พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโรคุยเรื่องผีปอบ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 12 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    เมื่อท่านอาจารย์ฉันเสร็จแล้ว ชาวบ้านก็เริ่มกินข้าวกัน และพูดคุยกันไป คุยกันไปถึงเรื่องผีปอบในหมู่บ้าน พอท่านอาจารย์ได้ยินเรื่องเขาคุยกันเรื่องผีปอบ ท่านก็พูดกับเขาว่าอาตมาก็เป็นปอบเหมือนกันนะโยม
    ชาวบ้านเขาก็งงและตกใจว่าพระอะไรจะเป็นปอบ เขาเลยถามท่านว่าเป็นปอบได้อย่างไร ท่านอาจารย์ตอบว่า ปอบมะขามหวานชาวบ้านก็พากันหัวเราะ ท่านว่ายิ่งหวานเท่าไรยิ่งกินดี ปอบคนอื่นเขากินคน แต่ปอบของท่านอาจารย์กินมะขามหวานขันดี
    เรื่องของผีปอบ (จะอธิบายเรื่องของผีปอบ)
    เรื่องของผีปอบนี้ ทางอีสานโดยเฉพาะบ้านนอกเขาจะรู้กัน แต่ภาคอื่นส่วนใหญ่จะไม่รู้จัก และบางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน คนที่เป็นปอบ (เจ้าของปอบ) นี้เป็นลักษณะผีเทียม เวลาไปกินคนจะบอกชื่อของคนที่เป็นปอบนั้น
    ผีปอบนี้เกิดจากคนที่เรียกวิชาบางอย่างมา แล้วรักษาตามคำสั่งของอาจารย์ไม่ได้ หรือเกิดจากการสักว่านกระจายโพงแล้วรักษาไม่ได้ก็มี หรือพวกสบู่เลือด เหล่านี้เป็นต้น มักจะเป็นปอบ
    คนที่จะเป็นผีปอบนี้ เริ่มแรกมักจะฝันว่าได้กินของดิบ เช่นเนื้อดิบ ลาบดิบเหล่านี้ ทีแรกก็จะกินเป็ด กินไก่ จากนั้นก็จะกินคน ส่วนมากมักจะกินคนป่วย คนธรรมดาที่ไม่ป่วยก็มีส่วนน้อย
    เวลาปอบเข้ากิน ทีแรกคนที่ถูกปอบเข้าจะมึนชาทั้งตัว ต่อไปก็จะไม่รู้สึกตัวทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ และหลบหน้าเป็นไปในลักษณะนี้ ผิดสังเกต ไม่เหมือนคนคนเก่า คล้ายกับผีทรง เวลาผีปอบเข้าแล้ว เขาจะเอาหมอมาขับไล่
    ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าของผีปอบเป็นใคร เขาก็เสกคาถาใส่ด้าย (ด้าย ๓ สี หรือ ๗ สี) แล้วผูกตามข้อมือ ข้อเท้า และคอ แต่เวลาผูกไม่ให้ คนที่ปอบเข้าเห็น รีบผูก แล้วเสกคาถาใส่หัวว่านไฟ (หัวไพร) จี้
    หรือบางทีถ้าไม่ยอมบอกชื่อ หรือไม่ยอมออกจากคนไข้ เขาก็จะตีด้วยลำข่า ลำว่านไฟ(ลำไพร) ชนิดตีให้ยอม หรือบางหมอก็จะตีด้วยก้านกล้วย ตีจนยอมบอกชื่อ ว่าเป็นใคร มาจากไหน เคยกินใครมาบ้าง ในทำนองนี้
    เวลาผีบอปบอก ว่าคนนั้นกูก็กิน คนนี้กูก็กิน ตับหวานอร่อยดีทำนองนี้แหละ เมื่อเวลาจะให้ออก เขาก็จะแก้ด้ายที่ผูกออก ขับให้ออก เมื่อผีปอบออกแล้วจะไม่รู้จักว่าตัวเป็นอะไร คล้าย ๆ กับผีทรง บางทียังถามว่าคนมาทำไมมากอย่างนี้
