พระเจ้าแห่งความรักแท้ตลอดกาล...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย nantanatt, 19 พฤศจิกายน 2016.

  1. nantanatt

    nantanatt Alien123

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +5
    พระเจ้า(God) คือ ความรักที่แท้จริงสูงสุด(untimate real love) จึงเป็นความเป็นหนึ่งเดียวสูงสุดที่ได้เชื่อมสิ่งต่างๆไว้เป็นหนึ่งเดียวด้วยความรักแท้ความสุขที่แท้จริงตลอดกาล,ดังนั้น ตัวเราและสิ่งต่างๆที่แบ่งแยกแตกต่างกันมากมายมหาศาลด้วยความเกลียดความทุกข์เจ็บปวดทรมานในโลกในเอกภพของเรานี้จึงไม่ได้ถูกแบ่งแยกออกจากกันสำหรับพระเจ้าเลย หรือ โดยแท้จริงแล้วจึงไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่แบ่งแยกแตกต่างกันมหาศาลจริงๆเลย,ตัวเราและสิ่งต่างๆทั้งหมดเป็นเพียงมายา ความคิดจินตนาการแผนของพระเจ้า(imagine thinking of God) เท่านั้นทั้งหมดทั้งปวงจะมีก็แต่พระเจ้าล้วนๆหนึ่งเดียวตลอดกาล....

    [​IMG]

    ดังนั้น สำหรับพระเจ้าจึงไม่มีตัวเราและสิ่งต่างๆในโลกที่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้เลย หรือ ตัวเราและสิ่งต่างๆในโลกเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วตลอดกาลโดยธรรมชาติไม่สามารถแบ่งแยกออกจากพระเจ้าได้เลยไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม.

    ซึ่งเมื่อเรามองจากอวกาศเหนือโลกเราจะเห็นว่าตัวเราเป็นแค่จุดเล็กๆที่ว่างเปล่าแทบมองไม่เห็นเลย,เมื่อมองจากเอกภพอันกว้างใหญ่เราจะเห็นโลกที่เราอาศัยอยู่ก็เป็นแค่จุดเล็กๆที่ว่างเปล่าแทบมองไม่เห็นเลย และ เมื่อมองจากพระเจ้าก็จะเห็นเอกภพที่โลกเราอยู่ก็เป็นแค่จุดเล็กๆที่ว่างเปล่าแทบจะมองไม่เห็นเลยเช่นกัน. ดังนั้น สำหรับพระเจ้าแล้วตัวเราและสิ่งต่างๆทั้งหมดในเอกภพเป็น เพียง สิ่งธรรมดาๆ(normal things) เป็นแค่จุดเล็กๆที่แสนปกติธรรมดาที่แทบไม่มีอะไรน่าสนใจเลยพระเจ้าจึงไม่มายุ่งอะไรกับตัวเราและสิ่งต่างๆในเอกภพ และ เมื่อตัวเรามองพระเจ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตเหนือทุกสิ่งในเอกภพนั้นเราก็จะเห็นว่าพระเจ้าเป็นแค่ความว่างธรรมดาๆที่ว่างเปล่าไม่สามารถมองเห็นได้เช่นกันแต่จริงๆแล้วพระเจ้าเป็น สิ่งที่ธรรมดาที่สุด(best normal thing).

    [​IMG]

    ซึ่งพระเจ้านั้นเป็นความธรรมดาๆที่ว่างเปล่าล้วนๆไม่มีอะไรเลยแต่สามารถบรรจุเอกภพที่บรรจุโลกต่างๆที่บรรจุสิ่งต่างๆมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วนรวมทั้งตัวเราเอาไว้ได้ตลอดกาลจึงเป็นที่สุดแห่งความธรรมดา หรือ สิ่งที่ธรรมดาที่สุด,อันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความธรรมดาและไม่ธรรมดาในโลกเหนือความน่าเบื่อไม่น่าสนใจและเร้าใจน่าสนใจในโลกจึงเป็นสิ่งเดียวที่น่าสนใจตลอดกาล...

