พูดตามพ่อสอน....วันนี้ดีที่สุด.....

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย คนรักถ้ำ, 16 มกราคม 2006.

  1. คนรักถ้ำ

    คนรักถ้ำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +83
    กราบแทบเท้าครูบาอาจารย์ ขอน้อมเอาคำสอนของหลวงตามาฝากค่ะ
    ............ตัวผู้พูดคือ "หลวงตา " ท่านปรารภว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นละเอียดอ่อนบริสุทธิ์มหาศาล ทรงเลือกสรรเพียงน้อยนิดมาสอนพระสาวก องค์ใดดื่มด่ำสิ้นสงสัย ก็พยายามใช้ภาษามนุษย์พูดออกมาได้เพียงหนึ่งในหมื่นพันที่กินใจอิ่มเอิบ หลวงตาท่านฟังจากหลวงพ่อครูบาอาจารย์ แล้วทรงไว้ได้เพียงหนึ่งในล้านที่พ่อปรารถนาจะให้เข้าถึง........

    คุณดูนะ...เวลาเราทำเลวไปเมื่อวานนี้ ใจมันบังคับให้ปากกับกายทำใช่ไหมลูก..เมื่อทำไปแล้ว พอมาถึงวันปัจจุบันนี่ เรานึกจำได้ใช่ไหมว่าเมื่อวานเราทำอะไร ปัจจุบันนี่ เป็น สัญญา แล้ว ตัวตนของเมื่อวานนี่ไม่มีแล้ว...เป็นความจำ ก็คิดปรุงว่า "ฉิบหา..เราตกนรกแน่ ...เราอย่างโน้นแน่ อย่างนี้แน่.." ก็เกิดเศร้าหมองขึ้นมา ปัจจุบันนี่สัญญากับ สังขาร ทำงาน ถูกไหม เกิดเวทนาขึ้นมาคือใจเราไปติดอยู่ในระบบของขันธ์ ๕ มันก็เชื่อมกับวัฏฏะทั้งหมด ทีทำมากี่ล้านชาติ และที่จะรับอีกกี่ล้านชาติ มันมีขันธ์๕ เป็นสะพาน เป็นสะพานกิเลส สะพานไฟที่เชื่อมเท่านั้นเอง
    ถ้าดวงใจดวงไหน เขาไม่เกาะอยู่ในระบบขันธ์ ๕ เขาถอดระบบออกเสีย ทำลายระบบเสีย แล้วไปอยุ่ในระบบซึ่งคนละคลื่นกัน คุณทำอะไรไป ...ใจคุณไม่ใช้ความจำของระบบ คุณก็ไม่เศร้าหมอง ถูกไหม ? .. คุณไม่ได้ใช้ความปรุงแต่งของขันธ์ ๕ เขา..เวทนาก็ไม่เกาะใจ แล้วก่อนที่จะตายไปยังใช้ปัญญาทางจิตนี่ เบื่อหน่ายระบบนี้เต็มที เกิดมากี่ล้านชาติมันก็อยู่ในเรื่องของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญษณ สัมผัสกัน เมื่อเกิดวิญญาณ ก็เกิดเวทนา เมื่อเกิดเวทนาเป็นความสุขความทุกข์ ก็เกิดความอยากทำความเลว...อยากทำความดี เมื่อทำแล้ว ก็เกิดเป็นทายาทกรรมรอต่อ เขาเรียกกิเลสบันดาล ให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้ว ก็เกิดผลของกรรม คือวิบาก ก้อนวิบากก็คือ ขันธ์ ๕ไง ! ก็เป็นสมบัติของกิเลสใช่ไหม ? ก็ไปเห็น ไปได้ยิน ไปเกิดความอยาก เกิดทำกรรม เกิดผลเป็นอะไรก็ตาม พอมันรับผล ก็คือขันธ์ ๕นั่นแล้ว ก็คือคุณอธิษฐานให้ได้ ขันธ์ ๕ ชุดใหม่ ได้แท็กซี่คันใหม่ จะดีจะเลว มันก็ผ่านตา ผ่านหู จมูก ลิ้น กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วคุณแน่ใจแล้วหรือว่าคุณจะบังคับตา บังคับหู ที่รับมาให้ใช้..ผ่องใสได้ แน่ใจอย่างไร ?...
    ถ้าเกิดเราไปเศร้าหมอง แล้วเกิดความอยากตัณหา ทำกรรมเพิ่ม ไปก่อได้ตัววัฏจักร กิเลส กับวิบากจักรน้อยๆ เพิ่มมาอีกจักนึง ...หมุนวิ้ว...ให้ใจหมุนไปในกฎกรรมใหญ่ของวัฏสงสาร เหมือนทะเลเดือดๆ ที่หมุนคว้าง เราเกิดเป็นน้ำในทุเลหน่อยเดี่ยว คือเป็นกงจักรเล็กในฟองน้ำ หมุนรอบตัวจิ๋วๆๆๆ ...อยู่ในกงจักรใหญ่ !
    มีไหม...คนที่จะฉลาดที่จะอธิษฐานว่า..." ด้วยบุญที่เราทำ ขอให้เราพ้นจากกงจักรใหญ่ กงจักรเล็กทั้งหลาย และกงจักรในอดีต ในอนาคต ขอให้เราพ้นจากสภาพนี้โดยเด็ดขาดเลย " มีไหม ? มีแต่บอกว่า "โอย...กงจักรอันนี้มันไม่รวย ขอให้ได้กงจักรใหม่ที่รวยๆ กว่าเก่า สวยๆ กว่าเก่า จะได้มีกงจักรผู้ชายมาสนใจ กงจักรผู้หญิงมาสนใจ จะได้มีพัดยศ จะได้มีตำแหน่งเจ้าคุณข้างหน้า จะได้มีลาภวาสนา " ก็คืออยากได้กิเลสกรรมและวิบาก
    นี่ไม่ได้ขัดคอคนทำบุญแล้วเขาอธิษฐานให้เกิดใหม่นะ แต่ว่าบอกให้ฟังว่า ทำไมพระท่านถึงได้ตัดวัฏฏะตรงนี้ เพราะท่านเห็นว่ามันโง่ ไง ! ...มันหลอกให้เราอธิษฐาน หลอกให้เราเกิดลงไปตรงนั้น " ทำยังไงหนอ ...ณ วันนี้วันเดียว เราจึงจะพ้นจากวัฏฏะอันนี้ได้ ? "
    ทำอย่างไรหนอ ณ บัดนี้ เราจึงจะพ้นได้ ?
     
