ภิกษุสันดานกา โดย ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ (กระทู้นี้สุดยอด ห้ามพลาด!)

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 9 ตุลาคม 2007.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    คำถาม- คำตอบ โดย ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ http://www.bodhinanda.com


    ในฐานะที่ท่านอาจารย์ ‘เป็นหนึ่ง' ในชาวพุทธที่มีการศึกษามาดีที่สุด


    พระภิกษุสันดานกา



    ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์





    คำถาม: ‘อยากให้อาจารย์แสดงว่าความคิดเรื่องภาพ "ภิกษุสันดานกา" ของนายอนุพงษ์ จันทร อ.คณะสถาปัตย กรรมศาสตร์ ภาควิชาวิจิตรศิลป์ หน่อยครับ...เพราะบอกว่าเอามาจากพระไตรปิฏก...แต่ผมว่าพระไตรปิฏกมีเยอะทำมายไม่อ่านเรื่องอีกครับ.. ถ้าอ่านจริงแล้ว..นายอนุพงษ์ (ไม่ใช่ผบ.ทบ) คงไม่กล้าเขียนเพราะจะเป็นเหมือนพาลบัณฑิตและเทวทูตสูตรครับ’.. (น้ำบาดาล)




    คำตอบ: คำถามของคุณ ’น้ำบาดาล’ ผมขอตอบเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ



    1.ศิลปะมาจากคำสันสกฤตว่า ‘ศิลฺป’ ตรงกับภาษาบาลีว่า ‘สิปฺป’ ภาษาอังกฤษใช้ว่า ‘art’ ซึ่งเป็นศัพท์ที่รับมาจากรากศัพท์ในภาษาละตินผ่านภาษาฝรั่งเศสว่า art- แปลตามรูปศัพท์ก็คือ ‘ความชำนาญ’ (skill) ความสามารถทางศิลปะที่แสดงออกมาเป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์หรือการฝึกหัดทำในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนชำนาญ (Traditionally, the term art was used to refer to any skill or mastery) ปัญญาชนควรทราบว่าความชำนาญดังกล่าวนี้เป็นคำกลางๆ อยู่ ด้วยเหตุนี้ ศิลปินจะใช้ความชำนาญสร้างศิลปะอย่างไรก็ได้ หมายความว่าใช้ไปในทางชั่วก็ได้ ทางดีก็ได้ โดยปรกติ ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คนยุโรปเมื่อประเมินคุณค่าทางศิลป์จะใช้บรรทัดฐานกว้างๆ อยู่ 3 ประเด็นคือ:-




    1.ศิลปะนั้นสร้างได้สมจริง (Realist) หรือไม่? หมายความว่าภาพหรือผลิตผลทางศิลป์นั้นสะท้อนความจริงในทางธรรมชาติ, ความจริงในสังคม, ฯลฯ ถ้าศิลปะที่ทำขึ้นมามีความเป็นเรียลลิสต์ กล่าวคือสมจริง สะท้อนความจริงทางสังคม ศิลปะนั้น ก็ได้รับการยอมรับ นายอนุพงษ์และบรรดาศิลปินที่สนับสนุนเขาจึงสามารถบอกได้ว่าศิลปะที่ตัวเองสร้างขึ้นมานั้นได้คะแนนการผลิตในแง่ที่มีความสมจริง เพราะสะท้อนความจริงนั่นเอง



    2.ศิลปะนั้นสะท้อนความเป็นวัตถุวิสัย (Objectivist) หรือสะท้อนความจริงโดยไม่มีการแต่งเติมสีสรรให้เกินจริง โดยปรกติ มุมมองเชิงวัตถุวิสัยนี้ หมายถึงความพยายามมองบนพื้นฐานแบบวิทยาศาสตร์ นักศิลปะจะพยายามสร้างเครื่องมือมาวัดคุณค่าศิลปะในแง่ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน



    3.ศิลปะนั้นสะท้อนมุมมองได้หลายมุมมองขึ้นกับว่าคนมองใช้พื้นฐานการมองอย่างไร ภาษาฝรั่งเรียกว่า Relativist หมายถึงความงามแบบสัมพัทธนิยม สังคมหนึ่งมองว่าไม่งาม แต่อีกสังคมหนึ่งมองว่างาม
    เพราะเกณฑ์การประเมินค่าของศิลปะค่อนข้างกว้างไกล โลกผู้สร้างศิลปะจึงเป็นโลกที่ไร้พรมแดนของศาสนา เขาจะเขียนรูปขึ้นมาสนับสนุนพระพุทธศาสนาก็ได้ เขาจะเขียนขึ้นมาเพื่อสนับสนุนกิเลสตัณหาก็ได้ คนมีความชำนาญแล้วจะใช้ความชำนาญในทางดีก็ได้ ในทางร้ายก็ได้ เช่น คนชำนาญในการยิงปืน สามารถใช้ความชำนาญในการยิงปืนเพื่อเป็นนักฆ่ามืออาชีพก็ได้ สามารถเป็นตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ก็ได้ คนวาดรูปสวยๆ สามารถวาดรูปพระพุทธเจ้า วัด เจดีย์ วิหารหรือวิวทิวทัศน์ก็ได้ สามารถวาดรูปคนเปลือยกายเพื่อกระตุ้นกิเลสตัณหาก็ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาตว่า พาหุสจฺจญฺจ สิปฺปญฺจ (ขุ.สุตฺ.25/6/4) ‘ความเป็นพหุสุตและการมีศิลปะ’เป็นอุดมมงคล’ ในมงคล 38 ประการ ก็ทรงอยากให้พุทธมามกะรู้จักใช้ศิลปะในทางส่งเสริมศีลธรรม ไม่ใช่เอาไปส่งเสริมกิเลสตัณหาหรือส่งเสริมสิ่งที่ผิดศีลธรรม ศิลปินที่ใช้ความรู้ความชำนาญไปรับใช้กิเลสตัณหาผิดวิสัยของชาวพุทธ

    อาจารย์อภัย นาคคง ครูสอนวิชาโบราณคดีและพุทธศิลป์ที่มหามกุฏราชวิทยาลัยสมัยผมเป็นนักศึกษาเคยพานักศึกษาไปทัศนาจรดูหลักฐานทางโบราณคดีและพุทธศิลปะในจังหวัดต่างๆ หลายจังหวัด โดยเฉพาะกำแพงเพชร, สุโขทัย, อยุธยา ท่านสอนนักศึกษารุ่นผมว่า 1.ศิลปินทั้งหลายยังเต็มไปด้วยอาสวกิเลส คนพวกนี้จึงอาจใช้ความชำนาญในเชิงศิลปะไปเผยแพร่สิ่งที่ผิดศีลธรรม เช่น ถ่ายภาพนู๊ด, เขียนภาพอนาจาร, ปั้นรูปคนสืบพันธุ์เพื่อประดิษฐ์กลางที่สาธารณะ ฯลฯ 2.ศิลปินพวกนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นประเภทอัตตาจัด หมายความว่าถ้าอยากจะผลิตศิลปะประเภทใด ก็ไม่ได้คำนึงกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น เอาตัวกูของกูเป็นใหญ่ อยากจะทำตามที่ใจชอบ ไม่มีพรมแดน



