พระอริยเจ้ากับความต่อเนื่องเเต่ละชาติ (กระทู้กำลังใจ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 30 มกราคม 2017.

  1. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ก่อนหน้านี้มีกระทู้ว่า พระโสดาเสื่อมไหม ในวันนั้นผมก็มีความคิดกลางๆว่า ไม่เสื่อมถ้าเข้าถึงเเล้ว
    เเต่ผมก็ยังไม่เข้าว่าการเข้าเป็นอย่างไรกันเเน่ วันเวลาผ่านไปผมเข้าใจมากขึ้น เเละมีประเด็นที่น่าขบคิดเเละเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านดังนี้สั้นๆ

    พระอรหันต์ต้องสะสมบารมีหลายชาติ เเละเรายังคงได้เห็นกันว่าเรื่องประวัติของพระอรหัตน์ตอนเด็กๆยังคงมีการฆ่าสัตว์อยู่ ดังนั้นแปลว่าความเป็นพระโสดาของท่านในตอนนั้นยังไม่สมบูรณ์เเต่จิตเดิมนั้นมีอยู่คือ พระอริยเจ้ามีอยู่ เเต่ท่านหลังได้จากได้อบรมก็เข้าสู่อริยเจ้าได้ง่าย เเละเมื่อรู้ตื่นเเล้วก็ไม่เสื่อมอีก พวกเราๆก็คงเช่นกันครับ สาธุ(ดีดี) ลองสังเกตุดูนะครับว่าการเกิดมันน่าสงสาร มันน่าเสียว น่าเสี่ยงขนาดไหน ก็พอเกิดมาเราต้องดำเนินชีวิตแบบผิดศีลกันบ้างไม่มากก็น้อยเป็นเหยื่อของนรก อย่างไม่รู้ตัว น่าสงสารยิ่ง เเละเสียว ไม่รู้ว่าพลาดกี่ครั้งเเล้ว ดังนั้นข้อนี้เป็นจุดที่จะถีบส่งพวกเราไปสู้พระอริยเจ้า ปลายทางให้จงเร็ว ครับ

     
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ไม่เสื่อมครับ เป็นสภาวะธรรมหรือคุณภาพของจิตที่ยกระดับไปแล้ว

    และท่านไม่อาจผิดศีล ๕ ได้แล้วแม้เกิดใหม่ เพราะเป็นคุณภาพของจิตที่สืบต่อเนื่องกันไป

    แต่ว่า ที่ว่าพระโสดาบันในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน มาก่อนในยุคพุทธกาลพระองค์นี้ แล้วตอนเด็กผิดศีลข้อปาณา มีด้วยรึครับ ช่วยชี้ชัดว่าอยู่ในบทใดในพระไตรปิฎก

    นอกจากนี้ แสดงความเห็นล่วงหน้าไว้ก่อนนะครับ พระโสดาบันท่านไม่ผิดศีล ๕ แน่นอนครับ แม้สมบูรณ์เป็นการกระทำภายนอก แต่เจตนาภายในผมว่าไม่เกิด ซึ่งภาษากฎหมายก็คือ ขาดองค์ประกอบของความผิด ก็คือ ไม่ผิดกฎหมาย ในที่นี้ แม้จะเห็นด้วยตาเราว่า ท่านฆ่าสัตว์ ก็เชื่อว่า ในบริบทของท่านเอง ย่อมไม่มีเจตนาอย่างแน่นอนครับ
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    พระโสดาบัน....เสื่อมได้ ถ้าหยุดอยู่แค่นั้น...แต่เริ่มต้นใหม่ได้
    พระโสดาบัน....ไม่เสื่อมถ้า พัฒนาไป พระสกทาคามี..และพระโสดาบัน กับพระสกทาคามี เสื่อมได้ ถ้าหยุดอยู่แค่นั้น แต่เริ่มต้นใหม่ได้..
    พระสกทาคามีไม่เสื่อม ถ้าพัฒนาไปถึงพระอนาคามี..ได้.แต่ถ้าไม่ได้ พระอนาคามีผล...ทั้งหมดเสื่อมได้ แต่เริ่มใหม่ได้

    เพราะ อนาคามีผล ..ที่ว่าไม่เสื่อมคือ ปัญญา..ที่ได้จากการฝึกสติปัฏฐาน
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ทีนี้สมมุติว่า
    ได้พระโสดาบันผล อยู่ขั้นพระสกทาคามีมรรค แล้วตาย...เกิดใหม่ ก็เริ่มนับใหม่อยู่ดี..ตายไปอยู่สวรรค์ขั้นไหน
    ได้พระสกทาคามีผล อยู่ขั้นพระอนาคามีมรรค แล้วตาย..เกิดใหม่ ก็เริ่มนับใหม่อยู่ดี?.ตายไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน
    ได้พระอนาคามีผล อยู่ขั้นพระอรหันต์มรรค แล้วตาย...จิตมันไปอยู่ ชั้นไหนล่ะทีนี้ ..มาเกิด ก็เริ่มฝึกใหม่ แต่ ใช้เวลาน้อยกว่า ..พระโสดากับพระสกทาคามี ไง...มันต่างกัน ที่ เวลาที่ใช้ในการเริ่มต้น..ใหม่ ในชาติใหม่ ไง


