ภาวนาอย่างไรจึงจะทำให้เกิดญาณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Prasit5000, 18 มกราคม 2017.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    คำว่า ไตรลักษณญาณ เนี่ยะ ปุถุชน ฟังแล้ว ก้ไปนั่งเคลื่อนจิต พยัดหน้า เข้าใจ

    ไตรลักษณ์ญาน ภาษาปฏิบัต จะเรียก ญาณสัมปยุติ

    มันไม่มีมานั่งโน้มนึด พยักหน้า เข้าจงเข้าใจ

    แล้วยังแจ้งว่ามันดับไปแล้วอีกต่างหาก

    ถ้าค้างเติ่ง แปลว่า ไร้สัมปชัญญะ
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    บ่นไรเพ่....พูดเหมือนไม่ได้พูด..ไช่ บ่นให้ตัวเองฟัง ไช่ป๊ะ.

    ทำความเข้าใจสิเพ่..ใครให้ มโนมานึกคิด กันล่ะเพ่
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อ่านให้จบ เข้าใจแล้วก็ปล่อยผ่าน..เหมือน ไม่ได้อ่านอะไรเลย...ทำแบบนี้ ทำเป็นมั้ยเพ่.. ทำไม่เป็น ไม่เคยทำ..ก็หัดทำให้ได้นะเพ่....อ่านจบ เข้าใจ ผ่าน...เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย..สบายออก...อิอิ
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เขาคุยกันเรื่อง สติปัฏฐานดูกาย ดูกายทั้งกาย รู้ทั่วกาย..ให้จิตสงบรำงับ...จะพากันไปเคลื่อนจิต...ไปไหนกัน ล่ะครับ....อ่านกระทู้ไปด้วย ดูกายไปด้วย รู้สึกตัวทั่วพร้อม ทำไปด้วย แบบนี้ ไม่ได้หรือไงกัน...อิอิ

    จะพากันเคลื่อนจิต ไปหนายยยยย..อิอิ
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    มีแต่แก..นิวรณ์ นี่มั้ง ที่ จะมโนมานึกคิดเอาได้แบบนี้

    อุตส่า อธิบายมาหมดแล้ว..ว่า มันถึงอนัตตาธรรม ไปแล้ว..มันไม่ค้าง ถ้าค้างแปลว่าทำไม่ได้ไง ดูกายผิดไง ..ปัญญาพระไตรลักษณ์ไม่เกิดไง...ก็จะมีสติหรือจิตที่ยังไม่อนัตตา เหลืออยู่ไง..ก็จะมาบอกว่า เหลือแต่สัมปะชัญญะที่ เป็นแต่ใจ..บริสุทธิ์ ไม่ได้ไง....ต้องชำระจิตอวิชชาหรือสติ ให้มันอนัตตาธรรมไปให้ได้ไง...อิอิ

    ทำไม่ได้ล่ะสิ นิวรณ์....ค้างเติ่ง..เหรอ นิวรณ์
     
  6. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....อันนี้ผม ไม่ทราบจะเริ่มอย่างไร

    .....ลองยกตัวอย่างให้ผมสักอย่าง เช่น ปรารภธรรมใด เป็นอารมณ์ ทำอย่างไรครับ นั่งหลับตา ทำอานาปานสติหรือเปล่า หรือ นั่งแล้วก็คิดเรื่องธรรมนั้นเลย เช่นปรารภเรื่อง อนิจจะสัญญา เป็นต้น ขออธิบายให้เป็นรูปธรรมหน่อยครับ

    .....การเดินมรรคที่สม่ำเสมอ เดินอย่างไร นั่งแล้วทำอะไร ทำอานาปานสติหรือเปล่า ทำอิริยาบทได เอาจิตจับตรงใหนครับ

    .....การน้อมจิต เพื่อไปค้นดู หาเหตุผลของอารมณ์นั้น อารมณ์อะไรครับ โลภะ โทสะ โมหะ ค้นว่าอย่างไร จะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนันตา อารมณ์นี้ต้องค้นด้วยหรือยังไงครับ

    .....ถ้าไม่เคยลงมือปฏิบัติ ขออธิบายแนวปฏิบัติด้วย ปฏิบัติอย่างไร มีพระสูตรหรือเปล่าครับที่เกี่ยวข้อง

    .....ผมดีใจนะที่ระดับนายพลทั้งนั้นมาคุยกับผม ขอบคุณครับ
     
  7. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....มันไม่มีหรอก สิ่งที่ว่านั้นนะ เป็นศัพท์บัญญัติใหม่ เป็นการสร้างภาพให้ดูดี

