้น พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาว่าสตรี
    ทั้งหลายนี้ ได้เคยทำความเศร้าหมองให้เกิดแม้แก่สัตว์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
    ผู้ที่ข่มกิเลสได้ด้วยกำลังฌาน เหตุไฉนจักไม่ทำบุคคลผู้ไร้คุณสมบัติเช่น
    เธอให้เศร้าหมองเล่า ท่านผู้บริสุทธิ์ยังเศร้าหมองได้ทั้งท่านผู้พรั่งพร้อม
    ด้วยอุดมยศก็ยังถึงความเสื่อมยศได้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงผู้ไม่บริสุทธิ์
    เล่า ลมที่พัดภูเขาสิเนรุให้หวั่นไหว ไฉนจักไม่พัดขยะใบไม้เก่าให้
    กระจัดกระจายเล่า กิเลสนี้ยังก่อกวนสัตว์ผู้นั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ กำลัง
    จะตรัสรู้ได้ ไฉนจักไม่ก่อกวนคนเช่นเธอเล่า ครั้นตรัสดังนี้แล้ว
    ภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้ :-

    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
    นครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลมี
    ทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ ครั้นเจริญวัยแล้วไปเล่าเรียนศิลปะทั้งปวงใน
    เมืองตักกศิลา เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว ก็กลับมายังเมืองพาราณสี
    อยู่ครองเรือนมีบุตรภรรยา ครั้นบิดามารดาล่วงลับไป ก็ได้
    กระทำกิจเกี่ยวกับการตายของบิดามารดา เมื่อกระทำการตรวจตราใน
    ข้อที่ลี้ลับ จึงรำพึงว่า ทรัพย์ที่บิดามารดารวบรวมไว้ยังปรากฎอยู่
    แต่บิดามารดาไม่ปรากฏ จึงมีความสลดใจ เหงื่อไหลออกจากร่างกาย
    เขาอยู่ครองเรือนเป็นเวลานาน ได้ให้ทานมากมายละกามทั้งหลาย ละ
    หมู่ญาติผู้มีหน้านองด้วยน้ำตา เข้าป่าหิมพานต์สร้างบรรณศาลาอยู่
    ในที่อันน่ารื่นรมย์ เที่ยวแสวงหารากไม้และผลไม้ในป่าเลี้ยงชีพ ไม่
    นานเท่าไรก็ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น เล่นฌานอยู่มาช้านาน
    จึงคิดได้ว่า เราไปยังถีนมนุษย์จักได้เสพรสเค็มและรสเปรี้ยว เมื่อ
    เป็นเช่นนั้น ร่างกายของเรา จักแข็งแรง และจักใด้เป็นการพักผ่อน
    ของเราไปด้วย ทั้งชนเหล่าใดจักให้ภิกษาหรือจักกระทำการอภิวาท
    เป็นต้นแก่ผู้มีศีลเช่นกับเรา ชนเหล่านั้นจักได้ไปเกิดบนสวรรค์
    ครั้นคิดแล้วจึงออกจากป่าหิมพานต์ เที่ยวจาริกไปโดยลำดับจนถึงเมือง
    พาราณสี ในเวลาใกล้ค่ำ จึงเที่ยวเลือกหาที่พักอาศัย แลเห็นพระ-
    ราชอุทยานจึงคิดว่า ที่นี้สมควรแก่การหลีกเร้น เราจักพักอยู่ในที่นี้
    ครั้นคิดแล้วจึงเข้าไปยังพระราชอุทยาน นั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่งทำ
    เวลาราตรีให้หมดไปด้วยความสุขในฌาน วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า ชำระ
    สรีระกายแล้ว จัดแจงผูกชฎาห่มหนังเสือและนุ่งผ้าเปลือกไม้ ถือ
    ภาชนะสำหรับภิกขาจาร สำรวมอินทรีย์สงบระงับ สมบูรณ์ด้วย
    อิริยาบถ ทอดจักษุดูไปชั่วแอก มีรูปสิริของตนสมบูรณ์ด้วยอาการ
    ทั้งปวง อาจดึงเอาสายตาของชาวโลกให้และ เดินเข้าพระนคร
    เที่ยวภิกขาจารไปจนถึงประตูพระราชนิเวศน์. พระราชากำลังเสด็จ
    ดำเนินอยู่ที่ห้องพระโรง ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ทางช่องพระ
    แกล ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของเธอ ทรงพระดำริว่า ถ้าธรรมอัน
    สงบระงับมีอยู่ ก็คงจะมีในภายในจิตของท่านผู้นี้ จึงดำรัสสั่งอำมาตย์
    ผู้หนึ่งว่า เจ้าจงไปนำพระดาบสนั้นมา. อำมาตย์นั้นไปไหว้แล้วขอรับ
    เอาภาชนะสำหรับภิกขาจารแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า. พระราชา
    รับสั่งนิมนต์ท่าน พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
    พระราชาไม่ทรงรู้จักกับอาตมา อำมาตย์จึงเรียนว่า ถ้ากระนั้น ขอ
    นิมนต์พระคุณเจ้ายับยั้งอยู่ที่นี้จนกว่ากระผมจะกลับมา แล้วกลับไป
    กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชารับสั่งว่า พระดาบสรูปอื่น
    ผู้ที่จะเข้าไปยังราชตระกูลของเรายังไม่มี เจ้าจงไปนิมนต์พระดาบสนั้น
    มา. ฝ่ายพระองค์เองก็ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกไหว้ทางช่องพระแกล
    ตรัสว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอนิมนต์มาทางพระราชนิเวศน์นี้เถิด.

    พระโพธิสัตว์จึงมอบภาชนะสำหรับภิกขาจารให้อำมาตย์ถือไปแล้วก็เดิน
    ขึ้นสู่ท้องพระโรง. ลำดับนั้น พระราชาทรงไหว้พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว
    นิมนต์ให้นั่งบนราชบัลลังก์ แล้วอังคาสเลี้ยงดูด้วยข้าวยาคู ของขบ-
    เคี้ยว และภัตตาหารที่เจ้าพนักงานจัดไว้สำหรับพระองค์ พระโพธิสัตว์
    ฉันเสร็จแล้ว จึงตรัสถามปัญหา ทรงพอพระราชหฤทัยการพยากรณ์
    ปัญหาของพระโพธิสัตว์ยิ่งนักจึงนมัสการแล้วตรัสถามว่า พระคุณเจ้า
    ผู้เจริญ พระคุณเจ้าอยู่ที่ไหน และมาจากไหน พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า
    มหาบพิตร อาตมาภาพอยู่ป่าหิมพานต์ และมาจากป่าหิมพานต์ จึง
    ตรัสถามอีกว่า มาเพราะเหตุอะไร จึงทูลว่า มหาบพิตร ในฤดูกาล
    ฝนควรจะได้การอยู่ประจำที่ ทรงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นขอนิมนต์พระ-
    คุณเจ้าพักอยู่ในพระราชอุทยาน พระคุณเจ้าจักไม่ลำบากด้วยปัจจัย
    ทั้ง ๔ และโยมก็จักได้บุญอันจะนำตนให้ไปเกิดในสวรรค์ ครั้นทรง
    ทำความตกลงแล้ว และเสวยพระกระยาหารแล้ว ได้เสด็จไปพระ-
    ราชอุทยานพร้อมกับพระโพธิสัตว์ รับสั่งให้ให้สร้างบรรณศาลา สร้าง
    ที่จงกรม จัดเสนาสนะที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันเป็นต้น ให้
    พร้อมเสร็จ แล้วมอบถวายบริขารสำหรับบรรพชิต แล้วตรัสว่า ขอ
    พระคุณเจ้าจงอยู่โดยความสุขสำราญเถิด แล้วมอบนายอุทยานบาลให้
    ดูแล. ตั้งแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ได้อยู่ในพระราชอุทยานนั้น
    เป็นเวลา ๑๒ ปี. ต่อมาภายหลัง ประเทศชายแดนของพระราชาเกิด
    การกำเริบ พระราชามีพระประสงค์จะเสด็จไประงับเหตุการณ์นั้น
    ที่ตรัสเรียกพระเทวีมาแล้วตรัสว่า น้องนางผู้เจริญ เจ้าควรยับยั้งอยู่
    ยังพระนครก่อน. พระเทวีทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ เพราะอาศัย
    เหตุอะไร พระองค์จึงตรัส อย่างนี้ พระราชา เพราะอาศัยพระ-
    ดาบสผู้มีศีล ซิน้องนางผู้เจริญ. พระเทวีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพหม่อม-
    ฉันจักไม่ประมาทในพระดาบสนั้น การปรนนิบัติพระผู้เป็นเจ้าของ
    พระองค์เป็นภาระของหม่อมฉัน ขอพระองค์อย่าทรงกังวล จะเสด็จ
    เถิด. พระราชาจึงเสด็จออกไป. ฝ่ายพระเทวีก็ตั้งใจอุปัฎฐากพระโพธิ-
    สัตว์เหมือนอย่างเดิม. ฝ่ายพระโพธิสัตว์หลังจากพระราชาเสด็จไปแล้ว
    ก็มิได้ไปตามเวลาที่เคยมา ได้ไปยังพระราชนิเวศน์กระทำภัตตกิจตาม
    เวลาที่ตนชอบใจ. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์ชักช้าอยู่ยังไม่มา
    พระราชเทวีจัดแจงขาทนียโภชนายาหารทุกอย่างเสร็จแล้ว จึงโสรจ
    สรงพระองค์ประดับพระวรกาย แล้วให้นางพนักงานแต่งเตียงห้อย
    บรรทมคอยดูการมาของพระโพธิสัตว์ โดยทรงนุ่งพระภูษาเนื้อเกลี้ยง
    อย่างหย่อน ๆ. ฝ่ายพระโพธิสัตว์กำหนดว่าได้เวลาแล้ว ก็ถือภิกขา-
    ภาชนะเหาะมาจนถึงช่องพระแกลใหญ่. พระเทวีได้ทรงสดับ
    เสียงผ้าเปลือกไม้กรองของพระโพธิสัตว์ก็เสด็จลุกขึ้นโดยพลัน พระ-
    ภูษาเนื้อเกลี้ยงที่ทรงนุ่งนั้นก็หลุดลุ่ยลงทันที พระโพธิสัตว์ได้เห็น
    วิสภาคารมณ์มิได้สำรวมอินทรีย์ ตลึงแลดูด้วยสามารถแห่งความงาม.