    แต่อย่างไรก็ตามเราไม่ควรรีบที่จะหยุดเลิกสนใจตัวเราและสิ่งต่างๆในโลกเสียในทันทีเพราะนั่นจะยิ่งกลับยิ่งทำให้เราสงสัยอยากรู้อยากเห็นอยากสนใจตัวเราและสิ่งต่างๆในโลกมากขึ้นกว่าเดิม,หากมีโอกาสเราจึงควรทดลองทุ่มเทสนใจวิเคราะห์ศึกษาเรียนรู้เข้าใจตัวเราและสิ่งต่างๆในโลกให้เต็มที่เต็มกำลังเท่าที่เราจะทำได้จนเราเบื่อหน่ายไม่อยากสนใจอะไรในโลกอีกแล้วเราก็อยากที่จะหันมาสนใจแต่พระเจ้าล้วนๆเองอย่างเต็มใจในที่สุด.

    จิต(mind) ซึ่งเป็นตัวเราที่แท้จริง(ที่ไม่มีตัวตน)ที่สามารถสั่งการบังคับร่างกายของเราได้นั้นจึงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว,ซึ่งตัวเราที่แท้จริง หรือ จิตธรรมดาๆ(normal mind) ของเราที่กำลังคิดนึกรู้สึกอยู่ตามปกติธรรมดาตอนนี้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว.เพียงให้จิตธรรมดาๆสำนึกว่าเป็นตัวเราที่แท้จริง(ที่ไม่มีตัวตน)ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วนั้นให้ได้จนจิตธรรมดาๆสามารถรู้สึกด้วยความรู้สึกที่แท้จริงจากส่วนลึกที่สุดของจิตใจตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วจริงๆรู้สึกไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าให้ต้องลุถึงรู้สึกถึงได้แล้วจิตของเราก็จะสามารถส่องแสงพลังแห่งรักแท้ที่อมตะเหนือโลกของพระเจ้าได้ทันที.

    ความรู้สึกที่แท้จริงจากจิตใจที่ลึกที่สุดของเราที่เกิดขึ้นนั่นแหละที่กำลังแสดงว่าเรากำลังมีความรักแท้กับพระเจ้าอยู่ในตอนนี้แล้ว และ ความรู้สึกที่แท้จริงนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก ความรู้สึกธรรมดาๆ(normal feeling) ที่เรากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ที่รู้สึกเฉยๆธรรมดาปกติรู้สึกทุกข์ก็ไม่ใช่และรู้สึกสุขก็ไม่ใช่นั่นเองที่จะเป็นความรู้สึกแห่งรักแท้ที่บริสุทธิ์เหนือความรู้สึกสุข-รู้สึกทุกข์ทั้งปวงในโลก.ซึ่งก็คือ สติธรรมดาๆ(normal mindfulness) ของเราที่กำลังรู้สึกตัวตามปกติธรรมดาอยู่ในตอนนี้นั่นเองที่อยู่เหนือการตื่น(รู้สึกตัวอยู่)และการหลับ(ไม่รู้สึกตัวอยู่)ในโลก.ตัวเราจึงหายไปอย่างสิ้นเชิงดับไม่เหลือไม่มีจิต,ไม่มีร่างกาย,ไม่มีชีวิต,ไม่มีความรู้สึกใดๆในโลกอีกต่อไปเหลือแค่เพียงสติล้วนๆเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าตลอดกาล...


    [​IMG]

    ดังนั้น จึงไม่มีอะไรให้เราต้องทำมากไปกว่า การทำสมาธิ(meditation) เพื่อให้จิตธรรมดาๆของเรามีสติสำนึกรู้สึกตัวอยู่เสมออย่างต่อเนื่องว่า "ตัวเราที่แท้จริง(ที่ไม่มีตัวตน) หรือ จิตธรรมดาๆของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว" ไม่มีสักอนุภาคเดียวที่เล็กที่สุดที่อาจเป็นไปได้จริงที่ตัวเราและสิ่งต่างๆในโลกจะสามารถลุถึงรู้สึกถึงพระเจ้าในฐานะสิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ที่สามารถแยกออกจากกันได้จริงๆจนเรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆด้วยความรู้สึกธรรมดาๆของเราว่าทั้งหมดทั้งปวงไม่มีอะไรเลยนอกจากพระเจ้าล้วนๆตลอดกาล,ไม่มีอะไรที่สามารถลุถึงอะไรได้จริงๆไม่มีตัวเราและสิ่งต่างๆในโลกที่สามารถแบ่งแยกจากกันจริงๆจากพระเจ้าจนสามารถลุถึง,เข้าถึง,กลับไปรวมกับพระเจ้าได้เลย.จะมีอยู่ก็แต่สติธรรมดาๆของเราที่เป็นพระเจ้าเท่านั้นเอง.