    คำว่า ญาณ แปลว่า ผล คือ ได้ผลในขั้นนั้นแล้ว แต่ปัญญาของ
    ระดับพระโสดาบันผล
    ระดับพระสกทาคามีผล

    .มันต่างกันมากกับ พระอนาคามีผล..ไงครับ

    ที่ว่าเสื่อม คือ กว่าจะจดจำ ระดับปัญญาเก่าในชาติใหม่ ได้..ต่างหาก
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    หลักการจะเป็นระดับไหนได้
    มันเป็นที่ตัวจิตครับ..
    กิริยาทางกายภายนอก
    ไม่สามารถใช้ชี้วัดอะไรได้ทั้งหมด
    เพราะหลายๆท่าน
    เป็นเพียงแค่กิริยาครับ
    อย่างที่บางคนมองภายนอก
    ว่าเป็นเพียงบริษทแต่ไม่มี
    เจตนานั่นหละครับ..
    มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วครับ
    เรื่องกิริยาภายนอกเป็นเพียงกิริยาเฉยๆ
    ในอดีตก็มีหลายๆท่านที่ภายนอก
    มองว่าขัดๆ จริงๆที่ขัดเพราะว่า
    เราไปยึดเอาหลักการที่เราเข้าใจ
    ว่าจะต้องเป็นอย่างโน้นนี่นั้น
    แล้วเอาไปเปรียบกับกิริยาของท่านเองครับ
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ทีนี้...ตามที่พูดกันมา..ว่า
    ระดับพระโสดาบันผล ละมานะสังโยชน์กิเลสตัณหาได้แค่ไหน
    ระดับพระสกทาคามีผบ ละมานะสังโยชน์กิเลสตีณหาได้แค่ไหน
    ระดับพระอนาคามีผล ละมานะสังโยชน์กิเลสตัณหาได้แค่ไหน

    ต้องเข้าใจว่า...
    ระดับพระโสดาบันผล จิตคนนั้นจะอยู่ที่ระดับพระสกทาคามีมรรค
    ระดับพระสกทาคามีผล จิตคนนั้นจะอยู่ที่ระดับพระอนาคามีมรรค
    ระดับพระอนาคามีผล จิตคนนั้นจะอยู่ที่ระดับ พระอรหันต์มรรค
    ...
    เอาตัวผมเป็น คำตอบจากตัวเอง จากที่เคยฝึกสติปัฏฐานสี่
    มา เรื่อง ฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม

    ผมจะไม่อยากพูดว่า ละมานะสังโยชน์อะไรได้...แต่จะพูดว่า เป็นการเข้าใจความจริงของ กาย เวทนา จิต ...ตามลำดับ
    คือ
    ระดับพระโสดาบันผล...เข้าใจเรื่องของกาย (ผัสสะ อายตนะกาย )รวม เวทนากายด้วย แต่ยังแยกเวทนา กายออกจากเวทนาใจ(ความคิดของใจ) ยังไม่ชัดเจน
    ระดับพระสกทาคามีผล ...เข้าใจกายมาแล้ว ขั้นนี้จะเข้าใจในเรื่องของเวทนาชัดเจน ว่า อันไหนคือ ส่วนของเวทนากาย อันำหนคือส่วนของเวทนาใจ(ความคิดที่ใจปรุง ผมเรียกเวทนาใจหรือเวทนาจิต)

    ระดับพระอนาคามีผล จะเข้าใจเรื่องจิต(ความคิดที่ใจปรุงจริง แยกออกจากจิตอุปทานได้)...ตรงนี้ จะเข้าใจ กาย เวทนา ความคิด ใจ...แยกออกจาก จิตรู้..หรือสติ ได้แล้ว รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ด้วย ปัญญา...ที่ฝึกมา

    เรียกปัญญาที่ฝึกมาได้ รู้มาได้ว่า ญาณหรือ..ธรรม...นั่นเอง...ปัญญาคือ ฐานธรรม...ที่ มีสะสมอยู่ใน..ตัวรู้..คือจิตสติ กับ เครื่องรับรู้คือ ใจ...ไปพร้อมๆกัน
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    เคยมีคนบางคน ถามว่า อะไรคือฐานธรรม

    ฐานธรรมก็คือ ปัญญาที่ได้จากการ รู้ความจริง ของ กาย เวทนา จิต ...นั่นเอง
    ก็คือ ผล ของ ระดับ หรือ ญาณ ปัญญาที่เรียกกัน...

