เสียงธรรม พัฒนาใจตัวเอง / หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ในห้อง 'ธรรมเทศนาทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 4 กรกฎาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    LpPramojPramocho.jpg
    ภาวนาให้เป็นนิสัย :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๓ ธ.ค. ๒๕๖๐

    นิมิตต่างๆ หลวงพ่อปราโมทย์ ณ ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) 21 มิ.ย. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ บริษัท ดอกบัวคู่ จํากัด 31 พ.ค. 2558

    สารธรรมนำใจ :-
    Published on Jul 3, 2017
    CD แผ่นที่ ๖๓ จาก http://www.dhamma.com/
    ขอทุกท่านเชิญรับฟังธรรมเทศนาของหลวงพ่อ ปราโมทย์ ปราโมชโช วัดสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2018
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    FindToPayEachother.jpg
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ บ้านบุญหนุนนำ 6 เม.ย. 2559

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 17 เม.ย. 2559

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 20 เม.ย. 2559

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ บ้านสติ ขอนแก่น 24 เม.ย. 2559

    Dhamma.com
    Published on May 8, 2016
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2018
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    เราภาวนาจนเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราว สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลาย ชั่วคราวทั้งหมด ตรงนี้แหละ ใจจะเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวนี้แหละคือสิ่งเรียกว่า สังขารุเบกขาญาน จิตมีปัญญานะ เป็นกลางกับความปรุงแต่งทั้งหลาย สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลายนี่ จิตเป็นกลางหมดเลย เพราะอะไร เพราะปัญญา ไม่ใช่กลางเพราะการเพ่ง ไม่ใช่เป็นกลางเพราะกำหนดนะ กำหนดแล้วเป็นกลางนี่ยังไม่ใช่ ตัวนี้ต้องเป็นกลางเพราะปัญญา ถ้าเราตามรู้จิตใจของเราทุกวันๆ เราจะเห็นเลย ความสุขอยู่ชั่วคราว แล้วก็หาย ความทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย โลภ โกรธ หลง อยู่ชั่วคราว แล้วก็หาย กุศลอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป ถ้าตามดูอย่างนี้นานๆไปนะ จิตมันยอมรับความจริงว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ความสุขเกิดขึ้นจิตไม่หลงระเริง ความทุกข์เกิดขึ้นจิตไม่กลุ้มใจ จิตมันจะเป็นกลาง ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไปรู้เข้า จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง นี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ นี่เป็นคือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล พอมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่ปรุงแต่งต่อ อย่างถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะปรุงแต่งต่อ เช่น ความโกรธเกิดขึ้น อยากให้หาย ก็ต้องหาทางทำให้หาย เห็นมั้ยปรุงแต่งต่อล่ะ ความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ ต้องหาทางรักษา นี่ปรุงแต่งต่อ มีการทำงาน แต่ถ้ามันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง ตามรู้ตามดูจนมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาแก่รอบ จิตใจยอมรับความจริง ยอมรับไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ถึงจุดนี้เนี่ย มันจะเป็นรอยแยก พวกที่หวังพุทธภูมินะ ก็มีโอกาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พยากรณ์จากหมอดูนะ ต้องพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ได้หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่หวังความพ้นทุกข์นะ จิตมีโอกาสที่จะเกิดมรรคผลได้ เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔ พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะ จิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่ง พวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่ อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลย ขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย กระทั่งสติ พวกนี้หลงไปล่ะ คิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลย นี่พวกอุจเฉททิฐินะ นิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ สภาวะของนิพพานคือสันติ คือความสงบนั่นเอง สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากอะไร สงบจากความปรุงแต่ง สงบจากอะไร สงบจากการแบกหามขันธ์นะ ดังนั้นเราภาวนานะ เนี่ยจาก ฮ นกฮูก ไปหา ก ไก่ จาก ก ไก่ กลับมา ฮ นกฮูกล่ะ เราจะเรียนได้แค่ไหน ป ปลาได้มั้ย หึๆๆ เอ้าชั่วโมงนึงพอดีๆนะ ให้หลวงพ่อเทศน์เรื่องนี้ยาวมากนะ เนื้อหามันยาวมากเลย เทศน์รอบเดียวไม่จบหรอก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LoveandBone.jpg
      LoveandBone.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.9 KB
      เปิดดู:
      412
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค2 วันที่ 27 เม.ย. 2559

