ภาพกสิน แท้จริงควรยึดติดตา หรือ ติดใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ศุภกร_ไชยนา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
  2. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    อัน นี้ ใกล้ สุด เยย...

    ตัว อย่าง กสิน น้ำ

    ก่ เอา ตีน ไป แช่ น้ำ หรือ ทั้ง ตัว ก่ ดี

    แล้ว ก่ รับ ความ รู้ สึก ที่ เกิด ขึ้น บันทึก เก็บ ไว้ ใน ใจ

    ใน ใจ ใน ใจ ใน ใจ ใน ใจ

    แม่น บ่ อ้าย ตา ทิพย์ (ยัง ไม่ เปลี่ยน ตา อีก.. บอก ว่า

    ขอบ ตา มัน ช่ำ)
     
  3. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    เจ้าของเขาจบกระทู้แล้ว แต่ขอคุยด้วยอีกหน่อย

    ทำไมเมื่อกำหนดกสิณธาตุจนจิตเกิดอารมณ์ธาตุนั้นๆแล้ว แล้วกายทำไมถึงต้องมีความรู้สึกของธาตุนั้นด้วย

    ลองไตร่ตรองดูเมื่อเราเสียใจนั้น กายหรือใจที่เศร้าเสียใจอยู่ ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาเมื่อเราเสียใจมากๆ

    เมื่อเราโกรธ กายหรือใจของเราที่โกรธอยู่ ทำไมหน้าถึงแดง หัวใจเต้นเร็วและแรง ในหัวอื้อๆอีงๆ

    นี่เป็นเพราะจิตเรายังมีกายเป็นเครื่องผูกอยู่

    ผู้ที่จะกำหนดธาตุโดยที่ไม่มีความรู้สึกผ่านออกมาทางกายด้วยนั้น มีแต่ผู้ที่จิตแยกขาดจากกายได้แล้วหรือจิตลงลึกสู่ฌาณ (เฉพาะตอนที่เข้าไป) เท่านั้น (ซึ่งในระดับนี้จะทำได้พิศดารกว่านี้มากมายนัก)

    ขออนุโมทนาทุกท่าน
     
  4. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ผมขอเสริมท่านข้างบนเล็กน้อย

    ในสภาวะที่กายกับจิตแยกกันอย่างเด็ดขาด ก็คือในสภาวะของฌานที่สี่นั่นเอง ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใด การอธิษฐานใช้กำลังของกสิณ จะต้องมีสภาวะของอุเบกขาและเอกัคคตารมณ์เป็นพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้สามารถกระทำการที่พิสดารพันลึกได้อย่างมากมาย

    เรื่องนี้ถ้าจะพูดรายละเอียดไป ก็จะเป็นการเกินประเด็นของกระทู้นี้ ก็ขอร่วมเสวนาเพียงเท่านี้ก่อน ก่อนจากกัน ขอฝากไว้ว่าความรู้อันใดจากตำรา ถ้าหากได้มีการทดลองปฏิบัติเพื่อทดสอบข้อเท็จจริง เพื่อเป็นการพิสูจน์ ก็จะเป็นประสบการณ์ที่มีค่าให้น่าจดจำต่อไปครับ
     
  5. วัชรพงษศ์

    วัชรพงษศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +15
    กระผมจะพยายามตอบตามความรู้ที่มีแต่เน้นสัมมาทิฏฐิเป็นสำคัญ

    -พิจาณาอย่างแยบคายโดยไม่ยึดติดถือมั่นเพื่อให้จิตจดจ่ออยู่ในอารมณ์ๆเดียวเพื่อให้จิตนิ่งจิตวางจากกิเลสโดยมีศีลแลจิตที่บริสุทธิ์แลมีสติละลึกได้สัมปะชัญญะความรู้ตัวเป็นปฐม
    -พิจารณาอย่างแยบคายในกองกรรมฐานที่เป็นสัมมาทิฏฐิแลสัมมาสมาธิปิดผัสสะทั้ง6อายตนะทั้ง12ให้เหลือจุดๆเดียวคือจิตโดยมีศีลแลจิตที่บริสุทธิ์แลมีสติละลึกได้สัมปะชัญญะความรู้ตัวพิจาณาจนจิตนิ่งจากกิเลส จิตวางจากกิเลส จิตสงบจากกิเลส จิตใสจากกิเลส จิตสว่างจากกิเลส จิตบริสุทธิ์ประภัสสรเป็นธรรมชาติจากกิเลสแลจึงเกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเพื่อความจางคลายจากกิเลส
    -แลกิเลสทั้งหลายแลเกิดรวมอยู่ในจิตให้พิจารณาดูที่จิตกิเลสตัวใดเกิดก่อนก็ให้ดับตัวนั้นก่อนโดยพิจารณาน้อมพระธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติโดยสัมมาทิฏฐิแลไม่บิดเบือนในอริยสัจ๔ อริยมรรคมีองค์๘ กองกรรมฐานทั้ง๔0 แลสติปัฐฐาน๔กายานุปัสสนากรรม เวทนานุปัสสนากรรมฐาน จิตตานุปัสสนากรรม ธรรมมานุปัสสนากรรมฐาน แลมหาสติปัฐฐาน๔ในการระงับแลดับกิเลสตามจริตของแต่ละรูปนาม
     
  6. วัชรพงษศ์

    วัชรพงษศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +15
    กระผมจะพยานามตอบตามความรู้ที่มีแต่เน้นโดยสัมมาทิฏฐิเป็นสำคัญ

