เรื่องเด่น พระอดีตวงศ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มาตรัสรู้ในอดีตกาล

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 29 มีนาคม 2007.

  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,012
  2. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระพุทธเจ้า 28 พระองค์

    ความแตกต่างขององค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้า บางประการ....
    จากการศึกษา....
    ที่ค้นพบ และเห็นว่า พระพุทธองค์ ทรงมีความแตกต่างกัน บางประการ ดังนี้....

    1. วรรณะของพระองค์ (เท่าที่พบ มี พราหมณ์ และ กษัตริย์)
    2. พุทธลักษณะ ขนาดพระวรกาย
    3. พาหนะที่ทรงเสด็จออกบรรพชา
    4. ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้
    5. ระยะเวลา ที่ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้
    6. พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย
    7. จำนวนพระอรหันต์ ที่เป็นพุทธบริวารแวดล้อมตามเสด็จ
    8. พระชนมายุของพระพุทธองค์
    9. อายุ การประกาศพระศาสนา ​

    --------------------------------------

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย้อนขึ้นไป 28 พระองค์(นับตั้งแต่ สมเด็จองค์ปัจจุบัน)
    (คัดลอกจากหนังสือ หลวงปู่สอนหลาน หน้า 142-170)

    พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ นี้ หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ได้คัดลอกจากภาษาล้านนา และแปลเก็บไว้ในหอพระไตรปิฎก
    ณ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอ ลี้ ลำพูน

    ก็ลองพิจารณาดูนะครับ ถึงความแตกต่างกันของพระพุทธองค์....

    ประวัติพระพุทธเจ้า 28 พระองค์

    1. องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้านันทราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทราชาเทวี
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
    พระวรกายสูง 18 ศอก
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี


    2. องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร
     
  3. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

    พุทธปกิรณกกัณฑ์
    ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

    ในกัปอันประมาณมิได้แก่ภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกชั้น
    พิเศษ ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกรสัมพุทธเจ้า ๑
    พระเมธังกรสัมพุทธเจ้า ๑ พระสรณังกรสัมพุทธเจ้า ๑ และพระ
    ทีปังกรสัมพุทธเจ้า ๑ ท่านเหล่านั้นเสด็จอุบัติในกัปเดียวกัน ต่อจาก
    ที่พระทีปังกรสัมพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
    พระองค์เดียวเสด็จอุบัติกัปหนึ่ง ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสาร
    ได้มากมาย ระหว่างพระผู้มีพระภาคทีปังกร และพระโกณฑัญญะ
    บรมศาสดา เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้ ต่อจากพระโกณ
    ฑัญญะบรมศาสดา มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ แม้ระหว่าง
    พระโกณฑัญญะและพระมังคละพุทธเจ้านั้น ก็เป็นอันตรกัป โดยจะ
    คำนวณนับมิได้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ สุมนะ เรวตะ และ
    โสภิตะ ผู้เป็นมุนี มีจักษุ มีพระรัศมีสว่างไสว แม้พระพุทธเจ้า ๔
    พระองค์นั้นก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียว กันต่อจากพระโสภิตพุทธเจ้า
    มีพระมหามุนีพระนามว่าอโนมทัสสี แม้ระหว่างพระพุทธเจ้าพระนาม
    ว่าโสภิตะ และอโนมทัสสีนั้นก็เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิ
    ได้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี ปทุมะ และนารทะ ผู้เป็น
    มุนีกระทำที่สุดความมืด ก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียว ต่อจากพระ
    นารทสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เสด็จอุบัติใน
    กัปหนึ่ง ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย แม้ระหว่าง
    พระผู้มีพระภาคนารทะและพระปทุมุตรศาสดานั้น ก็เป็นอันตรกัป
    โดยจะคำนวณนับมิได้ในแสนกัป มีพระมหามุนีพระองค์เดียว คือ
    พระปทุมุตระผู้รู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ในสามหมื่นกัป
    ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์
    คือ พระสุเมธะและพระสุชาตะ ในพันแปดร้อยกัป (แต่กัปนี้) มี
    พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี และ
    พระธรรมทัสสี ต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าผู้อุดม
    กว่าสัตว์ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบในโลก ๓ พระองค์นั้น เสด็จอุบัติใน
    กัปเดียวกัน ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระมหามุนีพระองค์เดียว
    คือ พระสิทธัตถะ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ยอดเยี่ยมโดยมีบุญสิริ ในกัป
    ที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระติสสะ
    และพระปุสสะ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้
    มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้มีพระกรุณาพระนามว่าวิปัสสี
    ทรงเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากเครื่องผูก ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ มี
    พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระสิขีและพระเวสสภู ผู้ไม่มีบุคคล
    เปรียบเสมอ ในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระ-
    กุกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ บัดนี้เราเป็นพระ
    สัมพุทธเจ้าและจักมีพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ๕
    พระองค์นี้ ก็เป็นนักปราชญ์ อนุเคราะห์โลก บรรดาพระพุทธเจ้า
    ผู้เป็นธรรมราชาเหล่านี้ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าจักตรัสบอกมรรคา
    นั้นแก่ผู้อื่นหลายโกฏิ แล้วจักเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก
    ฉะนี้แล.

    จบพุทธปกิรณกกัณฑ์.
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๘๕๖๓ - ๘๖๐๖. หน้าที่ ๓๖๖ - ๓๖๘​
     
  4. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    ......ปฏิปทาพิเศษของพระโพธิญาณที่บำเพ็ญบารมีเฉพาะกิจ นอกเหนือจาก ปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ วิริยะธิกะ ตัวอย่างเป็นบารมีเฉพาะกิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้า ๒๘ พระองค์
    .......ความเสียสละของพระโพธิญาณที่ทำบารมีเกิน จึงถือว่าท่านหาความประเสริฐสุดให้แก่เหล่าพุทธบริษัทแต่ละยุคแต่ละสมัยที่บำเพ็ญบารมีเกินปกติ
    ........ใคร่ให้พวกเราทั้งหลายมีความนอบน้อมในพระพุทธเจ้า แล้วระลึกถึงคุณท่านด้วยความจริงใจด้วยการปฏิบัติบูชา

