"พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้ พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยความจริง"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 3 มีนาคม 2017.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    "พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
    พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี
    พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
    พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยความจริง"

    อาจเป็นการยากในการทำสิ่งเหล่านี้ แต่นี่คือการบำเพ็ญบารมีให้เกิดผลดีโดยตรง ผู้ที่ทำได้จะได้เห็นผลนั้นอย่างคาดไม่ถึงดังเช่นนางอุตตรา

    นางอุตตรา เกิดเป็นลูกสาวของนายปุณณะ ซึ่งเป็นคนรับใช้อยู่ในเรือนของสุมนเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ นายปุณณเป็นคนขยันในการทำงาน แม้ในวันเทศกาล งานนักขัตฤกษ์ พวกทาสและ
    กรรมกรอื่น ๆ พากันหยุดงานเพื่อฉลองนักขัตฤกษ์กัน แต่นายปุณณะก็ยังคงไปทำการไถนาตามหน้าที่ของตนตามปกติ

    วันหนึ่งขณะที่เขากำลังไถนาอยู่นั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจากออกจากนิโรธสมาบัติแล้วได้ถือบาตรเที่ยวเดินภิกขาจารผ่านมายังทุ่งนาที่นายปุณณะกำลังไถอยู่นั้น นายปุณณะพอเห็นพระสารีบุตร
    ก็หยุดไถแล้วเข้าไปกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน

    พระเถระทำกิจสีฟันและบ้วนปากแล้วเดินภิกขาจารต่อไป นายปุณณะคิดว่า “เหตุที่พระเถระมาทางนี้ในวันนี้ก็คงจะมาสงเคราะห์เรา ถ้าภริยาของเราได้พบพระเถระแล้ว ขอให้นางได้อาหารที่นำมาให้เราลงในบาตรของพระเถระด้วยเถิด”

    ส่วนภริยาของเขาเมื่อนำอาหารไปส่งให้เขาที่นาในระหว่างทางได้พบพระเถระจึงคิดว่า

    “วันอื่น ๆ เราพบพระเถระแต่ไทยธรรมของเราไม่มี ส่วนในวันที่มีไทยธรรมก็ไม่ได้พบพระเถระ

    แต่วันนี้ทั้งสองอย่างของเรามีพร้อมแล้ว เราควรถวายอาหารที่เตรียมไปให้สามี แก่พระเถระก่อนแล้วจึงกลับไปทำมาใหม่” เมื่อนางคิดดังนี้แล้วก็ใส่โภชนาหารลงในบาตรของพรเถระแล้วกล่าว
    ว่า “ด้วยอานิสงส์แห่งทานนี้ ขอให้ชีวิตขอดิฉันพ้นจากความยากจนด้วยเถิด”

    พระสารีบุตรกล่าวอนุโมทนาให้ความปรารถนาของนางสำเร็จตามที่ต้องการแล้วก็กลับไปสู่วิหาร

    เมื่อนางได้ถวายอาหารแก่พระเถระแล้ว ก็รีบกลับบ้านเพื่อจัดหาอาหารมาให้สามีของตน ฝ่ายนายปุณณะไถนาเรื่อยไปจนเวลาสาย ภริยาก็ยังไม่นำอาหารมาส่งเช่นทุกวัน รู้สึกหิวเป็น
    กำลังจึงหยุดไถแล้วนอนพักที่ใต้ร่มไม้ เมื่อภริยามาถึงนา ก็เกรงว่าสามีจะโกรธที่มาช้า จึงรีบพูด กับสามีขึ้นก่อนว่า

    “ท่านอย่าเพิ่งโกรธ ขอให้ฟังดิฉันก่อน” แล้วนางก็เล่าเหตุที่มาช้าให้สามีฟังโดยตลอด นายปุณณะกล่าวว่า “เธอทำดีแล้ว แม้ฉันเองก็ได้ถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟันแก่พระเถระเหมือนกัน วันนี้นับว่าเป็นบุญของเราเหลือเกิน” ทั้งสองสามีภรรยานั้นต่างก็ปีติอิ่มเอิบ
    ในการกระทำของตน