    ลำดับนั้น กิเลสของพระโพธิสัตว์ซึ่งสงบนิ่งด้วยกำลังฌานก็กำเริบขึ้น
    เหมือนอสรพิษที่ถูกขังอยู่ในข้อง พอออกจากข้องได้ก็แผ่พังพาน
    ขึ้นฉะนั้น. พระโพธิสัตว์ได้เป็นผู้มีอาการเหมือนเวลาที่ต้นยางถูกกรีด
    ด้วยมืดฉะนั้น. องค์ฌานทั้งหลายเสื่อมไปพร้อมกับระยะที่กิเลสเกิด
    ขึ้น. อินทรีย์ทั้งหลายก็มิได้บริบูรณ์ ตนเองได้มีสภาพเหมือนกาปีก
    ขาดฉะนั้น. พระโพธิสัตว์นั้นมิอาจที่จะนั่งกระทำภัตตกิจเหมือนแต่
    ก่อนได้ แม้พระเทวีจะตรัสบอกให้นั่งก็ไม่นั่ง. ลำดับนั้น พระเทวี
    จึงทรงใส่ขาทนียะ โภชนียาหารทุกอย่างลงในภิกขาภาชนะของพระ-
    โพธิสัตว์. ก็วันนั้น พระโพธิสัตว์ไม่อาจไปเหมือนในวันก่อน ๆ ซึ่ง
    กระทำภัตตกิจแล้วก็เหาะออกไปทางสีหบัญชร ได้แต่รับภัตตาหารแล้ว
    เดินลงทางบันใดใหญ่ไปยังพระราชอุทยาน แม้พระเทวีก็ทรงทราบ
    ว่าพระดาบสมีจิตปฏิพัทธ์ในพระองค์. พระโพธิสัตว์นั้นไปถึงพระ-
    ราชอุทยานแล้วไม่บริโภคภัตตาหารเลย เอาวางไว้ใต้เตียง นอน
    รำพรรณว่า พระหัตถ์เห็นปานนี้ของพระเทวีงาม พระบาทก็งาม
    นั้นพระองค์เห็นปานนี้ ลักษณะของพระอูรุเห็นปานนี้ ดังนี้เป็นต้น
    นอนบ่นเพ้ออยู่ถึง ๗ วัน ภัตตาหารบูด มีหมู่แมลงวันหัวเขียวตอมกัน
    สะพรั่ง. ฝ่ายพระราชาทรงระงับปัจจันตชนบทได้แล้วก็เสด็จกลับมา
    ทรงกระทำประทักษิณพระนครซึ่งชาวเมืองตกแต่งประดับประดาไว้รับ
    เสด็จ แต่หาได้เสด็จไปยังพระราชนีเวศน์ไม่ ได้เสด็จไปยังพระราช-
    อุทยานด้วยหวังพระทัยว่าจักเยี่ยมพระโพธิสัตว์ ได้ทอดพระเนตร
    เห็นอาศรมบทรกรุงรังด้วยหยากเยื่อ ทรงสำคัญว่าพระดาบสจักหนี
    ไปแล้ว จึงทรงเปิดประตูบรรณศาลา เสด็จเข้าไปข้างใน ทอดพระ-
    เนตรเห็นดาบสนั้นนอนอยู่ จึงทรงดำริว่า ชรอยจะมีความไม่ผาสุก
    บางประการ จึงรับสั่งให้ทิ้งภัตตาหารบูดชำระปัดกวาดบรรณศาลา
    แล้วตรัสถามว่า พระคุณเจ้า ท่านไม่สบายไปหรือ ? พระดาบสทูล
    ตอบว่า มหาบพิตร อาตมาภาพถูกลูกศรเสียบแทง. พระราชาเข้า
    พระทัยว่า ชะรอยพวกปัจจามิตรของเราไม่ได้โอกาสในตัวเรา จึงมา
    ยิงพระดาบสนี้ โดยคิดว่า จักทำฐานะอันเป็นที่รักของพระราชานั้น
    ให้ทุรพลภาพ จึงทรงพลิกร่างกายตรวจดูรอยที่ถูกยิง ก็ไม่เห็นรอย
    ที่ยิง จึงตรัสถามว่า ท่านถูกเขายิ่งที่ไหนหรือ พระคุณเจ้า. พระ-
    โพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมาภาพมิได้ถูกคนอื่นยิง แต่
    อาตมาภาพยิงตัวของตัวเองแหละที่หัวใจ ครั้นทูลแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง
    กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
    อาตมาภาพถูกแทงที่หัวใจ ด้วยลูก
    ศรนั้น อันกำชับด้วยราคะเกิดจากความดำริ
    อันลับด้วยวิตกคือความดำริ อันนายช่างมิได้
    ตกแต่งให้เรียบร้อย อันนายช่างศรมิได้ทำ
    ยังไม่พ้นหมวกหู ทั้งยังไม่ติดขนนกยูง แต่
    ทำความเร่าร้อนให้ทั่วสรรพางค์กาย อาตมา-
    ภาพไม่เห็นรูแผลที่เลือดไหลออก ลูกศรนั้น
    แทงจิตที่ไม่แยบได้มั่นเหมาะ ความทุกข์นี้
    อาตมาภาพนำมาด้วยตนเอง.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺกปฺปราคโธเตน ความว่า
    กำซาบด้วยราคะอันประกอบพร้อมด้วยความดำริตริตรึกในกาม. บทว่า
    วิตกฺกนิสิเตน ความว่า อันลับด้วยหินคือความดำริ ด้วยน้ำคือราคะ
    นั้นนั่นแหละ บทว่า เนวาลงฺกตภทฺเรน ความว่า อันนายช่างมิ
    ได้ทำให้เกลี้ยงเกลา. บทว่า น อุสุการกเตน จ ความว่า แม้
    ช่างศรทั้งหลายก็ยังมิได้ดัด. บทว่า น กณฺณายตมุตฺเตน ความว่า
    ยังไม่ดึงสายมาให้พ้นหมวกหูขวาเป็นกำหนด. บทว่า น ปิ โมรุป-
    เสวินา ความว่า ยังมิได้ทำการติดขนปีกนกยูง และขนปีกนกแร้ง
    เป็นต้น. บทว่า เตนมฺหิ หทเย วิทฺโธ ความว่า ถูกลูกศรคือ
    กิเลสนั้นเสียบแทงที่หัวใจ. ด้วยบทว่า สพฺพงฺคปริฬาหินา นี้
    ท่านแสดงว่า ดูก่อนมหาบพิตร อาตมาภาพถูกแทงที่หัวใจ ด้วยลูก-
    ศรคือกิเลสนั้น อันสามารถทำให้อวัยวะทั้งปวงเร่าร้อน ตั้งแต่เวลา
    ที่อาตมาภาพถูกลูกศรนั้นแทงแล้ว อวัยวะทุกส่วนของอาตมาภาพเร่า-
    ร้อน เหมือนไฟติดไปทั่วฉะนั้น. บทว่า อาเวธญฺจ น ปสฺสามิ
    ความว่า อาตมาภาพไม่เห็นที่ที่ลูกศรแทง. บทว่า ยโต รุหิรมสฺสเว
    ความว่า เลือดของอาตมาภาพไหลออกจากรูแผลใด อาตมาภาพไม่
    เห็นแผลนั้น. ศัพท์ว่า ยาว ในบทว่า ยาว อโยนิโส จิตฺตํ นี้
    เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่ามั่นคง. อธิบายว่า ลูกศรแทงจิตที่คิดโดยไม่
    แยบคายได้อย่างมั่นเหมาะเหลือเกิน. บทว่า สยํ เม ทุกฺขมาภตํ
    ความว่า อาตมาภาพนำทุกข์มาให้แก่ตนด้วยตนเองทีเดียว.

    พระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรมแก่พระราชาด้วยคาถา ๓ คาถา
    นี้ อย่างนี้แล้ว จึงทูลให้พระราชาเสด็จออกประทับภายนอกบรรณ-
    ศาลา แล้วกระทำกสิณบริกรรมทำฌานที่เสื่อมให้เกิดขึ้นแล้ว ออก
    จากบรรณศาลาเหาะขึ้นไปนั่งอยู่กลางอากาศ โอวาทพระราชาเสร็จ
    แล้วทูลว่า มหาบพิตร อาตมาภาพจักไปอยู่ป่าหิมพานต์ตามเดิม แม้
    พระราชาจะตรัสว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ อย่าไปเลย ก็ทูลชี้แจงว่า
    มหาบพิตร เพราะอาตมาภาพอยู่ในที่นี้จึงได้รับอาการอันผิดแผกเห็น
    ปานนี้ บัดนี้ ไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ต่อไป ทั้ง ๆ ที่พระราชาทรงอ้อน-
    วอนอยู่นั่นเอง ก็เหาะไปป่าหิมพานต์ดำรงอยู่จนตลอดอายุ ในเวลา
    สิ้นสุดอายุก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก.

    พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง
    ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจกถา ภิกษุผู้
    กระสันจะสึกก็ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัต. บางพวกได้เป็นพระโสดาบัน
    บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี. พระ-
    ราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนดาบสคือเราตถาคต
    ฉะนี้แล.

