มหาปิติที่แท้จริง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย prawit keawim, 27 พฤศจิกายน 2009.

  1. prawit keawim

    prawit keawim สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    ข้าพเจ้า (เทพบัวหลูเซินเยี่ยน) ศึกษาธรรมะอยู่หลายปี จากที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสมา คือ ศีล ๕ ข้อห้ามของพุทธศาสนา มีเพียงเรื่อง “กาม” ละเมิดง่ายที่สุด เหตุเพราะเชื้อทางเพศมันมีมาตั้งแต่สวรรค์กำเนิด อยู่คู่กับมนุษย์ยากจะละทิ้ง จิตใจต้องสงบและสามารถควบคุมให้แน่นิ่ง มันทำไม่ได้ง่ายอย่างปากพูด
    เราทราบดีว่า มนุษย์มักมีความรัก และตามด้วยเรื่องใคร่ สำคัญอยู่ที่ความรู้สึก หากไตร่ตรองให้ละเอียดถึงความสุขอันเกิดจากความใคร่คือสัมผัสได้ด้วยตา สัมผัสได้ด้วยเสียง สัมผัสได้ด้วยลิ้นและจมูก การสัมผัสได้ด้วยร่างกาย สัมผัสได้ด้วยความนึกคิด เหล่านี้ เมื่อถึงคราวเกิดอาการสุดยอดจากความใคร่นั้น ก็พิจารณาการแสดงออกของอาการเช่นนั้น เช่น การเสียดสีที่เกิดความสุข ความพอใจในเรื่องเพศก็เพียงเท่านั้นแหละ
    การใฝ่แสวงหาในเรื่องเพศ ไม่เฉพาะหนุ่มสาว ถึงจะเป็นวัยกลางคน และคนแก่ก็ไม่เว้น เหตุใดเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า กามารมณ์เป็นความสุขของมนุษย์ที่พึงปรารถนา ความสุขของเพศประกอบด้วยสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ประการ ชาวโลกเข้าใจว่า การแสวงหาความสุขนี้ไม่มีอื่นใด นอกจากเรื่องระหว่างชายหญิง ซึ้งเป็นเรื่องสุดปรารถนาของมนุษย์
    แต่ทว่า เราทราบดีการละโมบทางเพศ จะนำพาสิ่งเหล่านี้
    ๑ ความรักไม่สมความปรารถนา มักเกิดการเพ้อฝัน
    ๒ การแสวงหาความรัก มักเกิดเล่ห์กล
    ๓ การแสวงหาไม่สมปรารถนา มักเกิดอาฆาตในใจ
    ๔ เพียงคิดจะรัก มักเกิดอาการครอบครอง
    ๕ ชื่นชมความรักผู้อื่น มักเกิดอิจฉาริษยา
    ๖ แย่งรักผู้อื่น มักเกิดคิดฆ่าผู้อื่น
    ความคิดในเรื่องเซ็กซ์เป็นสิ่งที่เลวร้ายมหันต์ เป็นการแสวงหาความเลวที่ทันใจที่สุด และกล่าวได้ว่า หากหลงผิดในเรื่องเพศ ความละอายสูญสิ้นจิตสำนึกก็สูญสิ้นเช่นกัน สารพัดความเลวบังเกิดจากสาเหตุนี้ บุญกุศลสูญสิ้น ทุกอย่างราบพณาสูร สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “ตัณหาคือ บ่อเกิดของความเลวทั้งหลาย”
    ข้าพเจ้าสังเกตจากกิเลสของมนุษย์ ไม่แคล้วเรื่อง “ลาภ กาม เกียรติ กิน นอน” ซึ่งกามง่ายต่อการปะทุ ไม่ว่าชายหรือหญิง โดยธรรมชาติอารมณ์มักหักห้ามไม่อยู่ เพียงแค่ยักคิ้วหลิ่วตาก็เกิดอาการหวั่นไหว ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มียับยั้งชั่งใจ ศักดิ์ศรีและคุณธรรมสูญสิ้นหมด หากต้องการทำลายเชื้อร้ายนี้ยากแสนยาก
    ข้าพเจ้าได้ฝึกฝนปฏิบัติทางธรรมแล้วสำนึกได้ กิเลสของมนุษย์เสมือนได้ลิ้มรสสมอารมณ์ ยิ่งลิ้มรสยิ่งกระหาย
    ข้าพเจ้าทราบดีหากตัณหาบังเกิด ความคิดอันเลวร้ายต่างๆ มักเกิดตาม การแสวงหาธรรมก็แปรเปลี่ยนเป็นแสวงตัณหา ฝึกฝนธรรมะกลายเป็นฝึกฝนตัณหา ทำลายวัฒนธรรม สุดจะบรรยาย และแล้วช่องว่างระหว่าง “เทพกับมนุษย์” เกิดการปะทะกัน
