พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    5 ธันวาคม วันดินโลก วันสำคัญที่สะท้อนพระปรีชาสามารถของ ร.9 ไปทั่วทั้งปฐพี
    https://hilight.kapook.com/view/145861


    วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก ที่องค์การสหประชาชาติมีมติยอมรับให้วันนี้เป็นวันสำคัญสากล ซึ่งเราชาวไทยทุกคนก็ควรได้รู้ถึงประวัติวันดินโลกไว้เป็นความประทับใจที่ชีวิตนี้ได้เกิดในรัชกาลที่ 9

    นอกจากวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี จะเป็นวันพ่อแห่งชาติมาตลอดในรัชกาลที่ 9 แล้ว ทั่วโลกยังให้ความสำคัญต่อวันนี้ในฐานะวันดินโลก ตามมติของ UN อีกด้วย ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนมาทราบถึงประวัติวันดินโลก และความสำคัญของวันดินโลก พร้อมด้วยโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับดิน อันเป็นเหตุผลสำคัญยิ่งที่ทำให้มีวันดินโลก

    ประวัติวันดินโลก

    วันดินโลก (World Soil Day) ถูกกำหนดขึ้นตามมติขององค์การสหประชาชาติ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและการเงินของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญที่ 68 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2556 ให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก (World Soil Day) และกำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีดินสากล (International Year of Soils) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรดิน ต่อการพัฒนาด้านการเกษตร โภชนาการ และความมั่นคงทางอาหาร ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ

    ทั้งนี้สาเหตุที่กำหนดให้วันดินโลก ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมนั้น สืบเนื่องจากการประชุมสภาโลกแห่งปฐพีวิทยา (World Congress of Soil Science) ครั้งที่ 17 เมื่อปี พ.ศ. 2545 ทางสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences) ได้ตระหนักถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการพัฒนาทรัพยากรดิน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการเกษตร จึงได้เลือกวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ เป็นวันดินโลก เพื่อเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านการปกป้องและพัฒนาทรัพยากรดิน ซึ่งถ้าให้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านการพัฒนาทรัพยากรดิน เราก็ขออนุญาตพาคนไทยทุกคนมาทบทวนโครงการในพระราชดำริเกี่ยวกับดินของในหลวง รัชกาลที่ 9 ดังนี้กันค่ะ

    1. โครงการศึกษาฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ)

    ตั้งอยู่ที่บ้านเขาชะงุ้ม หมู่ที่ 2 ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและสาธิตวิธีการฟื้นฟูปรับปรุงดินเสื่อมโทรมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นรูปแบบและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ โครงการ ได้เรียนรู้วิธีการจัดการดิน น้ำ และพืชอย่างถูกต้อง มีความยั่งยืนไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

    2. โครงการทดลองแก้ปัญหาดินเปรี้ยว

    ด้วยพระปรีชาสามารถของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่มีพระราชดำริแก้ปัญหาดินเปรี้ยวในจังหวัดนครนายก ด้วยการใช้วิธีธรรมชาติอย่างการเปลี่ยนถ่ายดินจากแปลงหนึ่งสู่แปลงหนึ่ง เพื่อลดความเปรี้ยวของดิน อีกทั้งพระองค์ยังได้พระราชทานพระราชดำริให้ใช้ปูนมาร์ล และสาหร่ายในการปรับสภาพน้ำให้ดีขึ้น และต่อมาก็ได้พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการศึกษาผลกระทบ ของการใช้เถ้าลอยลิกไนท์ เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวเพิ่มเติมอีกด้วย

    3. โครงการหญ้าแฝก

    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงศึกษาเรื่องการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำจากเอกสารของธนาคารโลก ที่นาย Richard Grimshaw ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย และพระองค์ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับหญ้าแฝก โดยให้ทรงทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน จนปัจจุบันมีหน่วยงานกว่า 50 หน่วยงาน ดำเนินงานสนองพระราชดำริการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ส่งผลให้การดำเนินงานก้าวหน้ามากขึ้นตามลำดับ

    4. โครงการแกล้งดิน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงรับทราบความเดือดร้อนของพสกนิกรในภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรในจังหวัดนราธิวาส ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ยวทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาดินพรุเพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุ ซึ่งเป็นดินเปรี้ยวให้เป็นดินที่มีคุณภาพ สามารถทำการเพาะปลูกได้ ซึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ใช้วิธี "การแกล้งดิน" คือ เริ่มจากการแกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันเพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินพรุที่มีสารประกอบของกำมะถันที่จะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดจัดเมื่อดินแห้ง จากนั้นจึงทำการปรับปรุงดินที่เป็นกรดจัดนั้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะลดความเป็นกรดลงมาให้อยู่ในระดับที่จะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ได้

    5. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน

    ตั้งอยู่ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่ราษฎรน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน จำนวน 216 ไร่ และครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทอดพระเนตรเห็นสภาพความทุรกันดารของผืนดิน จึงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ป่าไม้ ณ พื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งหมู่บ้านรอบ ๆ ศูนย์ โดยการวางแผนปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า และสนามทดลองทางด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเข้ามาดูงานและนำแนวพระราชดำริไปปฏิบัติตาม และพัฒนาอาชีพและพื้นที่ของตนเพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อให้ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งพระองค์ยังมีพระราชดำริให้ส่งเสริมศิลปาชีพและหัตถกรรมพื้นบ้าน เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้จากอาชีพหลักอีกทางหนึ่งด้วย

    6. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย

    หนึ่งในโครงการพระราชดำริที่ตั้งอยู่ ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ แต่ได้ถูกราษฎรเข้าบุกรุกทำลายป่าเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม จนไม่เหลือป่าไม้และสัตว์ป่า ทำให้พื้นที่แห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรมอย่างหนัก ทำการเกษตรกรรมไม่ได้ผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาพื้นที่บริเวณห้วยทราย เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์ โดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้สมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ และสามารถฟื้นฟูให้มีศักยภาพในการทำเกษตรกรรมและความเป็นอยู่ของประชากรได้อย่างต่อเนื่อง

    7. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้

    ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติทั้งด้านทรัพยากรต้นน้ำ ด้านเกษตรกรรม ด้านปศุสัตว์และโคนม รวมทั้งด้านอุตสาหกรรม เนื่องมาจากมีพระราชประสงค์ที่จะให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ทำหน้าที่เสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต ที่ประชาชนจะเข้าไปเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้

    โดยในด้านดินและเกษตรกรรมมีพระราชดำริให้ศึกษาพัฒนาสภาพดินในพื้นที่ที่มีความลาดชัน ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างสูงสุด โดยได้ทำการทดลองปลูกพืชที่เหมาะสม ทดสอบประโยชน์ของดินชนิดนี้ในรูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งศึกษาความยากง่ายในการชะล้างพังทลายของดินดังกล่าวไว้เพื่อหาวิธีป้องกัน และเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ส่งผลให้ประชากรได้มีพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยได้อย่างไม่ลำบากมากนัก

    หวนนึกไปถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อใด เมื่อนั้นก็รู้สึกว่าเราช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นประชาชนของพระองค์ท่านนะคะ ซึ่งนอกจากวันดินโลกจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะ ของพ่อหลวง ร.9 แล้ว เราก็เชื่อว่าชาวไทยทุกคนคงทราบกันดีถึงความหมายของพระนามพระองค์ท่าน อันหมายถึง กำลังของแผ่นดิน...

    "อันที่จริงเราชื่อ "ภูมิพล" ที่แปลว่า "กำลังของแผ่นดิน" แม่ก็อยากให้เธออยู่กับดิน เมื่อฟังคำพูดแล้วกลับมาคิด ซึ่งแม่คงจะสอนเราและมีจุดมุ่งหมายว่าอยากให้ติดดินและอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน"...พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
    สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)
    มูลนิธิชัยพัฒนา
    เรารักพระเจ้าอยู่หัว
    un.org
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สังฆทาน 9 อย่าง ที่ทำแล้วพระสงฆ์ได้รับประโยชน์มากที่สุด
    http://www.sabaiclub.com/?p=29567

    เนื่องมาจากมีการสำรวจของในถังสังฆทานสำเร็จรูป (ถังเหลือง) ที่เห็นวางขายกันอยู่ทั่วไป พบว่า กว่า 50 % เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานจริงไม่ได้ เช่น ผ้าจีวรสั้นและบางจนแทบจะเป็นผ้าซีทรู ใบชาเหม็นผงซักฟอกที่วางมาข้าง ๆ (กลายเป็นใบชารสโอโม่) กระดาษชำระหยาบและมีกลิ่นเหม็น แปรงสีฟันแข็งจนพระค่อนประเทศเป็นโรคเหงือกอักเสบ, สบู่ แชมพู ที่ถวายมีกลิ่นหอมแรง และผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้พระผิดศีลต้องปลงอาบัติกันทุกวัน (มีศีลข้อหนึ่งห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม ไม่แน่ใจว่าศีลข้อที่ 6,7 หรือ 8 นี่แหละค่ะ) เครื่องชงดื่มมักหมดอายุ ถ่านไฟฉายหมดอายุ แบตเยิ้ม ฯลฯ หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ คือถัง ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้แป๊บเดียวก็ฉีก แตก พัง เป็นต้นค่ะ

    สังฆทาน 9 อย่าง ที่ทำแล้วพระสงฆ์ได้รับประโยชน์มากที่สุด

    1. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ
    เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่าง ๆ ช่วยจำ บางรูปท่านเป็นเหรัญญิกดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้ พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอนค่ะ

    2. ใบมีดโกน
    เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน แต่ใบมีดยี่ห้ออื่น พระใช้โกนผมแล้วเลือดซิบ ท่านจึงใช้ได้แค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น (แต่ถ้าหากมียี่ห้ออื่น ที่คิดว่าใช้ดีก็เอามาแทนกันได้) อนึ่ง ใบมีดตราขนนกจะคมกว่ายินเลส ใช้ในการโกนครั้งแรก ส่วนยิลเลตต์จะใช้เก็บความเรียบร้อยอีกครั้ง หากท่านใดถวายใบมีด ก็ได้ชื่อว่า ช่วยไม่ให้พระต้องเสียเลือดเนื้อทุกวันโกน ข้าพเจ้าเห็นว่าได้บุญดีกว่าให้ยาอีกนะท่าน

    3. ผ้าไตรจีวร ที่มีความยาวพอที่จะนุ่งห่มได้ มีความหนาพอเหมาะสม
    เพราะผ้าที่ติดมากับถังเหลือง มันทั้งสั้น ทั้งเต่อ ทั้งบาง ทำให้พระท่านลำบากใจเวลาสวมใส่ ขาดความมั่นใจ และเสียภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ ผู้ใดถวายผ้าไตรจีวร จึงได้อานิสงส์มากนัก

    4. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสาร หรือที่ให้ความรู้ด้านอื่น ๆ
    เนื่องจากพระสงฆ์ มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่แตกฉาน ทั้งทางธรรม และรู้ทันข่าวสารบ้านเมือง เพื่อจะได้สาธิตยกตัวอย่างให้ชาวบ้านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง การถวายหนังสือเหล่านี้ จึงถือเป็นต้นทุนแห่งธรรมทาน ให้พระท่านได้นำไปต่อยอด กระจายสู่ผู้คนได้อีกมาก ทั้งยังถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง แถมได้ผลตอบแทนสูง น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง

    5. รองเท้า
    (ยกเว้นพระนิกายธรรมยุตต์ สังเกตให้ดีล่ะ ว่าวัดที่เราไป พระท่านใส่รองเท้ากันหรือเปล่า) พระท่านต้องเดินบิณฑบาตร, ธุดงค์, ไปเรียนหนังสือ, ไปกิจนิมนต์ตามที่ต่าง ๆ, บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวน สิ่งที่ต้องรับภาระหนักก็คือ ‘รองเท้า’ ที่มักจะขาด เสียหาย อยู่บ่อย ๆ นั่นเอง รองเท้าจึงถือเป็นอีก item หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างสูง

    6. ยาสามัญประจำบ้าน
    ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง

    7. ผ้าขนหนูสีสุภาพ ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้
    เพราะผ้าขนหนูที่ติดมากับถังเหลืองมักหยาบ เล็ก และคุณภาพต่ำ จนเอามาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง

    8. น้ำยาเช็ดพื้น
    พระท่านจะเอาน้ำยาเช็ดพื้นไปทำอะไร ? เฉลย ก็เอาไปผสมน้ำ ถูกุฏิ ศาลา อุโบสถ ไงจ๊ะ เพราะนอกจากจะช่วยผ่อนแรงในการทำความสะอาด สลายคราบแล้ว บางยี่ห้อยังช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในมูลนกพิราบ ฉี่หมา ฉี่แมว ฉี่หนู เห็บ หมัด ของหมาวัดได้อีกด้วย

    9. แชมพู
    เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่าง ๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตรง แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล สังเกตง่ายๆ ที่ฉลากจะมีคำว่า ‘Scalp’ เป็นสำคัญ ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นพวก แชมพูขจัดรังแค อย่างคลินิค, แพนทีน, Head & Shoulder, ไนโซรัล เป็นต้น แต่น่าเศร้าใจ ที่ไม่มีใครถวายแชมพู พระท่านจึงจำต้องใช้สบู่แก้ขัด ซึ่งทำให้ยิ่งคันหัว ศีรษะแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้นจึงขอท่านโปรดจำไว้ ว่าเราควรซื้อแชมพูไปถวายพระ แต่ก็เลือกสูตรกันนิดนึงนะคะ ให้เป็นสูตรดูแลหนังศีรษะ เพราะถ้าเกิดเราเลือกสูตร ‘เพื่อผมนิ่มสลวยดำเงางาม’ ไปถวายท่าน… ท่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราแซวได้ค่ะ

    การทำสังฆทาน
    นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธค่ะ หวังว่าข้อมูลนี้คงจะเป็นประโยชน์ ทั้งกับท่านพุทธศาสนิกชนที่มีจิตกุศลต้องการทำสังฆทาน และกับพระภิกษุสามเณร ผู้รับสังฆทาน ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาของเราต่อไปค่ะ

