ภาวนาอย่างไรจึงจะทำให้เกิดญาณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Prasit5000, 18 มกราคม 2017.

  1. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    นาม-รูป เขาเกิดพร้อมกันในวงจรปฏิจจสมุปบาท-วิญญาณเกิด-ย่อมก้าวลงสู่ นาม-รูป ทันที ..นาม-รูป ดับ วิญญาณจะดับทันที .. เขาล้อกันอยู่ตรงนี้ เข้าใจนะครับ พยายามเข้าใจหน่อยครับ เดี๋ยวจะออกทะเลไป คุณผ่านมาเฉยๆครับ
     
  2. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    คุณผ่านมาเฉยๆ..คุณติดตำราเดิมครับ(วางสักสามนาทีอ่านตรงนี้ครับ) วงจรปฏิจจสมุปบาทเรียงแบบนี้ครับ ..อวิชชา-สังขาร-วิญญาณ-นาม-รูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปทาน-ภพ-ชาติ -ชรา-มรณะ ทั้งหมดจะเรียงเป็น 12 ห่วงโซ่ และทำงานพร้อมกัน เขาอาศัยกันเกิด "ปฏิจจะแปลว่าอาศัยกันและกัน".. เข้าใจตรงนี้ก่อนครับ ที่คุณยกมามันปนกันไปหมด งง
     
  3. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    อินทรีย์สังวร-หัวใจก็คือ ความไม่ประมาทครับ
     
  4. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    อย่าเพิ่งไปดับครับ
    ไม่งั้นมันจะเป็นนิพพานในสมาธิแล้วออกจากสมาธิแล้วก็เกิดกิเลสอีก
    นิพพานน่ะถึงแล้วถึงเลยครับ
    ไม่มีหรอกนิพพานแว้บๆน่ะ
    ถ้าเข้าใจปฏิจสมุปบาทจะเข้าใจสังโยชน์ครับ
    เพราะเนื่องกันอยู่
    ดูดีๆนะครับ
    ตัวสุดท้ายถ้าไล่ลำดับจะเจออวิชชาเป็นตัวสุดท้าย
    งั้นผมถามหน่อย อวิชชาเป็นยังไง เนื่องยังไงในขันธ์5
    ไอ้ที่เกิด-ดับน่ะ
    ถ้าภาวนาจนจิตมีความว่องไวมากพอสมควรจนถึงขนาดตามภายในได้แล้ว
    ภายนอกจะมองเห็นกองไฟเกิด-ดับได้เลยครับ
    ที่ว่าเกิด-ดับรวดเร็วน่ะมันต้องมองเห็นแบบนี้ครับ
    ถ้าภายนอกยังไม่รู้เรื่อง ขนาดหยาบๆนะ
    ภายในไม่ต้องพูดถึง
    ท่องจำแล้วด้นเดาแน่นอน
     