    นายปุณณะ กินอาหารเสร็จแล้วก็นอนหนุนตักภริยาแล้วก็หลับไปครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นมา มองไปที่ทุ่งนา เห็นก้อนดินที่ตนไถมีสีเหมือนทองคำเต็มทั่วท้องนา จึงบอกให้ภริยาดูด้วย ภริยา
    เมื่อมองดูก็เห็นมีแต่ก้อนดินจึงพูดขึ้นว่า “ท่านคงจะเหน็ดเหนื่อย และหิวจนตาลาย”

    แต่เมื่อเขาลุกไปหยิบมาให้ภริยาดู ต่างก็เห็นเป็นทองเหมือนกัน
    สองสามีภรรยาเก็บทองใส่ถาดจนเต็มแล้ว นำไปถวายพระราชาพร้อมทั้งกราบทูลให้ส่งคนไปขนทองคำ ที่ทุ่งนาของตนนั้นมาเก็บไว้ในท้องพระคลังพระราชาสั่งราชบุรุษพร้อมเกวียนไปบรรทุกทองคำตามที่นายปุณณะ กราบทูลราชบุรุษทั้งหลาย ในขณะที่กำลังขนทองคำใส่เกวียนนั้นพากันพูดว่า

    “บุญของพระราชา” ทันใดนั้นทองคำก็กลายเป็นดินขี้ไถเหมือนเดิมพวกราชบุรุษจึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชารับสั่งว่า

    “พวกท่านจงไปขนมาใหม่พร้อมกับจงพูดว่า บุญของนายปุณณะ” พวกราชบุรุษทำตามรับสั่ง ก็ปรากฏว่าได้ทองคำมาหลายเล่มเกวียน นำมากองที่หน้าพระลานหลวง พระราชารับสั่งถามว่า ในพระนครนี้ ใครมีทรัพย์มากเท่านี้บ้าง เมื่อได้สดับว่าไม่มี จึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่นายปุณณะได้นามว่า

    “ธนเศรษฐี” พร้อมทั้งมอบทองคำทั้งหมดให้แก่นายปุณณะด้วย
    นายปุณณะเศรษฐี เมื่อทำการมงคลฉลองตำแหน่งเศรษฐี ได้กราบอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์มาเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน

    พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนาทาน นายปุณณเศรษฐีพร้อมด้วยภริยาและธิดาได้บรรลุโสดาปัตตผล

    ในกาลต่อมา ราชคหเศรษฐี ได้ส่งคนไปสู่ขอนางอุตตราธิดาของนายปุณณะ เพื่อทำอาวาหมงคลกับบุตรของตน เมื่อนายปุณณะ ไม่ขัดข้องจึงได้จัดพิธีอาวาหมงคลเป็นที่เรียบร้อยนาง
    ได้มาอยู่ในตระกูลของสามี

    เมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษานางกล่าวกับสามีว่า ปกตินางจะอธิษฐานองค์อุโบสถเดือนละ ๘ วัน ขอให้สามีอนุญาตให้นางด้วย แต่สามีไม่อนุญาต นางจึงส่งข่าวไปถึงบิดามารดาว่า นางถูกส่งตัวให้ไปอยู่ในที่คุมขัง ไม่สามารถจะอธิษฐานองค์อุโบสถแม้สักวันเดียว ขอให้บิดามารดาช่วยส่งทรัพย์ไปให้นางจำนวน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะด้วยเถิด

    เมื่อนางได้ทรัพย์ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็ได้ไปหานางสิริมา ซึ่งเป็นหญิงโสเภณีประจำนครนั้น ได้เจรจาติดตามขอให้ช่วยเป็นตัวแทนในการบำรุงบำเรอสามีของนางเองเป็นเวลา ๑๕ วัน แล้วมอบทรัพย์ให้นาง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ

    นางสิริมาก็ตกลงยอมรับ และสามีของนางก็พอใจอนุญาตให้นางอธิษฐานองค์อุโบสถได้ตามความปรารถนา

    เมื่อสามีอนุญาตแล้ว นางอุตตราจึงได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของตน เป็นเวลา ๑๕ วัน นางพร้อมด้วยทาสีผู้เป็นบริวาร ช่วยกันจัดของเคี้ยวของฉันอันควรแก่สมณบริโภคน้อมนำเข้าไปถวายพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ อธิษฐานองค์อุโบสถ ครบกำหนดกึ่งเดือนโดยทำนองนี้