    ถ้ามีโอกาส ขอความกรุณาแชร์ต่อ ให้กับเพื่อนสนิท มิตรสหาย เพื่อช่วยกันลดพาณิชย์อุบาทว์ สังฆทานถังเหลืองด้อยคุณภาพ และเพื่อลดความสูญเสีย ที่คนไทยเสียไปให้กับสังฆทานสำเร็จรูป ซึ่งคิดเป็นเงินหลายสิบล้านบาทต่อปีค่ะ สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีจิตเป็นกุศลนะคะ บุญรักษาค่ะ

    ขอขอบคุณ : sc.mahidol
    http://science.mahidol.ac.th/th/
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความทรงจำที่ประทับใจเรื่องหนึ่ง
    .
    ผมเองเคยไปร่วมทำบุญ ไปช่วยวัดบ่อเงินบ่อทอง (เมื่อก่อนเป็นสำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง ตำบล หนองแหน อำเภอ พนมสารคาม ฉะเชิงเทรา 24120 )
    .
    กราบนมัสการหลวงพ่อแผน ครับ
    .
    จากเดิมที่เคยจะปิดตัวลง เนื่องจากหลวงพ่อแผน ท่านได้นำเด็กที่ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา จากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำมาบวชเณรและให้การศึกษา(ทั้งทางธรรมและอาชีพ)ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง
    .
    กระทู้ ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต พระเณร เว็บพลังจิต ...(http://palungjit.org/threads/ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต-พระเณร.21733/)...
    .
    โพสแรกที่เกี่ยวข้องกับผม เป็นเรื่องที่ผมส่งพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าให้กับพระภิกษุโต้ง(ปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อก่อนเป็นฆราวาส) ซึ่งพระภิกษุโต้งได้ให้คุณเม้าตาอิน โพสลงในกระทู้ ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต พระเณร (http://palungjit.org/threads/ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต-พระเณร.21733/page-17)
    .
    .
    โพสแรกที่ผมลง ผมลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 ครับ
    (http://palungjit.org/threads/ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต-พระเณร.21733/page-18)

    หลังจากนั้น ผมก็ได้ร่วมทำบุญ และช่วยเหลือสำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง มาจนกระทั่งวัดบ่อเงินบ่อทองสามารถดำเนินกิจกรรมงานบุญและโรงเรียนพระปริยัติธรรมมาได้อย่างต่อเนื่อง

    เป็นเรื่องที่ส่วนตัวผมมีความภูมิใจเป็นอย่างมาก ที่ช่วยให้เด็กๆที่ไร้โอกาสในสังคม ได้มีการศึกษา และช่วยเหลืองานพระศาสนาให้ยั่งยืน ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ได้พบกัลยาณมิตรที่ดี ที่ยังคบกันมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าในการพบกัน จะพบกันในโลกออนไลน์ก็ตาม

    หมายเหตุ รูปที่ผมนำมาลง ผมลงเป็นบางส่วนให้ชมกัน เป็นรูปกิจกรรมงานพระศาสนา ที่วัดบ่อเงินบ่อทอง 3 งาน (29 ตุลาคม 2549 , 9 กรกฎาคม 2549 และ 4 พฤศจิกายน 2556)

    สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2017
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งานบุญอีก 1 งานที่มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ผมได้มีส่วนร่วมและช่วยในการสร้างจนสำเร็จ
    เวลาที่เรารำลึกถึงงานบุญ เป็นเรื่องที่มีความสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
    .
    ผมได้พบกับพระอาจารย์นิล ที่ท่านเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยครั้งแรกที่พบพระอาจารย์นิล ผมพบท่านที่บ้านท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านมาให้ผมช่วยเรื่องการบอกบุญในการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ซึ่งในวันนั้นผมเองตกลงช่วยท่าน
    .
    งานการสร้างเป็นเรื่องที่ลำบากมาก พระอาจารย์นิล ท่านเป็นผู้ที่อดทน,อดกลั้นและข่มใจเป็นอย่างมาก สำนักสงฆ์ผาผึ้งอยู่บนยอดเขาที่เป็นหิน ในการสร้างทำได้ลำบากมาก หนทางในการขึ้นบนยอดเขา ก็มีความทุรกันดาร ปกติหากเป็นหน้าฝน รถที่จะขึ้นได้ต้องเป็นรถโฟวิลเท่านั้น เวลาที่ต้องนำอุปกรณ์การก่อสร้างต่างๆขึ้นบนยอดเขาผาผึ้ง ต้องมีการซ่อมแซมทางอยู่บ่อยครั้ง ด้านบนยอดเขาไม่มีกระแสไฟฟ้า เวลาที่ต้องใช้ไฟฟ้า ต้องใช้เครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ น้ำดื่มก็ต้องนำมาจากร้านค้าด้านล่าง
    .
    แถมพระอาจารย์นิลท่านฉันมังสวิรัติ มีบ่อยมากที่ท่านให้ลูกศิษย์ต้มน้ำใส่โจ๊ก(สำเร็จรูป) และหุงข้าว ท่านฉันข้าวผสมกับโจ๊ก แต่ท่านใช้แรงงานอย่างหนัก ท่านเป็นผู้ที่ควบคุมการก่อสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งเองในทุกเรื่อง
    .
    ใช้ระยะเวลาการก่อสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ประมาณ 3 ปีกว่าๆ ใช้งบประมาณไปโดยประมาณ 10 กว่าล้านบาท ปัจจุบันการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งดำเนินการสร้างเสร็จแล้ว(ในปี 2554) ครับ
    .
    ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...-สำนักสงฆ์ผาผึ้ง-อ-บ้านเขว้า-จ-ชัยภูมิ.68899/
    .
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำสอนพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
    6 มกราคม 2561 เวลา 12:15 น. ·

    #คำสอนพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกว่าด้วยการด่าและนินทา

    https://www.facebook.com/phraputtajaw/videos/797633153760384/
    .
    .------------------------------------------------
    .
    ไม่มีใครหนีได้จริงๆ
    ไม่เคยมีใครหนีได้จริงๆ
    .
    แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังหนีไม่พ้น
    .
    ส่วนตัวผม ผมวางไปไม่น้อยกว่า 5 - 6 ปี แล้ว
    ไม่สนใจครับว่า ใครจะพูดอย่างไร
    คนที่พูดไม่ถูกต้อง เขารับไปเอง ครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีน้องท่านนึงที่สนิทกันมาก จะซื้อบ้าน โทร.มาหาผมและสอบถามในเรื่องของโปรโมชั่นต่างๆของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผมเองได้ให้คำแนะนำไปบางส่วนแล้ว ผมเห็นว่า ผมน่าจะนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ให้ได้ทราบกัน แต่ผมว่ามีหลายๆท่านที่ทราบในเรื่องนี้แล้ว และมีบางท่านที่ไม่ทราบในเรื่องเหล่านี้

    ผมจึงมาแนะนำเบื้องต้น เรื่องของการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ว่ามีวิธีคิดอย่างไร

    เรื่องแรก การคำนวนว่า ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ใน 3 ปีแรก หรือในทุกๆ 3 ปี ว่ามีค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ เพื่อเปรียบเทียบดอกเบี้ยระหว่างธนาคารหลายๆแห่ง

    ผมยกตัวอย่างเพื่อการอธิบายครับ

    ธนาคาร A มีโปรโมชั่น ดังนี้

    อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร A อัตรา MRR เท่ากับ 7.120%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ปีแรก = 3.00%

    ปีที่ 2 และปีที่ 3 = MRR-2.00%

    วิธีคำนวนดอกเบี้ย

    ปีแรก 3.00%ต่อปี ให้นำ 3 คูณ 12(เดือน) ได้ผลลัพย์คือ 36

    ปีที่สอง และ ปีที่ 3 MRR-2.00% ให้นำ MRR(คือ 7.120 – 2.00 ที่นำ 2 มาลบ จากโปรโมชั่น) ได้เท่ากับ 5.120 แล้วให้นำ 5.120 คูณ 24 (เดือน ทำไมต้องนำ 24 มาคูณ เนื่องจาก 1 ปี มี 12 เดือน แต่ในโปรโมชั่น 2 ปีถัดมา จะมีจำนวนเดือนคือ 24 เดือน) ได้ผลลัพย์ 122.88

    แล้วนำผลลัพย์ทั้งสองยอด(คือ 36 และ 122.88) มาบวกกัน 36+122.88 จะได้ผลลัพย์เท่ากับ 158.88 เมื่อได้ผลลัพย์ 158.88 แล้วให้นำผลลัพย์นี้ มาหารด้วยจำนวนเดือนของ 3 ปี(36 เดือน) 158.88 หาร 36 จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.413%

    ธนาคาร B มีโปรโมชั่น ดังนี้

    อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร B อัตรา MLR เท่ากับ 6.250%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน เดือนที่ 1 – 6 (6 เดือนแรก) = 0.00% เดือนที่ 7 – 12 (6เดือนต่อมา) = MLR -1.00%

    ปีที่ 2 MLR -0.50

    ปีที่ 3 = MLR-0.75%

    วิธีคำนวนดอกเบี้ย

    เดือนที่ 1-6 (6 เดือนแรก ในปีแรก) ให้นำ 0.00 คูณ 6 (เดือน) ได้ผลลัพย์ 0.00

    เดือนที่ 7-12 (6 เดือนหลัง ในปีแรก) ให้นำ 6.250-1.00 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.250 แล้วนำมาคูณ 6 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 31.50

    ปีที่ 2 ให้นำ 6.250 -0.50 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.750 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 69.000

    ปีที่ 3 ให้นำ 6.250 – 0.75 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.500 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 66.000

    ให้นำผลลัพย์ทั้ง 4 ยอด มาบวกกัน ( 0.00 + 31.50 + 69.00 + 66.00 ) จะได้เท่ากับ 166.50 แล้วนำ 166.50 หารด้วย 36 (เดือน เนื่องจาก ระยะเวลา 3 ปี จะเท่ากับ 36 เดือน) จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.625

    ดังนั้น เมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่าง ธนาคาร A กับ ธนาคาร B จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปี ของธนาคาร A จะถูกกว่า ธนาคาร B

    ผมจะให้มองอีก 3 ประเด็น

    ประเด็นแรก ธนาคาร B เสนออัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0.00% (ไม่คิดดอกเบี้ย) แต่ธนาคาร A เสนออัตราดอกเบี้ยใน 1 ปีแรก 3.00% นั้นเป็นวิธีการคำนวนของแต่ละธนาคารว่า จะทำให้ลูกค้าเตะตาในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย คนส่วนใหญ่จะชอบมี 0% แต่หารู้ไม่ว่า ในปีที่ 2 และ ปีที่ 3 ทางธนาคารได้บวกในส่วนเพิ่มที่ธนาคารจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารที่คิดดอกเบี้ยในปีแรก *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

    ประเด็นที่สอง การคิดประเภทอัตราดอกเบี้ย เป็น MLR หรือ MRR นั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร ว่าจะคิดประเภทอัตราดอกเบี้ยในแบบไหน แต่ก็อีกนั่นแหละครับ *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

    ประเด็นที่สาม หากเราสามารถลดดอกเบี้ยได้ เราจะประหยัดเงินของเราได้ และจะทำให้เราสามารถผ่อนชำระหนี้ได้ครบกำหนดเร็วขึ้น ผมยกตัวอย่างให้เห็น

    ภาระหนี้ 2,768,501.69 บาท หากเราได้ลดดอกเบี้ย 0.50% (ได้ลดไป 50 สตางค์) เราจะลดการจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือน(สมมุติว่า 1 เดือนมี 30วัน) ไปจำนวน 1,137.74 บาท (คิดจาก 2,768,501.69 คูณ 0.50 หาร 100 เมื่อได้ผลลัพย์จำนวน 13,842.51 แล้วนำ 13,842.51 ไปคูณ 30 (จำนวนวัน) หารด้วย 365 ( 1 ปีมี 365 วัน) จะได้ผลลัพย์สุทธิ 1,137.74 บาท ผลลัพย์นี้ก็คือ ดอกเบี้ยที่เราได้ลด ลดแล้วไปทำอะไร เงินที่ได้นี้ จะไปชำระต้นเงินกู้ ถึงแม้ว่า เราจะจ่ายเงินชำระหนี้ต่อเดือนเท่าเดิม แต่ระยะเวลาจะสั้นลง

    เพราะ

    1.เมื่อต้นเงินชำระมากขึ้น ทำให้การจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง

    2.การชำระต้นเงินได้มากขึ้น ทำให้ระยะเวลาการชำระหนี้น้อยลงด้วยเช่นกัน

    เรื่องสุดท้าย ไม่ว่าเป็นการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบไหน จะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจในการใช้บริการแต่ละธนาคาร อีกส่วนหนึ่งที่ผมมองก็คือ service (การให้บริการ) ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการก่อนการขาย , การให้บริการระหว่างการขาย และ การให้บริการหลังการขาย ว่า มีการบริการที่ดีและประทับใจลูกค้าหรือไม่ ต่อให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่ากันเล็กน้อย บางครั้ง ลูกค้าอาจจะเลือกผู้ที่ให้บริการที่ดีกว่า ก็เป็นได้

    ลูกค้า มีสิทธิในการเลือกใช้บริการของสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิตต่างๆ หากเราใช้บริการแล้วทางสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ได้ให้บริการเรา ตามเจตนาที่เราต้องการ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรามีสิทธิที่จะร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เช่น หากเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เราสามารถร้องเรียนผ่าน ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้

    มาต่อกันเรื่องการคิดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อว่า ในแต่ละเดือน เราสามารถคำนวนในเบื้องต้นในเรื่องของจำนวนดอกเบี้ยได้ เรามาดูกันว่า คิดดอกเบี้ยอย่างไร

    ผมยกตัวอย่างดังนี้

    นาย โน๊ตตี้ โบ๊ตซัง มีวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ 5,000,000 บาท(ห้าล้านบาทถ้วน) อัตราดอกเบี้ย MRR - 1.00%ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ 7.120%) อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ 6.120%) ระยะเวลาการขอกู้ 30 ปี ( 360 เดือน ) หลังจากนั้น 5 ปีต่อมา มีภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท เราอยากทราบดอกเบี้ยที่จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ มาดูวิธีการคำนวนกัน

    นำภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท คูณกับอัตราดอกเบี้ย 6.120% (4,556,127.50 คูณ 6.120 หาร 100) จะได้ผลลัพย์ คือ 278,835.003 บาท