    -พิจาณาอย่างแยบคายโดยไม่ยึดติดถือมั่นเพื่อให้จิตจดจ่ออยู่ในอารมณ์ๆเดียวเพื่อให้จิตนิ่งจิตวางจากกิเลสโดยมีศีลแลจิตที่บริสุทธิ์แลมีสติละลึกได้สัมปะชัญญะความรู้ตัวเป็นปฐม รูปสัญญานามสัญญาจิตเจตสิกมากระทบทางทวารตา ตาเป็นตัวรับแลจึงส่งไปยังที่จิตเป็นตัวรับรู้เป็นตัวปรุงแต่งสังขารธรรมมารมณ์ รูปสัญญานามสัญญาจิตเจตสิกมากระทบทางทวารหู หูเป็นตัวรับแลจึงส่งไปยังที่จิตเป็นตัวรับรู้เป็นตัวปรุงแต่งสังขารธรรมมารมณ์ รูปสัญญานามสัญญาจิตเจสิกมากระทบทางทวารจมูก จมูกเป็นตัวรับแลจึงส่งไปยังที่จิตเป็นตัวรับรู้เป็นตัวปรุงแต่งสังขารธรรมมารมณ์ รูปสัญญานามสัญญาจิตเจสิกมากระทบทางทวารลิ้น ลิ้นเป็นตัวรับแลจึงส่งไปยังที่จิตเป็นตัวรับรู้เป็นตัวปรุงแต่งสังขารธรรมมารมณ์ รูปสัญญานามสัญญาจิตเจสิกมากระทบทางกาย กายเป็นตัวรับแลจึงส่งไปยังที่จิตเป็นตัวรับรู้เป็นตัวปรุงแต่งสังขารธรรมมารมณ์

    -พิจารณาอย่างแยบคายในกองกรรมฐานที่เป็นสัมมาทิฏฐิแลสัมมาสมาธิปิดผัสสะทั้ง6อายตนะทั้ง12ให้เหลือจุดๆเดียวคือจิตโดยมีศีลแลจิตที่บริสุทธิ์แลมีสติละลึกได้สัมปะชัญญะความรู้ตัวพิจาณาจนจิตนิ่งจากกิเลส จิตวางจากกิเลส จิตสงบจากกิเลส จิตใสจากกิเลส จิตสว่างจากกิเลส จิตบริสุทธิ์ประภัสสรเป็นธรรมชาติจากกิเลสแลจึงเกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเพื่อความจางคลายจากกิเลส
    -แลกิเลสทั้งหลายแลเกิดรวมอยู่ในจิตให้พิจารณาดูที่จิตกิเลสตัวใดเกิดก่อนก็ให้ดับตัวนั้นก่อนโดยพิจารณาน้อมพระธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติโดยสัมมาทิฏฐิแลไม่บิดเบือนในอริยสัจ๔ อริยมรรคมีองค์๘ กองกรรมฐานทั้ง๔0 แลสติปัฐฐาน๔กายานุปัสสนากรรม เวทนานุปัสสนากรรมฐาน จิตตานุปัสสนากรรม ธรรมมานุปัสสนากรรมฐาน แลมหาสติปัฐฐาน๔ในการระงับแลดับกิเลสตามจริตของแต่ละรูปนาม
     
  7. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    เจ้าของกระทู้ คุณศุภกร_ไชยนา เงียบไปเลย ท่าจะเก็บตัวฝึกกรรมฐานอยู่หรือครับ? เข้ามาคุยให้ฟังเป็นวิทยาทานกันหน่อย ว่าการฝึกปฏิบัติ มีผลเป็นเยี่ยงใดบ้าง?

    ที่ถามถึง ไม่มีอันใด เพียงแต่อยากจะขอความรู้และเรียนรู้ไปกับเจ้าของกระทู้ด้วยคนนะครับ
     
  8. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    :cool: ผมว่าทุกอย่างอยู่ที่บุญ บารมี ด้วย บางคนก็ฝึกเพราะกิเลส ซะส่วนใหญ่ อยากมีฤทธิ์เดชมั่งอะไรก็ว่าไปบลาๆ แฮะๆ:z15
     
  9. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    ช่วงนี้เนื่องจากงานทางโลกยังมีมาก กสินก็ยังไม่ได้ทำต่อครับ แต่หมดคำถามเรื่องกสินแล้ว จะไม่พูดถึงอีกหากไม่เจอตอ

    ปัจจุบันพยายามเจริญอาณาปาณสติ ตลอดเวลาเมื่อนึกขึ้นได้ ตั้งใจฝึกจนถึงฌาน แล้วค่อยมาจับกสินทีหลัง (ผมไม่ต้องการฤทธิ์เป็นที่ตั้ง แต่ต้องการฝึกกำลังของจิตใจ) ศีล สมาธิ เพื่อให้เกิด ปัญญา มาสู้กับกิเลศของตน

    ขอฝากรูป ทานบารมี ร่วมกันโมทนานะครับ ปล่อยสัตว์จากตลาดสด ส่วนมากเป็นปลาดุก มีรูปถวานสัฆทาน 1 รูปครับ

    ขอบุญบารมีที่ข้าพเจ้ากระทำมาให้มีผลกับผู้โมทนาบุญเช่นเดียวกับข้าพเจ้าทุกประการเทอญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2012
  10. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ครูของคุณสอนลูกศิษย์มาได้ดีจริงๆ ดีแล้วครับที่มุ่งทางตรงเลย อย่าได้ไปสนใจของข้างทาง จะเสียเวลาเปล่าๆ ครูท่านสั่งไว้ว่าอย่างไร ก็มุ่งหน้าไปตามที่ท่านสั่ง รับรองไม่เจอตอแน่นอน เพราะครูท่านผ่านทางมาก่อน ย่อมทราบดีว่า หนทางที่พาลูกศิษย์ไป ย่อมต้องเป็นทางที่สะดวกพอสมควร

    ที่เจอตอกันส่วนมาก มักจะเป็นพวกนอกครู ไม่ยึดตามคำสั่งของครูอย่างเคร่งครัด ครูบอกให้ไปทางขวา กลับไปออกซ้าย ครูบอกให้ไปข้างหน้า กลับไปหันหลัง แบบนี้ยุ่งยาก เสียเวลาเปล่า ทั้งครู ทั้งลูกศิษย์

    ดังนั้น ผมเองก็ขอจบภาคกสิณสำหรับกระทู้นี้ ไว้เพียงเท่านี้เช่นเดียวกัน

    อนุโมทนาบุญที่่เจ้าของกระทู้ได้ทำบุญด้วยครับ นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ อยากจะเข้าไปถามเจ้าเต่าและปลาทั้งหลายเหมือนกัน ว่าบอกอะไร พูดอะไรกับเจ้าของกระทู้เขาไปบ้าง ที่เขาได้ให้ชีวิต ได้ต่อชีวิตให้กับท่านทั้งหลายในคราวนี้
     
  11. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    ครูของผมก็หลวงพ่อนั้นแหละครับ พระราชพรหมญาณ แต่ยังเป็นศิษย์ที่เลวอยู่มาก
     
  12. taotaoeiei

    taotaoeiei สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2013
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +6
    อ่านไปอ่านมา ก็ยังมีอีก 1 คำถาม นะครับ

    "ที่ผมสรุปได้ กล่าวคือ
    ลืมตาก็ เพ่ง มอง โดยใช้ ตา และจำภาพ
    หลับตาลง ก็นึกถึงภาพ หรือสี ที่เพ่งตะกี๊ ด้วยใจ"

    เมื่อ ภาพนั้นเลือนหายไป ก้ลืมตามาเพ่งใหม่

    ทีนี้ ไอ้ที่เห็นตอนหลับตา
    มันเห็น เป็นภาพ หรือ เห็น..อะไรเห็น งง ครับ ??