    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


    นมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

    นะโม เม สัพพะพุทธานัง
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง
    อุปปันนานัง มะเหสินัง
    ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ซึ่งได้อุบัติแล้ว คือ
    ๑. ตัณหังกะโร มะหาวีโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระตัณหังกรผู้กล้าหาญ
    .๒. เมธังกะโร มะหายะโส
    ปฏิปทาพิเศษของพระเมธังกรผู้มียศใหญ่
    ๓. สะระณังกะโร โลกะหิโต
    ปฏิปทาพิเศษของพระสรณังกรผู้เกื้อกูลต่อชาวโลก
    ๔. ทีปังกะโร ชุตินธะโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระทีปังกรผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง
    ๕. โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
    ปฏิปทาพิเศษของพระโกณฑัญญะผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน
    ๖. มังคะโล ปุสิสาสะโก
    ปฏิปทาพิเศษของพระมังคละผู้เป็นบุรุษประเสริฐ
    ๗. สุมะโน สุมะโน ธีโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระสุมนะผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหฤทัยงาม
    ๘. เรวะโต ระติวัฑฒะโน
    ปฏิปทาพิเศษของพระเรวะตะผู้เพิ่มพูนความยินดี
    ๙. โสภิโต คุณสัมปันโน
    ปฏิปทาพิเศษของพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ
    ๑๐. อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
    ปฏิปทาพิเศษของพระอโนมทัสสีผู้สูงสุดอยู่ในหมู่ชน
    ๑๑. ปะทุโม โลกะปัชโชโต
    ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมะผู้ทำให้โลกสว่าง
    ๑๒. นาระโท วาระสาระถี
    ปฏิปทาพิเศษของพระนารทะผู้เป็นสารถีประเสริฐ
    ๑๓. ปะทุมุตโต สัตตะสาโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมุตตระผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
    ๑๔. สุเมโธ อัปปะฏิบุคคะโล
    ปฏิปทาพิเศษของพระสุเมธะผู้หาบุคคลเปรียบมิได้
    ๑๕. สุชาโต สัพพะโลกัคโค
    ปฏิปทาพิเศษของพระสุชาตะผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง
    ๑๖. ปิยะทัสสี นะราสะโภ
    ปฏิปทาพิเศษของพระปิยทัสสีผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน
    ๑๗. อัตถะทัสสี การุณิโก
    ปฏิปทาพิเศษของพระอัตถทัสสีผู้มีพระกรุณา
    ๑๘. ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
    ปฏิปทาพิเศษของพระธรรมทัสสีผู้บรรเทาความมืด
    ๑๙. สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
    ปฏิปทาพิเศษของพระสิทธัตถะผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก
    ๒๐. ติสโส จะ วะทะตัง วาโร
    ปฏิปทาพิเศษของพระติสสะผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย
    ๒๑. ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
    ปฏิปทาพิเศษของพระปุสสะผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ
    ๒๒. วิปัสสี จะ อะนูปะโม
    ปฏิปทาพิเศษของพระวิปัสสสีผู้ที่หาเปรียบมิได้
    ๒๓. สิขี สัพพะหิโต สัตถา
    ปฏิปทาพิเศษของพระสิขีผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
    ๒๔. เวสสะภู สุขะทายะโก
    ปฏิปทาพิเศษของพระเวสสภูผู้ประทานความสุข
    ๒๕. กะกุสันโธ สัตถะวาโท
    ปฏิปทาพิเศษของพระกกุสันโธผู้นำสัตว์ออกจากสันดารตัวกิเลส
    ๒๖. โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
    ปฏิปทาพิเศษของพระโกนาคมนะผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส
    ๒๗. กัสสะโป สิริสัมปันโน
    ปฏิปทาพิเศษของพระกัสสปะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ
    ๒๘. โคตะโม สักยะปุงคะโว
    ปฏิปทาพิเศษของพระโคตมะผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช

    เตสาหัง สิระทา ปาเท วันทามิ ปุริสัตตะเม วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต
    ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระบาทของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า และขอกราบไหว้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เป็นบุรุษอันสูงสุด ผู้เป็นตถาคตด้วยวาจาและใจทีเดียว

    สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา
    ทั้งในที่นอนในที่นั่ง ในที่ยืน และแม้ในที่เดินด้วย ในกาลทุกเมื่อฯ

    ตัณ เม สะ ที โก มัง สุ เร โส อะ ปะ นา ปะ สุ สุ
    ปิ อะ ธะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว กุ โก กะ โค นะมามิหัง

    พระนามพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์แรกถึงองค์ปัจจุบัน โบราณจารย์ท่านถือว่าเป็นพระคาถาแก้วสารพัดนึก
    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
     
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เคยมีคนสงสัยและถามไว้ว่า


    ตอบ

    เป็นมนุษย์ครับ และมนุษย์ในระยะเขตเวลานั้น ก็จะมีอายุเท่ากับพระพุทธเจ้าด้วย

    เพราะมนุษย์แต่ละช่วง จะต่างกัน เขตอายุจะขึ้น และลงไป

    คือ

    ใน 1 มหากัปป์ = 1 รอบ ที่โลก และจักรวาลเกิด จะมีแบ่งออกเป็น

    4 อสงไขยกัปป์ แต่ละ 1 อสงไขยกัปป์คือช่วง จักรวาลแตก 1 อสงไขยกัปป์ จักรวาลก่อตัวใหม่ 1 จักรวาลก่อตัวเสร็จแล้ว 1 จักรวาลกำลังแตก 1 รวมเป็น 4 อสงไขยกัปป์

    ในแต่ละอสงไขยกัปป์ จะประกอบด้วยช่วงเวลา 64 อันตรกัปป์

    1 อันตรกัปป์ คือ นับตังแต่ มนุษย์ อายุ นานมากนับไม่ไหว จนลดลงมาเหลือ 10 ขวบ เพราะความเลว และมาทำความดีอีกรอบอายุจึงขึ้นไปอีก จนนานมากนับไม่ไหว

    ขึ้น ลง ขึ้น 1 ครั้ง เท่ากับ 1 อันตรกัปป์ ครบ 64 อันตรกัปป์ ได้ 1 อสงไขยกัปป์ ครบ 4 อสงไขยกัปป์ ได้ 1 มหากัปป์

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ จะเกิดในช่วงที่มนุษย์มีอายุขาลง และในเขตอายุเฉลี่ยสูงสุดไม่เกิน 100,000 ปี และต่ำสุด ไม่เกิน 100 ปีเท่านั้น



    ปัจจุบัน เรากำลังอยู่ในเขตเวลาอันตรกัปป์ที่ 12 ขาลง
    เมื่อขาขึ้นอีกรอบหนึ่งเมื่อมนุษย์อายุ 8 หมื่นปี จะมีพระเจ้าจักพรรดิอุบัติ

    จากนั้น มนุษย์จะมีอายุสูงมาก จนเริ่มทำผิดอกุศกรรมบทอีกครั้ง และลงอีกรอบหนึงจนอายุเหลือ 80,000 ปีจะเป็นอันตรกัปป์ที่ 13

    พระศรีอริยเมตไตรย์จะทรงอุบัติในอันตรกัปป์ที่ 13 เป็นพระองค์สุดท้าย และจะไม่มีพระพุทธเจ้าในภัททรกัปป์นี้อีก เพราะทรงอุบัติครบแล้ว 5 พระองค์ <!--MsgFile=63-->


    -----------------------------------------

    พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ตั้งแต่หน้า 99 จักกวัตติสูตร
    ----------------------------------------------------------------------------------

    จักกวัตติสูตร

    ว่าด้วยอกุศลกรรมทำให้อายุเสื่อม

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณามานี้ เมื่อพระมหากษตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสน ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนทรัพย์ถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานถึงความ แพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุหนึ่งหมื่นปี ก็มีอายุถอยลงเหลือห้าพันปี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุห้าพันปี ธรรม ๒ ประการ คือ ผรุสวาจาและสัมผัปลาปะ ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการ ถึงความแพร่หลาย แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุห้าพันปี ก็มีอายุถอยลงเหลือสองพันห้าร้อยปี บางพวกมีอายุถอยลงสองพันปี

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุสองพันปี อภิชฌาและพยาบาท ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและ พยาบาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อม
    ถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุสองพันห้าร้อยปี ก็มีอายุถอยลงเหลือหนึ่งพันปี

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุหนึ่งพันปี มิจฉาทิฏฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฏฐิถึงความแพร่หลาย
    แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของ
    มนุษย์ที่มีอายุหนึ่งพันปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕00 ปี

