มองปัญหาด้วยปัญญา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 19 มีนาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">10 มิถุนายน 2551 18:18 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ถ้าจะปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ถึงผลแห่งธรรม
    ก็ควรให้ความสำคัญต่อสภาวะอารมณ์ธรรมที่กำลังเจริญ
    แต่ถ้าจักปฏิบัติขันติบารมี อธิษฐานบารมี สัจบารมี
    ก็ควรกำหนดเวลา แล้วทำให้ได้ตามเวลาที่กำหนด


    ปุจฉา
    วาสนา

    คำว่า วาสนา มีความหมาย ที่แท้จริง ชัดเจน ครอบคลุมถึงเรื่องอะไรบ้าง และมีจุดเริ่มต้นมาจากที่ไหน
    วิสัชนา

    คำว่า วาสนา หมายถึง เรื่องที่ทำ คำที่พูด และสูตรที่คิด เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานานหลายภพหลายชาติอย่างซ้ำซากจำเจ จนเป็นเหตุให้บางทีบางครั้งผู้เป็นเจ้าของวาสนานั้นๆ ก็ควบคุมมันไม่ได้ ซึ่งก็มักจะทำพูดคิดตามความเคยชิน โดยไม่รู้ตัวบ้างหรือรู้ตัวบ้าง แต่ติดเป็นนิสัย เลยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอะไรต้องแก้ไขปรับปรุง

    ปุจฉา
    เกิดทุกขเวทนา


    กราบนมัสการหลวงปู่พุทธะอิสระที่เคารพเป็นอย่างสูงค่ะลูกมีคำถามจะถามหลวง ปู่ดังนี้ เวลาที่ลูกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในท่านั่งจะเกิดทุกขเวทนามาก แต่ลูกก็อดทนไม่ลุกขึ้น จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้ (มีการเอนซ้ายขวาบ้าง แต่ก็กำหนดค่ะ) แต่เพื่อนของลูกบอกว่าจะมานั่งทรมานอยู่ทำไม การจะปฏิบัติธรรม จะอยู่ท่าไหนก็ได้ ถ้าเมื่อยก็เปลี่ยนท่าได้ สำหรับลูกแล้วคิดว่าเราต้องรักษาสัจจะ ถ้าตั้งใจว่าจะทำแล้วต้องทำให้ครบเวลา ถ้าอยาก จะชนะกิเลสก็ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ก่อน ขอถามหลวงปู่ว่า

    1. การปฏิบัติที่ถูกต้อง จะต้องทำอย่างไรคะ

    2. ถ้าปวดเมื่อยก็เปลี่ยนท่าได้จริงหรือคะ

    3. การที่อดทนกับทุกข์เวทนา ไม่ตรงกับคำสอนให้เดินสายกลางหรือเปล่าคะ

    หากได้คำตอบจากหลวงปู่แล้วลูกจะได้ไปบอกเพื่อนด้วยค่ะ เพื่อนของลูกเขาก็นับถือหลวงปู่มาก เขาบอกว่าหลวงปู่สอนว่าการปฏิบัติธรรมอยู่ท่าไหน ก็ทำได้ สุดท้ายลูกกราบขอให้หลวงปู่อโหสิกรรมให้ลูก หากลูก ใช้คำพูดไม่เหมาะสมด้วยค่ะ

    ขออำนาจคุณพระศรี-รัตนตรัยจงดลบันดาลให้หลวงปู่พุทธะอิสระมีสุขภาพแข็งแรง ตลอดไปด้วยเทอญ

    วิสัชนา

    ถูกทั้ง 2 วิธี ต้องดูที่เจตนา เพราะถ้าคุณปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ถึงผลแห่งธรรมนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเกาะเกี่ยวกับวิธีการ กระบวนการหรือหลักการ ให้ความสำคัญแต่เฉพาะสภาวะอารมณ์ธรรม กรรมฐานที่กำลังเจริญ หรืออีกวิธี ถ้าผู้ปฏิบัติธรรม ปรารถนาจักปฏิบัติขันติบารมี อธิษฐานบารมี สัจบารมีก็ ควรจะกำหนดเวลา แล้วทำให้ได้ ตามเวลาที่กำหนดก็ถือได้ว่าคุณ กำลังบำเพ็ญบารมีธรรมดังกล่าว มา แต่ถ้าถามฉัน ฉันก็แนะว่าแล้ว แต่อารมณ์ของคุณว่า จะชอบ แบบไหน ทำแล้วสบายใจก็ทำ

    ปุจฉา
    เณรปาราชิก?


    ศีล 10 ของสามเณร เณรผิดศีลข้อไหนบ้างจึงถึงขั้นหมดความเป็นสามเณรผิดข้อใดข้อหนึ่งหรือผิด ทั้งหมดจึงจะเป็นปาราชิกของเณร ขอเมตตากระผมช่วยไขข้อข้องใจด้วยครับ

    วิสัชนา

    เณรไม่มีคำว่า ปาราชิก แต่ถ้าทำผิดร้ายแรง เช่น ลักของ เสพเมถุน ฆ่าสัตว์ ดังนี้ ท่านให้นาสนะ แปลว่า ขับออกจากหมู่ หรือไล่สึกนั่นเอง
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา:วิธีเจริญสติเมื่อเกิดนิมิต <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">16 มิถุนายน 2551 18:48 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปจุฉา
    การเจริญสติเมื่อเกิดนิมิต


    ดิฉันได้ฝึกหัดการเจริญสติให้เป็นสมาธิ โดยใช้เทคนิคการหายใจ แบบที่องค์หลวงปู่ฯ ท่านทรงแนะนำลูกหลานอยู่เป็นประจำ

    ขณะที่ จิตกำลังสงบ โดยได้ติดตามรับรู้กองลมที่เข้าและออก จู่ๆ ก็สังเกตเห็นลมหายใจ เข้ามาในตัวเอง ซึ่งปกติจะแค่รับรู้เฉยๆ แต่นี่เหมือนเห็น ลมวิ่งเข้ามาในตัว

    และขณะที่เห็นลมหายใจออก ก็ปรากฏหัวของตัวเองตาม ออกมาด้วย และหันมาประจันหน้ากันชัดเจนมาก (เหมือนเห็นคนมานั่งอยู่หน้าเราทั้งๆ ที่กำลังหลับตาอยู่)

    ดิฉันก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ว่า ถ้าเราไม่หายใจเข้า หรือออกจะเป็นอย่างไร รูปหน้าของดิฉันก็เริ่มอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ในใจก็นึกว่า ถ้าไม่หายใจก็คง จะตาย ทันใดนั้น ใบหน้านั้นก็เริ่มซีด ขาว และเหมือนกับว่าตาย แล้ว ใจก็คิดว่าคนตายเป็นอย่าง นี้เอง ก็คิดต่อไปอีกว่า แล้วที่ตาย หลายวัน ศพจะขึ้นอืดอย่างไร ก็ ปรากฏให้เห็น ดิฉันนั่งดู นั่งพิจารณา พอรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ภาพต่างๆ ก็ปรากฏให้เป็นสภาพของสังขารที่เน่าเปื่อย ผุพัง ไปเรื่อยๆ จนถึงกะโหลก และค่อยๆ ยุ่ยสลายเป็นผง ลมพัดมาหายไปจนสิ้น ไม่ปรากฏชิ้นส่วนใดๆ เหลืออยู่เลย (นี่คงจะเรียกว่า อนัตตา มั้งคะ)

    หลายครั้งต่อมาในขณะที่จะเข้านอนก็พยายามกำหนดลมหายใจ ก็ปรากฏ อาการขนลุก ขนพอง น้ำตาไหล หรืออาการตัวพองโตเหมือนระเบิด และรู้สึกว่าผิวหนังหายใจได้ เพราะลมออกทุกรูขุมขนเลย

    ต่อมาดิฉันก็พยายามฝึกเจริญสติอยู่เนื่องๆ เท่าที่เวลาและโอกาสจะอำนวย แต่ก็มีแต่อารมณ์ฟุ้งตลอดเวลา จิตไม่ค่อยรวมเป็นสมาธิเหมือนเดิมเลย จนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ

    ดิฉันขอกราบเรียนปุจฉาหลวงปู่ฯ ว่า ทำไมถึงมีนิมิตแบบนั้นมา ปรากฏให้เห็น ทำอย่างไรจะสามารถฝึกการเจริญสติให้ดียิ่งๆ ขึ้นได้ต่อไป

    ขอความเมตตาให้ความสว่างแก่ลูกหลาน เพื่อจะค้นพบทางที่จะได้หลุดพ้นจาก วัฏฏะสงสารด้วยเจ้าค่ะ กราบนมัสการองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ มา ณ โอกาสนี้ด้วยเจ้าค่ะ

    วิสัชนา

    'ขณะที่คุณเจริญอานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออก แล้วเกิดนิมิตเห็นตัวเองขึ้นอีกร่างหนึ่ง ที่จริงน่าจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะถ้าคุณไปติดใน นิมิตที่เห็นนั้น ก็ทำให้คุณทิ้งลมหายใจ แล้วไปใส่ใจนิมิต สุดท้ายทั้งลมหายใจและนิมิตก็จับไม่ได้

    เหมือนนิทานอีสป เรื่องหมากับเงา หมาคาบเนื้อมาที่สะพาน แล้วมองเห็นเงาเนื้อในน้ำว่าโตกว่าเนื้อที่ตนคาบมา เลยปล่อยเนื้อที่คาบ กระโจนลงไปคาบเนื้อในน้ำ สุดท้ายทั้งเนื้อแท้เนื้อเงาก็ไม่ได้ หมาเลยเศร้าไปตามระเบียบ

    แต่คุณรู้จักใช้วิกฤตมาเป็น โอกาส ยังมีสติปัญญาพิจารณานิมิตที่เห็นจนเป็นวิปัสสนา ปรากฏเป็นอุบาย ทำให้เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงของร่างกาย

    ถ้าพิจารณาต่อไปไม่เลิก ฉันก็คงจะได้พบพระอริยะแล้ว แต่น่าเสียดาย ปัญญาบารมียังไม่เข้มแข็ง แถมยังขาดขันติ วิริยะ สัจจะ อธิษฐาน เลยทำให้คุณพลาดโอกาสที่ประสบกับประสบการณ์ทางวิญญาณที่เยี่ยมยอดไป แต่ก็นับว่าคุณมีบารมีเก่าติดมาไม่น้อยเหมือนกัน

    ขอให้เพียรพยายามสั่งสมอบรมในการปฏิบัติธรรมต่อไป แล้วชัยชนะจักมีแก่คุณในที่สุด

    ส่วนที่คุณถามว่า พยายามฝึกสติ กำหนดลมหายใจจนเกิดนิมิต เกิดปีติ น้ำตาไหล ตัวพองขนลุก มีความรู้สึกเป็นสุข แล้วลมหายใจมันหายไป ที่จริงลมหายใจมิได้หาย แต่ที่หายคือสติของคุณต่างหาก เพราะคุณมัวแต่ไปติดนิมิต ติดปีติ และอาการเครื่องปรุงจิต ซึ่งถือว่าเป็นมายาขจิต เหมือนดังสุนัขที่ติดเงาเนื้อ (ต้องขออภัยฉันมิได้ว่าคุณนะ แต่ยกตัวอย่าง เพื่อให้คุณเห็นภาพให้ชัด) เลยทิ้งเนื้อจริงที่คาบมา

    วิธีก็คือ ไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้น ในขณะที่คุณกำลังเจริญสติ พิจารณาลมหายใจ ก็อย่าไปใส่ใจ อย่าไปสนใจ คุณมีหน้าที่พิจารณาลมหายใจอย่างเดียว จนกว่าสติคุณจักตั้งมั่น จนบังเกิดสมาธิ คือ ความสงบ

    และถ้าพบนิมิต ก็ให้คุณใช้สติและความสงบที่มี พิจารณาถึงอาการของนิมิตที่ตั้งอยู่ และความดับไปของนิมิต นั้น (เหมือนดังที่คุณเคยทำมา) พร้อมกับพิจารณาน้อมอาการเหล่านั้นให้เข้ามาหาตัวคุณเอง จนเห็นตามความเป็นจริงถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของร่างกาย ทั้งภายในและภายนอก คุณจะมีจิตบังเกิดความเบื่อ หน่ายต่อเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ผ่อนคลายความกำหนัดยินดีในตัณหาอุปาทานทั้งหลาย ถึง วิมุตติความหลุดพ้นในที่สุด

    ฉันจะไม่อธิบายละเอียด ขอให้คุณทำด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะรู้อาการของจิต พร้อมสิ่งที่เกิดกับจิต ด้วยตัวคุณเอง เพราะหาก อธิบายไปมากๆ เดี๋ยวจักกลายเป็นขยะสะสมเพิ่มขึ้นในจิตของคุณอีก

    เอาเป็นว่า รู้จริง ไม่ต้องจำ ทำได้มีประโยชน์ รู้ไม่จริง ถึงจำ ทำไม่ได้ มีแต่โทษ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">23 มิถุนายน 2551 14:49 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    อะไรทำให้คนจิตเสื่อม


    ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้เป็นเพราะคนมีจิตใจเสื่อมทรามลงใช่หรือ ไม่ ถ้าใช่อะไรทำให้จิตใจคนเสื่อมทราม เราจะทำอย่างไรเพื่อให้สังคม น่าอยู่ขึ้นขอรับ

    วิสัชนา

    เพราะใจคนปัจจุบันขาดศีลธรรมขัดล้างชำระใจ ใจซึ่งมี รัก โลภ โกรธ หลง คอยเข้าครอบงำประจำอยู่แล้ว จึงสกปรกเป็นมลพิษกาย ชีวิต ทำพูดคิด ก็มากไปด้วยอารมณ์ดังกล่าว

    วิธีแก้ ให้ความสนใจ ใส่ใจศึกษา ฝึกหัด ปฏิบัติในศีลธรรมเพื่อนำมาชำระล้างจิตใจ

    ปุจฉา
    ขอเทคนิคควบคุมจิต


    กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพรักอย่างสูงสุด ตามที่ทราบแล้วว่าเรื่องของจิตเป็นสิ่งที่ สำคัญมากที่สุด และควรจะดูแล ระวังรักษาจิตของตนให้คิดแต่สิ่งดีๆ จึงขอกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า

    1. มีเทคนิควิธีการอย่างไรที่จะควบคุมจิตไม่ให้รับเอาอารมณ์ต่างๆ เข้ามา หรือทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เกิดการปรุงของจิต เพราะเมื่อสังเกตจิตของตน แล้วจะควบคุมไม่ทัน มีการ แสดงออก บอกว่าชอบ หรือไม่ชอบทันที ทำอย่างไรจิตจึงจะมีอาการเพียงรับรู้ รับทราบเฉยๆ ตามที่หลวงปู่เคยสอนไว้

    2. อาการของจิตที่ปล่อยวาง จิตที่ตั้งมั่น และจิตที่หลุดพ้น มีความเหมือนหรือแตกต่างกันในส่วนใดบ้าง และต้องเป็นไปตามขั้นตอนอย่างไรจิตจึงจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

    3. ความดับของจิตมีลักษณะอย่างไร ถ้ายังไม่ถึงขั้นบรรลุอรหันต์สามารถมีความดับของจิตได้หรือไม่

    ขอกราบขอบพระคุณหลวงปู่มา ณ ที่นี้ และด้วยดวงจิตของข้าพเจ้า มีความปรารถนา ให้หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรง มีพลัง มีอำนาจ มีตบะ และมีชัยชนะต่อสิ่งทั้งปวง เป็นผู้นำทางวิญญาณให้แก่ลูกหลานตลอดไปนานๆ ค่ะ