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี 3 พ.ค. 2559

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม 13 พ.ค. 2559 ช่วงสาย

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม 14 พ.ค. 2559 ช่วงเช้า

    Dhamma.com
    Published on Jul 18, 2016
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • boneboygirl.jpg
      boneboygirl.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.4 KB
      เปิดดู:
      589
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2018
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    การที่เราแต่ละคนๆนะ จะบรรลุพระโสดาบัน บรรลุพระสกทาคามีอนาคามี บรรลุพระอรหันต์เนี่ย ก็เดินอยู่ในร่องรอยอันเดียวกันทั้งหมดเลย เราต้องมาเห็นความเป็นจริงของรูปของนาม เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ จนจิตมันเป็นกลาง จิตมันเป็นกลางแล้ว ถึงจะมีโอกาสเกิดอริยมรรค ความเป็นกลางต่อสังขารนี่นะ ความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงนี้แหล่ะ คือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล ถ้าเรายังภาวนาไม่สามารถเข้ามาสู่ความเป็นกลาง ต่อรูปนาม ต่อความปรุงแต่ง ได้ด้วยปัญญา ยังไกลกับมรรคผลอยู่ อย่างถ้าเราเป็นกลางด้วยสติ เป็นกลางด้วยสมาธิ ยังไกลต่อมรรคผลอยู่ แต่ถ้าเราอบรมปัญญามากพอนะ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางมากเข้่าๆนะ ตรง(ที่)ตั้งมั่นและเป็นกลางเนี่ย เป็นกลางด้วยสมาธิ (เป็น)กลางด้วยสติด้วยสมาธิ ในที่สุดจิตจะเกิดปัญญา เห็นว่าทุกอย่างเนี่ย เป็นของชั่วคราว เท่าๆกันหมดเลย ตรงนี้จะเป็นกลางด้วยปัญญาเมื่อมันเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่ง หมดการแสวงหา หมดกิริยาอาการทั้งหลาย จิตชนิดนี้แหล่ะพร้อมที่จะสัมผัสกับพระนิพพาน บางคนจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ แล้วผ่านกระบวนการแห่งอริยมรรค แต่บางคนมาถึงสังขารุเปกขา(ญาณ)แล้วนะ จิตถอยออกมาอีก เสื่อมไปเลยก็ได้
    บางคนไปอยู่ตรงนี้นะ แล้วปรารถนาพุทธภูมิก็ได้ เป็นทางแยกไปพุทธภูมิเพราะงั้นจะเป็นพระโพธิสัตว์ หรือจะเป็นพระอริยสงฆ์เป็นสาวกธรรมดา ก็ต้องฝึกจนกระทั่งได้สังขารุเปกขาญาณ ถ้าไม่มีสังขารุเปกขาฯเนี่ย พระโพธิสัตว์ก็อยู่ไม่รอดหรอก เดี๋ยวเจอความทุกข์เข้าก็ถอย ไม่เป็นกลางกับความทุกข์งั้นพวกเราทุกคนนะ รู้เป้าหมายของเรา เราจะต้องพัฒนาจิตใจของตนเอง จนวันหนึ่งมันเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งปวง เช่นเป็นกลางต่อความสุขความทุกข์ เป็นกลางต่อกุศลอกุศล เป็นกลางต่อความยินดียินร้ายทั้งหลาย จะเป็นกลางได้นะ อาศัยมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง เป็นกลางตัวนี้กลางด้วยสติด้วยสมาธิไปก่อน แล้วสุดท้ายมันจะกลางด้วยปัญญา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    อุบายการทำสมาธิอย่างง่าย :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๖ ธ.ค. ๒๕๖๐

    จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๓ ธ.ค. ๒๕๖๐

    Dhamma.com
    เข้าใจหลักของการปฏิบัตินะ ลงมือทำ ยิ่งเราปฎิบัติ แรงของเราก็จะค่อยๆมากขึ้นๆ กำลัง จรวดมันจะออกจากโลกได้มันก็ต้องใช้แรง กำลังมากๆก็หลุดออกไปได้ จิตจะต้องมีพลังมาก ในการที่จะถอนตัวออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ แต่ก่อนเขาไม่ค่อยสอนกันนะ แต่ก่อนเวลาสอนฆราวาส ก็สอนทำทานถือศีล อย่างเก่งก็นั่งสมาธิ ฆราวาสน่ะ ถ้าเห็นทุกข์เห็นโทษของการมีชีวิตอยู่ทุกวันๆ มีแต่ทุกข์อะไรอย่างนี้ (ฆราวาส)ก็อยากพ้นเหมือนกัน เราบอกทางให้ ร้อยคนจะหลุดไปได้สักกึ่งหนึ่ง ไม่บอกเลยก็ไปไม่ได้สักคน หลวงพ่อถึงสอนพวกเราด้วยสิ่งที่ครูบาอาจารย์แต่ก่อนสอนกับพระ แต่ตัวหลวงพ่อ (สมัยฆราวาส)ภาวนาจริงจัง เข้าหาครูบาอาจารย์ ท่านสอนอย่างนี้ ท่านไม่ได้มาสอน ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ท่านสอนเรื่องเจริญปัญญา เรื่องมรรคผลนิพพาน เรื่องอะไรเหล่านี้ ฆราวาสก็ทำได้นะ ฆราวาสสมัยพุทธกาลทำไมเขาก็ทำได้ ฆราวาสยุคนี้มันจะโง่ปานนั้น(จนทำไม่ได้)เชียวรึ ทำไม่ได้เลย ลองคน(ฆราวาส)ได้ฟัง ก็น่าจะได้สักครึ่งกว่าๆ ถ้าได้ฟัง เกินครึ่ง จะทำได้ ถ้าสนใจจะทำนะ แต่ถ้าคนไม่สนใจทำ เราไปเทศน์ร้อยคน มันก็ไม่ฟัง ฟังคนเดียว สองคน แล้วก็ไม่ค่อยทำ นี่ถ้าคนสนใจนะ ตั้งใจฟัง แล้วลงมือทำนะ น่าจะได้เกินครึ่ง หลวงพ่อสอนละเอียดนะ ควรจะทำได้ มันไม่เหลือวิสัยหรอกที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2020
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ บ้านกล้าธรรม ๑ ณ ลำพูน จ.ลำพูน

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ โรงพยาบาลพระรามเก้า 29 ก.ย.2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ จ.สงขลา 6 ธ.ค. 2558