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕00 ปี ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ ( ความกำหนัดในฐานะอันไม่สมควร เป็นต้น
    ว่า มารดา๑ น้า ๑ บิดา ๒ อาหญิง ๑ ป้า ๑ )วิสมโลภ ( ความโลภที่รุนแรงในฐานะแม้ที่ควรบริโภค ) มิจฉาธรรม ( ความกำหนัดด้วยอำนาจความ
    พอใจระหว่าง ชายกับชาย หญิงกับหญิง ) ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้น ก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๕00 ปี บางพวกมีอายุถอยลง ๒๕0 ปี บางพวกมีอายุถอยลง ๒00 ปี

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๕0 ปี ธรรมเหล่านี้คือ ความไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ความไม่ปฏิบัติชอบ ในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานได้ ถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
    ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย มุสาวาทก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาทก็ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อปิสุณาวาทถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการ คือ ผรุสวาจาและสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย อภิชฌาและพยาบาท
    ก็ได้ถึงความแพร่หลาย มิจฉาทิฏฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฏฐิถึงความแพร่หลาย ธรรม ๓ ประการ คือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ความไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้น ก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อม
    ถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕0 ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑00 ปี

    ว่าด้วยความเสื่อมของกุศล อกุศล

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้ มีบุตร อายุ ๑0 ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสม ควรมีสามีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี หญ้ากับแก้ จักเป็นอาหารอย่างดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้าวสาลี
    เนื้อ ข้าวสุก จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี หญ้ากับแก้ ก็จักเป็นอาหาร
    อย่างดี ฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี กุศลกรรมบถ ๑0 จักอันตรธานหายไปหมดสิ้น
    อกุศลกรรมบถ ๑0 จักเจริญรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคน ทำกุศลจักมีแต่ที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติชอบ
    ในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้น
    จักได้รับการบูชา และได้รับการสรรเสริญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นจักได้รับการบูชาและได้รับการสรรเสริญฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี เขาจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา บิดา สมณพราหมณ์ ไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อ
    ท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้น จักได้รับการบูชาและได้รับการสรรเสริญฉันนั้นเหมือนกัน ในบัดนี้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี เขาจักไม่คิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยา ของอาจารย์ หรือว่านี่คือภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือนแพะ ไก่ สุกร สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความ พยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับบุตรก็ดี บุตร กับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จัดเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากัน อย่างแรงกล้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายพรานเนื้อเห็นเนื้อเข้า เกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้า ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี สัตว์เหล่านั้นจักมีความอาฆาต...ความคิดจะฆ่าอย่างแรง
    กล้าในกันและกัน ฉันนั้นเหมือนกัน

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี จักมีสัตถันตรกัป สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักสำคัญกันและกันว่าเป็น เนื้อ ศัสตราทั้งหลายอันคม จักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคมนั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ
    ( มิคสัญญี ) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นสัตว์เหล่านั้น บางพวกมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่า
    เรา อย่ากระนั้นเลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้า สุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร เลี้ยงชีวิตอยู่ซัก ๗ วัน เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร เลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด ๗ วัน เขาพากันออกจากสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องปลอบใจ กันในที่ประชุมว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร พวกเราควรงดเว้นจาก อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้นจากผรุสวาจา ควรงดเว้นจาก
    สัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฏฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉา
    ธรรม อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบในสมณะ ควรปฏิบัติชอบใน
    พราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ควรสมาทานกุศลนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุศล ธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อ เขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคนผู้มีอายุ ๒0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔0 ปี บุตรของคนผู้มี
    อายุ ๔0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๑๖0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔0 ปี จักมีอายุ
    เจริญขึ้นถึงสองพันปี บุตรของคนผู้มีอายุสองพันปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึงสี่พันปี บุตรของคนผู้มีอายุสี่พันปี จักมีอายุเจริญ
    ขึ้นถึงแปดพันปี บุตรของคนผู้มีอายุแปดพันปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึงสองหมื่นปี บุตรของคนผู้มีอายุสองหมื่นปี จักมีอายุเจริญ
    ขึ้นถึงสี่หมื่นปี บุตรของคนผู้มีอายุสี่หมื่นปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึงแปดหมื่นปี

    ว่าด้วยการงดเว้นอกุศลกรรมบถ ๑0 อายุยืน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี เด็กหญิงที่มีอายุ ๕00 ปี จึงจักควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จักมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้ จักมั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งอเวจีนรก จักยัดเยียดไปด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่า
    ไม้แก่น ฉะนั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี เมืองพาราณสีนี้ จักเป็นราชธานีมีนามว่าเกตุมดี เป็นเมืองที่มีมั่งคั่ง
    และรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คนคับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ในชมพูทวีปนี้ จักมีเมืองแปดหมื่นสี่พันเมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น
    ณ เมือง เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะ
    แล้ว มีราชอาณาจักรมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์สามารถย่ำยีเสนาของ
    ข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นใน
    โลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงความพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึก
    บุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือน
    ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกบัดนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระ
    ธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้ พร้อมเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วย
    พระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้วสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ
    พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพระผู้มีพระภาค
    เจ้าพระนาม ว่าพระเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์ หลายพัน เหมือนตถาคต บริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัด
    นี้ ฉันนั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะ จักทรงให้ยกขึ้น ซึ่งปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แลัวจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลายจักทรงปลงพระเกศา
    และพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
    สัมพุทธเจ้า พระนามว่าเมตไตรย์ ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียรมีตน
    ส่งไปแล้ว ไม่ช้านัก ก็จักทรงทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดย
    ชอบ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่
     
  6. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์
    ปธานเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งการตั้งความเพียร

    ที่ชื่อว่า ปธานเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งการตั้งความเพียร
    ได้แก่ พระพุทธเจ้าคือพระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระสุมนะ พระอโนมทัสสี.พระสุชาตะ พระสิทธัตถะและพระกกุสันธะ ทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน.

    พระพุทธเจ้าคือพระมังคละ พระสุเมธะ พระติสสะและพระสิขี ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน.

    พระเรวตพุทธเจ้า ๗ เดือน.
    พระโสภิตพุทธเจ้า ๔ เดือน.
    พระพุทธเจ้าคือ พระปทุมะ พระอัตถทัสสีและพระวิปัสสี ครึ่งเดือน.
    พระพุทธเจ้าคือ พระนารทะ พระปทุมุตตระ พระธัมมทัสสีและพระกัสสปะ ๗ วัน.
    พระพุทธเจ้าคือ พระปิยทัสสี พระปุสสะ พระเวสสภู และพระโกนาคมนะ ๖ เดือน.
    พระพุทธเจ้าของเราทรงบำเพ็ญเพียร ๖ ปี.
    นี้ชื่อว่า ปธานเวมัตตะ.

    รัศมีเวมัตตะ

    ที่ชื่อว่ารัศมีเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งพระรัศมี ได้ยินว่า พระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปในหมื่นโลกธาตุ.

    พระปทุมุตตรพุทธเจ้า แผ่ไป ๑๒ โยชน์.
    พระวิปัสสีพุทธเจ้า แผ่ไป ๗ โยชน์.
    พระสิขีพุทธเจ้า แผ่ไป ๓ โยชน์.
    พระกกุสันธพุทธเจ้า แผ่ไป ๑๐ โยชน์.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ประมาณหนึ่งวาโดยรอบ.
    พระพุทธเจ้านอกนั้น ไม่แน่นอน.
    นี้ชื่อว่า รัศมีเวมัตตะ.