    พูดง่ายๆ ว่าศิลปินสามารถใช้ความรู้ทางศิลปะไปในทางดีก็ได้ ทางร้ายหรือในทางเสื่อมเสียศีลธรรมก็ได้ ไม่มีใครรับประกันว่าผู้เรียนทางศิลปะ จะมีจิตสำนึกเชิงคุณธรรมศีลธรรมสูงขึ้นทุกคน ท่านอาจารย์อภัยยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าศิลปินบางคนทุ่มเทปั้นพระพุทธรูปหรือสร้างวัดจนตัวตาย แต่ศิลปินบางคนเอาความรู้กล้องถ่ายภาพไปถ่ายภาพลามกอนาจาร เพื่อพิมพ์หนังสือขาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นจิตใจของศิลปินว่าสูงต่ำเพียงไร



    ประการสำคัญก็คืองานศิลปะนี้ ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่งานจิตรกรรม แต่จะรวมศาสตร์ทุกประเภทที่ต้องใช้ ‘ความชำนาญ’ เป็นหลัก ซึ่งรวมทั้งประติมากรรม, วิชาการแสดง, วิชาการดนตรี, วิชาการแสดงภาพยนตร์ ฯลฯ เราก็มองเห็นตัวอย่างชัดๆ ว่าผู้กำกับหลายคนผลิตหนังที่สร้างเสริมจิตสำนึกในทางดีแก่ผู้คน แต่ผู้กำกับและทีมดารานักแสดงบางกลุ่มเลือกจะแสดงหนังลามกอนาจารเพื่อมอมเมาผู้คน คนกลุ่มหลังนี้ ไม่ได้สนใจว่าจะทวนกระแสคำสอนของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าชาวพุทธไปตั้งคำถามเข้า ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ศิลปินพวกนี้หยิบมาเป็นสรณะในการประกอบวิชาชีพแท้จริงแล้วไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เป็น ‘ประชาธิปไตย+สิทธิเสรีภาพ’ แบบสังคมทุนนิยมเสรีนั่นเอง



    ดังนั้น เราต้องนึกว่าสังคมปัจจุบัน เปิดกว้างให้บรรดาศิลปินอัตตาจัดพวกนี้ผลิตผลงานได้อย่างเสรี เพราะสังคมเราตกอยู่ภายใต้สังคมทุนนิยมเสรี กฎหมายก็อนุญาตให้ทำได้เสรี เมื่อประชาชนชาวพุทธประท้วง ก็ประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ศิลปินมีจิตสำนึกที่ดีขึ้น เพื่อให้การผลิตภาพที่จะลบหลู่พระรัตนตรัยต่อไปลดลง แต่ก็ต้องทำใจด้วยว่าพวกศิลปินพวกนี้ไม่ได้มีหิริโอตตัปปะสูงเท่าพวกท่านที่ประท้วง จิตใจศิลปินสมัยใหม่จำนวนมากจะหันไปอ้าง ‘ระบอบประชาธิปไตย’ หรือ ‘สิทธิเสรีภาพ’ แบบตะวันตกกันมากกว่า จนเห็น ‘พระพุทธศาสนา’ เป็นเรื่องรอง



    ที่จริง การใช้ศิลปะในทางมิควรไม่ใช่เพิ่งมีแค่ในประเทศไทย ท่านศาสตราจารย์เอิร์นสท์ กอมบริช (Ernst Gombrich) นักประวัติศาสตร์ศิลปะที่มีชื่อเสียงก้องยุโรป ซึ่งเป็นบิดาของอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกผมในอ๊อกซฟอร์ด เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ (Richard Woodfield [ed.], The Essential Gombrich, 299) ว่า เพลโต้ (ค.ศ.428-328 BC) ก็เคยตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่าพวกศิลปินมักจะใช้ความรู้ทางศิลปะในทางเสื่อมเสียจากบรรทัดฐานที่ควรจะเป็น (From Plato onwards, critics have been increasingly concerned with the possibility that skills might be abused…Plato resisted or resented the power of all art to pander to the lower faculties of the soul. He looked back to the ritualistic immobility pf Egyptian music liturgy and art; but the main cause of his concern was the increasing skill of the sophists in swaying the emotions of the crowd. It was they who had corrupted the honesty of argument by introducing illicit effects that should flatter the ear with jingling euphonies, rather than persuade reason with sound evidence)




    2. ความจริงแล้ว พระภิกษุเสพเมถุนกับสีกา, พระภิกษุที่มั่วสีกา, พระภิกษุที่ละเมิดธรรมวินัยเป็นอาจิณด้วยวิธีต่างๆ ฯลฯ เป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีบันทึกในพระไตรปิฎกด้วยซ้ำว่าบางรูปเสพเมถุนกับเดรัจฉาน, บางรูปเสพเมถุนแม้แต่กับแม่ตัวเอง, บางรูปเสพเมถุนกับซากศพ ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะคนเข้ามาบวชในบวรพุทธศาสนาไม่ได้เน้นหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหมด เรามีบวชเรียนตามประเพณี หลายคนที่บวชในประเทศไทย ก็พ่อแม่จับบวช บ้าง ไม่มีงานทำก็บวชบ้าง ฯลฯ เมื่อคนพวกนี้ บวชเข้าไปมากๆ ก็ทำให้สังฆมณฑลมัวหมอง



    กระนั้นก็ดี เราต้องยอมรับว่าสังฆมณฑลนั้นส่วนมากยังบริสุทธ์อยู่ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ยังน่าเคารพสักการะอยู่ คนเป็นพุทธมามกะแท้จริงต้องเข้าใจประเด็นนี้ อีกอย่างหนึ่ง พุทธบริษัทควรต้องตระหนักว่าพระสงฆ์หรือสมมติสงฆ์นั้นเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยที่ชาวพุทธกราบไว้อยู่ทุกวัน คนเป็นพุทธมามกะที่มีหิริโอตตัปปะอย่างแท้จริง จะไม่ลบหลู่หรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อพระรัตนตรัยเด็ดขาด เพราะพระรัตนตรัยคือที่พึ่งที่ระลึกถึงของชาวพุทธ นายอนุพงษ์ จันทรก็คงไม่ปฏิเสธว่าตนเองรู้เรื่องพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้ก็เพราะความสามารถของพระสงฆ์ที่เป็นสมมติสงฆ์ได้ช่วยกันเผยแผ่สั่งสอนมา คุณูปการที่พระสงฆ์ได้ทำต่อชาวโลกนั้นมากมายเหนือคณานับ สามารถที่จิตรกรหรือศิลปินจะรังสรรค์งานให้โลกเห็นได้มากมายหลายแง่มุม นอกจากวัด เป็นสถานที่อบรมบ่มนิสัยแล้ว ยังสร้างโรงเรียน ยังปลูกฝังจริยธรรม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ไม่ค่อยขึ้นปกหนังสือพิมพ์นัก แต่ถ้ามีข่าวพระภิกษุมีเรื่องเสื่อมเสียก็มักจะขึ้นปกเสมอ ทำให้ประชาชนเห็นภาพด้านลบต่อสงฆ์มากกว่าด้านดี



