พลิกแพลงหลอกจิตด้วยสุภะ กับ อสุภะ โดยหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 8 กันยายน 2006.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    เทศน์อบรมพระเนื่องในวันเข้าพรรษาณ วัดป่าบ้านตาด<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เมื่อวันที่ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔<o:p></o:p>
    พลิกแพลงหลอกจิตด้วยสุภะกับอสุภะ

    โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน<o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>
    เราจุดไฟไว้ที่ไหนก็เป็นความสว่าง ในที่มืดไม่ถูกพระวินัยนะ ให้มีความสว่าง ท่านบอกว่าไม่ให้คุยกันในที่มืด มันเหมือนโจรเหมือนมาร นั่นพระวินัยมี ต้องให้มีแสงสว่างของไฟ พระวินัยข้อนี้ใครเห็นไหมนี่ แต่ผู้ไม่เห็นก็จะมีนะ ถ้าพูดถึงเรื่องพระวินัยผมจริง ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวดูพระวินัย ละเอียดลออมากอยู่นะ ได้อาศัยที่เคยอ่านเคยศึกษาเล่าเรียนมาหลายครั้งต่อหลายครั้งจึงพอจำได้ ถ้าพูดถึงพระวินัยละเอียดมากนะ เราเรียนเต็มที่อ่านเต็มที่ บุพพสิกขาไม่ทราบว่ากี่เที่ยว เล่มไหน อ่านละเอียดลออ นอกจากวินัยที่เป็นหลักสูตรของการสอบนักธรรมแล้ว เช่น วินัยมุข เล่มหนึ่ง เล่มสอง เล่มสาม เป็นประจำในหลักสูตร <o:p></o:p>
    นอกจากนั้นค้นคว้ามหาขันธ์ที่ไหน โอ๊ย ค้นจริงๆ เรื่องพระวินัยนี่ เพราะเรารักพระวินัย เหล่านี้ได้อาศัยที่ได้มาแต่ก่อนนะมาพูดทุกวันนี้ ความจำมันหลุดหายไปๆ พอยังมีเหลืออยู่บ้างก็ดังที่มาพูดให้ฟังนี้ อย่างไม่ให้คุยกันในที่มืด มันเป็นเหมือนโจรเหมือนมารท่านว่า ให้คุยกันในที่เปิดเผย คือมีฟืนมีไฟอย่างนี้ไว้จึงถูกตามพระวินัย คุยกันซุบซิบ ในที่มืดท่านปรับอาบัติ เหมือนโจรผู้ร้ายคุยกัน กระซิบกระซาบกัน นั่นเห็นไหมล่ะพระพุทธเจ้าละเอียดไหม เรื่องพระวินัยนี้เราจริงๆ เราเอาจริงเอาจังมาก ยิ่งไปอยู่คนเดียวด้วยแล้วยิ่งระมัดระวังมากทีเดียว เพราะเวลาเป็นอาบัติขึ้นมาไม่มีผู้แสดงซิ จึงต้องเข้มงวดกวดขันมากทีเดียว เรื่องจะให้คุยกับผู้กับคน โอ๋ย ไม่ละ ระมัดระวัง<o:p></o:p>
    พระ ๔๘ เณร เป็น ๕๐ ก็มีปีนี้ที่มากที่สุดพระเรา ผมก็ดังหมู่เพื่อนเห็นนั่นแหละ จะทำยังไงโลกมันเกี่ยวโยงกันอย่างนี้ ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำงานอย่างนี้ มันก็คงเกี่ยวกับเรื่องบุญเรื่องกรรมนั่นเองถึงได้มาเกี่ยวโยงกัน เราไม่เคยคาดเคยคิดมันก็ออกมาให้เห็นเป็นให้เห็นอย่างที่เป็นนี่ ธรรมดาแล้วจะไปยุ่งกับอะไร อายุก็แก่ขนาดนี้แล้ว คอยดูแต่ลมหายใจที่ขันธ์มันทำงานเท่านั้นเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ทีนี้แทนที่มันจะเป็นอย่างนั้น มันก็กลับเป็นอย่างที่เห็นนี่เป็นยังไง<o:p></o:p>