    ผีปอบบ้านศรีฐาน
    ท่านอาจารย์เคยเล่าสู่ฟังเรื่องปอบเข้าบ้านศรีฐาน บ้านเดิมของท่าน ท่านเล่าว่า มีคนคนหนึ่งเขาไปนา ไปทำงานที่นาของเขา เกิดปวดท้องหนัก เลยกลับบ้าน คงจะปวดหนักมาก พ่อแม่เห็นผิดสังเกต นึกว่าผีปอบเข้าลูก กินลูก ก็เลยไปตามหมอมาขับไล่
    พอหมอมาถึงก็ไม่ได้สังเกตสังกาอะไร เสกคาถาใส่ด้าย แล้วก็ผูกข้อมือ ข้อเท้า และคอ เสร็จแล้วก็หวดด้วยลำข่า หือมึงเป็นใคร มึงมาจากไหน มึงชื่ออะไรหือ มึงจะหนีหรือไม่หนี หือ ๆ คนที่ปวดท้องก็ร้องไห้ ว่าจะให้ผมหนีไปไหน บ้านผมอยู่นี่
    แล้วยังขู่อีกว่า มึงมาจากไหน คนเจ็บก็บอกว่า มาจากนาหนองพอก หือมึงเป็นใคร ก็บอกชื่อ แล้วหมอและคนดูก็ตกใจ พากันหัวเราะกันพักใหญ่ ทั้งสงสารคนป่วย ปวดท้องก็จะตายอยู่แล้ว ยังโดนตีอีก
    นี่ปอบบ้านศรีฐาน แต่ส่วนมากหมอเขาจะรู้ ส่วนหมอคนนี้ อะไรก็ไม่ทราบ คงจะเรียนมาใหม่แหละดูท่า ท่านเคยเล่าให้ฟังสนุก ๆ
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    ผีเปรตบ้านกุดเรือดำ
    ขอย้อนกลับมาพูดเรื่องผีเปรตอีกครั้ง ในปีหนึ่งท่านได้ออกเที่ยววิเวกในหน้าแล้ง เมื่อท่านวิเวกไปถึงบ้านกุดเรือดำเป็นเวลาจวนจะมืด บ้านกุดเรือดำ ตำบลกุดเรือดำ อำเภอวานรนิวาส สกลนคร
    ท่านเข้าไปในวัด พระเณรก็ต้อนรับ จัดสถานที่ให้พัก ท่านเล่าว่ากุฏิว่างก็มีอยู่หลายหลัง แต่จัดให้ท่านและท่านอาจารย์เพียรพักที่ศาลาปฏิบัติธรรม สังเกตดูพระเณรรวมกันอยู่กุฏิละหลายองค์ทั้ง ๆ ที่กุฏิว่างยังมี
    เมื่อท่านสรงน้ำเสร็จท่านก็ครองผ้าไปกราบเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสชื่อพระอุปัชฌาย์เถื่อน ให้ท่านอาจารย์เพียรอยู่เฝ้าบริขาร ครั้นกราบท่านแล้วก็พูดคุยกันต่อ จนเป็นเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ท่านจึงกลับมาที่พัก
    แล้วก็ทำวัตร ไหว้พระ สวดมนต์ ยังไม่ทันถึงไหน ท่านได้ยินเสียงดังข้างนอก ก็อก แก๊ก ๆ นึกว่าหมามันจะมาคาบรองเท้าหนี เพราะเป็นรองเท้าหนัง ท่านจึงหยุดออกไปเก็บรองเท้าเข้ามาไว้ข้างใน แล้วไหว้พระต่อ
    เสียงนั้นก็ยังดังอยู่ ดังเข้ามาในห้องทีนี้ เมื่อไหว้พระเสร็จท่านก็ส่องไฟฉายไปดู เห็นท่านอาจารย์เพียรนั่งภาวนาอยู่ จึงถามท่านอาจารย์เพียรว่า เสียงอะไร ท่านอาจารย์เพียรตอบว่า มันดังอยู่นานแล้ว