    และแล้วข้าพเจ้าศึกษาเกี่ยวกับนิกายลับ ได้ค้นพบมีการฝึกฝนวิชาที่จะกำจัดเรื่อง “ตัณหา” โดยทั่วไปธรรมะที่จะทำให้ละเว้นในเรื่องตัณหา คือ
    ๑ ละเว้นการดูสิ่งยั่วยุ ๒ พิจารณากระดูกคนตาย ๓ มีปัญญาชาญฉลาด
    แต่นิกายลับฝึกฝนลมปราณ ช่องชีพจรและจุดแสงในกาย รู้จักธรรมะ “ลมปราณผลักดันช่องชีพจร ชีพจรเกิดประกาย จุดแสงเกิด อาวักขยญาณ” ระหว่างการฝึกฝนเริ่มจากลมปราณผลักดันช่องชีพจร มักเกิดความสุขและจุดแสงผลักดันผ่านช่องชีพจรเกิดอาการ “มหาปิติ” ความสุขนี้ยิ่งกว่าความสุขที่เกิดจากชายหญิงร่วมรักกัน
    หลังจากได้รับมหาปิติแล้ว ความสุขน้อยนิดที่เกิดจากความสัมผัสของชายหญิงเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะเหตุนี้จึงกำราบกามารมณ์ได้
    ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งว่า
    “ลมปราณ มหาปิติหมุนเวียนทั่วร่ายกาย ช่องชีพจร ความสว่างไสว (บริสุทธิ์ผุดผ่อง) จุดแสง ธาตุแท้ของพุทธะ (มั่นคงไม่หวั่นไหว)
    ข้าพเจ้า จึงอาศัย “ธาตุมนุษย์” ฝึกฝนจนเป็น “ธาตุพุทธะ” จึงได้มาซึ่ง “มหาปิติ”“แสงสว่าง” และ “สุญญตา”
    ข้าพเจ้ารู้สึกมนุษย์น่าสมเพชและโง่เขลา
    มนุษย์เกิดมาจากกามารมณ์ และตายจากการเกิดกามารมณ์ ใฝ่หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงเวลาอันแสนจะน้อยนิด เพียงชั่วครูก็ผ่านพ้นไป แต่สร้างเอาบาปและความเลวสารพัด ช่างไม่คุ้มค่าเลย
    ข้าพเจ้าขอบอกกล่าวด้วยความจริงใจต่อทุกท่าน ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งสัจธรรมและได้รับมหาปิติที่แท้จริงแล้ว

    (จากหนังสือ เย็นจิตสดใสในฉับพลัน ของพระพุทธาจารย์เหลียนเซิน-หลูเซิ่นเยี่ยน)ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  2. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ประทีปสว่างในฉับพลัน
    ต่อจากหนังสือ เย็นจิตสดใสในฉับพลัน อาตมาก็ยังคงเขียนบทความอยู่ทุกวันไม่มากก็น้อย ๆไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว
    หลังจากเขียนหนังสือชุดที่ 151 ไปจนใกล้จะจบแล้ว อยู่มาวันหนึ่งอาตมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆ ภายใต้แสงไฟ ขณะครุ่นคิดและจรดปากกาอยู่นั้น พลันปากกาในมืออาตมาก็ขยับไปมาเองได้ ปากกาขยับเขียนตัวอักษรทีละตัว ทีละตัว โดยอาตมาไม่ได้กระทำเอง
    เมื่ออาตมาตระว่าคงมีเทพเจ้า ลงมาสถิต จึงรีบหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง และเทพเจ้า ก็เขียนอักษรลงบนกระดาษอย่างรวดเร็วว่า หนังสือชุดที่ 152 ประทีปสว่างในฉับพลัน
    อาตมาถามว่า เนื้อหาเป็นอย่างไรหรือ
    เทพเจ้าบอกว่า ต่อจากเย็นจิตสดใสในฉับพลันเป็นเรื่องการละเว้นกามตัณหาที่ไม่ถูกต้อง ตามทำนองครองธรรมเช่นเดียวกัน
    อาตมาตอบไปว่า เล่มเดียวก็พอแล้ว
    เทพเจ้ากล่าว่า ไม่พอ
    อาตมาจึงถามว่า เหตุใดจึงไม่พอ