    [​IMG]


    ยานเวมัตตะ

    ที่ชื่อว่ายานเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งพระยาน ได้แก่ พระพุทธเจ้าบางพระองค์ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง บางพระองค์ด้วยยานคือม้า บางพระองค์ด้วยยานคือรถ ดำเนินด้วยพระบาท ปราสาทและวอเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.

    พระพุทธเจ้าคือพระทีปังกร พระสุมนะ พระสุเมธะ
    พระปุสสะ พระสิขิ และพระโกนาคมนะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง
    พระโกณฑัญญะ พระเรวตะ พระปทุมะ พระปิยทัสสี พระวิปัสสีและพระกกุสันธะ ด้วยยานคือรถ.
    พระมังคละ พระสุชาตะ พระอัตถทัสสี พระติสสะ และพระโคตมะด้วยยานคือม้า.
    พระอโนมทัสสี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู ด้วยยานคือวอ.
    พระนารทะเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยพระบาท.
    พระโสภิตะ พระปทุมุตตระ พระธัมมทัสสีและพระกัสสปะออกอภิเนษกรมณ์ด้วยปราสาท.
    นี้ชื่อว่า ยานเวมัตตะ.​

    โพธิรุกขเวมัตตะ

    ที่ชื่อว่า โพธิรุกขเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งโพธิพฤกษ์ ได้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร มีโพธิพฤกษ์ ชื่อต้นกปิตนะ มะขวิด.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าโกณฑัญญะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นสาลกัลยาณี ขานาง
    พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนาคะ กากะทิง.
    พระอโนมทัสสี มีโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอัชชุนะ กุ่ม.
    พระปทุมะและพระนารทะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นมหาโสณะ อ้อยช้างใหญ่.
    พระปทุมุตตระ มีโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสลละหรือสาละ.
    พระสุเมธะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นนีปะ กะทุ่ม.
    พระสุชาตะ มีโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นเวฬุ ไผ่.
    พระปิยทัสสี มีโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นกกุธะ กุ่ม.
    พระอัตถทัสสี โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นจัมปกะ จำปา.
    พระธัมมทัสสี โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นรัตตกุรวกะ๑ ซ้องแมวแดง.
    พระสิทธัตถะ. โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นกณิการะ กรรณิการ์.
    พระติสสะ. โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอสนะ ประดู่.
    พระปุสสะ โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอาลมกะ มะขามป้อม.
    พระวิปัสสี โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นปาฏลี แคฝอย.
    พระสิขี โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นปุณฑรีกะ กุ่มบก.
    พระเวสสภู โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสาละ.
    พระกกุสันธะ โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสรีสะ ซึก.
    พระโกนาคมนะ โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอุทุมพระ มะเดื่อ.
    พระกัสสปะ โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นนิโครธ ไทร.
    พระโคตมะ โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอัสสัตถะ โพธิใบ.
    นี้ชื่อว่า โพธิเวมัตตะ.

    ที่ชื่อว่า บัลลังกเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งบัลลังก์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า คือ พระทีปังกร พระเรวตะ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสีและพระวิปัสสี มีบัลลังก์ ๕๓ ศอก. พระโกณฑัญญะ พระมังคละ พระนารทะและพระสุเมธะ มีบัลลังก์ ๕๗ ศอก. พระสุมนะ มีบัลลังก์ ๖๐ ศอก.

    พระโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระปทุมุตตระ และพระปุสสะมีบัลลังค์ ๓๘ ศอก.
    พระสุชาตะ มีบัลลังก์ ๓๒ ศอก.
    พระสิทธัตถะ พระติสสะ และพระเวสสภู มีบัลลังก์ ๔๐ ศอก.
    พระสิขี มีบัลลังก์ ๓๒ ศอก.
    พระกกุสันธะ มีบัลลังก์ ๒๖ ศอก.
    พระโกนาคมนะ มีบัลลังก์ ๒๐ ศอก.
    พระกัสสปะ มีบัลลังก์ ๑๕ ศอก.
    พระโคตมะ มีบัลลังก์ ๑๔ ศอก.
    นี้ชื่อว่า บัลลังกเวมัตตะ
    เหล่านี้ชื่อว่า เวมัตตะ ๘.


    เรื่องสถานที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงละ

    ก็พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไม่ทรงละสถานที่ ๔ แห่ง. จริงอยู่ โพธิบัลลังก์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละ เป็นสถานที่แห่งเดียวกันนั่นเอง,ไม่ทรงละการประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนะมิคทายวัน, ไม่ทรงละสถานที่เหยียบพระบาทครั้งแรก ใกล้ประตูสังกัสสนคร ครั้งเสด็จลงจากเทวโลก,ไม่ทรงละสถานที่วางเท้าเคียง ๔ เท้าแห่งพระคันธกุฎีในพระวิหารเชตวัน.พระวิหารเล็กก็มี ใหญ่ก็มี ทั้งพระวิหารก็ไม่ละ ทั้งพระนครก็ไม่ละ.

    เรื่องการกำหนดสหชาตและกำหนดนักษัตร์

    ยังมีอีกข้อหนึ่ง ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย แสดงกำหนดสหชาต และกำหนดนักษัตร ของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเท่านั้น. สิ่งที่เกิดร่วมกันกับพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ของเรามี ๗ เหล่านี้ คือ พระมารดาพระราหุล ๑พระอานันทเถระ ๑ พระฉันนะ ๑ พระยาม้ากัณฐกะ ๑ หม้อขุมทรัพย์ ๑ พระมหาโพธิ ๑ พระกาฬุทายี ๑ นี้ชื่อว่ากำหนดสหชาต.

    โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์ในเดือนอุตตราสาธ พระมหาบุรุษ ลงสู่พระครรภ์พระชนนี เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงประกาศพระธรรมจักรทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์, โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์ในเดือนวิสาขะ ประสูติตรัสรู้ และปรินิพพาน, โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์เดือนมาฆะ พระองค์ทรงประชุมพระสาวก และทรงปลงอายุสังขาร, โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์เดือนอัสสยุชะเสด็จลงจากเทวโลก นี้ชื่อว่า กำหนดนักษัตร. <!--MsgFile=66-->

    <!--MsgFile=65-->
    [​IMG]


    <!--MsgFile=64-->เรื่องธรรมดาของพระพุทธเจ้า

    บัดนี้ เราจะประกาศธรรมดาทั่วไปของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มี ๓๐ ถ้วน คือ