  5. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ผมไม่ได้ติดตำราครับ ถ้าคุณว่าผมติดตำราเดิมแสดงว่าคุณก็ติด ยึดติดตำราใหม่
    โดยบอกว่าตำราเดิมผิด
    แต่ที่บอกโพสไปนั้น
    ประสบการณ์ล้วนๆครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ตรงนี้พอมีคำตอบครับ
    เด่วขออนุญาตเสริมตรงนี้ต่อให้นะครับ..
    ๒ ประเด็น
    ๑.เดินปัญญาได้จาก ความคิดที่จะผุดขึ้นมา
    จากการวางอารมย์ไว้ระหว่างวันยังไงครับ
    ซึ่งโดยมากจะเป็นกิเลสตัวต่างๆที่เราเห็นได้
    จากการที่เราเจริญสติในชีวิตประจำวันเรายังไงครับ
    ไอ้ตัวความคิดที่เป็นลักษณะที่ผุดขึ้นมา
    แล้วมันไม่ทำให้เราหลุดจากสภาวะในขณะ
    ที่เราพิจารณายังไงครับ (นึกภาพออกนะครับ
    ปกติในสภาวะอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะจิตเป็นทิพย์
    หรือสภาวะในสมาธิกำลังสูง ถ้ามีความคิดที่เกิด
    จากจิตมันจะทำให้สมาธิเราตกภายในเสี้ยววินาที
    ไม่เหมือนความคิดที่เราได้วางอารมย์ไว้ระหว่างวันครับ
    และไม่เหมือนความคิดที่มันยังขึ้นมาได้
    ในระดับปฐมฌานที่ขึ้นมาได้ไม่เลือกเรื่อง
    ที่มันขึ้นมาขวางการต่อยอดไต่ระดับฌานด้วยครับ)
    การวางอารมย์ก็คือ พอรู้ว่า เราอ่อนตัวไหน
    หรือเราจะคิดว่าพิจารณาอะไรก็ตาม ให้นึกๆไว้
    แล้วทำเป็นไม่สนใจหรือลืมๆไป เฉยๆไป
    ความคิดตัวนี้นี่หละครับ ที่จะผุดขึ้นได้ของมันเอง
    ย้ำว่าได้ของมันเองเช่น ถ้าวางไว้ ๒ เรื่องก็จะขึ้นมาตามลำดับ
    ที่ละเรื่องด้วยของมันได้เอง...
    ส่วนมากที่พลาดกันแล้วไปพิจารณาแล้วไม่ส่งผลต่อตัวจิต
    เพราะไม่ได้วางอารมย์เรื่องที่จะพิจารณาเอาไว้
    แล้วพอไปถึงสภาวะที่จิตคลายขันธ์นามธรรมได้
    เห็นว่าจิตว่างได้ แล้วดันไปนึกเรื่องที่อยากพิจารณา
    ขึ้นมาเอง มันก็เลยกลายเป็นว่า จิตยกตัวมันเอง
    (คือจิตรวมกับความคิดจากสมอง)ขึ้นมาพิจารณา
    ตัวมันเอง เลยไม่เกิดปัญญาทางธรรมไม่เกิดญาณ
    ทัศนะกันนั่นหละครับ....
    ส่วนนี้เล่าให้ฟังต่อเฉยๆนะครับ
    ๒. มีความคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคิด
    ที่เกิดจากขันธ์ส่วนนามธรรมครับ
    เอกลักษณ์มันในขณะลืมตาคือ
    ขึ้นมาเรื่องไหนมันก็จะเป็นเรื่องนั้นเลย
    เราไม่สามารถเปลี่ยนเรื่องได้
    ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นเรื่องไหน
    มองมันปุ๊บมันก็จะดับ และจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆ
    ไม่เลือกที่เลือกเวลาที่ขึ้นมาด้วยครับ

    ส่วนเอกลักษณ์มันตอนที่เรากำลังนั่งสมาธิ
    ถ้าเห็นมันได้คือ ถ้าเราไปมองมัน
    มันก็จะดับทันทีครับ เรียกว่า มองปุ๊บดับปั๊บ
    และมันก็จะกลับมาอีกได้ ถ้าเรายังรักษาสภาวะ
    สมาธิขณะนั้นได้นะครับ...
    ตัวนี้นี่หละครับ ที่สำคัญมากๆ
    ก็คือ ถ้ามันมาแล้ว อย่าพึ่งไปมองมัน...
    ให้เห็นมันให้ได้ ก่อนที่มันจะรวมกับตัวจิต
    ของเราไอ้ขันธ์นามธรรมต่างๆที่มันมาแบบ
    เชือกเกลียวนั้น มันจะแยกออกเป็นขันธ์
    ของใครของมันได้เองครับ
    การตามดูตามรู้ในกองสังขาร
    สำหรับกำลังสมาธิในระดับสูงหน่อย
    ที่ส่วนตัวกล่าวก็คือสภาวะตรงนี้ครับ....