    วิสัชนา

    1.มีสติ ฝึกสติ เจริญสติ แล้วสติ จะช่วยคุณได้

    2.จิตที่ปล่อยวาง คือจิตรู้ทันตาม ความเป็นจริงแล้วไม่ตกเป็นทาส

    3.จิตที่ตั้งมั่น คือ จิตที่ไม่โยกโคน สั่นคลอนไปตามอารมณ์ปรุง ทั้งปวง

    4.จิตหลุดพ้นคือจิตที่ปราศจากกิเลสและปราศจากทุกข์ทั้งปวง

    5.ต้องตั้งมั่นก่อน แล้วจึงปล่อยวาง จนหลุดพ้น

    6.จิตทุกดวงมีลักษณะเกิดแล้วดับอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่บรรลุพระอรหันต์มีจิตเกิดดับ แต่ไม่ปรุงเป็นอารมณ์

    ปุจฉา
    การรับรู้


    กราบนมัสการครับ

    1.อาการรับรู้ที่ปรากฏทางใจบางครั้งจริงบ้าง บางครั้งไม่จริงบ้าง เรียกว่าอะไรครับ

    2. การรู้ที่แท้จริง คือการรู้ตามความเป็นจริงกับสิ่งที่มากระทบ โดยมิต้องกำหนดจิต เป็นเช่นนั้นหรือไม่ครับ

    3. การรับรู้เรื่องภายนอกได้อย่าง ถูกต้อง แสดงว่าต้องมีพื้นฐานมา จากศีลที่ดีขึ้นตามลำดับ ประกอบกับรู้จักตนเองมากขึ้นใช่หรือไม่ครับ

    วิสัชนา

    1.เรียกว่า เจตสิก เครื่องปรุงจิต เรียกมายาขจิต เครื่องล่อหลอกจิต

    2.การรับรู้ที่แท้จริงคือการรับรู้เจตสิก เครื่องปรุงจิต และการรับรู้ความเป็นไปแห่งกาย

    3.ที่คุณว่ามามันก็ถูก แต่ที่ถูกที่สุดคือการได้พัฒนาตัวรู้ ให้พร้อมรับรู้ นั่นก็คือสติสัมปชัญญะนั่นเอง

    ปุจฉา
    นั่งสมาธิแล้วหลังค่อม


    หลวงปู่ครับ ผมเพิ่งเริ่มหัดนั่งสมาธิ ได้พบปัญหาเกี่ยวกับการนั่งครับ คือว่าผมได้ ขยับนั่งให้รู้สึกกระดูกสันหลังตั้งตรงแล้ว แต่พอผ่อนคลายลง มันก็กลายเป็นหลังค่อมหน่อยๆ ครับ คือถ้าทำให้กระดูกสันหลังตั้งตรง มันต้องเกร็งส่วนขาและหลังเอาไว้น่ะครับ พอเกร็งไว้ก็กลายเป็นไม่ผ่อนคลายอีก เลยไม่รู้จะทำอย่างไรครับหลวงปู่ ช่วยชี้แนะด้วยครับ

    วิสัชนา

    แรกๆคุณลองนอนกับพื้นราบๆยกขาพาดไว้กับเก้าอี้หรือเตียงนอนแล้วเจริญสติ ต่อมาก็ลองหัดนั่งหลังตรงๆ ทำสลับกันเช่นนี้ทุกครั้งที่คุณรู้สึกเกร็งหลังและขา และที่คุณว่าพอนั่งๆ แล้วอยู่ดีๆหลังกลับโค้งลงอีก แสดงว่าคุณขาดสติปล่อยตัวตาม ความเคยชิน
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา:เมื่อใด และอย่างไร จึงเรียกได้ว่าฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี วันดี และเวลาดี <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">8 กรกฎาคม 2551 16:12 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    วาสนา

    คำว่า "วาสนา" มีความหมายที่แท้จริงชัดเจน ครอบคลุมถึงเรื่องอะไร และมีจุดเริ่มต้นมาจากที่ไหนคะ

    วิสัชนา

    คำว่า วาสนา หมายถึง เรื่องที่ทำ คำที่พูด และสูตรที่คิด เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานานหลายภพหลายชาติอย่างซ้ำซากจำเจ จนเป็นเหตุให้บางทีบางครั้งผู้เป็นเจ้าของวาสนานั้นๆ ก็ควบคุมมันไม่ได้ ซึ่งก็มักจะเกิดการกระทำพูดคิดตามความเคยชิน โดยไม่รู้ตัวบ้างหรือรู้ตัวบ้าง แต่ติดเป็นนิสัย เลยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอะไรต้องแก้ไขปรับปรุง

    ปุจฉา
    ควบคุมสติไม่ได้


    1. ขอเริ่มคำถามเลยนะคะ ทุกวันนี้ดิฉันจะเริ่มสวดมนต์เวลาประมาณทุ่มครึ่ง เริ่มการสวดนะโม 3 จบ แล้วอาราธนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    ต่อจากนั้นก็อะระหังสัมมา จบแล้วก็อาราธนาธรรม มยังภันเตฯ และไตรสรณคม ศีล 5 พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วสวดพาหุง คาถาชินบัญชร คาถาจักรวาฬ 10 ทิศ และเจริญสมาธิประมาณ 15 นาที หรือ 20 นาที แล้วแต่สภาวะจิตใจ ก่อนเจริญสมาธิไม่ได้เดินจงกรมเพราะที่บ้านแคบ เดินกลับไปกลับมาจะเวียนศีรษะและหน้ามืดค่ะ เมื่อเสร็จจากการทำสมาธิก็แผ่เมตตา อยากทราบว่าการที่ดิฉันปฏิบัติอย่าง นี้เป็นการถูกต้องหรือไม่

    2. การทำวัตรเช้า-เย็น สำหรับฆราวาสจำเป็นหรือไม่ การ ปฏิบัติตัวอย่างที่ดิฉันได้เรียนชี้แจงในข้อ 1 กับการทำวัตรเช้า-เย็น ข้อไหนได้ผลมากน้อยกว่ากัน

    3. การเจริญสมาธิทุกๆ ครั้งมาจิตใจไม่ค่อยสงบเลย แต่ก็จะมีบ้างที่ได้สมาธิ ดิฉันเคยถามผู้รู้แต่เก่งในทางนี้เขาก็บอกว่า ดิฉันไม่มีครูก็เหมือนกับไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวเลยควบคุมสติตัวเองไม่ได้ อยากทราบว่าที่เขาพูดและบอกอย่างนั้นจริงหรือไม่ ขอให้อธิบายด้วย

    4. เวลาดวงเราไม่ดีก็ไปหาพระบ้าง หมอดูบ้าง แต่มีเด็กรุ่นน้องดิฉันคนหนึ่งเขาบอกว่าไปให้พระดูดวงให้ระยะนี้ดวงไม่ดี พระแนะนำให้สวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกวันละ 1 จบ เป็นเวลา 3 เดือน โดยไม่มีการขาดแม้แต่วันเดียวแล้วดวงก็จะดีขึ้น เท็จจริงอย่างไรและได้ผลประการใด

    วิสัชนา


    1. ฟังจากคุณเล่ามา ดูน่าจะดี เพราะเป็นวิถีแห่งการเกิดบุญ ถ้าคุณทำพร้อมทั้งกายและใจ ไม่น่าจะมีอะไรผิด ถ้าทำ แล้วสบายใจ ก็ขอให้ทำต่อไปเพราะเป็นเรื่องดีๆ ของคุณ จะผิดก็ตรงต้องรู้จักผ่อนคลายบ้าง อย่าให้ขมึงทึงตึงเครียดนัก ดูท่า คุณน่าจะเป็นโรคความดันต่ำ คุณน่าจะพักผ่อนมากๆ พร้อมกับภาวนาไปด้วยก็จะดี

    2. เรื่องทำความดี และผลของความดี มันเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องดีๆ ของคุณ สามารถทำ ให้คุณสงบ สว่าง สะอาดได้ ก็ทำต่อไปเถิด

    3. ใครเขาจะว่าอย่างไร คุณก็อย่าไปใส่ใจเลยคุณ สำคัญคุณใส่ใจ สนใจรู้จักตัวเองจริงๆ หรือเปล่า สมาธิที่ดีต้องเกิดจากการสนใจรู้จักตัวเอง คุณก็ลองทำดูซิ ลองสำรวจทำความสนใจ รู้จักตัวเอง คนควบคุมตัวเองได้ เป็นนายตนเองถูก นั่นจึงถือว่าสำเร็จประโยชน์ของคำว่าสมาธิ

    4. ในทางพระพุทธศาสนา เรื่องดวงดี ดวงไม่ดี ไม่มีหรอก มีแต่ ท่านจะสอนว่าเวลาที่เราประพฤติชอบ ชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี วันดี และเวลาดี

    ส่วนเรื่องที่คุณบอกว่า ดวงไม่ดีไปหาพระ พระสอนให้ท่องยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก ฉันว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ถึงจะดูเหมือนงมงายไปบ้าง ก็หาได้ดีที่สุดได้แค่นี้นี่คุณ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา:เครื่องป้องกันภัยทั้งหลับทั้ง ตื่น คือ การรู้จักวิธีคิด และการทำแต่กุศลกรรม <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">16 กรกฎาคม 2551 17:31 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    โดนทำคุณไสย


    กราบเรียนหลวงปู่ที่เคารพ อย่างสูง ลูกมีคำถามที่จะกราบเรียนถามว่า ลูกและครอบครัวของลูกถูกคนเขากระทำคุณไสยใส่ เป็นเวลา 3 ปีกว่าแล้ว ครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุขเลย เมื่อเดือนเมษายน 2546 ที่ผ่านมาลูกให้หมอคนหนึ่งถอดให้ ปรากฏว่ามีเข็มเย็บผ้า และเส้นผมออกมา 3 เล่ม กับ 1 เส้นผม มันสร้างความเจ็บปวดแก่ลูกมาก บางคืนนอนไม่ได้เลย อยากกราบเรียนถามว่า เป็นเพราะวิบากอะไร และจะมีวิธีอย่างไรที่จะแก้ให้ได้อย่างเด็ดขาด และไม่ถูกเขาทำได้อีก หลวงปู่มีวัตถุมงคลที่จะป้องกันคุณไสยได้ไหมครับ ถ้ามีจะขอบูชาได้ที่ไหนครับ สุดท้ายขอ กราบพระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นอย่างสูงยิ่ง

    วิสัชนา

    อย่าคิดวิตกกังวลให้มากไปเลยคุณ พยายามทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย มีโอกาสก็ใส่บาตรทำบุญ รักษาศีล ปฏิบัติธรรมบ้าง สิ่งสำคัญสุขและทุกข์มันเกิดจากใจคุณ ถ้ารู้จักวิธีคิด ก็เป็นสุข ไม่รู้จักคิดก็เป็นทุกข์ เชื่อกรรม พยายามทำแต่กุศลกรรม แล้วคุณจะมีแต่ความผ่อนคลายเป็นสุข เหล่านี้คือเครื่องป้องกันภัยให้คุณ ทั้งหลับและตื่น

    ปุจฉา
    ขอวิธีกำจัดหนู


    มีหนูอยู่บนฝ้าเพดานบ้านจะกำจัดอย่างไรดีคะ มันชอบวิ่งเล่นไปมาทั่วบ้านเลย ส่งเสียงรบกวนมาก ช่วยหาวิธีแก้ไขให้หน่อยค่ะ

    วิสัชนา

    ฉันเป็นนักบวชนะคุณ มิใช่บริษัทกำจัดหนู โปรดกรุณาใช้นักบวชให้ถูกตามหน้าที่หน่อย

    ปุจฉา
    บาปจากการทำแท้ง


    คนรักของผมเคยทำแท้งมาก่อนตอนที่เธออยู่กับแฟนเก่า เธอรู้สึกผิดและหลอกหลอนมาตลอดเวลา ตอนนี้เธอมีลูกแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นยังติดตัวอยู่

    1.ผมอยากทราบถึงบาปจากการทำแท้งครับ

    2.มีวิธีอะไรที่จะช่วยเธอได้บ้างครับ

    วิสัชนา

    1.ตายแล้วไปตกนรก แม้ที่สุดเมื่อหมดกรรมหนักก็ไปเกิดเป็นเปรตก้อนเนื้อ กลิ้งไปตามหินและหนามแหลมคม

    2.ทำบุญรักษาศีล เจริญภาวนา แผ่เมตตา โดยให้เธอสมัครใจตั้งใจทำด้วยตัวเอง

    ปุจฉา
    ทุกข์ร้อนของแม่?


    ดิฉันมีเรื่องทุกข์ร้อนของแม่ค่ะ เพราะว่าท่านจะเป็น คนที่ใจร้อนมาก ห่วงทรัพย์สินและไม่เคยไว้วางใจใคร ตอนนี้อายุประมาณ 80 ปี ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ชอบดุด่าและสาปแช่ง จึงทำให้ชีวิตในตอนนี้มีแต่ความรุ่มร้อน ไม่ว่าใครก็จะไม่ยอมรับฟังเลย โดยเฉพาะกับลูกๆ อยากจะขอความเมตตาจากหลวงปู่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ท่านสงบลงและปล่อยวางได้ บ้าง จิตใจจะได้ผ่องใสและมีความสงบสุขบ้างค่ะ

    วิสัชนา

    80 แล้วนะคุณ เขารู้สึกตัวได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีต่อตัวเขาเอง คงต้องอาศัยลูกหลาน คนใกล้ชิด ปลอบประโลมจิตใจ ท่านให้สงบเยือกเย็นลง คนแก่นะ ชอบให้ลูกหลานเอาใจใส่ ดูแล อยู่ใกล้คอยรับใช้พูดคุยด้วย อยู่ที่ลูกหลานจะช่วยท่านจริงๆ หรือเปล่า
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: นิพพาน ที่แปลว่าดับและเย็น มี 2 ชนิด <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">12 พฤษภาคม 2551 11:32 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา

    ขอแนวปฏิบัติให้ชีวิตเป็นสุข สำหรับฆราวาสทั่วไป

    วิสัชนา

    ประการแรก ควรจะทำหน้าที่ของตนโดยฐานะ โดยสภาวะ คือ ได้ทำ หน้าที่ตามสถานะ คือ เป็นพ่อที่ดี เมื่อเราคิดจะเป็นพ่อคน ต้องถาม ตัวเองว่าเราจะเป็นพ่อที่ดีของลูกและเมียของเราได้หรือเปล่า จึงคิดจะเป็นผู้นำครอบครัว แต่ถ้าเราไม่สามารถจะเป็นพ่อที่ดีของลูก ไม่สามารถจะรับผิดชอบลูกเมียและเป็นผู้นำที่ดีของครอบครัวได้ ถ้าขืนนำไป ก็จะพาลูกพาเมียไปตกระกำลำบาก และทำให้เกิดความระยำอัปรีย์ตามมา เป็นขยะสังคม เป็นปัญหาวุ่นวายภายหลัง

    และถ้าเราคิดอยากจะมีลูก โดยฐานะของความเป็นแม่และเมีย ก็ต้องถามตัวเราเองว่า เรารับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นศรีภรรยาที่ดีต่อ ผัวได้ไหม และก็เป็นแม่ที่ดี คือ เป็น แม่พระแก่ลูกได้หรือเปล่า

    ถ้าเราเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ให้แก่ลูกเราได้ ถือว่าครอบครัวนี้จะมีความสุข ไม่มีใครจะมาปรามาส ด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสีซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุเพราะความไม่ถูกต้องและบกพร่องในหน้าที่ของตน

    พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ใครเข้าป่า แต่สอนให้เรามีชีวิตอยู่ร่วมกัน โดยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย เราอยู่ร่วมกันโดย ความสมัครสมานกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ประดุจดั่งแขนและขาในร่างกายของเรา ไม่ใช่ ประดุจดั่งพี่น้อง เพราะบางทีพี่น้องมันยังฆ่ากัน