    จบ อรรถกถาสังกัปปราคชาดกที่ ๑
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 11

    https://www.facebook.com/dhamma.true/posts/1364766070286702:0
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จำไปจนตาย!! รถยนต์คันหนึ่งติดไฟแดง “ขวางเส้นรถนำขบวน” เมื่อตำรวจไปใล่ ถึงกับช็อค! แทบเป็นลมลัมทั้งยืน!
    http://www.tdaily.info/archives/2661
    June 10, 2017 admin THAILAND 0

    เหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน บนถนนใน กทม. มีรถคันหนึ่ง ได้ขับไปบนถนนเส้นนั้นโดยในรถคันดังกล่าว มีเพียงชายผู้หนึ่งที่กำลังขับรถอยู่เพียงคนเดียวและในระหว่างทางที่ขับไปนั้น

    พระเจ้าอยู่หัว ทรงติดไฟแดง ชายดังกล่าวได้จอดรถแวะข้างทางเพื่อซื้อกาแฟ 1 ถุง และได้ออกรถไปจนกระทั่งขับมาถึงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ชายดังกล่าวก็ได้จอดติดไฟแดงอยู่ จนมีรถตำรวจคันหนึ่งซึ่งขับนำรถเบนซ์มาได้บีบแตรไล่รถที่ชายผู้นั้นจอดติดไฟแดงอยู่นั้นให้ถอยไป

    …และรถตำรวจยังได้พูดผ่านไซเรนว่า นี่เป็นรถนำขบวนรัฐมนตรี ให้รถของชายดังกล่าวหลบไป แต่รถของชายผู้นั้นก็ไม่หลบให้ จนกระทั่งตำรวจได้ลงจากรถมาที่รถของชายดังกล่าวและเรียกให้ชายผู้นั้นลงจากรถ พอชายผู้นั้นได้ลงมาจากรถ ตำรวจที่ได้เห็นชายคนนั้นถึงกลับเป็นลมล้มทั้งยืน สร้างความตกใจให้แก่ตำรวจอีกคนที่นั่งอยู่ในรถ จนต้องวิ่งลงมาดูพร้อมกับรัฐมนตรี พอตำรวจและรัฐมนตรีมาถึง ทั้งคู่ได้เห็นชายดังกล่าว ทั้งตำรวจและรัฐมนตรีได้นั่งลงไปกับพื้นทันที เสมือนกับว่าขาทั้งสองข้างได้อ่อนแรงลงไปทันใด

    …และได้เงยหน้ามองดูชายซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าตนด้วยอาการตัวสั่น ชายคนนั้นที่ทั้งคู่ได้เห็น เป็นชายที่มีรูปอยู่บนธนบัตร คือ ในหลวงองค์ปัจจุบันนั่นเอง
    ในหลวงได้ตรัสถามรัฐมนตรีและตำรวจติดตามว่า
    “พวกท่านจะรีบไปไหนหรือถึงกับจะต้องฝ่าไฟแดงข้าพเจ้ายังรอติดไฟแดงได้เลย” รัฐมนตรีไม่ตอบได้แต่นั่งตัวสั่นและกราบลงบนพระบาทและในหลวงก็ได้ทรงขึ้นรถ ตำรวจที่นำขบวนรัฐมนตรีมานั้นก็ได้ทูลว่า “ให้ข้าพระพุทธเจ้าขับรถนำรถพระที่นั่งของพระองค์ไปมั้ยพุทธเจ้าข้า”


    901.png 902.png 903.png


    ในหลวงตรัสว่า “เราไม่ต้องการให้ท่านมานำขบวนรถเราหรอก เราขับไปเองคนเดียวได้ ท่านไปนำรถของท่านรัฐมนตรีเถอะ” และในหลวงก็ได้ทรงขับรถออกไปจากสี่แยกนั้น โดยไม่ได้มีรถตำรวจนำไปแต่อย่างใดเลย“

    ข้อคิด ที่ได้จากเรื่องนี้ แม้ทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ก็ทรงเคารพระเบียบวินัย และกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องให้ประชาชนได้ปฎิบัติตาม เพื่อความมีวินัยของจราจรบนท้องถนน

    “ทรงพระเจริญ”
    “ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
    ข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาท
    (ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเหตุการดังกล่าว)
    ทีมา : www.gooza.com/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 904.jpg
      904.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.2 KB
      เปิดดู:
      92
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำไมต้อง ท่อง “นโม” ก่อนสวดหรือรับศีลก่อนทุกครั้ง “หลวงปู่มั่น” มีคำตอบ
    https://www.nananaru.net/?p=3405

    สาเหตุของการต้องตั้ง “นโมฯ”
    โดย..หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

    ได้มีโยมคนหนึ่ง คือ อาชญาขุนพิจารณ์ สุวรรณรงค์ เป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีอยู่ในอำเภอพรรณานิคม บุตรของพระเสนาณรงค์ เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ 4 และเป็นนายอำเภอพรรณานิคม คนแรกในรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้นมัสการถามพระอาจารย์มั่นถึงเรื่อง “นโม” ว่าเหตุใดการให้ทานหรือการรับศีลจึงต้องตั้ง “นโม” ก่อนทุกครั้ง จะกล่าวคำถวายทาน และรับศีลเลยทีเดียวไม่ได้หรือ ?

    พระอาจารย์มั่นได้เทศน์ชี้แจงเรื่อง “นโม” ให้ฟังว่า… “เหตุใดนักปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดีจะรับศีลก็ดี หรือจะทำการ

    กุศลใดๆ ก็ดีจึงต้องตั้งนโมก่อนจะทิ้ง นโมไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จะยกขึ้นพิจารณา ได้ความ

    ปรากฏว่า น คือธาตุน้ำ โมคือธาตุดิน พร้อมกับบทพระคาถาขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมฺภโว โอทนกุมฺมา สปจฺจโย สัมภวธาตุ ของมารดาบิดา

    ผสมกันจึงเป็นตัวตนขึ้นมาเมื่อคลอดจากครรภ์มารดาแล้วก็ได้รับข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นเครื่องเลี้ยงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาได้ “น” เป็น ธาตุ ของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง 2 ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจน ได้นามว่า “กลละ” คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง

    ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ปฏิสนธิในธาตุ “นโม” นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว “กลละ” ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ”

    คือ เป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือ แท่งและเปสี คือ ชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็น ปัญจสาขา คือ แขน 2 ขา 2 หัว 1 ส่วนธาตุ “พ” คือ ลม “ธ” คือ ไฟนั้น เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจาก” กลละ” นั้นแล้ว กลละ ก็ต้องเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิต ไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละ ก็ต้องทิ้งเปล่า หรือ สูญเปล่า ลม และไฟก็ไม่มี คนตายลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุ ทั้ง 2 คือ นโม เป็น ดั้งเดิม

    ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย “น” มารดา”โม” บิดาเป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยการให้

    ข้าวสุก และขนมกุมมาสเป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอน ความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า “ปุพพาจารย์”

    เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อ บุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ท่านทำให้กล่าว คือ

    รูปกายนี้แลเป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นภายนอก ก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น”มูลมรดก” ของมารดาบิดา ทั้งสิ้น จึงว่าคุณของ ท่านจะนับจะประมาณ มิได้เลย

    ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยาหาได้แปล ต้นกิริยาไม่มูลมรดก นี้แลเป็นต้นทุนทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจน ทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ นโม เมื่อกล่าวเพียง 2 ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบ หรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะ จากตัว “น” มาใส่ตัว “ม” เอา สระโอจากตัว “ม” มาใส่ตัว “น” แล้วกลับตัวมะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ทั้งกายทั้งใจ เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือ ใจนี้เป็นดั้งเดิมเป็น มหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า

    มโนปุพฺพงฺ คมา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโมยา ธรรมทั้งหลายมีใจ ถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ

    พระ บรม ศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติ ออกไปจากใจ คือ มหาฐานนี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้สึก นโมแจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมบัติทั้งหลาย ในโลกนี้ต้องออกไป จาก นโม ทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใครต่างคนต่างถือเอาก้อน อันนี้ ถือเอาเป็นสมบัติ บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำ โอฆะ จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลงถือว่าตัว เป็นเราเป็นของเราไปหมด”

    แหล่งที่มา : BuddhaSattha, TNews, แอพเกจิ – AppGeji
    และ https://goo.gl/236Krx
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหตุผลที่ว่า “ทำไมคนญี่ปุ่นเข้าแถว ไม่แซงคิว”
    โดย อาจารย์ฮารา ชินทาโร่

    07/01/2015

    http://terrabkk.com/news/45406/เหตุผลที่ว่า-ทำไมคนญี่



    อาจารย์ฮารา ชินทาโร่ ซึ่งเป็นอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เขียนถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมคนญี่ปุ่นเข้าแถว ไม่แซงคิว โดยอาจารย์บอกว่าเขาเองก็ไม่ทราบว่า ทำไมคนญี่ปุ่นเข้าคิวทุกครั้ง และแทบจะไม่มีใครกล้าแซงคิว ที่สำคัญมันยังเป็นหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับงานวิจัยด้วย


    1. เป็นวัฒนธรรมในสังคมญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถูกสอนตั้งแต่สมัยอนุบาลศึกษา ทั้งพ่อแม่ ทั้งครู และทั้งบรรดาผู้ใหญ่จะดุเด็กๆ ที่แซงคิวหรือไม่เข้าคิว ตั้งแต่สมัยเด็ก ก็เข้าใจว่าการแซงคิวนั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ว่าทำได้หรือทำไม่ได้มากกว่า เนื่องจากว่าทุกครั้งที่พยายามจะแซงคิว เด็กๆจะโดนผู้ใหญ่ดุ และไม่มีผู้ใหญ่ที่แซงคิว ทำให้เด็กรู้ว่า ฉันก็ทำไม่ได้


    2. คนที่แซงคิวถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีคุณค่า เพราะคนนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เกรงใจคนอื่น และทำให้คนอื่นรอนานเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง ชาวญี่ปุ่นแทบทุกคนเน้นความตรงต่อเวลามาก ดังนั้น การแซงคิวหมายความว่า คนที่แซงนั้นไม่ให้เกียรติต่อเวลาของคนอื่น เมื่อคนใดคนหนึ่งไม่เห็นคุณค่าในเวลาของคนอื่น คนนั้นก็ถูกมองว่าคนที่ไร้คุณค่า
    แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นเผชิญกับสึนามิโศกนาฎกรรมน่าเศร้าเช่นนี้ ญี่ปุ่นก็ยังแสดง ภาพน่าประทับใจให้เห็นถึงสังคมที่มีรูปแบบอย่างดีสามารถรับมือกับวิกฤตอย่าง นิ่งสงบและมีระเบียบ