    การไปจับประเด็นภิกษุละเมิดพระวินัยมาทำเป็น ภิกษุสันดานกา ในทรรศนะผมเท่ากับไปเอาประเด็นเล็กๆ มาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าคนเห็นภาพนายอนุพงษ์แล้วรู้สึกว่าสังคมสงฆ์ไทยมีแต่เรื่องฉาวโฉ่และลดศรัทธาที่มีต่อพระ สังฆรัตนะเพราะรู้สึกเบื่อ ก็จะเป็นบาปมหันต์ของนายอนุพงษ์ผู้ผลิตเอง เพราะศิลปะที่ตนเองสร้างสรรค์ขึ้นได้ผลักคนออกนอกพระพุทธศาสนาไป



    3. โดยปรกติ วรรณคดีบาลีในพระพุทธศาสนาจะเปรียบคนอยู่ 2 ประเภทว่าเสมือนกา 1.คฤหัสถ์ที่เป็นปุถุชนซึ่งยังหมกมุ่นในกาม ไม่ได้พยายามพัฒนาศีลธรรมให้สูงกว่าเดิม 2.พระภิกษุที่ ‘หน้าด้าน’ หรือตกไปอยู่ในอำนาจของความอยากหรือกามารมณ์ โดยเฉพาะท่านที่แสวงหาภัตตาหารหรือลาภสักการะที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเปรียบเสมือนกาไปขโมยอาหารของชาวบ้านกิน ปรกติ เมื่อกาต้องการอาหารก็บินมาจับที่หลังคาเรือนชาวบ้าน แกล้งทำทีเป็นมองไปทางอื่น คอยจังหวะเจ้าของบ้านเผลอ พอเจ้าของบ้านเผลอก็บินโฉบเอาอาหารไปอย่างหน้าด้านๆ พระภิกษุที่พยายามแสวงหาภัตตาหารหรือลาภสักการะโดยไม่เหมาะแก่สมณสารูปถูกถือว่ามีพฤติกรรมคล้ายกานี้


    พระไตรปิฎก เล่มที่ 28 ขุททกนิกาย ชาดก (ขุ.ชา.28/80/35) กล่าวถึงพระราชบิดาของทีฆาวุกุมารมีพระราชกระแสรับสั่งขณะมอบราชสมบัติให้โอรสของพระองค์ว่า: ‘อชฺเชว ปพฺพชิสฺสามิ โก ชญฺญา มรณํ สุเว, มาหํ กาโกว ทุมฺเมโธ กามานํ วสมนฺวคํ ’ แปลว่า ‘เราจักบวชในวันนี้ให้ได้ ใครจะพึงรู้ว่าเราอาจตายในวันพรุ่งนี้ก็ได้ เราไม่ใช่คนโง่ที่จะตกอยู่ในอำนาจของกามทั้งหลายเหมือนกา’ (โปรดเทียบกับ ขุ.สุตฺ.25/355/410)


    ในบริบทนี้ กาถูกนำมาเปรียบกับคนที่ตกอยู่ในอำนาจของกามแบบปุถุชน พูดไปแล้ว วิถีปุถุชนทั่วไปก็คือวิถีของกา คือดิ้นรนตามความอยากตนเอง และไร้ยางอาย

    บริบทที่กล่าวถึงพระภิกษุทั่วไปมีในพระไตรปิฎกบาลีเช่นเดียวกันแต่บางทีใช้คำว่า กากสูร (กล้าเพียงดังกา, หน้าด้านเหมือนดังกา) ผมพบในพระไตรปิฎกเล่ม 25 (ขุ.ธมฺม.25/28/48) ว่า




    สุชีวํ อหิริเกน กากสูเรน ธํสินา
    ปกฺขนฺทินา ปคพฺเภน สงฺกิลิฏฺเฐน ชีวิตํฯ




    ‘ชีวิตคนไม่มีหิริ หน้าด้านเหมือนกา มีนิสัยชอบกำจัดคนอื่นที่ขวางตนเอง (ธํสินา)
    จุ้นจ้านไปทุกเรื่อง (ปกฺขนฺทินา) ชอบคะนองกายวาจา (ปคพฺเภน) เป็นอยู่ง่าย’

    หิรีมตา จ ทุชฺชีวํ นิจฺจํ สุจิคเวสินา
    อลีเนนาปคพฺเภน สุทฺธาชีเวน ปสฺสตาฯ

    ‘ส่วนคนที่รู้จักละอาย คอยแต่จะปรับปรุงให้จิตตน
    สะอาดเป็นนิจ ไม่หดหู่ ไม่คะนองกาย มีอาชีวะที่หมดจด
    เห็นอยู่ว่ามีอาชีวะสะอาดหมดจด เป็นอยู่ยาก’

    พุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่าพระที่มีศีลบริสุทธ์ท่านจะเป็นอยู่เรียบง่าย บางทีก็อาจอยู่ลำบาก เหมือนพระป่าทั่วไป แต่จิตท่านสะอาด ส่วนพระที่ฉันอยู่อย่างสะดวกสบาย สมบูรณ์พูนสุขด้วยอาหารและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ จะไร้ยางอายเหมือนกา หิริโอตตัปปะจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับพระมักน้อยในป่า เพราะฉะนั้น ที่นายอนุพงษ์ จันทรพยายามถ่ายทอดลักษณะอันตะกละตะกลามของพระภิกษุที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ออกมาจึงเป็นเรื่องสมจริง (realist) ในภาษาศิลปะ โลกผู้ชื่นชมศิลปะย่อมจะต้องยกย่องเขาซึ่งไม่แปลกอะไรเพราะนายอนุพงษ์ก็ได้ชื่อว่า ‘สะท้อนความจริง’ ออกมาในรูปของศิลปะ