    ให้นำ 278,835.003 หารด้วย 365 (เป็นจำนวนวันใน 1 ปี) (278,835.003 หาร 365) จะได้ผลลัพย์ คือ 763.931 (นี่คือจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน)

    ให้นำผลลัพย์จำนวนดอกเบี้ยต่อวัน คือ 763.931 คูณกับจำนวนวัน (โดยปกติ สินเชื่อจะมีการชำระหนี้ทุกวันสิ้นเดือน แต่หากว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด อาจจะมีการชำระในวันทำการถัดไป) ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันทำการ เมื่อรวมจำนวนวันแล้วได้ 30 วัน เราจะนำ 763.931 คูณด้วย 30(วัน) ผลลัพย์ก็คือ 22,917.945 บาท (เป็นดอกเบี้ยของเดือนนั้นๆ) หากเดือนไหนมี 31 วัน เราต้องนำ 31 ไปคูณผลลัพย์ที่เป็นจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน

    ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด คือ วันเสาร์ เราจะต้องไปชำระในวันจันทร์ เราต้องนับจำนวนวันเพิ่มขึ้นอีก 3 วัน คือ วันศุกร์ , วันเสาร์ และวันอาทิตย์ แต่หากวันสิ้นเดือนเป็นวันศุกร์ เราก็ไม่ต้องเพิ่มจำนวนวันดังกล่าว

    อีกเรื่องก็คือ การชำระหนี้สินเชื่อในแต่ละเดือน ในวันที่เราชำระหนี้ นั่นหมายถึง เราชำระดอกเบี้ยตั้งแต่ที่เราชำระครั้งที่แล้วจนถึงวันที่เราชำระ แต่ในวันที่เราชำระ ดอกเบี้ยของวันนั้น ในระบบของแต่ละธนาคาร ยังไม่ได้ประมวลผลให้ จึงทำให้ดอกเบี้ยของในวันที่เราชำระหนี้ในเดือนนั้นๆ เราต้องไปชำระในเดือนถัดไป

    สรุปเรื่องของการคำนวนจำนวนดอกเบี้ยในแต่ละเดือน

    ต้นเงินกู้ (ภาระหนี้ปัจจุบัน) คูณด้วยอัตราดอกเบี้ย หาร 100 แล้วนำไปคูณจำนวนวัน หารด้วย 365 (วัน)

    อีกเรื่องที่อยากจะบอกกัน ในกรณีของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หากเราไปขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร(การป้องกันRefinanceไปยังสถาบันการเงินอื่น) แล้ว หากเรายังไม่พอใจ เราไปขอลดได้อีก หรือ เราสามารถที่จะแจ้งขอย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังสถาบันการเงินอื่นได้ ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย

    เกือบลืม ผมมา กระซิบกันเบาๆ ว่า โดยปรกติ กรมธรรมประกันอัคคีภัย ที่เราต้องทำในกรณีที่เราต้องทำในตอนที่เราใช้วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีอยู่ข้อนึงที่มักจะไม่ทราบกันก็คือ หากเกิดความเสียหายจากน้ำที่อยู่ภายในบ้าน เช่น ท่อน้ำภายในบ้านแตก หรือเกิดรอยรั่ว ขึ้นทำให้น้ำรั่วออกมาทำความเสียหายให้กับ พื้นบ้าน (เช่นพื้นปาร์เก้) หรือคิ้ว หรือส่วนอื่นๆ (ที่เป็นอุปกรณ์ของบ้าน แต่ไม่ใช่อุปกรณ์ตกแต่งบ้านเพิ่มเติมหรือเฟอร์นิเจอร์) เราสามารถแจ้งเคลมประกันได้ด้วย

    ผมขอต่ออีกนิด เรื่องของการเสนอขายประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตที่เป็นรายสามัญ(จ่ายค่าเบี้ยประกันทุกๆปี) หรือ การประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้ของสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นในชื่อแบบไหน ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก คปภ. เป็น ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต เสมอ ผู้ที่เสนอขายต้องแสดงใบอนุญาตและแจ้งชื่อ นามสกุล และเลขที่ใบอนุญาต ให้ลูกค้าทราบเสมอ

    ส่วนเรื่องการเสนอการขายประกันวินาสภัย เช่น การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตเช่นกัน เป็นใบอนุญาต ตัวแทนประกันวินาสภัย หรือ นายหน้าประกันวินาสภัย เหมือนกับการเสนอขายประกันชีวิตที่ผมได้อธิบายให้ทราบไปแล้ว

    ในส่วนของ บริษัทประกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือ ประกันวินาสภัย(เช่น ประกันรถยนต์ , ประกันอัคคีภัยต่างๆ เป็นต้น) หากผู้ที่เสนอขาย ไม่ได้ปฎิบัติตามที่ผมแจ้ง หรือ มีปัญหาในเรื่องของการบริการต่างๆ , การเคลมสินไหมต่างๆ เป็นต้น เราสามารถร้องเรียนผ่าน คปภ.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) ได้เช่นกัน

    ในเจตนาผมที่นำมาลง เพื่อเป็นวิทยาทานให้หลายๆคนที่ไม่ทราบ ได้ทราบกัน ผมยึดถือในเรื่องที่ในหลวงที่เคยสอนประชาชนของท่านว่า พระองค์ท่านให้เบ็ดมาเพื่อตกปลา แต่ไม่ยอมให้ปลา ผมหวังว่า สิ่งที่ผมได้อธิบายไปนี้ มีประโยชน์กับท่านบ้างไม่มากก็น้อย ครับ


    #สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
    #การRefinanceสินเชื่อ
    #การย้ายวงเงินสินเชื่อไปสถาบันการเงินอื่น
    #อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
    #การคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
    #ธนาคารพาณิชย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2018
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเขียนคำว่า ผลลัพย์ ผิด

    ที่ถูกต้อง ต้องเขียนว่า ผลลัพธ์

    ต้องขอโทษด้วยครับ

     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ผมขอนำเรื่องของการประกันชีวิตในเบื้องต้น นำมาลงให้อ่านกัน ความเห็นส่วนตัวผม การประกันชีวิตเป็นเรื่องที่ดี มีประโยชน์ มีคุณค่า อ่านให้ครบทุกบรรทัดน๊ะครับ

    แต่เราต้องเลือก เรื่องที่ต้องเลือก มีดังนี้
    1.บริษัทที่รับทำประกัน ต้องมีความน่าเชื่อถือ มีปัญหาในเรื่องของการติดต่อ , มีปัญหาในเรื่องของประวัติในการเคลมของบุคคลอื่นๆ เป็นต้น
    2.ประเภทของกรมธรรม มีทั้งเรื่องของระยะเวลาในการส่งเบี้ยฯ , จำนวนทุนประกัน (ซึ่งมีผลกับค่าเบี้ยประกันรายปีที่มีจำนวนมากหรือจำนวนน้อย)
    3.ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต ต้องเลือกคนที่ไว้วางใจในการบริการเรา และ ต้องเลือกคนที่มีความรอบรู้ มีความสามารถในการแนะนำในเรื่องของประกันชีวิตให้เราได้
    4.ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต ก่อนที่นำเสนอประกันชีวิต ต้องแสดงใบอนุญาต และ ต้องแจ้งชื่อ - นามสกุล และเลขที่ในใบอนุญาตเสมอ เพราะการขายประกันชีวิต ต้องได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เสมอ

    ********** มาถึงประเด็นสำคัญ การทำประกันชีวิต ต้องเป็นการทำโดยความสมัครใจ ต้องไม่มีการบังคับทั้งทางตรง และ ทางอ้อม โดยเด็ดขาด หากเจอในปัญหานี้
    เป็นต้นว่า
    การขอสินเชื่อใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อธุรกิจ แล้วธนาคารมีการแจ้งว่า ต้องทำประกันชีวิต หากไม่ทำประกันชีวิต วงเงินสินเชื่อจะไม่ผ่าน
    หรือ
    การขอลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศํย (การRifinance(การย้ายวงเงิน) สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปยังสถาบันการเงินอื่น) ว่า ต้องทำประกันชีวิต (หรือต้องประกันวินาศภัย เช่น ประกันอุบัติเหตุ) หากไม่ทำประกันชีวิต หรือ ประกันวินาศภัยแล้ว ไม่สามารถดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยได้ หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่มากนัก

    เพราะการทำประกันชีวิต หรือ การทำประกันวินาศภัย ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของลูกค้าเป็นหลัก ต้องไม่มีประเด็นในเรื่องอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องได้ หากพบเรื่องราวในประเด็นนี้ สามารถร้องเรียนเข้าไปที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ผมแนะนำว่า ควรทำเป็นหนังสือ และให้ทาง คปภ.แจ้งกลับมาเป็นหนังสือด้วย ผมว่าดีที่สุด โดยปกติส่วนตัวหากมีเหตุเกิดขึ้น ผมจะทำเป็นหนังสือ จะได้เป็นหลักฐานเก็บไว้ด้วยครับ

    การร้องเรียน สามารถร้องเรียนไปได้ที่
    สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
    1. การยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงาน คปภ. ไม่เป็นเหตุให้อายุความฟ้องคดีตามกฎหมายสะดุดหยุดลงแต่อย่างใด
    2. สำนักงาน คปภ.ขอสงวนสิทธิในการไม่ดำเนินการตามเรื่องที่ยื่นหากปรากฎว่าข้อความที่ร้องเรียนไม่ถูกต้องหรือไม่อาจติดต่อผู้ร้องเรียนได้
    3. หากตรวจสอบพบว่าเลขประจำตัวประชาชนที่กรอกไม่ตรงกับเลขประจำตัวประชาชนของผู้ร้อง จะถือว่าเป็นการแจ้งเบาะแสให้ทราบเท่านั้น

    ทั้งนี้ ท่านสามารถร้องร้อนผ่านช่องทางต่างๆได้ดังนี้
    1. กระดานรับร้องเรียน
    2. ทาง e-mail: ppd@oic.or.th
    3. ที่สำนักงาน คปภ. โดยตรง
    ติดต่อ/ร้องเรียน

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

    ที่อยู่ : 22/79 อาคาร สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
    โทร. 0-2515-3999 โทรสาร. 0-2515-3970 **********


    -------------------------------------------------------------------------

    การประกันชีวิต คืออะไร
    ที่มา สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

    การประกันชีวิต เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้น ก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่าย ให้แก่ผู้ได้รับภัย

    การประกันชีวิต แยกออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

    1.ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท และมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน

    2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ โดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอย คือ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด

    3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภท อุตสาหกรรม

    แบบของการประกันชีวิต
    การประกันชีวิตมีมากมายหลายแบบ แต่ละแบบจะมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป
    แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ

    1. แบบตลอดชีพ เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อใดในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกันภัยแบบนี้เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือ บุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นภาระของคนอื่น

    2. แบบสะสมทรัพย์ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย เมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกัน ภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ส่วนของการออมทรัพย์ คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด

    3. แบบชั่วระยะเวลา เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอา ประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครอง การเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ และไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา

    4. แบบเงินได้ประจำ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ ให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ สำหรับระยะเวลาการจ่ายเงินได้ประจำนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอา ประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ

    ประโยชน์ของการทำประกันชีวิต

    1.ด้านการออม


    ลักษณะการออมของการทำประกันภัยนั้นจะเป็นในลักษณะแบบกึ่งบังคับ โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องมีหน้าที่ในการจ่ายเบี้ยประกัน อย่างสม่ำเสมอ และหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบตามที่กรมธรรม์กำหนดไว้ ก็จะได้เงินคืนตามเงื่อนไขของสัญญา ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือออมเงินเพื่อไว้ใช้ยามชรา หรือออมไว้เพื่อเก็บเป็นทุนการศึกษาของบุตรหลาน ทั้งนี้การออมวิธีนี้ไม่สามารถถอนเงิน ในลักษณะของการฝากเงินได้ แต่สามารถเวนคืนกรมธรรม์ ซึ่งมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ที่ได้จะถูกหักค่าธรรมเนียมในการเวนคืนจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการทำประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว


    2.ชีวิตของผู้เอาประกันภัย


    การประกันชีวิตสามารถช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยได้ ในกรณีการทำประกันคุ้มครองการเจ็บป่วย หรือการประกันอุบัติเหตุ ผู้เอาประกันภัยจะได้เงินทดแทนเพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพในกรณีทุพพลภาพโดยสิ้นเชิงได้


    3.ด้านการให้ความคุ้มครองและบรรเทาความเดือนร้อนให้กับผู้ที่อยู่ในอุปการะคุณ


    การทำประกันชีวิตจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในครอบครัว


    4.ด้านการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี


    เนื่องจากรัฐบาลได้ให้การส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิต ดังนั้น ผู้ที่ทำประกันชีวิตก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้เป็นค่า ลดหย่อนใน การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับแบบทั่วไป และ 200,000 บาทสำหรับ แบบบำนาญ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาสนใจการทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นเพื่อความมั่นคงในชีวิต


    5.ด้านอื่นๆ


    การทำประกันชีวิตเปรียบเสมือนการเตรียมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดระยะเวลาหนึ่ง ก็จะมีมูลค่าเงินสด
    หากผู้เอาประกันภัยมีความจำเป็นทางการเงินก็สามารถขอกู้เงินจำนวนหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไปใช้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้

    ขั้นตอนดำเนินการ

    1. ติดต่อบริษัทประกันชีวิตได้โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย

    2. เลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ

    3. วงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการ โดยพิจารณาประกอบกับรายได้ประจำที่ได้รับ และกำลังความสามารถในการส่งเบี้ยประกันภัย

    4. กรอก รายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม กรมธรรม์

    5. ใน กรณีที่ตัวแทนเป็นผู้กรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตแทนท่าน ให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอเมื่อได้รับกรมธรรม์ ควรตรวจสอบความถูกต้อง หากพบข้อมูลที่ผิด เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ฯลฯ ให้ทักท้วงบริษัทเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง

    6. จ่าย ค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนดทุกครั้ง โดยติดต่อชำระที่บริษัท สาขา หรือทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือผ่านธนาคารในกรณีชำระผ่านตัวแทนของบริษัท ให้เรียกใบเสร็จรับเงินตามแบบพิมพ์ของบริษัทเก็บไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง

    7.แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบ ถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์