    ซึ่งในขณะที่เรากำลังมีสติธรรมดาๆที่กำลังรู้ตัวตามปกติธรรมดาๆที่อยู่เหนือการตื่นและการหลับในโลกอยู่นี้,เราจึงกำลังอยู่ใน โลกความฝันเสมือนจริงอันยิ่งใหญ่(great visual dream world) ที่เป็นเพียงมายาความคิดจินตนาการแผนของพระเจ้าเท่านั้น. เราจึงไม่จำเป็นต้องมีการนอนหลับในโลกอีกเพราะเราก็ไม่ได้ตื่นอยู่แล้วเราแค่ฝันไปเท่านั้น และ ในโลกความฝันเสมือนจริงอันยิ่งใหญ่นี้ก็ไม่ได้มีอะไรให้ลุถึงอะไรได้จริงๆตลอดกาลเลยเราจึงไม่จำเป็นต้องกินอาหารดื่มน้ำก็ได้. เพราะถ้าหากเรานอนหลับไปแม้แค่งีบเดียวเราจะขาดความต่อเนื่องของสติธรรมดาๆไปทันทีทำให้สติธรรมดาๆเราขาดพลังและหากเรากินอาหารไปแม้แค่คำเดียวดื่มน้ำไปแม้แต่หยดเดียวเราจะรู้สึกว่ามีร่างกายจริงๆของเราแยกจากสิ่งอื่นๆในโลกทันทีที่จะทำให้เราเกิดความรู้สึกมีความสุข หรือ ทุกข์เจ็บปวดทรมานจริงๆจนขาดสติไปในที่สุด,ซึ่งเราควรพยายามรักษาสติธรรมดาๆของเราให้มีอยู่ต่อเนื่องตลอดเวลาเท่าที่เราจะทำได้เพื่อที่เราจะได้มีพลังแห่งความรู้สึกธรรมดาๆที่อยู่เหนือความง่วง,ความหิว,ความเบื่ออันเป็นความทุกข์เจ็บปวดทรมานในโลกได้แล้วเราจะสามารถไม่ต้องนอนหลับและไม่ต้องกินอาหารดื่มน้ำได้จริง.

    แต่อย่างไรก็ตามเราไม่ควรรีบที่จะอดนอนหยุดกินอาหารดื่มน้ำเสียในทันทีเพราะนั่นจะยิ่งกลับทำให้เรายิ่งกลับง่วงอยากนอนหิวอยากกินอาหารดื่มน้ำมากขึ้นกว่าเดิม,หากมีโอกาสเราจึงควรทดลองนอนและกินอาหารดื่มน้ำให้เต็มที่เต็มอิ่มเท่าที่เราจะทำได้จนเราเบื่อหน่ายไม่อยากนอนอยากกินอยากดื่มอะไรอีกแล้วเราก็จะสามารถอยากที่จะไม่ต้องนอนหลับและไม่ต้องกินอาหารดื่มน้ำได้เองอย่างเต็มใจในที่สุด.

    ชีวิตธรรมดาๆ(normal life) ก็คือการใช้ชีวิตตามปกติธรรมดาๆไปวันๆด้วยสตธรรมดาๆความรู้สึกธรรมดาๆที่จะไม่มีการง่วงจนต้องนอนหลับและการหิวจนต้องกินอาหารดื่มน้ำใดๆ,โดยที่เราจะไม่ได้รู้สึกสนใจยึดมั่นถือมั่นสัมพันธ์กับสิ่งใดในโลกความฝันมายาเสมือนจริงอย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษด้วยจะยึดมั่นถือมั่นแต่พระเจ้าเป็นสรณะสูงสุดเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นโดยการมีความรักแท้กับพระเจ้าทำสมาธิใช้จิตธรรมดาๆสำนึกรู้สึกว่า "จิตธรรมดาๆของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วโดยธรรมชาติทั้งหมดทั้งปวงไม่มีอะไรเลยนอกจากพระเจ้าล้วนๆตลอดกาล..." จนเกิดความรู้สึกธรรมดาๆอันเป็นสติธรรมดาๆที่จะทำให้เราสามารถมีชีวิตอมตะนิรันดร์(ที่ไม่มีชีวิต)ร่วมกับพระเจ้าได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าเพราะชีวิตธรรมดาๆเราจะมีพลังมหาศาลของสติธรรมดาๆที่ต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนเพราะเราไม่ต้องนอนหลับและกินอาหารดื่มน้ำใดๆเลยเราจึงเป็นอมตะอิสระสมบูรณ์ในตัวเองแบบพระเจ้า.