    คำว่า พี่น้อง เป็นคำเปรียบเทียบที่ล้าสมัยไปแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องเปรียบดั่งแขนและขาและอวัยวะทุกส่วนของเราทีเดียว คือ มันต้องรักกันถึงขนาดนั้น และเมื่อใดเรามีความรักกันถึงขนาดนี้ คิดว่าไม่มีใครจะกัดกัน ไม่มีใคร จะทำร้ายร่างกายกัน และต่างคน ก็ต่างจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราจะสังเกตได้จากตรงนี้ว่า เมื่อใดที่ใจเราชอบอะไร ถึงมันจะเหม็น เราก็ยังบอกว่าชอบ เพราะฉะนั้นถ้าเรารักกันจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรน่ารังเกียจสำหรับพวกเรา และหมู่วงสังคมที่เราร่วมอยู่

    แต่ถ้าหากเราเห็นแล้วไม่ชอบขี้หน้ากัน บางทีนอนกอดกันเมื่อคืน พอรุ่งเช้าก็มาด่ากัน อะไรอย่างนี้ เพราะว่าเรามีความ ร้าวฉานในความคิด มีความแตกแยกในความเป็นอยู่ และก็มีความแบ่งแยกว่า มึงเลวกูดี

    อย่าลืมว่านิพพานมี 2 ชนิด นิพพาน ที่แปลว่าดับและเย็น มีทั้งส่วนโลกียะ และโลกุตตระ

    นิพพานอย่างโลกียะ
    แปลว่า อารมณ์ทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นกับเราให้มันดับ และเย็น ความชอบก็ดี ความชังก็ดี ความยอมรับ ปฏิเสธ ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เราเกลียดและไม่ชอบ ก็รู้จักให้มันดับและเย็นไปซะบ้าง เมื่อเราเข้าใกล้และเข้าหน้าใครไม่เคยติด เราก็จะรู้สึกว่าเข้าใกล้และเข้าหน้าเขาติดขึ้น เพราะเราไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจต่อสิ่งที่เขามี เขาก็ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจต่อสิ่งที่เรามี เพราะต่างคนต่างที่จะมองเห็นประโยชน์ต่อกันและกัน ก็จะช่วยกันรักษาประโยชน์ อันนั้น

    แต่ถ้าทุกคนมองไม่เห็นประโยชน์ของกันและกัน สังเกตดูเถอะ มันจะคอยเอารัด เอาเปรียบกัน คอยจะว่ากัน คอยจะทะเลาะกัน คอยจะจงเกลียดจงชังกัน มันก็กลายเป็นเรื่องราว ร้าวฉาน แตกความสามัคคี และสุดท้ายก็จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน แม้แต่ลูกเมียครอบครัว ก็จะแตกแยกกัน สมัยเรารักกันใหม่ๆ ถ้าเรารู้จักคิด แม้แต่ตดของเขาเราก็ยังว่าหอมเหมือนดอกไม้ยามเช้าเลย แต่อยู่นานไปอะไรๆ มันก็เหม็นไปหมด มันเกิดจากอะไร ไม่ใช่เกิดจากหัวใจเราหรือ ที่มันไม่เหม็นตอนรักกันใหม่ๆ ก็เพราะว่ายังรักกันอยู่ แต่ที่ว่าวันนี้เราไม่รักกัน ก็เพราะว่าเกิดความแตกแยก คิดกันคนละเรื่อง มีความเห็นไม่ตรงกัน มันก็เลยกลายเป็นศัตรูกันเราก็เลยไม่ รู้สึกรัก หรือความรักหมดไป จืดจางไป

    แต่ถ้าจักตอบตามตำรา ก็ต้องตอบว่า ต้องมีสัจจะ ต้องรู้จักข่มใจ ต้องอดทน และก็ต้องรู้จักสละ และแบ่งปัน

    ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องแนวทางการปฏิบัติตนให้เป็นสุขสำหรับปุถุชนกันแล้ว ก็ขอให้ความกระจ่างในความหมายของ คำว่า ปุถุชน และ ผู้ที่ไม่ใช่ ปุถุชน กันเสียเลย จะได้รู้จักทำใจในการ อยู่ร่วมกันได้ด้วยความเข้าใจกัน และเผื่อจะเป็นแนวทางในการพัฒนาตนให้มีสุขยิ่งขึ้นไปอีก คือ ดับ และเย็น กันบ้าง

    ลูกรัก ปุถุชน ไม่ใช่หมายถึงการถือเพศคฤหัสถ์ ปุถุชนไม่ใช่ชาวบ้านฆราวาส ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก หรือไม่ใช่นุ่งเขียว ห่มขาว นุ่งเหลืองห่มแดงอะไรก็ไม่ใช่ แต่ "ปุถุชน" ในที่นี้หมายถึง สภาวะที่ สภาพจิตของตนตกอยู่ในมายา ตกอยู่ในความงมงาย และหลงใหล

    ถ้าจะพูดกับปุถุชนเรื่องคุณธรรม พวกเขาจะไม่รู้จัก ถึงรู้จักก็เป็นเพียงคุณธรรมของพวกปริยัติ (พวกเอาแต่เรียน) ถึงจะเป็นคุณธรรมที่เขามีอยู่ เช่น ขันติ ความอดทน ความสงบเสงี่ยม หรือเมตตากรุณา ถ้าเป็นของปุถุชนแล้วมันเป็นไปโดยที่เหมือนกับลมเพลมพัด น้ำขึ้นน้ำลง บางเวลาเขาก็อาจจะมีขันติ แต่บางเวลาเขาอาจจะเป็นขันแตก บางเวลามันก็จะขึ้นๆ ลงๆ

    เพราะฉะนั้น ปุถุชน จึงเป็นผู้ที่มีความเพียรต่ำ มีความสามารถน้อย มีขีดจำกัด และมีข้อแม้มาก ไม่ว่าจะทำอะไรกับปุถุชนแล้ว มีข้อแม้เยอะแยะ หยุมหยิม ยึกยัก มีเงื่อนไขมาก ไอ้โน่นก็ต้องได้ ไอ้นี่ก็ต้องได้ หรือไม่ก็ ไอ้นั่นก็ทำไม่ได้ ไอ้นี่ก็มีปัญหาเยอะ เลยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปุถุชนจึงถึงที่สุดได้ง่าย ไม่ใช่ถึงที่สุดของความเจริญรุ่งเรือง แต่ถึงที่สุดของความฉิบหายได้ง่าย ถึงที่สุดของความทำลายตัวเองได้ง่าย ถึงที่สุดของความเสื่อมได้ง่าย

    และถ้าจะพูดถึงศีล ศีลของปุถุชน ก็คือ ศีลปริยัติ ถึงจะเป็นศีลก็เป็นศีลของพวกท่องจำ ไม่ใช่ศีลด้วยการปฏิบัติอย่างแท้จริง ถึงจะปฏิบัติก็ปฏิบัติไม่ได้ข้ามวันข้ามคืน รับศีลจากพระ ปาณาติปาตา หรือ สุราเมระยะ พอพ้นจากหน้าพระก็ไปฉะเหล้าเป็นระยะ อะไรประเภทนั้น จึงเรียกว่าเป็นศีลปริยัติ

    แม้แต่ผู้ที่เข้ามาอยู่ในศาสนา ถ้ายังมีหัวใจที่เป็นปุถุชน ถ้าจะพูดถึงเรื่องศีล เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากนัก เพราะว่านั่นเป็นเพียงข้อวัตรปฏิบัติที่อยู่ในปริยัติ คือ การเรียนรู้เท่านั้น

    ส่วนสมาธิสำหรับปุถุชนนั้น มันก็คือ กิริยาอาการเพื่อความอยู่รอดเอาตัวรอด สุดท้ายเขาก็อยู่ไม่รอด

    แต่ถ้าจะพูดถึงวิมุตติ (คือ ความหลุดพ้น) สำหรับปุถุชน เอาเพียงแค่ว่า ตรงนี้เป็นทุกข์ ก็ออกจากตรงนี้ไปอยู่ตรงนั้น มันจะได้เป็นสุข พอตรงนั้นเป็นทุกข์ อีก ก็ไปตรงโน้นซะ นี่คือวิมุตติของปุถุชน

    เพราะฉะนั้น เมื่อยังเป็นปุถุชนกันอยู่่ยังจะต้องทำงานกับปุถุชนคนธรรมดา ก็ต้องขอเตือนว่า ขอจงมีความระวัง อาจจะต้องชนกันด้วยความรู้สึกหยุมหยิม ยึกยัก ความสามารถต่ำ ความรู้น้อย ความทะเยอ- ทะยานสูง หรือไม่ก็กลายเป็นเรื่องมีข้อแม้มาก แล้วก็ถึงที่สุดของความฉิบหายได้ง่าย

    ผู้ที่จะเป็นหัวหน้า หรือ ผู้นำของปุถุชน จึงควรจะต้องรู้ว่าการทำงานเป็นผู้นำเขานั้น มันลำบากยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร ยิ่งทำกับพวกปุถุชน ซึ่งมีความสามารถต่ำ ความรู้น้อย ก็ยิ่งต้องมีขันติ พยายามเจริญ พรหมวิหารธรรม 4 ให้มาก คือ มีพร้อมทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

    และเมื่อพูดถึงเรื่องปุถุชนแล้ว คราวนี้มาดูกันว่า อะไรที่ไม่ใช่ปุถุชน ซึ่งก็คือ กิริยาอาการที่ไม่ปล่อยให้ตนตกเป็นทาสของมายาขจิต

    ลักษณะมายาขจิตของปุถุชนที่เกิดๆ ดับๆ แล้วที่มีสิ่งอื่นมาปลอมแปลง เปลี่ยนแปลงปรับปรุงแก้ไข ความบริสุทธิ์ยุติธรรมของจิตดวงที่เกิดๆ ดับๆ ให้มันต้องเสื่อมโทรมฉิบหาย และทำลายลงไปด้วยความรู้สึกไร้ความอิสระ เช่นนี้ เป็นลักษณะ ที่แสดงว่า คนเช่นนั้นยังเป็นปุถุชนอยู่

    แต่ ถ้าเมื่อใดที่เขาไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ หรือไม่ปล่อยให้ขบวนการเกาะกินจิต หรือที่เรียกว่ามายาขจิต คือ สิ่งที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส หรือความปรุงอารมณ์ต่างๆ ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น คนคนนั้นไม่ใช่ปุถุชน

    คนพวกที่ไม่ใช่ปุถุชนนี้ เป็นพวกที่มีข้อแม้น้อย มีเงื่อนไขไม่มาก
    เพราะอะไรๆ ก็ได้ง่ายๆ สบายๆ แม้แต่ชีวิตความเป็นอยู่ก็ง่ายๆ สบายๆ ให้มันเป็นไปโดยง่ายๆ เพราะทุกอย่างมันง่าย พูดน้อยแต่ทำมาก

    สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ปุถุชน ไม่มีคำว่าถึงที่สุด เพราะมันจะมีทางเดินสำหรับเขาอยู่ตลอด เขาจะไม่สร้างอะไรเป็นเครื่องกีดขวางทางเดินของเขา

    และสำหรับหลวงปู่แล้ว ชั่วชีวิตของหลวงปู่นั้น ทางเดินไม่เคยตัน ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร แม้จะใหญ่ หรือเล็กน้อย นิดหน่อย เยอะแยะ หยุมหยิม ยึกยัก หลวงปู่มีทางเดินของ ตัวเองตลอด ปัญหาใดๆ ก็ไม่เคยให้ตกค้าง มีแต่สะสางให้มันลุล่วงไปได้ตลอด

    จึงอยากจะถือโอกาสนี้ บอกไว้ให้เป็นแนวทางในการพัฒนาตน จากความเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไปสู่ความเป็นคนที่มีธรรมอันเป็นคุณ เพื่อความเป็นสุข ดับและเย็น ได้ในที่สุด
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">28 เมษายน 2551 16:46 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> พระอรหันต์ไม่สามารถทำลายราคะ โทสะ โมหะของโลกได้
    แต่มลภาวะภายนอกเหล่านี้ ก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือท่านได้
    เพราะท่านปราศจากหมดสิ้นแล้วซึ่งมลภาวะเหล่านี้

    ปุจฉา
    สติตามควบคุมจิต


    หลวงปู่สอนไว้ว่าให้ใช้สติควบคุมจิต เหมือนประตูหน้าต่าง แสดงว่าอารมณ์ต่างๆ เช่น โทสะ โมหะ จะต้องเกิดขึ้นก่อน แล้วสติค่อยกำกับทีหลัง มีข้อยกเว้น สำหรับพระอรหันต์ที่ยังอยู่ในสังคมไม่ใช่อยู่ในป่าหรือไม่ คือ จิตจะไม่เกิดอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีเลย หรือว่ามีอารมณ์เหมือน กัน แต่สติตามได้ทันตลอดเวลา ขอความกรุณาช่วยขานไข

    วิสัชนา

    "ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า โทสะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับโทสะหามีไม่ โมหะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับโมหะนั้นหามีไม่ ราคะนั้นมีอยู่เดิมแต่บุคคลผู้รับ ราคะนั้นหามีอยู่ไม่

    เมื่อโทสะ โมหะ ราคะ มันมีอยู่เดิม แล้วเราไม่มี ก็คือ ตัวเรา จริงๆ ไม่มี แต่ที่เราเข้าไปรับมัน ก็เพราะเราไปปรุงแต่งว่าตัวเรามี แล้วเรารับมันเข้ามาใช้ประโยชน์

    ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกเดิมก่อนที่คุณจะเกิด ทีนี้เมื่อมันมีอยู่เดิม คุณเกิด มาหน้าที่ของคุณก็คือเพียงแค่ระวังอย่าให้ไปเปื้อน อย่าให้ไปแปดเปื้อน อย่าให้มันมีอำนาจมา ทำให้จิตวิญญาณของคุณให้ขุ่นมัวเท่านั้นเอง สติก็เป็นตัวกางกั้น สติทำหน้าที่ หรือมีหน้าที่ที่จะเปิดปิดประตูแห่งใจคุณ ว่า อะไรควรรับ อะไรไม่ควรรับ นี่ เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นทุนเดิมของโลกมีอยู่แล้ว

    ส่วนราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นทุนเดิมของกรรม หรือพิธีกรรม หรือจิตวิญญาณของคุณ ที่เป็นทุนเดิมเรียกว่า โลภะมูลจิต โทสะมูลจิต โมหะมูลจิต ก็คือ คุณเกิดมาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นมูลเดิมของจิตวิญญาณคุณที่สั่งสมอบรมมาแต่อดีตชาติ ที่เรียกว่าอนุสัย เมื่อสั่งสมอบรมมาแต่เก่าก่อนแล้ว หน้าที่ของคุณ เกิดเป็นคน ต้องชำระล้าง และตัดให้หลุด อย่าปล่อยให้มันมาฉุดเราอยู่

    รวมๆ ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ มีทั้งภายใน ก็คือจิตเดิมของคุณมีมาเก่า และมีทั้งภายนอก ก็คือมีอยู่ในโลกนี้แล้ว มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีประตูหน้าต่างเอาไว้สำหรับป้องกันพายุข้าง นอก แต่ไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว ผ้าเช็ดถู มีสำหรับไว้ป้องกันฝุ่นละอองภายใน ถ้า คุณมีสองสิ่งนี้ได้ ก็ถือว่าคุณมี สติ สมาธิ และปัญญา จะกำจัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ของจิตคุณ ทั้งภายในและภายนอกได้