    ใครคือผู้รู้ธรรม นี้...มีสองตัว

    ตัวแรก สติ หรือตัวผู้รู้
    ตัวที่สองคือ ตัวใจ เครื่องรับรู้

    ดังนั้น หนึ่งในตัวรู้ นี้ ต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมัน ...ต้องถูกชำระ..ไม่ได้แปลว่า มันตาย มันดับ...เนียกแบบนี้ ก็ได้แต่เรียกแล้ว ก็เข้าใจผิดกัน...ให่เรียกสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ..ในอะไรต่างๆก็แล้วแต่ ให้เรียกว่า เป็นอวิชชา....แต่ถ้ามารู้ความจริงของมันจนหมด สิ่งที่ไม่รู้มันหายไป ได้รู้ตวามจริงเข้ามาแทน ได้ปัญญาเข้ามาแทน...ความไม่รู้ที่หายไป เรียกว่า มัน..อนัตตาไป..แปลว่า เลิกหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นได้แล้ว
    ความไม่รู้ ที่เคยมีเมื่อมันหายไป..เรียกว่า มันอนัตตา มันดับ มันตาย ...มันนิพพาน..ไป..นั่นเอง ด้วยเพราะ ธรรมความจริง หรือปัญญา หรือญาณ...นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2017
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ปฐมบทเริ่มต้นของความทุกข์ ก็คือ การที่คนเรา คุยกันไม่รู้เรื่อง คิดไม่เหมือนกัน เถียงกัน ทะเลาะกัน ไม่ยอมเข้าใจกัน...วาเหตุอันใด จึงทำให้คนนั้น คิดอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น....สาเหตุอันใดที่ทำให้คนนี้ คิดอย่างนี้ เชื่ออย่างนี้ สาเหตุอันใดที่ทำให้แต่ละคน..เป็นทุกข์ หลง เชื่อ ไม่เชื่อ ชอบไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ในความคิด ของ....ตนเอง ของคนอื่น
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    พระพุทธเจ้าท่านจึงพยายามค้นพบ วิธีการเข้าถึงความจริง..(แปลว่า การชำระความไม่จริงที่หลอกลวง จาก ผัสสะ อายตนะ จิต...นั่นเอง เอาออกให้หมด ) จะได้พากันเข้าถึงความจริง อันเดียวกัน..ในกายใจ นี้...นั่นเอง
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    มันจะได้เชื่อใจกัน เข้าใจกัน ไม่ทะเลาะกัน ไม่แย่งน้ำกัน ไม่ทำสงครามกัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่เห็นแก่ตัวกัน

    นี่คือสาเหตุ แห่งการ สละบ้านเมือง สละทุกอย่าง..ให้สิ้นไป..จะไม่ยอม จนกว่าตนเองจะเข้าใจในความเป็นจริงของโลก..ทั้งหมดให้ได้ ทั้งโลกธรรมและ โลกุตรธรรม...ของ กาย ใจ จิต...นั่นเอง
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    จะเห็นว่า ในความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ...พระองค์ไม่สามารถห้ามญาติพี่น้อง ทะเลาะกันเรื่อง แย่งน้ำทำนาได้

    ในฐานะสามี...ในฐานะเพื่อน เจ้าชายด้วยกัน ...ในฐานะ พี่น้องกันกับพระเทวทัต...ในฐานะบุตรของพระราชบิดา...ในฐานะเจ้าชายรูปงาม...จ้าชายองค์อื่นคิดยังไง เจ้าหญิงทั้งหลาย คิดยังไง

    ทั้งหมดคือ....เรื่อง..ที่เกิดขึ้นในใจคนอื่น...ที่คนอื่นคิด อยาก หวัง ในตัวของพระองค์.มันกระทบกับทุกคน

    พระองค์จึง ต้อง รับผิดชอบ....ในสิ่งที่มันเกิด มานี้
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อืออออ ที่คุณวรณ์นิ พยายามสื่อ ณ พอเข้าใจ
    นั้นคือ คุณ ไปรู้ในเชิงของเทคนิควิธีการ
    ตรงนี้ถือว่าเป็นการรู้เฉพาะบุคคล
    ซึ่งมันพิสูจน์ให้ประจักษ์ ณ
    โลกแห่งความเป็นจริงได้ยาก..
    คุณจะไปบอกว่า ระดับโน้นนี่นั้น
    ทำโน้นนี่ แยกโน้นนี่ได้..
    เค้าไม่มีใครไปรู้สภาวะตรงนี้กับคุณหรอก
    เด่วก็จะมีฐานข้อมูลอื่นๆมาแย้งคุณได้ตลอดนั้นหละ
    ซึ่งแม้ว่าคุณจะพยายามแสดงหรือพูดให้เข้าใจ
    ว่าระดับโน้นนี่นั่น ทำนี่โน้นนั้นได้
    ก็ยากที่จะเชื่อ เพราะว่าฐานข้อมูลที่มีคนมาแย้ง
    ที่เค้ารับรู้มา เค้าก็เชื่อของเค้าเช่นกัน
    และเป็นแหล่งที่ชาวโลกเชื่อถือเป็นกลุ่มๆ
    ไม่ว่าจะจากแหล่งข้อมูลอะไร
    และถ้าคุณยังพยายามที่จะสื่อทางเทคนิคอย่างนี้
    มันจะเกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกันได้..
    ตรงนี้พอเข้าใจเนาะ...