    *****8. ติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.เขต สำนักงาน คปภ.ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ทุกครั้งที่มีปัญหา*****

    ที่มา http://www.oic.or.th/th/consumer/fund/กองทุนประกันชีวิต/ติดต่อร้องเรียน

    ที่มา http://www.oic.or.th/th/consumer/การประกันชีวิต#1

     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ เรามาคุยกันเรื่องประเภทของอัตราดอกเบี้ย ว่ามีประเภทไหนบ้าง แล้วแต่ละประเภทคืออะไร ผมนำมาให้อ่านกันโดยอยู่ในไฟล์รูปประกอบ และมาดูเรื่องของประโยชน์ของการ Refinance สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินเดิม หากท่านใดเห็นว่าดี แชร์ต่อกันได้ ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์ ครับ

    ผมเองเคยทำไฟล์ที่เป็น Excel ในการใช้เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ผลที่ได้ ได้อะไร ซึ่งสามารถใช้คำนวณเพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย 2 โปรโมชั่น หากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ท่านใดสนใจ แจ้งมาได้ ผมรบกวนแจ้งผ่านไลน์ส่วนตัว หรือ ส่งข้อความส่วนตัวเข้าของ FaceBook ได้ ผมจะส่งไฟล์ให้ไว้ใช้กันครับ

    มาคุยกันในเจตนาที่ผมให้ความรู้กับบางท่านที่ไม่รู้ในเรื่องนี้ ผมอยากให้ความรู้เป็นวิทยาทาน อานิสงส์ในการเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทาน ผมขออธิษฐานว่า ขอให้ผมเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องราวต่างๆที่มีผู้ที่อธิบายในเรื่องนั้นๆได้โดยง่ายด้วยเทอญ

    เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งของการดำรงชีวิตในปัจจุบันสำหรับผู้ที่ซื้อบ้าน โดยใช้วงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ผมจะใช้คำว่า ธนาคาร แทนคำว่า สถาบันการเงิน เพราะว่าผมจะขอคุยกันในเรื่องของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีอยู่กับธนาคารเท่านั้น

    ก่อนที่จะคุยกันในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ผมอยากคุยในเรื่องของ “การให้บริการ (Service)” ในมุมมองของผมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในบางครั้งอาจจะมีมากกว่าเรื่องของอัตราดอกเบี้ยด้วยซ้ำ หากสถาบันการเงินไหนที่บริการดี ผมว่าหลายๆท่านคงไม่อยากย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังอีกสถาบันการเงินแน่นอน เนื่องจากการย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังอีกสถาบันการเงิน มีความยุ่งยากพอสมควร ไหนจะต้องเตรียมเอกสารที่ค่อนข้างเยอะอยู่ ไหนจะเสียเวลาในการไปติดต่อกับสถาบันการเงินอื่นๆ ไหนจะต้องไปดำเนินการในการทำนิติกรรมที่กรมที่ดินอีก แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยยังแพงกว่า แถมการบริการห่วยแตก มีแต่คนที่ต้องการย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังอีกสถาบันการเงินแน่นอน ถึงแม้จะต้องเตรียมเอกสารอย่างเยอะ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเวลาในการดำเนินการในเรื่องต่างๆอย่างมากก็ตาม และอีกเรื่องที่จะบอกก็คือ เจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินมองออกหรือไม่ว่า ในใจของเราต้องการอะไร มีหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินนั้นๆ มองเราไม่ออกก็มีอยู่มาก เป็นอย่างนั้นหรือไม่ครับท่านผู้อ่าน

    เรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในกรณีที่เราขอกู้ ทางธนาคารจะมีประเภทสินเชื่ออีกประเภทก็คือ วงเงิน สินเชื่อบ้านแลกเงิน (ในแต่ละธนาคารจะเรียกชื่อแตกต่างกันไป) ซึ่งเป็นวงเงินที่เราสามารถกู้เพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในการตกแต่งบ้าน หรือ นำไปชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองภาระหนี้

    มาคุยกันในเรื่องของการ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยกัน (และไม่เกี่ยวข้องกับการขายบ้านพร้อมที่ดิน) หาก Refinance เราจะต้องใช้วงเงินสินเชื่อฯมาไม่น้อยกว่า 3 ปี ถึงสามารถที่จะ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปยังธนาคารฯอื่นได้ และ จะมีค่าใช้จ่ายหลักๆอยู่ไม่กี่อย่าง ดังนี้

    1.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (เป็นอัตราร้อยละเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร บางธนาคารก็ไม่มี)

    2.ค่าธรรมเนียมการประเมินราคา (ค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2,500.-บาท ถึง 15,000.-บาท แล้วแต่ราคาประเมินของแต่ละธนาคาร และขึ้นอยู่กับวงเงินกู้ฯด้วย)

    3.ค่าอากรสัญญากู้ฯ โดยปกติคิด 0.05% ของวงเงินกู้ เช่น วงเงินกู้ 1,000,000.-บาท ทางธนาคารจะคิดค่าอากร 500.-บาท กับ คู่ฉบับ อีก 5 บาท (วิธีคิด นำ 1,000,000.- คูณ 0.05% ก็จะได้ผลลัพธ์คือ 500.-บาท) ค่าอากรสัญญากู้ฯนี้ ทางธนาคารจะต้องนำส่งให้กับกรมสรรพากร

    4.การประกันอัคคีภัย ในการทำประกันอัคคีภัย เงื่อนไขอยู่แต่ละธนาคารว่า จะให้ทำประกันอัคคีภัยกี่ปี มีตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 30 ปีก็มี แต่โดยปกติจะให้ทำประกันอัคคีภัยกัน 3 ปี

    5.ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แล้วแต่ทางธนาคารจะเป็นผู้กำหนด ในบางธนาคารไม่มี

    6.ค่าธรรมเนียมการจดจำนองที่กรมที่ดิน จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1%ของวงเงินการจดจำนอง(หรือวงเงินสินเชื่อทั้งหมด (ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัยและ/หรือวงเงินสินเชื่อบ้านแลกเงิน) ที่เราได้รับอนุมัติจากธนาคาร)

    7.บางธนาคารอาจมีเงื่อนไขในการรับ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย เช่น หากปิดก่อน 3 ปี หากปิดก่อนจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม หรือ ค่าธรรมเนียมบางเรื่องที่ธนาคารยกเว้นให้ในครั้งแรก ธนาคารอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเหล่านั้น หรือ บางธนาคารอาจจะขอปรับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นโปรโมชั่นที่เราได้รับ เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติของธนาคาร ส่วนในเรื่องที่ชำระต้นเงินบางส่วน บางธนาคารอาจมีเงื่อนไขในการห้ามชำระต้นเงิน แต่บางธนาคารสามารถชำระต้นเงินได้และห้ามปิดก่อน 3 ปี

    ในกรณีที่จะRefinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย หากเราRefinance ไปยังธนาคารอื่น เราสามารถย้ายวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย และวงเงิน สินเชื่อบ้านแลกเงิน ไปทั้งสองวงเงินได้ โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับธนาคารนั้นๆ แต่หากเราขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม จะขอลดได้เพียงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (ในบางช่วง บางธนาคารอาจมีโปรโมชั่นในการใช้วงเงิน สินเชื่อบ้านแลกเงิน ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง) ส่วนวงเงินกู้ จะได้วงเงินเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร (บางธนาคารฯให้ 100% ของราคาประเมินของธนาคาร บางธนาคารให้ 85% ของราคาประเมินของธนาคาร บางธนาคารให้ 80% ของราคาประเมินของธนาคาร)

    เรามาว่ากันต่อในเรื่องการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่จะRefinance ไปธนาคารอื่น กับ การขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม และ การไม่ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม ผมขอใช้ต้นเงินกู้เป็นตัวเลขกลมๆ จะได้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น ผมขอคำนวนเฉพาะอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่วนอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแลกเงินในวิธีเดียวกัน

    นายโบ๊ตตี้ นามสกุลโน๊ตซัง มีวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท ระยะเวลาการกู้ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปัจจุบันเท่ากับ MLR-1.00%ต่อปี (MLR = 6.250) ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่เราจะจ่ายก็คือ 5.250% (ได้จากดอกเบี้ย MLR 6.250 ลบ 1.00 จะได้ผลลัพธ์คือ 5.250) ปัจจุบันมีภาระหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่เป็นต้นเงินกู้ 2,600,000.- บาท ผ่อนชำระเดือนละ 17,600.-บาท

    การคำนวนอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ปีต่อมา

    วิธีการคำนวน เราทราบอยู่แล้วว่า เราต้องชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยต่อเดือน เป็นจำนวนเท่าไหร่ ตามตัวอย่าง เราผ่อนชำระเดือนละ 17,600.-บาท เราจะคำนวนว่า ในแต่ละเดือนเราต้องชำระดอกเบี้ยเท่าไหร่ ต้องชำระต้นเงินกู้เท่าไหร่ เราใช้ยอดภาระหนี้สินปัจจุบัน คือ 2,600,000.- คูณกับอัตราดอกเบี้ย คือ 5.250 หาร 100 (ที่หาร 100 ก็คืออัตราดอกเบี้ยที่คิดเป็น%ต่อปี) แล้วนำไปหาร 12 ( จำนวน 12 เดือนใน 1 ปี) ผลลัพธ์จะได้เป็นดอกเบี้ยต่อเดือน เป็นจำนวน 11,375.-บาท

    เมื่อเราได้ยอดดอกเบี้ยต่อเดือนที่คำนวนได้เท่ากับ 11,375.- แล้วนำไปหักออกจากยอดเงินที่เราชำระต่อเดือนก็คือ 17,600.- เมื่อหักออกแล้วนั่นก็คือ เงินที่เราขำระต้นเงินกู้ เราจะได้ยอดที่เราชำระต้นเงินกู้ก็คือ 17,600 – 11,375 เท่ากับ 6,225.-บาท

    นี่เป็นการคำนวนการชำระต่อเดือน ส่วนในเดือนถัดไป คำนวนในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนแปลงยอดภาระหนี้ใหม่ ตามตัวอย่างจากเดิม 2,600,000.-บาท เป็นยอดภาระหนี้ใหม่ จำนวน 2,593,775.-บาท คำนวนแบบนี้ในทุกๆเดือน

    ในกรณีที่เราอยู่ธนาคารเดิม มีวิธีการคำนวนดังนี้

    วงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ภาระหนี้ 2,600,000.-บาท หากเรายังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม(ที่เราได้รับอนุมัติจากธนาคารมา) เราชำระต้นเงินไปจำนวน 242,139.98 บาท และชำระดอกเบี้ยไปจำนวน 391,460.02 บาท การคำนวนดูตามตาราง 1

    ในกรณีที่เรา Refinance ไปสถาบันการเงินอื่น หรือขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม การคำนวนให้ดูตามตารางที่ 2

    ผมขอยกตัวอย่างโปรโมชั่นดังนี้

    อัตราดอกเบี้ยในปีแรก 2.90%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 2 คือ MRR-3.00%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 3 คือ MRR -2.00%ต่อปี

    หลังจากนั้น(ในปีที่ 4 เป็นต้นไป) คือ MRR-0.50%ต่อปี

    ผมจะคำนวนให้ดูใน 3 ปีแรกว่า เราจะจ่ายต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเป็นจำนวนเท่าไหร่ โดยภาระหนี้ปัจจุบันและเงื่อนไขอื่นๆคงเดิม(ยกเว้นแต่เรื่องอัตราดอกเบี้ย)

    วงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ภาระหนี้ 2,600,000.-บาท หากเราRefinanceสินเชื่อที่อยู่อาศัยไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือเราขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม เราจะชำระต้นเงินไปจำนวน 358,782.82 บาท และชำระดอกเบี้ยไปจำนวน 274,817.18 บาท การคำนวนดูตามตาราง 2

    ผมมาเปรียบเทียบ ตารางที่ 1 (ที่เรายังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม) กับ ตารางที่ 2 (ที่เราRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม) ให้ดูว่า การชำระต้นเงินกู้ และ การชำระดอกเบี้ยมีความแตกต่างกันอย่างไร

    ทบทวนกันก่อน กันงง กันลืม ตารางที่ 1 เป็นการชำระเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยเดิมของสถาบันการเงินเดิม ส่วนตารางที่ 2 เป็นการชำระเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยที่ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม

    1.การชำระต้นเงินกู้ จากตารางที่ 1 ชำระต้นเงินกู้ จำนวน 242,139.98 บาท แต่จากตารางที่ 2 ชำระต้นเงินกู้ จำนวน 358,782.82 บาท ส่วนต่างจากตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2 จำนวน 116,642.84 บาท

    2.และการชำระดอกเบี้ย จากตารางที่ 1 ชำระดอกเบี้ย จำนวน 393,477.50 บาท แต่จากตารางที่ 2 ชำระดอกเบี้ย จำนวน 274,817.18 บาท ส่วนต่างจากตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2 จำนวน 116,642.84 บาท

    ผลต่างทั้งสองข้อ คือ จำนวน 116,642.84 บาท นั่นหมายความว่าอะไร หมายความว่า หากเรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม จำนวนเงินที่ผมบอกไปก็คือ 116,642.84 บาท แทนที่จะนำไปชำระดอกเบี้ย แต่เราสามารถนำไปชำระต้นเงินกู้ได้ เรื่องที่มีผลมากกว่านั้นก็คือ ทำให้เราชำระหนี้เสร็จสิ้นได้เร็วมากขึ้นไปอีก

    มาต่อกันในเรื่องของ***** ค่าใช้จ่ายหากเรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น *****

    ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ผมได้บอกไปในเบื้องต้น นั้น เราต้องมาคำนวนกันในลักษณะที่เป็นตัวเงิน ไม่สามารถที่จะคำนวนเป็นอัตราเปอร์เซ็นได้

    ผมยกตัวอย่าง(เดิม)

    ภาระหนี้ที่จะ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 2,600,000.-บาท ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในกรณีที่ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น คือ

    1.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ร้อยละ 1 ของวงเงินนิติกรรม จำนวน 26,000.-บาท (ได้จาก 2,600,000 คูณ 1%)

    2.ค่าธรรมเนียมการประเมินราคา ประมาณ 2,800.-บาท

    3.ค่าอากรสัญญากู้ฯ จำนวน 1,305.-บาท (ได้จาก 2,600,000 คูณ 0.05% จะได้ 1,300.-บาท บวก คู่ฉบับสัญญากู้ฯ 5 บาท)

