เสียงธรรม ** มรณานุสติ สู่ธรรมชาติ **

ในห้อง 'พระกรรมฐาน ๔๐ กอง' ตั้งกระทู้โดย MayBuddhaBlessYou, 1 เมษายน 2011.

  1. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    สนใจรับ CD ชุดเมตตาธรรมได้ฟรี แจ้งชื่อที่อยู่ได้ในกระทู้นี้เลยค่ะ จะจัดส่งทางไปรษณีย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ มี 19 ตอนค่ะ

    อนุโมทนาสาธุกับทุกท่าน

    เจน
    MayBuddhaBlessYou
    [/B]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. atulo

    atulo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +389
    รับซีดีธรรม

    พระ อดุล ฐิตพโล 62/2 บ้านหนองกาว ตำบล สำโรง อำเภอ หนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น 40190
     
  3. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    จะจัดส่งไปให้วันนี้ หรือพรุง่นี้เป็นอย่างช้าเจ้าค่ะท่านพระอาจารย์ ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  4. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]


    ธรรมะบรรยาย เรื่อง “มรณานุสสติ สู่ธรรมชาติ” โดยท่านพุทโธ ว.ญาณ


    ขอเชิญดาวน์โหลดไฟล์เสียงโดยคลิ๊กด้านล่างนี้ หรือด้านบนได้เลยนะค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ


    http://palungjit.org/threads/**-มรณานุสติ-สู่ธรรมชาติ-**.6544/


    ธรรมะบรรยาย : เรื่อง มรณานุสสติ สู่ธรรมชาติ
    ผู้บรรยาย : ท่านพุทโธ ว.ญาณ
    ถอดเทปบรรยาย : เจน (MayBuddhaBlessYou)


    โลกนี้มีแต่ความเสื่อม ความพังอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะคงทนตั้งอยู่ได้ชั่วกัปชัวกัลป์ แม้หินผา ภูเขา ที่ว่าแข็งแกร่งยังไง เมื่อถึงกาลสิ้นสุดของเค้าก็ต้องราบเป็นหน้ากอง เสมอแผ่นดิน ไม่มีอะไรสูงกว่าแผ่นดิน สิ่งที่สูงกว่าท้ายที่สุดย่อมจมลงไปในดิน ร่างกายของเราเพียงเล็กน้อย ก้อนเล็กก้อนน้อย แตกต่างกันไป สูงต่ำดำขาว ตัวเล็ก ตัวใหญ่ เป็นก้อนเล็กนิดเดียวไฉนเลยจะตั้งได้นาน ต้องจมลงไปสู่ดิน สู่น้ำ สู่ไฟ สู่ลมในที่สุด ในอีกไม่ช้านาน ในอนาคตอันใกล้นี้ หมั่นพินิจพิจารณาถึงความเป็นจริงว่าเหล่านี้ก็ต้องตายจมดินไปให้ได้เนือง ๆ การที่พิจารณาซึ่งมรณานุสสตินี้ ทำให้ใจที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น รวมทั้งกามราคะ ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ประจักษ์จิตอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งทั้งหลายที่เจือด้วยกามราคะ กามะตัณหา ภาวะตัณหา วิภาวะตัณหาเหล่านี้ เนื่องด้วยอัตตาตัวตน ของตน ของกู ทั้งนั้น โดยอาศัยอวิชชาอยู่เบื้องหลัง ทำให้ความอยากและความไม่อยาก จึงเป็นตัวนำไปสู่ความทุกข์ โดยการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นมั่น ของที่เค้าจะตกจะร่วงหล่นอยู่แล้ว ไม่ให้มันตกมันหล่น เอามือเข้าไปรองรับ ยึดเอา ยึดเอา แล้วบอกว่ามันไม่ใช่ของที่เป็นสภาพของความไม่ใช่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะตัวกูเข้าไปยึด เพราะตัวกูเอามือเข้าไปรองรับ จึงถือว่าตัวเรานี้เป็นเจ้าของ ของสุขของทุกข์ทั้งหลายที่มันจะดับ มันจะร่วงมันจะหล่นลงไปแล้ว ไปรองรับมันนี่แหละบอกว่านี่แหล่ะ ของกู ของกูมันซะหมด