    แต่ถ้าคุณบอกว่า ระดับโน้นนี่นั้น
    น่าจะทำอย่างนี้ได้ อย่างโน้นได้
    น่าจะรู้อย่างนี้ได้ อย่างโน้นได้
    อย่างนี้จะถือว่า ปรากฎชัดเจน บนโลก..
    เช่น ธรรมะที่มาจากคำสอนจากท่านโน้นนั้นนี่
    เช่น จากอดีตพระสงฆ์มีชื่อทั้งหลายที่ทิ้งธรรมะไว้ซึ่ง
    ทำให้ชาวโลกเชื่อได้ว่า ท่านน่าจะเป็นระดับโน้นนี่นั้น

    เพราะชาวโลกไม่มีใครไปสนใจหรอกว่า ท่านละสังโยชน์อย่างไร
    ท่านเข้าใจ กาย เวทนา ธรรมอย่างไร
    คือเว้าง่ายๆแว๊.(ว่า) เค้าไม่ได้สนใจในเรื่องทางเทคนิค
    มันเป็นเรื่องเฉพาะดวงจิตนั้นๆ เป็นปัจจัตตัง
    ที่เป็นกิริยาทางจิตครับ..ซึ่งมันจะใช้ได้
    เฉพาะผู้ที่กำลังฝึกอยู่ หรืออยู่ในเส้นทางเดินเท่านั้น

    หรืออย่างผมไปเจอพระที่ท่าน
    เล่นแร่แปรธาตุได้ ทำอะไรเหนือวิสัยได้
    ส่วนตัวก็รู้ว่าท่านสำเร็จระดับจิตธาตุ
    แต่ไม่ทราบหรอกว่า กิริยาทางสมาธิ
    ท่านได้ผ่านอะไรมา รู้แต่เปลือกว่า
    จิตท่านไม่ยึดติด ในลาภ ยศ สุข สรรเสริญแค่นั้น
    ซึ่งก็สามารถดูจาก รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันท่านได้
    ประเด็นนี้พอเข้าใจที่สื่อนะครับ


    และอย่างนี้นะครับ..ถ้าพูดแบบรวมๆนะครับ
    ส่วนตัวมองว่า ใครปฏิบัติเข้าถึงได้จริงๆ
    ตรงนี้ไม่น่าห่วง เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไป...

    แต่ถ้าเราไปเอาบัญญัติสมมุติภายนอก
    แล้วดึงเข้ามาเพื่อมาเป็นเกณฑ์วัดตรงนี้เลย
    มันจะค่อนข้างมีความน่าเชื่อถือต่ำว่า
    จิตนั้นๆจะเป็นระดับโน้นนี่นั้นได้ตาม
    เกณฑ์สมมุติบัญญติที่ตั้งไว้
    สมมุติว่า จิตดวงนี้ไม่เคยปฏิบัติเลย
    แล้วมาอ่านเกณฑ์นี้เข้า แล้วทำตาม
    จิตนี้ก็ไม่ได้เป็นระดับโน้นนั้นนี่
    เพราะมีตัวเองเข้าไปกระทำให้เป็นนั่นหละครับ
    ยกเว้นว่า ไม่เคยรู้สมมุติบัญญัติอะไรเลย แล้วปฏิบัติ
    และมาเห็นมาอ่านทีหลัง ก็มีเปอร์เซนต์ว่า
    น่าจะเป็นไปได้สูง แต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้
    จะถึงระดับดังที่ว่าได้จริงๆหรือไม่

    เพราะฉนั้นเลยมองว่า สมมุติบัญญติ
    ควรใช้เป็นแนวทางอ้างอิงเท่านั้น
    เป็นเสมือนแนวทางเดินให้จิต
    เพียงแต่ว่า จิตดวงนั้นๆจะเป็น
    หรือไม่เป็นนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ส่วนในทางกิริยาว่า ระดับโน้นนี่นั่น
    จะรู้ จะเข้าใจ จะแยกนี่โน้นนั้นได้
    แม้ว่าอาจจะจริง แต่ก็ยังชี้ชัดอะไรไม่ได้...

    แต่ถ้าเราเชื่อว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันต์
    หรือผู้ที่พ้นแล้ว และยังมีร่างกายอยู่
    ตัวจิตท่านไม่มีอะไรมาเกาะได้เลย(ทั้งๆที่ทุกอย่างมีปกติ)
    และท่านมีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาญานในการรู้เห็นรู้ผล
    ทุกเรื่องที่มีบนโลก จนทำให้จิตท่านไม่มี
    อะไรมาเกาะและคลายตัวเองได้ทั้งวันนั้นแบบธรรมชาตินั้น
    ในระดับอื่นๆ เราก็ลดหลั่งไล่เทียบเคียง
    ลงมาได้โดยเทียบระยะเวลาที่จิต
    ไม่มีอะไรมาเกาะและคลายตัวเอง
    ได้เลยทั้งวันเอานั่นหละครับ
    โอกาสที่จะทำให้เราเข้าใจสภาวะระดับต่างๆคาดเคลื่อน
    หรือหลงสภาวะและเข้าใจไปเองนั้น
    มันก็จะน้อยลง ที่สำคัญก็คือ
    จะได้ไม่หลงตัวเองได้อย่าง
    คาดไม่ถึงนั่นเองครับ..