    บางทีเข้าใจว่าตู้พระไตรปิฎกล้ม ท่านอาจารย์เพียรพูด... ถ้าดับไฟเสียงจะดังขึ้น ต่างองค์ต่างก็ส่องไฟฉายไปดู ก็ไม่เห็นพบอะไร เมื่อดูอยู่ชั้นล่าง เสียงจะไปดังอยู่ชั้นบน เพราะศาลาเป็น ๒ ชั้น
    เมื่อตามขึ้นไปดูชั้นบน ก็จะมาดังอยู่ชั้นล่าง จนท่านทั้งสององค์แน่ใจว่า นี่คงจะเป็นเปรตแน่ แล้วท่านอาจารย์สิงห์ทองก็เลยพูดว่า ถ้าเป็นเปรตจริง ก็อย่ามารบกวน เพราะเดินทางเหนื่อย จะเป็นบาปเป็นกรรมหนักยิ่งกว่าเก่านะ ให้ไว้พักบ้าง จากนั้นเสียงก็ได้เงียบไปตลอดคืน ไม่มีเสียงรบกวนอีก
    คนที่เป็นเปรต
    คนที่เป็นเปรตนั้น เดิมเป็นทายกวัด เก็บปัจจัย(เงิน) ของวัด แล้วนำไปซื้อหวย (ซื้อเบอร์) ยังไม่ทันได้ใช้แทน และไม่ได้สั่งบอกลูกเมียเอาไว้ เมื่อตายไปแล้วจึงเป็นเปรต
    ชาวบ้านก็ไม่รู้แน่ว่า เป็นใครกันแน่ แต่สงสัย เพราะคนนี้ตายไปจึงมีเปรต ลูกเมียก็ทำบุญอุทิศให้ แต่ก็ยังไม่หาย ครั้นต่อมามีคนเห็น คือเห็นทายกคนนั้นนั่งห้อยเท้าไกวขาอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในวัด
    จึงได้แน่ใจว่าเป็นคนคนนี้แน่ ๆ แล้วลูกเมียก็ตกใจ เที่ยวค้นหาหลักฐานที่เกี่ยวกับเงินของสงฆ์ที่แกเก็บรักษาเอาไว้ เสร็จแล้วก็ได้นำเงินมาแทน มามอบคืนสงฆ์ เปรตนั้นจึงได้หาย
    พญานาคอพยพหนีไปถ้ำม่วง
    ต่อมาคุณแม่ชีเจียงซึ่งอยู่สำนักชีใกล้ที่แห่งนั้น แม่ชีองค์นี้เป็นน้องสาวของโยมพ่อพระอาจารย์ถวาย วัดป่าบ้านนาคำน้อย อำเภอน้ำโสม เขาไปจังหันที่วัด แล้วถามท่านอาจารย์ว่า ได้ปรากฏอะไรบ้าง
    ท่านอาจารย์ตอบว่า มันจะมีอะไร แม่ชีเจียงเลยพูดว่า เขาไปลาข้าน้อย ถามเขาว่าจะไปไหน เขาบอกว่าจะไปอยู่ถ้ำม่วง ทำไมจึงจะไป ท่านอาจารย์สิงห์ทองบอก ท่านบอกว่าอย่างไร เขาก็พูดให้ฟัง
    คำพูดนั้นเป็นคำพูดคำเดียวกับที่ท่านอาจารย์นึก และแม่ชีเจียงยังบอกให้แสดงรอยไว้ให้ดูด้วย เวลาเช้าแม่ออกไปจังหัน ได้พาแม่ออกไปดูเป็นรอยคล้าย ๆ กับรอยรถยนต์ คุณแม่ชีเจียงพูด
    ต่อมาคุณแม่ชีเจียงก็พูดอีกว่า มีเจ้าที่อยู่ภูหินขันธ์ บ้านดงมัน อำเภอมุกดาหาร มาลาว่า ผมจะไปเกิด ผมไปลาท่านอาจารย์สิงห์ทองมา แม่ชีเจียงถามว่า รู้จักท่านด้วยหรือ เขาบอกว่ารู้
    เขาได้เคยไปปฏิบัติท่านอยู่ที่ภูวัด บ้านดงมัน เพราะเขาสองลูกนี้อยู่ใกล้กันอยู่คนละฝั่งทาง ผมอยู่ภูปิ่นขันธ์นี้มาได้ ๒ หมื่นปีแล้ว ผมจะไปเกิด แต่ไม่ทราบว่าจะไปเกิดที่ไหนและเกิดเป็นอะไร