    ๑. พระโพธิสัตว์ผู้มีภพสุดท้าย มีสัมปชัญญะรู้ตัว ลงสู่พระครรภ์ของพระชนนี
    ๒. พระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ของพระชนนีหันพระพักตร์หันพระพักตร์ออกไปภายนอก
    ๓. พระชนนีของพระโพธิสัตว์ยืนประสูติ
    ๔. พระโพธิสัตว์ออกจากพระครรภ์พระชนนีในป่าเท่านั้น
    ๕. พระโพธิสัตว์วางพระบาทลงบนแผ่นทอง หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ย่างพระบาท ๗ ก้าว เสด็จไปตรวจดู ๔ ทิศแล้วเปล่งสีหนาท
    ๖. พระมหาสัตว์ พอพระโอรสสมภพ ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ แล้วออกมหาภิเนษกรมณ์
    ๗. พระมหาสัตว์ ทรงถือผ้าธงชัยแห่งพระอรหันต์ ทรงผนวช ทรงบำเพ็ญเพียรกำหนดอย่างต่ำที่สุด ๗ วัน
    ๘. เสวยข้าวมธุปายาส ในวันที่ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ
    ๙. ประทับนั่งเหนือสันถัตหญ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
    ๑๐.ทรงบริกรรมอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน
    ๑๑. ทรงกำจัดกองกำลังของมาร
    ๑๒. ณ โพธิบัลลังก์นั่นเอง ทรงได้คุณมีอสาธารณะญาณ ตั้งแต่วิชชา ๓ เป็นต้นไปเป็นอาทิ
    ๑๓. ทรงยับยั้งใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์
    ๑๔. ท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาเพื่อให้ทรงแสดงธรรม
    ๑๕. ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนะ มิคทายวัน
    ๑๖. ในวันมาฆบูรณมี ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในที่ประชุมสาวกประกอบด้วยองค์ ๔
    ๑๗. ประทับอยู่ประจำ ณ ที่พระวิหารเชตวัน
    ๑๘. ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ใกล้ประตูกรุงสาวัตถี
    ๑๙. ทรงแสดงพระอภิธรรม ภพดาวดึงส์
    ๒๐. เสด็จลงจากเทวโลก ใกล้ประตูสังกัสสนคร
    ๒๑. ทรงเข้าผลสมาบัติต่อเนื่องกัน
    ๒๒. ทรงตรวจดูเวไนยชน ๒ วาระ
    ๒๓. เมื่อเรื่องเกิดขึ้น จึงทรงบัญญัติสิกขาบท
    ๒๔. เมื่อเหตุต้นเรื่องเกิดขึ้น จึงตรัสชาดก
    ๒๕. ตรัสพุทธวงศ์ในสมาคมพระประยูรญาติ
    ๒๖. ทรงทำปฏิสันถารกับภิกษุอาคันตุกะ
    ๒๗. พวกภิกษุจำพรรษาแล้วถูกนิมนต์ ไม่ทูลบอกลาก่อน ไปไม่ได้
    ๒๘. ทรงทำกิจก่อนและหลังเสวย ยามต้น ยามกลางและยามสุดท้ายทุก ๆ วัน
    ๒๙. เสวยรสมังสะ ในวันปรินิพพาน
    ๓๐. ทรงเข้าสมาบัติยี่สิบสี่แสนโกฏิสมาบัติแล้วจึงปรินิพพาน

    ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มี ๓๐ ถ้วนดังกล่าวมาฉะนี้. <!--MsgFile=67-->

    เรื่องอนันตรายิกธรรม

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีอนันตรายิกธรรม (คือ ไม่มีอันตรายเป็นธรรมดา) ๔ คือ

    ๑. ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่ปัจจัย๔ ที่มีเฉพาะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ๒. ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่พระชนมายุของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ข้อที่บุคคลพึงใช้ความพยายามปลงพระชนม์ชีพพระตถาคตไม่เป็นฐานะ ไม่เป็นโอกาส [คือเป็นไปไม่ได้]
    ๓. ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการและแก่พระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ
    ๔. ใคร ๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่พระพุทธรังสีได้

    เหล่านี้ ชื่อว่า อนันตรายิกธรรม ๔. <!--MsgFile=68-->

    (f) (f) (f)
     
  7. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    โมทนาครับ กำลังคิดจะรวบรวมข้อมูลอยู่พอดี....ทำเป็นหนังสือนะ นิคเอามาลงก่อนเสียนี่ ใจตรงกันหลายเรื่องแล้วนะ ขอเวลาสักช่วงละกัน หนังสือเล่มก่อนหน้านี้ยังไม่แล้วเสร็จ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2007
  8. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,254
    อนุโมทนาด้วยครับ ...

    ทางมหายานเองก็มีกล่าวถึงพระพุทธเจ้ามีพระนามที่แปลก ๆ ไม่คุ้นหูหลายพระองค์มาก ทั้งพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ในโลกชมพูทวีปในปัจจุบันนี้ และยังมีที่ปรากฏในโลกอื่น ๆ ในทศทิศ รวมอดีต ปัจจุบัน และที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตอีกไม่มีประมาณ

    แม้พระมหากรุณาของพระองค์จะไม่มีประมาณในการรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากกองทุกข์ ตรัสรู้มามากน้อยเท่าใดมิอาจคาดคำนวณได้ แต่เหล่าสัตว์ก็ยังมีอวิชชาไม่หมดสิ้น หวังเพียงเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธในเหล่าสัตว์จะเติบโตเบ่งบานในซักวัน
     
  9. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    <CENTER>จากโพธิสัตว์ สู่ อนุตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    </CENTER>