    แต่อย่างไรก็ตามเราไม่ควรรีบที่จะมีชีวิตอมตะร่วมกับพระเจ้าเสียในทันทีเพราะนั่นจะยิ่งกลับทำให้เรายิ่งกลับอยากเวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตายในโลกตลอดไปมากขึ้นกว่าเดิม,หากมีโอกาสเราจึงควรทดลองใช้ชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตายในโลกให้เต็มที่มีอายุยาวนานมหาศาลท่องเที่ยวอย่างเต็มอิ่มอยากทำอะไรก็ทำเท่าที่เราจะทำได้มัวเมาในกิเลสตัณหาให้เต็มที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกให้เต็มที่สุขก็สุขให้เต็มที่ทุกข์ก็ทุกข์ให้เต็มที่จนเราเบื่อหน่ายไม่อยากไม่ต้องการอะไรในชีวิตในโลกอีกแล้วไม่อยากใช้อารมณ์ความรู้สึกอะไรอีกแล้วไม่อยากทำอะไรอีกแล้วเราก็จะสามารถอยากมีชีวิตอมตะร่วมกับพระเจ้าตลอดกาลได้เองอย่างเต็มใจในที่สุด.

    เราจึงใช้ชีวิตเหมือนเด็กน้อยที่ตรงไปตรงมาต่ออารมณ์ความรู้สึกง่วงก็นอน,หิวก็กิน,เบื่อก็เที่ยว(ถ้าไม่ง่วงก็ไม่นอน,ไม่หิวก็ไม่กิน,ไม่เบื่อก็ไม่เที่ยว)ที่จะใช้ชีวิตง่ายๆตามปกติธรรมดาๆด้วยสติธรรมดาๆความรู้สึกธรรมดาๆไปวันๆด้วยความรักแท้กับพระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างตัวเราผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของเรา. ที่เราจะสามารถส่องแสงความรักแท้ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาให้กับชาวโลกได้ประจักษ์แบบเด็กน้อยได้ไม่ว่าเราจะมีอายุเท่าไหร่ในโลกก็ตามเราก็ยังเป็นเด็กน้อยสำหรับพระเจ้าเสมอ,โดยเราจะกลายเป็น เด็กอมตะเหนือโลก(immortal super children) หรือ จอมมารบุตรของพระเจ้า(grand devil son of God)ที่เป็นมนุษย์กึ่งมารกึ่งเทพเหนือการแบ่งแยกของความดีและความชั่วในโลกที่สามารถส่องแสงความดีงามแท้จริงของความรักแท้ของพระเจ้าที่บริสุทธิ์เหนือความดี-ความชั่วของนิยมความเชื่อต่างๆในโลก(ที่ขัดแย้งสับสนยุติไม่ได้เหล่านั้น)ให้ชาวโลกได้ประจักษ์แจ้งได้.