    ส่วนเรื่องระดับโน้นนี่นั้น
    ควรจะต้องทำอะไรพิเศษได้ปกตินั้น
    พวกนี้มันเรื่องเหนือวิสัย
    เพราะถ้ามันไม่ชัดเจนจริงๆ
    แบบพิสูจน์ได้ชัด ไม่ควรนำมากล่าวถึง
    และมันไม่ใช่ประเด็นหลักทางพุทธศาสนา
    ปล. เข้าใจที่สื่อนะครับ
     
  13. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ผมหมายถึง พระสาวกครับ สั้นๆเลยครับคุณลองดูประวัติหลวงพ่อ จรัญ ดูครับ
    บนพื้นฐานที่ผมเชื่อว่าท่าน เป็น อรหัตน์ นะครับ

    เเละก็พูดยากนะครับว่า ไม่เจตนาในตอนเด็กเพราะ หนึ่ง เด็กไม่ได้มีหน้าที่เป็นนายพราน เเละไม่ได้มีหน้าที่ฆ่าสัตว์หาเลี้ยงพ่อเเม่ ส่วนมากนะครับ เด็กๆผมก็ทำตั่ง เจตนาเเละไม่เจตนา เพราะมันทำร้ายเราเจ็บบ้างหรืออยาดทดลองบ้าง ตามลำดับครับ

    เเละขออีกนิดเดียวครับ ผมตั่งใจทำกระทู้นี้ให้กำลังใจครับ ถ้าไม่เป็นการทำให้คนหลงผิดไปในทางนิพพาน ซึ่งก็ควรเข้มาเเจง เเต่จริงเเล้วเป็นการให้คนที่ผิดศีลเเล้วกลับมารักษาศีลต่อยอดต่อไปไม่หวงอดีต คุณก็ลองพิจาราณาดูนิดนึงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2017
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    อาจสับสนคำถามนะครับ

    ผมเข้าใจว่า ถามว่า เป็นพระโสดาบันข้ามชาติแล้ว เสื่อมไหม คือเป็นพระโสดาบัน แล้วมาเกิดเป็นเด็ก อีกชาติ จะเสื่อมจากโสดาบันไหม ตรงนี้ ตอบว่า ไม่เสื่อมเพราะตัดสังโยชน์ สามข้อแรกเด็ดขาดไปแล้ว

    กรณีท่านหลวงพ่อจรัญ อ่านประวัติท่านไม่ชัดเจนว่า ท่านเพิ่งได้พระโสดาบันมรรคในชาตินี้ เพราะกล่าวในหนังสือไม่ชัดถึงโสดาบันติผล และเมื่อท่านรับกรรมต่างๆที่ทำในวัยเด็กชาตินี้ โดยคอท่านหัก พอผ่านเหตุการณ์ท่านจึงตัดสินใจ ทำชาติให้สิ้น คือ จะเข้านิพพาน

    ถ้าถามถึงการสะสมบารมี เพื่อเป็นอะไรก็ตาม ล้วนเสื่อมได้ครับถ้ายังไม่ถึงระดับโสดาปัตติผลครับ เพราะการสะสมบารมียังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ที่ให้ผลเด็ดขาด
     
  15. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    กรณีท่านหลวงพ่อจรัญ อ่านประวัติท่านไม่ชัดเจนว่า ท่านเพิ่งได้พระโสดาบันมรรคในชาตินี้ เพราะกล่าวในหนังสือไม่ชัดถึงโสดาบันติผล ตรงนี้หมายถึงว่าหลวงพ่อจรัญไม่เคยเข้าถึงพระโสดาบันอย่างสมบูรณ์ใช้ไหมครับในอดีตชาติ เพิ่งจะเป็นในชาตินี้ชาติเเรก ซึ่งคุณกำลังหมายถึงว่าการเป็นอรหัตน์สามารถเป็นในชาติเดียวได้เลยใช้ไหมครับ จากคนที่ไม่เคยได้โสดาบันเลย
    ถ้าเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากนะครับ

    ขอถามเพิ่มเติมครับทำไมบางคนไม่ยอมเเละไม่ชอบปฎิบัติธรรมครับอย่างคนในครอบครัวเดียวกันกลับเเตกต่างกัน ส่วนตัวผมเองไม่ชอบไปวัด ไม่สวดมนต์ สนใจเเค่ทำอย่างไรจึงได้สมาธิเเละนิพพาน หลักวิชาการไม่สน ชอบฟังง่ายๆเอาใจความ เเละตอนเด็กผมก็เคยทำบาปโดยไม่มีสาเหตุที่ควรทำทำเล่นๆ สรุปได้ว่าผมไม่เคยเป็นโสดาบันอดีต เเละผมไม่มีบารมี เเต่เพียงสงสัยว่าอะไรทำให้คนเเตกต่างกันในเรื่องความสนใจในการปฏิบัติครับ