    แต่ขณะเดียวกัน พุทธพจน์ข้างต้นนี้ก็แสดงให้เห็นชัดด้วยว่าบรรดาเหล่าคฤหัสถ์ปุถุชนทั้งหลายที่อาศัยแก้ผ้าถ่ายรูปหากิน (เงินมาผ้าหลุด) ก็ดี, บรรดาช่างกล้องตลอดจนนายทุนทั้งหลายที่หากินเลี้ยงกระเพาะตัวเองด้วยวิธีถ่ายและพิมพ์สื่อลามกอนาจารออกเผยแพร่ก็ดี, บรรดาศิลปินทั้งหลายที่ผลิตศิลปะหากินโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม หมายความว่าไม่พยายามยกระดับจิตใจตนเองให้สูงขึ้น โดยการรักษาศีลและฝึกสมาธิเป็นกิจวัตรก็ดี ก็ล้วนแต่เป็นพวกที่มี ‘สันดานหากินแบบกา’ เช่นเดียวกันทั้งสิ้น



    4.ประเด็นที่เราพึงถกก็คือความจริงทุกเรื่องควรสะท้อนออกมาในรูปศิลปะหรือไม่? ศิลปินจำเป็นต้องผลิตศิลปะเพื่อถ่ายทอดทุกเรื่องที่จริงในสังคมกระนั้นหรือ? ศิลปินควรหลีกเลี่ยงผลิตศิลปะที่กระทบต่อความรู้สึกคนอื่นหมู่มาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาที่คนอื่นเขานับถือหรือไม่? ศิลปินควรหลีกเลี่ยงไม่ไปวาดรูปหรือผลิตศิลปะที่กระทบความเชื่อของคนหมู่มากหรือไม่?



    ตรงนี้ ผมเชื่อว่าในโลกแห่งศิลปะเองก็ไม่มีการกล่าวถึงชัดเจนนัก ความควรไม่ควรกลายเป็นจิตสำนึกของศิลปินเองมากกว่า ถ้ามีใครเขียนภาพลบหลู่ศาสนาอิสลาม บทลงโทษก็คือคนผู้นั้นจะถูกประณามและอาจไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่คนที่เขียนภาพลบหลู่พระพุทธศาสนา มักไม่มีบทลงโทษเป็นกฎหมายชัดเจนนัก เพราะส่วนใหญ่ในสังคมไทยนั้น มีแต่ประเภทชาวพุทธในนาม ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา แต่เราก็เห็นช่างภาพจำนวนมากใช้ความสามารถถ่ายภาพลามกอนาจาร (ซึ่งพวกเขาเองก็มักอ้างว่าเป็นงานศิลปะ) แล้ววางขายตามท้องตลาด, ผู้กำกับภาพยนตร์จำนวนมากหันไปสร้างหนังลามกอนาจาร (ซึ่งเขาก็อ้างกันว่าเพื่องานศิลปะเช่น เดียวกัน) หรือกระตุ้นราคะตัณหาเพื่อมอมเมาประชาชน, คนสร้างศิลปะประเภทอื่นๆ จำนวนมากกินเหล้าเที่ยวอาบ อบนวดอยู่ประจำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่าศิลปินสมัยปัจจุบันที่ไม่เคารพในวัฒนธรรมพุทธเลย ละโมบโลภมาก เห็นแก่กระเพาะของตัวเอง ไม่เห็นแก่สังคม นับวันจะมากขึ้นทุกที



    เมื่อพวกศิลปินสมัยทุนนิยมเสรีมีอิสระที่จะผลิตศิลปะอย่างไรก็ได้ตามความพึงพอใจ อยู่เรื่อยๆ ก็สมควรที่ชาวพุทธต้องประท้วง เพราะประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา คนเป็นพุทธมามกะ เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นพุทธ มีหิริโอตตัปปะเพียงพอ คงไม่มีใครนำเอาเรื่องราวพระสงฆ์ที่ปฏิบัติผิดธรรมผิดวินัยไปประจานหรอกครับ มีแต่จะลุกขึ้นมาหาทางช่วยกันแก้ไขตามหน้าที่ชาวพุทธแท้ แต่ก็นั่นแหละครับ สมัยทุกวันนี้ คนเป็นพุทธแต่ในนาม แต่หากินโดยวิถีผิดหลักศีลธรรม เช่น เปิดผับ บาร์ ผลิตเหล้าและขายเหล้า เป็นเจ้าของอาบ อบ นวด ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ผมจึงสนับสนุนให้ชาวพุทธได้ประท้วงกันอย่างเต็มที่

    เหมือนกรณีที่ดาราไฮโซถ่ายนู๊ดหวังช่วยเหลือเอดส์เข้ากองทุนอาทรประชานาถ ของพระอาจารย์อลงกต ติกฺขปญฺโญ วัดพระพุทธบาทน้ำพุ แต่โดนท่านปฏิเสธ เพราะเงินได้มาแบบวิธีผิดศีลธรรม ท่านทำถูกต้องที่ปฏิเสธเงินบริจาคจากดาราพวกนี้ เพราะถ้ารับเงินก็เท่ากับยอมรับศิลปะที่ผิดศีลธรรมโดยอัติโนมัติ อย่างน้อย ก็กระตุ้นต่อมจิตสำนึกให้คนพวกนี้เข้าใจว่าไม่ใช่ชาวพุทธทุกคน ที่ตกเป็นขี้ข้าวัฒนธรรมทุนนิยมเสรีแบบฝรั่งโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมของพระพุทธศาสนา



    ผมดีใจที่กลุ่มชาวพุทธประท้วงภาพสันดานกา ผมเห็นด้วยว่าภาพทำนองนี้ไม่ควรได้รับการส่งเสริมในแผ่นดินที่พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองอย่างในประเทศไทยเพราะผมถือว่าเป็นการลบหลู่พระรัตนตรัยที่ชาวพุทธทั้งปวงเคารพนับถือ
    ผมอยากให้ประท้วงจนถึงที่สุด ด้วยเหตุผลสองประการ


    1.รัฐบาลไทยแต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้มีนโยบายชัดเจนในการปกปักพิทักษ์พระพุทธศาสนา สส.ชาวพุทธส่วนใหญ่เล่นการเมืองเพื่อกระเพาะตัวเอง หรือเพื่อรักษาทรัพย์สินมรดกของตระกูลให้คงอยู่ มีน้อยรายจะดูแลเอาใจใส่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ถ้าพระสงฆ์ไม่ประท้วง ใครเล่าจะประท้วง


    2.พระสงฆ์ที่ประพฤติผิดธรรมวินัยมีจำนวนน้อย ชาวพุทธแท้ควรมีหิริโอตตัปปะ ไม่ควรเอาเรื่องเสียๆ หายๆ ของสงฆ์มาประจาน ถ้าพระสงฆ์ในประเทศไทยพากันอยู่เฉยๆ ภาพทำนองเดียวกันนี้ก็จะเพิ่มมาอีกนับไม่ถ้วน