    ด้วยพลังแห่งสติธรรมดาๆความรู้สึกธรรมดาๆอันเป็นความรักแท้อมตะเหนือโลกของพระเจ้าเราก็จะกลายเป็นเด็กอมตะเหนือโลกเหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตายในโลกที่มีสุขภาพจิตดีไม่เครียดวิตกกังวลคิดมากกับสิ่งต่างๆในโลกด้วยยึดมั่นถือมั่นแต่สติธรรมดาๆด้วยความรู้สึกธรรมดาๆความรู้สึกแห่งรักแท้ต่อพระเจ้าที่บริสุทธิ์อมตะเหนือโลกที่ปราศจากความทุกข์เจ็บปวดทรมานในโลกสิ้นเชิงเราจึงไม่เจ็บ(เป็นจอมมารที่มีพลังจิตลึกลับสามารถกำจัดมารสัตว์นรกทั้งปวงศัตรูความสกปรกของชีวิตได้สิ้นซากได้อย่างน่ากลัว),เมื่อเรามีสุขภาพจิตดีจึงทำให้เรามีสุขภาพกายดีสดใสแข็งแรงปราศจากโ่รคภัยเป็นหนุ่มอมตะเหนือโลกเราจึงไม่แก่(เป็นบุตรของพระเจ้าที่มีพลังทางร่างกายมหาศาลสามารถช่วยเหลือมิตรเทพบุตรนางฟ้ามหาศาลให้หายเศร้าหมองได้อย่างน่ารัก) และ ในที่สุดก็จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีปลอดภัยมีความสุขอายุยืนยาวมหาศาลแบบกึ่งมนุษย์กึ่งหุ่นยนต์ที่มีชีวิตอยู่มีความรู้สึกอยู่ก็ไม่ใช่และไม่มีชีวิตอยู่ไม่มีความรู้สึกอยู่ก็ไม่ใช่จึงเป็นอมตะเหนือโลกเหนือสิ่งมีชีวิตทั่วไปในโลกเราจึงไม่เกิด-ไม่ตาย(เป็นมนุษย์กึ่งมารกึ่งเทพที่ทั้งน่ารักและน่ากลัวที่มีพลังชีวิตมหาศาลเป็นอมตะร่วมกับพระเจ้าผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงตลอดกาลเหนือความแปรปรวนเกิด แก่ เจ็บ ตายในโลก).

    [​IMG]

    สำหรับพระเจ้าแล้วความดีและความชั่วเป็นสิ่งเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันจริงๆได้เลย,ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งต่างๆในโลกจะมองว่าเราดีชั่วจะชมยกย่องจะด่าสาปแช่งเราทำให้เรามีความสุขมีความทุกข์แค่ไหนยังไงเราก็จะรู้สึกธรรมดาๆไม่สนใจยึดมั่นถือมั่นเพราะเราเพียงแค่จะใช้ชีวิตตามปกติธรรมดาไปวันๆด้วยสติธรรมดาๆด้วยความรักแท้ต่อพระเจ้าจนสามารถส่องแสงความบริสุทธิ์เหนือโลกของพระเจ้าเพื่อพิสูจน์รักแท้ของเราที่มีต่อพระเจ้าให้โลกได้รู้จนกว่าเราจะจากโลกนี้ไปก็แค่นั้นเอง,ด้วยในใจเรารักแท้แต่กับพระเจ้าที่เป็นรักแท้ของเราเพียงสิ่งเดียวตลอดกาลเท่านั้นเพราะทั้งหมดทั้งปวงไม่มีอะไรเลยนอกจากพระเจ้าล้วนๆตลอดกาล....


    (***หมายเหตุ:เป็นการรวมความรู้ต่างๆที่มีอยู่ในโลกที่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันจึงเป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจรณญาน)



    (ขอบคุณภาพประกอบจาก Google)
     
  2. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    อาณุภาพของรักแท้สินะ ทำให้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ความรักของพระเจ้า เหมือนความรักของแม่ในแดนธรรม

    สร้างสรรพสิ่ง ในโลกธาตุ รองรับการเกิดของหมู่สัตว์

    ไม่ว่าเกิดเป็นอะไร

    เกิดในครรภ์
    เกิดในไข่
    เกิดในที่โสโครก
    เกิดในแดนทิพย์
    เกิดในนรก
     
  4. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ชอบคับ มีความลึกมีมิติ เข้าใจไม่ยากด้วยคับ

    ปล. เดี๋ยวจะกลับมาอ่านของคุณหรัสคับผม ขอไปทำธุระก่อน
     
  5. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ผมชอบนะคับที่คุณจขกท. บอกว่าให้ใช้ชีวิตให้เต็มที่เสพกินจนเบื่อหน่ายไปเอง สำหรับผู้ที่กำลังแสวงหาความหมายของชีวิต ส่วนใหญ่จะผ่านจุดนั้นกันมาแล้วทั้งสิ้น จนเข้าใจว่าแท้จริงแล้วชีวิตที่สงัดและธรรมดาสามัญเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและจักรวาล ก็แค่การกินเมื่อหิว นอนเมื่อง่วง สัญชาตญาณสัตว์ป่าจะล่าก้อต่อเมื่อมันหิว มันไม่ได้ขวนขวายอะไรให้กับชีวิตจนเกินแก่ขอบเขตเลย