    ส่วนคำถามที่ถามว่า พระอรหันต์เป็นผู้ที่เจริญซึ่งสติ สมาธิ และปัญญาแล้ว ก็คือ มีทั้งประตูหน้าต่าง และเครื่องกำจัดภายในที่สมบูรณ์ที่ไม่มีรูรั่ว ที่สามารถป้องกัน ราคะ โทสะ โมหะ หรือภัยพิบัติจากข้างนอกได้แล้ว แล้วก็มีเครื่องดูดฝุ่น มีทั้งผ้าเช็ดพื้น มีทั้งไม้กวาดอันสมบูรณ์ แล้วก็มีพนักงานที่พร้อมที่จะทำลายสิ่งที่เป็นภายใน ที่เรียกว่าฝุ่นละอองนั้น ให้หมดไปเรียบร้อยได้

    รวมๆ ก็คือ พระอรหันต์ไม่มีมลภาวะทั้งภายในแล้ว หมดแล้ว ส่วนมลภาวะภายนอกก็ไม่ สามารถมีอำนาจเหนือท่านแล้ว

    แต่พระอรหันต์นี่ไม่สามารถที่จะไปทำลายโทสะ โมหะ ราคะ ของโลกได้ ก็บอกแล้วว่ามันมีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ถ้าจะทำลายก็ต้องวางระเบิดเวลา เผาผลาญโลก หรือไม่ก็ทำลายโลกไป ก็ไม่แน่ใจว่าโลกนี้มันระเบิดแล้วจะหมด ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เป็นผู้หมดจากกิเลสทั้งภายใน และไม่ปล่อยให้กิเลสภายนอกมามีอำนาจเหนือท่าน

    ราคะ โทสะ โมหะ ข้างนอกมีอยู่ แต่ไม่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนเท่านั้นเอง จบ"
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา:จิตมีสภาพต้องรักษา สร้างเสริม แต่ไม่ใช่สะสม <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">21 เมษายน 2551 23:08 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    ระลึกรู้ตลอด
    จิตจะพัฒนาได้ไหม


    กราบพระคุณเจ้าหลวงปู่พุทธะอิสระ ผมเพิ่งเกษียณจากงาน ใจไม่ต้องกังวล มีเวลาว่างมาก พระท่านสอนให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน โดยระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ผมก็พยายามฝึกหัดปฏิบัติให้มีสติเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน อยากทราบว่าทำไปเรื่อยๆ อย่างนี้ จิตจะพัฒนาสูงขึ้นไปได้หรือไม่ครับ

    วิสัชนา

    ได้แน่นอน

    การพัฒนาจิตก็เหมือนการ พัฒนาวัตถุ เช่น การตัดหญ้า ถ้าเมื่อไหร่หยุดตัดหญ้า หญ้ามันก็จะรกขึ้น แต่ถ้าตัดไม่หยุด ไม่เลิก หญ้ามันก็สั้นลงหรือคงเดิม จิตก็เหมือนกัน มีสภาพต้องรักษา สร้างเสริม แต่ไม่ใช่สะสม

    รักษา คือ รักษาสภาวะแท้ของจิต นั่นคือ ตัวรู้บริสุทธิ์ที่ต้องดำรงไว้

    สร้างเสริมสติ สำหรับกำกับจิตหรือกำกับตัวรู้นั้น อย่าให้รู้ผิด ให้รู้แต่เรื่องถูกต้อง เป็นกุศลมูลจิต เป็นส่วนกุศลหรือความฉลาด รู้อย่างฉลาด อย่ารู้ด้วยความโง่เขลา


    เหล่านี้เรียกว่า รักษาและสร้างเสริม เป็นระบบบริหารและพัฒนาจิตอย่างหนึ่ง ที่เราต้องทำทุกขณะที่จิตเกิดดับ

    ปุจฉา
    นั่งสมาธิแล้วน้ำตาไหล


    กราบนมัสการค่ะ ดิฉันไม่ค่อยมีเวลาไปปฏิบัติธรรมที่อื่น เลยปฏิบัติเองที่บ้าน ศึกษาจากหนังสือ ฟังธรรม คำแนะนำภาค ปฏิบัติจากพระสงฆ์หลายๆ รูป แต่ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า

    อย่างเช่น เวลานั่งสมาธิตอนดึกๆ รู้สึกสงบมาก นั่งไปเรื่อยๆ น้ำตาจะไหลทุกครั้ง แม้ฟังธรรมจากเทปก็น้ำตาไหลเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ร้องไห้นะคะ มันไหลออกมาเอง

    อยากทราบว่า การที่น้ำตาไหล เกิดจากสาเหตุอะไร และควรทำอย่างไรต่อไปคะ

    วิสัชนา

    น้ำตาไหลไม่ใช่ผลสำเร็จของการฟังธรรมหรือนั่งสมาธิ มันเป็นแค่ความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ที่ซาบซึ้งต่อการปฏิบัติธรรม เป็นสภาวธรรมชนิดหนึ่ง โดยอาการ น้ำตาไหลนี้เกิดจากปีติ

    ความปีติซาบซ่าน ขนลุก น้ำตาไหล เป็นหนึ่งในปีติทั้ง 5 ก็เป็นเรื่องดี แต่อย่าไปหลงกับมัน เพราะถ้าหลงจะทำให้เราเมาอยู่อย่างนั้น ไม่ไปไหน ไม่พ้นจากองค์คุณแห่งปีติ 5 ไม่เข้าถึงองค์ฌานสมาบัติ ไม่เข้าถึงความ หมายของธรรมเบื้องสูง ก็นำมัน เป็นแค่บรรทัดฐานที่จะยังให้สติตั้งมั่น สมาธิปรากฏ และปัญญาเกิดก็พอ

    ปุจฉา
    นอนหันศีรษะทิศไหนดี


    การให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน โดยไปซื้อปลาที่ตลาดมาปล่อยในแม่น้ำ จะมีอานิสงส์มากน้อยเพียงใดคะ และการทำแบบนี้จะสามารถอุทิศกุศลให้สัตว์อื่นๆ ได้หรือไม่คะ อีกคำถามหนึ่งคือ คนเราควรนอนหันศีรษะไปทางทิศไหนดี มีหลายคนบอกว่าต้องนอนทิศนั้นทิศนี้

    นอนหันศีรษะไปทิศตะวันตกไม่ดี เป็นทิศของคนตาย ให้หันไปทิศตะวันออก และการหันศีรษะไปทิศใต้ สู้ทิศเหนือไม่ได้ คนอยู่ทาวน์เฮาส์จัดลำบาก ไม่ทราบว่าถ้านอนผิดทิศ จะมีโทษอย่างไรไหมคะกราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่เมตตาตอบค่ะ

    วิสัชนา

    ขอตอบข้อแรกก่อนว่า ได้ เพราะผู้ให้ชีวิตย่อมเป็นเจ้าของชีวิต ผู้ให้ความสุขย่อมเป็นเจ้าของความสุข คนกำลังจะโดน ฆ่า แล้วเราไปปลดปล่อยชีวิตเขา แน่นอน เขาย่อมรู้สึกสำนึกในบุญคุณของเรา เมื่อมีโอกาสก็ต้องตอบแทนบุญคุณเรา เป็นเรื่องธรรมดา

    ส่วนข้อหลัง ฉันเองนอนไปรอบทิศ ก็หลับดีไม่มีอะไร มันอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่ทิศ ให้นอนทิศที่เขาว่าดี แต่นอนไม่หลับมีเยอะแยะไป

    ทิศเหนือ ใต้ ออก ตก ไม่ได้ทำให้คนดีหรือไม่ดี เพราะคนจะดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ตัวเอง ทิศไม่ได้ทำให้ใครอัปรีย์หรือไม่อัปรีย์
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: การรวมจิตกับปราณชำระไขกระดูก <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">2 เมษายน 2551 20:13 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    ทำบุญอย่างไร
    ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์


    กราบเรียนถามพระคุณเจ้า หลวงปู่พุทธะอิสระ ดิฉันเป็น คนชอบทำบุญสุนทาน สร้างกุศล ผลบุญ ตายไปจะได้ไม่ลำบาก ชาติหน้าจะได้สบาย แต่ดิฉันก็มี ข้อสงสัยอยากจะขอปุจฉาหลวงปู่ สัก 2 ข้อ คือ

    1. ดิฉันทราบว่าการเกิดเป็นมนุษย์ สามารถสร้างบุญกุศลได้มากกว่าเทวดา และยังบรรลุธรรมได้ด้วย ดิฉันคิดว่าชาตินี้ตัวเองคงยังไม่มีโอกาสบรรลุธรรม ดังนั้น หากว่าดิฉันจะต้อง กลับมาเกิดอีก ดิฉันก็อยากเกิดเป็นมนุษย์ เลยอยากทราบว่าจะต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ และข้อ

    2. สมมติว่าวันนี้ดิฉันทำบุญด้วย การบริจาคเงินร่วมสร้างโบสถ์ สร้างพระ แต่ยังไม่ได้อุทิศบุญกุศล รุ่งเช้าจะสามารถอุทิศได้หรือไม่คะ และถ้าตอนเย็นอยาก อุทิศอีกจะทำได้ไหม เพราะเคยได้ยินบางคนบอกว่า ไม่จำเป็นต้องอุทิศบ่อยๆ และการอุทิศผลบุญนี้จะได้อานิสงส์อย่างไร ขอความเมตตาหลวงปู่ช่วยวิสัชนาให้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ

    วิสัชนา

    1. รักษาศีล 5 เจริญภาวนา แผ่เมตตา และปฏิบัติธรรม เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยของการเกิดเป็นคน

    2. อุทิศทั้งปีก็ได้ ถ้าคุณนึกขึ้นมาได้ หรือเห็นคนอื่นเขาทำ คุณก็ช่วยเขาอุทิศก็ได้ เพราะการอุทิศผลบุญเป็นเรื่องดี เจริญได้ทุกนาทียิ่งดีใหญ่ เพราะถือเป็น การเจริญเมตตา พระศาสดาทรง สอนให้เราเจริญเมตตาแค่ชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็มีอานิสงส์มากมายมหาศาล เพราะเงินที่ว่าได้มายากแล้ว กว่าที่จะได้มา ต้องเสียหยาดเหงื่อแรงงาน เรายังกล้าสละให้เพื่อแลกมาซึ่งคำว่าบุญ เมื่อได้บุญมาแล้วก็กล้าที่จะสละแบ่งปันบุญที่ได้มายากนั้นให้แก่ผู้คนและ สรรพสัตว์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ให้ได้ยาก ทำได้ยาก เมื่อทำได้ก็ถือเป็นเรื่องดี พระพุทธเจ้าทรงยกย่องสรรเสริญ ผู้รู้ทั้งหลายก็นิยมชมชอบ

    ผู้ที่เจริญบุญ แบ่งบุญ แล้วก็แผ่เมตตา รวมทั้งอุทิศส่วนบุญ ให้แก่คนทั้งหลาย ผิวหน้าจะผ่องใส แววตาจะสดใส ปัญญาจะเจริญงอกงาม ทำต่อไปก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดว่าเราทำน้อย แล้วมาอุทิศทั้งวันทั้งคืน เพราะการมีจิตที่เป็นพื้นฐานในส่วนกุศล เรียกว่ากุศลมูลจิต ดีกว่ามีจิตที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ

    ปุจฉา
    การชำระไขกระดูก


    กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผมได้ฝึกหัดดูลมหายใจของหลวงปู่โดย สูดลมหายใจ แล้วอัดไว้ให้เต็มอกจนกระทั่งทั่วอก แล้วผ่อนออกมา ทำมา 5 เดือน จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งทำเช่นเดิมไปจน 15 นาที เกิดลมออกแล้วไม่ต้องเอาเข้าก็แปลกใจทำไมเป็นเช่นนั้น แต่ก็ปล่อย ตามเรื่อง และตามดูต่อไป วันถัดไปก็มีความหวั่นว่าลมออกจนแฟบ ไม่ต้องหายใจเข้า แต่มี ลมออกตลอด ตามดูมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ออกมาเป็นลมที่เก็บกดอยู่ภายในจากความ เครียดเรื่องต่างๆ รู้สึกเป็นลมปราณอีกชั้นหนึ่งที่จะต้อง ขับออกให้หมดไป ทำเช่นนี้เรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าสิ่งที่ คั่งค้างหมดไป ทั้งลมที่คั่งค้างตามส่วนต่างๆ และเสมหะ ก้อนโตๆ

    ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เริ่มจับความรู้สึกว่าลมที่เข้าทางปกตินั้น ได้เข้าทางรูขุมขนบนศีรษะด้วย เพราะรู้สึกว่าเส้นผม ขยับเขยื้อนในขณะลมค่อยๆ เข้าอย่างช้าๆ ลมที่เข้าตามรูขุมขน จะช้ามากกว่าลมหายใจเข้าตามปกติแต่ไม่อึดอัด กลับรู้สึกอิ่มแน่นสบาย มีพละกำลังอยู่ที่หน้าอกเต็มเปี่ยม แต่นุ่มนวลเหมือนพร้อมจะทำอะไรก็ได้ จากนั้น ทำมาตลอด 9 เดือน จึงได้ไปบวชช่วง 73 พรรษากับทางวัดถวายเป็นพระราชกุศล เสร็จแล้วกลับมาทำต่อที่บ้าน พร้อมกับสวดมนต์ เช้า-เย็น และรู้สึกลมหายใจที่ออกมากับการสวดมนต์นี้จะโล่งโปร่งในหน้าอก โดยเฉพาะช่วงสวด บทสหัสนัย ก็ทำมาเรื่อย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ใช้วิธีที่ไม่ต้องสูดลมหายใจเข้านี้ (ลมเข้าทางส่วนอื่นคือศีรษะ รักแร้ รูทวาร หรือหน้าอก) เป็นวิธีปรับภายในให้สะอาดแล้วลองเอาจิตไปตั้งอยู่ที่กลางสมอง รู้สึกเหมือนอิสระ และรู้สึกแนบแน่นกว่าสมัยก่อนที่ไม่เคยฝึกลมหายใจของหลวงปู่

    กราบขอคำแนะนำในวิธีปฏิบัติ เพราะรู้สึกว่าการทำฐานที่ 1 นี้ยังไม่ถึงที่สุด อยากจะปฏิบัติให้ก้าวหน้า และถูกต้อง

    อยาก ถามว่า มีอะไรที่ต้องแก้ไข หรือเพิ่มเติม ขอหลวงปู่โปรดเมตตาชี้แนะด้วยครับ

    วิสัชนา

    ดีใจด้วยที่คุณมีความสำเร็จในการรวมจิตกับปราณเข้าด้วยกัน อาการที่คุณเป็นเขาเรียกตามภาษาผู้ฝึกปราณว่า ชำระไขกระดูก เป็นสภาวะการขับไล่สิ่งที่เป็นมลพิษภายใน

    ส่วนที่คุณถามฉันว่า จะทำ อย่างไรต่อไป จนถึงขั้นเข้าสู่ฐานที่ 1 ของวิชาลมเจ็ดฐาน ฉันเคยบอกกับคุณแล้วว่า ฉันมิใช่คนชอบสอน แต่เป็นคนชอบทำ โดยเฉพาะวิชาลมเจ็ดฐาน คนอยู่กับฉันมา 20 ปีฉันยังไม่สอนเลย มีแต่ว่าคอยจับใจความ เอาตามโอกาสต่างๆ ที่ฉันพูดออกมาแล้วแต่โอกาส

