มหามุทราอุปเทศ ของ เชอเกียม ตรุงปะ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 18 มีนาคม 2005.

  1. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-TOP: 5px">
    [​IMG] [size=+3]มหามุทราอุปเทศ[/size]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอคารวะต่อสหัชปัญญา

    มหามุทรานั้นไม่อาจไขแสดงได้
    ทว่าสำหรับเจ้าผู้อุทิศตนแล้วต่อคุรุ เจ้าผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งพรตจรรยา
    และได้แบกรับซึ่งทุกข์ทรมาน นาโรปะผู้ทรงปัญญา
    จงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ ศิษย์ผู้มีชะตากรรมอันเป็นกุศล​

    ขอจงสดับ

    มองดูที่สภาวธรรมของโลก
    ความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝัน
    แม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง
    ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละ
    และปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลก​

    จงปล่อยวางบริวารและญาติมิตร
    อันเป็นเหตุแห่งความปรารถนา และความขุ่นข้อง
    บำเพ็ญสมาธิเพียงลำพังในราวป่า ในวิเวกสถาน ในที่อันสงัด
    ดำรงตนอยู่ในอสมาธิภาวะ
    หากเจ้าเข้าถึงการไม่บรรลุถึง เจ้าจะได้ประสบพบมหามุทรา
    สภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสาร
    ก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้อง
    สรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรัง
    ด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่า
    สภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของอจิตได้
    สภาวธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ในอกรรมได้​

    หากเจ้าต้องการจะบรรลุถึงอจิตและอกรรม
    เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิต
    และปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือย
    จะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่าง
    ไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิด
    แต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาล
    หากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักไส
    เจ้าจะหลุดพ้นในมหามุทรา​

    เมื่อพฤกษาผลิใบและกิ่งก้าน
    หากเจ้าบั่นรากมันเสีย ใบและกิ่งก้านย่อมร่วงโรยลง
    เช่นเดียวกัน หากเจ้าตัดรากถอนโคนของจิต
    ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายย่อมเสื่อมทรามลง​

    ความมืดมนที่ถูกสั่งสมมานานนับกัปกัลป์
    จะถูกขับไล่ไปด้วยดวงประทีปเพียงหนึ่ง
    เช่นเดียวกัน การได้ประจักษ์ถึงจิตอันสว่างไสวในพริบตา
    จะละลายม่านหมอกมลทินแห่งกรรม
    มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาซึ่งอาจเข้าถึงสิ่งนี้
    จงเพ่งการกำหนดรู้ จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจของเจ้า
    โดยอาศัยการเพ่งกสิณ และฝึกฝนฌานวิถี
    จงขัดเกลาจิตใจของเจ้าจนมันสงบ ผ่อนพักตามธรรมชาติ​

    หากเจ้าได้รับรู้ที่ว่างอันเวิ้งว้างและความว่าง
    ความคิดอันยึดติดอยู่กับศูนย์กลางและขอบเขตจักมลายไป
    เช่นเดียวกัน หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้
    ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง
    เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง
    และจะรับรู้ได้ถึง "โพธิจิต"​

    หมอกไอที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นเมฆ
    และหายลับไปในผืนฟ้า
    ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพยับเมฆนั้นหายไปแห่งใดเมื่อมันสลายตัวลง
    เช่นเดียวกัน คลื่นแห่งความคิดคำนึงที่อุบัติขึ้นจากจิต
    ย่อมสูญมลายไปเมื่อจิตรับรู้ได้ถึงจิต​

    ที่ว่างนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง
    ไม่อาจเปลี่ยนแปร ไม่อาจแต่งแต้มด้วยสีดำหรือสีขาว
    เช่นเดียวกัน จิตอันสว่างไสวนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง
    ไม่อาจแปดเปื้อนด้วยขาวหรือดำ กุศลหรืออกุศล​

    แก่นแท้อันบริสุทธิ์และสว่างไสวของดวงอาทิตย์
    ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยความมืดมิด
    ที่ถูกสั่งสมมานานนับพันกัลป์
    เช่นเดียวกัน ความสว่างไสวอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิต
    ย่อมไม่สามารถทำให้มัวหมองได้ด้วยวัฏสงสารอันยาวนานไม่สิ้นสุด
    แม้เราจะกล่าวว่าอากาศธาตุนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า
    และไม่อาจให้คำจำกัดความได้
    เช่นเดียวกัน แม้เราจะกล่าว่าจิตนั้นสว่างไสว
    แต่การให้นิยามนั้นหาได้พิสูจน์ไม่ว่ามันมีอยู่จริง
    ที่ว่างนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยปราศจากตำแหน่งแห่งหน
    เช่นเดียวกันที่จิตแห่งมหามุทรานั้นหาได้ดำรงอยู่แห่งหนใดไม่​

    โดยปราศจากการแปรเปลี่ยน ดำรงตนอยู่ในภาวะแรกเริ่ม
    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บ่วงร้อยรัดของเจ้าจะคลายลง
    แก่นของจิตนั้นคล้ายดังความว่าง
    ด้วยเหตุนี้ จึงหามีสิ่งใดอยู่นอกปริมณฑลของมันไม่
    ปล่อยให้การเคลื่อนไหวของกายเป็นไปอย่างแท้จริงฅ
    ยุติความช่างจำนรรจา
    ปล่อยให้ถ้อยวาจาของเจ้าเป็นดุจดังเสียงอุโฆษ
    ไร้จิต ทว่าประจักษ์เห็นในศาสนธรรมอันสูงส่ง​

    กายนั้นเปรียบดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่
    จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่าง
    ไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัย
    จงผ่อนคลายจิตของเจ้า ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่
    เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย นี่เองคือมหามุทรา
    การบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุด​

    ธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์
    เจ้าจะพบมรรคาของพระพุทธองค์
    เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนา
    โดยการภาวนาในอภาวนา เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธิ
    นี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ​
     

แชร์หน้านี้

Loading...