    ความรู้ของท่านอาจารย์ที่เกี่ยวกับด้านนี้ ตามที่เคยอยู่กับท่านมา เข้าใจเอาเองว่าความรู้ของท่านในด้านนี้ไม่มี บางคนอาจเข้าใจว่า ครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาเป็นแล้วจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไป
    นั้นไม่ใช่ จะเป็นได้เฉพาะบางรายเท่านั้น ไม่ทั่วไป แต่ว่าอาสวักขยญาณ คือรู้ว่ากิเลสหมดไปนี้เหมือนกันหมด ส่วนความรู้ปลีกย่อยนี้ไม่เหมือนกัน ผู้ที่ได้ศึกษาตำราทางศาสนามากจะเข้าใจ แต่ผู้ที่ศึกษาน้อยอาจจะยังสงสัย จึงได้เขียนไว้ในที่นี้ด้วย
    พญานาคที่ว่านั้น เดี๋ยวนี้กลับมาที่เดิมแล้ว และมีน้ำไหลซึมออกมาอีกเหมือนเดิม
    จากนั้นท่านก็ได้เที่ยววิเวกต่อไปทางอำเภอธาตุพนม และนครพนม กลับมาอำเภอนาแก พักอยู่ที่ถ้ำตาฮด ปัจจุบันชื่อถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแจ้งมะหับ พักอยู่นั้นได้ประมาณ ๑ เดือน มีเรื่องที่ขบขันอยู่เรื่องหนึ่ง
    คือเมื่อท่านพักอยู่นั้น ชาวบ้านยังไม่รู้จักท่านเพราะไม่เคยอยู่มาก่อน เขาพากันถามถึงชื่อของท่าน ท่านก็บอกชื่อท่านว่า ญาพ่อผักกะโดน คือปกติท่านอาจารย์ท่านจะชอบฉันผักเป็นพิเศษ และหน้านั้นผักกะโดนกำลังออกดอก ท่านก็เลยบอกชื่อของท่านแบบนั้น
    ชาวบ้านพากันหัวเราะ พอพักที่นั้นพอสมควรแล้ว ก็เดินทางกลับบ้านห้วยทราย และจำพรรษาที่บ้านห้วยทรายในปี พ.ศ. ๒๕๐๑
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านก็กลับบ้านศรีฐานอีกประมาณเดือนธันวาคม พาสามเณรน้อย สามเณรอุ่นไปรับใบหมายเรียกจะเข้าเกณฑ์ทหาร แต่เนื่องจากสามเณร ๒ องค์นี้ สอบนักธรรมได้
    คือทางการเขาอนุญาตให้ยกเว้นได้ ท่านจึงขอให้เขายกเว้นให้ เมื่อเสร็จธุระแล้วท่านก็ออกจากบ้านศรีฐานไปทางอำเภอมุกดาหาร ไปพักอยู่ที่ภูวัด เพราะว่าภูวัดนี้อากาศดี ท่านอาจารย์ชอบสถานที่แห่งนี้
    มีเวลาผ่านไปทางนั้น ท่านจึงมักจะไปพักอยู่บ่อย เมื่อพักอยู่พอสมควรแล้วก็เดินทางต่อไปยังภูเก้า บ้านโคกกลาง สมัยก่อนขึ้นกับอำเภอคำชะอี แต่ทุกวันนี้คงขึ้นกับอำเภอนิคมคำสร้อย
    ครั้นพักอยู่ที่ภูเก้าพอสมควรแล้ว ก็ได้เดินทางต่อไปยังบ้านห้วยทราย และได้ทำการบวชพระ ให้แก่สามเณรน้อย สามเณรอุ่น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ท่านก็ได้จำพรรษาที่บ้านห้วยทรายอีก เป็น ๒ พรรษา
    พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร (ต่อ)
    วัดป่าแก้ว บ้านชุมพล อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    Like a lot.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...