    แต่ไม่ให้เสียน้ำใจ ฉันบอกใบ้ให้บ้างก็ได้ว่า ขอให้คุณพยายามรวบ รวมใจและปราณให้เป็นหนึ่ง และดำรงสมดุลของสองสิ่งให้กลายเป็นหนึ่งสิ่งโดยที่คุณรู้สึกได้ว่า มันไม่ แตกต่างกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วคุณจะมีคำตอบด้วยคุณเอง ขอให้สำเร็จ
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: อธิษฐานให้สิ้นกิเลส เป็นตัณหาหรือไม่ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">24 มีนาคม 2551 15:35 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    ตัณหากับการตั้งจิตอธิษฐาน

    ในการทำบุญทุกครั้ง ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้สิ้นต่อกิเลสในชาตินี้ด้วยเทอญ จะถือว่าคำขอเช่นนี้เป็นตัณหาชนิดหนึ่งหรือไม่

    วิสัชนา
    ทุกอย่างก็เป็นตัณหาทั้งนั้น แหละลูก การที่เรามีโอกาสได้มานั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นตัณหา การที่เรามีโอกาสต้องการทำบุญ ก็เป็นตัณหา
    ตัณหา คือ ความอยาก แต่มันเป็นส่วนอยากที่เป็นกุศล หรืออกุศลล่ะ สำคัญมันอยู่ตรงนั้น กุศล คือ ความฉลาด อกุศล คือ ความโง่ ความอยากที่จะทำตัวให้โง่ เรียกว่า อกุศล ความอยากที่จะทำตัวให้ฉลาดขึ้น สว่าง กระจ่างขึ้น เรียกว่า กุศล
    เพราะฉะนั้น การทำบุญแล้วปรารถนานิพพาน บุญไม่ใช่
    เครื่องยังให้สำเร็จถึงนิพพาน
    การจะเข้าถึงนิพพาน ต้องเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ด้วยวิธีการลงไม้ลงมือที่จะกระทำอย่างถูกต้องตรงทางในอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นการฝึกหัดดัดกาย วาจา ใจ เพื่อเข้าไปสู่ความหมาย ของคำว่านิพพาน แต่ไม่ใช่ทำบุญแล้วได้นิพพาน
    นิพพานไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีกุศล และอกุศล นิพพานไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน แต่นิพพานคือความว่าง นอกเหนือไร้ขีดจำกัด เป็นความสะอาดเหนือขีดจำกัด เป็นความสว่างและความสงบเหนือการคาดเดา
    เพราะฉะนั้น ความหมายของนิพพานมันไม่ใช่ได้มาจากการขอหรือทำบุญ แต่มันได้มาจากการทดสอบ พิสูจน์ทราบ ค้นหา และค้นคว้า ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน และลงไม้ลงมือกระทำตามที่ค้นคว้าได้แล้วนั้นอย่างจริงจัง และจริงใจ นั่นแหละคือนิพพาน เป็นการสลัดตัดให้หลุด จากสิ่งที่ฉุดให้เราหลงใหลและได้ปลื้มไปด้วย คือ ความหมายของนิพพาน
    สรุป ก็คือ นิพพานได้มาจากการลงไม้ลงมือกระทำ ไม่ใช่ได้มาจากการสวดมนต์ อ้อนวอน หรือขอพร

    ปุจฉา
    บริจาคอวัยวะ

    การบริจาคอวัยวะร่างกายให้แก่สภากาชาดไทย จะเป็นบุญกุศลอย่างไร และมีผลต่อชีวิต ในอนาคตในชาติหน้าได้อย่างไร

    วิสัชนา
    ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ใครทำได้ ถือว่าเป็นเรื่องดี

    บริจาค ตา เกิดชาติหน้าก็จะเป็นคนที่มีตา ปัญญาญาณหยั่งรู้ อาจจะทำให้ถึงขั้นมี ทิพยจักษุ
    บริจาคหัวใจ ก็จะทำให้ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพระธรรมและแสงสว่าง และก็ไม่ทำให้มีทุกข์เดือดร้อนใจในที่สุด คือ จะชนะความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวงได้ และก็จะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง

    บริจาคไต บริจาคตับ ก็สามารถทำให้ตนเองขจัด กำจัดสิ่งสกปรก รกรุงรัง และโสโครก ทั้งหลาย เพราะหน้าที่ของไตและตับมันเป็นตัวการกำจัดสิ่งที่ เป็นมลพิษในร่างกาย ในชีวิตตนเองในชาติต่อไปก็จะสามารถ มีอำนาจเหนือมารและซาตาน ทั้งหลายทั้งปวงได้
    ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ในการบริจาคสิ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้ว คือ เราตายแล้วไม่ได้ใช้ ก็ให้แก่คนที่เขาจำเป็นต้องใช้ก็เป็นเรื่องดี ขอสนับสนุน และอนุโมทนา ถ้าใครทำได้ถือว่าเป็นเรื่องดี ยอดมหาทานทีเดียว

    หลวงปู่ได้ยินว่า เขามีหลักการในการบริจาคนะ พวกนี้จะต้องเป็นคนไข้ที่ไม่เป็นโรค เป็นคนไข้ที่มีร่างกายไม่ทุพพลภาพ คือไม่เสียหายทางร่างกาย เช่นไม่ติดโรคทางกระแสเลือด คือ ตายโดยอุบัติเหตุ สาเหตุจากปัจจุบันทันด่วน ป่วยตาย แก่ตาย นี่จะด้วยหรือไม่ ไม่แน่ใจ เพราะแก่ตายก็คือศักยภาพมันหมดไปแล้ว จะใช้อะไรไม่ได้แล้ว ลงหลุมไปเถอะโยม ไม่ได้ว่าคนแก่นะ พูดให้ฟัง แต่ว่าส่วนใหญ่ เขาจะเน้นเอาเฉพาะคนที่ป่วยทางสมอง พวกที่มีอุบัติเหตุทางสมองไม่สามารถทำงานได้ เพราะถือว่าศักยภาพในการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ยังสูงอยู่ แต่ต้องใช้ในเวลาไม่เกิน 17 หรือ 20 ชั่วโมง นี่จากที่รู้ๆ มานะ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">6 กุมภาพันธ์ 2551 12:26 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> หลักของสัตบุรุษ การุณย์ต่อเพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    เช่น การอนุเคราะห์คนทำผิดให้ทำถูก
    ด้วยวิธีที่เหมาะสม นิ่มนวล โดยให้รู้จักเหตุ
    รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาลเวลา
    รู้จักสถานที่ รู้จักบุคคล

    ปุจฉา
    วิธีเอาชนะข้อบกพร่อง


    ดิฉันได้ไปฟังเทศน์และฟังเทปของหลวงปู่ มีความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาท่านมาก จนถูกเพื่อนๆ เหน็บแนม จึงสงสัยว่า การที่เราจะศรัทธาพระรูปไหนมากๆ ผิดด้วยหรือเจ้าคะ ดิฉันจึงรู้สึกหมดศรัทธาในตัวเขา ทั้งๆ ที่เขาปฏิบัติธรรมมานานน่าจะพูดดีคิดดีใช่ไหมเจ้าคะ

    ขอถามปัญหาส่วนตัวสักเล็กน้อยว่า ทำยังไงจะชนะความ ขี้เกียจง่วงเหงาหาวนอนได้ตลอด ไป และทำยังไงจะชนะความโกรธได้ตลอดกาล เพราะทั้งสอง สิ่งนี้เป็นอุปสรรคในการภาวนาของดิฉันมากเจ้าค่ะ

    วิสัชนา
    คุณผู้เป็นทุกข์เพราะเพื่อน


    คุณก็พูดเองว่า คนที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ เขาเป็นแค่เพื่อน มิได้เป็นสิ่งที่มีอยู่ภายในใจคุณ

    เรื่องของเรื่อง คุณเพียงแค่ไม่รับเอาสิ่งเหล่านั้นมาไว้ในใจคุณ มันก็จบ ฉันคิดว่าเพื่อนของคุณคงจะไม่บังคับว่า คุณต้องฟัง ฟังแล้วต้องเชื่อ

    ส่วนคำถามที่ว่า ทำยังไงจะชนะความโกรธ ความเกียจคร้าน และความง่วงเหงาหาวนอนได้

    ก็ขอตอบว่า... เจริญสติ ฝึกสติ ทำให้เกิดสติทุกลมหายใจ ราย ละเอียดในการฝึกสติขอให้ หาอ่านดูในหนังสือ "วิถีแห่งพุทธะ" เพราะถ้าจะตอบตรงนี้คง จะใช้เวลามากพอสมควร สำหรับคำถามที่ว่า... ภาวนาทีไร ง่วงนอน ทุกที แสดงว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะ คุณไม่ได้ภาวนา ถ้าภาวนาอยู่จักไม่ง่วง ที่ง่วงเพราะไม่ได้ภาวนา เหตุที่ไม่รู้ว่า ...ภาวนาหรือไม่ เพราะคุณขาดสติ

    อยากจะแนะนำคุณว่า ถ้านั่งอยู่แล้วมันง่วงก็ลุกขึ้นยืน ในขณะที่ยืนก็มีสติรับรู้ รูปยืน กิริยาที่ยืน สำรวจตรวจดูว่าคุณยืนตรงหรือไม่ ยืนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือเปล่า ถ้ารับรู้ได้ว่าคุณยืนด้วยอาการลักษณะ เช่นไร นั่นแหละคือตัวสติ แล้วล่ะ แล้วคุณจักหายง่วงเอง

    ปุจฉา
    ช่่วยแก้ไขคนผิด


    ลูกอยากทราบว่า การที่คน เราอยู่ในสังคม ถ้าเราเห็นคนที่ทำไม่ดี ทำผิด ซึ่งเป็นคนใกล้ตัวเรา แล้วเราควรจะบอกให้เขา แก้ไขหรือไม่

    ถ้าไม่บอกไป บางทีอาจทำให้เขายิ่งเสียนิสัย แต่ในทางตรงกันข้าม เราบอกไปด้วยเหตุ ด้วยผล บางทีเขาอาจไม่ยอมรับ และทำให้คนอื่นๆ มีผลกระทบด้วย อย่างนี้ควรทำอย่างไรดีครับเขาจึงจะเข้าใจ

    วิสัชนา

    ต้องถามคุณกลับไปว่า คนที่ทำผิดแล้วอยู่ใกล้ตัวคุณ มีอิทธิพลต่อคุณและคนในสังคมหรือไม่

    ถ้ามี คุณยิ่งต้องกระตือรือร้น หาวิธีแก้ไข แม้ว่าการแก้ไขนั้นๆ อาจจะต้องสูญเสีย เจ็บปวดไปบ้าง แต่เพื่อรักษาประโยชน์สุขของส่วนรวม คุณก็ต้องทำ

    แต่ถ้าคนผู้นั้น มิได้มีอิทธิพล ต่อคุณและสังคมสักเท่าไหร่ คุณก็ต้อง ช่วยหาวิธีแก้ไข ด้วยจิตที่คิดว่า อนุเคราะห์ช่วยเหลือ ให้คนทำผิด กลายเป็นคนทำถูก ด้วยวิธีที่เหมาะสม นิ่มนวล

    โดยมีหลักของสัตบุรุษอยู่ว่า ให้รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาลเวลา รู้จักสถานที่ รู้จักบุคคล
    เช่นนี้ก็ต้อง ถือว่า คุณการุณย์ต่อเพื่อนผู้ร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วล่ะ"
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: การสวดมนต์ เป็นการเจริญสติหรือไม่? <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">15 มกราคม 2551 15:27 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    ขอวิธีแก้เครียด


    กราบนมัสการหลวงปู่ ดิฉันทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง วันๆ ต้องบริหารจัดการงานต่างๆ วุ่นวายทั้งวัน ระยะหลังๆ มานี่เศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าก็น้อยลง ดิฉันก็เลยรู้สึกเครียด กลัวว่าบริษัทจะปิด แล้วตัวเองต้อง ตกงานด้วย ดิฉันเครียดจนนอนไม่ค่อยหลับ ต้องไปซื้อยานอนหลับมากินจึงจะหลับ ขอความเมตตาหลวงปู่ช่วยแนะวิธีแก้เครียดและนอนไม่หลับให้ด้วยค่ะ

    วิสัชนา

    ถ้ากลางวันคิดอะไรมากๆ มาแล้ว กลางคืนก็รู้จักผ่อนคลาย ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ ก่อนนอน ทำอย่างนี้สักสิบยี่สิบครั้งเดี๋ยวก็หลับไปเอง การที่พระให้ทำสมาธิ ก่อนนอน ก็เพื่อสะกดจิตให้หลับนั่นเอง จะได้ไม่ต้อง อาศัยยานอนหลับ

    ปุจฉา
    เป็นคนขี้โกรธ ทำอย่างไรดี


    นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ผมเขียนมาเรียนถามหลวงปู่ 2 ข้อ คือ

    1. ทำอย่างไรจะเอาชนะความโกรธได้ เพราะผมเป็นคนขี้โกรธ ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้ แต่บางทีมันก็เป็นไปโดยไม่รู้ตัว

    2. การสวดมนต์เป็นการเจริญสติหรือไม่ เพราะผมใช้วิธีการสวดมนต์ เนื่องจากผมนั่งสมาธิไม่เป็น ขอขอบพระคุณมากครับที่ช่วยตอบให้ผม

    วิสัชนา

    1. เจริญเมตตา และทำให้เกิดความรักเป็นประจำอยู่ในใจ รู้จักเสียสละ แบ่งปัน ให้อภัย สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรมระงับความโกรธ การที่เราจะเอาชนะอารมณ์ของตนนั้นมันก็ไม่ง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปด้วยถ้าเราจะทำอย่างจริงๆ จังๆ

    2. ขึ้นอยู่กับว่าคุณสวดด้วยกายพร้อมใจหรือเปล่า แต่ถ้าสวดเพียงแค่ซาก ปากก็อ้าปาวๆๆ แต่ใจคุณเลื่อนลอยออกไป ก็แสดงว่าคุณไม่ได้อะไร คุณไม่ได้เจริญสติ คุณเพียงแค่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเฉยๆ เหมือนที่นกแก้วพูดคำว่า พ่อ แม่ แต่มันไม่รู้ความหมายว่าแปลว่าอะไร

    คำว่าเจริญสติคือการทำให้ สติเจริญ เราต้องรู้เข้าใจลึกซึ้ง สุดท้ายเมื่อจบการสวดนั้น จิตเราสงบ สันติสุขก็ปรากฏ นั่นคือการเจริญสติ

    แต่ถ้าสวดแล้วมันยังหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญโมโหโทโส พอสวดจบแล้วหันมาทะเลาะกันในครอบครัว อย่างนี้ถือว่าไม่ได้เจริญอะไร ถ้าอย่างนั้นอย่าสวดดีกว่า

    ปุจฉา
    อานิสงส์การนั่งสมาธิ


    กราบเรียนหลวงปู่พุทธะ-อิสระ ลูกมีข้อสงสัยที่อยากจะทราบว่า การนั่งสมาธิแบบหลับตา และการลืมตาเจริญสติ ทั้งสองอย่างนี้จะมีอานิสงส์ เท่ากันหรือไม่เจ้าคะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ

    วิสัชนา

    ถ้าคุณทำได้มันก็ได้ดีทั้งลืมตาและหลับตา แต่ถ้าคุณทำไม่ได้มันก็ไม่ดีทั้งลืมตาและหลับตา สำคัญมันอยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า ถ้าคุณทำได้อะไรมันก็ดี แล้วสติน่ะเขาไม่ได้ให้เราฝึกตอนนั่งหลับ เขาให้เราฝึกในขณะกิน ทำ พูด เรื่องทั้งหมดเราควบคุมมันได้ อย่างถูกต้อง ไม่บกพร่อง นั่นคือการฝึกสติ

    การเจริญสติไม่มีวิถีทาง แต่ทำได้ทุกวิถีทาง การเจริญสติ ไม่มีเวลา แต่ทำได้ทุกขณะที่คุณหายใจเข้าและออก แล้วคุณรู้สึกสงบ