    ถามว่ากำลังสมาธิในระดับปฐมฌาน
    สามารถเห็นได้ไหม ตอบว่าได้ครับ...
    แต่ต้องชัวในเรื่องกิริยาทางจิตว่า
    ณ เวลานั้นจิตไม่เกิดเลย คือไม่มีความคิด
    จากจิตหรือที่มาจากสมอง หรือไม่มีความคิด
    จากขันธ์นามธรรมมันไปรวมกับจิตเรียบร้อยไปแล้ว
    เช่นกัน ในระดับลืมตาปกติ ถ้าเห็นขันธ์นามธรรม
    ก่อนที่มันจะรวมกับจิตได้ มันก็จะแยกออกเป็น
    ขันธ์ของใครของมันเช่นเดียวกัน....

    ไม่เหมือนกับการเห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาจากจิตได้นะครับ
    ถ้ากำลังสติทางธรรมเห็นตอนที่มันกำลังผุดขึ้นมา ถ้าเห็นตรงนี้ได้
    แค่ครั้งเดียว จิตมันจะทิ้งความคิดจากจิตตรงนี้เลย
    มันจะแยกกันได้เลย...ผลก็คือ เราจะเห็นได้ชัดว่า
    ๑.จิต ๒.ความคิดที่เกิดจากจิต(หรือสมอง) ๓.
    ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรมครับ...
    แยกกันอย่างชัดเจนเด็ดขาด เพราะกิริยา
    ที่มันจะเกิดในขณะลืมตามันจะชัดเจน
    แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดครับ...
    มาถึงตรงนี้หละครับ จิตถึงจะเริ่มเดินปัญญาได้จริงๆแล้วครับ
    ความเห็นชอบก็จะเปิดทางให้
    จะทำให้ความเข้าใจทางนามธรรมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
    ทุกๆเรื่องเกี่ยวกับนามธรรมก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

    ส่วนกิริยาที่เกิดทางกายขณะที่จิตแยกรูปแยกนามมีครับ แต่อุ๊บไว้ก่อน
    ส่วนเอาไว้ถามเผื่อใครมาบอกว่า แยกรูปแยกนามได้
    แล้วมาเกย์ทับข้าพเจ้า ๕๕๕
    จะต้องตอบที่ อุ๊บไว้ได้ทุกคน...
    และท้ายนี้ส่วนตัวในการเข้าไปรู้ในขันธ์ต่างๆ
    ยังอยู่ในระดับหยาบๆอยู่
    จึงเขียนให้ฟังได้ประมานที่เล่า
    มาก่อนหน้านี้นั่นหละครับ

    ปล.พอเข้าใจนะครับ ^_^
     
  7. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    คืองี้ครับ
    ไม่ต้องไปปรับ จับ รึกังวลใดๆเลยครับ
    ถ้าเรารู้จักคำว่า
    พิจารณาในอารมณ์ที่ตั้งมั่น(กลับไปที่เอกคตารมณ์)
    พิจารณาในขณะที่จิตตั้งมั่น(เอกคตาจิต)
    ถ้ามีความชำนาญจนเป็นวสีแล้วจะรู้จักอารมณ์ที่เข้ามาแทรกหรือนิวรณ์ครับ
    ส่วนที่ว่า พอพิจารณาจบแล้วมีอารมณ์อื่นเข้ามาแทรกก็ปล่อยสิครับ
    เพราะพิจารณาจบแล้ว
    อาการที่จะเกิดหลังพิจารณาจบก็เหมือนกับสภาวะที่ปรากฏตอนที่กายกับจิตแยกออกจากกันแหละครับ ไม่ต่างกัน
    เพียงแต่อาการมันจะจืดลงเรื่อยๆเท่านั้นเพราะจิตมันชินแล้ว เว้นแต่ได้ธรรมบทที่สำคัญๆจึงจะ....
    เหมือนคนภาวนาใหม่ๆแล้วไปเจอนู่นนี่นั่นแหละครับ
    เพราะถ้าเท่าเดิมโสดาบันกับอรหันต์ก็สุขเท่ากันสิครับ ใช่มั้ยล่ะ
    และก็ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ว่าจะโดนกิเลสแทรก เพราะเราก็มีกิเลสนี่นา
    เพียงแค่สำรวม สังวรระวังให้มากเท่านั้นเอง
    ทั้งหมดรวมลงมาที่ รู้ เท่านั้นเองครับ
     