    ผู้ตั้งจิตบำเพ็ญ อีกพวกหนึ่ง ที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ว่า จะปฏิบัติพากเพียรเอา "อนุตรอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า" ทีเดียว ผู้นี้จึงเรียกว่า "พระโพธิสัตว์"
    ก็มี ๒ ประเภท คือ "พระอนิยตโพธิสัตว์" กับ "พระนิยตโพธิสัตว์"
    "พระอนิยตโพธิสัตว์" คือ ผู้ตั้งจิตปรารถนาจะเป็น "พระโพธิสัตว์" ที่จะไต่เต้าขึ้นเป็น "พระพุทธเจ้า" และ ตั้งใจ บำเพ็ญตน ตามศีล -ตามจริยาของ โลกุตรภูมิ
    แต่ยังไม่เที่ยงแท้ว่า "จะเป็นผู้ได้ข้ามภูมิไปถึง "พุทธภูมิ" หรือเปล่า ?"
    อาจอยู่แค่ "โลกียภูมิ" นี้ หรือ อยู่แค่ "โลกุตรภูมิ" ก็ได้ หรือ อาจจะขึ้นถึงเขต "พุทธภูมิ" มีภูมิเลยขั้น "อรหันต์" สำหรับตนจบแล้วก็ได้ เป็นแต่ว่า "ยังไม่แน่นอน ยังไม่มีภูมิถึงขั้นเที่ยงแท้พอที่จะได้เป็น 'พระพุทธเจ้า' เท่านั้น"
    ดังนั้น "พระอนิยตโพธิสัตว์" ที่เลิกบำเพ็ญบางรูปที่ได้แต่ละขั้นบ้าง ไม่ได้สักขั้นบ้าง จึงอาจจะเป็น ผู้ที่มี จิตต่ำกว่า "ปุถุชน" ธรรมดาบางคนก็ได้ อาจจะสูงกว่าสมณะบางองค์ก็ได้เช่นกัน แต่ก็คือ ผู้ยังไม่เที่ยงแท้ ต่อ "พุทธภูมิ"
    "พระนิยตโพธิสัตว์" คือ ผู้มี "จิตบรรลุ" แล้ว เป็น "พระโพธิสัตว์" แท้ มี "อรหันตคุณ" สั่งสมไปตามลำดับๆ เที่ยงแท้ ต่อการได้สู่ "พุทธภูมิ" การดำเนิน หรือเป็นไป ก็คล้ายกับการจะไปเป็น "พระอริยเจ้า" ที่หมาย จะบรรลุ "พระอรหันต์" เช่นกัน โดยนัยเดียวกัน เป็นแต่ว่า "ภูมิธรรมมีจุดสูงสุด คนละระดับขั้น"
    การบำเพ็ญของ "พระนิยตโพธิสัตว์" นั้น จะต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกนานับชาติ วัฏฏะลึกซึ้งยิ่งใหญ่มาก มาเกิด เป็นมนุษย์อีกบ้าง เกิดเป็นเทพบ้าง พรหมบ้าง และ ซับซ้อนกลับไปอยู่ในรูปของสัตว์เดรัจฉานบ้าง (แต่ภูมิธรรม ของท่านไม่ได้ต่ำเช่นเดรัจฉาน) ตามคุณธรรม และ ตามวาระ
    เมื่อมาเกิดเป็น "มนุษย์" อีกนั้น ท่านก็จะไม่ติดหนักกับ "โลกียะ" เหมือนคนธรรมดามากนัก คือ "ไม่มัวเมา หรือ ไม่ติดอยู่นาน เป็นแต่เพียง อยู่เพื่อสำรอกกรรม"
    ถ้าท่านมี "ภูมิธรรม" สูงเลยเขตความเป็น "อรหันต์" ไปมากๆ แล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปเป็นลูกศิษย์ ของใคร เพื่อจะเรียนหาความบรรลุ "อรหันต์"
    ท่านบรรลุของท่านเองได้แล้ว ท่านตรัสรู้สิ้นทุกข์ของท่านเองได้ โดยไม่ต้องเรียนรู้ธรรมจากอาจารย์ องค์ใดอีก เพราะในอดีตท่านมี "ภูมิธรรม" สูง เลยการทำตัวให้พ้นทุกข์อริยสัจ มาได้แล้ว ท่านมีบารมีจิต สั่งสมมาแล้วจริง (กัมมทายาท)
    ท่านจึง "บำเพ็ญตนพ้นทุกข์อริยสัจ" ได้เอง และ พร้อมกันนั้น ก็บำเพ็ญบารมีอื่น อันเป็นบารมีที่ "พระโพธิสัตว์" จะต้องสั่งสมต่อไปด้วย บำเพ็ญบารมีหนึ่ง จนสำเร็จบารมีนั้น ก็ได้บารมีนั้น ผู้นี้แหละคือ "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" หรือ "พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธ" บำเพ็ญชาติหนึ่งไปเรื่อยๆ จนตรัสรู้ได้ขั้นหนึ่ง ก็ได้เป็น "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" ไปครั้งหนึ่ง
    อย่าไปแปลคำว่า "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" แต่เพียงว่า "ผู้ตรัสรู้เองไม่อาศัยธรรมะของผู้ใดเท่านั้น" ต้องแปลว่า "ผู้ยังตั้งศาสนาพุทธเองไม่ได้ด้วย" ซึ่งมีอยู่มาก
    หรือ "ตั้งศาสนาเองได้" ก็มีแต่ "ศาสนา" นั้น หรือ "ลัทธิ" นั้น ยังไม่ใช่ หรือ ยังไม่เทียบเท่า "พุทธศาสนา" คือ "ยังไม่ถึงแก่นแท้" ยังโยนความไม่รู้ไปให้สิ่งลึกลับ ซึ่งส่วนมากก็สมมุติเป็น"พระเจ้า" หรือ"เทพเจ้า"ต่างๆ อยู่
    และที่ว่า "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" รู้ได้แต่ตัวเอง สอนคนอื่นไม่ได้นั้น เป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" แบบฤๅษี หรือ ของลัทธิอื่นๆ ที่ไม่สมบูรณ์ด้วย "สัมมาอริยมรรค" ย่อมสอนคนอื่นไม่ได้ ก็มีอยู่จริง นั่น ไม่ใช่ "พระปัจเจก" ของ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" ไม่ใช่ "พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธ"
    ซึ่งต่างกันกับ "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" หรือ "พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธ" ที่มีภูมิถึงขั้นเป็น "พระนิยตโพธิสัตว์" แท้ ในโอกาสข้างหน้า
    ท่านผู้นี้จะต้องมาเกิด "ตรัสรู้" เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แน่นอน และอีกอย่างก็คือ ท่านยังเป็นผู้สั่งสม "บารมีธรรม" ต่ออยู่อีกด้วย
    "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" ก็จะเวียนอุบัติ-เวียนนิพพาน เพื่อบำเพ็ญบารมีอยู่อีกหลายชาติ แต่แท้จริง ท่านก็เป็น "พุทธชาติ" เวียนเกิดมาเพื่อบำเพ็ญ "โพธิกิจ" ทุกชาติ ท่านสามารถ "บรรลุพุทธธรรม" ได้ด้วย ตนเองจริง จึงชื่อว่า "พระปัจเจก" (แม้ต้องไปเป็นลูกศิษย์ใคร ท่านก็ไม่ได้ "บรรลุพุทธธรรม" กับ อาจารย์ ผู้นั้น)
    และหากชาติใด ท่านได้เผยแพร่ธรรม ถึงขั้น "ตั้งศาสนา" ได้ ศาสนานั้นก็เป็นไปเพื่อ "ความดีงาม" เพื่อ "ความสงบสุข" และ เพื่อ "ความแท้จริง" ในแนวเดียวกัน เป็นแต่ว่า "ยังไม่ละเอียดลออเท่า "พุทธศาสนา" เท่านั้น" และ "ศาสนา" นั้น ก็เรียกไปตามกาลเทศะ ดังที่มีอยู่แล้ว ในโลก ขณะนี้
    เมื่อมาเกิดบำเพ็ญธรรมแห่ง "พระนิยตโพธิสัตว์" นั้น จะเห็นได้ว่า "ท่านจะต้องใช้ "กรรม" ต่างๆ มากมาย" เช่น "ต้องสละทรัพย์สมบัติชาติหนึ่ง ต้องสละลูกตาชาติหนึ่ง สละชีวิตทั้งชีวิตชาติหนึ่ง หรือ บำเพ็ญธรรม อันมนุษย์ธรรมดา จะกระทำได้ยากยิ่งต่างๆ นานา" จนไม่มีอะไรติดข้องเป็นการ "ผูกพันกรรม" จนเหลือแต่ "ความหมดจด" ทุกประการ !
    และพร้อมๆ กันนั้น ท่านก็ย่อมได้เรียนรู้ "จิตขั้นละเอียด" หรือ เรียนรู้พลังงาน หรือ อณูขั้นละเอียด ลงไปอีก เรื่อยๆ ตามลำดับ จนหมด "อวาสนา" อย่างเต็มครบ เป็น "วาสนาบารมี" ! "บริสุทธิ์พร้อม บริบูรณ์พร้อม" นั่นคือ "สำเร็จพระโพธิญาณ"
    ก็เป็นอันถึงซึ่ง "อนุตรอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ" พร้อมที่จะเกิดอีกครั้งสุดท้าย คือ เกิดมาเป็น "มนุษย์" นี่แหละ และก็เป็น "พระอนุตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    ซึ่งก็เป็นชื่อ เป็นตำแหน่งของ "พระผู้มีสัพพัญญุตญาณ" ...ฯ
    เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ก็ให้เข้าใจด้วยว่า "ภาษาศัพท์ที่เรียกกันว่า ไม่เกิดอีกนั้น" ต้องเข้าใจให้สำคัญ !
    เพราะ "พระอรหันต์" ที่เป็น "พระโพธิสัตว์" ท่านยังต้องเกิดอยู่ดังนี้ จนกว่าจะบำเพ็ญบารมีครบ ๑๐ ทัศ หรือ ๓๐ ทัศ อย่างละเอียด จึงจะครบ "บารมีธรรม" สำหรับการเป็น "พระพุทธเจ้า" ได้ตรัสรู้ "สัพพัญญุตญาณ" เป็นผู้รู้รอบแจ้งสิ้นทุกโลก ทุกภูมิ
    ถ้าไม่มีผู้ตั้งจิตปรารถนาเป็น "พระพุทธเจ้า" ก็ย่อมจะไม่มี "พระพุทธเจ้า" อุบัติกันได้ต่อๆ ไปอีก "พระพุทธเจ้า" ก็จะสูญสิ้นไปจากพิภพภูมิ หรือ สากล จักรวาลใดๆ เท่านั้นเอง
    ด้วยเหตุว่า "มีผู้ปรารถนาจิตไว้ และ มุ่งมั่นจะเป็น "พระพุทธเจ้า" อยู่"
    "พระพุทธเจ้า" จึงจะเกิดได้ มีได้ !!!
     