    3. สิทธิและความเท่าเทียมกัน แม้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าของแถวนั้นเป็นคนใดก็ตาม เราก็รู้สึกว่า เขามีสิทธิมากกว่าเรา แม้ว่าเราจะมีอำนาจสูกว่า มีเงินมากกว่า มีการศึกษาสูงกว่า ตำแหน่งที่สูงกว่าก็ตาม ในแถวนั้น คนที่มีสิทธิมากที่สุดก็คือคนที่มาเร็วที่สุด คนนั้นเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เวลาคนญี่ปุ่นเค้าจะข้ามถนนยังต้องเข้าแถวเลย


    4. สังคมญี่ปุ่นเชื่อว่า การเข้าคิวนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะถ้าไม่มีคิว คนที่ได้เปรียบที่สุดก็คือ คนที่ไม่รู้จักคำว่าอาย เราก็ไม่อยากจะให้สังคมของเราเป็นสังคมที่คนที่ไม่รู้จักคำว่า อาย ได้เปรียบ ทุกคนก็ยอมรับที่จะเข้าแถว แม้ว่าแถวนั้นจะยาวเป็นหลายกิโลก็ตาม


    ในสังคมบางสังคม ในขณะที่เราเข้าแถว ผู้ใหญ่มาถึงที่นั้น มักจะมีคนที่ต้อนรับท่านผู้ใหญ่และบอกว่า “เชิญทางนี้นะค่ะ/ครับ” หลังจากนั้นก็จะให้บริการแก่ท่านผู้ใหญ่คนนั้นก่อนคนที่เข้าแถวเป็นเวลานาน TerraAds TerraAds ถ้าในประเทศญี่ปุ่น อาจจะมีคนที่ต้อนรับท่านผู้ใหญ่ (แม้ว่าหายาก) แต่คนที่ต้อนรับท่านผู้ใหญ่นั้นก็ต้องบอกว่า “ขอบคุณครับท่าน ขอโทษนะครับ วันนี้ คิวมันจะยาวหน่อยครับ”

    ที่มา: Hara Shintaro : www.wegointer.com

    คน 15 แบบที่คุณจะได้เจอเมื่อไปสนามบิน เป็นประจำสำหรับนักเดินทางชั้นธุรกิจ ที่แต่งตัวหรูใส่สูท จะตะโกนใส่มือถือสุดหรูของเค้า ในขณะที่แอร์โฮสเตสบอกให้ผู้โดยสารปิดเครื่องมือสื่อสาร โดยทั่วไปคุณจะสังเกตได้ว่าธุระที่นักธุรกิจท่านนั้นเจรจาอยู่มักจะมีความสำคัญน้อยกว่าการที่นักธุรกิจท่านนั้นจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเค้ามีความสำคัญมากแค่ไหน

    บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้

    อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/news/45406
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "หลวงพ่อปาน" แนะวิธีทำให้พระเครื่องเข้มขลังมากๆ ต้องใช้คาถาอัญเชิญพระเข้าตัว ทำตามแนะนำ รับรองดีแท้แน่นอน!!!
    http://m.tnews.co.th/contents/bg/325138

    หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา บูรพาจารย์ที่ได้เคยกล่าวสอนลูกศิษย์ในการสร้างพระเครื่อง

    “…ต้องอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยสาวกทุกองค์ ตลอดจนพระพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การชุมนุมบวงสรวงเช่นนี้ประเดี๋ยวก็เสร็จไม่ต้องถึงสามเดือนอย่างที่แล้วมา จงจำไว้ว่าการจะปลุกเสกพระหรือผ้ายันต์อะไรก็ตาม ถ้าจะอาศัยอำนาจของเราอย่างเดียวไม่ช้าก็เสื่อม

    เราน่ะมันดีแค่ไหน การทำตัวเป็นคนเก่งน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่ง พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง พระพรหมท่านเก่ง ท่านมาช่วยทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จดีกว่าเราทำตั้งพันปีเราต้องการให้ท่านช่วยอะไรก็บอกไป

    ของที่ทำจะคุ้มครองผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองได้ทุกคนถ้าหากพระก็ดี พระพรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครองให้ ท่านก็มองเห็นถนัด คุ้มครองได้ถนัดและจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้านำของนั้นไปใช้ในทางทุจริตคิดมิชอบก็ไม่มีอะไรจะคุ้มครองได้ ที่เป็นคนเลวอยู่แล้วก็ช่วยพยุงให้เลวน้อยหน่อย ต้องช่วยตัวเองด้วยไม่ใช่จะคอยพึ่งผ้ายันต์หรือพระ

    ถ้าดีอยู่แล้วก็ช่วยให้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นกฎของอำนาจพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี พระสังฆบารมี ตลอดจนพระพรหมและเทวดาทั้งหลาย…”

    ข้อ 1 ก่อนคล้องพระต้องสวดบทคาถาอัญเชิญพระเข้าตัว

    ข้อ 2 ตามหลักของบูรพาจารย์นั้น เมื่อรับพระเครื่องมาแล้วนั้นไม่ว่าจะรับจากครูบาอาจารย์โดยตรง จากคนอื่นหรือไปเช่ามา หรือด้วยเหตุอันใดก็ตาม ควรต้องมีการอัญเชิญพระเข้าตัว การอัญเชิญนี้เพื่อให้คนที่รับพระเครื่องนั้น น้อมนำและสำนึกในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นการเริ่มนิมิตหมายที่ดีในชีวิตที่กำลังเดินทางไปสู่ความเจริญ

    ข้อ 3 ถ้าหากจะสวมใส่ในแต่ละวัน ให้สวดอัญเชิญพระเข้าตัวก่อนคล้องพระทุกครั้ง ในการสวดนั้นต้องทำจิตให้นิ่งระลึกเคารพถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทุกครั้ง แล้วสวดคาถา พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระที่ท่านใส่นั้น จะช่วยปกป้องคุ้มครองและดลบันดาลตามที่ท่านปรารถนา

    บทสวดอัญเชิญพระเข้าตัว

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา

    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง

    อรหันตานัญ จะเตเชนะ รักขังพันธามิ สัพพะโส

    พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ

    (สวด 3 จบหรือ 5 จบ ก่อนที่ห้อยพระ)

    การทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม จึงเป็นเครื่องป้องกัน ส่งเสริมสร้างโชตชะตาตนเองที่ดีที่สุด วัตถุมงคลจึงเป็นตัวช่วยที่รองลงมา เป็นปัจจัยเสริมที่ครูบาอาจารย์ท่านช่วยสงเคราะห์แก่โลกเท่านั้น สำหรับที่จะมี พลานุภาพ สร้างปาฏิหาริย์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในด้านต่างๆ เช่น เมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี หรือการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ

    เกิดได้ด้วยพลังจิตกุศล ศรัทธาอย่างแรงกล้าของผู้ห้อยหรือสวมใส่ ที่ต้องหมั่นทำบุญสวดมนต์ ไหว้พระ คิดดี ทำดี พูดดี พุทธคุณ บุญบารมีครูบาอาจารย์ และบุญของเราเองที่ทำจะปกป้องเรา

    ที่มา ขอขอบคุณข้อมูลจาก ธ.ธรรมรักษ์


    เรียบเรียงโดย
    ศักดิ์ศรี บุญรังศรี : สำนักข่าวทีนิวส์
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากเศรษฐีเงินล้าน บั้นปลาย หมดตัวไม่เหลืออะไร ตกอับ “ยืนลวกก๋วยเตี๋ยวขาย” รวยแล้วอย่าลืมตัว บทเรียนจากชีวิตจริง!!

    http://www.bkkchanel.info/5116/


    ว่าด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้ว ต้องยอมรับว่ามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ต่อให้เป็นเศรษฐีรวยล้นฟ้า วันดีคืนดี เงินในบัญชีก็หายไปได้ในชั่วพริบตา ดังเรื่องราวสุดสะเทือนใจที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นชะตาชีวิตที่พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือของมหาเศรษฐีพันล้านในกรุงเทพฯ ท่านหนึ่ง ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของตนเองเพื่อเป็นบทเรียนชีวิตให้ใครหลายคนได้คนและใช้ทบทวนการใช้ชีวิตของตนเองในปุจจุบัน โดยปัจจุบันนี้ชะตาชีวิตเล่นตลกต้องกลายเป็นเพียงพ่อค้าหาเช้ากินค่ำ เช่าห้องแถวถูกๆ เพื่อเปิดร้านต่อลมหายใจในบั้นปลายชีวิตอยากให้ใครหลายๆคนได้อ่านไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจหนุ่มสาวทั่วโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้

    เรื่องราวดังกล่าวเป็นเรื่องของมหาเศรษฐีเงินล้าน เจ้าของที่ดินในกรุงเทพมหานครและตามเมืองใหญ่ๆของประเทศ รวมกว่าหลายร้อยไร่ ทำธุรกิจค้าไม้ได้กำไรอย่างงาม เคยใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหรา ใช้จ่ายไปกับการกินการดื่มครั้งละเป็นแสน!!ซึ่งสมัยก่อนบอกเลยเงินแสนนี่ไม่ธรรมดาขณะสมัยนี้จะเก็บเงินแสนได้บางคนยังแสนยากเย็นใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ไม่หน่ำซ้ำส่งเสียลูกๆ ทุกคนไปเรียนเมืองนอก ขณะที่ภรรยา ก็ชอบเล่นหุ้นจนมีรายได้เป็นเงินสดกว่าหลายสิบล้าน! แม้แต่ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 40 ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าวมากมายด้วยเพราะมีเงินเก็บเหลือกินเหลือใช้อยู่