  8. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    ขอญาติขยายวงจรปฏิจจฯเปนนภาคไทยล้วน
    เพราะไม่รู้ความจริงจึงเกิดคิดปรุงแต่ง
    เพราปรุงแต่งจึงเกิดตัวผู้รู้,ตัวรู้
    เพราะมีตัวรู้จึงเกิดนามรูปขึ้นมาประกอบ(รองรับ)
    เพราะเกิดนามรูปจึงเกิดอายตนะ6
    เพราะอายตนะ6จึงเกิดการสัมผัสทั้ง6(ผัสสะ)
    เพราผัสสะจึงเกิดความรู้สึกสุข,ทุกข์,เฉย(เวทนา)
    เพราะเวทนาจึงเกิดตัณหา(อยาก,ไม่อยาก)
    เพราะตัณหาจึงเกิดการยึด
    เพราะยึดจึงเกิดความมีความเป็น(ภพ)
    เพราะมีภพจึงมีการอุบัติขึ้น(ชาติ)
    เพราะชาติจึงมีแก่,ตาย,เศร้าโศรก,คร่ำครวญฯ.
    ประมาณนี้ป่าว..ถ้าตัดวงจรได้ก็ไปสบายยยยยย
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    แล้วแต่ถนัดเลยครับคุณ ผ่านมา..
    กรณีเรื่องเทคนิคคอลเทอมในทางปฏิบัติ
    ส่วนตัวมองว่าค่อนข้างพูดยากครับ
    แต่ในทางพุทธศาสนาเราเน้นหลักๆ
    ในเรื่องของปัญญาเพื่อการหลุดพ้น
    จะอย่างไรก็ได้ ขอให้มันเกิดตรงนี้ให้ได้ก็พอ

    และส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีวิธีไหนที่ดีที่สุด
    เพราะถ้ามีดีที่สุด วิธีอื่นๆก็ไม่ดี
    และไม่มีวิธีไหนไม่ดี เพราะถ้ามีไม่ดี
    ก็แสดงว่า วิธีอื่นดี..จะยังก็ได้นะครับ

    ส่วนตัวแม้ว่าใครจะปฏิบัติอย่างไรก็จะ
    มองเป็นกลางๆไว้ก่อน หรือในระหว่างปฏิบัติ
    จะได้เทคนิค มุมมองในการเห็น
    ความเข้าใจ ผลที่เกิดได้ชัดในระหว่างทาง
    ก็จะมองกลางๆไว้ก่อนเช่นกันครับ

    เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
    แม้ว่าจะพอวัดผลที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างทาง
    แต่ท้ายสุดแล้วก็ต้อง
    ไปดูว่าผลที่ปลายทางจะเป็นอย่างไร(ตรงนี้
    สามารถตรวจสอบได้ ด้วยการไปตรวจดูวิธีการนั้นๆ
    แล้วให้มันแสดงในปลายทางให้ดูครับ)

    ส่วนตัวเลยไม่สติกวิธีการเท่าไรครับ
    เพราะน้อยมากที่จะสามารถเห็นหรือรู้
    เข้าใจในมุมเดียวกันได้ เพราะว่าการปฏิบัติ
    มันเป็นเรื่องค่อนข้างปัจจัตตัง
    และด้วยเนื้อหาเดิมแท้ของจิต
    แต่ละคนก็สะสมสร้างบารมีมาคนละแบบจริงๆ