    ต่อไปนี้ก็จะพูดธรรมะบ้างเล็กๆ น้อยๆ เหนื่อยก็เหนื่อย พูดธรรมะอบรมพระเณรก็ไม่ได้อบรม ผมก็หยุดมาแต่อายุ ๘๐ นะ พออายุ ๘๐ แล้วก็หยุด การประชุมพระเณรนี้ไม่เอาแล้ว เพราะธาตุขันธ์มันก็พอประมาณของมันแล้ว นี่คิดดูซิน่ะ เหมือนหนึ่งว่าได้ปลงใจแล้ว ไม่เทศนาว่าการ ดูธาตุดูขันธ์ของตนไป พอถึงวันเวลาแล้วก็ปล่อยแล้วไปเลยเท่านั้นเอง แล้วอยู่ มันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ว่าไง มันเป็นอย่างนั้นนะ มันพลิกใหม่ขึ้นมา เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่เคยคิดเคยอ่านกระทบกระเทือนทั่วโลกดินแดนในชาติไทยของเรามันก็เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาแง่นั้นแง่นี้ขึ้นมาแล้ว นั่นละเรื่องมัน อะไรก็จะกุดจะด้วนไปตาม กันหมดชาติไทยทั้งชาติ ศาสนาก็จะไม่มีเหลือ เอ๊ ยังไงกัน ล่ะซี<o:p></o:p>
    ติดหนี้ติดสินเขารายหนึ่งๆ ๖๒ ล้านคน ติดหนี้เขาคนละห้าหมื่นๆ โถ เหยียบเข้ามาทุกด้าน โรคเราก็อ่อนลง มองหน้ามองหลังมองดูธาตุขันธ์ของเราก็หมดวิสัยแล้ว แล้วอยู่ๆ ก็เห็นไหมล่ะ หมอเติ้ง เมืองจีนนั้นน่ะเขาก็มาเสนอ เรื่องเขาหายจากโรคของเขาซึ่งเป็นโรคชนิดเดียวกันกับเรา มาเล่าให้ฟังทุกกระเบียดไม่ได้ผิดกันเลย เอ๊ ชอบกล คือเราปลงใจลงไปแล้วว่าเรามีแต่จะตายท่าเดียว เราจะไม่หวังวุ่นอะไร กับหมอกับอะไรไม่ยุ่งทั้งนั้น ปล่อย ครั้นอยู่ ก็พูดขึ้นมาอย่างนี้ละ<o:p></o:p>
    ไม่นึกไม่ฝันนะ ไม่ได้ติดต่อกับใคร เขามาเสนอเองเกี่ยวกับเรื่องเขาเป็น ตั้งฮั่วไถ่นี่ละต้นเหตุ เขาเป็นเขาไปรักษาที่ไหน โรงพยาบาลทั่วประเทศไทย โรงใหญ่โรงไหนไปหมด เขาก็ให้พอไม่ให้เสียมารยาท ครั้นตรวจอะไรเรียบร้อยแล้วเขาก็ให้ยามาพอเป็นน้ำใจไม่เสียมารยาท แล้วไปโรงนั้นก็แบบเดียวกัน ไปโรงไหนแบบเดียวกัน เขาบอกว่ารักษาไม่ได้ว่างั้นเลย จึงมาเจอเอาหมอนี่แหละ แล้วแกหายมาเลย หายอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่างั้น แล้วแกก็มานิมนต์เราขอให้รักษา เราฟังกับโรคของเราของแกแล้วเข้ากันได้ทุกกระเบียดเลยนะ นั่นละที่นี่จึงได้พลิกใจมา ก็บอกว่าหมอนี่เป็นคนสุดท้ายของเรานะ เราปลงใจแล้วว่าจะไม่เอาอะไรแล้ว เรายังต้องพลิกมา เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็รักษาดู หายก็หาย ไม่หายก็ไม่หาย<o:p></o:p>
    แต่เวลาพิจารณามันมีแง่อยู่นะ แปลกอยู่ พิจารณาในจิตนี้แหละ อันนี้พูดให้ใครฟังยากอยู่ รู้เฉพาะเจ้าของ สิ่งที่แยกออกมาพูดนี้เพียงเล็กน้อย อันไหนที่ไม่สมควรมันก็รู้เองในจิต ทีนี้เวลาพิจารณาตัวเองแล้วสายตายนี่มันดิ่งเลย แล้วสายนี้มันอยู่นี่ อันหนึ่งเหมือนกับว่าเส้นค้ำมันแนบกันอยู่นี่ เอ๊ะ ว่าจะไปจริง ทำไมถึงมีอย่างนี้อยู่ นี่อันหนึ่งนะ มันมีอยู่งี้ เหมือนกับว่าเส้นค้ำ สายนี้สายดิ่งจะไป อันนี้มาอยู่นี้ เอ๊ นี่มันยังไงทำให้สงสัย นี่ละที่รับหมอเติ้งก็เห็นสายนี้ละมันรับกันอยู่ หมอจีนนะ ถ้าไม่มีแล้วปล่อยเลย มันก็มามีอันนี้<o:p></o:p>