    นี่แหล่ะคือสภาพความเป็นจริงของเราที่เข้าไปยึดถือโดยที่เรา ไม่รู้ตัว ตลอดเวลาเราก็ทำเช่นนี้ ของจะดับไม่ยอมให้ดับ ตัวเราเข้าไปแก้ไข รับเอาไว้ รับเอาไว้ มีทั้งพอใจไม่พอใจ เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่กับมันตลลอดเวลา สภาพ สุขสภาพทุกข์นั้นมีอยู่ได้เฉพาะคนที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นมันเท่านั้น เป็นบุคคลที่ไม่เห็นการเกิดขึ้น ตั้งงอยู่ดับไป อย่างแท้จริง เค้าไม่สามารถ ที่จะเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย

    ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัตินั้น ต้องหมั่นตรวจตรา ดูจิตของเราว่ามันมีสุข มีทุกข์ มีความพอใจ มีความขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในจิตใจตนหรือไม่ จิตดูจิตต้องเพียรดูจิตอยู่ตลอดเวลา จึงถือว่าเป็นผู้ที่เพียรรักษาดูแลใจตนอย่างแท้จริง เราจึงจำเป็นที่จะต้องหมั่นฝึกฝนอบรมบ่มปัญญา โดยพยายามที่จะตั้งสติของเรานี้ให้ได้สืบทอดตลอดเวลา เพราะตัวสตินั้นจะเป็นตัวปัญญาอย่างแท้จริงที่จะทำให้เรานั้น เข้าถึงความเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ ธรรมะคือแก่นแท้ของธรรมชาติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้ความเป็นจริงอันนี้คือ อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้ตั้งใจคิดว่าปัจจุบันนี้เรากำลังเดินทางไปสู่ทิศทางไหน เราไม่ได้เดินทางเข้าไปสู่โลกที่มีความสับสนวุ่นวายที่มีสภาพยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกู


     
  5. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    แต่เรากำลังเดินเข้าไปสู่ธรรมชาติคือธรรมะ ธรรมะคือความเป็นจริง ธรรมะคือที่สุดแห่งชีวิต มนุษย์และสัตว์ ทั้งกายหยาบ กายละเอียด ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต กำลังเดินเข้าไปหาความดับไปความสิ้นไปเห็นที่สุด มิใช่เดินไปเพื่อความงอกงามไพบูรณ์เพื่อความใหญ่โต ความเติบโดมั่นคงแต่ประการใด แต่เดินไปเพื่อไปสู่จุดจบของชีวิตด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น หากไม่เพียรคิดพิจารณา ถึงความเป็นจริงในข้อนี้ใจของเรามีแต่ความมุ่งมั่น ความใฝ่ฝันทะเยอทะยายอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น พยายามที่จะแบกหามทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภาระหน้าที่ หนี้สิน ทรัพย์สินเงินทอง อันเกิดมาจากความทะเยอทะยานอยากนั่นเอง ความทะยานอยากได้เกิดขึ้นได้นั้น เพราะตัวเองคิดว่าตัวเองนั้นจะไม่ตาย เพราะไม่เคยระลึกนึกถึงความตาย เพราะคิดว่ามันจะเจริญไพบูรณ์งอกงาม ไม่เสื่อมโทรม มันคิดไปนอกทาง คนละอัน หันหลังให้กับความเป็นจริง ทุกคนจึงประสบแต่ความทุกข์ในที่สุด

