พุทธบัญญัติ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อารยเมตตรัยพุทธเจ้า, 12 ธันวาคม 2004.

  1. อารยเมตตรัยพุทธเจ้า

    อารยเมตตรัยพุทธเจ้า บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พุทธบัญญัติ (กฎสวรรค์ หรือ บัญญัติแห่งฟ้า)

    พุทธบัญญัติ หรือ กฎสวรรค์ บัญญัติแห่งฟ้า บังเกิดขึ้นมานานแล้วนับตั้งแต่ครั้งปรากฏ พื้นแผ่นฟ้า พื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นน้ำ บัญญัติขึ้นโดยองค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกร(พรอิศวร) ปฐมจุติของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในกาลครั้งโน้นภายหลังจากปรากฏพื้นแผ่นฟ้า พื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นน้ำ ซึ่งบังเกิดจากการบ่มความมืดมิด ในความมืดมิดล้วนกอรปด้วยอุณหภูมิ สามระดับคือ หนาวเย็น อบอุ่น และร้อนอบอ้าว กาลครั้งโน้นก่อนที่จะปรากฏพื้นแผ่นฟ้า พื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นน้ำ มิอาจนับกาลเวลาได้ เพียงแต่ในความมืดมิดนั้นกอรปด้วยอุณหภูมิ คือหนาวเย็น อบอุ่น และร้อน อุณหภูมิที่ร้อนล้วนแล้วแต่ลอยสูงขึ้นสู่เบื้องสูง อุณหภูมิที่หนาวเย็นตกลงอยู่เบื้องล่างสุด ส่วนตรงกลางกล้ำกึ่งระหว่างอุณหภูมิร้อนและหนาวเย็นคืออบอุ่น กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนกระทั่ง อุณหภูมิทั้งสามระดับแยกออกจากกันได้โดยชั้นบนสุดลอยสูงขึ้นด้านบนปรากฏเป็นพื้นแผ่นฟ้า ตรงกลางตกตะกอนและปนเปื้อนปรากฏเป็นพื้นแผ่นดิน ด้านล่างสุดหนาวเย็นปรากฏเป็นพื้นแผ่นน้ำ ภายหลังจากปรากฏพื้นแผ่นฟ้า พื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นน้ำ ในกาลครั้งนั้นมีเพียงพื้นแผ่นฟ้าเท่านั้นที่มีพลังงานคือพลังงานความร้อน ซึ่งต่อมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังจิต กล่าวคือ ณ พื้นแผ่นฟ้ายังคงกอรปด้วยชั้นของพลังงานหลายชั้น ชั้นที่ละเอียดสุดคือจิตขององค์อิศวะเทพ(พระอิศวร) ชั้นของพลังงานชั้นถัดมาคือชั้นที่สอง มีความละเอียดของจิตน้อยกว่าชั้นที่หนึ่ง เพียงแต่ละเอียดกว่าชั้นที่สาม ในการอุบัติขึ้นครั้งแรกของสิ่งมีชีวิตคือ การรวบรวมชั้นของจิตสามชั้นแรกของพื้นแผ่นฟ้า กอรปกันขึ้นเป็นรูปร่างของสิ่งมีชีวิต คือองค์อิศวะเทพ(พระอิศวร)นั่นเอง ภายหลังจากอุบัติองค์อิศวะเทพขึ้นมา ทรงแปรเปลี่ยนพลังงานความร้อนจากพื้นแผ่นฟ้าสามชั้นแรกเป็นรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายขององค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกร บังเกิดเป็นพุทธานุภาพอาบเลียไปทั่วพื้นแผ่นฟ้า ภายหลังบังเกิดแสงสว่างอาบเลียไปทั่วพื้นแผ่นฟ้าแล้วจึงบังเกิดมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายติดตามมาอีกมากมาย จากชั้นของจิตซึ่งอยู่ถัดจากชั้นของจิตสามชั้นแรกลงไป เนื่องจากได้รับพุทธานุภาพอาบเลียขององค์อิศวะเทพ บังเกิดเป็นพลานุภาพ (พละกำลัง) ก่อตัวขึ้นบังเกิดเป็นมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายนั่นเอง ภายหลังจากองค์อิศวะเทพบังเกิดรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายอาบเลียไปทั่วพื้นแผ่นฟ้าแล้ว แสงสว่างได้ส่องลอดพื้นแผ่นฟ้าเกรียงไกรไปยังพื้นแผ่นดิน และพื้นแผ่นน้ำ เรียกว่าพุทธานุภาพเกรียงไกร ภายหลังจากนั้น ณ พื้นแผ่นดินจึงอุบัติสิ่งมีชีวิตขึ้นมาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีงามทั้งสิ้น คืออุบัติมนุษย์และฝูงวานรขึ้นมาเป็นอันดับแรก ณ พื้นแผ่นน้ำได้อุบัติพญานาค นาคี นาคา ขึ้นมาเป็นอันดับแรก ภายหลังจากนั้น มวลหมู่มนุษย์และฝูงวานรซึ่งอุบัติขึ้นบนพื้นแผ่นดิน ล้วนแล้วแต่บ่มฝึกจิตต่อไปอีกนานนับโกฐ (หนึ่งโกฐเท่ากับหนึ่งล้านกัปหนึ่งกัปเท่ากับหนึ่งล้านพรรษา) จึงสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ จนกระทั่งสามารถเหาะเหิรขึ้นสู่พื้นแผ่นฟ้าได้ บรรดามวลหมู่มนุษย์ที่บ่มฝึกจิตมานานจนสามารถเหาะเหิรขึ้นสู่พื้นแผ่นฟ้าได้แก่ บรรดาฤาษีทั้งหลายนั่นเอง ภายหลังจากบ่มฝึกจิตมานานมากกว่าหนึ่งโกฐ จนบังเกิดพลานุภาพคือพละกำลังมากจนกระทั่งเหาะเหิรขึ้นสู่พื้นแผ่นฟ้าได้ ได้เหาะเหิรขึ้นไปแย่งชิงเทพธิดาทั้งหลายบนพื้นแผ่นฟ้า ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเนื้อคู่อยู่แล้วคือมวลหมู่เทพบุตรทั้งหลายนั่นเอง มวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายเมื่อเดือดร้อนเพราะถูกบรรดาฤาษีทั้งหลายเหาะเหิรขึ้นไปบนพื้นแผ่นฟ้าแย่งชิงเทพธิดาทั้งหลายมาเป็นเนื้อคู่ของตนเอง จึงร้องขอความเป็นธรรมจากองค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกร องค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกร(พระอิศวร)มิอาจตัดสินใจได้ จึงแบ่งภาคความฉลาดหลักแหลม ไหวพริบปฏิภาณ ออกเป็นพระนาราย เพื่อเป็นผู้ช่วยฝ่าย บุ๋น คือช่วยร่างกฎระเบียบของสวรรค์ เรียกว่า พุทธบัญญัติ คือบัญญัติแห่งฟ้า หมายถึงกฎของสวรรค์ ร้อยเรียงไว้โดยกำหนดกรอบของพุทธบัญญัติไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หมายถึง ผู้ใดประกอบกรรมดี ล้วนได้รับพรสวรรค์จากองค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกร ผู้ใดกระทำความชั่ว ล้วนถูกสาปจากองค์อิศวะเทพ เช่นกันภายหลังจากนั้น พระนารายจึงได้ร่างกฎระเบียบของสวรรค์(เทวะบัญชา) เป็นหลักปฏิบัติ ไว้บนพื้นแผ่นฟ้า และบัญญัติเทวะโองการขึ้นเป็นคำสาป สำหรับผู้ประกอบกรรมชั่ว และบัญญัติ กำสรวลสวรรค์ขึ้น เพื่อปูนบำเหน็จความชอบแก่ผู้ประกอบ กรรมดี หมายถึงได้รับพรสวรรค์จากองค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกรนั่นเอง ภายหลังจากนั้นจึงนำออกมาบังคับใช้ โดยพระอิศวร(องค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกร)ได้แบ่งภาคความห้าวหาญ ความดุดัน ความเก่งรบ ออกมาเป็นพระอินทร์ เพื่อเป็นผู้บังคับใช้กฎระเบียบของสวรรค์ บรรดาฤาษีทั้งหลายเมื่อได้รับทราบกฎสวรรค์ (พุทธบัญญัติ) ล้วนแล้วแต่เชื่อฟังมิอาจเหาะขึ้นไปบนพื้นแผ่นฟ้าเพื่อแย่งชิงมวลหมู่เทพธิดามาเป็นเนื้อคู่ของตนเองอีกต่อไป สงครามระหว่างมนุษย์กับทวยเทพจึงยุติลง ภายหลังจากมวลหมู่มนุษย์และฝูงวานร บ่มฝึกจิตมานานจนสามารถเหาะเหิรขึ้นไปบนพื้นแผ่นฟ้าได้แล้ว จึงอุบัติมวลหมู่ยักษ์ มารทั้งหลายติดตามมาอีกมากมาย รวมทั้งในพื้นแผ่นน้ำ ได้ปรากฏ สัตว์น้ำนานาชนิดขึ้นมา เป็นอาหารของมวลหมู่มนุษย์ นาคา นาคี ภายหลังจากนั้นจึง ปรากฏพญายักษ์คือทศกัณฑ์ ขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นจึงปรากฏ ยักษี ยักษา ติดตามมา พร้อมทั้งปรากฏ พญาปักษี คือพญาครุฑ รวมทั้ง เหล่า ปักษี ปักษา ติดตามมาอีกจำนวนมาก เนื่องจากบรรดาเหล่ายักษี ยักษา ปักษี ปักษา ทั้งหลายเหล่านั้น ปรากฎตัวขึ้นมาภายหลังจาก มนุษย์ ฝูงวานร นาคี นาคา ทั้งหลายล้วนสามารถบ่มฝึกจิตจนกระทั่งบังเกิดพละกำลังสามารถเหาะเหิรได้นั่นเอง จึงปรากฏตัวขึ้นเอง ณ พื้นแผ่นดิน บรรดาเหล่ายักษี ยักษา ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วกัดกินมวลหมู่มนุษย์ นาคี นาคา และฝูงวานรเป็นอาหาร เพื่อเพิ่มพลานุภาพให้กับตนเอง บังเกิดพละกำลังจนกระทั่งสามารถเหาะเหิรได้โดยมิต้องบ่มฝึกจิตดังเช่นมวลหมู่มนุษย์และฝูงวานร ที่ร้ายกาจที่สุดกลับเป็นบรรดาพญาปักษี(พญาครุฑ) รวมทั้งบริวาร ปักษี ปักษา ทั้งหลายซึ่งล้วนปรากฏตัวขึ้นมา กอรปขึ้นเป็นอมนุษย์ กล่าวคือ มี จงอยปากที่แหลมคม มีกรงเล็บที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งมีปีกสามารถบินได้ จรไปในอากาศได้โดยมิต้องบ่มฝึกจิต รังแกมวลหมู่มนุษย์ ฝูงวานร นาคี นาคา ทั้งหลายจนเดือดร้อนไปทั่วพื้นแผ่นดิน ภายหลังจากปรากฏบรรดา ยักษี ยักษา ปักษี ปักษา ขึ้นมาไล่กัดกินบรรดาเหล่ามนุษย์ ฝูงวานร นาคี นาคา ทั้งหลายมินาน บังเกิดความร้อน ณ อาสน์ที่นั่งขององค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกร(พระอิศวร) องค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกรจึงได้เนรมิตเขาพระสุเมรุไว้บนพื้นแผ่นฟ้าเพื่อเล็งทิพย์เนตรเพื่อดูเหตุการณ์ ค้นหาสาเหตุที่ทำให้ร้อนไปถึงอาสน์พระอิศวร พบว่าปรากฏสิ่งชั่วร้ายขึ้นบนพื้นแผ่นดิน กล่าวคือ ปรากฏพญายักษี ยักษี ยักษา พญาครุฑ ปักษี ปักษี ขึ้นมาก่อทุกข์เข็ญให้กับมวลหมู่มนุษย์ และฝูงวานร รวมทั้งนาคี นาคา ทั้งหลาย นั่นเอง และทรงเห็นว่าพญาครุฑคือสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดล้วนแล้วแต่เอาเปรียบผู้อื่น รังแกมนุษย์ ฝูงวานร และนาก ทั้งหลาย องค์อิศวะเทพจึงเหาะลงมาบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นจึงแสดงพุทธานุภาพปราบพญาครุฑ จากนั้นจึงนำตัวพญาครุฑมาเป็นสารถีเพื่อป้องกันมิให้รังแกผู้อื่นอีกต่อไป โดยนำตัวพญาครุฑขึ้นไปไว้บนสวรรค์คือพื้นแผ่นฟ้านั่นเอง โดยมิทราบเจตนาของพญาครุฑตนนั้นซึ่งต้องการเหาะเหิรขึ้นไปบนพื้นแผ่นฟ้าเพื่อกัดกินมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายเพื่อเพิ่มพลานุภาพให้กับตนเอง จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน บรรดามวลหมู่มนุษย์และฝูงวานรรวมทั้งนาคีนาคาทั้งหลาย ทยอยกันถูกบรรดาเหล่ายักษียักษาปักษีปักษาซึ่งปรากฏตัวขึ้นในภายหลัง กัดกินมวลหมู่มนุษย์และฝูงวานรรวมทั้งนาคีนาคาทั้งหลาย เพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับตนเอง จนสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ ก่อกรรมทำเข็ญมากขึ้น ร้อนถึงอาสน์พระอิศวร จึงส่งพระอินทร์ลงมาปราบบรรดาเหล่ายักษ์มารทั้งหลายลงจนราบคาบไปช่วงหนึ่ง แต่เหตุการณ์หาได้ยุติลงเท่านั้นไม่ พระอินทร์ซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎสวรรค์ โดยมีองค์ อิศวะเทพเป็นผู้ควบคุมกฎสวรรค์ ส่งพระอินทร์ลงไปกำราบบรรดายักษ์มารทั้งหลายจนราบคาบ พระอินทร์จึงได้เหาะเหิรขึ้นลงพื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นฟ้าเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งพระอินทร์ได้สมสู่กับนางสุวรรณมัจฉา ซึ่งเป็นเนื้อคู่ของฤาษีตนหนึ่ง จนมีลูกด้วยกัน ภายหลังเมื่อฤาษีตนนั้นทราบความจริงจึงสาปนางสุวรรณมัจฉาให้เป็นหิน พร้อมทั้งเหาะเหิรขึ้นไปบนพื้นแผ่นฟ้า เพื่อร้องขอความเป็นธรรมจากพระอิศวร พระอิศวรจึงสั่งห้ามพระอินทร์เหาะเหิรไปยังพื้นแผ่นดินอีกต่อไป นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบรรดาเหล่ายักษี ยักษา ปักษี ปักษา ทั้งหลายก็ เหิมเกริมก่อกรรมทำเข็ญกับมวลหมู่มนุษย์ และฝูงวานร มากขึ้นเนื่องเพราะพระอินทร์ถูกสั่งห้ามเหาะเหิรลงมาบนพื้นแผ่นดิน ร้อนไปถึงอาสน์ของพระอิศวร พระอิศวรจึงสั่งการให้พระอินทร์ อวตารลงมาเป็นพระราม พระนารายอวตารลงมาเป็นพระลักษณ์ เพื่อปราบยักษ์ อีกทั้งบรรดาจิตของบรรดาเหล่าวานรทั้งหลายซึ่งถูกกัดกินรวมตัวกันเป็นลมพายุพัดเข้าไปในปากของนางสุวรรณมัจฉาซึ่งถูกสาปโดยฤาษีตนหนึ่ง จนกระทั่งนางสุวรรณมัจฉาคลอดมหาวายุ(หนุมาน)ขึ้นมา ช่วยพระลักษณ์(นารายวตาร) พระราม(อินทรวตาร) เพื่อรบกับพญายักษ์คือทศกัณฑ์ และบริวาร จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน สงครามระหว่างมนุษย์ ฝูงลิง และยักษ์มารหาสามารถยุติลงได้ไม่ พระลักษณ์ พระราม และมหาวายุ(หนุมาน) ยังคงต้องอยู่บนพื้นแผ่นดินเพื่อปกป้องมวลหมู่มนุษย์และฝูงวานรต่อไป เพียงแต่การอวตารลงบนพื้นแผ่นดินของพระอินทร์และพระนาราย เป็นเหตุให้พลานุภาพของพระอินทร์และพระนารายลดทอนพละกำลังลง เป็นช่องทางให้พญาครุฑครุ่นคิดทรยศ ภายหลังจากที่พญาครุฑแอบแฝงขึ้นไปบนพื้นแผ่นฟ้า แอบกัดกินมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายเพื่อเพิ่มพลานุภาพให้กับตนเอง จนกระทั่งวันหนึ่งพญาครุฑเห็นว่าตนเองมีพละกำลังมากขึ้นแล้วจึงบินหนีจากพื้นแผ่นฟ้า ลงไปก่อกรรมทำเข็ญบนพื้นแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายองค์อิศวรมิอาจกระทำการบังคับพญาครุฑได้ เนื่องจากพญาครุฑบังเกิดพลานุภาพซึ่งได้มาจากพื้นแผ่นฟ้า กล่าวคือกัดกินมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลาย แสดงครุฑานุภาพ ข่มขวัญบรรดา ยักษี ยักษา นาคี นาคา รวมทั้งก่อกรรมทำเข็ญ กัดกินมนุษย์และฝูงวานร รวมทั้งนาคี นาคา ทั้งหลายจนกระทั่งมวลหมู่มนุษย์และฝูงวานร รวมทั้งพระลักษณ์ (นารายวตาร) พระราม(อินทรวตาร) ก็ถูกพญาครุฑกัดกินจนหมดสิ้น เหลือเพียงบรรดาเหล่าพญายักษ์ ยักษี ยักษา ปักษี ปักษา พระอินทร์ซึ่งเป็นขุนพลฝ่ายบู๊ลิ๊มมิอาจเหาะเหิรลงจากพื้นแผ่นฟ้าได้เนื่องเพราะถูกสั่งห้ามไว้ จึงต้องปล่อยให้มนุษย์ ฝูงวานร นาคี นาคา ทั้งหลายถูกกัดกินไปจนหมดสิ้น จากนั้นบรรดายักษี ยักษา ปักษี ปักษา รวมทั้งพญาครุฑ ทศกัณฑ์ ได้รวมตัวกันเหาะเหิรขึ้นไปบนพื้นแผ่นฟ้า ท้ารบกับมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลาย จนกระทั่งองค์ อิศวเทพผู้เกรียงไกรถูกพญาครุฑ บั่นเศียร จนกระทั่งพระเศียรหลุดจากบ่า