    ปุจฉา
    แผ่บุญกุศลตอนไหนดี


    นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ผมอยากทราบว่า การแผ่บุญกุศลให้ผู้อื่นนั้นสามารถทำได้บ่อยๆ หรือไม่ เพราะมีบางคนบอกว่าจะต้องทำเฉพาะตอนกรวดน้ำเท่านั้น ผมก็เลยไม่แน่ใจ ขอให้หลวงปู่ช่วยบอกด้วยครับ

    วิสัชนา

    การแผ่บุญคือการแผ่ส่วนดี เป็น 1 ในวิธีการทำบุญ 10 อย่าง ก็คือการแผ่เมตตา เช่น วันนี้คุณไปปล่อยปลามา แล้วแม่นอนป่วยอยู่ คุณไปบอกแม่ แม่รับรู้แล้วดีใจ อนุโมทนาด้วย แม่คุณก็ได้บุญ ทุกครั้งที่คุณทำความดี แล้วคุณคิดว่าความดีนี้เป็นของได้มายาก แล้วก็คิดจะให้ความดีที่ได้มายากนี้แก่คนทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายก็เป็น เรื่องดี พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้เราเจริญเมตตา ทรงสอนว่า การเจริญเมตตาแค่ลัดนิ้วมือเดียวมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่

    เจริญเมตตาได้ทุกขณะจิต ภาวนาว่าขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข ภาวนาไว้ในใจ ทุกวัน พลังบุญเราจะเพิ่มขึ้น และจิตใจ ของเราก็จะมากไปด้วยความเมตตาการุณ เราจะเป็นที่รักแก่เทพยดา และคนทั้งปวง
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: อุเบกขาเหมือนเบรกรถ ที่มีไว้ป้องกันอันตรายใช้ดีที่สุดตอนเริ่มต้นชัง หรือรู้สึกชอบ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">7 มกราคม 2551 11:46 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    อยากเลื่อนตำแหน่ง


    กราบหลวงปู่ที่นับถือ ผมทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ทำมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ไม่ ก้าวหน้าขึ้นเลย ไม่เหมือนกับเพื่อนบางคน ที่แอบยักยอกสินทรัพย์ของบริษัทแต่ก็ยังได้ดิบได้ดี มีคนบอกผมว่าถ้าหากอยากได้ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ ให้ไปหาพ่อหมอซึ่งเขาสามารถเสกเป่าเพื่อให้ได้ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นได้ ผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ใจหนึ่งก็อยากจะลองดู สุดท้ายผมเลยตัดสิน-ใจว่าลองเขียนมาถามหลวงปู่ดูก่อนว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ตามที่มีคนบอก และถ้าจะให้ดีควรปฏิบัติ หรือทำบุญอย่างไรดีครับ

    วิสัชนา

    นี่เขาเรียกว่า ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ และกำลังจะทำตัวเองให้เป็นสัตว์ที่ไม่ประเสริฐ กำลังจะก้าวถอยหลังไปจากการเป็นสัตว์ประเสริฐ กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานธรรมดา เพราะ สัตว์ที่ประเสริฐต้องทำต้องฝึกหัดปฏิบัติเรียนรู้ศึกษา ไม่ใช่เพราะการเสกสวดของใคร

    การที่คุณจะมีตำแหน่งหน้าที่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มันอยู่ที่คุณทำเหตุปัจจัยพร้อมมูลหรือไม่ หากคุณทำดีย่อมได้ดีแน่นอน แต่การที่เห็นคนอื่นทำชั่วแล้วยังได้ดีก็เพราะกรรมดีในอดีตของเขายังให้ผล อยู่ แต่เมื่อไหร่กรรมดี นั้นหมดลง กรรมชั่วก็จะให้ผลทบเท่าทวีคูณ

    ปุจฉา
    ใช้อุเบกขาตอนไหนดี


    กราบหลวงปู่ที่เคารพ ผมมี ปัญหาขอให้หลวงปู่ช่วยปุจฉา ดังนี้ คือผมอยากจะรู้ว่าจะมีวิธีปลูกฝังความจริงใจให้แกผู้อื่นได้อย่างไรบ้างครับ เพราะทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าคนในสังคมไม่ค่อยจะจริงใจต่อกันเลย แม้กระทั่งในหมู่เพื่อนร่วมงานก็เป็นเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากถามคือที่เขามักพูดๆ กันเวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นว่าต้องมีอุเบกขา แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าถ้ามีอุเบกขามากไปจะกลายเป็นคนใจดำหรือเปล่า ผมเลยอยากจะรู้ว่าเราควรใช้อุเบกขาตอนไหนจะดีที่สุดครับ

    วิสัชนา

    ไม่ยาก เริ่มจากคุณต้องเริ่ม สร้างแรงจูงใจให้เขาเห็นว่าคุณก็จริงใจ เพราะถ้าคุณจะให้คนอื่นรักคุณ คุณต้องรักคนอื่น คุณจะให้คนอื่นไหว้คุณ คุณต้อง ไหว้คนอื่น คุณจะให้คนอื่นจริงใจ ต่อคุณ คุณจะต้องจริงใจต่อคนอื่น ทำไปอย่าย่อท้อ ขอเพียงคนนั้นมีสำนึก มีหรือคนอยู่ใกล้จะไม่รู้สึกในสำนึกนั้น

    อุเบกขาใช้ดีที่สุดตอนที่คุณเริ่มต้นชังและรู้สึกชอบนั่นแหละ เพราะเมื่อชังต้องใช้อุเบกขาทันทีคือวางเฉยซะบ้าง มันจะทำให้ความชังคุณหายไป ความโกรธอาฆาตพยาบาทโมโหรุนแรงเลวร้ายทั้งหลายมันก็จะลดน้อยถดถอยลงไป ส่วนรู้สึกชอบก็ต้องรู้จักอุเบกขา เพราะชอบบ่อยๆ มันก็จะเมา ประมาท ขาดสติ อุเบกขา จึงเหมือนเบรกรถที่มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายนั่นแหละ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: ควรคารวะแผ่นดินโดยทำตนเป็นบุคคลที่ซื่อตรง ทำเรื่องดีๆ ไม่บกพร่อง สุจริต จริงจัง ตั้งใจอย่างบริสุทธิ์ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">25 ธันวาคม 2550 13:47 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    คารวะแผ่นดินคืออะไร?


    กราบหลวงปู่ที่เคารพ ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยฟังเทปของหลวงปู่ ในชุดคารวะแผ่นดิน ผมก็เลยอยากรู้ว่า คารวะแผ่นดินคืออะไร ขอให้หลวงปู่ อธิบายหลักการและวิธีการที่ควรปฏิบัติในการคารวะแผ่นดิน ทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการคารวะแผ่นดิน ต้องมีการทำพิธีเหมือนการคารวะบรรพบุรุษหรือเปล่า

    วิสัชนา

    คารวะแผ่นดินก็คือเคารพในแผ่นดินของตน สำนึกในบุญคุณแผ่นดินที่ให้แก่ตน ยอมรับยกย่องในแผ่นดินที่มีอุปการคุณแก่ตน และตอบแทนบุญคุณแก่แผ่นดินในอันที่ตนจะพึงทำได้ เช่น เสียภาษีตามกาล ทำหน้าที่ถูกต้อง ทำเรื่องดีๆ ไม่บกพร่อง ทำตนเป็นบุคคลที่ซื่อตรง ถ้ามีหน้าที่บริหารจัดการกิจกรรมการงานใดที่อยู่บนแผ่นดินนี้ ก็จงทำทุกอย่างด้วยวิธีและวิถีที่ซื่อตรง สุจริต จริงจัง ตั้งใจ จับจ้องและจดจ่อ อย่างเป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ในใจ เหล่านี้ถือว่าเป็นกิริยาอาการที่ทำเพื่อ คารวะแผ่นดิน เช่น คุณเป็นครู ก็เป็นครูที่ซื่อตรง ไม่บกพร่องในหน้าที่ ของความเป็นครู ทำให้คนทั้งหลายยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นครูว่าเป็นสถาบันที่ ศักดิ์สิทธิ์ ควรเคารพกราบไหว้ คุณก็เป็นครูที่คารวะแผ่นดิน เพราะคุณทำประโยชน์ให้เกิดแก่แผ่นดินนี้

    ปุจฉา
    พรหมลิขิตชีวิต?


    กราบเรียนหลวงปู่เจ้าค่ะ ดิฉันมักจะได้ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่า ชีวิตของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตหรือโชคชะตามาดลบันดาลให้ ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ก็เป็นเพราะพรหมลิขิตมาให้แล้วทั้งนั้น ก็เลยอยากจะทราบว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ และถ้าเป็นจริงเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร

    วิสัชนา

    น่าสงสารนะ แม้แต่ชีวิตตัวเองยังไม่มีปัญญาจะรักษา ยังเอาไปฝากไว้กับพรหมกับโชคชะตา อยากบอกว่าชีวิตเป็นของคุณ ถ้าคุณเป็นนายของมัน คุณเข้าใจตัวคุณ คุณรู้จักตัวคุณ คุณเรียนรู้ตัวคุณ แจ่มแจ้งในตัวคุณ คุณต้องควบคุมมันได้ ชีวิตไม่ใช่ของพระพรหม ไม่ใช่ของเทพเจ้า ไม่ใช่ของโชคชะตา ไม่ใช่พรหมลิขิตที่ไหน ชีวิตเป็นของคุณ คุณกินก็อิ่ม ไม่กินก็หิว ไม่นอนก็ง่วง

    พระพรหมไม่ได้มาบังคับให้คุณทำอะไรหรือมาบันดาลให้คุณเป็นอะไร คุณทำดีก็ได้ดี คุณปลูกมะม่วง ก็ย่อมออกมาเป็นลูกมะม่วง ถ้าพระพรหมบันดาลคุณจริงๆ คุณลองปลูกมะม่วงแล้วขอพระพรหมให้ ออกมาเป็นลูกมะพร้าวดูซิ ถ้าออกมาได้ฉันจะเชื่อว่าพระพรหมบันดาล

    เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อว่าพระพรหมลิขิตชีวิตเรา อย่าไปเชื่อว่าเทพยดาหรือดวงดาวใดๆ ชี้นำชีวิตเรา เราเป็นเจ้าของชีวิตเราเอง คุณกลับไป ดูแลชีวิตซะใหม่ กลับไปใช้มันให้มันมีประสิทธิภาพในตัวคุณ แล้วคุณ จะรู้ว่าความสำเร็จอยู่กับคุณ หรือความไม่สำเร็จก็อยู่กับคุณเหมือนกัน อย่าไปดูถูกศักยภาพและสมรรถนะของชีวิต แค่คำว่าพระพรหมและหมอดู
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: ยึดอย่างไรไม่เป็นทุกข์ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">19 ธันวาคม 2550 11:05 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    ไม่อยากเป็นทุกข์


    ลูกอยากจะขอคำชี้แนะจากหลวงปู่ว่า

    1. การที่เรายังเป็นปุถุชนอยู่นั้น เราน่าจะยึดอย่างไรให้ไม่เป็นทุกข์มากๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือคนที่เรารัก

    2. ธรรมะใดที่สามารถฝึกทำให้เราพึ่งพาตนเองได้ทางใจ และเป็นคนที่เข้มแข็ง มีพลัง

    3. การทำให้อยู่เหนือทั้งดี-ชั่ว เราควรพิจารณาสิ่งนั้นหรือไม่สนใจทำเฉยๆ ครับ

    ขอน้อมกราบนมัสการ สาธุ

    วิสัชนา

    1. ยึด สัตว์ บุคคล เขา เรา ไม่ได้หรอกคุณ ที่สุดไม่ได้ดังใจก็ต้องเป็นทุกข์อยู่ดี ลองหาพระธรรมที่เหมาะสมกับตนสักข้อเป็นเครื่องยึดถือ น่าจะทำให้คุณชนะทุกข์ได้

    2. สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว หรือศีล สมาธิ ปัญญา

    3. ต้องมีสติปัญญา พิจารณาทุกอย่างเหมือนดั่งคนที่ยืนดูสรรพสิ่งอยู่บนยอดเขา แล้ววางตัวเป็นกลาง ด้วยคิดว่าสักแต่ว่าเห็นมิได้เป็นของเราจริงๆ หรือไม่ก็ใช้ปัญญาพิจารณา ทุกอย่างที่พบเห็นด้วยความรอบคอบ ระลึกว่าทุกสรรพสิ่งมีที่สุด เกิด โต ตาย แล้วจะไม่มีอะไรมีอำนาจ เหนือคุณ

    ปุจฉา
    วางอย่างไร


    กราบนมัสการครับ

    1. วางจิตให้ได้ตรงกลาง ละทั้งไม่อยากและอยากทำได้อย่างไรครับ

    2. ผมปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งแล้วตอนนี้พบว่าความคิดเกิดขึ้นตลอดเวลากำหนดรู้ เมื่อไรก็เจอเมื่อนั้นจนรำคาญและเบื่อมัน มีผู้บอกให้ผมวางมัน ทำอย่างไรครับ

    วิสัชนา

    1. เจริญสติจนบังเกิดผลเป็นสมาธิ เข้าสู่ฌาน 1-2-3 ตามลำดับจนถึงฌานที่ 4 ซึ่งมีอารมณ์สุขและเอกัคคตา คือความวางเฉยในอารมณ์ ทั้งปวง เช่นนี้เรียกว่า สมถะ อีกอย่างหนึ่ง สติและปัญญา รู้แจ้งตามความเป็นจริงว่าสรรพสิ่งในโลกมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ไม่มีอะไรคงที่จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายความอยาก จิตก็ดิ่งอยู่ในความสงบ เช่นนี้เรียกว่า วิปัสสนา

    2. คุณมิได้บอกว่าคุณคิดอะไร และเป็นความคิดถูกหรือคิดผิดจากคลองธรรมหรือไม่ ถ้าคิดถูกมันก็จะหยุดเองเมื่อไม่มีอะไรเหลือให้คุณคิด

    ปุจฉา
    ละเมิดกุศลกรรมบท 10 หรือเปล่า


    กราบขอความเมตตาหลวงปู่ ผมมีความสงสัยดังนี้

    1. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยมีการคิดถึงคนที่เรารัก (จินตนาการ) หรือเห็นผู้หญิงที่ถูกใจแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ จัดว่าเป็นการละเมิดกุศลกรรมบท 10 หรือเปล่า

    2. การพูดจาเพ้อเจ้อและนินทาเพื่อนๆ พอเป็นกระสายไม่จริงจัง แต่เพื่อความสนุกสนานในหมู่เพื่อนฝูง จัดเป็นการละเมิดกุศลกรรมบท 10 หรือไม่

    3. จิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน สมาธิสั้น จิตมีอวิชชา จิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่หลุดพ้น จัดเป็นอกุศลจิต ในวันหนึ่งๆ เกิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ บีบคั้นจิตใจมาก เบียดเบียนตนเอง(ต้องอดทนไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น)จัดเป็นบาปหรือไม่ ถึงแม้จะทำบุญมามาก เช่น ดูแลบิดามารดา เคารพผู้ใหญ่ ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ ตายไปต้อง ตกนรกหรือเปล่า

    วิสัชนา

    เอ้า...เอาเข้าไป คุณช่างเข้าใจสรรหาคำถามแปลกๆมาถามพระ แต่เพื่อไม่ให้เสียจรรยาบรรณของผู้ตอบปัญหา ฉันจะตอบคุณก็แล้วกัน เรื่องที่คุณถามมา