    แม้จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายก่ายกองก็ดี มันก็เป็นสภาพทุกข์ ทุกข์ที่เราหามา คิดว่ามันจะทำให้เราเป็นสุข แต่ความเป็นจริงนั้น มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ทุ่มเทเข้าไป ทุ่มเทเขาไป เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุกาม ความพอไม่รู้จักพอ ก็ทุ่มแรงกายแรงใจเข้าไปไม่หยุดหย่อน เพื่อให้ได้วัตถุกามนั้น เพื่อวัตถุกามนั้น จะกองโตเท่ากับภูเขาโลกาก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่หยุดหย่อนเพื่อจะให้ได้มาซึ่งวัตถุกาม โดยแลกจากแรงเหงื่อ แรงกาย แรงใจของตน อยู่ตลอดเวลา เขามุมานะที่จะทำสิ่งเหล่านั้นแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก็บอกว่านี่แหล่ะคือภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบทำ การหาอย่างนี้ เรียกว่าหากันไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตเรามันจะสิ้นไป ช่วงเวลาที่เหลือไม่เคยคิดเพราะว่าไม่คิดว่ามันจะตาย ฉะนั้นขอให้หยุดคิดสักนิดนึงว่า ทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ แม้จะหยุดทำก็ยังพอเลี้ยงชีพ พอแล้ว หันมาประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ไม่ขัดสนเรื่องการหาอยู่หากินหรืออาชีพที่มีอยู่นึกว่าพอแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องไปหาอะไรที่เกินตัว เพราะเวลาที่ตายไปทรัพย์สินเงินทองสมบัติเหล่านั้นเอาไปก็ไม่ได้ หากพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันพอที่จะเลี้ยงชีพได้แล้ว อาชีพก็สามารถที่จะตั้งหลักตั้งเกณฑ์ได้แล้ว ไม่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่พยายามคิดหาทางออกให้กับชีวิตของตน ไม่หลงมัวเมาในวัตถุกามอีกต่อไป อย่าให้วัตถุกามนั้นมาเป็นตัวถ่วงในความดีของเรา หากรู้จักวาง มองหาโอกาสที่จะเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้เป็นทรัพย์สมบัติตามติดตัวเราไป ทั้งปัจจุบัน และอนาคตชาติสืบๆ ไป

    นี่เรียกว่าเป็นบุคคลที่ไม่ประมาทในชีวิต คนที่จะออกจากทรัพย์สมบัติของตนที่ทีมากมาย ได้ หรือพอปานกลางหรือพอหาเลี้ยงชีพได้ พอที่จะเลี้ยงชีพของตนได้โดยไม่ขัดสน การที่จะออกมาได้ ออกมาได้ยากมากโดยเฉพาะคนที่มีทรัพย์สินเงินทอง เป็นบ่วงคล้องคอของตน ไม่ให้ออกจากกองทรัพย์สินเงินทองนั้น คนที่ออกมาได้ก็จะรู้จักใช้ทรัพย์สินเงินทองของตนนั้นมาสะสมความดี เอามาหนุนทาน เอามาหนุนผู้รักษาศีล ผู้ทำสมาธิ ผู้เจริญปัญญา นี่เรียกว่าเอาทรัพย์สมบัตินั้นมาใช้ประโยชน์สูงสุด ดีกว่าตายไปแล้วนั้นนำทรัพย์สมบัติที่หามาด้วยความเหน็ดเหนื่อยนั้นต้องทิ้งไว้ทางโลก ไม่เกิดประโยชน์ แต่อย่างใด ประโยชน์ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่น ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเรา ถ้าเราไม่รู้จักเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ คนที่รู้จักการออกจากทรัพย์สินเงินทอง หาโอกาสมาสร้างโอกาสสร้างทรัพย์ภายใน ไม่มัวมาครุ่นคิดอยู่แต่เรื่อง โลกีย์โลก วัตถุกามของโลก หาได้น้อยมากในปัจจุบันนี้
     