    Dhamma.com


    ทะเลทิฎฐินี้จะข้ามได้ต้องเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ๔ ทะเลนี้ พวกเรายังข้ามไม่ได้สักทะเลหนึ่งเลยนะ ข้ามได้แค่ริมทะเลอะไรอย่างนี้ เที่ยวๆไปอย่างนี้ .ถ้าจิตเราเป็นกลาง เราไม่ได้มุ่งพุทธภูมิ เราไม่ได้ทำกรรมชั่วหยาบมา จิตเราจะก้าวกระโดดเกิดอริยมรรคขึ้นมา ขั้นแรกมันจะรวมลงก่อน รวมเข้า อัปปนาสมาธิ รวมเองโดยที่ไม่ได้เจตนาจะรวม ไม่ได้คิดได้ฝันที่จะรวม รวมโดยอัตโนมัติ เมื่อรวมลงมาแล้วจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับ เกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ถัดจากนั้นจิตจะวางการรับรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ เมื่อทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังจิตอยู่คือ อาสวกิเลส ทั้งหลาย สังโยชน์ทั้งหลายถูกขาดสะบั้นออกไป ด้วยกำลังของอริยมรรค นิพพานก็จะปรากฏเด่นดวงขึ้นมาให้เรารู้สึกได้ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง คนไหนซึ่งอินทรีย์ไม่แก่กล้ามาก ตอนที่จิตรวมไปทีแรก เห็นสภาวธรรมก็จะเห็นสามครั้ง แล้วพอเห็นนิพพานพอได้ผลจะเห็นสองขณะ แต่คนที่อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะทีแรกจะเห็นสองขณะ และจะมาเห็นนิพพานสามขณะ เห็นยาวต่างกัน อินทรีย์ไม่เท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เท่ากัน ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกจาก อัปปนาสมาธิ นะ ถอยเอง ถัดจากนั้นไม่ทรงอยู่แล้วจะถอยออกมา พอถอยออกมาแล้วจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า เมื่อกี้นี้ตัวตนอะไรไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกเลย แต่ว่ากิเลสยังเหลืออยู่อีกเพียบเลย พระโสดาบันกับปุถุชนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันนะ พระโสดาบันละมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น ละความเห็นผิดได้ ส่วนโลภ โกรธ หลงอื่นๆ เหมือนปุถุชนนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2020
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ความสุขเกิดขึ้นจิตไม่หลงระเริง ความทุกข์เกิดขึ้นจิตไม่กลุ้มใจ จิตมันจะเป็นกลาง ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไปรู้เข้า จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง นี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ นี่เป็นคือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล พอมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่ปรุงแต่งต่อ อย่างถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะปรุงแต่งต่อ เช่น ความโกรธเกิดขึ้น อยากให้หาย ก็ต้องหาทางทำให้หาย เห็นมั้ยปรุงแต่งต่อล่ะ ความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ ต้องหาทางรักษา นี่ปรุงแต่งต่อ มีการทำงาน แต่ถ้ามันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง ตามรู้ตามดูจนมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาแก่รอบ จิตใจยอมรับความจริง ยอมรับไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ถึงจุดนี้เนี่ย มันจะเป็นรอยแยก พวกที่หวังพุทธภูมินะ ก็มีโอกาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พยากรณ์จากหมอดูนะ ต้องพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ได้หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่หวังความพ้นทุกข์นะ จิตมีโอกาสที่จะเกิดมรรคผลได้ เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔ พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะ จิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่ง พวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่ อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลย ขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย กระทั่งสติ พวกนี้หลงไปล่ะ คิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลย นี่พวกอุจเฉททิฐินะ นิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ สภาวะของนิพพานคือสันติ คือความสงบนั่นเอง สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากอะไร สงบจากความปรุงแต่ง สงบจากอะไร สงบจากการแบกหามขันธ์นะ ดังนั้นเราภาวนานะ
    ลพ ปราโมช ปราโมชโช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2017
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 17 ก.พ. 2559

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 16 มี.ค. 2559


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ โรงพยาบาลสมุทรปราการ 30 ส.ค. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 20 ก.ย. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ บริษัท เตียวฮงสีลม จำกัด 17 มิ.ย. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่ วันที่ 22 มี.ค. 2558

    Dhamma.com
    Published on Apr 4, 2015
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpPramoshP.jpg
      LpPramoshP.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60 KB
      เปิดดู:
      533
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2018
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

    นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง

    เรามีศีลแล้วนะใจเราจะอยู่กับเนื้อกับตัวง่าย ใจตั้งมั่นง่าย ถ้าเราไม่มีศีลนะ วอกแวกๆ คิดกลุ้มใจไปโน่นไปนี่เรื่อยๆ ถ้ามีศีลอยู่ ใจก็อยู่กับเนื้อกับตัวไปนะ พอใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เราก็คอยตามรู้กายรู้ใจไป บางคนก็ดูกาย เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู บางคนก็ดูจิตดูใจไป วิธีดูจิตก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ ความรู้สึกใดแปลกปลอมขึ้นมารู้มัน แต่รู้ด้วยความเป็นกลางนะ มีเงื่อนไขสำคัญมาก รู้ด้วยความเป็นกลาง เช่นกิเลสเกิดขึ้นมา รู้ว่ามีกิเลส เช่น ความโกรธเกิดขึ้นรู้ว่าโกรธ พอความโกรธเกิดขึ้น ใจเราไม่ชอบ ให้รู้ทันใจที่ไม่ชอบนี่นะ ความไม่ชอบนี่คือความไม่เป็นกลาง ถ้าเมื่อไหร่ เราสามารถ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น ด้วยจิตใจที่เป็นกลางได้นะ ปัญญาแท้ๆมันจะเกิด เห็นกายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา มันจะเห็นว่า ทุกสิ่งนี้เป็นของชั่วคราว ความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศล ทั้งหลายนี้เป็นของชั่วคราวทั้งหมด เราภาวนาจนเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราว สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลาย ชั่วคราวทั้งหมด ตรงนี้แหละ ใจจะเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวนี้แหละคือสิ่งเรียกว่า สังขารุเบกขาญาน จิตมีปัญญานะ เป็นกลางกับความปรุงแต่งทั้งหลาย สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลายนี่ จิตเป็นกลางหมดเลย เพราะอะไร เพราะปัญญา ไม่ใช่กลางเพราะการเพ่ง ไม่ใช่เป็นกลางเพราะกำหนดนะ กำหนดแล้วเป็นกลางนี่ยังไม่ใช่ ตัวนี้ต้องเป็นกลางเพราะปัญญา ถ้าเราตามรู้จิตใจของเราทุกวันๆ เราจะเห็นเลย ความสุขอยู่ชั่วคราว แล้วก็หาย ความทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย โลภ โกรธ หลง อยู่ชั่วคราว แล้วก็หาย กุศลอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป ถ้าตามดูอย่างนี้นานๆไปนะ จิตมันยอมรับความจริงว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ความสุขเกิดขึ้นจิตไม่หลงระเริง ความทุกข์เกิดขึ้นจิตไม่กลุ้มใจ จิตมันจะเป็นกลาง ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไปรู้เข้า จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง นี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ นี่เป็นคือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล พอมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่ปรุงแต่งต่อ อย่างถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะปรุงแต่งต่อ เช่น ความโกรธเกิดขึ้น อยากให้หาย ก็ต้องหาทางทำให้หาย เห็นมั้ยปรุงแต่งต่อล่ะ ความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ ต้องหาทางรักษา นี่ปรุงแต่งต่อ มีการทำงาน แต่ถ้ามันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง ตามรู้ตามดูจนมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาแก่รอบ จิตใจยอมรับความจริง ยอมรับไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ถึงจุดนี้เนี่ย มันจะเป็นรอยแยก พวกที่หวังพุทธภูมินะ ก็มีโอกาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พยากรณ์จากหมอดูนะ ต้องพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ได้หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่หวังความพ้นทุกข์นะ จิตมีโอกาสที่จะเกิดมรรคผลได้ เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔
    พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะ จิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ
    นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่ง พวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่ อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลย ขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย กระทั่งสติ พวกนี้หลงไปล่ะ คิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลย นี่พวกอุจเฉททิฐินะ นิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ สภาวะของนิพพานคือสันติ คือความสงบนั่นเอง สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากอะไร สงบจากความปรุงแต่ง สงบจากอะไร สงบจากการแบกหามขันธ์นะ ดังนั้นเราภาวนานะ เนี่ยจาก ฮ นกฮูก ไปหา ก ไก่ จาก ก ไก่ กลับมา ฮ นกฮูกล่ะ เราจะเรียนได้แค่ไหน ป ปลาได้มั้ย หึๆๆ
    เอ้าชั่วโมงนึงพอดีๆนะ ให้หลวงพ่อเทศน์เรื่องนี้ยาวมากนะ เนื้อหามันยาวมากเลย เทศน์รอบเดียวไม่จบหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ วัดพระธาตุโกฏิแก้ว 30 ม.ค. 2559

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ วิทยาลัยเทคนิคพังงา จ.พังงา 24 พ.ค. 2558

    ไม่เรียนเรื่องจิต ไม่ได้สมาธิที่ถูกต้อง :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๔ มี.ค. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Apr 18, 2018

    ณ บ้านจิตสบาย 7 กพ. 59
    พระธรรมเทศนาโดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    นาทีทองในสังสารวัฏ - ตอนที่ ๑