  10. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    "อุปมาว่าผู้ใดสามารถที่จะใช้กำลังแขนของตนว่ายข้ามห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ที่เป็นน้ำผืนเดียวกันหมดแล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้"
    <!-- / sig -->
     
  11. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    มหาวิโลกนะ

    มหาวิโลกนะ "การตรวจดูอันยิ่งใหญ่" ข้อตรวจสอบพิจารณาที่สำคัญ หมายถึง สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาตรวจดู ก่อนจะตัดสินพระทัยประทานปฏิญาณรับอาราธนาของเทพยดาทั้งหลาย ว่าจะจุติจากดุสิตเทวโลก ไปบังเกิดในพระชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มี ๕ อย่าง (นิยมเรียกว่า ปัญจมหาวิโลกนะ) คือ

    ๑. กาล คือ อายุกาลของมนุษย์จะต้องอยู่ระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๑ แสนปี (ไม่สั้นกว่าร้อยปี ไม่ยาวเกินแสนปี)

    ๒. ทีปะ คือ ทวีป จะอุบัติแต่ในชมพูทวีป

    ๓. เทสะ คือ ประเทศ หมายถึงดินแดน จะอุบัติในมัธยมประเทศและทรงกำหนดเมืองกบิลพัสดุ์เป็นที่พึงเกิด

    ๔. กุละ คือ ตระกูล จะอุบัติเฉพาะในขัตติยสกุล หรือในพราหมณสกุล และทรงกำหนดว่า เวลานั้นโลกสมมติว่าตระกูลกษัตริย์ประเสริฐกว่าตระกูลพราหมณ์ จึงจะอุบัติในตระกูลกษัตริย์ โดยทรงเลือกพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพุทธบิดา

    ๕. ชเนตติอายุปริจเฉท คือ มารดา และกำหนดอายุของมารดา มารดาจะต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ ไม่โลเลในบุรุษ ไม่เป็นนักดื่มสุรา ได้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัลป์ ทรงกำหนดได้พระนางมหามายา และทรงทราบว่าพระนางจะมีพระชนม์อยู่เกิน ๑๐ เดือน ไปได้ ๗ วัน

    หมายเหตุ : พุทธบิดาและพุทธมารดาในข้อ ๔ และข้อ ๕ หมายถึงพุทธบิดาและพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ถ้าเป็นของพระพุทธเจ้าองค์อื่น จะมีชื่อและตระกูลต่างกัน

    (สรุปตามแนวอรรถกถาชาดก)

    (จากหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) หน้า ๒๒๓ - ๒๒๔)

    -----------------------

    มหาสุบิน

    มหาสุบิน ความฝันอันยิ่งใหญ่ ความฝันครั้งสำคัญ หมายถึง ความฝัน ๕ เรื่อง (ปัญจมหาสุบิน) ของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระอรรถกถาจารย์ระบุว่า ทรงพระสุบินในคืนก่อนตรัสรู้ คือ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖) ดังตรัสไว้ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต พระสุตตันตปิฏก ใจความว่า

    ๑. เสด็จบรรทม โดยมีมหาปฐพีนี้เป็นพระแท่นไสยาสน์ ขุนเขาหิมวันต์เป็นเขนย พระหัตถ์ซ้ายเหยียดหยั่งลงในมหาสมุทรด้านปัจฉิมทิศ พระบาททั้งสองเหยียดหยั่งลงในมหาสมุทรด้านทักษิณ (ข้อนี้เป็นบุพนิมิตหมายถึง การได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่กว่า)

    ๒. มีหญ้าคางอกขึ้นจากนาภีของพระองค์สูงขึ้นจดท้องฟ้า (หมายถึง การที่ได้ตรัสรู้อารยอัฏฏาคิกมรรค แล้วทรงประกาศออกไปถึงมวลมนุษย์และหมูเทพ)

    ๓. หมู่หนอนตัวขาวศีรษะดำพากันไต่ขึ้นมาจากพระบาทคลุมเต็มถึงชานุมณฑล (หมายถึง การที่คนนุ่งขาวชาวคฤหัสถ์มากมายพากันถึงตถาคตเป็นสรณะตลอดชีวิต)

    ๔. นกทั้งหลายสี่จำพวกมีสีต่างๆ กัน บินมาแต่ทิศทั้งสี่ แล้วมาหมอบจับที่เบื้องพระบาท กลับกลายเป็นสีขาวไปหมดสิ้น (หมายถึง การที่ชนทั้งสี่วรรณะมาออกบวชรวมกันในพระธรรมวินัย และได้ประจักษ์แจ้งวิมุตติธรรม)

    ๕. เสด็จดำเนินไปมาบนภูเขาคูถลูกใหญ่ แต่ไม่ทรงแปดเปื้อนด้วยคูถ (หมายถึง การทรงเจริญลาภในปัจจัยสี่พรั่งพร้อม แต่ไม่ทรงลุ่มหลง ติดพัน ทรงบริโภคด้วยพระปัญญาที่ดำรงจิตปลอดโปร่งอิสระ)

    (จากหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) หน้า ๒๒๕ - ๒๒๖)


    พุทธกิจประจำวัน ๕

    พุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเป็นประจำในแต่ละวันมี ๕ อย่างคือ

    ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต

    ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม

    ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำประทานโอวาทแต่เหล่าภิกษุ

    ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปณฺหนํ เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา

    ๕. ปจฺจุสฺเสว คเตกาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ จวนสว่างทรงตรวจพิจาณาสัตว์ที่สามารถ และที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรม อันควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่

    สรุปท้ายว่า เอเต ปญฺจวิเธ กิจฺเจ วิโสเธติ มุนิปุงฺคโว พระพุทธเจ้าองค์พระมุนีผู้ประเสริฐทรงยังกิจ ๕ ประการนี้ให้หมดจด

    (จากหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) หน้า ๑๘๙ - ๑๙๐)


    พุทธจริยา

    พระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า การบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้ามี ๓ คือ

    ๑. โลกัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก

    ๒. ญาตัตถจิรยา การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ

    ๓. พุทธัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า

    (จากหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) หน้า ๑๙๑)

    คำอธิบายเพิ่มเติม

    โลกัตถจริยา พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่โลก ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก คือ ทรงอาศัยพระมหากรุณา เสด็จไปประกาศพระศาสนา เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนในถิ่นฐานแว่นแคว้นต่างๆ เป็นอันมาก และประดิษฐานพระศาสนาไว้ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชุมชนภายหลังตลอดกาลนาน (หน้า ๒๖๐)

    ญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่พระญาติ ทรงประพฤติประโยชน์แก่พระญาติ เช่น ทรงอนุญาตให้พระญาติที่เป็นเดียรถีย์เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๔ เดือนก่อน เหมือนเดียรถีย์อื่น และเสด็จไปห้ามพระญาติที่วิวาทกันด้วยเรื่องน้ำ เป็นต้น (หน้า ๖๒)

    พุทธัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลก โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า เช่น ทรงแสดงธรรมแก่เวไนยสัตว์ และบัญญัติวินัยขึ้นบริหารหมู่คณะ ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน มาตราบเท่าทุกวันนี้ (หน้า ๑๙๔)


    พุทธปรินิพาน ๓

    การปรินิพานของพระพุทธเจ้าอาจนับว่ามี ๓ อย่างคือ

    ๑. กิเลสปรินิพาน หมายถึง การดับสิ้นแห่งกิเลสในคราวที่ทรงตรัสรู้ ณ โพธิบัลลังก์

    ๒. ขันธปรินิพพาน หมายถึง การดับสิ้นแห่งขันธ์ในคราวที่ทรงปรินิพพานที่เมืองกุสินารา

    ๓. ธาตุปรินิพพาน หมายถึง การดับสิ้นแห่งพระธาตุทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะมีขึ้นในคราวที่ ศาสนาสูญสิ้น

    พระธาตุทั้งหลายของพระพุทธเจ้าที่อยู่ในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะในนาคพิภพ หรือบนพรหมโลก เป็นต้น จะมารวมกันและไปสู่โพธิบัลลังก์ เมื่อไปถึง ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสีออกมา แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ

    เทวดาทั้งหลายจักประชุมกันแล้วกล่าวว่า "นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้" จากนั้น เตโชธาตุในบรรดาพระธาตุเหล่านั้น ก็จักลุกโพลงเผาพระธาตุจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด นับแต่นี้ไป ชื่อว่า "ศาสนาได้อันตรธานแล้ว"
     
  12. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    ๏ พระฉัพพรรณรังสีที่แผ่จากพระวรกายพระพุทธเจ้า

    ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี ๖ ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระสรีรกายของพระพุทธเจ้า คือ

    ๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน
    ๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง
    ๓. โลหิตตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน
    ๕. มัญเชฏฐะ สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่
    ๖. ปภัสสระ เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก

    สีทั้ง ๖ นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสีๆ ดังที่แยกไว้นี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกันในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า ไว้ดังนี้

    "ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกาย อันว่านิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชันมิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า และพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีหรดารทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่างๆ พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง พระรัศมีมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ พระรัศมีหงสสิบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส พระรัศมีประภัสสรประภาครุนาดุจสีแก้วพลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพระฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการแผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายยินทรีย์ กำหนดที่ ๑๒ ศอก โดยประมาณ อันว่าศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล"

    รัศมีเฉกเช่นฉัพพรรณรังสีนี้มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น นอกจากนี้ก็เกิดแต่ธรรมชาติเช่นสีรุ้งที่เรียกกันเป็นสามัญว่ารุ้งกินน้ำ หรือ พระจันทร์ พระอาทิตย์ทรงกลด ที่ออกจากเทวดานั้นจะเห็นได้ดังที่พรรณนาไว้ในพระสูตรต่างๆ ในเวลาที่เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนี้

    มีเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีสว่างจ้าเข้ามายังพระเชตวัน ทำพระเชตวันให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เข้าเผ้าพระทุทธเจ้าที่ประทับความสว่างของรัศมีนั้น ไม่เหมือนแสงเดือนแสงตะวัน หรือไม่เหมือนแสงไฟ เป็นแสงสว่างที่เสมอกันทั้งหมด และเป็นแสงสว่างที่ไม่มีเงาเหมือนแสงอื่นเป็นแสงที่แผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณ

    มีข้อความในปฐมสมโพธกถา ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมจักรปริวรรตว่าดังนี้

    "ฝ่ายอุปกาชีวเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล ระหว่างคยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กับมหาโพธิญาณ ติดต่อกัน แลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬารไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพรรณรังสีโสณิวิลาส ปรากฏโดยทิวาทัศนาการทั้งพสุธารแลอากาศโอภาสด้วยพระรัศมีมีพรรณแห่งละ ๖ อย่าง ทั่วทั้งทิศล่างและทิศบน มาสัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้พบเห็นเป็นเช่นนี้มาแต่ก่อน ถ้าจะเป็นเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไม่ร้อนกระวนกระวายแม้จะเป็นน้ำ ไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มชื้นเย็นนี่จะเป็นสิ่งอันใดยิ่งสงสัยสนเท่ห์จิต จึงเพ่งพิศไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นองค์พระผู้ทรงสวัสดิ์ภาคย์เสด็จบทจรมา รุ่งเรืองด้วยพระสิดิฉันธมหาหว่างติสสุระ ลักษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบื้องบน พระสุริยก็ช่วงโชติด้วยพระเกตุมาลา ครุนาดุจทองทั้งแท่งประดับด้วยฉัพพรรณรังสี รังสีแสงไพโรจน์จำรัส"

    หมวดที่ ๒ - พระพุทธเจ้า และพระนาม

    ๏ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ อุบัติในภัททกัปนี้


    คำว่า "กัป" หมายถึง ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง คือกำหนดอายุของโลก ท่านให้เข้าใจด้วยอุปามาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ ๑ โยชน์ (๔๐๐ เส้น หรือประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) ทุก ๑๐๐ ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวกว่านั้น

    "กัป" ปัจจุบันนี้เรียกว่า "ภัททกัป" หรือ "ภัทรกัป" แปลว่า กัปเจริญ เพราะในภัททกัปจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์ คือ

    ๑. พระกกุสันธะ
    ๒. พระโกนาคมนะ
    ๓. พระกัสสปะ
    ๔. พระโคดม (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)
    ๕. พระศรีอริยเมตไตรย

    ในภัททกัปนี้จักมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่ง พระองค์คือ "พระศรีอริยเมตไตรย"
    บทนมัสการว่า "นโม พุทธาย" แปลตามศัพท์ว่า "นอบน้อมแต่พระพุทธเจ้า"เป็นคำ กลางๆ แต่ก็นับถือกันว่าเป็นบทไหว้พระพุทธเจ้า ๕ ประองค์ น่าจะเพราะนับได้ ๕ อักษร และพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นั้น ก็หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งได้อุบัติแล้วและจักอุบัติในภัททกัปนี้

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8888.jpg
      8888.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.2 KB
      เปิดดู:
      15,018
    • Audio.wma
      ขนาดไฟล์:
      577.7 KB
      เปิดดู:
      141
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2007
  13. pataster

    pataster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +806
    สงสัยครับ แล้วสมเด็จองค์ปฐม ของหลวงพ่อฤาษี เป็นองค์ที่แรกของโลกนี่ย้อนขึ้นไปอีกเยอะมั๊ยครับ
     
  14. uyutth

    uyutth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +515
    สาธุ อนุโมทนา ครับ

    นิพานะ ปัจจะโยโหตุ
     
  15. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <CENTER>
    [​IMG]
    [SIZE=+3]พระพุทธเจ้าในอดีต ๒๗ พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+1]( นับแต่กัปซึ่งพระโพธิสัตว์เจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ )[/SIZE]</CENTER><CENTER> </CENTER>
     
  16. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <CENTER>[​IMG]
    [SIZE=+3]อดีตพระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์[/SIZE]</CENTER>


    [SIZE=+2]
     
  17. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    [SIZE=+2]
     
  18. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>[SIZE=+2]
     
  19. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>[SIZE=+2]
     
  20. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...