  6. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ทรงดำเนินเส้นทางนั้น คือการสละทรัพย์สมบัติของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงทิ้งทุกอย่าง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญทั้งหลาย เพราะพระองค์ท่านทรงเห็นว่ามันเป็นกองทุกข์ ที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงติดตรง นั้น หากพระองค์ยังรงพอใจในทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้น การตรัสรู้ ของพระพุทธองค์ย่อมไม่เกิดขึ้น ทรัพย์สินเงินทองเป็นบ่วงอันหนึ่ง บุตร สามี ภรรยา ก็เป็นบ่วงอีกอันหนึ่ง คล้องคอเข้าไว้แต่ละอันแต่ละบ่วง นี่พระพุทธองค์ทรงรู้เท่าทันถึงความเป็นจริง จึงรู้เท่าทันความเป็นจริงเหล่านั้น และออกจากราชสมบัติ หนีออกจากพระราชวัง มากับนายจุนทะ มาทางฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วใช้พระขันธ์ตัดพระเมาลี โยนขึ้นไปบนอากาศ และทรงปลดเครื่องทรงของพระองค์ลง ให้พระจุนทะ (นายจุนทะในขณะนั้น) ส่งกลับพระราชวัง ว่าไม่ต้องมาห่วง ว่าไม่ต้องมาห่วงพระองค์ พระองค์ทรงผนวชเรียบร้อยแล้ว พระองค์ไม่สนใจกามวัตถุที่เป็นเครื่องล่อของมนุษย์ ให้ติดกัน ท่านไม่ติดอะไร ไม่ติดกับลาภสมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ อันเป็นสมบัติขิงโลกอีกต่อไป เหตุเพราะว่าพระพุทธองค์นั้น ต้องการหลุดออกจากโลก จึงจำเป็นที่ต้องทิ้งโลก หาโมกขธรรม เพื่อที่ว่าจะได้ออกจากโลก หาความพ้นทุกข์ จึงไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    พวกเราทุกคนก็เหมือนกัน หากเราติดโลก เราจะต้องอยู่กับโลก หากรู้จักปล่อยวางโลกอย่างมีสติ คำว่ามีสติหมายความว่าต้องรู้ว่าเมื่อไหร่วาง เมื่อไหร่พอมาได้ เมื่อไหร่มาไมได้ เพราะว่าเราจำเป็นที่ต้องเลี้ยงธาตุขันธ์ ก็เพราะว่าทรัพย์สมบัติของเรายังไม่พอเพียงที่จะเลี้ยงธาตุขันธ์ขงเราได้จนตลอดชีวิต หากคนที่สามารถที่จะเลี้ยงประมาณที่ว่าทรัพย์สินขณะนี้พอที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมได้แล้ว ก็ควรจะประพฤติปฏิบัติเยี่ยงพระพุทธองค์ที่เคยนำพา ที่พระองค์ทำในสิ่งซึ่งยากมาก ก็เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงทำให้เห็น เพื่อที่ว่าคนรุ่นหลังนั้นได้เจริญรอยตามพระพุทธองค์นั้น อย่าให้ทรัพย์สินเงินทองนั้น มาเป็นตัวถ่วงในการที่จะถึงวิมุตหลุดพ้นเลย ทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของคู่กับโลกตามสมมุติบัญญัติของเค้า ของก็มีอยู่แล้วตามสมมุติบัญญัติ ตามธรรมชาติของเค้า มีการดัดแปลรูปร่างลักษณะของมันให้ผิดแผกไปจากธรรมชาติ และบอกว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนั้นสิ่งนี้มีค่ามีราคา แล้วเราก็เข้าไปยึด ไปเกาะ ไปจับเอาตามสมมุติบัญญัติของโลก อย่าให้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นอุปสรรคขวากหนาม เป็นเครื่องมัดแข้งมัดขา ปิดตา ปิดใจ ของเราอีกต่อไป ใครออกมาได้ชนิดที่ว่าบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ขอให้มีปัญญาพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงเหล่านั้น จึงได้ชื่อว่าเราเป็นผู้ที่สติอย่างแท้จริง