    กระทั่งมาในปีที่น้ำท่วมหนัก ขณะนั้นเป็นช่วงที่ชะตาชีวิตต้องพลิกผันเพราะจังหวะในปีนั้นเขาได้ตัดสินใจเลิกทำธุรกิจค้าไม้ที่ตนเองถนัด มาตัดสินใจตั้งโรงงานอะไหล่ที่ จ.อยุธยาเพราะด้วยกระแสแหล่งยุคอุตสาหกรรมเฟื้องฟู
    ทำให้ครั้งนี้เขารับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนั้นเต็มๆ ทรัพย์สินของเขาที่เคยมีมากมายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ 19 คัน บ้าน 5 หลัง ที่ดินและเงินสดทั้งหมดมลายหายไปจนหมดสิ้น ด้านภรรยาด้วยวิกฤตแหล่งยุคทำให้เล่นหุ้นขาดทุนย่อยยับกว่า 400 ล้านบาท!จากมีเงินกลายเป็นติดหนี้สินล้นพ้นตัว บรรดาลูกๆ ต่างทำธุรกิจขาดทุนจนหมดตัว ทุกอย่างที่เคยมีหายไปในพริบตา ทิ้งไว้เพียงหนี้กองโตจำนวนกว่า 200 ล้าน!!!
    นั่นเองเป็นจุดหักเหของชีวิตชายชราที่ส่งผลให้ ปัจจุบันเขากลายเป็นบุคคลล้มละลาย ไม่สามารถลุกยืนขึ้นอีกครั้งได้แล้ว ต้องไปหยิบยืมเงินจากญาติที่ตัวเองเคยดูถูกเหยียดหยามเอาไว้ เพื่อมาเช่าห้องแถวราคาถูกเป็นที่พักอาศัยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวยกหม้อล้างจาน ทำงานหนักคนเดียวในวัย 76 ปี! ลูกๆก็ต่างพากันหนีหายตามยถากรรม ภรรยากลายเป็นคนเหม่อลอยไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรนั่งซึมเศร้า และสุดท้ายโชคชะตายังเล่นตลก เมื่อก่อนเขาจะได้รับรู้ความจริงสุดสะเทือนใจเกี่ยวกับเงินก้อนนี้ จนในที่สุด เขาก็รู้ซึ้งถึงสัจจะธรรมชีวิต สำหรับคนที่เคยทะนงตนในยามร่ำรวย ถึงวันที่ไม่เหลืออะไร คนที่คุณเคยดูถูกไว้ อาจจะเป็นคนที่ให้ชีวิตคุณอีกครั้งก็ได้ !!!


    ขอเวลาสัก 1 นาที อ่านแล้วดีจริงๆ
    จากมหาเศรษฐี “รวยพันล้าน” หมดตัวไม่เหลืออะไร ชีวิตตอนแก่สุดแสนลำบาก รวยแล้วอย่าลืมตัว บทเรียนจากชีวิตจริง!!

    “ชีวิตมีขึ้นมีลงอย่าดูถูกใคร”

    มีอดีตเจ้าของที่ดินมากกว่า 500 ไร่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนผมมีที่ดิน 500 ไร่ รวมๆกันทุกเขตของกรุงเทพ และเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศ ตอนนั้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมพกเงินในกระเป๋ากินเหล้าครั้งละแสน ทำธุรกิจค้าขายไม้ ได้เงินดีจริงๆ ลูกๆผมส่งเรียนเมืองนอกหมด ไม่ต้องทำงานเรียนอย่างเดียว

    เมียผมชอบเล่นหุ้น หุ้นก็ขึ้นเอาๆเรามีเงินสดหลายร้อยล้าน มีญาติผมคนหนึ่งเดือดร้อนมายืมเงินผม ผมด่าเขาซะไม่มีชิ้นดี แต่ก็ให้เงินไปนะแสนนึง แล้วบอกเขาว่า ไม่ต้องมาหากูอีกนะ กูทานให้ เขารับเงินพร้อมน้ำตา “ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้สึกยังไง”

    ปีต้มยำกุ้งผมไม่สะดุ้ง แต่ปีน้ำท่วมน้ำพัดทุกอย่างไปจากชีวิตผมจริงๆ เมื่อผมคิดการใหญ่ตั้งโรงงานอะไหล่ที่อยุธยา ไม่ได้ทำโรงไม้แล้ว รถผม 19 คัน บ้านอีก 5 หลัง ที่ดินทั้งหมดและเงินสดที่เคยมี แฟนผมเล่นหุ้นเจ๊งไปสี่ร้อยกว่าล้าน ลูกๆทำธุรกิจก็หมดตัวขาดทุนย่อยยับ ภายใน 2 ปีสิ่งที่ผมมีมันหายไปหมด เหลือไว้เพียงหนี้สินสองร้อยกว่าล้าน

    ปัจจุบัน ผมคือบุคคลล้มละลาย เช่าห้องแถวอยู่พอได้ขายก๋วยเตี๋ยวประทังชีวิตรอความตายไปวันๆ เมียผมก็ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไร ลูกๆผมไม่เคยเห็นหน้า ตอนนี้ผมอายุ 76 ผมต้องยกหม้อก๋วยเตี๋ยว ล้างจาน

    ทุกวันนี้ผมปลงได้แล้วนะ ผมมาลำบากตอนแก่ เงินค่าเช่าห้องนี้ผมไปยืมกับคนที่ผมเคยด่าเขาแล้วให้เขาไปแสนนึง ลูกเขายื่นเงินให้ผมแสนห้าแล้วบอกผมว่า “พ่อผมบากหน้าไปยืมเงินคุณลุงเพราะตอนนั้นผมเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดสมอง พ่อนั่งร้องไห้ คุณลุงด่าแล้วโยนเงินให้เหมือนหมา

    ลุงบอกว่าจะตีพ่อ พ่อก็ยอมเพราะชีวิตลูกมีค่ามากกว่าสิ่งใด ต่อให้ทำร้ายร่างกายและจิตใจพ่อก็ยอม ถ้ามีเงินจะให้คืนคุณลุง แสนนี้ผมคืน ห้าหมื่นคือดอกเบี้ย เราไม่มีหนี้บุญคุณกัน แต่ถ้าคุณลุงลำบากคุณลุงมายืมกับผมๆจะให้กู้ ผมจะไม่ด่าคุณลุงเหมือนที่คุณลุงด่าพ่อผม จริงๆถ้าไม่มีเงินคุณลุงผมคงตายแล้ว แต่ถ้าพ่อผมไม่อดทนเพื่อแลกชีวิตผม ผมก็ตาย ผมทำตามที่พ่อบอกแล้ว ลูกพ่อดูแลพ่อ ส่วนลูกคุณลุงผมไม่รู้ กรรมของใครของมัน”

    ผมเดินร้องไห้มาถึงบ้าน เอาเงินจ่ายค่าเช่าห้องแถว ลงทุนมีเงินเก็บไว้ 30,000 บาท และผมเข้าใจความรู้สึกของคำว่า “กรรมนั้นตามสนอง”

    หลานไม่ได้ด่าผมแต่หลานพูดความจริง เพียงแต่ผมรับความจริงไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขดีนะ พระ แม่ชี ขอทาน มากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านผม ผมไม่คิดเงิน ตอนผมมีเยอะๆ ผมเบื่อคนบอกบุญ ผมหลอกเขาว่านับถือคริสต์ ผมไม่เคยทำบุญ

    ผมเที่ยว ผมกิน ผมมีผู้หญิง ตอนนี้ผมหมดตัวมีหนี้สิน สิ้นเพื่อน ไร้ลูก ผมถึงได้ฟังธรรมะ เข้าวัดเป็น รู้จักทาน อีกหน่อยก็คงตายไป ผมห่วงแค่เมียผม ผมภาวนาให้เมียผมตายก่อนผม เพราะถ้าผมตายก่อนเมียผม ผมจะตายตาไม่หลับ

    ไม่ต้องถามว่าร้านอยู่แถวไหน เพราะจะไม่บอก เก็บเรื่องราวมาให้อ่าน คนอ่านจบได้กำไร คนขี้เกียจอ่านก็คงพลาดโอกาส กำลังใจจากคุณตาที่ให้มา “ไม่มีคำว่าอดตายสำหรับคนขยัน ไม่มีการปลงตกถ้าไม่เคยสูงสุดแล้วมาต่ำสุด”

    เรื่องนี้สอนใจได้ดีมากสำหรับใครหลายๆคนที่ทะนงตนและลืมตัว ยามที่ร่ำรวยมีเงินทอง จงอย่ามองคนอื่นเช่นผักปลา ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งที่ตนเองไม่เหลืออะไร คนที่เราเคยดูถูกไว้ อาจให้ชีวิตเรากลับมาอีกครั้ง
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระโอวาท
    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
    สมเด็จพระสังฆราช
    สกลมหาสังฆปริณายก
    เนื่องในวันอาสาฬหบูชา
    พุทธศักราช ๒๕๖๐

    https://www.facebook.com/SanggharajaOffice/?hc_ref=NEWSFEED&fref=nf
    ........................................