    และที่เลือนหาย คือ เลือนหายไปจากเปลือกตา หรือจากใจ

    สงสัย เพราะ หลังจากหลับตา มันก็มืดตึ๊ดตื๋อ
    เปลือกตา ก็เห็นเป็นภาพ negative ที่เกิดจากการมองวัตถุ กสิน ก่อนหลับตา

    สงสัยจริงๆ นะครับ เพราะกำลัง ฝึกอยู่

    ขอขุดๆๆๆ
     
  13. Thumma117

    Thumma117 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2013
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +89
    "สงสัย เพราะ หลังจากหลับตา มันก็มืดตึ๊ดตื๋อ
    เปลือกตา ก็เห็นเป็นภาพ negative ที่เกิดจากการมองวัตถุ กสิน ก่อนหลับตา"
    ...

    เท่าที่ผมศึกษามา และจากการมีคนมาสอนผมในเวบนี้

    -หลังจากเปลือกตาปิดลง เราไม่ใช้ตาของเราแล้ว ..ภาพ negative image ไม่ต้องไปสนใจมัน ...

    ให้ใช้ภาพจากมโนทวาร เหมือนการนึก ภาพพ่อแม่ หรือแฟนเรา แต่ทีนี้ให้นึกภาพกสิณที่เรามองเมื้อกี้ แล้วค้าง ภาพเอาใว้ (ยากนะ) ..พอนึกไม่ได้ก้อ ลืมตามองใหม่ พิจารณาภาพกสิณใหม่.. แล้วทำซ้ำๆไป ..ฝึกไปเรื่อยๆ เราจะนึกภาพได้ดีแล้วค้างได้นานขึ้นเอง...

    น่าจะเป็นแบบนี้นะ
    ป.ล. ผมก้อฝึกมาได้ 1เดือน
     
  14. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    แล้วกสิณลมจะจับภาพยังไงครับ งงจัง
     
  15. คนเก่ง ฟ้าประทาน

    คนเก่ง ฟ้าประทาน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +12
    ตอบจากประสบการณ์ตัวเองครับ คือผมจะฝึกแบบนำต้นไม้กระถางมาวางไว้ข้างหน้าตัวเอง แล้วเปิดพัดลมเป่าอ่ะครับ แล้วเพ่งใบไม้ใบใดใบหนึ่งพร้อมคำบริกรรม วาโย กสิณัง แล้วหลับตา ถ้าคนเคยได้ในอดีต จะเห็นเป็นไอหรือเหมือนก้อนเมฆกำลังเคลื่อนไหวครับ แล้วก็ทำไปเรื่อยๆครับ
     
  16. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    ไม่ฟงไม่ฝึกมันล่ะไม่เห็นจะได้อารัยo_O
     
  17. คนเก่ง ฟ้าประทาน

    คนเก่ง ฟ้าประทาน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +12
    เป็นบททดสอบ อิทธิบาท4เลยครับ ผมก็เคยมีอารมณ์แบบอยากเลิกแต่ก็ไม่เลิกครับ ฝึกกสิณทำอะไรได้เยอะเลยนะ แล้วแต่จริตความชอบด้วยครับ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    พูดแบบรวมๆนะครับ และไม่ได้ว่าใคร
    กสิณเริ่มต้นดูเหมือนง่าย แต่จะสำเร็จ
    ถึงระดับใช้งานได้นั้นไม่ง่าย
    ถ้าไม่เข้าใจปฎิทานของการฝึกดีๆ
    จะออกนอกแนวทาง และกายเป็นคนยึดติด
    ในสภาวะ ยึดในนิมิต หลงตน ขี้โม้ ท่ามาก
    แม้ว่าจะใช้งานจริงไม่ได้
    ก็จะหลงตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ
    ยกเว้นกลุ่มที่ใช้เป็นฐาน
    สำหรับวิปัสสนา อย่างนี้ไม่เป็นไร