    สมมุติว่า ถ้าผมฉลาดเรื่องนี้ ผมก็โง่เรื่องอื่นได้เป็นปกติ
    หรือถ้าผมโง่เรื่องนี้ ผมก็มีสิทธิฉลาดเรื่องอื่นๆได้เช่นกัน
    เพราะฉนั้นส่วนตัวเลยไม่ยึดว่าจะต้องทั้งโง่และทั้งฉลาด
    เพราะว่าปลายทางที่จะไปถึง
    ท้ายสุดมันก็ยึดเอา
    อะไรไม่ได้อยู่แล้วนั่นเองครับ...
    ประมานนี้หละครับ
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ป่าวๆลุงนพ
    ผมไม่ได้ว่าอันนี้ดีกว่า อันนี้ไม่ดี
    มันก็อันเดียวกันแหละครับ
    เพียงแต่เริ่มไม่เหมือนกันเท่านั้น
    ระหว่างทางที่แตกต่างกันไปนั่นเพราะที่สั่งสมมานั้นต่างกันครับ(แบบที่ลุงบอกแหละ)
    ผมไม่มีเจตนายกตนข่มท่านเลยครับ
    หากเป็นเช่นนั้นขออภัยด้วยครับ
    ที่ลงท้ายว่า รู้ ไม่ได้บอกว่าคนอื่นไม่รู้
    แต่หมายถึงจะยังไงก็ตาม คือ มีสติ สัมปชัญญะอยู่เนืองๆครับ
    ก็เหมือนในสติปัฏฐานสูตรไงครับ
    เบื้องต้นที่ว่า หายใจเข้าก็ รู้ชัด
    ออก สั้นยาว ก็ลงท้ายด้วยรู้ชัด
    ยังไงมันก็ดำเนินไปถึงที่สุดเหมือนกันแหละครับ
    สังขารก็รู้ วิสังขารก็รู้
    เสื่อมได้ก็รู้(กุปปธรรมโม) ไม่มีเสื่อมก็รู้(อกุปปธรรมโม)
    ประมาณนี้ครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ดีไม่ดีที่พูด แค่มุมส่วนตัวเท่านั้นไม่มีไร
    ประเด็นที่สื่อคือ เรื่องเทคนิคคอลเทอม
    มุมในการเห็นระหว่างทางของแต่ละบุคคล
    ตลอดจนวิถีการ ที่มาถ่ายทอด
    ที่บอกว่ามันค่อนข้างพูดยาก
    เพราะมันหาข้อสรุปไม่ได้
    ว่าวิธีใดดีกว่าหรือว่าวิธีใดไม่ดี
    เพราะเนื้อหาเดิมแท้ของ
    จิตแต่ละบุคคลสะสมสร้างบารมี
    มาไม่เหมือนกัน มุมนี้อาจเหมาะกับจิตนี้
    มุมโน้นอาจเหมาะกับจิตนั้น
    นี่หละที่ส่วนตัวเลยมองกลางๆไว้ก่อน
    เพราะว่ามันเป็นปัจจัตตัง
    ที่พูดได้ค่อนข้างยากนั่นเอง
    ทั่วๆไปไม่มีไรหรอกครับ
     
  12. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ครับ
    เข้าใจแล้วครับ:D
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พอแปลสวยๆ เปนภาษาไทย ก้จะเข้าใจ

    ถ้าเราๆ ยังขี้เกียจ จะเอา บัญญัตเหนือรสปฏิบัติ ประจักษ์แจ้ง

    พอในจิต เกิดดำริแบบนั้นปั๊ป จิตดวงนั้นจะปรารภ ตัดตรงนั้น ตรงนี่ โดน ความคิดหลอกทันที