    ด้วยเหตุนี้ ถ้าชาวพุทธไม่ร่วมกันประท้วงอย่างจริงจัง โอกาสที่จะรักษาเกียรติพระพุทธศาสนาไว้ในแผ่นดินไทยคงเป็นได้ยาก จะโดนชาวพุทธ(แต่ในนาม) ด้วยกันเขียนประจานอยู่เรื่อยๆ ถ้าเห็นพระภิกษุประพฤติย่อหย่อนหลักพระธรรมวินัย หน้าที่ของชาวพุทธที่ถูกต้องก็คือเราต้องช่วยกันท้วงติงเพื่อปรับปรุงแก้ไขอย่างถูกวิธีเท่าที่กำลังความสามารถจะพึงมี ไม่ใช่ฉวยโอกาสนำไปตีแผ่ในทำนองประจานให้เกิดความเสื่อมเสีย




    ศิลปินที่สร้างวัดสร้างพระพุทธรูปเป็นพุทธบูชาอย่าง อภัย นาคคง, เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และอีกหลายท่านที่ผมไม่อาจระบุได้หมดต่างหากที่ควรได้รับรางวัลเกียรติยศเพื่อยกย่องเชิดชูให้เป็นที่ปรากฏ เพื่อเป็นแบบอย่างให้ศิลปินอื่นๆ เจริญรอยตาม.





















    ---------------------------------------
    ปัจจุบัน อาจารย์ดร.ปฐมพงษ์ เป็นประธานคณะ กรรมการบริหารหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาพุทธศาสนศึกษา (หลักสูตรนานาชาติ) ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล


    เกียรติคุณ
    - บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 12 ปี สอบได้เปรียญ ๙ ขณะเป็นสามเณร เมื่ออายุ 20 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร
    (เรียนบาลีทั้งหมด 8 ปีซึ่งเป็นสถิติที่เร็วที่สุดในหมู่ภิกษุสามเณรผู้เรียนบาลีทั่วประเทศในปัจจุบัน) ได้รับ
    พระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามภายใต้พระบรม
    ราชูปถัมภ์ โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
    หลังจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงสนับสนุนทุนการศึกษาโดยตลอด

    - รางวัลคะแนนดีเด่นสาขาสันสกฤตในนามนิสิตจุฬาฯ จากมูลนิธิคีตาศรมประเทศไทยระหว่างเป็นนิสิต
    อักษรศาสตรมหาบัณฑิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

    - ทุนการศึกษาโบเดน (Boden scholarship) ระหว่างเป็นนักศึกษาปริญญาเอกเป็นเวลา 4 เทอมจาก
    สถาบันตะวันออก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด

    - ทุนจากอ๊อกซฟอร์ดเพื่อไปทำวิจัยทางอินเดียศึกษาเพิ่มเติมที่ภาควิชาสันสกฤตและอินเดียศึกษา
    (Department of Sanskrit and Indian Studies) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา

    - ทุนจากอ๊อกซฟอร์ดเพื่อไปทำวิจัยทางอินเดียศึกษาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยปารีส (Sorbone & College
    de France) และสถาบันตะวันออกไกลของฝรั่งเศส (L'Ecole francaise d'Extreme Orient) กรุงปารีส
    ประเทศฝรั่งเศส

    http://www.bodhinanda.com/s0103/index.php?pgid=index


    ที่มา : www.bodhinanda.com
     
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    อนุโมทนา สาธุ

    สรุปอีกครั้งหนึ่ง
    ด้วยเหตุนี้ ถ้าชาวพุทธไม่ร่วมกันประท้วงอย่างจริงจัง โอกาสที่จะรักษาเกียรติพระพุทธศาสนาไว้ในแผ่นดินไทยคงเป็นได้ยาก จะโดนชาวพุทธ[FONT=
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2008
  3. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ความเห็นของท่านดร.ปฐมพงษ์ นั้นสมเป็นปราชญ์อย่างแท้จริง

    หากพุทธสานิกชนนิ่งดูดาย คนวาดภาพดานกา ย่อมเอาจุดบอดของศาสนาออกมาขายเพื่อชื่อเสียงของตนอีกเรื่อย ๆ

    ไม่เห็นด้วยกับการให้รางวัลเชิดชู นักวาดภาพสันดานกาที่เอาศาสนามาหากินโดยไม่เคยศึกษาพุทธศิลป์ให้แตกฉาน นึกอยากจะวาดก็วาดตามใจตนเองไม่คำนึงถึงผลกระทบว่าที่คือการปรามาสสงฆ์โดยรวม

    การกล่าวติเตียนนั้นทำได้แต่ควรระบุให้ชัด ๆ เป็นกรณี ๆ ไป
     
  4. saiyee222

    saiyee222 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +64
    มุมนี้สิ..แจ่ม

    เอาความเห็นของท่านลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับให้ประชาชนชาวพุทธทุกชนชั้น

    ได้ร่วมพิจารณาตัดสินใจ แล้วเราชาวพุทธจะรักและหวงแหนศาสนาพุทธ

    อันเป็นสุดยอดคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อยู่คู่โลก...ตลอดไป

    ขอความสุขจงมีแก่ทุกท่าน...อนุโมทนา สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(b-love2u)
     