    การสะสมบารมี เพื่อเป็นอะไรก็ตาม ล้วนเสื่อมได้ครับถ้ายังไม่ถึงระดับโสดาปัตติผล
    คือบารมีอะไรเสื่อมครับ ถ้าบารมีพระโสดา มันจะไม่เสื่อมเพราะเสื่อมคือได้เเล้วถอยหลังใช้ไหมครับดังนั้นจึงอยากทราบว่าอะไรเสื่อมครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    การกระทำอะไรก็ตามถ้าจิตยังไม่คลายตัวเองได้ก่อน
    (แยกรูปแยกนามได้)
    มันเสื่อมได้หมดอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติครับ
    เพราะว่ามันยังมีตัวเราไปกระทำอยู่ครับ
    ไม่ว่าตัวอะไร ฯลฯ ที่ทำให้จิตยังก่อตัวอยู่นั่นหละครับ

    ส่วนเราจะเป็นอะไรอย่างไรนั้น เราจะเป็นไป
    ตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตเราเองครับ
    ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราได้เคยสะสมหรือทำอะไรมา

    ส่วนการจะเป็นผู้พ้นได้ ยังไงก็ต้องผ่านการวิปัสสนา
    ไม่ว่าจะแบบที่เป็นไปตามสภาพแวดล้อม
    หรือแบบปฏิบัติ เพราะจิตมันจะไม่เกิดได้
    จะต้องมีปัญญาญานในการที่ไปรู้เหตุรู้ผลถึงการเกิด
    เหล่านั้นจนจิตเห็นว่าการเกิดมันเป็นทุกข์
    จิตถึงจะไม่ดึงสิ่งต่างๆเหล่านั้นมารวมกับจิต
    จนก่อตัวครับ..ซึ่งท่านที่เป็นผู้พ้นแล้วท่านจะมี
    ตัวไปรู้เหตุรู้ผลของสิ่งต่างๆที่มันทำให้จิตเกิด
    เป็นปกติ จนจิตท่านคลายตัวเองได้ธรรมชาติ
    แทบจะทั้งวันนั่นหละครับ...
     
  17. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    หนึ่ง ตามที่ผมอ่าน คนที่เค้าประพันธ์ประวัติท่านหลวงพ่อจรัญนะครับ ท่านออกบวชตอนอายุ 20 ปี แล้วก็ไม่สึกอีกเลย แต่อ่านไปช่วงแรก คือ ผมประมาณจากบทประพันธ์ประวัติท่าน ช่วง 10 พรรษาแรกออกแนวพระชาวบ้าน และมีการไปศึกษาสายสมถะที่เน้นความวิเศษของพระอาจารย์( คือชาวบ้านเค้าเอาแต่เพ่งไปที่จุดนั้น ขอจุดนั้น ทั้งที่พระท่านระดับอริยะไปแล้ว) และผ่านไปช่วงพรรษ15 -25 (ประมาณอายุท่านหลวงพ่อจรัญน่าจะ 35 - 45 ปี (ผมประมาณเองนะครับ ซึ่งแค่การประมาณ) ท่านจึงไปเรียนสายวิปัสสนาเต็มรูปแบบ ตอนที่ไปรับวิปัสสนาเต็มรูปแบบ มีเณรไปด้วย คนประพันธ์เค้าประพันธ์แบบอ้อม เราก็ต้องเดาเอาเอง สรุปคนอ่านจะเข้าใจได้ว่า เณรบรรลุพระโสดาบัน แต่ท่านหลวงพ่อจรัญยังครับ ซึ่งในช่วงนั้น เหมือนมีลักษณะมีตัวละครในบทประพันธ์จะพูดทำนองว่า (ผมสรุปสั้น) ท่านหลวงพ่อจรัญทำนองเป็นสายปัญญา และมีบารมีที่จะสอนคนได้จำนวนมาก การจะบรรลุง่ายๆ นั้นไม่ได้ ต้องรู้ลึก รู้ละเอียดกว่า รู้กระจ่างแจ้งกว่า (ทำนองพระสารีบุตรที่บรรลุอรหัตน์ยากกว่าพระโมคคัลลานะนั้นแหละครับ) ตรงนี้ ช่วงนี้ ผมเลยไม่แน่ใจเพราะคนประพันธ์ก็เขียนอ้อมมากๆและคลุมเครือมากๆ แต่เอาที่เราเข้าใจคือ ช่วงนี้ ยังไม่ได้พระโสดาบัน แต่ก็ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม ส่วนช่วงหลัง คือ ช่วงที่ท่านหลวงพ่อจรัญท่านประสบอุบัติเหตุคอหัก (ผมไม่แน่ใจ เพราะอ่านบทประพันธ์ ไม่ได้อ่านประวัติเป็นทางการว่าจะมีบอกไหม) ประมาณท่านหลวงพ่อจรัญอายุ 50 ปี ท่านตัดสินใจ คือ อ่านบทประพันธ์มาตั้งนาน ตอนแรก ท่านไม่คิดจะบวช ก็ต้องบวช คิดว่าจะสึก ก็ไม่ได้สึก พอมาถึงตอนท่านคอหัก ตอนนั้นแหละที่บาปกรรมในวัยเด็กที่ฆ่าไก่(ประมาณว่าตอนเด็กท่านจะศึกษาการตอนไก่เลียนแบบคนผู้ใหญ่ แต่ความที่เด็กเกินไป ไก่ตายเยอะมาก) กรรมฆ่านกก็เยอะ กรรมเผาเต่าด้วย(แต่เต่ารอดแต่อายุขัยเค้าสั้นลง)