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระพุทธรัตนะ ได้ทรงแสดงปฐมเทศนาด้วยพระธรรมรัตนะ อันมีนามว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” โปรดปัญจวัคคีย์ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นการเริ่มประกาศพระศาสนา กระทั่งบังเกิดมีพระอริยสงฆ์ ก่อกำเนิดพระสังฆรัตนะ ครบถ้วนพร้อมเป็น “พระรัตนตรัย” ณ ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะ

    เพราะฉะนั้น วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นโอกาสสำคัญที่พุทธบริษัทจักได้น้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ย้ำเตือนจิตใจตนให้มุ่งประพฤติตามหนทางแห่งอริยมรรค ตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงไว้เป็นครั้งแรกในดิถีเช่นนี้

    ท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธศาสนิกชน คงเคยปฏิญาณตนถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกกันมาแล้วทุกคน ด้วยถ้อยคำภาษาบาลีว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นต้น

    ณ โอกาสคล้ายวันบังเกิดพระรัตนตรัยครบองค์สาม จึงขอเชิญชวนทุกท่านทบทวนความหมายของคำปฏิญาณที่ประกาศตนอยู่เสมอ ว่าแท้จริงแล้วมีสาระลึกซึ้งมากกว่าเพียงแค่พิธีกรรม

    ถ้าท่านเป็นผู้มีพระไตรสรณคมน์คอยนำทางชีวิตอยู่ทุกขณะจิต ก็ย่อมมีความเคารพยำเกรงในคำสั่งสอนของพระศาสดา ย่อมมีความละอายชั่วกลัวบาป ไม่กล้าประพฤติล่วงละเมิด “ศีล” ซึ่งเป็นการปิดประตูสู่ความตกต่ำ และย่อมขวนขวายที่จะประพฤติ “ธรรม” ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่ความเจริญงอกงาม

    ถ้าทำได้ตามนั้น ความศักดิ์สิทธิ์แห่งคุณพระรัตนตรัยย่อมมีอยู่จริง และย่อมดลบันดาลให้ท่านประสบความสุขความเจริญได้อย่างเห็นแจ้งประจักษ์จริง ด้วยผลจากความดีงามที่ท่านเพียรประพฤติตามพระพุทธธรรมนั่นเอง ไม่ใช่ด้วยอานุภาพลี้ลับซึ่งเหนือการพิสูจน์แต่อย่างใด

    ประเพณีการบูชาพิเศษในวันอาสาฬหบูชา บังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อเกือบ ๖๐ ปีมาแล้ว บนผืนแผ่นดินไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สมควรที่เราชาวไทยจะได้ภาคภูมิใจ และขอจงใช้โอกาสวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลเข้าพรรษา เป็นปฐมฤกษ์แห่งการรักษาสัจจะต่อคำปฏิญาณ ในอันที่จะละเว้นจากบาป พร้อมเร่งบำเพ็ญคุณงามความดีให้เพิ่มพูน เพื่อสันติสุขอันไพบูลย์ในชีวิตของท่าน ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ และโลกนี้สืบต่อไป.
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่จันทา ถาวโร อริยะสงฆ์ที่ได้สนทนาเรื่องนรกกับนายนิรยบาล ! (ตอนที่ 1 จาก 3 ตอน)
    http://www.sabaiclub.com/?p=18175
    ขอขอบคุณข้อมูล : tnews

    หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นพระอริยสงฆ์แห่งวัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ท่านได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์การได้สนทนากับยมทูตครั้งหนึ่งว่า…
    ครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2494 เมื่อออกพรรษาเป็นฤดูแล้ง ได้ไปพักอยู่ที่วัดเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ และได้ตั้งใจฝึกจิตภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่ทับได้สั่งสอนเอาไว้ โดยได้ให้คำสัตย์มั่นเอาไว้ว่าจะไม่ถือนอนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ถือฉันอาหารใด ๆ จะทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ 3 คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วก็ตั้งใจมั่นอธิษฐานจิตว่า “ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้หรือคืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระรัตนตรัยเป็น ‘นายะโก’ ผู้นำโลกสามารถนำหมู่สัตว์ออกจากวัฏสงสารและทุกข์ได้จริง” จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินจงกรม ก้าวขวาว่า “พุทโธ” ก้าวซ้ายว่า “ธัมโม” ก้าวขวาว่า “สังโฆ” เมื่อครบสามรอบแล้วก็ย่นคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า “พุท” ก้าวซ้าย “โธ” ทำอยู่อย่างนั้นไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ

    พอจิตยึดมั่นกับพุทโธได้ไม่นานจิตก็ปล่อยวางพุทโธ เหลือแต่ผู้รู้อยู่กับสติ พอจิตรวมลงไปนั้น จิตของท่านก็ได้วางกาย วางลม วางขันธ์ทั้งหมดลง จนได้ระดับสมาธิที่เรียกว่า “อุปจารสมาธิ” ขึ้นมาจนกระทั่งเวลาได้ล่วงไปถึงประมาณ ตี 2 กับ 30 นาที

    ท่านก็ได้พบเห็นนิมิตผ่านเข้ามาเป็น “นายนิรยบาล 8 คน” เดินออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมาขนาดมนุษย์ธรรมดาถึงหกเท่า ทั้งหมดมีผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะมือถือง้าวปลายแหลม เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห่างประมาณ 2-3 วาเท่านั้น
    นายนิรยบาลที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า

    “ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้งแปดคน เป็นนายนิรยบาลมาจากเมืองนรก จะมาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ 16 ปี เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์เขาให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”

    หลวงปู่จันทาได้ถามออกไปว่า “พวกท่านคือนายนิรยบาลมาจากนรกจริงหรือ ?”

    “จริงสิท่าน ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า “นายนิรยบาล” นายนิรยบาลก็เปรียบเหมือนกับพลตำรวจ และมีจ่ายมบาลซึ่งเปรียบเสมือนท่านอธิบดีกรมตำรวจมีหน้าที่คอยควบคุมบัญชาการอีกที”

    หลวงปู่จึงถามต่อไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ได้ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร ?”

    นายนิรยบาลตอบว่า “ความดีทั้งหลายก็ทำ ความชั่วทั้งปวงก็ทำ ทำเอาหมดทั้งนั้นไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกรรมดีและกรรมชั่วนั้นจึงนำพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิรยบาล ผู้มีหน้าที่ต้องทำงานอยู่ในเมืองนรกอันหฤโหด”

    หลวงปู่ได้โอกาสจึงถามต่อทันที “นรกนั้นอยู่ที่ไหน ?”
    นายนิรยบาลจึงคลายความสงสัยให้ฟังว่า “เมืองนรกอันร้อนระอุนั้นอยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหากตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางของทั้งสามจังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์ นรกนั้นเป็นสถานที่ที่ทุกข์ล้วน ๆ หาความสุขไม่มีแม้แต่น้อยหนึ่ง ทุกข์เพราะสัตว์นรก จะถูกต้มด้วยน้ำร้อนและถูกสังหาร ด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิรยบาล เป็นทุกข์อย่างนั้น หาสุขไม่มีเลยแม้เศษเสี้ยววินาที”

    หลวงปู่จึงได้ตั้งคำถามหนึ่งขึ้นมา เป็นคำถามที่แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของพระพุทธศาสนาที่จะช่วยให้คนพ้นนรกได้โดยท่านได้เริ่มว่า “คนเมืองไทยนี่คงจะไปนรกกันหมดใช่ไหม ?”

    นายนิรยบาลตอบว่า “เปล่าหรอกท่าน คนที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลธรรมอันดีงามนั้น จะไม่ได้ไปนรก ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรกหรอก”

    หลวงปู่ถามต่อไปว่า “คนไทยนี้ไม่ว่าอยู่ใกล้ไกล เมื่อตายแล้ว พวกท่านต้องไปนำเขามาทั้งหมดใช่หรือไม่ ?”

    นายนิรยบาลตอบว่า “ใช่ คนในเมืองไทยนี้ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด ก็ล้วนมีรายชื่ออยู่ในบัญชีทิพย์ของจ่ายมบาลทั้งหมด เป็นระบบสากล เขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตามจะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”

    หลวงปู่ได้รับทราบคำตอบถึงจำนวนนรกในเมืองไทยนี้ว่ามีมากมายรวม มี 4 ภาค ก็ประมาณ 4 ขุมใหญ่ ๆ และการที่คนต้องไปลงนรกกันก็เพราะมีความเห็นผิดในความเชื่อที่ผิดในทางศาสนา เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้โดยมีความเชื่อและการปฏิบัติที่ผิดความจริง เช่นการเชื่อว่าฆ่าสัตว์ไม่บาป และจะมีผู้ที่คอยรับผลกรรมแทนให้

    นายนิรยบาลจึงได้แจ้งแถลงไขเรื่องนี้ว่า

    “การพูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวก ตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลกและคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความดีนั้นเช่นกัน

    เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นคนที่กระทำความดีจะเห็นเส้นทางที่เป็นความจริง คือเห็นว่าทางไปยังโลกมนุษย์และโลกสวรรค์มันจะเป็นเส้นทางที่สะอาดเตียนโล่งดีเหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยดีแล้วเส้นทางก็จะเป็นไปตามนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ส่วนเรื่องของคนที่ทำบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นไปว่าทางไปนรกนั้นเป็นของที่สวยงามแต่แท้จริงแล้วเป็นของที่อันตราย เส้นทางที่ดูสะอาดเตียนดี เขาก็จะเห็นเป็นเปลวไฟ เห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญมีเลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่าเป็นกิจกรรมสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง นั่นก็เป็นเพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น เขาจะกลับมองเห็นว่าเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนาม”
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่จันทา ถาวโร อริยะสงฆ์ที่ได้สนทนาเรื่องนรกกับนายนิรยบาล ! (ตอนที่ 2 จาก 3 ตอน)
    http://www.sabaiclub.com/?p=18175
    ขอขอบคุณข้อมูล : tnews

    หลวงปู่ได้ซักถามนายนิรยบาลต่อไปอีกด้วยคำถามที่น่าสนใจว่า “สัตว์ทั้งหลายต่างศาสนากัน เมื่อตายไปและถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกอันหฤโหดแล้วท่านทำอย่างไรต่อไปกับพวกเขา ?”