  5. nakorn_ky

    nakorn_ky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +84
    พระศาสนาไม่ได้ปรารถนาให้คนแห่กันมาศัทธา กันมากๆๆ พระศาสนาไม่ได้เน้นที่จำนวน การเข้าถึงพุทธะนั้นอยู่ที่การเข้าใจโดยจิต จิตเข้าใจอย่างถ่องแท้ เข้าถึงอย่างแจ่มแจ้ง แม้เพียงหนึ่งเดียว ก็ถือได้ว่าพระศาสนาได้ดำรงค์อยู่แล้ว มีประโยชน์ อะไรที่กลุ่มบุคลจำนวนมากอ้างว่านับถือศาสนา ปกป้องศาสนา แต่ไม่เข้าถึงหลักของศาสนา ศาสนาพุทธจะหายไปจากโลกนี้ได้อย่างไร ในเมื่อพุทธะเป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีแล้วโดยธรรมชาติ ไม่ต้องมีผู้ศัทธา ไม่ต้องมีผู้นับถือ แต่ถ้าเข้าถึงหลักแห่งธรรมโดยจิตอันบริสุทธ์ พุทธะก็เกิด องค์พระศาสดาประกาศพระพุทธศาสนาไม่ได้ต้องการให้คนแห่แหนกันมานับถือพระองค์ หากแต่พระองค์มีเมตตา ปรารถนาให้สาวกของพระศาสนาเข้าถึงธรรมะ เพื่อความหลุดพ้นนำจิตสู่นิพพาน คำว่าศาสนาพุทธเป็นคำๆหนึ่งที่ บรรยัดขึ้นมา แท้จริงคือว่างปล่าวไม่มีอะไรเลย แต่สาระแท้จริงของพระศาสนาคือการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักของธรรมชาติโดยจิตอันบริสุทธิ์ อุเบกขามีความหมายว่าวางเฉยงั้นหรือ วางเฉยแล้วทำไม เข้าถึงธรรมหรือ ตวามจริงคือว่างปล่าวไม่มีอะไร สิ่งที่เกิดขึ้น สถานะการที่เกิดขึ้น ภาพภาพหนึ่งที่วาดขึ้น ความคิดเห็นหนึ่งๆๆที่เกิดขึ้น แท้จริงไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมได้
    คิดกันไปเองทั้งนั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสภาวะธรรม เห็นอยุ่อย่างนั้น มองอยุ่อย่างนั้น พิจารนาอยุ่อย่างนั้น สุดท้ายคือสภาวะธรรม ดีก็สภาวะธรรม ไม่ดีก็สภาวะธรรม เข้าถึงจึงเข้าใจ ใช่แค่วางเฉยจะเข้าใจ วางเฉยแต่ไม่เข้าใจจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร ภาพที่ถูกวาดขึ้นนั้น จะดี หรือเลว ล้วนเป็นองค์ประกอบแห่งสภาวะธรรมหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่นั้นจริงๆๆ แล้ว กลุ่มคนหลายๆ ที่อ้างว่าตนนับถือศาสนาพุทธพากันต่อต้านอย่างหนัก แต่กลับมองไม่เห็นถึงธรรม กลัว รัก หวงแหน เป็นห่วง ยึดติด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบ่วงทำให้กรรมฐานไม่เจริญ เมื่อกรรมฐานพร่อง วิปัสนาจะเกิดหรือ พระศาสนาเป็นแค่คำพูด หัวใจและปรัชญาของพระศานา อยู่ที่การเข้าใจสภาวะธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นการเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ไม่ได้แสดงถึงการเป็นพุทธศาสนนิกชน ใช้สภาวธรรมที่เกิดขึ้นพิจารนา แล้วปลงเสีย หวังว่าท่านทั้งหลายคงไม่หลงทางกันนะครับ ไม่ต้องกังวน หรือเป็นห่วงว่าพระศาสนาจะเสื่อมเสีย ไม่ต้องกลัวว่าบุคลภายนอกจะเข้าใจผิด หรือกลัวว่าบุคลในพุทธศาสนาเองจะเสื่อมศัทธา ถ้าเข้าไม่ถึงพระศาสนา ไม่เข้าถึงสภาวะธรรมแล้วก็ไม่มีสาวกของพุทธะโดยธรรม
     
  6. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    เห็นด้วยกับคำนี้

    ผมเห็นด้วยว่าภาพทำนองนี้ไม่ควรได้รับการส่งเสริมในแผ่นดินที่พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองอย่างในประเทศไทยเพราะผมถือว่าเป็นการลบหลู่พระรัตนตรัยที่ชาวพุทธทั้งปวงเคารพนับถือ ผมอยากให้ประท้วงจนถึงที่สุด ด้วยเหตุผลสองประการ [FONT=’Angsana New’]1.รัฐบาลไทยแต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้มีนโยบายชัดเจนในการปกปักพิทักษ์พระพุทธศาสนา สส.ชาวพุทธส่วนใหญ่เล่นการเมืองเพื่อกระเพาะตัวเอง หรือเพื่อรักษาทรัพย์สินมรดกของตระกูลให้คงอยู่ มีน้อยรายจะดูแลเอาใจใส่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ถ้าพระสงฆ์ไม่ประท้วง ใครเล่าจะประท้วง 2.พระสงฆ์ที่ประพฤติผิดธรรมวินัยมีจำนวนน้อย ชาวพุทธแท้ควรมีหิริโอตตัปปะ ไม่ควรเอาเรื่องเสียๆ หายๆ ของสงฆ์มาประจาน ถ้าพระสงฆ์ในประเทศไทยพากันอยู่เฉยๆ ภาพทำนองเดียวกันนี้ก็จะเพิ่มมาอีกนับไม่ถ้วน[/FONT]

    อุเบกขาหาใช่วางเฉย ไม่ได้ดูดาย ต้องลงมือทำ ปกป้องจนสุดชีวิต เมื่อถึงที่สุดแล้ว ต่างหากจึงเข้าสู่อุเบกขาสภาวะ
    ตามนัยของพุทธองค์ที่เสด็จโปรดพระญาติกรณีพิพาทแย่งน้ำกัน ทรงเสด็จไปโปรดห้ามถึง3 ครั้ง แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วเห็นว่าเป็นวิบากกรรมเดิมของศากยวงษ์แต่เก่าก่อน จึงทรงวางอุเบกขา อุเบกขาจึงหาใช่การวางเฉยไม่
    เราชาวพุทธทำอะไรกันหรือยัง ?
     