    อ่านมาตั้งนาน เพิ่งเห็นท่านตั้งปณิธานจริงจัง ก้ตอนนี้ละครับ ที่ท่านว่า จะบรรลุนิพพานและยังประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ซึ่งเหตุการณ์ตรงนี้ มันก็จะแย้งกันในสายตาผมว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันท่านไม่เนินช้าหรอก ผู้มีปัญญามากต้องไปนิพพานในชาตินี้แหละ ถ้าท่านบรรลุโสดาบันตั้งแต่ตอนอายุ 35 -45 ปี ก่อนเหตุกาณณ์คอหักนี้ ความมุ่งมั่นไปนิพพานผมว่า น่าจะแรงกว่านี้แล้วครับ หลังจากนั้น ท่านจึงไปเรียนกับพระอาจารย์พิเศษของท่าน ซึ่งไปเรียนในป่า (ทั้งที่ สติปัฏฐาน 4 ท่านได้แล้วนะครับ ตรงนี้ บทประพันธ์ก็อ้อมอีก ผมก็สรุปว่า ท่านหลวงพ่อจรัญท่านบำเพ็ญบารมีอยู่ในข่ายที่พระอาจารย์ท่านจะโปรดเท่านั้นครับ คือ พระอาจารย์ท่านเป็นสายพุทธภูมิที่ลาพุทธภูมิ ส่วนตัวท่านได้อธิษฐานตามกันมา ซึ่งคนที่อธิษฐานตามพระองค์ใหญ่ มักกั้นตัวเองจากการตรัสรู้จากองค์อื่น (ถ้าไม่ถอนจริงจัง ยังไงก็ต้องรอพระองค์ใหญ่โปรดเท่านั้นครับ) จากนั้น ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ก็เราก็เดาได้ว่า น่าจะถึงพระอรหันต์แล้ว

    สรุป ในความเห็นของผม กรณีหลวงพ่อจรัญ ท่านบรรลุพระอริยะในชาตินี้ และไม่น่าจะเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ชาติก่อน ชาติเดียวก็บรรลุรวดเดียวเลย (คือ สะสมนิสัยมาเพียงพอแล้ว จนเหตุปัจจัยนั้น พร้อมบรรลุได้ทุกเมื่อครับ แต่ที่กั้นไว้ คือ ที่ท่านไปอธิษฐานตามพระโพธิสัตว์ครับ)

    ส่วนเรื่อง ที่ท่านถามว่าใครเป็นยังไง ทำไมสนใจนิพพานต่างกัน เป็นเรื่อง วิบากกรรม ซึ่งผมไม่อาจตอบได้ครับ

    สอง บารมี ในความเข้าใจของผม องค์ธรรมที่เกื้อกูลการตรัสรู้ การสะสมบารมีก็คือ การสะสมเหตุปัจจัยแก่จิตจนเกิดองค์ธรรมนั้นบ่อยๆ จนองค์ธรรมนั้นแก่กล้าพอที่จะปรากฎต่อจิตหรืออีกนัย จิตสามารถระลึกหรือแจ้งถึงองค์ธรรมนั้นได้ ซึ่งเป็นการสร้างเหตุปัจจัยของ จิต เจตสิก รูป ที่สืบเนื่องสันตติกันไป จนถึงสภาวะองค์ประกอบแห่งจิต เจตสิค รูป ที่องค์ธรรมเกื้อกูลการตรัสรู้ มีศักยภาพสูงพอจะก่อเกิด แสงสว่าง ญาณ วิชชา จนดับอวิชชาไปสู่นิพพานได้

    ซึ่งบารมีเหล่านั้น ต้องนำมาเกื้อกูลการก่อสร้างศีล สมาธิ ปัญญา จนเข้าสู่วิปัสสนาญาณวิถีไปสู่มรรค ผล นิพพานนั้นเอง

    บารมีจึงมีเสื่อมได้ เพราะจิตไม่กระทำต่อ องค์ธรรมที่เคยสัมผัสหรือรู้แจ้งถึง จิตก็มืดบอดไม่เห็น ไม่อาจเรียกมาใช้ได้ บารมีจึงเสื่อมได้ พระท่านว่า บารมี คือ กำลังใจ ถ้าเราไม่ทำให้เรามีกำลังใจในกุศล ก็หยุด ก็เสื่อม

    ที่ว่า สะสมบารมีมาจนพร้อม คือ จิต เจตสิค รูป เป็นเหตุปัจจัยที่สมบูรณ์แล้ว คือ ทำจนกำลังใจมันไม่ลดลงไปกว่านี้ หรือมีมากจนมีแต่เพิ่มพูนขึ้น เพราะองค์ธรรมระดับสูง คือพัฒนาไม่หยุด คือ ถ้าเข้าถึง ธรรมที่พัฒนาในกุศลแล้ว จิตจะมีแต่ความรุดหน้าในกุศล ไม่ถอยกลับ