    ในวันสุดท้ายของการรักษาอุโบสถ ขณะที่นางอัตตรากำลังขวนขวายจัดแจงภัตตาหารอยู่นั้น สามีของนางกับนางสิริมายืนดูอยู่ที่หน้าต่างบนปราสาทพลางคิดว่า

    “นางอุตตราหญิงโง่คนนี้ คงจะเกิดมาจากสัตว์นรก ชอบทำการงานสกปรกเหมือนทาสีทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติก็มีอยู่มากมายแต่กลับไม่ยินดี นางทำอย่างนี้ไม่สมควรเลย”

    คิดดังนี้แล้วก็แสดงอาการยิ้มแย้มเป็นเชิงเยาะเย้ย ส่วนนางอุตตราผู้เป็นภริยาก็คิดว่า “บุตรเศรษฐีผู้เป็นสามีของเรานี้ มีปกติประมาท โง่เขลา สำคัญว่าทรัพย์สมบัติของตนเหล่านี้เป็นของยั่งยืนถาวรตลอดไป” แล้วนางก็แสดงอาการแย้มยิ้มบ้าง

    นางสิริมา ซึ่งยืนอยู่กับบุตรเศรษฐีนั้น เห็นสองสามีภรรยายิ้มแย้มด้วยกันดังนั้นก็โกรธและเริ่มสำคัญตนผิดว่าตนเองเป็นภรรยาเขา จึงรีบลงมาจากปราสาทเพื่อจะทำร้ายนางอุตตรา

    แม้นางอุตตราเห็นกิริยาอาการของนางสิริมานั้นแล้วก็ทราบดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจึงเข้าฌานทั้ง ๆ ที่กำลังยืนอยู่ เจริญเมตตาจิตเป็นอารมณ์ แผ่เมตตาไปยังนางสิริมานั้น

    นางสิริมา ได้จับกระบวยตักน้ำมันที่กำลังเดือดอยู่ในกระทะแล้ว เทราดลงบนศีรษะของนางอุตรา ที่กำลังเข้าฌานและแผ่เมตตาจิตอยู่ ด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌานบันดาลให้น้ำมันที่กำลัง
    ร้อนจัดนั้นได้ปราศจากความร้อน และไหลตกไปประหนึ่งน้ำตกจากใบบัว

    นางสิริมาเห็นเช่นนั้น จึงตกใจกลับได้สติสำนึกตัวว่าเป็นผู้มาอยู่เพียงชั่วคราว จึงกราบลงแทบเท้านางอุตตราวิงวอนขอให้ยกโทษให้แต่นางอุตตรากล่าวว่า

    “ฉันจะยกโทษให้ ก็ต่อเมื่อบิดาของฉันคือพระบรมศาสดายกโทษให้เธอก่อนเท่านั้น”

    เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์ ประทับบนพุทธอาสน์เพื่อเสวยภัตตาหาร ณ ที่บ้านนของนางอุตตราในเช้าวันนั้น นางสิริมาได้กราบทูลกิริยาที่ตนกระทำต่อนางอุตตราให้ทรงทราบโดยตลอดแล้ว กราบทูลขอให้ทรงยกโทษให้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยกโทษให้แล้วก็เข้าไปหานางอุตราให้ยกโทษให้อีกครั้งหนึ่ง

    พระบรมศาสดาเมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนา ตรัสพระคาถาว่า

    "ดีละ อุตตรา การชนะความโกรธอย่างนั้นสมควร ก็ธรรมดาคนมักโกรธพึงชนะด้วยความไม่โกรธ คนด่าเราตัดพ้อเรา พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่าตอบไม่ตัดพ้อ คนตระหนี่จัด พึงชนะได้ด้วยการให้ของตน คนพูดเท็จพึงชนะได้ด้วยคำจริง

    ดังนี้แล้วจึงตรัสอีกว่า

    "พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
    พึงชนะคนไม่มีด้วยความดี
    พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
    พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง ฯ"

    พุทธวจนะในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    FB_IMG_1488538136188.jpg

    ***********
    ธ.ธรรมรักษ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...