    จงหมั่นพิจารณาถึงมรณานุสสติ มรณานุสสติเป็นคุณอย่างใหญ่หลวง เป็นปลายทางรวมลงของสิ่งทั้งหลายทั้งมวลในโลกนี้ ไม่มีใครหลีกหนีไปได้ แม้กระทั่งโลกทั้งใบๆ นี้ ที่เราอาศัยดำเนินชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องแตกสลายไปด้วยเช่นเดียวกัน โลกนี้จึงได้ชื่อว่าธรรม สิ่งทั้งหลายทั้งมวลที่อยู่ในโลกใบนี้จึงได้ชื่อว่า นาม รูป นามรูปจึงได้ชื่อว่ารวมลงไปสู่ธรรม ธรรมนั้นคือโลก สรุปรวมลงทุกสิ่งทุกอย่างลงอยู่ในโลกใบนี้ รอวันการแตกสลายถึงที่สุด เห็นความว่างเปล่าของมันบ้างหรือยัง ว่าท้ายที่สุดแล้วมีอะไรบ้าง ว่าท้ายที่สุดแล้วมีอะไรบ้าง ๆ ลองคิดพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงซิ มันจะได้หายจากทุกข์โศกโรคภัย จะได้คลายจากตัณหา อุปาทาน ที่เป็นกิเลสเผาใจเราอยู่ในขณะนี้ ลองพิจารณาอยู่ซิว่า ในขณะที่เราหาอยู่หากิน หาอยู่หากิน หายใจเข้าหายใจออก แท้ที่จริงเราพยายามไขว่คว้าหาอะไรกัน เราพยายามที่จะมีอะไร เพื่อที่ว่าจะทำให้มันเป็นอะไร มีอะไรกัน ให้พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลัง กลับมากลับไป กลับไปกลับมา เรากำลังจะทำให้เป็นอะไร ในสิ่งที่มันไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร จริงหรือไม่ มันจะก่ออะไรให้มันจีรังยั่งยืนอยู่ตลอดเวลามีบ้างไหม ที่กำลังทำๆ กันอยู่นี้มีอะไรบ้างไหมที่มันมั่นคงถาวร ที่ทำๆ กันอยู่นี้มีอะไรที่จะไม่แตกสลาย มีบ้างไหม นี่พูดให้พิจารณากัน มันจะได้เกิดหนทางแห่งปัญญาได้ชัดเจนที่สุด การหาอยู่หากินทางโลกใบนี้ยังคงดำเนินอยู่ หากไม่รู้เท่าทันมันมันก็จะเป็นตัวรวมตัวเกาะ ไม่ให้เราออกจากโลกไม่ได้เลย
     
  7. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    เมื่อรู้ว่าพอควร พอเหมาะ พอเจาะ บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นทั้งทางโลกและทางธรรมแล้ว รีบๆ หาทางพิจาณาแล้วออกมาประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นที่บ้านของเราเป็นเบื้องต้น ให้ได้เสียก่อน หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งทำสมาธิเข้าไปสู่ความสงบ แล้วหมั่นคิดทบทวนความเป็นจริงโดยเฉพาะความตาย เรามีอะไรในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ในเบื้องต้นเรามีอะไร ในท่างกลางเรามีอะไร ในท่างกลางมีอะไรบ้างที่มันจะไม่แปรปรวน และในที่สุดอนาคต จะใกล้ จะกลาง จะไกล ยังงัย มีขอบเขตที่สุดคือความตายเท่านั้น ขณะนั้นสิ้นสุดทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามี ว่าเป็นสิ้นสุดทุกอย่างเพราะความตายมาตัดไปซะแล้ว หาตัวเรา หาของเรา หาทรัพย์สินเงินทองของเราที่หามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเรานั้นก็พลันจบสิ้น ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ร้อยล้านพันล้าน หามาได้ก็เป็นเพียงแต่ดิน เป็นแต่เพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้น ไร้ค่า ไร้ราคาสำหรับเรา นี่เขาเรียกว่าไม่มีปัญญา หามาเพื่อทิ้ง หามาจนเกินกำลัง หามาจนเกินดี เขาก็ว่าเขามีปัญญา แต่ก็เป็นปัญญาทางโลกีย์โลก แต่ไม่สามารถเข้าไปหาปัญญาทางโลกุตระธรรม คือพระนิพพานได้เลย