  7. 2fish

    2fish เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +312
    เซนที่ใช้กันพร่ำเพรื่อ น้อยคนจะเข้าใจ การเข้าถึงพุทธ จะเกิดความสว่าง ความสว่างเป็นการปล่อยวาง ................
    สิ่งที่สำคัญมาก หากคุณเข้าถึงธรรมจริงๆ คุณจะเป็นคนรู้คุณ รักพ่อแม่มากขึ้น รักในหลวงมากกกกก รู้คุณชาติ รู้คุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพราะองค์3 นี้เป็นทางอันประเสริฐที่สุด คุณจะกตัญญู รู้คุณ จะไม่ละเมิดในพระรัตนตรัย โดยขาดสติ คุณจะรู้ว่ามีโลกนี้ และโลกหน้า คุณจะเว้นจากบาปกรรม รู้ว่านรกสวรรค์มีจริงๆ รู้ว่าความดีความชั่วมี ปัญญาจะผ่องใส
    การเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดาโลก บางคนในที่นี่พยายามจะพยุงหรือรั้งการเสื่อมด้วยความรู้คุณที่ว่า ความเสื่อมเมื่อถึงเวลาเขาทำใจได้ เพราะเขารู้อยู่และระวังอยู่เพียงแต่เวทนาสัตว์ร่วมโลกที่ยังไม่ได้พบของดี แล้วจะละทิ้งไป ปัจจุบันก็เห็นกันอยู่การเข้าถึงธรรมโดยธรรมชาติยังไม่เคยเห็นเลยซักคน บางคนอ่านศิษย์โง่ไปเรียนเซน หรือ เว่ยหล่าง แล้วก็ถกกันเรื่องเซน สนใจธรรมชาติคือพุทธ ทุกวันนี้เราห่างธรรมชาติมากเพราะเราปรุงแต่งกันสุดชีวิต ชีวิตท่ามกลางกิเลส มีแต่คนที่เข้าหาความสงบแท้จริงถึงจะเจอ ไม่มีทางไหนลัดเท่าการก้าวเท้าเข้ามาทางการปฏิบัติธรรมอย่างหนักหน่วงจริงจัง จะย่นระยะเวลาในสังสารวัฏของคุณที่จะมีอยู่ไม่รู้อีกกิ่ภพกี่ชาติ ให้พอเห็นอนาคตได้
    การกำจัดอลัชชีไม่ใช่ธุระของพระฝ่ายเดียว แต่การประจานใช้ได้กับผู้มีความละอาย แต่ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ศาสนาหมดปัญหาไป มีแต่การสร้างความเสื่อม ไม่ได้ปรามาสใคร แต่คนสักกี่เปอร์เซนต์ ที่จะเข้ามาสนใจศาสนาจริงจัง การขยายจุดด่างเล็กๆให้เป็นภาพขยายอาจทำให้ภาพจริงดูผิดเพี้ยนไป เหมือนเอาสีดำไปแต้มกลางผลส้ม แล้วขยายเฉพาะเจาะจงจุดสีดำขี้นมา คนที่เห็นก็จะนึกว่าส้มลูกนี้คงเน่าเพราะเป็นสีดำ ทั้งๆที่แท้เป็นแค่จุดเลอะๆ ไม่ใช่จุดเน่าเพราะขาดความชำนาญในการเลือกดูผลไม้ ผลส้มที่ล้างก็จะสะอาด น่ากิน เลยกลายเป็นผลไม้เน่าเพราะการแยกแยะสิ่งเทียมที่จุดอยู่ กับรอยเน่าที่แท้ไม่ออก
    การเอาภาพภิกษุมาประจานทำให้คนขาดความเข้าใจ นึกว่าพระหาดีไม่ได้ (อ่านดูเอาก็จะเห็นมีแต่ด่าพระ พระชั่วพระเลว ตัดสินคุณค่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คนศีล5ไม่ครบกลับเขียนภาพวิจารณ์ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ กลับเชียร์กันเอิกเกริก เห็นว่าถูกต้อง อุปมาเหมือนศิลปินแต้มสีดำลงบนผลส้ม มีสักกี่คนที่จะแยกแยะได้ว่าสัมนั้นเน่าหรือดี คนที่เขาห่วงก็คือคนทีแยกแยะไม่ได้ดูงานนี้ไม่เข้าใจ จะเหมารวม (ซึ่งเป็นไปได้สูงมาก) และหวั่นว่าเขาจะหมดโอกาสลิ้มรสผลส้มธรรมชาตินี้ต่างหาก ส่วนคนที่ดูภาพศิลปินเข้าใจแยกแยะได้น่ะ เขาไม่ได้ห่วงหรอก ทางพุทธผู้ผิด เขาให้โอกาส มีการปลงอาบัติ หากหนักก็ให้สึกไป สำหรับคนสติดีๆ หากถูกจับสึกเพราะปราชิกก็จะเสียใจมาก หากคนชั่วก็ไม่ละอายแต่อย่างใด การจัดการที่ดูเหมือนไม่ประจาน เพราะทุกวันนี้หนังสือพิมพ์วิสัยกา ก็ทำจนเกินไปอยู่แล้ว ขนยาบ้าโทษประหาร ยังไม่กลัว ก็ยังทำกันอยู่เลยคุณ คนชั่วน่ะคุณก็คือคนชั่ว
    การละเลย โปรดดูตัวอย่างการถูกกำจัดด้วยการลวง แทรกซึม ลบหลู่ กลืน สร้างภาพพจน์ที่เสียหาย ประจาน ขยายภาพเสียหายจนเกินจริง ไม่นำเสนอในมุมสร้างสรร จ้องแต่ทำลาย ทำลายความเชื่อ ทุกๆรูปแบบ การกระทำของฮินดูที่กระทำกับศาสนาพุทธ ทำให้พุทธศาสนาสูญพันธุ์ๆไปจากอินเดีย หรือในเวียดนาม หรือเกือบหมดไปในลังกา หากโฆษณาชวนเชื่อมันไม่ได้ผล แมคโดนัลด์ โค้ก คงครอบไม่ได้ไปทั่วโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2007
  8. เพพัง

    เพพัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,759
    ค่าพลัง:
    +8,253
    ท่านอาจารย์ปฐมพงษ์ อธิบายให้ข้อมูลได้สมกับเป็นปราชญ์ทางพุทธ ขอแสดงความนับถืออาจารย์จริงๆ ครับ
     
  9. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,224
    ค่าพลัง:
    +15,636
    ขอยืนยันภาพที่แสดงออกมาและการใช้ภาษาไม่เหมาะสม ถ้ายังคิดไม่ออก คิดไม่เป็น อย่าแสดงภาพเหล่านั้นสู่สาธารณชน เพราะคนที่ต่างศาสนา คนที่ยังไม่เข้าใจในหลักการสูงสุดของพระพุทธศาสนา เขาจะเข้าใจผิด การแสดงออก ควรมีความคิดที่แตกฉานทางปัญญาก่อน แล้วค่อยมาแสดงออกต่อสาธารณชน
    <!-- / message -->
     
  10. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    หมู่มารนั้นมีมากกว่าคนดีในยุคนี้
     
  11. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    นั่นสิคะ ไม่สมควรอย่างยิ่งค่ะ ถ้าศิลปินวาดรูปแบบนี้ออกมาทุกคน ศาสนาพุทธคงจะเสื่อมลงไปอย่างรวดเร็ว
     
  12. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
    ความจริงแล้ว พระภิกษุเสพเมถุนกับสีกา, พระภิกษุที่มั่วสีกา, พระภิกษุที่ละเมิดธรรมวินัยเป็นอาจิณด้วยวิธีต่างๆ ฯลฯ เป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีบันทึกในพระไตรปิฎกด้วยซ้ำว่าบางรูปเสพเมถุนกับเดรัจฉาน, บางรูปเสพเมถุนแม้แต่กับแม่ตัวเอง, บางรูปเสพเมถุนกับซากศพ ฯลฯ

    ขอถามหน่อยเถอะ ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นมีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาลทั้งสิ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้วเรื่องลักษณะนี้ แต่ทำไมจึงไม่ปรากฎให้เห็นว่าคนในยุคอดีตที่ผ่านมาเขาจะแสดงออกมาในรูปงานศิลปะซึ่งมีภาพทำลายพุทธศาสนาอย่างที่นายอนุพงษ์แสดงออกมาเลย เพราะอะไรในยุคปัจจุบันนี้จึงมักมีความพยายามที่จะเผยแพร่ภาพลัษณ์ที่เสียๆ หายๆ ของพระออกมากันมากมายนักไม่ว่าจะตามสื่อต่างๆ ก็ดี ทั้งๆ ที่พระดีๆ ก็มีอยู่เยอะแยะ จึงเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าปัจจุบันมันมีกลุ่มหรือขบวนการที่คิดทำลายล้างพระพุทธศาสนาอยู่จริงในประเทศไทย
     