    กสิณไม่ใช่วิชามโนฯ แม้ว่าหลักการ

    บางอย่างของมโนฯจะสามารถนำมาใช้งาน

    และ ในระดับใช้งานได้จริงนั้น

    จะต้องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่ก็ตามแต่ว่า

    ในระดับเริ่มต้น เราควรเข้าใจก่อนว่า

    การจะเข้าถึง กรรมฐานกสิณ

    ในระดับที่จะนำมาใช้งาน

    ได้ในเบื้องต้น หรือจะใช้ได้จริงอย่าเผลอไปติด ไปหลงใน

    กิริยากระโหลกกะลา ระหว่างทางพวกนั้น


    ในทางปฏิบัติ จะไม่ให้ยึดติดเลย หรือไม่ให้ไปสนใจ

    เลยแม้แต่น้อย หรือแม้กระทั่งฝึกแล้ว

    นำไปทางด้านโหรศาสตร์ไก่กา นอกคอกอะไรอย่างนี้

    ไม่ใช่แนวทางของกสิณนะครับ

    เพราะมันเป็นแค่ผลที่จะเกิดตามมาได้ภายหลัง

    ของมันเอง แต่มันไม่ใช่ทางหลัก

    ดังนั้นควรรู้ ควรไปให้ถูกตั้งแต่เริ่มต้นก่อน

    ไม่งั้น ชาตินี้ จะเข้าไม่ถึงในระดับใช้งานได้

    จากกรรมฐาน กองนี้ครับ


    หลักการมัน ก็คือ การให้ตัวจิตสร้างภาพ

    ที่เกิดจากตัวจิตได้เองให้ได้ก่อนในเบื้องต้น

    ซึ่งแน่นอนว่า มันจะไม่ได้สวยงาม เหมือนภาพที่

    มองวัตถุที่มีแสง มีการกระทบ แล้วละสายตา

    หรือภาพที่พยายามนึกจากสมองให้มันเกิดขึ้นมา


    และต่อมาก็ออกกำลังกาย

    ให้ตัวจิตมันเอง จากภาพที่จิตมันสร้างนั่นหละครับ

    เบื้องต้นเราเรียกภาพพวกนี้ว่า อุคหนิมิต

    ซึ่งในการออกกำลังกายภาพนั้น

    ต้องไม่มีกายมาเกี่ยวข้อง จึงจะต้องไม่ใช่

    ระดับอุปจารสมาธิ เพราะจิตยังไม่ทิ้งกายเด็ดขาด

    เพียงแต่ ระบบประสาทการควบคุมกับกายมันไม่

    เร็วเหมือนตอนที่เราลืมตาเฉยๆ

    ด้วยการหมุนภาพที่สร้างจากตัวจิตเอง

    ในกำลังสมาธิระดับสูงหน่อยเท่านั้น

    แต่จำเป็น ต้องเริ่มจากระดับอุปจารสมาธิก่อน


    (ที่ไม่ใช่ระดับอุปจารสมาธิ เพราะระดับนี้จิต

    สามารถเห็นภาพนามธรรมได้

    หรือสร้างเป็นภาพนามธรรมต่างๆได้หรือ

    เห็นกะแสต่างๆที่ดูแตกต่างจากอากาศได้

    เพราะแม้ว่าจะเล่นกับภาพนามธรรม

    ในระดับกำลังอุปจารสมาธิได้


    แต่จะไม่มีกำลังจิต แต่เอาไว้ฝึกใช้งาน

    หรือเอาไปหนุนในเรื่องถ่ายเทพลังงานได้

    ซึ่งกำลังในระดับนี้ ต่อให้ทำได้ ทั้งชาติ

    ก็ไม่เกิดกำลังจิต และจะหลงคิดว่าเป็นระดับ

    ญาน ๔ ได้และหลงตัวเองและเพี้ยนได้

    ในอนาคตอย่างคาดไม่ถึงครับ)


    แล้วเข้าๆออกๆและเข้าๆออกเพื่อสะสมกำลังสมาธิไว้

    ไปต่อให้ถึงในกำลังระดับสูง เพื่อสร้างภาพเป็นปฏิภาคนิมิต

    เมื่อจิตสร้างภาพในกำลังระดับสูงได้

    หรือที่เรียก ปฎิภาคนิมิตนั้น(คือมีความสว่างในตัวเอง

    แต่จำนวนที่สว่างในตัวเองนั้น มารวมกัน เลยดูสว่างได้)

    แล้วปั่น นิมิตนั้น ให้ได้ ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาหรือวนซ้าย

    ถ้าหมุนตามเข็มก็ไม่เกิดกำลังจิตอีก

    เพราะ ผลจากแร่เหล็กที่อยู่ฝั่งขวา

    ของกาย มันจะจึงให้นิมิตนั้นหมุนขวาได้

    ง่ายเป็นปกติอยู่แล้วครับ

    และเมื่อเข้าใกล้ นิมิตมากไป ก็จะโดนดูดไปมิติต่างๆอีก

    ก็จะทำอะไรไม่ได้อีก แถมถ้ายึดติด

    ก็จะกลายเป็นคนติดนิมิต ติดตามธรรม

    จะยิ่งซวยใหญ่ เผลอๆจะเพี้ยนเอาง่ายๆและ

    เมื่ออยู่ไกลไป ก็จะไม่มีกำลังหมุนปฏิภาคนิมิตอีก

    ระยะห่างตรงนี้ ผู้ฏิบัติจะต้องหาเอาเอง


    เมื่อหมุนได้แล้ว

    จิตถึงจะเกิดเป็นกำลังจิตขึ้นมา

    เพื่อรองรับการใช้งานของพลังงาน

    ที่จะเกิดกสิณแต่ละกองได้ครับ

    และก็จะมีกำลังเพียงพอที่จะดึง

    พลังงานกสิณกองต่างๆที่ไม่ได้ฝึกหรือกองที่เหลือ

    ให้ขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องฝึก

    เพราะว่า ฐานกำลังในการดึงพลังงาน

    ขึ้นมา มันใช้กำลังจิตในระดับเดียวกันนั่นเอง


    ดังนั้น การที่จิตจะสร้างภาพได้เองนั้น

    ต้องไม่ใช่ภาพที่เกิดจากการคิด การระลึก

    การนึกขึ้นมาจากสมอง(เพราะยังไม่ทิ้งกาย)

    แต่ต้องเป็นภาพที่ขึ้นมาจากตัวจิตเอง

    และภาพที่จะขึ้นมาจากตัวจิตเองนั้น

    จะต้องเป็นภาพที่ไม่มีกายมาเกี่ยวข้อง

    คือไม่ให้นิมิต อยู่ในร่างกาย

    จึงจำเป็น ต้องสร้างให้ภาพนิมิตต่างๆ

    ออกผ่าน ทางเหนือระหว่างคิ้ว ออกไปให้ปรากฏในอากาศ

    (เพราะถ้าผ่านตา มันจะไปดึงความคิดจากสมองทันที

    ถ้าเราขยับตาไปทางซ้าย มันจะสร้างภาพจากอดีต

    ถ้าเราขยับตาไปทางขวา มันจะสร้างภาพใหม่ทันที)

    เลย จะเหมือนว่า เรามีตาเดียว มองนิมิตกสิณ

    ผ่านเหนือระหว่างคิ้ว. หลักการนี้ใช้ทั้งแบบหลับตา(ทำตานิ่งๆ

    เมื่อยก็พัก อย่าฝึกแบบกระบือ เพราะเราไม่ได้ฝึกตบะ)



    แบบหลับตา ถ้าจะให้ไม่คิด ไม่ดึงความคิดจากสมอง

    ก็ต้องรู้จัก ทำความรู้สึกรับรู้ ลมหายใจ

    เข้าและออกมันหยุดที่ปลายจมูก

    และหลับสองตาปกติ ให้โน้มลงมามองที่ลิ้นปี่(สังเกตุสายตา

    ของพระพุทธรูป)

    เราจะรู้สึก เหมือนมีตาเดียว มองผ่านเหนือระหว่างคิ้ว

    ได้เองแบบอัตโมัติ และต้องรู้จักดันลมหายใจเข้าและออก

    ให้ลึกถึงท้อง เพื่อเพิ่มกำลังสมาธิสะสม และสร้างความ

    ละเอียดให้กับจิต แต่ไม่ต้องตามลม เพื่อป้องกันไม่ให้

    จิตมันเกิด จากการไปตามลม.