    นายนิรยบาลตอบว่า “เมื่อได้ไปถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาลจะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำงานใดเลี้ยงชีพบ้าง สุจริตหรือไม่ บางคนก็ตอบว่าค้าขายบ้างก็ว่าทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่ารับราชการต่าง ๆ กันไปโดยจะไม่สามารถโกหกได้เลย จากนั้นจ่ายมบาลจะถามต่อไปอีกว่า นับถือศาสนาอะไร ซึ่งบางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกส์ และ ฮินดู แตกต่างไป ทีนี้จ่ายมบาลจะถามถึงเทวทูตทั้ง 5 คือ ชาติ (ความเกิด) ชรา (ความแก่) พยาธิ (ความปวดไข้) มรณะ (ความตาย) และเหล่านักโทษในเรือนจำในนรกนั้นแต่ละคนพิจารณาเห็นเป็นไปอย่างไร โดยคำถามนั้นจะถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็จะถามศาสนาพุทธก่อน ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชายก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นฝังอยู่ในใจของเขา จึงดลบันดาลจิตใจของคนเหล่านั้นให้เป็นปราชญ์ คนเหล่านี้มีความฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น ตอบคำถามโดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญ ต่อจากนั้นจ่ายมบาลท่านก็จะถามอีกเรื่องข้อธรรมเรื่องการทำสมถะวิปัสสนากรรมฐาน และ ศีล สมาธิ ปัญญามีหลักพิจารณาเป็นอย่างไร”

    นายนิรยบาลดูจะต้องการชี้ว่า หากเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยการยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ฝังอยู่ในใจและเป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติอยู่ เขาก็จะตอบได้โดยทุก ๆ สรรพสิ่งในโลกเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และได้ตั้งคำถามที่น่าสงสัยอยู่ 4 ประการเป็นปริศนาว่า วัตร 6 คืออะไร ? วัตร 7 คืออะไร ? และสีมา 8 คืออะไร ? คนที่สำรวมกายวาจาใจไว้ได้และสร้างคุณงามความดีอยู่เป็นประจำก็จะตอบได้

    จากนั้นจ่ายมบาลจึงว่า

    “พวกท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดรู้จริง ได้รู้จักศาสนาที่ดี เป็นศาสนาที่ล้างบาปได้ เป็นศาสนาที่กลั่นกรองกิเลสได้จริง เป็นศาสนาที่บำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีให้เกิดมีขึ้น เป็นศาสนาที่ป้องกันโลกคือหมู่สัตว์ไม่ให้ไปถึงอบาย ถึงไปก็ไม่ได้เสวยทุกข์วิบากในอบายนั้น ฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องไปตกนรก แต่จะได้กลับไปเกิดในเมืองมนุษย์อีก”

    หลวงปู่จึงนึกถึงคำสอนที่ปฏิบัติมาได้ว่า

    “นี่แหละคือเพราะอำนาจของ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า และศีลธรรมที่ได้ประพฤติปฏิบัติหมั่นเพียรอุตสาหะ ด้วยละเว้นความชั่วทั้งทางกาย วาจา ใจ ด้วยความเคารพศรัทธาเลื่อมใสนั้นติดตามรักษาอยู่เป็นนิจจะป้องกันให้ไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่วได้ ดังพุทธภาษิตที่ว่า “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะ จาริง แปลว่าผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโลกที่ชั่ว ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหิต ธรรมที่ประพฤติปฏิบัติมั่นคงดีแล้ว ทั้งกาย วาจา ใจ อบายไม่ได้ไปแน่นอน ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะมีแต่สุคติเป็นที่ไปล้วน ๆ”

    จ่ายมบาลเล่าต่อไปว่า หากผู้ใดรู้แจ้งเช่นนี้ก็จะสั่งให้นายนิรยบาลนำผู้ที่เคารพนับถือศาสนาที่รู้แจ้งเช่นนี้ได้กลับไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก ต่อมาจ่ายมบาลก็หันมาซักถามผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ว่า “ศาสนาของท่านสอนอย่างไร” ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาที่ดีหรือไม่ได้สอนให้พ้นทุกข์ ไม่ได้สอนให้เป็นคนดีนั้นก็ตอบว่า “ไม่รู้” จ่ายมบาลก็ถามเรื่องปริศนาธรรมอีกและหลักสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคำสอนของศาสนาที่ดีทั้งหมด ก็ไม่มีใครตอบได้เลย

    จากนั้นจ่ายมบาลก็จะเรียกให้ยมทูตพาคนเหล่านั้นไปลงนรก ซึ่งก็แล้วแต่กรรมของสัตว์เหล่านั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด บางจำพวกก็หมื่นปี บางจำพวกก็แสนปี ต่างถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคมของนายนิรยบาล เป็นทุกข์ไปจนกว่าจะพ้นจากสถานที่นั้น เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็จะต้องไปเป็นเปรต พ้นจากเปรตแล้วไปเป็นอสุรกายแล้วไปเป็นเดรัจฉานต่าง ๆ ท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ ใช้กรรมใช้เวรอยู่อย่างนั้นไม่มีวันจบสิ้นได้ เป็นทุกข์ยากแสนลำบากไร้ทรัพย์ อับปัญญา เพราะความดีของตนไม่มี

    นายนิรยบาลได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ในเมืองนรกให้หลวงปู่ได้ฟังอย่างนั้น และก่อนจะจากไปนายนิรยบาลก็ได้กล่าวกับหลวงปู่ทิ้งท้ายไว้

    “ท่านอาจารย์ บวชในพุทธศาสนาแล้วก็จงไปเทศน์แนะนำพร่ำสอนพี่ป้าน้าอา ให้เขาทั้งหลายเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ลดละ ชีวิตร่างกายล้วนแต่เสื่อมสลาย พิจารณาธาตุขันธ์ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่เสมอ จึงจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในโลกสงสารอีกต่อไป จิตใจจะเห็นว่าธาตุขันธ์ไม่พอกับความต้องการ ไม่นานก็จะพลัดพรากกันไปเท่านั้น แล้วจงบอกให้คนเหล่านั้นให้เร่งรีบสร้างบุญอย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบสะสมแต่บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนากอบโกยเอาบุญกุศลใส่ตนไว้ จะมากจะน้อยประณีตปานใดก็เป็นของเราหมด ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ด้วยน้ำใสใจจริง แม้เพียงน้อยนิด ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ตกนรกเป็นแน่นอน” จากนั้นพวกนายนิรยบาลก็ลาจากไป
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่จันทา ถาวโร อริยะสงฆ์ที่ได้สนทนาเรื่องนรกกับนายนิรยบาล ! (ตอนที่ 3 จาก 3 ตอน)
    http://www.sabaiclub.com/?p=18175
    ขอขอบคุณข้อมูล : tnews

    ต่อมาไม่นาน หลวงปู่ก็ได้เห็นว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากบ้านเฉลียงลับ เมื่อเดินมาถึงก็กราบหลวงปู่แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์ จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมทนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ”

    หลวงปู่ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า “แม่หนูน้อยจงตั้งใจยินดีในการโมทนารับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะ บุญกุศลทั้งปวงที่ได้บำเพ็ญมา ขอแบ่งครึ่งให้นะแม่หนูน้อยจงตั้งใจโมทนารับเอาไปเถิด” เมื่อเธอได้รับบุญนั้นไปแล้วก็กล่าวว่า “ใจร้อน ๆ เมื่อสักครู่ เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงปู่แล้วใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหม ?”

    หลวงปู่จึงปลอบใจว่า

    “ไม่ตกหรอกแม่หนูน้อย จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ เสมอ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาลเขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต ๕ และอำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ฝังอยู่ที่จิตใจของแม่หนูน้อยนั้นจะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นล้วนเกิดขึ้นจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น”

    เธอก็รับคำว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กราบเสียสามครั้ง แล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิรยบาลไป หลวงปู่ก็จดจำรูปร่างลักษณะของสาวน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง

    ในขณะนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว จิตก็เลยถอนออกจากสมาธิ พอจิตถอนออกแล้วได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ ซึ่งวัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกัน พอตื่นเช้าก็ออกบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัด ก็มีโยมที่เป็นผู้ชายนำอาหารอันประณีตมาถวาย แล้วจึงพูดว่า

    “ท่านอาจารย์ครับ เมื่อคืนลูกสาวของข้าพเจ้า เธอได้ขาดใจตายเสียแล้ว เมื่อเวลาประมาณตีสาม”

    ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเมื่อคืนนี้ตอนที่หญิงสาวคนนั้นไปหาหลวงปู่ในนิมิตนั้น ก็เป็นช่วงระยะเวลาตีสาม พอดีก็เลยพูดกับโยมด้วยความถ่อมตนไปว่า

    “อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยม แต่ก็จะแถลงไขให้ทราบ ลูกของโยมคนนั้นหมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้นเพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิรยบาลแปดคน มาเอาตัวไปพวกนายนิรยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี้แหละ เขาบอกว่ามีหญิงสาวอายุแค่ 16 ปี หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น แล้วทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือมใช่ไหม ”

    “ใช่แล้วครับ ไม่ผิดหรอก ลักษณะถูกต้องตรงทุกอย่าง”

    “ลูกของโยม เป็นคนมีกิริยามารยาทดูงดงาม เรียบร้อย สุภาพ มีท่าทางเป็นนักปราชญ์ใช่ไหม ?”

    “ใช่แล้วครับ ลูกของข้าพเจ้าเมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสาแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ทำบุญแล้วจะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐิน หรือบุญอะไรที่ไหนใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้น บางทีก็ไปนานเป็นสิบวันหรือยี่สิบวัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ”

    พอหลวงปู่ได้ฉันเช้าเสร็จแล้ว โยมผู้เป็นทายกก็นิมนต์ไปทำพิธีเพื่อเผาศพลูกสาวของเขาตั้งแต่เช้า เมื่อไปถึง หลวงปู่เปิดฝาโลงดูก็เห็นศพมีรูปร่างหญิงสาวเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิตเมื่อคืน พอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้วก็เผาศพเป็นการเสร็จสิ้น

    เรื่องนี้หลวงปู่จันทา ถาวโรท่านได้เห็นด้วยตนเอง ว่านรกนั้นมีแน่นอน เพราะได้เห็นทูตานุทูตคือนายนิรยบาล เป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบ พร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีกด้วยท่านก็สิ้นสงสัยที่ในเรื่องนรกสวรรค์ที่เคยมีมาทั้งหมด

    ในเรื่องเล่าของหลวงปู่นั้น ไม่ได้ระบุว่าหญิงสาวที่ท่านได้พบจะมีสุคติหรือทุคติเป็นที่ไป แต่เมื่อพิจารณาจากกรรมของหญิงสาวแม้เธอจะมีอายุสั้น แต่ก็มีข้อปฏิบัติในขณะที่ยังมีชีวิตเป็นอย่างดี และมีความเย็นใจในตอนสุดท้ายที่ได้มาขอส่วนบุญกับหลวงปู่ไป เชื่อได้ว่าเธอน่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้

