พลังการสวดมนต์

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 13 มีนาคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width=600 border=0><TBODY><TR><TD align=middle>พลังการสวดมนต์</TD></TR><TR><TD><TABLE width=590 align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[​IMG]</CENTER>

    "I would never trust a healer who does not have respect for both science and spirituality" LARRY DOSSEY, M.D.

    ต้องนับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากต่อความเข้าใจของคนสมัยใหม่ว่า ทำไมถึงได้มี "การสวดมนต์" กัน คนสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อและไม่ศรัทธาต่อเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ดูจะขัดกันกับ "ระบบคิดทางวิทยาศาสตร์" แต่บางคนที่เปิดใจหน่อยก็ได้แต่เพียงใช้คำที่ว่า "ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่"

    ผมก็คงต้องมีคำถามกระทุ้งใจคนสมัยใหม่กันหน่อยครับว่า "ระบบคิดทางวิทยาศาสตร์" ที่ใช้กันอยู่จนนำมาเป็นมาตรฐานทางสังคม มาตรฐานการใช้ชีวิตในปัจจุบันนั้นแน่ใจหรือว่าถูกต้องดีแล้ว? แน่ใจหรือว่าทันสมัยดีพอ? หรือเป็นเพียง "วิทยาศาสตร์เก่า" ที่ใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17

    กรอบความคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่าที่ว่าเหล่านี้ได้เข้ามีผลและแทรกซึมเข้าไปใน "วิถีชีวิต" ของคนสมัยใหม่แบบที่ไม่รู้สึกตัวมานานแล้ว ว่าต้องเชื่อสิ่งที่เห็นจริงเท่านั้น แต่ก็แปลกใจที่ในบางครั้งสิ่งที่เห็นอยู่ว่าจริง ก็ยังรู้สึกไม่เชื่อหรือเชื่อไม่ได้ โดยที่ลืมคิดไปว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าตนเอง แต่เป็นเพราะกรอบความคิดของตัวเองต่างหากที่ตั้งกรอบไว้และไม่ยอมรับสิ่งที่อยู่นอกกรอบ

    ผมอยากจะยกตัวอย่างงานวิจัยทางการแพทย์ที่น่าสนใจมากงานหนึ่ง ได้ "ชกหมัดตรงใส่หน้า" วิทยาศาสตร์เก่าแบบชนิดที่เรียกว่า "หน้าหงาย" ที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมผลงานวิจัยถึงได้มีผลออกมาแบบนั้น

    งานวิจัยชิ้นนี้เป็นของคุณหมอโรคหัวใจชาวอเมริกันท่านหนึ่งที่ชื่อ Randolf Byrd, M.D. ที่ทำตั้งแต่ปี 1988 แล้ว โดยได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ว่ามีผลอย่างไรต่อคนไข้ที่ได้รับการสวดมนต์ให้ คุณหมอ Byrd ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ในคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดจำนวน 393 คน ที่โรงพยาบาลซานฟรานซิสโก โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 192 คน เป็นคนไข้กลุ่มที่มีกลุ่มสวดมนต์ในโบสถ์ทางคริสตศาสนาเป็นผู้สวดภาวนาให้ และกลุ่มที่สองจำนวน 201 คน เป็นคนไข้ที่ไม่มีคนคอยสวดมนต์ให้ ส่วนตัวแปรด้านอื่นๆ เช่น การใช้ยา อายุ เพศ ความก้าวหน้าของโรค ได้รับการควบคุมให้เป็นไปอย่างสุ่มตามมาตรฐานงานวิจัยเป็นอย่างดี

    ผลการทดลองเมื่อผ่านไป 10 เดือน พบว่า คนไข้โรคหัวใจในกลุ่มที่หนึ่งซึ่งมีคนคอยสวดมนต์ให้นั้นใช้ยาปฏิชีวนะน้อยกว่าคนไข้ในกลุ่มที่สอง 5 เท่า เกิดสภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจในเรื่องน้ำท่วมปอด(Pulmonary Edema) น้อยกว่า 3 เท่า ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ(Endotracheal Intubation) น้อยกว่า 12 เท่า