    น่าเสียดาย กำลังกายกำลังสติปัญญา มีปัญญาหามาได้ แต่ปราศจากซึ่งปัญญาทางธรรม บุคคลผู้นี้แหล่ะน่าสงสาร เพราะตลอดเวลาเขาใช้แรงกายแรงใจของเขาหามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่เขาก็พอใจของเค้า มากมายก่ายกองกว่าผู้อื่น เขามีวัตถุกามมากมาย เขาว่าเขาดี เขาว่าเขาเหนือกว่าใคร ถ้าคิดว่าหามาได้พอประมาณแล้วหยุด เพื่อสร้างสมคุณงามความดีของเรา หยุด นี่แหล่ะถือว่าควร ขณะที่หาอยู่หากินนั้น ก็หมั่นที่ต้องบริจาค หมั่นเอามาทำบุญผู้ด้อยโอกาส หมั่นเอามาทำบุญส่งเสริมผู้ที่ต้องการ ศีล สมาธิ ปัญญา เดินทางไปทางนั้น เกื้อหนุนคนที่ยากไร้กว่าเรา จึงจะเป็นประโยชน์กว่า เพราะทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของเราก็ควรจะใช้สมบัตินั้น ตามสมมุติบัญญัตินั้นให้เกิดมรรคผล พระนิพพานแก่เรา จึงจะควร ไม่ใช่ทิ้งไว้เพื่อให้ทีการยื้อแย่งกัน ฆ่ากัน มันไม่เป็นประโยชน์สำหรับเรา แต่เป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่น ที่เขาเห็นสมมุติบัญญัตินั้น ที่จะใช้สมมุติบัญญัตินั้นให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเค้าเหล่านั้น แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์แก่ตัวของเราเลย ทั้งๆ ที่ตอนเรามีชีวิตอยู่นั้นเป็นประโยชน์แก่ตัวของเรา เราสามารถที่เราจะสามารถที่จะเอาไปใช้อะไรก็ได้ นั่นเป็นประโยชน์ของเรา แต่เมื่อเราไม่มีชีวิตแล้ว ประโยชน์เหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นของเราเลย มีอะไรบ้าง ที่เหนือกว่ากันและกัน มีแต่ความเป็นก้อนอิฐก้อนหิน แต่ละก้อน ผู้ชายผู้หญิง สูง ต่ำ ดำ ขาว เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ยาจก ยากจนเข็ญใจ มีความเสมอกันซึ่งความเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม มีความเสมอกันเป็นที่สุดของความตาย มีความเสมอกันซึ่งโรคะ พยาธิ ชรา มีไฟ 3 กองเสมอกัน มีอะไรเหนือกันและกันได้อย่างไร