    ตัวจิตถึงจะเริ่ม ตัดความคิดจากสมอง และก็มองผ่าน

    ระหว่างคิ้ว ออกไปให้พ้นกาย เพื่อป้องกันการปรุงแต่ง

    ของตัวจิตที่ทำร่วมกับสมองได้ของมันเองครับ

    เมื่อทำตรงนี้ได้แล้ว ไม่ว่าเราจะฝึก จะเริ่มจากนิมิต

    กสิณกองใด ไม่ว่ากองนั้นจะมีสีให้สะท้อนภาพ

    หรือไม่มีสีให้สะท้อน เราก็จะสร้างภาพนิมิต

    กสิณขึ้นได้เอง จะได้ไม่ต้องมามีปัญหาว่า

    จะสร้างภาพยังไง จะรักษาภาพยังไง



    ย้ำว่า อย่าลืมว่า ภาพที่สร้าง

    จากจิต แรกๆย่อมไม่สวยแน่นอน จะเริ่มจาก

    เป็นขอบๆก่อน ดังนั้นต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป

    พอทำตรงนี้ได้ ถึงจะใช้ภาพนี้ เพื่อเป็นอุบาย

    ในสร้างเพื่อเข้าและออก จากภาพบ่อยๆ

    และก็บ่อยๆ มันก็จะมีกำลังสมาธิสะสม

    เพื่อต่อยอดไปกำลังสมาธิที่สูงขึ้น

    ที่เพียงพอจะให้เกิด ภาพแบบปฏิภาคนิมิตได้

    ของมันเองครับ


    ย้ำว่า ระดับอุคนิมิต ที่จะเป็นวงกลม มีสีหรือไม่มีสี

    เป็นสี่เหลี่ยม หรือรูปใดๆก็ตาม ถือว่าเป็นกสิณโทษ

    คือขวางการต่อยอดได้หมด ให้ทิ้งไปเลย

    และเน้นใช้เพื่อเข้าออกเท่านั้น

    และถ้าขึ้นกสิณอะไร ก็ต้องเป็นภาพ นิมิตกสิณนั้นๆเท่านั้น

    ในระหว่างทาง ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามา ที่ไม่ใช่นิมิตตรง

    ห้ามไปสนใจทุกๆกรณี และในระหว่างทางก่อน

    จะปั่นปฏิภาคนิมิต นิมิตได้ จนเกิดกำลังจิต


    ไม่ว่าจะเกิดกิริยาหรือความสามารถใดๆ

    ไม่ว่า จะไปพบเจออะไร อะไรก็ตาม

    ที่พิศดาร ล้ำลึก ระดับโลก ระดับจักรวาลอะไรก็ตาม

    ห้ามสนใจทุกๆกรณี ไม่งั้น จะเข้าไม่ถึง

    ในระดับที่จะเกิดกำลังจิต จนสามารถใช้งานได้จริงๆครับ


    อย่าพึ่งไปสนใจ ทริคที่จะสร้างภาพให้ได้ในระหว่างทาง

    เอาพื้นฐาน ให้เกิดกำจิตตัวเราก่อน

    ถ้าจิตมันสร้างภาพได้แล้ว ต่อไป ไม่ว่าที่ไหน

    เมื่อไร อย่างไร มันจะสร้างภาพได้ของมันเอง

    ภายในเวลาหลักวินาที อยู่แล้วของมันเองปกติธรรมดา


    เริ่มให้ถูกหลัก เตรียมพื้นฐานให้พร้อม

    อาจจะดูไม่สวย ไม่งาม ยากหน่อย

    แต่มีโอกาศเข้าถึงผลสำเร็จได้ในชาตินี้


    ดีกว่าไปเริ่มแบบสวยๆ ไปหวังแบบกระโหลกกะลา

    ว่าฝึกได้ จะต้องกลายเป็นอะไรที่วิเศษแบบโน้นนี่นั้น

    หรือฝึกเอาหล่อ เอาเท่ห์ ไว้โชว์ สาว

    เอาไว้แสดงก้ามเพื่อลบปมด้อยในอดีต

    อย่างนี้ จะติดแต่สภาวะรากหญ้าที่เกิดได้

    ปกติในระหว่างทาง แต่จะเอามาโม้ประหนึ่ง

    ตนเป็นผู้วิเศษ แต่ไม่สามารถใช้งานอะไรได้เลย

    ไม่สามารถทำได้จริง ไร้กำลังจิต ไร้ภูมิต้านทาน

    ด้านพลังงานภายนอกต่างๆ และไม่สามารถพิสูจน์

    และ แสดงผลใช้งานได้จริง จากกรรมฐานกองนี้ครับ

    สรุปจะเป็นพวกขี้เท่อ โม้แต่สภาวะระดับโลก สัมผัสระดับจักรวาล

    พอให้แสดงผล ให้ใช้งานให้ดูจะทำไม่เป็นนั่นหละครับ


    ยกเว้น ว่าจะเล่นกับอุคินิมิต แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลง

    ของมันและสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งความรู้สึก

    เพื่อเป็นแนวทางสำหรับต่อยอด ไปสร้างสติให้ต่อเนื่อง

    ไปสร้างปัญญาทางธรรม เพื่อตัดการยึดมั่นถือมั่น

    เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงระดับกำลังสมาธิ

    ระดับสูงก็ได้ ครับ เพียงแต่ไม่ต้องยึดติดภาพ

    ก็จะได้ผลในอีกทางหนึ่งเช่นกัน....


    ส่วนทำในระดับสูงได้ ไม่ต้องพูดมาก

    จะเห็นประโยชน์ ในการต่อยอดได้เอง

    โดยไม่ต้องไปพูดอะไรมากมาย....