    ข้อที่ 1 ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดในกุศลกรรมบท 10 เพราะในหลักมโนสุจริต มีแค่ ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่พยาบาท เห็นชอบตามกฎของกรรม และก็ไม่ถือว่าเป็นการประพฤติผิดในกามของข้อกายทุจริต เพราะความหมายของกายทุจริตข้อประพฤติผิดในกาม หมายถึงการสำส่อนทางเพศ ไม่เลือกลูกเขาเมียใคร

    ข้อ 2 ถ้าพูดแล้วทำให้ผู้อื่นเสีย หาย แม้สิ่งที่พูดจะเป็นเรื่องจริง แต่นำมานินทาเพื่อความมันในอารมณ์ คะนองปาก เช่นนี้ถือว่าเป็นวจีทุจริต

    ข้อ 3 แม้คุณจะไม่ ผิดต่อคนอื่น แต่คุณก็ผิดและโหดร้ายต่อตนเอง อย่างนี้ ตายไปสมควรตกนรก ...ไม่ใช่ฉันสั่ง แต่เพราะจิตเศร้าหมองของคุณพาไป
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: การสาปแช่งคนชั่วให้รับกรรม คือการกำลังทำความชั่วเสียเอง <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">3 ธันวาคม 2550 14:59 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    เวรกรรมตามทัน


    ผมเป็นคนที่สนใจพุทธศาสนาอยู่บ้าง แต่มีข้อสงสัยดังนี้

    1. การเรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาแก่เด็กและเยาวชนให้เห็นภาพและ ข้อเท็จจริงควรสอนด้วยการใช้วิธีการอย่างไร

    2. ทำอย่างไรจึงจะทำให้เวรกรรมตามทันคนที่ประพฤติชั่วในชาตินี้

    3.ทำอย่างไรให้จิตสงบไม่คิดมาก ทำอย่างไรให้อีกฝ่ายได้รับผลกรรมที่ก่อกับเราไว้

    วิสัชนา

    1. สอนให้เขาเห็นว่า พระพุทธศาสนา มีอยู่ในชีวิตเขาตั้งแต่เกิดยันตาย เช่น ชี้ให้เขาเห็นว่า การที่น้องหนูรักพ่อรักแม่ ทำตามที่พ่อแม่อบรมสั่งสอน นี่ก็เป็นพุทธศาสนา ข้อว่า กตัญญู คือรู้บุญคุณท่าน พร้อมกับทำตามให้ท่านสบายใจ จัดว่าเป็นการตอบแทน พระคุณ เรียกว่า กตเวทิตา ชี้ให้เขาเห็นว่าการที่น้องหนูขยันหมั่นเพียร ศึกษาเล่าเรียนก็จัดว่าเป็นพุทธศาสนา ข้อที่ว่า วิริยะ คือความเพียร น้องหนู อดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก ต่อความไม่พอใจ อดทนอดกลั้นต่อความยั่วยวนได้ โดยไม่ตกเป็นทาสของสิ่งนั้นๆ นั่นก็แสดงว่า น้องหนูมี ขันติ ความอดทน

    เหล่านี้เป็นวิธีสอนพุทธศาสนาทั้งนั้นแหละคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณ ผู้สอนจะมองเห็นพุทธศาสนา หรือไม่เท่านั้นแหละ

    2. ฉันคิดว่าคนที่ลงมือทำชั่ว เขาก็ทำด้วยความยากลำบากอยู่แล้ว เมื่อลงมือทำก็ยิ่งไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ซึ่งเขาก็ต้องได้รับไม่มากก็น้อย ก่อนทำก็คิดหนักวางแผนมาก ขณะทำก็ทำด้วยความยากลำบาก กลัวผู้อื่นจะเห็น ครั้นทำแล้วก็ไม่สบายใจ เผลอๆ เป็นโทษทางกายอีกต่างหาก คุณไม่ต้องไปสาปแช่งเขาหรอก ไม่งั้นเดี๋ยวคุณจะชั่วเสียเอง

    3. การทำจิตให้สงบ อันดับแรกต้องดูว่าไม่สงบเพราะอะไร ถ้าไม่สงบเพราะความผูกโกรธ ก็ต้องเจริญเมตตาด้วยการท่องในใจทุกครั้งที่นึกได้ว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข" ถ้าไม่สงบเพราะความฟุ้งซ่าน ก็เจริญสติระลึกรู้ลมหายใจว่า เข้าอย่างไร ออกอย่างไร

    ปุจฉา
    ระงับเวรได้ไหม


    กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพอย่างสูง

    1. เวรจะระงับลงได้ไหมคะถ้าเราอโหสิกรรม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมอโหสิกรรม แล้วยังอาฆาตพยาบาทจองเวรอยู่ ถ้าเราแผ่เมตตาโดยระบุชื่อ จะช่วยให้เวรระงับได้ไหมคะ

    2. มีวิธีใดบ้างที่ภพชาติต่อๆ ไปเราอยากมีบริวารสมบัติมากๆ นอกเหนือ จากการชวนคนไปฟังธรรมหรือชวนคนไปทำบุญ เพราะชาติปัจจุบันไม่มีบริวารเลยต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย(ชวนพ่อแม่ พี่น้อง ลูก สามี เพื่อน ก็ไม่มีใครไปกับเราเลย)

    ขอความเป็นมหามงคลอันสูงสุดจงมีแด่องค์หลวงปู่ทุกประการเทอญ

    วิสัชนา

    1. เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าคุณอโหสิกรรมแล้วเขายังไม่รับรู้ ก็เป็นไปได้ที่เวรนั้นๆยังมิได้มีการระงับในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่มีชีวิตอยู่แล้ว อีกฝ่ายก็สามารถอโหสิกรรมให้ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศล

    2. การสร้างบริวาร มิใช่มีแต่ชวนคนไปทำบุญฟังธรรมได้อย่างเดียว การมีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว คุณก็สามารถมีบริวารได้

    ปุจฉา
    ขอทางสว่างสงบ


    กราบนมัสการหลวงปู่ หนูมีความทุกข์แสนสาหัส มีปัญหาเรียนถามหลวงปู่ดังนี้

    น้องชายของหนูถูกรถบัสปีศาจ คันใหญ่ คนขับเมายาหลับใน ขับด้วย ความเร็วสูง ขาดสติ พุ่งเข้าชนและขึ้นเหยียบรถของน้องชายจนแบนราบ แหลกละเอียด น้องชายเสียชีวิตพร้อมเพื่อน สร้างความสูญเสียอย่าง ใหญ่หลวง เพราะผู้ตายเป็นหลักของ ครอบครัว เป็นที่พึ่งของพ่อแม่

    คนขับรถหนี เจ้าของรถปีศาจดังกล่าวซึ่งเป็นเจ้าของรถประจำทางรายใหญ่ของประเทศไทย หาทางปกปิดบิดเบือน โดยไม่รับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สิน อาศัยอำนาจทางชั่วถือว่าตนใหญ่ ขาดจิตเมตตาไร้มนุษยธรรม ยืนอยู่บนกองทุกข์ทรมานของญาติผู้ตายที่สูญเสีย ในขณะที่ฉากหน้าประกาศความยิ่งใหญ่ ร่ำรวย สร้างภาพว่าเป็นคนดีมี คุณธรรม เพื่อให้สังคมรับรู้ยกย่อง แต่แท้จริงแล้วเป็นคนคิดคด มีแต่กลโกง เอาเปรียบเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ร่ำรวยมาจากความทุกข์ยากของผู้อื่น ถามว่าคนพวกนี้จะได้รับผลกรรมหรือไม่ ทำไมยังคงอยู่ดีมีสุขสร้างความร่ำรวยต่อไป และเอาเปรียบเบียดเบียนผู้คนต่อไปด้วย วิธีการ ที่แยบยลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าดีวิเศษ มีคุณธรรม ใจบุญ โดยไม่ละอายทั้งที่เงินทั้งหลายได้มาโดยกลโกง สังคมก็ต้องยกย่องที่เงิน หรือกลัวอำนาจ เพราะเงินคืออำนาจ เวรกรรมมีจริงจะตามสนองเมื่อไหร่

    ท้ายนี้ขอความเมตตาจากหลวงปู่ช่วยเหลือนำทางที่ดี ทางที่สว่าง สงบสุข ให้น้องชายหนูพบแต่สิ่งที่ดี และขอบารมีหลวงปู่ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาครอบครัวของหนูและญาติพี่น้องทุก คนด้วยค่ะ กราบหลวงปู่ที่เมตตา

    วิสัชนา

    อย่าไปคิดอะไรมากเลยคุณ ถึงรถจะไม่ทับน้องคุณตาย สุดท้ายเขาก็ต้องตายจากคุณอยู่ดีแหละ คิดเสียว่ารถและคนคนนั้นเป็นคู่กรรมของน้องชายคุณก็แล้วกัน

    คุณก็ไม่ควรจะลดตัวเองลงไปเป็นคู่กรรมคู่กัดกับเจ้าของรถอีกคน เสียน้องก็เสียแล้ว ทำไมยังจะต้องมา เสียคน เสียใจซ้ำซากอยู่อีกเล่า ไม่รู้จัก เบื่อบ้างหรืออย่างไร หมั่นทำดี มีเมตตา รู้จักให้อภัย แล้วใจจะเป็นสุข
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา:จะนำสังคมที่กำลังหลงกลับมาใกล้ ธรรมได้อย่างไร <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">5 พฤศจิกายน 2550 15:35 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    ช่วยคนเขลาด้วย


    กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผมหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง ขุ่นเคืองใจเวลาเธอเล่นหัวกับคนอื่นๆ ขุ่นใจเวลา เธอไม่แยแสผม ผมทราบว่านั่นคือความเห็นแก่ตัว และรู้ว่าต้องปล่อยวาง แต่เหมือนกับ "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" เหมือนคนไม่เคยเจ็บตัว คนไม่เคยหลงป่า เพียงรู้อาการ ว่าเจ็บตัวเป็นอย่างไร รู้ว่าคนหลงป่าเป็นอย่างไร ไม่ซึมซาบเข้าไปในจิต เพียงแต่เป็นความรู้แบบหมาหางด้วน เท่านั้น จนใจ จนปัญญา ขอหลวงปู่เมตตาช่วยคนเขลาอย่างผมด้วย

    วิสัชนา

    ความรัก เป็นความงดงามทางวิญญาณ เช่น พ่อแม่ เราท่านอยากเห็นเรามีความสุข ครูอาจารย์รักเราก็อยากเห็นเรารุ่งเรืองเจริญ สุภาพบุรุษรักสตรี ก็คิดวา ขอสตรีที่เรารักจงมีสุข สตรีรักบุรุษ ก็หวังว่า ขอบุรุษที่เรารักมีความสุข ตัวอย่างความรักเหล่านี้ต่างหากเล่าที่เป็นความรักสร้างโลก แต่ความรักที่คุณมี เป็นความรักผลาญโลก ทำลายล้างโลก ใครผู้ใดที่มีความรักเช่นนี้อยู่ในใจ ก็จะจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ระทม เร่าร้อน เศร้าซึม

    โถ...ช่างน่าสงสารจริงๆ...ใช้ปัญญาหน่อย...คุณ

    ปุจฉา
    กำลังหลง


    ปัจจุบันหลงในวังวนของสังคมมาก จะทำอย่างไรให้กลับมาใกล้กับธรรมะได้เหมือนเดิม โดยไม่ฝืนธรรมชาติของจิตมากเกินไป

    วิสัชนา

    เรียนรู้ตัวเอง ค้นหาตัวเอง พยายามทำความเข้าใจในตัวเองว่าต้องการอะไร แล้ววิเคราะห์ว่าสิ่งที่คุณต้องการนั้น เป็นสิ่งที่พึ่งให้แก่คุณได้หรือไม่ แม้ชีวิตหลังความตาย

    ปุจฉา
    หัวหน้าบ้าอำนาจ


    กราบนมัสการหลวงปู่ หากมีหัวหน้างานที่นิสัยไม่ดี บ้าอำนาจ ทำให้ลูกน้องเป็นทุกข์อยู่เนืองๆ จะปฏิบัติอย่างไรต่อบุคคลเช่นนี้

    วิสัชนา

    หนีได้มั้ยล่ะ ถ้าหนีไม่ได้ก็คิดเสียว่า อยู่เพื่อเป็นการฝึกจิตใจเรา ว่า สามารถอดทนต่อแรงบีบรอบข้างได้มากน้อยเพียงใด ฉันว่าน่าจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ที่เขาสู้อุตส่าห์ฝึกคุณให้เป็นคนแกร่งเข้มแข็ง ถ้าคุณทนได้ ยอดมนุษย์เลยล่ะ ไม่เห็นต้องไปคิดมากเลย รู้จักหาวิธีคิดให้ชีวิตมีความสุขบ้าง

    ปุจฉา
    ทำปาณาติบาตโดยหน้าที่


    กราบนมัสการท่านหลวงปู่ที่เคารพ กระผมรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าการ กระทำปาณาติบาตนั้นเป็นของไม่ดี และพยายามตั้งใจรักษาศีลข้อนี้ไว้โดยตลอด โดยแม้ว่าจะเป็นมดหรือว่ายุงสักตัว ถ้าไม่เผลอไปก็จะไม่เคย คิดจะทำร้าย ถึงจะเป็นหน้าที่ก็ไม่เคย คิดจะทำการงานอาชีพที่ต้องผิดศีลเช่นนี้เลย เช่น อาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ทั้งหลาย แต่ถ้าเหตุการณ์บังคับหรือ มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำปาณาติบาต เช่น ตัวกระผมเป็นอาจารย์อยู่ที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งโดยที่ในวิชาหนึ่ง ของกระผมที่จะต้องนำสัตว์ต่างๆ เช่น กบมาผ่าเพื่อทำการศึกษา ถึงระบบต่างๆ ให้นักศึกษาได้ศึกษากัน แต่กระผมก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีเลย จะไม่ทำ นักศึกษาก็จะไม่ได้ความรู้ แต่พอครั้นจะทำ ก็จะเป็นการเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น กระผมควรทำเช่นไร และผลกรรมของกระผมจะมีมากน้อยเป็นประการใดครับ หรือจะเป็นอุปถัมภกกรรมของกระผมมาแต่ชาติอื่นใดที่กระผมจะต้องมากระทำบาปอัน ตัวกระผมไม่ต้องการเลย ขอนมัสการ

    วิสัชนา

    1. บาปคุณก็มี แต่บุญคุณก็มากมิใช่น้อย เพราะความรู้ที่คุณสอนและลูกศิษย์คุณได้ เขาเอาไว้ช่วยชีวิตคน ซึ่งก็มีเป็นจำนวนมาก ลองชั่งวัดดูแล้ว บุญน่าจะมากกว่าบาป

    2. ถ้าคุณระลึกถึงแล้วรู้สึกผิด ก็ทำ บุญอุทิศให้แก่เขาแล้วอธิษฐานขออโหสิกรรม บอกให้เขารู้ว่าเรามิได้มีเจตนา แต่มันเป็นความจำเป็น เพื่อชีวิตผู้อื่นอีกหลายๆร้อยชีวิต คุณจึงต้องทำ ฉันมีคำพูดของพระมหาโพธิสัตว์องค์หนึ่งท่านพูดเอาไว้ว่า"ถ้าไม่ลงนรกแล้วจะ รู้ได้อย่างไรว่า สัตว์นรก เป็นทุกข์"การมีชีวิตอยู่ที่ต้องเกาะเกี่ยวกับสังคม มันก็เป็นเช่นนี้แหละคุณจะให้บริสุทธิ์ทุกย่างก้าวคง เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นพระ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา: <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">22 ตุลาคม 2550 15:30 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> คนพูดมากไม่ได้หมายความว่าเป็นคนดีได้มาก
    คนแสดงมากไม่ได้หมายถึงเป็นคนวิเศษได้มาก
    มันจะดีมาก วิเศษมาก อยู่ที่เราทำอะไรได้มากต่างหาก