    เทพเจ้าตอบว่า จิตใจมนุษย์มีกิเลสหนามากเกินไป
    อาตมาถามว่า จำเป็นต้องเขียนหรือ
    เทพเจ้าตอบว่า แน่นอน
    อาตมาถามว่า เหตุใดจึงต้องเขียนมากมายเช่นนี้
    เทพเจ้าตอบว่า ชาวโลกมักหลงลืม
    อาตมาถามว่า เทพเจ้าคือผู้ใดกัน
    เทพเจ้าตอบว่า เราคือพระพุทธเจ้าส้างกวง
    อาตมาถามว่า เป็นองค์เดียวกัน
    พระพุทธเจ้าส้างกวงตอบว่า ... เราจักพร่ำสอนชี้แนะ ท่านก็พร่ำเขียนนี่คือความปรารถนาของเราทั้งสอง
    อาตมากล่าวว่า พระพุทธเจ้าส้างกวงช่างมีเมตตากรุณาจริงๆ
    พระพุทธเจ้าส้างกวงตรัสว่า สาธุๆ
    นี่คือเหตุผลของการประพันธ์หนังสือเล่มนี้ จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวก็คือ ต้องการให้ชาวโลกจดจำไว้ว่า
    เมื่อใดไม่ก่อกรรมทำชั่ว
    เมื่อใดพึ่งระวังกฎแห่งกรรม
    เมื่อนั้นย่อมเข้าสู่วิถีแห่งความหลุดพ้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2017
  3. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ประทีปสว่างในฉับพลัน

    ต่อจากหนังสือ เย็นจิตสดใสในฉับพลัน อาตมาก็ยังคงเขียนบทความอยู่ทุกวันไม่มากก็น้อย ๆไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว
    หลังจากเขียนหนังสือชุดที่ 151 ไปจนใกล้จะจบแล้ว อยู่มาวันหนึ่งอาตมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆ ภายใต้แสงไฟ ขณะครุ่นคิดและจรดปากกาอยู่นั้น พลันปากกาในมืออาตมาก็ขยับไปมาเองได้ ปากกาขยับเขียนตัวอักษรทีละตัว ทีละตัว โดยอาตมาไม่ได้กระทำเอง
    เมื่ออาตมาตระว่าคงมีเทพเจ้า ลงมาสถิต จึงรีบหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง และเทพเจ้า ก็เขียนอักษรลงบนกระดาษอย่างรวดเร็วว่า หนังสือชุดที่ 152 ประทีปสว่างในฉับพลัน
    อาตมาถามว่า เนื้อหาเป็นอย่างไรหรือ
    เทพเจ้าบอกว่า ต่อจากเย็นจิตสดใสในฉับพลันเป็นเรื่องการละเว้นกามตัณหาที่ไม่ถูกต้อง ตามทำนองครองธรรมเช่นเดียวกัน
    อาตมาตอบไปว่า เล่มเดียวก็พอแล้ว
    เทพเจ้ากล่าว่า ไม่พอ
    อาตมาจึงถามว่า เหตุใดจึงไม่พอ
    เทพเจ้าตอบว่า จิตใจมนุษย์มีกิเลสหนามากเกินไป
    อาตมาถามว่า จำเป็นต้องเขียนหรือ
    เทพเจ้าตอบว่า แน่นอน
    อาตมาถามว่า เหตุใดจึงต้องเขียนมากมายเช่นนี้
    เทพเจ้าตอบว่า ชาวโลกมักหลงลืม
    อาตมาถามว่า เทพเจ้าคือผู้ใดกัน
    เทพเจ้าตอบว่า เราคือพระพุทธเจ้าส้างกวง
    อาตมาถามว่า เป็นองค์เดียวกัน
    พระพุทธเจ้าส้างกวงตอบว่า ... เราจักพร่ำสอนชี้แนะ ท่านก็พร่ำเขียนนี่คือความปรารถนาของเราทั้งสอง
    อาตมากล่าวว่า พระพุทธเจ้าส้างกวงช่างมีเมตตากรุณาจริงๆ
    พระพุทธเจ้าส้างกวงตรัสว่า สาธุๆ
    นี่คือเหตุผลของการประพันธ์หนังสือเล่มนี้ จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวก็คือ ต้องการให้ชาวโลกจดจำไว้ว่า
    เมื่อใดไม่ก่อกรรมทำชั่ว
    เมื่อใดพึ่งระวังกฎแห่งกรรม
    เมื่อนั้นย่อมเข้าสู่วิถีแห่งความหลุดพ้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...