    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง จบ.....

    ** อย่าฝึกเพื่อตัวเอง

    อย่าทำเพื่อตัวเอง

    ให้ตั้งเป้าว่าเรียกของเก่า

    และใช้ประโยชน์ทางธรรม

    และผู้อื่นๆ ถึงจะมีครูบาร์อาจารย์

    ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

    มาแนะมาสอนทริคระหว่างทางได้


    ที่สำคัญ สอบให้ผ่านด้านนิสัย

    และความเฉลียวฉลาดในการใช้งาน

    ตรงนี้ตัวใครตัวมัน ***

    ประเภทฆ่าสัตว์ได้ด้วยมือเปล่าในนิมิต

    หรือใช้อาวุธทุกๆกรณี ไม่ว่าเพื่อทำลาย

    หรือใช้ป้องกันตัวเอง ความหมายคือสอบตกครับ

    ปล สอบได้เรื่องตลก สอบตกเรื่องธรรมดา
    และกรรมฐานกองนี้ไม่คำว่าฟลุ๊ค
     
  19. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    แสดงว่าผิดภาพไม่ได้เกิดจากตัวจิตยังไปไม่ถึง
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ถูกครับเรื่องภาพระดับอุคคนิมิตผิดไม่ได้ แต่เรื่อง
    ตัวจิตยังไปไม่ถึงก็ไม่เชิงครับ...
    เพราะถ้าจิตมันเริ่มจะสร้างภาพได้
    เป็นเรื่องปกติ ที่ขันธ์ ๕ นามธรรม
    หรือสัญญาความจำได้ที่ฝั่งอยู่ในจิตเรา
    มันจะขึ้น มาสร้างนิมิตอื่นๆหลอกให้เราหลงนิมิตได้ปกติ

    และเหตุว่าในระดับอุคคนิมิคของกสิณนั้น
    ไม่ว่ากองใดๆก็ตาม ก่อนที่จะเข้าถึงนิมิตตรง
    ของกสิณกองนั้นได้ มันจะมีนิมิตอื่นๆมาแทรก(จากเหตุข้างบน)
    ซึ่งนิมิตที่มาแทรกนั้น ไม่ว่านิมิตอะไรก็ตาม
    ถือว่าเป็นนิมิตหลอกทั้งนั้น....
    หลอกให้เราไปดู ไปอยากรู้ ไปอยากเข้าใจ
    หลอกให้เราสงสัยว่ามันมาได้อย่างไร
    มันคืออะไร ฯลฯ

    ยกตัวอย่างเช่น ฝึกกสิณน้ำอยู่
    ปกติจะเห็นเป็น น้ำจริง มีคลื่น ใส ไม่มีฟอง
    ถ้ามี ควัน มีไฟ มีภาพพระฯ มีสถานที่อื่นๆ
    หรือมีน้ำมีคลื่น น้ำแยกได้ น้ำใสแต่มีลายข้างล่าง
    หรือเห็นเรื่องราวอื่นๆแทน หรือเห็นน้ำตก
    เห็นฝน ฯลฯ ที่ไม่ใช่ น้ำจริง ใส ไม่มีฟอง..
    ล้วนแล้วแต่เป็น นิมิตขวางหรือลวงทั้งสิ้น

    พวกนี้รวมทั้ง นิมิตตั้งต้นที่ดูสวยกว่า พิศดารกว่า
    เช่น ปกตินิมิตกสิณลมแทนที่จะเห็นเป็นลมหมุน
    เป็นวงกลมได้นอกวงกลมเห็นเป็นเส้นตรงๆสีใส
    หรือนิมิตกสิณอากาศจะคล้ายๆลมแต่ว่าในวงกลม
    ข้างในจะมีลูกเล่นอะไรมากกว่ากสิณลมหน่อย
    ให้ลองสังเกตุเอาเอง แต่เราดันไปเห็นอย่างอื่นๆ
    ที่ไม่ใช่อย่างที่กล่าว หลักๆคือทำให้เปลี่ยนการตั้งมั่น
    ในนิมิตกสิณตรงของกสิณกองนั้นๆ พวกนี้คือ
    นิมิตขวางหรือนิมิตลวงทั้งสิ้น

    บางคนถ้าไปยึดติด นิมิตลวงพวกนี้
    เผลอๆจะหลงตัวเองไปเลย เข้าใจว่า
    สิ่งที่ตนเห็น เป็นอะไรที่วิเศษวิโส
    ไม่ใช่ทั่วๆไปที่จะเห็นอย่างตนได้
    อย่างนี้ เรียบร้อย เสร็จมันแล้วครับ

    และที่สำคัญเลย(ย้ำว่าสำคัญ) สำหรับกสิณนั้น
    ไม่ว่าจะเห็นนิมิตตรงได้แล้วก็ตาม
    ในระดับอุคคนิมิต ของกรรมฐานกองนี้
    ถือว่าเป็นตัวขวางได้หมด ทั้งสิ้น ทุกกองครับ
    ย้ำว่า ทุกๆกองนะครับ

    เหตุเพราะ มันจะขวางให้เราไปต่อไม่ได้
    ยกตัวอย่างการขวางที่หลายท่านคาดไม่ถึง
    เช่น การไปพยายามรักษาภาพนิมิตตรงนั้น(หมายถึง
    นิมิตกรรมฐานที่ตรงสำหรับกรรมฐานกองนั้นแล้ว)
    ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ บอกได้เลยว่า
    การพยายามไปทำอย่างนี้ ท่านจะเสร็จไปต่อไม่ได้
    เพราะจะเข้าสู่สภาวะการ จมหรือแช่
    ยิ่งอยู่ไป นานๆ ยิ่งจะทำให้เกิดอาการจิตพิการ
    หรือจิตโง่ ไปไหนต่อไม่ได้ เดินปัญญาอะไรก็ไม่ได้นั้นเอง
    และจะยึดในสิ่งที่เห็น ที่รับรู้
    จนกลายเป็นอัตตาตัวตน อย่างคาดไม่ถึง
    ฟังต่อว่า ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้