    ผลการทดลองครั้งนี้มีนัยสำคัญทางสถิติที่เชื่อถือได้ว่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ (ยังมีงานวิจัยที่ได้ควบคุมตัวแปรอื่นๆ เป็นอย่งดีอีกหลายรายงานในทำนองเดียวกันนี้

    งานวิจัยครั้งนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย "วิทยาศาสตร์เก่า" ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์แบบวัตถุ วิทยาศาสตร์แบบเส้นตรง แบบที่ใช้กันมาได้เลยว่า ทำไมการสวดมนต์จึงมีผลต่อการรักษาของคนใช้ได้มากมายขณะนี้ อยากจะเรียนว่าเรื่องนี้สามารถใช้ "วิทยาศาสตร์ใหม่" อย่างเช่นควอนตัมฟิสิกส์มาอธิบายได้ โดยไม่ได้ใช้ "ไสยศาสตร์" เหมือนอย่างที่หลายท่านอาจจะนึกถึง

    แต่หลายคนก็อาจจะแย้งว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีต่างๆ ก็ใช้ควอนตัมฟิสิกส์กันอยู่ดาษดื่นแล้ว ผมอยากจะเรียนว่าจริง ที่โลกปัจจุบันต่างก็ใช้ประโยชน์ของควอนตัมฟิสิกส์อยู่ แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่ปัจจุบันมนุษย์ได้นำประโยชน์ของควอนตัมฟิสิกส์มาใช้แต่เพียงแค่ในเรื่องของวัตถุเพื่อสร้างเทคโนโลยีเท่านั้น ไม่ได้โยงลึกเข้าไปในเรื่องของ "พลังงาน" ของจิตใจเลย

    แม้จะค่อนข้างยากต่อความเข้าใจไปบ้าง เพราะดูจะขัดกับกรอบความคิดและความเข้าใจของคนสมัยใหม่ แต่ผมก็คิดว่ามีความสำคัญ เพราะในควอนตัมฟิสิกส์นั้น สสารและพลังงานนั้นเปลี่ยนรูปไปมาระหว่างกันได้

    ร่างกายที่เป็นวัตถุของเรานั้นแท้ที่จริงก็มีสภาพของความเป็นคลื่นอยู่ด้วย ความคิดของเราหรือใครจะเรียกว่า "จิต" หรือ "ใจ" นั้น แน่นอนว่าก็คือกลุ่มของพลังงานชนิดหนึ่ง ซึ่งจะมีผลต่อกลุ่มพลังงานกลุ่มอื่นด้วย

    ความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงของพลังงานทั้งหมดในจักรวาลนี้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบและมีผลต่อกันและกันอย่างแยกไม่ออก เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกับการที่โยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำที่จุดหนึ่งก็จะต้องเกิดคลื่นกระทบทั่วไปกับน้ำทั้งบ่อนั้นนั่นเอง

    สภาพที่มีผลต่อกันในเรื่องของพลังงานในจักรวาลทั้งหมดนั้น เป็นสภาพที่คุณหมอ Larry Dossey, M.D. ใช้คำว่า "NonLocal" กล่าวคือพลังงานนั้นสามารถเคลื่อนไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่ติดกับมิติในเรื่องระยะทางหรือเวลา

    และเจ้าความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงต่างๆ นั้นสามารถอธิบายได้ด้วยสูตรทางควอนตัมฟิสิกส์ได้ทั้งหมด ด้วยสูตรและทฤษฎีต่างๆ มากมาย เป็นต้นว่า "Bell Theorem" ที่คิดขึ้นโดยนักฟิสิกส์ชาวไอริชที่ชื่อ John Stewart Bell บอกไว้และมีผลการทดลองทางฟิสิกส์ยืนยันได้ชัดเจนว่า

    "ถ้าวัตถุที่อยู่ไกลกันสองอย่างได้มาสัมผัสกัน(Contact) แล้ว หากว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพในวัตถุชิ้นหนึ่ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพในวัตถุอีกชิ้นหนึ่งด้วยโดยที่ไม่ว่าวัตถุทั้งสองจะถูกนำแยกออกไปห่างกันสักแค่ไหนก็ตาม"