    ....เข้าใจท่านทั้งหลายที่มาตอบ แต่ท่านสิไม่เข้าใจสิ่งที่ผม อธิบาย

    .....ถ้าท่านเข้าใจ แต่ไม่เชื่อ นั้นไม่เสียใจเลย แต่นี่ท่านไม่เข้าใจ สิ่งที่ผมพูด น่าเสียใจลุงสื่อไม่เป็นจริงๆ

    .....เคยมีคนเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายอยู่คนหนี่ง ผมดีใจมาก แต่เขาบอกว่า จะทบทวนดูก่อน คงจะยังไม่เชื่อ แค่นี้ผมก็ดีใจละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2017
  8. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....ถึงคุณวรณ์นิ

    ....สิ่งที่คุณอธิบาย ผมนะเข้าใจ แต่ผมคิดว่ามันไม่ถูก

    ....สิ่งที่คุณว่า "พอมาพูดเรื่องจิตก็อย่า งง นะ...สติก็เรียกจิต ความคิดก็เรียกจิต ใจก็เรียกจิต...เพราะเริ่มต้นที่ยังไม่ฝึกสติ..ทุกอย่างคือสติ ความคิด ใจ มันล้วนร่วมทำงานปรุงแต่งอยู่ด้วยกัน ในร่างกาย อยู่แล้ว...เมื่อมาเริ่มฝึกสติ..ก็คือ เอาจิตส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นฐาน กำกับเอาไว้ไม่ให้มันไปร่วมปรุงร่วมคิด แต่กำกับให้มัน ดูกายเท่านั้น...การกำกับจิตให้ดูกายทั้งกายนี้ เรียกว่า เอากายเป็นฐานให้จิตมันเฝ้าดู จิตที่ถูกกำกับให้เป็นผู้เฝ้าดูกายนี้ เรียกจิตส่วนนี้ว่า มันคือสติ...หรือการมีสติรู้ในฐานกาย ฐานเดียวเท่านั้น...แต่ในกายเดียวนี้ มันมีการทำงานของ ผัสสะทั้งหก มีอยู่แล้ว คือ ตาหูจมูกลิ้นกาย และ ใจ....นี่ไง ใจก็เป็นส่วนที่ถูกดูไปพร้อมกับกาย...เข้าใจรึยังทีนี้"

    ......ที่คุณว่า สติ ก็คือจิต ถูกต้อง คือเอาจิตมาดูกาย และ ใจก็จะถูกดูไปด้วย เพราะใจ รวมอยู่ในกาย

    .....ดูกายดูอย่างไร นี้คุณไม่อธิบาย ดูแบบ ยกมือยกไม้ หรือดูลมหายใจ ดูใจลอย หรืออย่างไร

    .....ผมก็เคยเรียนเรื่องดูจิต เรื่องการสร้างสติ จากการใจลอย ใจโลภ ใจโกรธ ใจหลง

    ....และที่คุณบอกว่า"จิตมีอวิชชา ย่อมเป็นใหญ่ในการเกิดอยู่แล้ว หลงเกิดตัวมันเองขึ้นมาไง ที่หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า

    ญาณเป็นใหญ่ในการเห็น....ปัญญาที่รู้เห็นความจริงของกายจากการดูกายเป็น ดูจากความสงบของสติที่ฝึก (มันฝึกให้สงบทั้ง กาย ใจ จิต อยู่แล้วตั้งแต่เริ่มต้นดูกายมา)
    ปัญญ่ที่รู้เห็นความจริงของเวทนาในกายจากการฝึกสติให้สงบ ปัญญาที่เห็นความคิดในกายจากการดูกายที่สงบมา..ด้วยกันนั่นแหล่ะ....ทีนี้เมื่อสติสงบ มันจะเห็นในส่วนของกายทำงาน เวทนาทำงาน ความคิดทำงาน(จิต)"

    .....ที่เรียกว่าปัญญาที่รู้เห็นความจริงของการดูกาย ผมขอถามว่านามธรรมอันไดเป็นตัวผู้ดู จิต หรือเปล่า ถ้าเป็นจิต ดูกายจนเกิดปัญญา ทุกวันนี้ จิตไม่เคยเห็นกายหรือไง

    ....ผมขอถามคุณว่า คุณว่าญาณ คือจิตหรือยังไง ในพระสูตรยืนยันว่า ต้องมี ทั้งจิต มีทั้งญาณจึงตรัสรู้ได้ แล้วทำไมถึงคิดว่า ญาณคือปัญญาที่เกิดจากจิตเฝ้าดูกาย
     