    บทความนี้ต้องอ่านอีกหลายรอบคับ เพราะมีความลึกแต่เรียบง่ายอยู่ด้วยกัน สามารถแตกประเด็นไปได้อีกมากมาย
     
  6. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    เสือมันไม่เคยล่าสัตว์อื่นด้วยเหตุผลที่มากกว่าความหิว
    ไม่เคยฆ่าเพื่อสนองความต้องการด้านอำนาจ
    และไม่เคยมีข้อเรียกร้องใดต่อสัตว์พันธุ์เดียวกัน
    มันอยู่โดยลำพังเป็นส่วนใหญ่
    หากไม่นับห้วงเวลาที่ฟ้าดินสั่งให้มีความรักแล้ว
    ก็อาจต้องถือว่ามันเป็นสัตว์โดดเดี่ยวที่สุดชนิดหนึ่ง
    ทั้งโดดเดี่ยวและสันโดษ
    ความโดยเดี่ยวและสันโดษนับเป็นความเรียบง่าย
    แต่ก็เช่นเดียวกับความเรียบง่ายทั้งปวงในโลก
    สิ่งนี้คือผลพวงแห่งความซับซ้อน

    คนกับเสือต่างกันลิบลับ เสือฆ่าเพียงเพื่อประทังชีวิต
    ขณะที่คนกลับฆ่าเพื่อการเเสวงหาอำนาจ

    Bloggang.com :
     
  7. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมว่าไม่น่าจะหมายถึงความพอดีหรือความสมดุลย์หรอก
    ผมว่าน่าจะเป็นอาการที่เป็นไปไม่ว่ามันจะตกอยู่ในสภาวะใดมากกว่า

    ยกตัวอย่าง น้ำ เรารู้จักกันว่า มีสามสถานะ

    ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ

    ธรรมดาของน้ำ ไม่ใช่เป็นเฉพาะ ของแข็ง ไม่ใช่เฉพาะที่เป็นก๊าซ ไม่ใช่เฉพาะที่เป็นน้ำ แต่ ทุกสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับน้ำและเป็นความจริง ที่สามารถพิสูจน์ได้เกี่ยวกับน้ำ นั่นคือธรรมดาของน้ำครับ

    น้ำเมื่อมีอุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง มันย่อมกลายสภาพเป็นของแข็งเป็นธรรมดา ในอุณหภูมิห้องมันจะมีลักษณะเป็นของเหลว ถ้าเอาไปต้มจนเดือด มันจะระเหยไปเป็นก๊าซได้ เป็นธรรมดา เป็นเรื่องปกติ

    คนเราเมื่อได้รับการปฏิบีติดี ย่อมมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้ปฏิบัติดีกับเราเป็นธรรมดา เมื่ออยู่ด้วยกันแค่รู้จักหน้า กฝ้คงจะเดินผ่านกันไปมาเฉย ๆ เมื่อไม่ชอบหน้ากัน เวลาเดินผ่านกันบ้างกฝ้อาจจะเกฝ้บอาการได้ หรือ แสดงออกทางสีหน้าวาจาใส่กัน อะำรประมาณนี้

    เป็นต้น

    ที่จริงน้ำยังมีหลายสถานะกว่า สาม หรือจะศึกษาลงลึกถึงระดับอะตอมก็แล้วแต่แนวทางของใครของมัน สำหรับบางคน แค่น้ำแก้วเดียวก็มีเรื่องให้ศึกษามากมาย บางคน ดื่มแค่ดับกระหายก็เลิกสนใจแลว = = ธรรมดามันก็เป็นของมันอยู่แบบนั้น


    ธรรมดาบางครั้งก็เรียบง่าย บางครั้งก็ซับซ้อนครับ

    และผมมองว่าธรรมดาไม่ใช่ความพอดี หรือ ballance แต่
    ธรรมดาคือ ความรู้ ที่เป็นความจริง ทุกอย่างเลย ที่สามารถนำไป "ประกอบ" การพิจารณาเพื่อปล่อยวางไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ใน สรรพสิ่งครับ
    ส่วนใครจะพิจารณาปล่อยวางได้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับ ปัญญาที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันล่ะนะ