ในกาลครั้งนั้นแสงสว่างทั้งหลายซึ่งแผ่ซ่านออกจากพระวรกายขององค์อิศวะเทพผู้เกรียงไกรได้มัวหมองลง พลานุภาพของ พระนาราย พระอินทร์และมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายล้วนลดลง เนื่องจากพลานุภาพของมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายบังเกิดจากพุทธานุภาพอาบเลียขององค์อิศวเทพผู้เกรียงไกร(พระอิศวร) ซึ่งบังเกิดเป็นแสงสว่างแผ่ซ่านออกจากพระวรกายนั่นเอง การต่อสู้เป็นไปไม่นาน พระนารายพันกร และมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลายล้วนถูกฆ่าตายจนหมดสิ้นเหลือเพียงพระอินทร์ซึ่งเป็นขุนพลฝ่ายบู๊ลิ๊มเป็นผู้ชำนาญในการรบพุ่ง สู้พรางถอยพรางขึ้นไปบนยอดเขาพระสุเมรุ จนพละกำลัง(พลานุภาพ)ลดลง บรรดาจิตมวลหมู่ทวยเทพทั้งหลาย รวมทั้งจิตพระอิศวร พระนาราย ได้รวมตัวกันกลั่นเป็นน้ำอมฤทธิ์ รออยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ กาลครั้งนั้นเมื่อพระอินทร์รบพรางถอยพรางขึ้นไปถึงยอดเขาพระสุเมรุบังเอิญพบเจอน้ำอมฤทธิ์ จึงได้นำมาดื่มกิน บังเกิดพลานุภาพ(พละกำลัง)ขึ้นมามากมายมหาศาล ย้อนกลับลงมาต่อสู้กับบรรดายักษ์ มารทั้งหลายจนสามารถบั่นเศียรพญาครุฑ รวมทั้งพญายักษ์ ยักษี ยักษา ปักษา ปักษี ทั้งหลายลงจนกระทั่งหมดสิ้น เหลือเพียงพระอินทร์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นสิ่งมีชีวิต หลงเหลืออยู่ ภายหลังจากนั้นพระอินทร์จึงสลายพลังทุกสรรพสิ่งล้วนอันตรธาน หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงพระอินทร์ซึ่งเป็นอมตะจิต บ่มฝึกจิตต่อไปอีกนาน 2 โกฐจึงอุบัติแม่พระธรณีขึ้นมาภายในจิตของพระอินทร์ แม่พระธรณีและพระอินทร์อยู่ร่วมกันมานานหนึ่งโกฐจึงอุบัติองค์ศิวะเทพขึ้นมาเพื่อสร้างโลกและจักรวาลขึ้นมาใหม่ มิได้ปรากฏขึ้นเองเป็นพื้นแผ่นฟ้า พื้นแผ่นดิน พื้นแผ่น ดังเช่นอดีตกาลนานมา จนกระทั่งล่มสลายไปแล้วครั้งหนึ่งนั่นเอง แท้ที่จริงแล้วแม่พระธรณีก็คือพระอิศวร องค์ศิวะเทพก็คือพระนาราย นั่นเอง เป็นผู้ที่มีปฏิภาณ ไหวพริบ ฉลาด เป็นพระผู้ที่สร้างโลกและจักรวาลขึ้นมาใหม่ ถึง 10,000 จักรวาล ยึดโยงกันเป็นวงกลม เรียงรายกัน หมุนตามกันเป็นกรงล้อแห่งจักรวาล หรือธรรมจักร มีระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์ ระหว่างวงโคจร เทียบเท่ากันคือประมาณ 50 ล้านกิโลเมตรทั้งสิ้น ความจริงเกี่ยวกับการสร้างโลกและจักรวาลข้าพเจ้าได้อรรถาธิบาย ไว้ในธรรมจักรกัปวัฏสูตร รวมทั้งวิธีการสร้างโลกและการคำนวณระยะทาง ข้าพเจ้าได้อรรถาธิบายไว้ในบทธรรมชื่อว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...