    เพราะด้วยแท้จริงแล้ว แม้ว่าในระดับอุคหนิมิตตรง
    (ย้ำว่านิมิตตรงนะครับ)
    ของกสิณกองใดๆก็ตาม มันเป็นเพียงแค่
    อุบายสำหรับการฝึก เพื่อให้จิตยกระดับกำลังสมาธิ
    ไปสร้างปฏิภาคนิมิต ในสมาธิระดับกำลังที่สูง
    เพื่อสร้างให้จิตเกิดกำลังจิตเท่านั้น

    ยกตัวอย่างเปรียบ เผื่อว่าจะเข้าใจง่ายๆ
    เช่น คุณเริ่มฝึกวิ่งออกกำลังกาย ตั้งเป้าไว้ว่าจะวิ่ง
    ๕ กม. ซึ่งคุณไม่เคยวิ่งได้ ๕ กม.มาก่อนเลย
    เมื่อคุณเริ่มวิ่งคุณจะรู้สึกเหนื่อยตั้งแต่
    เริ่มต้นวิ่ง แต่คุณก็ยังจะต้องฝืนวิ่งไปให้ถึง
    กม. ที่ ๕ ให้ได้ เมื่อคุณฝืนมาถึง กม. ๕ ได้
    คุณย่อมรู้สึกเหนื่อยและหมดแรง
    แต่เมื่อคุณได้พักไปซักระยะ
    คุณ ก็หายเหนื่อย แล้วถ้าเกิดคุณดันฟิต(ใจรัก)
    ไหนๆก็หายเหนื่อยแล้ว ลองวิ่งต่อ ไป กม. ที่ ๑๐
    แล้วกัน เอาวะ อีกซักยก หายเหนื่อยแล้วทำได้แน่
    แต่คุณก็จะพบว่า คุณจะไม่มีแรง ที่จะวิ่งไปถึง กม.ที่ ๑๐
    เพราะคุณก็จะหมดแรง ทำให้ไม่อยากวิ่งต่อ
    ฝืนก็ไม่ได้ เพราะร่างกายมันไม่ไหวแล้ว
    เพราะคุณได้ฝืนร่างกาย เพื่อที่จะวิ่งให้ถึง กม. ๕
    ตั้งแต่แรก พอพักแล้วคิดว่า จะวิ่งต่อได้
    มันไม่ได้หรอกครับ ร่างกายมันต้องอาศัยการปรับตัว
    หลายๆอย่าง จิตก็เช่นเดียวกันครับ

    แต่พอมาวิ่งวันหลัง คุณจะรู้สึกเหนื่อยน้อยลง
    ทั้งๆที่ วิ่งในระยะทาง ๕ กม.เท่ากัน แต่คุณคิดว่า
    เอาแค่นี้หละ และวันหลังมาวิ่งอีก ๕ กม.เท่ากัน
    คุณกลับพบว่า คุณยิ่งเหนื่อยน้อยลงแฮะ
    ยิ่งวิ่งบ่อยๆในระยะทาง ๕ กม.เหมือนเดิมนานๆเข้า
    พอถึง กม. ที่ ๕ คุณกลับรู้สึกว่า ยังไม่เหนื่อยเลยแฮะ
    เห้ย!! ไร้แว๊ๆๆๆๆ เหื่อยังไม่ซึมเลยแฮะ วิ่งต่อไปซักหน่อย
    ก็ได้นิ....ตรงนี้คุณก็จะเริ่มวิ่ง โดยมีเป้าหมายไป กม. ๑๐ ได้
    เพียงแต่ว่า กำลังที่คุณได้ จากการวิ่งถึง กม. ๕ บ่อยๆ
    มันจะสะสม สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    ให้คุณวิ่งได้ถึง กม.ที่เท่าไร อาจจะเป็น ถึง กม. ๗ ค่อยเหนื่อย
    หรือ กม. ๘ ถึงเหนื่อย หรือ เหนื่อน กม. ๙ อะไรทำนองนี้


    ซึ่งหลังการกำลังสะสม และการปรับตัวของร่างกายตรงนี้
    ก็คล้ายๆ กับหลักในการเข้าและออกบ่อยๆ
    ในระดับอุคหนิมิตกสิณตรงนั้นหละครับ
    เพราะอย่าลืมว่า กสิณนั้น มันเป็นการออกกำลังให้กับจิต
    ออกกำลังกายด้วยการให้จิต สร้างภาพนิมิตจากตัวจิตเอง
    เมื่อจิตมันเริ่มสร้างได้ แม้ว่าคุณจะได้พักแล้ว
    แต่ คุณไปพยายามฝืน ไปบังคับ หรือ
    ไปพยายามรักษาให้ภาพอยู่นานๆ มันก็เหมือนกับการ
    ที่คุณไปฝืนสภาพร่างกายตนเอง เหมือนตอนที่
    คุณเริ่มฝึกวิ่ง เพื่อให้ถึง กม. ๕ ในครั้งแรก
    แล้วพอหายเหนื่อย ดันเกิดฟิต(ใจรัก)เพื่อที่จะวิ่ง
    ต่อไปยัง กม. ๑๐ ให้ได้นั่นหละครับ มันไปไม่ได้หรอกครับ
    แต่ใจมันอาจจะไม่ถึงนั่นนะใช่อยู๋ เรื่องปกติไปแต่ใจอย่างเดียว

    ยังไง จิตก็ทำไม่ได้ เพราะจิต มันเหนื่อย
    จิตมันยังไม่มีกำลังสมาธิสะสม
    เพียงพอ ที่จะสร้างภาพให้มันชัดเจนและรักษาระยะเวลา
    ที่ทำให้ภาพนั้นอยู่ได้นามขึ้นนั้นเองครับ
    (เรียกเล่นๆว่า การไม่รู้จักเจียมจิต)
    เพราะฉนั้นถึงตรงนี้อย่าห้าว.........