  9. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....เออผมไม่เข้าใจเวบใหม่ โทษด้วยครับ คุณ วรณ์นิ

    ..........สัมปชัญญะจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสติเกิดขึ้นก่อน การฝึกแต่สติ จะเป็นสติปัฏฐานสี่ไม่ได้เลย ต้องคู่กันเสมอ
    (ตอบ.....สติคือจิต...สัมปะชัญญะคือ อายตนะใจ ที่มีอยู่แล้วในกายไง..จะมาทำให้เกิด สัมปะชัญญะ อีกทำไมกัน..ไม่เข้าใจเอง..ก็มั่วไปเรื่อยเปื่อย)

    ......ที่คุณวรณ์นิ ตอบว่า สัมปะชัญญะคือ อายตนะใจ ที่มีอยู่แล้วในกายไง

    .....อายตนะ คือตัวสัมผัส เช่นอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ใจ คืออายตนะภายใน ธรรมารมณ์เป็นอายตนะภายนอก เมื่อเกิด ธรรมารมณ์กระทบใจ เกิดมโนวิญญาณ สามสิ่งนี้เรียกว่า ผัสสะ

    .....เมื่อมีผัสสะ ก็มีเวทนา ตามวงจรปฏิจสมุปบาท

    .....จะมั่วหรือเปล่า ที่ว่า สัมปชัญญะ คือ อายตะใจ
    .....สัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัว
    .....สัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัวของสัตว์โลก

    .....คนแปลภาษาบาลีในพระไตรปิฏก ล้วน เป็นปราชญ์ทั้งสิ้น
    .....สัมปชัญญะมิใช่ จิต มันคือความรู้สึกตัว มาจากอายตนะของนามธรรมอันหนึ่ง

    .....ญาณ ก็คือ การรับรู้ ที่มาจากอายตนะของนามธรรมอันหนึ่ง ที่ไม่ใช่จิต
     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ไม่มีหรอก
    แสดงว่าอ่านไม่หมดสินะ
    มีในพระสูตรอะครับ
     
  11. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....การตรัสรู้ต้องมีญาณ ถ้าไม่มีญาณ ก็ตรัสรุ้ไม่ได้ ดังนั้นต้องภาวนาให้เกิดญาณก่อน
    ....จะขอยกพระสูตร เรืองการตรัสรู้มาอ้าง
    ....
    [๖๙๕] คำว่า ความตรัสรู้ ความว่า ย่อมตรัสรู้ด้วยอะไร ย่อมตรัสรู้
    ด้วยจิต ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตหรือ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีญาณก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคล
    ผู้ไม่มีญาณตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยญาณ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณหรือ
    ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้
    ได้ด้วยจิตและญาณ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยจิตและญาณหรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้
    ด้วยกามาวจรจิตและญาณซิ ย่อมตรัสรู้ด้วยกามาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้า
    อย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณซิ ตรัสรู้
    ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยสัจจานุโลมิกจิต
    และญาณซิ ตรัสรู้ด้วยสัจจานุโลมิกจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วย
    จิตที่เป็นอดีตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอดีตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิต
    ที่เป็นปัจจุบันและญาณไม่ได้ (แต่) ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณ
    ในขณะโลกุตรมรรค ฯ"

    ....จะเห็นได้ว่า ต้องมีส่วนประกอบ ทั้งที่ เป็นจิตที่เป็นปัจจุบัน และ ญาณ

    ....จิตมิใช่ญาณ
    ....สติ จิต เป็นกลุ่มเดียกัน
    ....สัมปชัญญะ และ ญาณ เป็น การรับรู้ของอายตนะของนามธรรมอีกอัน ที่มิใช่จิต

    ...พระสูตรต่อมา "
    [๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างไร ฯ
    ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุ
    เป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่
    ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธ
    เป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างนี้ ฯ"

    .....จิต เป็นใหญ่ในการให้เกิด
    .....ญาณ เป็นใหญ่ในการเห็น

    .....ตัวจิตจะเป็นตัวบังคับให้เกิดญาณ และเป็นตัวใส่ข้อมูลให้กับญาณ ตัวญาณมีหน้าที่รับรู้

    .....ดังนั้นจิตจึงเป็น เหมือนผุ้จัดการ ดังที่ว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน ธรรมทั้งหลายสำเร็จด้วยใจ