    ถ้าเอา รสปฏิบัติเปนใหญ่ จะเกิด กังขาครุ่นคิดจะ นำออก

    พอเกิดคพถาม ทางปฏิบัติ พระพุทธองค์จะตรัสว่า

    ดูกร อวิชชา ก้มีอาหาร ไม่ได้เกิดลอยๆ

    ๑. อวิชชา มีอาหาร
    อาหารของอวิชชา คือ นิวรณ์ ๕

    ๒. นิวรณ์ ๕ มีอาหาร คือ ทุจริต ๓

    ๓. ทุจริต ๓ มีอาหาร คือ การไม่สำรวมอินทรีย์

    ๔. การไม่สำรวมอินทรีย์ มีอาหาร คือความขาดสติสัมปชัญญะ

    ๕. ความขาดสติสัมปชัญญะ มีอาหาร คือความขาดโยนิโสมนสิการ

    ๖. ความขาดโยนิโสมนสิการ มีอาหาร คือความขาดศรัทธา

    ๗. ความขาดศรัทธา มีอาหาร คือการไม่ได้สดับสัทธรรม

    ๘. การไม่ได้สดับสัทธรรม มีอาหาร คือการไม่ได้เสวนาสัปบุรุษ

    การไม่ได้เสวนาสัปบุรุษอย่างบริบูรณ์ย่อมยังการไม่ได้ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์


    การไม่ได้ฟังสัทธรรมอย่างบริบูรณ์ย่อมทำความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พอสดับอบบนี้ จะเหนว่า ไม่ใช่วิธี สุกเอาเผากิน จ้องตัด ทำโวหาร

    แต่จะต้องมีการปฏิบัติ มีความเพียรอย่างมาก
    จนเปน วินัยประจำจิต และต้องสดับที่ถูกต้อง
    ให้มากๆ

    ซึ่งจะเปน ท้วงทำนองของ พี่เกิด(ปู่ฉับชน) เขาพูด
    เน้นย้ำ พุทธวจน พุทธวจน จะเกิดปาฏิหารย์
    สีล สมาธิ ปัญญา เบาสบาย ลัดสั้น อันจิตมีการ
    กระทำ ที่เรียกว่า มีเหตุ มีผล ไม่มีทางอื่น
    ไม่มีมากเรื่อง หลากมุม เพราะเปน ปรมัตถ์

    ส่วนพวกเหนดวงจิตเจ้าขา เหนโน้น เหนนี้
    โดยมากก้จะเผลอเพลิน ไปเชื่อดำริ ตัดโน้น
    ตัดนี้ ปัดโน้น ปรุงนี้ บริกรรมไปเรื่อยเปื่อย เสร็จมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2017
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ว่ากันทางตำรา อีกนัยหนึ่ง ก้จะเปน ญาน9

    ที่เริ่มด้วย นามรูปปริเฉทญาน

    นักภาวนา จะถือว่า เริ่มเกิดญาน จะต้องขึ้น
    อุทัพยญาน ซึ่งจะต้องผ่าน อุปกิเลส10 หัวหก
    ก้นขวิดคิดสำคัญบรรลุธรรมแปลกๆ พักใหญ่

    นามรูปปรเฉทญาน ตรงนี้ใช้สัททา รับธรรมผฐิติ
    (ก้คือ ช่วงที่ไล่ อาหารอวิชชา ไปการหมั่นสดับ)

    พอภาวนาคล่อง เกืดอุทพยญาน ก้จะเริ่มเห็น
    หรือถือว่า จิตมีวิปัสสนาญาน ชนิดญานสัมแยุติ
    เกิดปัญญาอันยิ่งเอง ปราสจากการสดับจากผู้อื่น

    จะมีอาการปรารภ หยุดแก้กรรม ดูดวง พึ่งสัตว์อื่น
    ในการ กำหนดรู้ทุกข์ กัมมุนาวัตติโลโก สัตตต่างมีกรรมเปนของตน ใครก้ช่วยไม่ได
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2017
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไช่ๆๆๆๆๆ พอปฏิบัติ อ่านมากๆ คิดมากๆ ตีความมากๆ ..จนสมงสมอง เริ่มเพี้ยน ๆ เริ่มใช้ภาษา วิบัติ กันไป...อ้างพุทธวจน...แต่พากันไปแปลความตีความ ด้วยความคิด จน..เละเทะ
    ขนาดคุยกันเอง..บางทีรู้เรื่องกัน เฉพาะที่เพี้ยน เหมือนกัน...ไปนั่น

    อิอิ..ช่างเป็นไปได้....