    4.การประกันอัคคีภัย โดยประมาณไม่เกิน 10,000 บาท

    5.ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ประมาณ 1,000.-บาท

    6.ค่าธรรมเนียมการจดจำนองที่กรมที่ดิน โดยประมาณ 26,000.-บาท (คิดประมาณ 1% ของวงเงินจำนอง(หรือวงเงินกู้) 2,600,000 คูณ 1 หาร 100 )

    รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยประมาณ 67,105.-บาท

    หากเราใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเดิม ปัจจุบันเท่ากับ MLR-1.00%ต่อปี (MLR = 6.250) ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่เราจะจ่ายก็คือ 5.250% เราจ่ายดอกเบี้ยไปทั้งหมด 391,460.02 บาท

    หากเราใช้ อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่เรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม อัตราดอกเบี้ยในปีแรก 2.90%ต่อปี อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 2 คือ MRR-3.00%ต่อปี อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 3 คือ MRR -2.00%ต่อปี หลังจากนั้น(ในปีที่ 4 เป็นต้นไป) คือ MRR-0.50%ต่อปี เราจ่ายดอกเบี้ยไป จำนวน 274,817.18 บาท

    เมื่อหักกลบกันระหว่างตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2 จะได้ส่วนต่าง(ของดอกเบี้ยที่ได้ลดเนื่องจากการ Refinance ไปสถาบันการเงินอื่น) จำนวน 116,642.84 บาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายที่ผมบอกไปในเบื้องต้น จำนวน 67,105.-บาท เรายังมีส่วนต่างที่ไปชำระต้นเงินกู้ได้มากขึ้น หากเรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น

    แต่หากเราขอลดดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม เราก็ไม่ต้องจ่ายในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผมได้บอกไป เพียงแต่เงื่อนไขของอัตราดอกเบี้ย ต้องลดได้มากกว่าเดิม และที่สำคัญเราต้องลองคำนวนดูครับว่า การขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม หรือ การ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น ประเด็นไหนจะดีที่สุดสำหรับตัวเรา

    เพิ่มเติมอีกนิด สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย หากมีคนมาบอกว่า คำนวนค่าใช้จ่ายเป็น% นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง การเปรียบเทียบต้องเป็นการเปรียบเทียบในรูปแบบเดียวกัน หากเป็นจำนวนเงิน ต้องนำจำนวนเงินมาเปรียบเทียบ แต่หากเป็นเปอร์เซ็น ต้องนำเรื่องของเปอร์เซ็นมาเปรียบเทียบ ไม่ใช่ว่า นำจำนวนเงินมาคำนวนเปรียบเทียบกับเปอร์เซ็น เช่น ผมบอกว่า ผมหนัก 70 กิโลเมตร เป็นไปได้หรือเปล่าครับ ที่ถูกต้อง ต้องบอกว่าผมหนัก 70 กิโลกรัม แต่หากจะนำค่าใช้จ่ายมาคำนวนเป็นเปอร์เซ็น ต้องนำระยะเวลาในการกู้ทั้งหมด มาคำนวนเป็นเปอร์เซ็น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ จะน้อยมากๆ เช่น ค่าใช้จ่ายที่ผมคำนวนในเบื้องต้นจำนวน 67,105.-บาท หากจะคำนวนว่า จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ต้องนำระยะเวลาในการกู้ที่เหลือ หรือ ที่ขอกู้ใหม่ มาคำนวน เช่น เหลือระยะเวลาในการกู้ตามตัวอย่าง 204 เดือน ( 17ปี ) (เดิมระยะเวลาการกู้ 240 เดือน ผ่อนไปแล้ว 36 เดือน คงเหลือระยะเวลาการผ่อนอีก 204 เดือน) ส่วนตัวผม ไม่ไปคำนวน แต่ผมใช้วิธีข้างบนดีกว่า เห็นเป็นเม็ดเงินที่ได้ลดอย่างชัดเจน

    แต่ถ้าต้องการที่จะทราบว่า ค่าธรรมเนียมดังกล่าวคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นของวงเงินกู้ในระยะเวลาการกู้ สามารถคำนวนได้ดังนี้ นำค่าใช้จ่าย(ตามตัวอย่าง) 67,105.-บาท หารด้วย(วงเงินกู้) 2,600,000.-บาท ผลลัพธ์ที่ได้คือ 0.02581% โดยมีระยะเวลา 17 ปี แต่หากจะคิดตามระยะเวลา 1 ปี ให้นำผลลัพธ์ 0.02581 หารด้วย 17(ปี) ผลลัพธ์ที่ได้คือ 0.000152% เฉลี่ยปีละ 3,947.353 บาท (คิดมาจาก 0.000152 คูณด้วย (วงเงินกู้) 2,600,000.-) และเมื่อคิดกลับไปสู่ค่าธรรมเนียมทั้งหมด ก็ให้นำค่าเฉลี่ยต่อปี คือ 3,947.353 คูณด้วย 17 (ปี) ผลลัพธ์ที่ได้จะเท่ากับค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปก็คือ 67,105.-บาทครับ

    ส่วนเรื่องของการประกันชีวิต และ ประกันวินาศภัย ผมเคยนำเรื่องนี้ไปลงไว้ในครั้งก่อนแล้ว เพิ่มเติมอีกนิด การทำประกันชีวิต และ การทำประกันวินาศภัย ต้องเป็นการทำโดยสมัครใจ และเห็นประโยชน์ของการประกันชีวิต และ ประกันวินาศภัย เท่านั้น ต้องไม่มีเงื่อนไขอื่น เช่น หากไม่ทำประกันชีวิต หรือ ประกันวินาศภัยแล้ว การขอสินเชื่อใหม่ หรือ การขอลดอัตราดอกเบี้ยไม่ผ่าน ยกเว้นจะเป็นโปรโมชั่นของแต่ละธนาคาร(ที่ประกาศเป็นทางการและมีเอกสารยืนยันว่า เป็นประกาศของธนาคาร) ว่า หากทำประกันชีวิต จะมีส่วนลดของอัตราดอกเบี้ย มากกว่าที่ ไม่ทำประกันชีวิต หากมีการบังคับให้ทำประกันชีวิต หรือ ประกันวินาศภัย สามารถร้องเรียนผ่าน สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ได้ในหลายช่องทาง

    สำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน หากสงสัยโทร.มาคุยกันได้ ยินดีให้คำปรึกษาครับ

    #สถาบันการเงิน

    #ธนาคารพาณิชย์

    #สินเชื่อที่อยู่อาศัย

    #อัตราดอกเบี้ย

    #ประกันชีวิต

    #สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย

    #คปภ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาต่อกันเรื่องของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย

    จากที่ผมเขียนและเคยนำมาลงให้อ่านกัน มาเพิ่มเติมในความรู้กันครับ

    ในเจตนาที่ลงนี้ ผมต้องการให้ความรู้กับท่านผู้อ่าน เพื่อสร้างแนวคิดและสร้างประโยชน์ของตัวท่านเองในการจัดการทางการเงินของท่านเอง บุญกุศลนี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ในเรื่องต่างๆได้อย่างง่ายด้วยเทอญ

    ผมจะมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า หากเรามีการขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ การRefinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปสถาบันการเงินอื่นใน 3 ปีแรก หรือ ทุกๆ 3 ปี เราจะได้อะไร หรือ เสียอะไรบ้าง

    มายกตัวอย่างกันเลย ในตัวอย่างจะสมมุติว่า อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดอายุสัญญาฯ แต่หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ตัวเลขทั้งหมดจะมีการเปลี่ยนแปลงไป และในเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ผมสมมุติตัวเลขขึ้นมา เพื่อให้ดูง่ายขึ้น และตัวเลขเป็นตัวเลขโดยประมาณการ แต่มีความใกล้เคียง ครับ

    ธนาคารแก้มหอม

    โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในกรณ๊ที่มีการ Refinance ไปยังธนาคารแก้มหอม

    อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.75%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก MRR-3.85 หรือเท่ากับ 2.90%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป เท่ากับ MRR-0.50%ต่อปี หรือเท่ากับ 6.25%ต่อปี

    ค่าธรรมเนียมต่างๆมีดังนี้

    1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)

    2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท

    3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)

    4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)

    5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี

    6.ในกรณีที่ปิดบัญชีก่อน 3 ปี จะคิดอัตราดอกเบี้ย MRR% ต่อปี และเรียกคืนค่าธรรมเนียมในข้อ 5

    .

    ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)

    อัตราดอกเบี้ย MRR = 7.125%ต่อปี

    โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ย ในกรณีที่ลูกค้าขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย

    อัตราดอกเบี้ย 1 ปีแรก 3.50%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 2 และ ปีที่ 3 MRR-3.00%ต่อปี หรือเท่ากับ 4.125%ต่อปี

    อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.75%ต่อปี หรือเท่ากับ 5.625%ต่อปี

    ค่าธรรมเนียมต่างๆไม่มี (ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกันอัคคีภัยที่จะต้องต่ออายุ (สมมุติ) จำนวน 10,000.-บาท)

    .

    มาถึงข้อมูลเจ้าของบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย

    นายโน๊ตตี้ นามสกุลลูกพี่โบ๊ตซัง อายุปัจจุบัน 35 ปี เดิมมีวงเงินที่อยู่อาศัย 3,300,000.-บาท ทำประกันอัคคีภัยไว้ 3 ปี ปัจจุบันเมื่อครบ 3 ปี ภาระหนี้ลดเหลือ 3,000,000.-บาท มีค่าประกันอัคคีภัยที่ต้องจ่ายจำนวน 10,000.-บาท โดยใช้วงเงินสินเชื่อที่ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)

    ระยะเวลาคงเหลือในการกู้ตามสัญญากู้ฯ 25 ปี (300 เดือน) ผ่อนชำระเดือนละ 18,900.-บาท

    อัตราดอกเบี้ยเดิมที่ใช้อยู่คือ MRR-1.75%ต่อปี คือ 5.375%ต่อปี

    .

    มาดูผลการคำนวนกันครับ

    ในกรณีที่ไม่ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่ (เป็นการใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม)

    ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 1

    ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 212,876.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 467,523.24 บาท

    ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,249,249.59 บาท

    ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน

    .

    ในกรณีที่ 2 การขอลดอัตราดอกเบี้ย กับ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)

    ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 2

    ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 348,854.83 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 331,545.17 บาท

    ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 1,867,726.09 บาท

    ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 258 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ

    .

    ในกรณีที่ 3 การ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไป ธนาคารแก้มหอม

    ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 3

    ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 437,632.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 242,767.24 บาท

    ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,135,738.- บาท

    ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ เช่นกัน

    แต่ในกรณีที่ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไปธนาคารแก้มหอม ยังมีค่าธรรมเนียมต่างๆ อีกจำนวน 44,305.-บาท ตามรายละเอียดดังนี้

    1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)

    2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท

    3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)

    4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)

    5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี

    เมื่อนำค่าธรรมเนียมต่างๆ จำนวน 44,305.- หักออกจากจำนวนดอกเบี้ย (ในกรณีที่ 2 คือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่) ที่สามารถลดการจ่ายดอกเบี้ย และ นำเงินจำนวนนี้ ไปชำระต้นเงินกู้ได้อีก จำนวน 44,472.94 บาท (ได้จากการคำนวณตาข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 4 คือ 30,000 + 1,505 + 2,800 + 10,000 จะได้เท่ากับ 44,472.94 บาท)

    หมายเหตุ ในกรณีนี้ ผมไม่นำเงินที่ได้จากการเวนคืนกรมธรรมประกันอัคคีภัยที่ต่ออายุกับธนาคารณัชชี่ มารวมคำนวณด้วย เนื่องจากผมไม่ทราบการคำนวณของบริษัทที่รับประกันอัคคีภัย

    (ในกรณีที่มีการ Refinance จากสถาบันการเงินหนึ่ง ไปยังอีก สถาบันการเงินอีกแห่ง ส่วนใหญ่ วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย ครบ 3 ปีไปแล้ว แต่หากว่า มีการดำเนินการก่อนที่จะครบกำหนด 3 ปี แต่เราแจ้งการขอ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น เราจะไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน และต้องไปดำเนินการขอวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินอื่น ก่อนที่จะครบ 3 ปีด้วยเช่นกัน)

    .

    มาสรุปกันก็คือ หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้มากเท่าไหร่ ผลดีและผลเสียที่เราจะได้ก็คือ

    1.ลดการชำระดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญากู้ฯได้มาก นี่ผมเพียงแค่คำนวณเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลา 3 ปี เท่านั้นเอง หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุกๆ 3 ปี (สามารถดูได้จาก ตารางที่ 4) เราจะประหยัดเงินที่เราต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินได้มากขึ้น

    2.ระยะเวลาในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะลดลง จากเดิมต้องผ่อน 25 ปี (จากตัวอย่าง) เราสามารถผ่อนเหลือเพียง 21 ปี แต่ถ้าสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุก 3 ปี ระยะเวลาที่จะต้องผ่อนชำระ จะลดลงไปมากกว่านี้อีก

    3.เราอาจจะเสียเวลาในการเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จะต้องนำไปยื่นขอกู้กับสถาบันการเงินอื่นๆ

    4.ในการขอสินเชื่อนั้น ทางสถาบันการเงินจะพิจารณาในความสามารถในการชำระหนี้คืน หากเรามีวินัยทางการเงินที่ดี มีการชำระหนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้ของสินเชื่อประเภทไหนๆก็ตาม ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนด , รายได้ของเรามีความชัดเจน , มีเอกสารที่เชื่อถือได้ประกอบในการขอสินเชื่อ ผลการพิจารณา น่าจะผ่านเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันการเงิน ได้

    5. *****ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องของท่านเอง ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง*****

    6.สุดท้าย ผมแนะนำให้อ่านให้ละเอียด และแนะนำให้ท่านผู้อ่านไปศึกษาต่อกับท่านผู้รู้ หรือ ตามเว็บไซด์ที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม ท่านผู้อ่านจะได้แนวคิดต่างๆ ที่มีผลต่อตัวท่านเอง และ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของท่านมาก หากท่านยังต้องใช้วงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ เรื่องใดที่ผมสามารถแนะนำให้ท่านได้ ผมยินดีครับ

    #สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

    #การRefinanceสินเชื่อ

    #การย้ายวงเงินสินเชื่อไปสถาบันการเงินอื่น

    #อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน

    #การคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน

    #ธนาคารพาณิชย์

    #สินเชื่อRefinance

    #สถาบันการเงิน

    #อัตราดอกเบี้ย

    #ประกันชีวิต

    #ร้องเรียนผ่านคปภ.