    ทุกคนเกิดมาด้วยกรรมของตน ทุกคนเกิดมามีทุกข์ เป็นที่ไป ทุกคนเกิดมาเนื่องด้วยทุกข์ เท่านั้น ไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้ มีแต่ความทุกข์ เกิดมาเพื่อความทุกข์ ดังนั้นจงมีความเห็นอกเห็นใจ มีความเมตตาต่อกัน คิดจะโกรธ ข่มความโกรธเอาไว้ อย่าให้ไฟ 3 กองนั้นทำงาน เราเกิดมาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ตาดำๆ มีทุกข์ เหมือนกันหมด คือทุกข์แห่งความแก่ ความเจ็บ ความตาย นั่นเอง แต่ก็อยู่ที่ว่าใครยึดมั่นถือมั่นมากก็ทุกข์มาก ใครยึดมั่นถือมั่นน้อยก็ทุกข์น้อย คนที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเลยไม่ทุกข์ เราปฏิบัติเพื่อละอุปาทานคือละความยึดมั่น ถือมั่น จุดประสงค์อยู่ที่ตรงนี้ แต่เรามักจะคลาดเคลื่อนตลอดเวลา เมื่อเรามีลาภสักการะ สุข สรรเสริญ เกิดขึ้นในจิตในใจ และมองเห็นช่องทางนั้น มันละอุปาทาน ไม่จึงหลงไปตลอดเวลา จึงเดินถอยหน้า ถอยหลัง ถอยหน้า ถอยลังอยู่ตลอดเวลา มีความลังเล ในการกระทำของตน จะทำอย่างไหนกันแน่ โอกาสอย่างนี้ คือโอกาสที่จะมีลาภยศ โอกาสที่จะมีลาภสักการะ สุข สรรเสริญอยู่จะเอายังงัย ยังมีความลังเลสงสัยอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าทำด้วยเรื่องธรรมแล้วตรงไปตรงมา ไม่มีการใช้เล่ห์เพทุบาย อันนั้นคือธรรม แต่ถ้าใช้เล่ห์เพทุบายให้ได้มาซึ่งสิ่งขิงต้องแระสงค์แล้วอันนั้นคืออำนาจของความเป็นตัวกู เข้าไปทำงานในหัวจิตหัวใจแล้ว

    วันนี้ได้ฟังธรรมกัน ร่างกายของเราไม่ไหวติง เพราะจิตมันมาจับเอาเสียงของพ่อกัน จิตมันไม่พะวงเรื่องอาการของกาย กายก็ไม่ซัดส่ายไปมา จิตก็ไม่ไปจับเอาเวทนา นี่เรียกว่าจิตเค้าไปจับได้ทีละ 1 ขณะจิต จับได้ทีละสิ่ง ทีละสิ่งเท่านั้น สมจริงในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ จับเอาสิ่งหนึ่งสิ่งหนึ่งย่อมตกไป ร่วงไป เบาบางไป อันนี้จริงแท้แน่นอน ดังนั้นนักปฏิบัติควรใช้อุบายธรรมตรงนี้ เกิดปัญหาอะไรขึ้นมา มันจะทุกข์ก็ให้จับเอาที่องค์บริกรรมภาวนา หรือจับเอาลมหายใจก็สุดแท้แต่ จับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่งย่อมร่วงไปตกไปเป็นธรรมดา มันก็เป็นการหนีทุกข์ ดับทุกข์หนีทุกข์ได้ชั่วคราว หากไม่ดับด้วยปัญญาแล้ว มันก็เกิดขึ้นมาใหม่ วนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา เพราะตัวที่ดับนั้นเป็นการดับด้วยจิตที่มีสติ มีสมาธินั่นเอง แต่ยังไม่ได้ดับด้วยปัญญาที่มีความรู้จริงเห็นจริง มันจึงเกิดหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา จนกว่าเราจะดับด้วยปัญญา คือดับด้วยอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การที่จะดับทุกข์ได้ต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ ต้นตอของความทุกข์นั้นซะก่อน และจึงปฏิบัติได้ถึงความดับทุกข์ได้สมุจเฉทประหารและจึงจะได้ชื่อว่าเป็นเหตุของการดับทุกข์แห่งการ เวียนว่ายตายเกิดได้อย่างแท้จริง ขอจบไว้เพียงเท่านี้
     
  8. mayslimclub

    mayslimclub สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +20
    ไม่ทราบว่่ายังมีแผ่นซีดีอีกไหมครับ ถ้ามีขอ 1 ชุดครับ
    สรวิืชญ์ นามสุข
    479 หมู่ที่ 1 ต.สวนหลวง
    อ.เฉลิมพระเกียรติื
    จ.นครศรีธรรมราช
    80190
     

แชร์หน้านี้

Loading...