    ข่าวดี เราไม่จำเป็นต้องรู้ธรรมดาของทุกสิ่ง ก็สามารถถึงพระนิพพานได้ พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นประจักษ์พยานให้เราได้ครับ

    ส่วนวิธีนิพพาน ผมยังไม่รู้ ต้องศึกษากับพระอริยะเจ้าท่านเอาเอง


    อ่อ ผมมองว่า ความพอดีไม่ใช่ความธรรมดานะครับ

    แต่ความพอดี สามารถเกิดจากความธรรมดาได้
    และในขณะเดียวกัน ความธรรมดาก็สามารถเกิดได้จากความพอดีเช่นกัน
    เพราะความธรรมดา คือ สภาวะที่มันเป็นไปของทุกสิ่ง เป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ครับ
    ส่วนความพอดีนี่ นิยามลำบากนะ เพราะความพอดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน ซึ่งด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้า ท่านจึง สั่งสอนพระธรรมที่เป็นความรู้ และข้อปฏิบัติ เพื่อปรับ สภาวะจิตใจให้พอดีต่อการบำเพ็ญเพียร เพื่อที่จะได้บรรลุมรรคผล นิพพาน ออกจากวัฏสงสารได้โดยเร็ว



    ธรรมดาที่ถูกต้องย่อมมาจากความพอดีที่ถูกต้องครับ
    อยากได้ทุเรียน เอาเม็ดอะโวคาโดไปเพาะย่อมไม่ได้
    พระพุทธเจ้าท่านสอน ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไว้ให้แล้วในพระไตรปิฏก ผู้เป็นสาวกพึงศึกษาครับ

    ส่วนผม พุทธภูมิ คงต้องขอขมาต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ ต้องขอแสวงหาปัญญาอันยิ่งให้ตนเองก่อน เพื่อที่สักวันผมจะได้เป็นผู้ สั่งสอนสัตว์โลกทั้งลายให้เกิดปัญญาออกจากวัฏสงสารเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ได้ตรัสรู้มาแล้ว ในอนันตรจักรวาล มานับ อนันตรกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2016
  8. Buddha's Child

    Buddha's Child Buddha,God,Mother Nature and Universe bless U

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2017
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +209
    พระเจ้าคือความดีงาม ความรัก ความตื่นรู้ พลังที่ครอบคลุมไปในสรรพสิ่ง เป็นอย่างเดียวกับธรรมชาติแห่งพุทธะ
    พระเจ้าคือพุทธะ พุทธะคือพระเจ้า
     
  9. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    • พระเจ้าที่ท่านจขกทกล่าวคือsupreme God หรือ prime creator ณ ช่วงจุดเวลาไหน
    เพราะอัสดงเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยี
    แต่ยังคงศรัทธาในศาสนา
    เพราะหากไม่มีศาสนาบ้านเมืองก็ไม่มีกฎหมายว่าสมควรอยู่ภพภูมิใด
    ปัจจุบันที่มิตินี้แต่เป็นอดีตที่มิติโน้น
    อนาคตที่มิติโน้นกลายเป็นปัจจุบันที่มิติอื่น
    ความต่างมิติมากมาย
    สรุปว่าพระเจ้าของมิติไหนล่ะท่าน
    แล้วหากไม่สร้างนิพพานมาเล่าให้ฟัง
    ก็ควบคุมฝูงชนไม่ได้
    เพราะทุกคนล้วนแต่มีความอยากรู้อยากเห็น
    ว่าตายแล้วไปไหนฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  10. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    ความรักมีจริงหรือ
    หรือจะเรียกว่าการพิพากษา
    ลองเอาไปตรองดูนะท่านๆ
    หากทำผิดท่านจะไม่ตัดสินให้ไปนรก
    แต่ให้แก้ตัวใหม่มั้ย
    หากทำเช่นนี้
    อัสดงจึงจะเชื่อเรื่องความรัก
    เพราะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเหมือนพ่อแม่รักเรา
    อัสดงเชื่อว่าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องเหตุผล
    มิใช่ความรักเหมือนแชร์ลูกโซ่
     

แชร์หน้านี้

Loading...