    แม้ในเรื่องเล่านั้นจะมีแต่การเผชิญหน้าของหลวงปู่กับ นายนิรยบาล เป็นการถามตอบปัญหาธรรมซึ่งกันและกัน แต่เราก็จะเห็นได้ว่า “ทัศนคติ” หรือ “จิต” ที่ถูกตั้งเอาไว้ดีแล้วจะเป็นเหตุให้มีภพภูมิที่ดีเป็นที่ไป คนที่จะตกนรกในแง่มุมจากเรื่องเล่าของหลวงปู่ก็น่าจะเป็น คนที่ไม่เชื่อเรื่องบุญบาป ไม่เชื่อผลของกรรม ทำให้ขาดความรู้ในการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง

    ขอขอบคุณข้อมูล : tnews
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เผยตำนาน "ดวงจิตแห่งพระพรหมเอราวัณ" ที่แท้จริงคือ.. "ดวงพระวิญญาณสมเด็จพระปิ่นเกล้า" พระบารมีล้นเกล้าดับอาถรรพ์โรงแรมเอราวัณ !!
    Publish 2017-07-21 12:11:47

    http://www.tnews.co.th/contents/df/339349

    ด้วยพระชะตาอันแรงกล้าของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้าจุฑามณี” เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า “ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย” เมื่อมีผู้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงทรงให้อัญเชิญ "สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์" พระอนุชาขึ้นครองราชย์พร้อมกันไปด้วย พร้อมทั้งทำพิธีพระบวรราชาภิเษกเสมอด้วยเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒


    นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ไทย ที่น้อยคนนักจะได้รู้เกี่ยวกับการสร้าง "พระพรหมเอราวัณ" กลางเมืองหลวงเพื่อดับอาถรรพณ์นั้น มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับดวงจิตวิญญาณของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ท่านทรงปกปักคุ้มครองบ้านเมือง ในนาม “พระพรหมเกศโร” หรือที่เราๆ รู้จักกันว่า “พระพรหมเอราวัณ”

    จุดกำเนิดของพระพรหมเอราวัณนี้ เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ กำหนดให้มีการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ ขึ้นบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรองรับแขกต่างประเทศ ว่ากันว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมาย เมื่อการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ทาง บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมได้ติดต่อ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่ กองทัพเรือ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องการนั่งทางใน เข้าดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรม

    พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ได้ท้วงติงว่า ในการก่อสร้างโรงแรมไม่ได้มีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นก่อน ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อของโรงแรม "เอราวัณ" นั้น เป็นชื่อของช้างทรงของพระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องมีการบวงสรวงที่เหมาะสม วิธีการแก้ไขจะต้องขอพรจากพระพรหมเพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป และจะต้องสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันทีหลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จ และสร้างศาลพระภูมิขึ้นไว้ในโรงแรม

    แท้จริงแล้วองค์พระพรหมองค์นี้มีนามว่า "ท้าวมหาพรหมเกศโร" หรือ "ท่านพ่อเกศโร" ซึ่งก็คือ "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" น้องชายแท้ๆ ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ที่มีดวงพระชาตาแรงกล้ายิ่งนัก ทั้งเก่งเรื่องคาถาอาคมตลอดจนวิทยาการแบบตะวันตก ที่มานั้นสืบเนื่องจากตอนประกอบพิธีเชิญดวงพระวิญญาณ ผู้เชิญในยุคนั้นคือ "คุณหลวงสุวิชาญ" ท่านมีความสามารถในการติดต่อโลกทิพย์มีหูทิพย์ตาทิพย์เป็นที่เลื่องลือยิ่งนัก

    เมื่อครั้งนั้นท่านได้ติดต่ออาราธนาบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าหรือท่านพ่อเกศโรมหาพรหม ให้แผ่บารมีสถิตย์ดับอาถรรพ์นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่สถานที่แห่งนี้พร้อมทั้งผู้สักการะบูชา พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลื่องลือในวิทยาคมมาตั้งแต่เป็น “เจ้าฟ้าจุฑามณี” ร่ำลือกันต่างๆนาๆว่า ล่องหนหายตัวบ้าง เดินบนน้ำบ้างและอีกสารพัด ผู้ชำนาญในวิทยาคมย่อมแก่กล้าในด้านสมถะภาวนา เรื่องสมาธิฌานนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องเหนือความสามารถ

    ดังนั้นคุณหลวงสุวิชาญผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์ในยุคนั้น ได้ติดต่อกับดวงพระวิญญาณของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า จึงทราบว่าพระองค์ขึ้นไปอุบัติเป็น "ท้าวมหาพรหมเกศโร" มีเดชศักดายิ่งนัก เมื่อคราวโรงแรมเอราวัณประสบอาถรรพ์จึงสร้างพระพรหมแล้วเชิญบารมีท่านพ่อเกศโรมาดับอาถรรพ์ ในยุคนั้นคุณหลวงสุวิชาญยังได้มาสร้างพระบวรนุเสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่หน้าโรงละครแห่งชาติในปัจจุบันด้วยแล้วเชิญพระบารมีแห่งท่านพ่อเกศโรมหาพรหมลงสถิตย์เป็นมิ่งขวัญสิริมงคล

    นอกจากนี้ในวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ศาลถูกชายมุสลิมใช้ค้อนทุบทำลายซึ่งทำให้ตัวองค์แตก ดังนั้นจึงมีกำหนดการที่จะบูรณะพระองค์ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับสร้างองค์ใหม่ด้วย แล้วเสร็จในปลายเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน

    มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ได้ทำพิธีอัญเชิญองค์ท่านท้าวมหาพรหม ที่บูรณะเสร็จแล้วกลับมาประดิษฐานที่เทวาลัย ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เวลา ๑๑.๓๙ น. ซึ่งเป็นเวลาที่องศาของดวงอาทิตย์ส่องตรงศาลพอดี โดยอัญเชิญเป็นขบวนจากกรมศิลปากรมาจนถึงศาลท้าวมหาพรหม ส่วนชายผู้ที่ใช้ค้อนทุบทำลายศาลดังกล่าว ภายหลังเกิดเหตุได้ถูกผู้เห็นเหตุการณ์ทุบตีจนเสียชีวิต

    ที่มาจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/ศาลท้าวมหาพรหม_โรงแรมเอราวัณ

    https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

    palungjit.org

    ขอบคุณภาพ : HoroGuide.com
    http://www.horoguide.com/การไหว้พระพรหม-เอราวัณ-อ


    เรียบเรียงโดย

    เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ : สำนักข่าวทีนิวส์

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    การไหว้พระพรหม เอราวัณ อย่างถูกวิธี
    http://www.horoguide.com/การไหว้พระพรหม-เอราวัณ-อ


    วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 เป็นวันคล้ายวันก่อกำเนิดท้าวมหาพรหม เอราวัณ บริเวณแยกราชประสงค์ ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ถือเป็นศาลพระพรหมศาลแรกที่มีขนาดใหญ่ ในเวลาต่อมาเมื่อมีการสร้างศาลพระพรหมไว้บูชาในอาคารหรือสถานที่ขนาดใหญ่ จะยึดแบบการสร้างจากศาลท้าวมหาพรหมที่โรงแรมเอราวัณ เนื่องจากเป็นความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าความขัดข้อง อุปสรรค และส่งเสริมโชคและความสำเร็จ

    เนื่องด้วยการบูชาพระพรหมมีวิธีการบูชา เพราะองค์พระพรหมท่านมี 4 พักตร์ 4 ทิศ ฉะนั้นการบูชาก็ ควรบูชาให้ครบทั้ง 4 พักตร์ 4 ทิศ วิธีการบูชาพระพรหม ซึ่งจะไหว้ธูป 9 ดอก เทียน 2 เล่ม และบูชา เฉพาะหน้าเดียว การไหว้แบบนี้ไม่ผิด แต่จะได้พรเพียงเรื่องเดียวจากท่าน การที่จะได้รับพรครบทุกประการ จำเป็นต้องมีวิธี วิธีการอย่างแรกต้องเตรียมของในการสักการะพระพรหมให้ครบ 4 ธาตุก่อน

    ธาตุที่ว่ามีดิน น้ำ ลม ไฟ

    1.ธาตุดิน คือ ดอกบัว 2.ธาตุน้ำ คือ น้ำสะอาด 3.ธาตุลม คือ ธูป 4.ธาตุไฟ คือ เทียน

    การสักการะองค์พระพรหมเริ่มจากพักตร์แรกและเวียนขวามือของเรา ซ้ายมือของท่าน จนไปถึงหน้าสุดท้าย การขอพรทุกพักตร์จะมีความหมายต่างกัน

    พักตร์แรก ใช้ธูป 16 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด สำหรับความหมายพักตร์แรกให้ขอเกี่ยวกับเรื่องการงาน การเรียน สิ่งที่ต้องรับผิดชอบในชีวิต การสอบ ขอเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งงานและความก้าวหน้าในชีวิต ขอเกี่ยวกับเรื่องพ่อ

    พักตร์ที่สอง ใช้ธูป 36 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด พักตร์ที่สองขอเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ เรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ดิน บ้าน คอนโด รถยนต์ อยากมีหรืออยากได้ให้ขอหน้านี้ รวมทั้งหนี้สิน ที่มีคนยืมไปแล้วไม่คืน

    พักตร์ที่สาม ใช้ธูป 39 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด พักตร์ที่สามให้ขอเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ คู่ชีวิต ครอบครัว ญาติพี่น้อง เรื่องเกี่ยวกับแม่ คู่สัญญา หุ้นส่วน ความมั่นคงของชีวิต

    พักตร์ที่สี่ ใช้ธูป 19 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด พักตร์ที่สี่ขอเกี่ยวกับเรื่องโชคลาภ สิ่งที่ได้มาโดยบังเอิญ การขอกู้ยืมเงิน ขอออเดอร์สินค้า เรื่องของบุตร ใครยังไม่มีบุตรให้มาขอได้ ประสบผลสำเร็จ

    รวมธูปที่ต้องใช้ทั้งสิ้น 110 ดอก

    เทียนทั้งสิ้น 36 เล่ม

    ดอกบัวทั้งสิ้น 36 ดอก

    น้ำเปล่า 4 ขวด
     

แชร์หน้านี้

Loading...