  2. คนรักถ้ำ

    คนรักถ้ำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +83
    ทำอย่างไรหนอ ณ บัดนี้ เราจึงจะพ้นได้ ? วิธีพ้นก็คือว่า เมื่อคุณมีรูป คือร่างกายนี้ แล้วมันมีประสาททางตา หู จมูก ลิ้น ...อยุ่นี่ เขาเรียก วิญญาณ ไปสัมผัสรูป เสียง กลิ่น รส แล้วมีตัวสัญญา เมมโมรี่ จำได้ว่ามันทำอกะไร... มีสังขารปรุงแต่งให้ได้เห็นว่าสวยงามอย่างไร แล้วมีเวทนาด้วย เสวยสุข เสวยทุกข์
    รูปอันนี้ คือร่างกายเนี่ย....มันมีนามธรรมอีก๔ อย่างฝังอยู่เป็นไมโครชิป( เปรียบความน่ะนะ..) รวมกันเป็น ๕ อย่าง รูป ๑ นาม ๔ มีรูปต้องมีนามธรรมอยู่ แต่นามธรรมจะสมบูรณ์ไม่สมบูรณ์ ฉลาด...คล่องแคล่ว ไม่คล่องแคล่ว อยู่ที่อธิษบษนมา เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่ามีรูปเพียงใด นามทั้ง ๔อย่าง ก็เชื่อมต่อกันเข้ากับรูป สมมุติว่ารูปมันมีช่องอยู่ ใจเราก็เสียบแปล๊บ เข้าไปในรูป คิดว่ารูปนี่เป็นตัวกูของกู เวทนา สัญญา สังขาร ก็เป็นก็เป็นมึง ของมึงด้วย ถูกไหม ? ตาก็ของๆ มึง ไปดูรูป ไอ้เนี่ย...( ชี้ที่ลูกตา ) เหมือนกล้อง ๒ กล้อง มันไปเห็นรูปมา สมมุติว่าเราเป็นคนฉลาด เราจับกล้องอันนี้ดู เหมือนดูที่จอ ที.วี. เออ ! แพนกล้องไปดดู อ๋อ ...รูปนี้.. จอมันเห็นรูปแล้วก็ดับไป สัมผัสระหว่างตัวรูป เขาก็ดับไป แล้วใจเราไปเกี่ยวอกะไรกับมันล่ะ...ถ้าไปเผลอคิดว่ามันเป็นตัวเราของเรา ก็คือว่า ไปรัก ไปโกรธ ไปโลภ ไปหลงแทนมัน / เพราะมัน..ก็ทำกรรมแทนมัน / เพราะมัน...ก็ไปรับกรรมแทนมัน / เพราะมัน....ถ้ามันตายมันแตกดับไป มันไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างเก่า แต่ใจนี่ ! ...มีเจตนาของความโง่ อธิษฐานขอไปเกิดใหม่ ..ใจตัวนี้ ที่ไปเกิดตกนรกแทนมัน เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนมัน เป็นหมาแทนมัน เป็นมนุษย์แทนมัน
    พระท่านถึงได้บอกว่า..คนจะตัดกิเลสไม่ใช่พรุ่งนี้ ! ต้องตัดก่อนตาย ก่อนตายใจชาตินี้ แล้วคุณคิดว่าคุณจะตายได้ตอนไหน คุณตัดตอนนั้นแหละ...ถ้าแน่ใจว่าอีก ๙๐ ปีตาย ค่อยไปตัดตอน ๘๙ ปี ๖ เดือน ๙ วัน ก็ตามใจคุณเถอะ...ถ้าคุณแน่ใจขนาดนั้นน่ะ แล้วถ้าตอนนั้น เดินไม่ไหว ตามองไม่เห็น ฟังอะไรไม่ได้ยิน ...อย่างเนี้ย...
    เพราะฉะนั้น.....ในวันนี้...เรามีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ... เรามีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ ณ บัดนี้ จงเอามาตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่ใจของเรานี้ อาศัยเป็นเครื่องระลึก เครื่องรู้ให้เห็นถึงคุณ เห็นโทษ... แล้วจงใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด ให้ละความเลวออกจากใจ อาศัยมันทำความดี เพื่ออาศัยมันให้เห็นความจริงและให้ใจผ่องใสขึ้นมา อย่าเกียจคร้านเป็นอันขาด !



    กราบแทบเท้าครูบาอาจารย์ ขอน้อมเอาคำสอนของหลวงตามาฝาก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ธันวาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...