  13. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,254
    ค่าพลัง:
    +7,241
    ผมนับถือศาสนาพุทธ ผมอาจจะไม่ใช้คนดีเสียทีเดียว ผมอาจจะไม่ใช่นักปฎิบัตธรรมชั้นยอด แต่ภาพวาดนี้ด้วยความรู้สึกส่วนตัว ผมรับไม่ได้ครับ ลองย้อนกลับไปหาคนวาด โดยนำภาพบุพการีของท่านนั้นมาใส่ในใบหน้ารูปนั้นแทน อะไรจะเกิดขึ้นครับ ศิลปินทั้งหลายคงจะมองไม่ใช่ศิลปะแล้วล่ะ

    ภาพนู้ด ภาพเปลื่อยก็เหมือนกัน ทำไมศิลปินไม่นำภาพญาติพี่น้องตัวเองมาวาด ไปจ้างนายแบบนางแบบทำไม ? ญาติพี่น้องตนเองมีเยอะแยะ ไปเอามาวาดเลยครับ
     
  14. chanoknon

    chanoknon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +776
    สื่อถึงอะไรในภาพฝรั่งไม่รู้หรอกครับ แต่ฝรั่งที่ท่องเที่ยวในไทย
    เห็นพระภิกษุที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบจะพาลไปนึกถึงภาพภิกษุสันดานกาหน่ะสิครับ จะใช้เหตุผลใดก็ไม่ดีทั้งปวง
     
  15. tanin5

    tanin5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +289
    ผมหล่ะดีใจกับทุกคนที่มาปกป้องศาสนาของพวกเราทุกคน ขออนุโมทนาบุญให้กับทุกคนครับ
    ถึงคนผู้ที่วาดและผู้ที่ชมภาพนี้น๊ะครับ พวกคุณว่าตอนนี้ มีคนนับถือศาสนาพุทธสักกี่คน ถ้าสมมติว่าคน 100 คน จะเข้าวัดสักกี่คน ถึง10คนไหม ครับแล้วสิบคนเนี่ย เข้ามาหาหวยสะเดาะเคราะห์สัก8คน ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมกี่คน แล้วการปฏิบัตินี่ก็ใช่ว่าตรงทางซ่ะหมดซ่ะเมื่อไหร่ ใช่ไหมครับ ศาสนาพุทธมันใกล้จะวิบัติแล้วน๊ะครับ แล้วพวกคุณยังเอาความคิดของตัวเองออกมาโชวให้คนอื่นที่ห่างไกลศาสนาเข้าใจไปผิดๆ
    ซึ่งบิดเบือนจากคำสอนของพระพุทธองค์ที่มุ่งไปสู่ความหลุดพ้นในจิตและกาย ที่เป็นทางแห่งความสุขอย่างเดียว จึงทำให้คนที่อยากจะเข้ามาปฏิบัติเขาเหล่านั้นอาจจะปฏิบัติบัติไวหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับจริตของเขา แต่คุณดันเอาน้ำไปสาดถ่านให้มันเปียกถึงจะลองจุดอย่างไรมันก็ไม่มีทางติดหรอกครับ บาปกรรมอันนี้มันหนักเสียจริงครับมันอาจจะทำให้คุณไม่เจอการปฏิบัติที่มุ่งไปสู่แดนเกษมอีกนานแสนนาน
     
  16. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ตอนแรกคิดว่าเราน่าจะวางอุเบกขาเพราะเชื่อว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่ถ้าคิดถึงผลที่จะเกิดในอนาคต ควรจะช่วยกันต่อต้านไม่ให้เผยแพร่ ทำไมกลุ่มที่จะเผยแพร่ถึงมีอัตตากันเยอะมากก็ไม่รู้ ไม่นึกถึงข้อดีข้อเสียกันเลย คนเรามีภูมิความรู้ไม่เท่ากันจะแยกแยะได้ทุกคนที่ไหน หรือท่านไม่นับถือศาสนาพุทธ
     
  17. Puengdotcom

    Puengdotcom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +66
    ถึงจะเป็นภาพศิลปะแต่ก็ไม่ควรเผยแพร่ค่ะ โดยเฉพาะในต่างประเทศ เพราะคนส่วนใหญ่อาจไม่เข้าใจความหมายที่รูปสื่อออกมา คนต่างชาติบางคนอาจไม่เคยได้ยินคำว่าภิกษุสันดานกาและไม่เข้าใจความหมาย อาจเกิดการตีความผิดๆ และมองพระสงฆ์ในแง่ไม่ดีได้ค่ะ
     
  18. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984
    บอกแล้ว ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว .....
    คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
    สะท้อนว่ามุมมองของคนวาดภาพเป็นแบบไหน
    ดูภาพอาจารย์เฉลิมชัยสิ มีแต่สรรเสริญและศรัทธา อิ่มเอิบใจ ที่ได้พบเห็น
    ส่วนตัวคิดว่า แม้ไม่ได้นับถือพุทธ แต่ถ้าพบเห็นภาพที่ อาจารย์เฉลิมชัย วาด ผมก็ยังอดที่จะชื่นชมในศิลปะที่ถ่ายทอดออกมา จนต้องออกตามหาที่มาแห่งแรงบันดาลใจ..........

    แต่ของ นายอนุพงษ์ จันทร ผมไม่เคยมองภาพแบบเต็มๆ ตา เลยอะ..... แต่ก็อดมองหาไม่ได้ว่า หัวใจและส่วนของความคิดสำนึกมันคิดอะไร... ถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ ใช้ศิลปะ เพื่อชื่อเสียงตนเอง แต่ทำร้าย เหมือนเอามีดกรีดหัวใจคนดูไปกี่ร้อยกี่พันคน โห นายทำได้อย่างไร นี่หรือคือ ศิลปิน ศิลปะ ...... แต่ก็คงเป็นศิลปะอย่างที่นายว่า คือเป็นศิลปะในการเชือดเฉือนหัวใจคนได้แยบยล ให้ตาย ด่าวดิ้น ทรมานทางใจ โดนไม่ต้องลงมือทางกาย เยี่ยมมาก...... นายไม่ละอายบ้างเหรอ.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2007
  19. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984
    แบบนี้อะวาดมะเป็นเหยอออออออออออออ :)

    ไม่โดนตำหนิ แถม มีโมทนาแถมด้วยอะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. montri_p

    montri_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +467
    เข้าใจถ่องแท้ หลังจากคลุมเคลือในความคิดตัวเอง เห็นด้วยกับท่านอาจารย์ด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...