    นาทีทองในสังสารวัฏ - ตอนที ๒

    นาทีทองในสังสารวัฏ - ตอนที ๓

    นาทีทองในสังสารวัฏ - ตอนที ๔

    KlomKlomFB
    Published on Dec 8, 2013
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2018
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ โรงเรียนสตรีภูเก็ต จ.ภูเก็ต 22 ก.พ. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ ศูนย์ปฏิบัติการบริษัทการบินไทย สนามบินสุวรรณภูมิ 8 ก.ค. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ ธนาคารกรุงเทพ สนง.ใหญ่ 16 ธ.ค. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา 17 ก.ค. 2558

    ธรรมะ ชิวชิว
    Published on Nov 12, 2017
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • photo.jpg
      photo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.6 KB
      เปิดดู:
      387
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2022
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ 9 ม.ค. 2558

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ โรงแรมโนโวเทล สนามบินสุวรรณภูมิ

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร

    Dhamma.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ หมู่บ้านสัจธรรม จ.เชียงใหม่

    มายาแห่งวัฏฏะ หลวงพ่อปราโมทย์ ๓ ธ.ค. ๒๕๖๐

    Dhamma.com
    Published on Dec 22, 2017
    "ถ้าเราไม่รู้ทุกข์ เราก็ยังเวียนว่ายตายเกิดไม่เลิกหรอก ใจมันยังเพลิดเพลินพอใจ ฉะนั้นต้องพยายามนะ พยายามช่วยตัวเอง เราแต่ละคนกว่าจะมาถึงวันนี้ กว่าจะมาถึงจุดนี้ที่สนใจธรรมะ เราเวียนว่ายตายเกิดมานานนักหนาแล้ว เราผ่านความทุกข์ยากมามากมายแล้ว อย่างทุกข์จนตาย นับไม่ถ้วนว่ากี่ครั้ง แต่เราลืม อาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสังเกตตัวเองไปเรื่อย ถึงวันหนึ่งปัญญามันแทงตลอด กายนี้ทุกข์ล้วนๆ จิตนี้ทุกข์ล้วนๆ อาศัยวิปัสสนากรรมฐานนี้แหวกมายาของวัฏฏะ ที่มันปิดบังความจริงเอาไว้ เวลาตายแล้วเราลืม เพราะเราไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ" --
    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๐ แผ่นที่ ๗๓ ไฟล์ 601203
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • photo.jpg
      photo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3 KB
      เปิดดู:
      445
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2018
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ การไฟฟ้าภูมิภาคเขต 3 (ภาคเหนือ) จ.ลพบุรี

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ณ สถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ 2557

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา

    ธรรมะ ชิวชิว
    Published on Dec 25, 2017
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2022
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ บริษัทดอกบัวคู่ จำกัด 2557

    ธรรมะ ชิวชิว
    Published on Dec 25, 2017
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2022
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ลมหายใจคือวัตถุมงคล :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๘ ต.ค. ๒๕๖๐

    หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรม ณ หมู่บ้านสัจธรรม จ.เชียงใหม่ 22 ส.ค. 2558

    Dhamma.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    สมาธิชั้นเลิศ หลวงพ่อปราโมทย์ ๓๑ ธ.ค. ๒๕๖๐

    กฎแห่งกรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ๑ ม.ค. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Jan 19, 2018
    เรามาภาวนาให้เห็นความจริงของชีวิต ความจริงก็คือ สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุผล เหตุผล มันก็คือคำว่า กฎแห่งกรรม นั่นเอง เราทำกรรมอย่างนี้ เราก็ได้รับผลอย่างนี้ ทั้งดีและชั่ว ทำกรรมชั่ว เพราะตามใจกิเลส ผลก็เป็นความทุกข์ ทำกรรมดี ไม่ตามใจกิเลส ผลก็เป็นความพ้นทุกข์ เราจะได้รับความทุกข์ หรือเราจะพ้นทุกข์ อยู่ที่การกระทำของเราเอง ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาลิขิตให้เรา มาเขียนให้เราว่า ชีวิตเราต้องอย่างนี้ๆ เราเขียนชีวิตของตัวเราเอง
    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023

แชร์หน้านี้

Loading...