    ส่วนพระโสดาบัน บารมีท่านเพียงพอแก่รู้แจ้งแทงตลอดในระดับหนึ่งแล้ว จนตัดสังโยชน์สามข้อ กับทำกิเลสให้เบาบางลงได้ แล้วเป็นจิต เจตสิก รูปที่สำเร็จไปแล้วในระดับหนึ่ง ในอภิธรรมจะดูเฉพาะที่ดวงจิต ดวงจิตนั้น ถือเป็นโลกุตตรจิตไปแล้วครับ ซึ่งไม่หวนกลับแล้วครับ

    ปล. แต่เรื่องบารมี เป็นเรื่องปัจจุบันครับ ที่พูดว่าเป็นการสะสม เป็นแต่เพียงพูดข้ามภพข้ามชาติเพื่อไม่ต้องไปสงสัยกันว่า ทำไมแต่ละคน บารมีไม่เท่ากัน ตัดกังวลกันไป ตัดความสงสัยกันไป ว่าทำไมคนอื่นได้เร็ว เราได้ช้า ทำไมคนนั้นบรรลุ เรายังปุถุชน แต่สำหรับเราคนเดียว เราแค่ดูว่า เราทำได้แค่ไหนพอ เพราะไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่เพ่งจิตออกนอกไปวุ่นวาย เราไม่ต้องสนใจ สนใจแค่เราจะทำไม เราจะสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดกุศลเพื่อเกื้อกูลการตรัสรู้ไหมก็พอ
     
  18. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ขอบคุณมากสำหรับคำตอบครับ

    มีข้อสงสัยดังนี้ครับ เเล้วถ้ามีคนอยากเป็นพระพุทธเจ้าในชาติเดียวได้ไหมครับ ในยุคนี้หรือยุคใดๆครับ
     
  19. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ตอบเล่นๆนะอย่าคิดมาก

    เป็นได้ พระพุทธเจ้าชาติเดียว

    พอเกิดมาจากท้องแม่ ก็ตั้งชื่อว่า พระพุทธเจ้า..

    แค่นี้ก็เป็นได้ ง่ายนิดเดียว..:D
     
  20. จตุรอาชา

    จตุรอาชา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +48
    1.จะสอนคนอื่นเขาได้มันต้องรู้ลึกรู้จริง รู้ทุกแง่มุม ชาติเดียวสะสมไม่พออยู่แล้ว สาวกสิสบายรอพระพุทธเจ้ามาโปรดสอน จำนวนชาติภพสะสมบารมีน้อยกว่าพระพุทะเจ้ามาก
    2. จะสอนมิจฉาทิฐิได้ เปลี่ยนความคิดคนได้ บารมีต้องมากล้น เวลาพูดถึงจะมีคนฟัง

    อนึ่ง พระพุทธเจ้ามี 4 ประเภท

    ๑. ผู้ที่เป็นปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญา สะสมบารมีน้อยที่สุดคือ ๔ อสงไขยแสนกัปป์

    ๒. ผู้ที่เป็นสัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธา สะสมบารมีปานกลางคือ ๘ อสงไขยแสนกัปป์

    ๓. ผู้ที่เป็นวิริยาธิกะ ยิ่งด้วยวิริยะ สะสมบารมีมากที่สุดคือ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์

    พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือประเภทที่ 1 สะสมบารมีน้อยที่สุด สามารถรื้อขนสัตว์ได้บางส่วน
    พระพุทธเจ้าประเภทที่ 3 คือพระศรีอารียเมตไตร องค์หน้า สะสมบารมีมากที่สุด สามารถรื้อขนสัตว์ในโลกได้(เกือบ)ทั้งหมด
    ถัดจากพระศรีอารียเมตไตร ก็จะมีมาตรัสรู้อีกนับไม่ถ้วน ในอนาคตกาล

    ๔. พระปัจเจกกพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมี 2 อสงไขยแสนกัป
    ตรัสรู้ในช่วงที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้าทั้ง 3 ประเภท ไม่สามารถสั่งสอนใครให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ บรรลุเป็นปัจจตังเฉพาะตน ไม่ประกาศศาสนา ตำราว่าไว้ว่าพระเทวทัต เมื่อพ้นจากอบายภูมิ พ้นขึ้นมาบำเพ็ญบารมีเพิ่มก็จะเป็นหนึ่งในพระปัจเจกกพุทธเจ้าในอนาคตกาล



    ยังมีอีก ประเภทที่ ๕ คือพวกเราทุกคนนี่แหละ เมื่อจิตเป็นโลกุตระ จึงจะเห็นและเข้าใจในพระรัตนไตร ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือองค์เดียวกัน ตัวอย่างพุทธพจน์คือข้างล่างนี้


    อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร? ดูกรวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นธรรม. วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2017

แชร์หน้านี้

Loading...