    ....การตรัสรู้จึงต้อง เรียกญาณให้เกิด ดังนั้นผมจึง ขึ้นหัวข้อว่า ภาวนาอย่างไร จึงจะทำให้เกิดญาณ
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    1.ดูกายดูอย่างไร
    2.นามธรรมอันใดเป็นตัวผู้ดู ถ้าเป็นจิต ทุกวันนี้ จิตไม่เคยเห็นกายรึไง
    3.ญาณคือจิตหรือยังไง
    4.มั่วหรือเปล่าที่ว่าสัมปะชัญญะคืออายตนะใจ...คุณถาม
    แล้วคุณก็บอกว่า สัมปะชัญญะคือความรู้สึกตัวที่มาจากอายตนะของนามธรรมอันหนึ่ง
    5.ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณ ในขณะโลกุตรมรรค
    6.จิตไม่ไช่ญาณ..สติ จิต เป็นกลุ่มเดัยวกัน..สัมปะชัญญะคืออายตนะจากนามธรรม
    7.ตัวจิตจะเป็นตัวบังคับให้เกิดญาณและเป็นตัวไส่ข้อมูลให้กับญาณ ญาณมีหน้าที่รับรู้
    ...

    อิอิ ถามเยอะเลยนะ ขอเบอร์หน่อยครับ ผมจะโทรไปคุยเองครับ..ง่ายกว่าครับ
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ขอเบอร์โทร ลงไว้ครับ ผมจะคุยด้วยคืนนี้..ได้มั้ยครับ...จะอธิบายที่คุณถามหมดเลยครับ

    ผมขี้เกียจ จิ้ม แทปเลต ตอบครับ
     
  14. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ไม่เปลืองสตางค์เหรอครับ
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    มีโปรครับ โทรได้ครับ..ตอนนี้ผมว่างครับ เล่น เกมส์เพลย์อยู่น่ะ

    คุยกันง่ายกว่าครับ ถามตอบกันเลย..รับรองว่า ผมไม่ถามคุณหรอก ผมจะให้คุณถาม ผมจะตอบครับ
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    หรือโทรมาโชว์เบอร์ ที่เครื่องผมก็ได้ครับ ผมจะโทรกลับเองครับ

    เบอร์ผม...099 473 0003 ครับ
     
  17. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เดี๋ยวจะลองโทรไปครับ อิอิ
    กินเผือกอร่อยจุง
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ตรงนี้ระวังนะครับ คุณประสิทธิ

    อย่าไปใช้คิด ตรรกศาตร์ การเข้าไป บัญญัติ สูตรลับ อะไรขึ้นมาเด็ดขาด

    มันเหมือน ไปถามคนที่กำลังก้าวขึ้นเรือ จากท่าน้ำ

    เท้าพ้นจากพื้นทั้งสองข้างแล้ว

    แล้วไปถามเขาว่า ญาณ เกิดยังไง

    คนภาวนาเปน ลงมือปฏิบัติ จะทราบ แจ้ง
    แทงตลอด ถึงพร้อมทิฏฐิ ขนะลอยในอากาส

    ไม่จำเปนเลยจะต้องถาม ว่า ทำยังไง ญาณจึงเกิด

    ถ้า มีการถาม ทำอย่างไร ญาณจึงเกิด
    ร้อยละร้อย ขณะนั้น ไม่ได้ปฏิบัติธรรม
    แต่กำลัง จมอยู่ในภพอดีต หรือ อนาคต
    หรือ ด้นเด้าเดาธรรม แน่นอน

    บัณฑิต จะแนะนำกันแค่ให้กำหนดรู้ โอฆะ ห้วงน้ำสี่ เท่านั้นพอ
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    คุณประสิทธิครับ ว่างๆก็ลองนั่งตอบคำถามของตัวเองดูนะครับ

    มันเป็นคำถาม ที่ ตลกมากๆครับ...อิอิ..
     
  20. &เมฆา

    &เมฆา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    262
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +610
    ตอบ คุณประสิทธิ์5000
    ลองปฏิบัติหรือ ค้นหาวิธีปฏิบัติ หัวข้อนี่ดูครับ
    1.ญาตปริญญา
    2.ตีรณปริญญา
    3.ปหานปริญญา
    มีข้อปฏิบัติคือ ในระหว่างพิจารณา
    ห้ามมิให้จิตเคลื่อนจากที่คิด
    ห้ามส่งจิตไปตามอาการ
    เพราะจิตจะถอนออกจากสมาธิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...