    ทีนี้เวลารักษามันเหมือนปาฏิหาริย์นะ อันนี้ผมอัศจรรย์อันหนึ่ง จนผมเองก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อหมอทีแรก ไม่เชื่อโรคเจ้าของด้วย เป็นขนาดนี้ถึงได้ ๕๐ ปีกว่ามาแล้วนี้ แล้วหนักเข้าทุกวัน ๆ เวลานี้เป็นเวลาที่จะตายเท่านั้น เดินจากศาลาไปหากุฏิก็จะไม่ถึง เดินจากกุฏิมาหาศาลาก็จะไม่ถึง ทางจงกรมยังเหลือแต่จะรื้อทิ้งเท่านั้น เข้าไปไม่ได้เลย เดินไม่ได้ หมดกำลังขนาดนั้นละ เดินจงกรมก็เดินแค่นั้นในกุฏิ ไม่กี่ก้าวเหนื่อย พอฉันยานี้ไปแล้ว หมอเขาก็คำนวณยาถูกต้องนะ คือธรรมดาของโรคทั้งหลายนี้ที่เขาเคยรักษาหายมาโรคชนิดนี้ เขาจะให้เฉพาะ ๗ แก้ว ยาเป็นน้ำนะ อย่างมากเขาก็ ๘ แก้วเขาว่างั้น แต่เวลารักษาเรานี้เขาเอาบวกเข้าไปอีกเท่าตัวเลย ๑๕ แก้ว เพราะเขาคำนวณถึงเวลาเราเป็นนาน <o:p></o:p>
    ยานี้ฉันเข้าไป ๆ เขาก็แนะบอกทุกอย่าง ก็เป็นไปตามที่เขาบอก ว่ายานี้ฉันลงไปแล้วก็จะถ่ายเหมือนที่ท่านถ่ายโรคแต่ก่อน แต่การถ่ายคราวนี้เป็นถ่ายโรคถ่ายภัยออกจากนั้น ถ่ายด้วยอำนาจของยา เขาว่างั้น ไม่ใช่ถ่ายแบบโรคถ่ายอย่างนั้น ผิดกัน ท่านอย่าวิตกวิจารณ์ เขาว่างั้น คือการถ่ายแต่ก่อนถ่ายเท่าไรเหนื่อยลง ๆ ถ่ายคราวนี้จะถ่ายเท่าไรก็ตามไม่เหนื่อย เขาบอกงั้นนะ มันจะถ่ายเท่าไรก็ปล่อยให้มันถ่ายไปเถอะ มันจะเข้าไปซักฟอกชำระสารพิษอยู่ภายในร่างกายนี้สั่งสมมานาน เขาว่างั้น ไม่มีใครรักษาได้ง่าย ๆ เขาบอกอย่างงั้นเลย เราก็กินยาลงไป
    พอกินลงไปถ่ายก็ถ่ายเรื่อย ๆ ๆ ถ่ายเท่าไรมันก็ไม่เพลีย แปลกนะ ทำให้คิดอันนี้อันหนึ่ง ถ่ายนี้ถ่ายมากนะ ถ่ายเหมือนแต่ก่อน ยิ่งมากกว่านั้นเป็นบางครั้งนะ แต่มันไม่เหนื่อยไม่เพลีย อันนั้นถ่ายเท่าไรอ่อน ลุกขึ้นจากที่ถ่ายจะไม่ได้นะ ต้องเอามือยันขึ้น ขนาดนั้นนะ ถ่ายแต่ก่อน คือถ่ายเท่าไรอ่อนลงๆ ปัสสาวะหัวคะมำลงไป ลุกไม่ขึ้น สุดท้ายก็ต้องไปยืนต้นเสา ต้องถ่ายปัสสาวะยืน คือลงนั่งถ่ายแล้วลุกไม่ขึ้น มือต้องยันแล้วจะขึ้นได้ เลยต้องเปลี่ยนท่าถ่ายใหม่ ต้องยืนถ่ายที่นี่นะ มิหนำซ้ำยังต้องได้พิงต้นไม้ถ่าย มันยังจะพาโซเซล้มลง
    แล้วหายลง ๆ หายวันหายคืน หายอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเราสงสัย เอ๊ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรบอกเลยนะ มีแต่หายลงไปเรื่อย การถ่ายถ่ายเรื่อย ถ่ายแล้วไม่เพลีย จนกระทั่งได้ถามหมอ เอ๊ มันจะหายจริง ๆ เหรอ ทำไมโรคอันนี้ถ้าเป็นนักเลงก็เรียกว่านักเลงโต ถ้าเป็นเสือก็เสือโคร่งใหญ่ ก่อนที่มันจะตายนี้มันต้องต่อสู้เราสุดเหวี่ยงของมัน ทั้งฝ่ายโจรฝ่ายเสือโคร่งนั่นแหละ แต่โรคอันนี้ไม่เห็นมีปฏิกิริยาแสดงอะไรโต้ตอบกันบ้างเลย เป็นอย่างนี้ ถ่ายเท่าไรก็ถ่ายแต่มันไม่เพลียเหมือนแต่ก่อน ก็บอกงั้น ไม่มีปฏิกิริยา เราบอกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...