    #สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย

    #คปภ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระมัดระวังในการสร้างกรรม
    .
    เพราะ กรรมนั้น ยุติธรรม และเที่ยงตรงเสมอ
    .
    ไม่มีเรื่องไหน ยุติธรรมเท่านี้อีกแล้วในโลกนี้
    .
    **********ไม่ว่ามีอำนาจหรือใหญ่แค่ไหน ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด ไม่มีใครหนีกรรมพ้น**********
    .
    &&&&& แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังหนีกรรมไม่พ้น &&&&&
    .
    .----------------------------------------------------------
    .
    กรรมไม่ดีต่างๆที่ทำไว้ในอดีตยังส่งผลแม้เป็นพระพุทธเจ้า (พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก)


    .
    .
    .
    ๑๑๕. บุพกรรมของพระพุทธเจ้า

    .
    .
    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    องค์พยามัจจุราชเจ้า

    ท่านเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตัดสิน "กรรมดี" และ "กรรมชั่ว" ของผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
    ท่านมีผู้ช่วยก็คือ "ท่านนิริยบาล" ซึ่งมีทั้งหมด 8 ท่าน (เราๆท่านๆ น่าจะรู้จักกันในชื่อ ท่านสุวาน และ ท่านสุวรรณ ในภาพยนต์พยามัจจุราช)
    และท่านยังมีบริวารที่เป็นผู้ที่ทำงานในหน้าที่ต่างๆ ก็คือ "ท่านยมทูต"

    ผมเองเคยนำไปขอให้ครูบาอาจารย์ อัญเชิญองค์พยามัจจุราชเจ้า มาอธิษฐานจิตในวัตถุมงคลชุดนี้ และได้แจกให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ อีกหลายๆคนไปเยอะแล้ว
    และที่สำคัญ ท่านบอกว่า ของๆท่าน กันผีกะเรวะราดได้ แต่กันคนของท่านไม่ได้ และหากมีวัตถุมงคลในชุดนี้ เหมือนกับเป็นสื่อถึงท่านโดยตรง และมีท่านยมทูตมาอยู่ด้วยครับ

    โดยส่วนตัวผมเอง ผมไหว้ท่านด้วยน้ำ(เปล่า)เย็นและใส่น้ำแข็ง ในทุกวันอาทิตย์ ยกเว้นในวันอาทิตย์ไหนที่ผมติดภาระกิจอยู่ต่างจังหวัด ก็จะไม่ได้ไหว

    ปกติในวันที่ผมไปทำงาน ผมห้อยคอไปด้วยเสมอ
    แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมไปทำบุญ ผมอัญเชิญท่านไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน

    องค์พยามัจจุราชทั้งสององค์ (ที่ผมอัญเชิญห้อยไปทำงาน และที่ผมอัญเชิญไปด้วยในเวลาที่ผมไปทำบุญนั้น) ผมได้บรรจุก้อนดิน และเมล็ดข้าวสาร(ที่ผมเคยนำไปขอให้พระภิกษุรูปหนึ่ง อาราธนาพระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ อธิษฐานจิต และก้อนดิน กับ เมล็ดข้าวสาร ก็เป็นสื่อถึง พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ ได้โดยตรงเช่นกัน ) บรรจุไว้ใต้ฐานองค์พยามัจจุราชด้วย ครับ
    .
    .
    .
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 1

    .
    .
    .
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 2 (จบ)

    .
    .
    .
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อเวจีมหานรก

    .
    .
    .
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง มหานรก 7 ขุม

    .
    .
    .
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่องนรกขุมที่ 8 อเวจีมหานรก

    .
    .
    .
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง นรกต้นงิ้ว(สิมพลีนรก)
    https://www.youtube.com/watch?v=FqJRlXuUkIE
    .
    .
    .
    ประวัติ " พญายมราช "
    https://www.youtube.com/watch?v=LVlZTgrvG18
    .
    .
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 489601.jpg
      489601.jpg
      ขนาดไฟล์:
      230.2 KB
      เปิดดู:
      182
    • 489602.jpg
      489602.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.8 KB
      เปิดดู:
      189
    • 489603.jpg
      489603.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.3 KB
      เปิดดู:
      174
    • s022.png
      s022.png
      ขนาดไฟล์:
      70 KB
      เปิดดู:
      173
    • s023.png
      s023.png
      ขนาดไฟล์:
      91.7 KB
      เปิดดู:
      179
    • s024.png
      s024.png
      ขนาดไฟล์:
      62.5 KB
      เปิดดู:
      188
    • s025.png
      s025.png
      ขนาดไฟล์:
      88.8 KB
      เปิดดู:
      167
    • s026.png
      s026.png
      ขนาดไฟล์:
      82.9 KB
      เปิดดู:
      182
    • t07.png
      t07.png
      ขนาดไฟล์:
      68.4 KB
      เปิดดู:
      182
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2018
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องที่ต้องรู้ ในยุคปัจจุบัน
    ไม่อย่างนั้น เราอาจถูกหลอก และ ตกเป็นเหยื่อ ของคนไม่หวังดี
    มีทั้งหลอกเอา ชื่อ และ รหัสผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Internet Banking(ที่ใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน) หรือ บัญชีเฟสบุ๊ค หรือ บัญชีไลน์ หรือ อื่นๆ
    หรืออาจจะถูก แฮก ข้อมูลส่วนตัวของเราไป
    ซึ่งจะทำให้ตัวเราเองมีปัญหาตามมาในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียเงิน หรือ เรื่องอื่นๆ
    ดังนั้น ต้องเรียนรู้ และ รู้เท่าทัน เรื่องเหล่านี้ให้มากที่สุด และ ให้เร็วที่สุด ครับ
    .
    .
    .-------------------------------------------
    .
    .
    Evil URL เครื่องมือสุดร้าย ที่มาของเว็บ URL เว็บ Phishing ทั้งหลาย (Part 1)

    https://opdev.men/tipstrick/security/evil-url-phishing-1/
    .
    .
    .
    Evil URL เครื่องมือสุดร้าย ที่มาของเว็บ URL เว็บ Phishing ทั้งหลาย (Part 2)
    https://opdev.men/tipstrick/security/evil-url-phishing-2/
    .
    .
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องคุณครูบาอาจารย์ ตอน๓๔
    อนุสาสิกขาดก ว่าด้วยดีแต่สอนผู้อื่น

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 435

    ๕. อนุสาสิกขาดก
    ว่าด้วยดีแต่สอนผู้อื่น

    [๑๑๕] "นางนกสาลิกาตัวใด สั่งสอนนกตัวอื่น
    อยู่เนือง ๆ ตัวเองมีปกติเที่ยวไปด้วยความ
    ละโมภ นางนกสาลิกาตัวนั้นถูกล้อบดแล้ว มี
    ปีกหักนอนอยู่"

    จบ อนุสาสิกชาดกที่ ๕

    อรรถกถาอนุสาสิกชาดกที่ ๕
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
    ทรงปรารภภิกษุณีผู้ชอบพร่ำสอนรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนา
    นี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยายญฺญมนุสาสติ ดังนี้.

    ได้ยินว่า ภิกษุณีนั้นเป็นกุลธิดานางหนึ่ง ชาวพระนคร-
    สาวัตถีบวชแล้ว ตั้งแต่กาลที่ตนบวชแล้ว ก็มิได้ใส่ใจในสมณธรรม
    ติดใจในอามิส เที่ยวไปบิณฑบาตในเอกเทศแห่งพระนคร ที่
    ภิกษุณีอื่น ๆ ไม่พากันไป ครั้งนั้น พวกมนุษย์พากันถวาย
    บิณฑบาตอันประณีตแก่เธอ เธอถูกความอยากในรสผูกพันไว้
    คิดว่า ถ้าภิกษุณีอื่น ๆ จักเที่ยวบิณฑบาตในประเทศนี้ ลาภ
    ของเราจักเสื่อมถอย เราควรกระทำให้ภิกษุณีอื่น ๆ ไม่มาถึง
    ประเทศนี้ ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของนางภิกษุณีทั้งหลาย พร่ำ
    สั่งสอนนางภิกษุณีทั้งหลายว่า ดูก่อนแม่เจ้าทั้งหลาย ในที่ตรงโน้น
    มีช้างดุ มีม้าดุ มีสุนัขดุ ท่องเที่ยวอยู่ เป็นสถานที่มีอันตราย
    รอบด้าน แม้คุณทั้งหลายอย่าไปเที่ยวบิณฑบาตในที่นั้นเลย
    ฟังคำของเธอแล้ว แมัภิกษุณีสักรูปหนึ่ง ก็ไม่เหลียวคอมองดู
    ประเทศนั้น.

    ครั้นวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังเที่ยวบิณฑบาต เข้าไป
    สู่เรือนหลังหนึ่งโดยเร็ว แพะดุชนเอากระดูกขาหัก พวกมนุษย์
    รีบเข้าไปตรวจดู ประสานกระดูกขาที่หักสองท่อนให้ติดกัน
    แล้วหามเธอด้วยเตียง นำไปสู่สำนักภิกษุณี พวกภิกษุณีพากัน
    หัวเราะเยาะว่า ภิกษุณีรูปนี้ชอบพร่ำสอนภิกษุณีรูปอื่น ๆ
    ตนเองกลับเที่ยวไปในประเทศนั้น จนขาหักกลับมา ด้วยเหตุ
    ที่เธอกระทำแม้นั้น ก็ปรากฏในหมู่ภิกษุไม่ช้านัก ครั้นวันหนึ่ง
    พวกภิกษุพากันกล่าวโทษของเธอในธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุ
    ทั้งหลาย ภิกษุณีผู้ชอบสอน พร่ำสอนภิกษุณีอื่น ๆ ตนเองเที่ยว
    ไปในประเทศนั้น ถูกแพะดุชนเอากระดูกหัก พระศาสดาเสด็จมา
    ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนา
    กันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ
    แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ใน
    กาลก่อน ภิกษุณีนั้น ก็เอาแต่สั่งสอนคนอื่น ๆ แต่ตนเองไม่
    ประพฤติ ต้องเสวยทุกข์ตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว แล้วทรงนำ
    เอาเรื่องในอดีต มาสาธกดังนี้ :-

    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
    พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิด ในกำเนิดนกป่า เจริญวัย
    แล้ว ได้เป็นจ่าฝูงนก มีนกหลายร้อยเป็นบริวาร เข้าไปสู่ป่า-
    หิมพานต์ ในกาลที่พระโพธิสัตว์อยู่ในป่าหิมพานต์นั้น นางนก
    จัณฑาลตัวหนึ่งไปสู่หนทางในดงดึก๑ หาอาหารกิน นางได้เมล็ด-
    ข้าวเปลือกและถั่วเป็นต้น ที่หล่นตกจากเกวียนในที่นั้นแล้ว
    คิดว่า บัดนี้เราต้องหาวิธีทำให้พวกนกเหล่าอื่นไม่ไปสู่ประเทศนี้
    ดังนี้แล้ว ให้โอวาทแก่ฝูงนกว่า ขึ้นชื่อว่าทางใหญ่ในดงดึก เป็น
    ทางมีภัยเฉพาะหน้า ฝูงสัตว์เป็นต้นว่า ช้าง ม้า และยวดยาน
    ที่เทียมด้วยโคดุ ๆ ย่อมผ่านไปมา ถ้าไม่สามารถจะโผบินขึ้น
    ได้รวดเร็ว ก็ไม่ควรไปในที่นั้น ฝูงนกตั้งชื่อให้นางว่า "แม่อนุ-
    สาสิกา" วันหนึ่งนางกำลังเที่ยวไปในทางใหญ่ในดงดึก ได้ยิน-
    เสียงยานแล่นมาด้วยความเร็วอย่างยิ่ง ก็เหลียวมองดู โดยคิดว่า
    ยังอยู่ไกล คงเที่ยวเรื่อยไป ครั้งนั้นยานก็พลันถึงตัวนาง ด้วย
    ความเร็วปานลมพัด นางไม่อาจโผบินขึ้นได้ทัน ล้อทับร่าง
    ผ่านไป นกผู้เป็นจ่าฝูง เรียกประชุมฝูงนก ไม่เห็นนางก็กล่าวว่า
    นางอนุสาสิกาไม่ปรากฏ พวกเจ้าจงค้นหานาง ฝูงนกพากันค้นหา
    เห็นนางแยกออกเป็นสองเสียงที่ทางใหญ่ ก็พากันแจ้งแก่จ่าฝูง
    จ่าฝูงกล่าวว่า นางห้ามนกอื่น ๆ แต่ตนเองเที่ยวไปในที่นั้น จึง
    แยกออกเป็นสองเสี่ยง แล้วกล่าวคาถานี้ความว่า :-
    "นางนกสาลิกาตัวใด สั่งสอนนกตัวอื่น
    อยู่เนือง ๆ ตัวเองมีปกติเที่ยวได้ด้วยความ
    ละโมภ นางนกสาลิกาตัวนั้นถูกล้อบดแล้ว มี
    ปีกหักนอนอยู่ " ดังนี้.
    (๑. ดงดึก = ป่าลึกเข้าไปไกล.)

    บรรดาบทเหล่านั้น ย อักษรในบทว่า ยายญฺญมนุสาสติ
    ทำการเชื่อมบท ความก็ว่า นางนกสาลิกาใดเล่า สั่งสอนผู้อื่น.
    บทว่า สยํ โลลุปฺปจารินี ความว่า เป็นผู้มีปกติเที่ยว
    คนองไปด้วยตน.
    บทว่า สายํ วิปกฺขิกา เสติ ความว่า นกตัวนั้น คือ นาง-
    สาลิกาตัวนี้ มีขนปีกกระจัดกระจาย นอนอยู่ที่ทางใหญ่.
    บทว่า หตา จกฺเกน สาสิกา ความว่า นางนกสาสิกา
    ถูกล้อยานทับตาย.

    พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรง
    ประชุมชาดกว่า นางนกสาลิกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุณี
    อนุสาสิกาในครั้งนี้ ส่วนนกจ่าฝูง ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

    จบ อรรถกถาอนุสาสิกชาดกที่ ๕
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 438

    ที่มา
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระยะเวลา คนจนยิ่งจน เพราะทำตัวรวย คนรวยยิ่งรวย เพราะทำตัวจน

    วิดีโอ โพสโดย ดอยแม่สลอง สื่อสังคมออนไลน์
    https://www.facebook.com/DOI991/?hc...K7YmHQs8jqX-oUyZL4MWSY6WH4OzGbwIqJdfYCBcVPlpQ

    คนจนยิ่งจน เพราะทำตัวรวย
    คนรวยยิ่งรวย เพราะทำตัวจน
    ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น ชีวิตก็จะเป็นปกติ

    #แบ่งปันสิ่งดีๆ

    .
    .
    ขอขอบคุณสถานที่ ร้าน KIDO KTV รัชดา 18 สนใจโทร 095-960-3601
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา เกิดผล แก้วเกิด



    #ซื้อประกันจากนายหน้า
    กับ #ตัวแทนประกัน ศาลท่านว่า ไม่เหมือนกัน

    เคยมีข่าวกรณีที่มีประชาชน ถูกบริษัทประกันชีวิต ไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือค่าสินไหมทดแทนในกรณีเจ็บป่วย โดยอ้างว่า ผู้เอาประกัน ไม่แจ้ง หรือ ปกปิดคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ว่า เคยมีโรคประจำตัว หรือมีโรคประจำตัว หรือเคยรักษาโรค ในระหว่างทำประกันสุขภาพ

    ประมาณว่า ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ๊ากคำ...!!!

    ความจริงแล้ว ผู้ทำประกันอาจเคยแจ้งต่อผู้ขาย ซึ่งเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของบริษัทประกันไปแล้ว...

    ส่วนคนขาย จะจดแจ้งตามที่บอกหรือไม่ก็ไม่ทราบ

    คดีนี้ โจทก์เป็นผู้ทำประกันสุขภาพ โดยมีจำเลยเป็นบริษัทประกันฯ

    หลังโจทก์ทำประกันก็ล้มป่วย จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าประกันสุขภาพให้ โดยอ้างว่า โจทก์ปิดบังเกี่ยวกับสุขภาพ ว่าเคยเป็นโรคตับอักเสบ

    โจทก์ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้ปิดบัง และเคยเข้ารับการรักษาตัว ตัวแทนของจำเลย (คนขายประกัน) ก็เคยมาเยี่ยมโจทก์ และทราบดีว่า โจทก์ป่วยเพราะตับอักเสบ

    จำเลยต่อสู้ว่า #คนขายประกันให้โจทก์เป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต #ไม่ใช่ตัวแทนประกันชีวิตของจำเลย จึงไม่ผูกพันธ์จำเลย

    จำเลยมีสิทธิบอกล้างสัญญา และคืนเบี้ยประกันให้โจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าสินไหมทดแทนใดๆ

    สู้กันไปถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตัวแทนประกันชีวิตว่าหมายความว่า ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท และมาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท

    คดีนี้ คนขายประกันไม่ใช่ตัวแทนจำเลยเพราะไม่มีหนังสือมอบอำนาจ หรือหนังสือตั้งตัวแทน จึงมีฐานะเป็นเพียง นายหน้าประกันชีวิต นิติกรรมจึงไม่ผูกพันธ์จำเลย

    จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้

    #หมายเหตุ ผมไม่เห็นพ้องด้วยกับฎีกานี้นะครับ #ชาวบ้านจะรู้อย่างไร #ใครเป็นตัวแทน #ใครเป็นนายหน้า หนังสือมอบอำนาจ ก็เป็นเรื่องระหว่างตัวแทนกับบริษัท เมื่อบริษัท รับเงินเบี้ยประกันไปแล้ว จนออกกรมธรรม์ให้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ย่อมเข้าใจว่า สัญญาย่อมถูกต้องทั้งหมด

    ไม่แปลกใจว่า ทำไมบริษัทประกันภัยถึงหัวหมอตลอด

    ผมนำตัวอย่างบัตรตัวแทน และ บัตรนายหน้ามาให้ดูครับ

    ซื้อประกันกับนายหน้า ศาลไม่คุ้มครองนะครับ

    ฎีกาที่ 1333/2551
    ตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิตฯ มาตรา 5 ได้ให้คำจำกัดความของตัวแทนประกันชีวิตว่าหมายความว่า ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท และมาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า ช. เป็นตัวแทนประกันชีวิตผู้ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากจำเลยให้ทำสัญญาประกันชีวิตในนามของจำเลยได้ เช่นนี้ ช. จึงเป็นเพียงตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยเท่านั้นไม่ใช่ตัวแทนในการทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลย จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยตาม ป.พ.พ. การที่ ช. ได้ทราบหรือควรทราบข้อเท็จจริงขณะทำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมีอาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อ. จะถือว่าจำเลยได้ทราบความจริงดังกล่าวด้วยหาได้ไม่ นอกจากนี้จำเลยยังนำสืบว่าหลังจาก ส. เสียชีวิตจำเลยได้ตรวจสอบหลักฐานและประวัติเกี่ยวกับสุขภาพของ ส. ทราบผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2540 ว่า ส. ปกปิดข้อความจริงว่าเคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบ หากจำเลยทราบความจริงจำเลยจะไม่ต่ออายุกรมธรรม์ประกันชีวิตกับ ส. โดยโจทก์ไม่นำสืบหักล้าง ดังนั้น การที่ ส. รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคตับอักเสบแต่ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยปฏิเสธไม่ทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น ย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ส. กับจำเลยเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง จำเลยบอกล้างสัญญาประกันชีวิตเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2540 จึงเป็นการบอกล้างภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างได้แล้ว

    #ซื้อประกันจากนายหน้า
    #ตัวแทนประกัน

    ที่มา เกิดผล แก้วเกิด
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาบอกเพิ่มเติม

    ต้องขอดูใบอนุญาตทุกครั้งที่มีผู้มาเสนอขายประกัน ห้ามตกลงทำประกันกับคนที่ขายทางโทรศัพท์ เพราะเวลาการติดต่อกับบริษัทประกัน ติดต่อโคตรยาก ถึงยากที่สุด เหมือนกับที่ภรรยาผมเจอมา (ไว้ผมมาแจ้งความคืบหน้า เรื่อง ประกันอาวุโสโอเค ของ เอไอเอ)

    ในเบื้องต้นหากผู้ขายแจ้งว่า เป็นนายหน้าประกันชีวิต หรือ เป็นตัวแทนประกันชีวิต ต้องขอดูใบมอบอำนาจของบริษัท และหากมีโทรศัพท์มือถือ ให้นำโทรศัพท์มือถือ ถ่ายรูปใบอนุญาต กับ ใบมอบอำนาจฯ เก็บไว้ หากมีปัญหาเกิดขึ้น จะได้ทราบว่า นายหน้าประกันชีวิต หรือ ตัวแทนประกันชีวิต เป็นใคร ถ้าไม่ให้ถ่าย เราก็ไม่ต้องซื้อ หรือ ไปซื้อกับคนที่ให้ถ่าย

    เอกสารที่เกี่ยวข้องทุกแผ่น ไม่ว่าเป็นกระดาษที่ทางตัวแทน หรือ นายหน้า เขียนอธิบายให้เราเข้าใจถึงรายละเอียดของกรมธรรม์ เราต้องเก็บไว้เสมอ เก็บรวมกับกรมธรรม์ไว้ เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้น จะได้นำเอกสารดังกล่าว ไปพิจารณาในการดำเนินการในเรื่องอื่นๆต่อไปครับ


     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาเตือนเรื่อง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กันหน่อยครับ

    หากมีเรื่อง 2 เรื่องนี้ที่คนโทร.มาหาเรา ให้เราไปทำ 2 เรื่องนี้ ให้รู้ทันทีเลยว่า เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทร.มา

    1.ให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม
    2.ถามข้อมูลส่วนตัว คือ ชื่อ , นามสกุล , เลขที่บัตรประชาชน , เลขที่บัญชีเงินฝาก และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม

    อย่าไปหลงกลคนพวกนี้ ครับ

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    แฉสารพัดวิธีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ 7 วิธีรับมือ เมื่อเจอเข้ากับตัว

    https://news.mthai.com/general-news/603985.html

    แฉภัยร้ายใกล้ตัว! สารพัดวิธีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ 7 วิธีรับมืออย่างมีสติ เมื่อเจอเข้ากับตัวเอง

    แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีมานานนับ 10 ปี หลายขบวนการถูกจับกุมได้ อีกทั้งประชาชนก็รับรู้ถึงกลลวงที่ใช้หลอกเงินเหยื่อ จากการนำเสนอข่าวของสื่ออย่างแพร่หลาย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีประชาชนจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อ เพราะแก๊งเหล่านี้พัฒนาวิธีการหลอกลวงให้แนบเนียนมากขึ้น

    ทั้งนี้ มีข่าวอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกโอนเงิน แต่ก็มีคนถูกหลอกรายวัน เพราะขบวนการเหล่านี้มีการเปลี่ยนวิธีการหลอกในรูปแบบใหม่ๆ จะมีรูปแบบใดบ้าง เรานำข้อมูลมาเตือนภัยอีกครั้ง

    หากจะแฉกลลวงหลอกให้โอนเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า จะมาในลักษณะข้อความเสียงอัตโนมัติ หรือ โทรไปเองและแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ อาทิ ตำรวจ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ศาล ธนาคาร ไปรษณีย์ และแต่งเรื่องหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ สร้างความแนบเนียน โดยใช้เครื่องมือแปลงสัญญาณโทรศัพท์เป็นหมายเลขของส่วนราชการ หรือ เครื่องวีโอไอพี จากนั้นให้เหยื่อโทรไปเช็คเพื่อยืนยันว่า เป็นเบอร์ของส่วนราชการจริง และส่งสายให้พูดคุยเป็นทอดๆ

    วิธีต้มตุ๋นที่พบบ่อยมักอ้างว่า บัญชีเงินฝากถูกอายัด หรือ เป็นหนี้บัตรเครดิต และหลอกให้ฝากเงินผ่านเครื่องฝากอัตโนมัติ , มีบัญชีเงินฝากไปพัวพันกับยาเสพติด และฟอกเงิน โดยจะหลอกให้โอนเงินมาตรวจสอบ , อ้างเรื่องเงินคืนภาษี และให้ทำตามคำบอกที่หน้าตู้เอทีเอ็มเพื่อหลอกให้โอนเงิน รวมถึงหลอกเหยื่อว่าโชคดีได้รับรางวัลใหญ่ แต่รางวัลมีราคาสูงจำเป็นต้องโอนเงินค่าภาษี

    บางกรณีมีการอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน บอกว่าข้อมูลส่วนตัวเหยื่อสูญหาย และขอให้แจ้งข้อมูลใหม่จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการปลอมแปลง หรือใช้บริการทางการเงินในนามของเหยื่อ , การอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ศาล หลอกลวงว่าเหยื่อได้รับหมายศาล หากใครตกใจและขอรับความช่วยเหลือ มิจฉาชีพจะหลอกขอตรวจสอบข้อมูลส่วนตัว บางรายถูกหลอกให้ทำธุรกรรมผ่านเครื่องเอทีเอ็ม

    อีกวิธี คือ ใช้ระบบเสียงอัตโนมัติแอบอ้างเป็นไปรษณีย์ไทย บอกว่าเหยื่อมีพัสดุตกค้าง และให้กด 9 เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่ หากต้องการทราบรายละเอียดพัสดุ ต้องแจ้งชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน บางรายอ้างว่า ในพัสดุมีบัญชีเงินฝากผิดกฎหมาย และให้โอนเงินมาตรวจสอบ รวมถึงการแชตหาสาวผ่านเว็บไซด์หาคู่ เฟซบุ๊ก หรือ ไลน์ โดยปลอมแปลงรูปโปรไฟล์เป็นคนหล่อ รวย มีการศึกษา จากนั้นจะทำการแลกเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ตกลงคบหากัน และจะพูดหว่านล้อมให้โอนเงินให้ ก่อนจะหลบหนีติดต่อไม่ได้

    ด้าน นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความเปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊กสายตรงกฎหมาย แนะนำวิธีการรับมือกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยขั้นแรก ต้องตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ จากนั้นถามให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รวมถึงลองสำรวจตัวเองว่า มีความเกี่ยวพันกับเรื่องที่โทรมาแจ้งหรือไม่ ถ้าเคยมี ก็อาจเป็นเรื่องจริง แต่อย่าเพิ่งวางใจ ลองสอบถามข้อมูลไปก่อน เพื่อให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องจริง

    แต่ถ้าสำรวจแล้วไม่เคยไปเกี่ยวพันกับเรื่องที่โทรแจ้งเข้ามา ให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่ากำลังถูกหลอก ย้ำว่าห้ามโอนเงินให้ ไม่ว่ากรณีใดๆ แต่ให้รับเรื่องไว้เบื้องต้น แล้วนำไปตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายหลัง และสุดท้ายคือ หากจำเป็นต้องชำระเงินจริงๆ ควรนำเงินไปชำระกับเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง ซึ่งมีความน่าเชื่อถือกว่าโอนเงินเข้าบัญชี ทั้งนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักมีรูปแบบใหม่ๆ มาหลอกลวงเหยื่อ เน้นว่า ยังไม่ควรโอนเงิน แต่ควรตรวจสอบอีกครั้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อความชัดเจนและถูกต้อง

    ----------------------------------------------------

    กลลวงแก๊งคอลเซ็นเตอร์

    โดย TNN 24

    -------------------------------------------------------

    แบงก์ชาติเตือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นสรรพากรหลอกเหยื่อ | ข่าวช่อง 8

    โดย ข่าวช่อง8


    #แก๊งคอลเซ็นเตอร์
    #Callcenter
    #มิจฉาชีพ
    #วิธีรับมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดูชัด ๆ เปิดบันทึกข้อความ เอกสารเคลียร์ทางให้ เปรมชัย เข้าป่าทุ่งใหญ่
    https://hilight.kapook.com/view/167875


    เปิดบันทึกข้อความ วิเชียร ชิณวงษ์ ให้ เปรมชัย กรรณสูต พร้อมพวก เข้าป่าทุ่งใหญ่ฯ เพราะ ผอ.สำนักอนุรักษ์ โทร. เคลียร์ระบุศึกษาธรรมชาติ

    จากกรณีที่ นางสาวกาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้สั่งให้นายวิเชียร ชิณวงษ์ เปิดทางให้กลุ่มนายเปรมชัยเข้าไปภายในอุทยานฯ หลังนายวิเชียรให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้รับการประสานจากผู้อำนวยการฯ ให้ทำเรื่องอนุญาตให้นายเปรมชัยและพวกเข้าไปโดยงดเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อไปศึกษาธรรมชาติ (อ่านข่าว : กาญจนา โต้สั่ง วิเชียร เว้นค่าธรรมเนียม แฉ นพดล พฤกษะวัน สายตรงขอเข้าป่า)

    แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะล่าสุด (9 กุมภาพันธ์ 2561) มีการเปิดเผยถึงหนังสือบันทึกข้อความของ นายวิเชียร ที่แจ้งถึงผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เรื่องขออนุญาตเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 โดยหนังสือดังกล่าว ระบุเอาไว้ว่า...