    เฮ้ นิวรณ์...วันนี้ยังโกรธผมอยู่หรือเปล่า
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผมว่า นิวรณ์ ต้องไม่ไช่สัตบุรุษแน่ๆ..เพราะพาคนแถวนี้ เพี้ยนตามๆกันไปหมดแล้ว...ไม่รู้ตัวมั่งหรือ นิวรณ์...น่าจะเป็น เพี้ยนบุรุษ..มากกว่านะ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย

    ขนาดเมื่อวาน ยังระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ เลย...เสียท่า อาจารย์ขี้โม้หมดเลย...ไกล้ถึงเวลา สาปสูญสิ้นซากของ นิวรณ์ ..รึยังน้อ..อิอิ
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    แปลว่า อาศัยกันและกัน....อย่าเอาคำว่าเกิดมาต่อท้ายก็จะดีนะ จะได้ไม่ทำให้คิดกันเอาเอง ไปอีก ว่ามันอาศัยตัวอื่นเกิด แล้วก็มาพากันตีความเอาอีกว่า ถ้าตัวนึงตาย(พะนะ) อีกตัวย่อมตายตาม (พะนะ..ช่างคิดได้เนาะ).....
    ไอ้วงจรเนี่ย มันแบ่งออกมาเพื่อให้เข้าใจถึงระบบการทำงาน หรือระบบที่เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ...หรือจะเรียกว่า ระบบอุปทาน...ที่เรียบร้อยเสร็จสรรพไปในตัว...ถ้าสรุปรวมทั้งทุกหัวข้อของวงจร มารวมเป็นอันเดียว จะได้แค่..อวิชชาตัวเดียว คือบ่อเกิดของทั้งหมดของวงจร....แปลว่า..ถ้าไม่ขยายวงจรออกตามเหตุปัจจัย..ก็จะได้แต่ อวิชชา...ตัวเดียว...เป้งๆ...คือเหตุแห่ง ขันธ์ห้าทั้งหมด...ที่พากันได้เห็นกันเป็นวงจร นั่นแหล่ะ

    แต่ดันมีคน ไปตีความอีกนะ...ดับตัวนั้น ตัวนั้นก็ไม่มีนะ เพราะ เป็นการดับวงจร...ก๊ากๆๆๆๆ พูดยังกะมันจะดับ วงจรไฟฟ้า ไปโน่น....เพี้ยนไปเรื่อย
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อย่าง พากันตีความ คิดเอาเอง...ว่า วิญญาณเกิด ย่อมก้าวสู่นามรูป ทันที.....แหม ยังมีต่อนะ....นามรูปดับ วิญญาณ จะดับทันที.....โห...ทำยังกะว่า มันดับกันได้ เหมือนไฟฟ้า ยังไงยังงั้น...แบบนี้ ..อาจารย์เพี้ยนนิวรณ์ ยังทำเฉย อยู่อีก..รึว่า เข้าใจแบบนี้เหมือนกัน หรือยังไงกันคร๊าบบบ นิวรณ์

    ตีความมาอย่างนี้ คิดเอาเองอย่างนี้ ยังมีการอ้างถึง พุทธวจน ด้วยนะ...อิอิ..พื่อความน่าเชื่อถือ หรือเพื่ออะไรไม่ทราบด้วย อิอิ
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    การจัยผมมัด แล้วทั้ง ดีด ทั้ง เผา และ อมไปไว้ในปากตน

    ในชั้น ส.ส.6 เข้าเรียก มี..ภิ..ลุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...