    ในเรื่องของการสวดมนต์นั้นจึงเป็นเรื่องของ "พลังงานควอนตัม" ที่แน่นอนย่อมจะส่งผลไปยัง "เป้าหมาย" ที่ต้องการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    หรืออาจจะเลือกพูดในอีกแบบหนึ่งซึ่งจะเป็นที่เข้าใจได้ง่ายกว่าบ้างก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่ "จิตสำนึก" หรือ "จิต" หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ของมนุษย์นั้นมีผลต่อระบบหนึ่งของร่างกายที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบไม่นานนี้ และถือว่าเป็นสาขาวิชาใหม่ในทางการแพทย์สาขาหนึ่งเลยทีเดียว ก็คือเรื่องของสาขาวิชา "Psychoneuroimmunolgy" ที่มีการพิสูจน์ได้จริงทางวิทยาศาสตร์ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทางวิทยาศาสตร์ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในระบบประสาทระบบภูมิคุ้มกัน และระบบการทำงานของจิตใจที่มีเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก

    ถ้าอธิบายด้วยสิ่งที่เป็นจริงจากสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์สาขานี้ ก็อธิบายได้ว่า การสวดมนต์นั้นเป็นการ "เพ่งความคิด" อย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นการเพ่งที่อาศัยการรวมตัวของพลังความคิดที่ค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าเป็นไปตามทฤษฎีของสาขาวิชาที่ว่านี้ การทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ก็ย่อมจะได้รับผลจาก "การเพ่งความคิด" จากการสวดมนต์นั้นได้จริง

    ขณะนี้ ถึงเวลาหรือยังที่แพทย์สมัยใหม่จะสามารถเขียนสั่งในใบสั่งยา หรือเขียนในใบออร์เดอร์ที่ใช้ในโรงพยาบาล เป็นทำนองว่า "ให้สวดมนต์บท...(ชื่อบทสวดแทนที่จะเป็นชื่อยา)...นาน 15 นาที สามเวลาหลังอาหารและก่อนนอน" เป็นต้น


    คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ...โดย น.พ.วิธาน ฐานะวุทฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ------------------------
    Ref.
    http://www.tamdee.net/note/view.php?No=73
     
  2. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,254
    ดีจังครับ

    ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะให้เหตุผลว่าอะไรก็ตามทราบแต่ว่าปฏิบัติแล้ว พิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่าดีแน่ ๆ ครับ
     
  3. kanyaratsrimane

    kanyaratsrimane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +570
    เราก็ชอบสวดมนต์ค่ะ ทำให้จิตใจสงบสบาย ผิวสวยสดใส เรื่องนี้จริงนะ สาธุๆๆๆๆ(f)
     
  4. Manbiki

    Manbiki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอบคุณมากครับท่าน อนุโมทนา สาธุ....



    ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใดในชาติใดๆ ก็ตาม ขอให้เจ้าเวรและนายกรรม จงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อไปเลย

    แม้แต่กรรมที่ใครๆทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อไปด้วยอานิสงส์แห่งอภัยท่านนี้
    <O:p</O:p


    ขอให้ข้าพเจ้า ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนวงษาคณาญาติและผู้อุปการคุณของข้าพเจ้า มีความสุขความเจริญ ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี และสิ่งที่ชอบด้วยเทอญ



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  5. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เห็นด้วยกับคุณGunny
     
  6. กองทัพเทพ

    กองทัพเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +2,629
    หมายเหตุ
     
  7. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,189
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนา กับทุกท่าน การสวดมนต์ได้ผลดีจริงๆ ชัดเจนมากๆ
    รู้สึก เต็ม ไม่ขาด ไม่หว้าวแหว่ง มีพลัง ไม่เหงาหง้อยเศร้าซืม
    ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดอะไรไร้สะระ ถึงมีบ้างก็ขจัดไปได้รวดเร็ว
    สบายอกสบายใจ แถมผีไม่หลอก ไม่อำด้วย สบายใจ ชอบมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...