    ที่ห้าวเป้ง ไม่เจียมจิต กันนั้นเพราะกลัวไปเอง
    ว่าภาพนิมิตมันจะหาย มันไม่หายไปไหนหรอกครับ
    ถ้าจิตมันเคยสร้างด้วยตัวมันเองแล้ว...เปรียบเหมือน
    คุณได้เคยฝึกวิ่ง ถึง กม.ที่ ๕ บ่อยๆแล้ว ร่างกายคุณ
    มันก็ชิน ระบบหายใจมันก็ชิน ร่างกายปรับตัว
    รองรับการวิ่งที่ กม. ที่ ๕ แล้ว คุณจะวิ่งไป กม.ที่ ๑๐
    ยังไงมันก็ต้อง ผ่าน กม.ที่ ๕ อยู่แล้ว
    ไม่ใช่ว่า จะวิ่งไป กม.๑๐ แล้ว กม. ๕ มันจะหายไปไหน
    ยังไงมันก็ต้องผ่าน พอมองภาพเปรียบออกไหมครับ

    ถ้ายังไม่เกท ที่เปรียบเทียบก็เปลี่ยนแนว
    ไปหา ดูสง ดูสาว ดูเด็กๆ ตามร้านอาหาร
    ตามมหาลัย ตามวัดดีกว่า เพื่อว่าจะรุ่ง
    (พูดประชด เอาฮาเด้อ ๕๕๕)



    ต่อมา จริงจังหน่อย อย่าตลกเชิงประชดมาก(ว่าตัวเอง)
    ซึ่งในระดับสมาธิกำลังสูงนั้น....
    โดยปกติ มันจะไปได้ ๓ แนวทางคือ
    ๑.การอฐิษฐานเพื่อให้เกิดผล เช่น อฐิษฐานให้เกิดฝนตก
    (แนะนำว่า อย่าทำเลย แม้ทำได้ ก็หลายนาที
    กว่าจะถึงระดับหายใจครั้งเดียวแล้วทำได้
    เหมือนครูบาร์อาจารย์ที่ท่านเป็นพระ
    เผลอๆคงรอชาติหน้า ไม่เชื่อลองดูได้)
    หรืออฐิษฐานดูอดีต ดูอนาคต ดูโน้นนั่นนี่ฯลฯ
    พวกแนวๆนี้ ยิ่งทำให้นอกทางใหญ่
    เพราะน้อยคน นะครับ ที่ไปรู้เรื่องในอดีต
    แล้วจะมา ฉุกคิด ว่า ชาตินั้น ตรูไปพลาดอะไร
    หรือตรูมันโง่ กระโหลกกะลา ตรงไหน
    ถึงต้องได้กลับมาเกิดอีก นึกออกไหม
    มีแต่ ไปดูชาติ ที่ตัวเองเท่ห์ๆ แล้วก็มาทำ
    หน้าตาป่านดารา เดินไปเดินมา คิดว่าตัวเอง
    เคยเป็นไอ้ที่เท่ห์ๆในอดีตชาติ หลงตัวเองไปวันๆ)
    หรือว่า รู้อนาคตแล้ว จะเตรียมปรับปรุงตัวเอง
    ในวันนี้ให้ดีขึ้น ส่วนมากพอรู้ว่าจะดี
    แล้วก็เหลิง หลงตัวเองซะงั้น เผลอๆเปลี่ยน
    แปลงอะไรไม่ได้ ก็มาบ่น มาท้อ
    ทำให้จิตเศร้าหมองอีก นี่ก็ เรียกว่ากิริยาไม่ฉลาดแขนงหนึ่ง
    แยกมาจาก กิริยาไม่ฉลาดสายหลักนั่นเอง



    ๒.การทิ้งภาพนิมิตและสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อไปต่อ
    ในโหมดอรูปฌาน ๑ ถึง ๓
    ๓.การปั่นปฏิภาคนิมิตในกำลังระดับสูง วนซ้ายให้ได้
    เพื่อให้เกิดกำลังจิต(วนขวาไร้ประโยชน์เพราะทำได้ง่าย)
    แต่ถ้า ท่านสนใจกรรมฐานกองนี้
    และอยากจะเข้าถึงผลสำเร็จจริงๆ

    ท่านจะต้องตัดในข้อ ๑ และ ๒ ออกไป
    ส่วนจะลองทำเล่นๆดูได้ ไม่ว่ากัน
    เพราะ ข้อ ๑ จะทำให้ท่านไปได้ทางด้าน
    สัมผัสภายใน ซึ่งจะทำให้ไปสนใจ
    ในเรื่องของนามธรรม เรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก
    ทำให้ยึดติดกับนามธรรมเหล่านั้น
    กลายเป็นหมอดง หมอดู คู่หมอเดา
    หรือไปยึดในเรื่องที่มันดูวิเศษวิโสแทน
    ซึ่งไม่ใช่หลักของกสิณเลย
    หรือถ้าไปทางข้อที่ ๒ ท่านจะไปยึดติด
    ในเรื่องของกำลังสมาธิ จะหนักไปทางด้านตบะ
    และถ้าหากไม่นำกำลังตรงนี้มาวิปัสสนา
    ท่านจะหลงตัวเอง คิดว่า ตัวเองบรรลุ คิดว่า
    สภาวะต่างๆที่อยู่ในโหมดอรูปฌาน
    เป็นสภาวะแห่งการหลุดพ้น หรือคิดว่าตนเข้านิพพานได้

    เมื่อทิ้งทั้ง ๒ ข้อให้มาเล่นใน ข้อที่ ๓
    คือ พยายามหาจุด หาระยะห่าง
    เพื่อที่จะปั่นปฎิภาคนิมิตกสิณกองนั้นให้ได้
    โดยไม่ถูก นิมิตกสิณกองนั้นดูดเข้าไป
    (ยังไงก่อนจะปั่นได้ ต้องโดนดูดอยู่แล้วเป็นปกติ
    ส่วนจะไปโผ่ลที่ไหน เป็นอีกเรื่อง เป็นไปได้ทุกแบบ
    ยกเว้นว่า จะระลึกสติได้ ก็ให้ไปฝึก ปั่น
    ในสถานที่ๆโดนดูดเลย ถึงจะมีประโยชน์
    เพราะไม่งั้น เราจะกลายเป็นเหมือนนักท่องเที่ยว
    ทะลุมิติ ทะลุจักรวาล ป่านว่า ทัวศูนย์เหรียญ)
    หรือเปลี่ยนแนวทางเดินไปเลย....

    ปล.ถือว่าเล่าให้ฟังนะครับ
    บอกว่า ว่าไม่มีคำว่าฟลุ๊ก
    ที่เล่ามาทั้งหมดนะ แค่พื้นฐานนะครับ.
    บอกแล้ว แรกๆมันเหมือนง่าย
    ความคิดตัวนี้ต้องระวังให้ดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...