    ด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ได้รับการประสานทางโทรศัพท์จากผู้อำนวยการ แจ้งว่า คณะของ นายเปรมชัย กรรณสูต พร้อมพวกจำนวน 4 คน มีความประสงค์จะเข้าศึกษาธรรมชาติเส้นทางทินวย-ทิคอง-มหาราช และเส้นทางสะเน่พอง-เกาะสะเดิ่ง ระหว่างวันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ 2561 รถยนต์จำนวน 1 คัน หมายเลขทะเบียน 7ค 2192 กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ เห็นควรอนุญาตให้คณะดังกล่าวเข้าทำกิจกรรมวันเวลาดังกล่าว โดยใช้เส้นทางทินวย-ทิคอง-มหาราช และเส้นทางสะเน่พอง-เกาะสะเดิ่ง เป็นเส้นทางในการเดินทาง จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา


    แต่เนื่องจากเป็นวันหยุดและเอกสารไม่ครบ ทำให้ทางผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 ไม่ได้มีการอนุมัติ และมีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า หนังสือบันทึกข้อความดังกล่าวส่วนหนึ่งถือว่าเกิดความบกพร่องหละหลวม ปล่อยให้ผ่านเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ โดยไม่มีการตรวจค้นอาวุธ เพราะความเกรงใจ เนื่องจากเป็นแขกวีไอพีที่ผู้ใหญ่ระดับสูงในกรมโทรศัพท์ติดต่อประสานงานลงมา ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าเรียกเพื่อขอตรวจค้น รวมถึงไม่คาดคิดว่าแขกวีไอพีที่ผ่านการกลั่นกรองของผู้ใหญ่ในกรมจะมีพฤติกรรมดังข่าวใหญ่ในขณะนี้

    ภาพจาก ไทยพีบีเอส, ตี๋ใหญ่ สังขละ
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก http://www.naewna.com/local/319687/preview

    .

    กาญจนา โต้สั่ง วิเชียร เว้นค่าธรรมเนียม แฉ นพดล พฤกษะวัน สายตรงขอเข้าป่า
    https://hilight.kapook.com/view/167870

    กาญจนา นิตยะ ผอ.สำนักอนุรักษ์ เผย "นพดล" สายตรงขอเข้าพื้นที่ โต้สั่งวิเชียร เว้นค่าธรรมเนียมเปรมชัยกับพวก

    ข่าวการจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวก ที่ลักลอบเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ทำให้ชื่อของ วิเชียร ชิณวงษ์ ได้รับการพูดถึงและถูกยกย่องว่าเขาคือฮีโร่ แต่แล้วกลับมีข่าวออกมาว่า นายวิเชียร อาจโดนสอบปมงดเว้นค่าธรรมเนียมเปรมชัยและพวก เข้าป่าทุ่งใหญ่ ด้วยเช่นกัน ซึ่งนายวิเชียร ได้ให้การว่า ได้รับการประสานจากผู้อำนวยการฯ ให้ทำเรื่องอนุญาตให้นายเปรมชัยและพวกเข้าไปโดยงดเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อไปศึกษาธรรมชาติ (อ่านข่าว : งานเข้า !? วิเชียร ส่อโดนโทษ ปมเว้นค่าธรรมเนียมเปรมชัยเข้าป่าทุ่งใหญ่)

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2561) นางสาวกาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ให้สัมภาษณ์หลังมีกระแสข่าวว่าเป็นผู้อนุญาตให้นายวิเชียร ปล่อยให้กลุ่มนายเปรมชัยเข้าไปภายในอุทยานฯ ว่า นายนพดล พฤกษะวัน โทร. มาบอกว่าจะขอเข้าไปศึกษาธรรมชาติ เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา บอกว่าจะขอเข้าไปสัก 2 คืน จะเข้าไปวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์

    ส่วนในเรื่องของการขอเข้าพื้นที่โดยทิ้งระยะเวลาไม่กี่วัน เพราะดูวันเวลาที่เสือจะมาอยู่ตรงที่เกิดเหตุไหม อันนี้ตนไม่รู้ ทั้งนี้ตนเคยติดต่อกับนายนพดล 3 ครั้งถึงเรื่องที่จะขอเข้าพื้นที่ ครั้งแรกเขาโทร. มา ครั้งที่ 2 ตนโทร. ไป บอกเราติดต่อให้ไม่ได้ ส่วนครั้งที่ 3 ทางเราโทร. ไปให้เบอร์โทรศัพท์ของสำนักงานเขตให้ทางนายนพดลไปติดต่อเอาเอง พอได้รับเรื่องมาก็ให้ทางเจ้าหน้าที่ไปแจ้งให้ทราบว่าจะมีคณะนี้เข้ามา แล้วก็ให้เขาไปดำเนินการตามระเบียบต่อไป

    ที่ผ่านมาก็ไม่มีใครมาฝากตนขอให้ผ่านไปยังพื้นที่ นี่เป็นเคสแรกที่โทร. มา แต่ไม่ได้ฝากเพราะเราบอกให้เขาโทร. ไปติดต่อเอง ยืนยันว่าไม่เคยสั่งนายวิเชียรตามข่าว โทร. หานายวิเชียรครั้งเดียวคือวันที่เกิดเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น

    "เราจะไปรู้เหรอ ใครเป็นใคร เราไม่มีประวัติ ไม่มีอะไรยังไงเลย อย่างนายเปรมชัยใครจะไปรู้ว่าชอบทำอย่างนี้ ไม่มีใครรู้ พวกเราทำงานในป่า เราจะไปรู้เหรอว่าพวกไฮโซทำอะไร" นางสาวกาญจนา กล่าว

    ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Thaitv6

    .

    เผยเบื้องลึกปม หัวหน้าวิเชียร เอ่ยปากรับผิด แม้เป็นชุดรวบกลุ่ม เปรมชัย แขกของนาย
    https://hilight.kapook.com/view/167854

    ไทยพีบีเอส เปิดเบื้องลึก กลุ่มเปรมชัย ลักลอบล่าสัตว์ ทำหลายฝ่ายเกรงใจเพราะเป็นแขกของนาย สุดท้าย หัวหน้าวิเชียร ต้องยอมรับว่าผิดพลาดเอง

    จากกรณีที่ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวก ถูกจับกุมที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก พร้อมซากสัตว์และอาวุธปืน ซึ่งภายหลังมีการเปิดเผยคลิปเสียงการเจรจาทำนองว่า กลุ่มของนายเปรมชัย เป็นแขกนาย ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยจากสังคม โดยเฉพาะการที่ฮีโร่ชุดจับกุมอย่าง วิเชียร ชิณวงษ์ ต้องออกมากล่าวว่า "เป็นความผิดพลาดของผมเอง" ทำให้มองได้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือไม่นั้น

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันนี้ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ไทยพีบีเอส ได้รับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ถึงขั้นตอนการเข้าไปในทุ่งใหญ่ของนายเปรมชัย พบว่า มีอดีตข้าราชการกระทรวงเกษตรคนหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาเข้าไปมีส่วนร่วมกับธุรกิจของ บริษัท อิตาเลียนไทย ถึงขั้นเคยมาคุมงานใหญ่ ๆ ซึ่งอดีตข้าราชการรายนี้ได้ประสานมาผู้บริหารในกรมอุทยานฯ ด้วยการโทรศัพท์

    ทั้งนี้ผู้บริหารคนดังกล่าว แม้จะไม่รู้จักนายเปรมชัย แต่รู้จักอดีตข้าราชการ จึงยินยอมให้นายเปรมชัยเข้า ด้วยการประสานไปที่หัวหน้าวิเชียร ว่ามีแขกของอดีตข้าราชการจะเข้าไป ทำให้หัวหน้าวิเชียร ไม่ได้สงสัยคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้รถของคณะนายเปรมชัย จึงขนอาวุธเข้าไปได้โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ และผ่านด่านตรวจได้โดยไม่มีในสมุดบันทึกของเจ้าหน้าที่

    อย่างไรก็ดี การจับกุมดังกล่าว เกิดขึ้นเพราะคณะนายเปรมชัย ซึ่งเป็นแขกของนาย หายไปจากจุดกางเต็นท์ จึงเกิดการไปตามหา ก่อนจะพบว่าอยู่ห่างจากจุดกางเต็นท์ไปราว 5 กิโลเมตร และพบว่ามีการล่าสัตว์ดังกล่าว

    ปัจจุบัน อดีตข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ และผู้บริหารในกรมอุทยานฯ ยังไม่ยอมรับเรื่องนี้ ทำให้ หัวหน้าวิเชียร จึงต้องยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตัวเอง


    วิเคราะห์ทำไมวิเชียรรับแทนนาย


    ภาพและข้อมูลจาก https://news.thaipbs.or.th/content/270061

    .

    ตรวจซากเสือดำหาวิถีกระสุน พบถูกยิงจากด้านหน้า มีร่องรอยถึง 8 จุด
    https://hilight.kapook.com/view/167895

    ตรวจซากเสือดำหาวิถีกระสุน พบถูกยิงจากด้านหน้า มีร่องรอยถึง 8 จุด นอกจากนี้ยังได้ตรวจซากอื่น ๆ เช่น ซากเก้ง ซากไก่ฟ้าหลังเทา แต่ผลยังไม่ออกมา

    เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 พ.ต.อ. สมหมาย โชติกะนาวิน นักวิทยาศาสตร์(สบ.4) หัวหน้าพิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่วิทยากรกองพิสูจน์หลักฐาน นำซากหนังเสือดำ กะโหลก ชิ้นเนื้อ ซากเก้ง ซากไก่ฟ้าหลังเทา มาตรวจสอบหาวิถีกระสุน หลังจากที่จับกุมตัวนายเปรมชัย เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 คน

    ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบวิถีกระสุน พบว่า มาจากทางด้านหน้าของเสือ และพบร่องรอยกระสุนเบื้องต้น 8 จุด ส่วนซากอื่น ๆ อยู่ระหว่างดำเนินการ

    ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก คนอนุรักษ์ https://www.facebook.com/Khonanurak/posts/1558872467561819

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก http://www.naewna.com/local/319820

    .

    ทุ่งใหญ่ บริษัทก็ใหญ่ เรื่องจึงใหญ่

    - - สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ - -

    คอลัมน์ ศุกร์ เว้น ศุกร์ : โดย ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม

    สังคมกำลังสนใจประเด็นธรรมาภิบาลว่าถ้าซีอีโอ ของบริษัทไปทำอะไรที่ผิดจริยธรรม แล้วผลต่อบริษัทน่าจะเป็นเช่นใด

    ตลาดหลักทรัพย์ฯ แถลงว่ากรณีซีอีโอ ออกป่าล่าสัตว์ ในขณะนี้ยังไม่เข้าข่ายประพฤติผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ แต่ ในทางธรรมาภิบาล คิดว่า ไอโอดี ซึ่งทำหน้าที่จัดอันดับธรรมาภิบาล ควรรับไปดำเนินการ ซึ่งไอโอดี ก็แถลงว่าจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป

    ผมเลยอยากนำเสนอ เรื่องราวการประพฤติที่ไม่ถูกจริยธรรม ของซีอีโอในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ว่ามันเกิดขึ้นกี่รูปแบบ และ ผลที่ตามมาคืออะไร ซึ่งเป็นผลจากงานวิจัยที่เป็นกิจจะลักษณะ เชื่อถือได้

    โดยนักวิจัย 2 คน ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก รวบรวมกรณีเหล่านั้นที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2543-2558 ซึ่งเป็นระยะเวลา นานพอที่จะนำมาวิเคราะห์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    ปรากฏว่ารวบรวมได้มากถึง 38 กรณี ที่เป็นข่าวอย่างกว้างขวาง แบ่งเป็นพฤติกรรมของ ซีอีโอ ที่ผิดจริยธรรมประเภทต่างๆ ดังนี้

    34% โกหกบอร์ดหรือผู้ถือหุ้น เกี่ยวกับพฤติกรรมส่วนตัว

    21% แอบมีความสัมพันธ์ทางเพศ กับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือเจ้าหน้าที่ ของบริษัทที่ปรึกษา ฯลฯ

    16% ใช้เงินของบริษัทแบบน่ากังขา แม้จะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม

    16% พฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสม หรือ สื่อสารด้วยภาษาที่ก้าวร้าว

    13% สื่อสารในที่สาธารณะ ซึ่งมีผลกระทบต่อลูกค้า หรือกลุ่มต่างๆ ในสังคม

    คำถามก็คือเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น หลังจากนั้นเกิดอะไรตามมา คำถามนี้ ช่างตรงกับคำถามของสังคมไทยในช่วงเวลานี้ อย่างยิ่ง

    อ่านเนื้อหาข่าวเพิ่มเติมได้ที่ : http://bit.ly/2H2BlFV

    #ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

    Follow LINE: http://bit.ly/2luX9Dt
    Follow Facebook: http://bit.ly/2z1Dxvw
    Follow IG: http://bit.ly/2yeu3hy
    WebSite : http://www.anticorruption.in.th

    ที่มา https://www.facebook.com/act.antico...Wtm_dTr2DXJYDP6X8LWi5RIgJzjsW---Ou8Bg&fref=nf
     

แชร์หน้านี้

Loading...