    ปุจฉา

    จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีค่าขึ้นกว่าเดิม

    วิสัชนา

    จงเชื่อพระพุทธเจ้า ในข้อหรือความหมายของคำว่า ตนแลเป็นที่พึ่ง ของตน และเมื่อพวกท่านเชื่อตามนั้น ก็ต้องพยายามทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ เราจึงจะแผ่ความเป็นที่พึ่งของเราให้คนอื่นเขาพึ่งบ้าง

    การที่หลวงปู่สั่งงานให้ทำ ก็เพื่อต้องการจะให้รู้จักฝึกระเบียบของกาย จนเป็นระบบของจิตที่กล้าแข็ง เมื่อ จิตใจมีระบบในความรู้สึกนึกคิด การกระทำทั้งหลายที่เกิดจาก จิตที่กล้าแข็ง ย่อมเต็มไปด้วยความสำเร็จ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีประโยชน์ และก็ย่อมเป็นไปด้วยความภาคภูมิใจ

    แต่ถ้าคนที่มีความอ่อนแอ คนที่มีกิริยาอาการที่หนักไม่เอาเบาไม่สู้ คนที่มีชีวิตอยู่กับการเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกนี้มีความคิดสับสน จัดระเบียบ ของความคิดไม่ได้ และสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรก่อนหลัง พวกนี้หาความสำเร็จในการเกิดไม่ได้

    รู้ไหมว่า คำว่า ศาสนา แปลว่าอะไร ศาสนามาจากคำว่า ศาสน หรือ สาระ การใช้ชีวิตให้มีสาระ รวมความ แล้วว่า คราใดที่เรามีการ กระทำ คำพูด หรือเรื่องที่คิดที่เป็นสาระ ถือว่าเราเข้าถึงศาสนา แต่ถ้าเมื่อใดที่เรา
    มีชีวิตอยู่อย่างไร้สาระ เราไม่รู้จัก คำว่าศาสนา

    การที่พวกท่านได้มีโอกาสทำงานเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อศาสนา เป็นการทำลายความตระหนี่ ความเกียจคร้าน ความละโมบ โลภมาก ความเห็นแก่ตัว เป็นจิตใจที่คับแคบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความไม่ดี ต้องสละและทำลายมันลงไป ด้วยการเป็นผู้ให้ อดทน และก็ทำมันด้วยความรู้สึกเพื่อจะเรียนรู้ ฝึกปรือ และก็สลัดหลุดจากความเกียจคร้าน ความสันหลังยาว การเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ และการขาดความอดทน


    เหล่านี้ไม่มีตำราเล่มใดเขาสอน กัน นอกจากพวกท่านต้องฝึกด้วยตัวเอง ไม่มีโรงเรียนไหนเขาชี้นำได้ นอกจากพวกท่านต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ถ้าทำได้อย่างนั้น ฝึกได้อย่าง นั้น เรียนรู้ได้อย่างนั้น ก็ถือว่าได้ เข้าถึงศาสนธรรม หรือธรรมที่ให้สาระแก่การมีชีวิต

    ถ้ามีชีวิต อยู่อย่างไร้สาระ อย่าว่าแต่พระเลย แม้แต่เป็นชาวบ้าน ก็ไร้ค่าขาดราคา ไม่มีประโยชน์ในการได้เกิดเป็นคน

    ถ้าอย่างนั้น คำว่า ศาสนธรรม หรือศาสนา ก็คือการใช้ชีวิตให้มีสาระ ไม่เป็นความสำคัญของผู้นับถือศาสนาก็คือ ผู้ที่เข้าถึงสาระของการมีชีวิต ถ้าเราเข้าใจถึงความหมายของ คำว่าศาสนา หรือสาระของการมีชีวิต เราก็จะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงต้องการอะไรจากการแสดงพระธรรม นั่นคือ พระองค์ทรงต้องการให้สรรพสัตว์ สรรพชีวิตทุกชนิด มีชีวิตอยู่อย่างคนมีสาระ อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีสาระ

    การมีโอกาสได้อบรมกายให้อดทน อดกลั้น ต่อสู้ฝ่าฟันต่อความเกียจคร้าน ความไม่เอาถ่าน เอาแต่นอนกับกินอย่างเดียว แต่ถ้าท่านต้อง การสู้เพื่อเอาชนะ ก็ถือว่าท่านทำชีวิต ให้มีสาระ แต่ถ้าหากว่ามันชนะท่าน ชีวิตของท่านก็ไร้สาระ ท่านจะเห็นว่า หลวงปู่ไม่เคยนอนกลางวัน ถ้าวันใด ที่หลวงปู่นอนกลางวัน แสดงว่าหลวงปู่ป่วย หลวงปู่ไม่เคยหยุดนิ่งหรือนั่งเฉย

    ทั้งนี้เพราะหลวงปู่ไม่อยากจะอยู่ห่างสาระ ไม่อยากอยู่ห่างศาสน-ธรรมนั่นเอง เราอาจจะรู้ธรรมะ เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ แต่ถ้าทำให้ชีวิตไร้สาระ นั่นถือว่าเป็นคนไม่มีธรรมะ ถ้าอย่างนั้นเรา ต้องทำชีวิตให้มันมีสาระด้วยการถามตัวเองว่า วันนี้เราจะได้สาระอะไรกับการใช้ชีวิต ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ เราจะมีสาระอะไรต่อการได้ใช้ชีวิต และถ้าพวกท่านทำไม่ได้ด้วยตนเอง ก็ต้องอาศัยครู ผู้เอื้ออารีที่ทำดีให้เราได้ดูตัวอย่าง

    ขณะนี้หลวงปู่ทำหน้าที่เป็นครู ทำให้พวกเราได้ดูอยู่ตลอดวันและตลอดเวลา พยายามสังเกต อย่าปล่อยชีวิตให้ ตกเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว ถ้าเราทำอย่างนั้นแสดงว่า เราเป็นสาวกของมาร เป็นสาวกลูกหลานของพวกซาตาน

    โดยหน้าที่และฐานะความเป็นอยู่ หลวงปู่มีสิทธิที่จะทำตัวอย่างสบาย มีสิทธิที่จะนั่งเป็นคนชี้นิ้ว แต่เพราะหลวงปู่คิดว่าการนั่งทำตัวสบาย และเป็นคนนั่งชี้นิ้ว มันจะทำให้ชีวิตไร้สาระ มันจะทำให้ชีวิตอับเฉาขาดธรรมะ จะทำให้จิตวิญญาณของหลวงปู่ห่างไกลสาระและศาสนธรรม ถ้ารู้จักสร้าง อุดมการณ์ให้แก่ตัวเองได้อย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องมีครู ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังก็สามารถเอาชนะความเกียจคร้าน ความเห็นแก่ตัว ความไร้สาระ ได้อย่างหมดจด และตลอดเวลา

    แต่ถ้าพวกท่านไม่มีอุดมการณฺ์เหล่านี้ ต่อให้มีครูมานั่งเฝ้าจับตาดูทุกชั่วโมงมันก็ไม่ได้ประโยชน์ มันก็ไม่ได้สาระเท่าที่ควร เพราะการกระทำที่ได้จากการนั่งเฝ้าของครู มันจะเป็นการกระทำของหุ่นยนต์ที่ขาดจิตวิญญาณ มันจะเป็นการกระทำแบบเสียไม่ได้ มันจะเป็นการกระทำของผู้ที่ขาดความรับผิดชอบ ไม่แยกแยะระหว่างดีชั่ว และมันจะเป็น การกระทำของผู้ที่ขาดสติปัญญา แต่ถ้าหากมีอุดมการณ์ของตัวเองอย่างที่ว่ามาแล้วนั้น ไม่ว่าท่านจะทำ จะพูด หรือจะคิด มันช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติ และกลิ่นอายแห่งความเป็นตัวของตัวเอง มีอิสระ มีเสรีภาพ และมีความสุขสมบูรณ์ในการกระทำ การพูด หรือความคิด

    เพราะฉะนั้น ฝากให้รู้ไว้ว่า หลวงปู่อาจจะไม่สอนหรือสอนได้ไม่เหมือนคนอื่นเขาสอนกันในแผ่นดิน เพราะหลวงปู่เป็นคนโง่ แต่หลวงปู่อาจจะทำได้มากกว่าคนอื่นที่สอน เป็นเพราะหลวงปู่หมั่นที่จะทำ คนพูดมากไม่ได้หมายความว่าเป็นคนดีได้มาก คนแสดงมากไม่ได้หมายถึง เป็นคนวิเศษได้มาก มันจะดีมาก วิเศษมาก อยู่ที่เราทำอะไรได้มากต่างหาก แต่ถ้าเราทำไม่ได้มาก พูดมากก็โง่มาก แสดงมากก็เลวมาก ผิดมากก็ชั่วได้มาก
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา : <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">15 ตุลาคม 2550 15:40 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> การภาวนา คือ การฝึกทำให้จิตนี้ไม่กระเพื่อม
    ควบคุมจิตนี้ได้ ไม่ตกเป็นทาสของตาเห็นรูป
    หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส
    ซึ่งเมื่อทำได้แล้ว จะกลายเป็นคนพูดดี คิดดี ทำดี
    ทุกนาทีที่มีลมหายใจเข้า-ออก


    ปุจฉา
    ทำไมเจริญภาวนาได้กุศลมาก


    กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ดิฉันเคยได้ยินมาว่า การทำบุญให้ทานกับการเจริญภาวนานั้น การเจริญภาวนาจะได้กุศลมากที่สุด จริงหรือไม่เจ้าคะ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ กราบเรียนมาด้วยความเคารพเจ้าค่ะ

    วิสัชนา

    การทำบุญนั้นต้องทำด้วย 3 ประการ คือ บุญประกอบกิริยาบวกวัตถุ แต่การ ภาวนามีอย่างเดียวเท่านั้นคือจิต ได้แก่การทำให้จิตนี้ไม่กระเพื่อม ควบคุมจิตนี้ได้ ไม่ตกเป็นทาสของตา เห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กาย ถูกต้องสัมผัส ซึ่งเมื่อทำได้แล้วคุณจะกลายเป็นคนพูดดี คิดดี ทำดี ทุกนาทีที่มีลมหายใจอย่างนี้ จะไม่เป็นบุญมากกว่านานๆ จะได้ใส่บาตรถวายสังฆทานสักทีหรือ

    ปุจฉา
    ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า


    กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผมขอกราบเรียนถาม เกี่ยวกับการปฏิบัติที่ติดอยู่ตอนนี้ครับ คือ ผมพยายามฝึกสติอยู่และพยายามนั่งสมาธิอยู่ แต่ถ้าดูจะรู้สึกหนัก จึงพยายามปล่อยเฉยๆ เหมือนไม่รู้ จะรู้สึกเบา และพยายามนั่งสมาธิ เดินจงกรมบ่อยๆ เพื่อให้รู้ชัดๆ ถ้านั่งสมาธิก็จะรู้สึกว่ามีสมาธิดี แต่จะรู้สึกว่าการมีสมาธิมันหนักไป ต้องไม่เข้าไปดูมัน จะรู้สึกเบาคือรู้ว่ามีสมาธิเฉยๆ ผมเป็นอย่างนี้มาพอสมควร เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป บางทีคิดว่าถ้ารู้เฉยๆ แล้ว เวลามีอารมณ์บางครั้งจิตก็เข้าไปจับกับอารมณ์ บางทีก็ละอารมณ์ได้ บางทีก็ละอารมณ์ไม่ได้ หรือนานกว่าจะละได้ จะทำอย่างไรดีครับ ผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อ ผมก็ได้แต่รู้กับดูไปเรื่อยๆ ละได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางทีก็ขี้เกียจบ้าง วนเวียนอยู่ดังนี้ ไม่ก้าวหน้าหรือได้อะไรเพิ่มเลยครับ กราบขอบพระคุณหลวงปู่มากครับที่กรุณา

    วิสัชนา

    สิ่งที่คุณทำอยู่ก็ดีแล้วนี่ แต่เสียอยู่หน่อยที่นานๆ ทำที ไม่ยอมทำถี่ๆ ก็เลยไม่ค่อยเจอดี ฉันมีข้อสังเกตให้คุณลองพิจารณาดู คิดจะ ทำสมาธิถือว่าเป็นความดีงามของชีวิต ถ้าคุณสามารถพึ่งพิงอิงอาศัยได้ก็ยิ่งวิเศษ แต่ถ้าพึ่งยังไม่ได้ แถมยังจะทำให้ถมึงทึงตึงเครียด นั่นแสดงว่า ยาชนิดนี้ดูถ้าจะไม่ถูกกับโรคของคุณ หรือไม่คุณก็ทำไม่ถูกวิธี แต่ฟังดูจากคุณเล่ามา ว่าคุณลองเปลี่ยนวิธีมานั่งดูอารมณ์เฉยๆ แล้วรู้สึกเบาสบาย ก็แสดงว่าเป็นวิธีที่ถูกกับโรคของคุณ ควรจะทำต่อไป ถ้าทำแล้วคุณรู้สึก เบาสบาย ผ่อนคลายอย่างมีสติ สำคัญต้องทำอยู่ทุกขณะที่คุณนึกได้ แล้วคุณจะเห็นผล ไม่เชื่อลองทำดู
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มองปัญหาด้วยปัญญา:งานเป็นแค่ละครโรงหนึ่งของชีวิต ที่ทุกคนเข้ามาเล่น
    ถ้าเข้าใจคิดแบบนี้ในวิถีพุทธก็ไม่มีอะไรต้องทะเลาะกัน
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">8 ตุลาคม 2550 15:48 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปุจฉา
    อยากให้พนักงานสามัคคี


    เรียนหลวงปู่ที่เคารพอย่างสูง ผมอยากจะขอให้หลวงปู่กรุณาแนะนำวิธีการลดความขัดแย้งกันในการทำงานของหน่วย งาน เพื่อให้เกิด ความสามัคคี เพราะตอนนี้บริษัท ของผมซึ่งก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมายพนักงานก็ไม่ได้เยอะ แต่ว่าก็มีปัญหาความขัดแย้งในหมู่พนักงานของแต่ละฝ่าย จนบางครั้งก็ทำให้เกิด ความเสียหายแก่งานของบริษัท ซึ่งผมเองก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี ทำได้แต่ลงโทษไปตามเนื้องาน แต่จริงๆ แล้วผมอยากให้ทุกคนในบริษัทมีความสามัคคีกัน ผมขอความเมตตาหลวงปู่แนะนำด้วย

    วิสัชนา

    วิธีที่จะทำให้ดีที่สุด คุณซึ่งเป็น ผู้บริหารองค์กรต้องทำความเข้าใจกับพนักงานว่า งานก็คือปัญหาที่เขาทุกคนมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะที่นี่มีปัญหา จึงต้องการให้เขามาช่วยแก้ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นผู้มาแก้ก็อย่ามาสร้างปัญหาเพิ่ม แต่อาจจะเป็นเพราะไม่เข้าใจอย่างนี้ เพราะเขาไม่คิดว่างานคือการแก้ปัญหา งานคือเครื่องมือที่ทำให้เขาเข้ามาทดลองทดสอบศักยภาพ และพิสูจน์สมรรถนะความสามารถของตน แต่มักไปคิดว่างานคือความยิ่งใหญ่ที่จะต้องได้เกียรติยศ ได้ศักดิ์ศรี ได้การยอมรับ ได้ชื่อเสียง ได้ตัวกูของกู ถ้าคิดอย่างนี้เขาคือตัวสร้างปัญหา ทำให้เกิดงานชิ้นใหม่ขึ้นมา แล้วเป็นงานที่ยากต่อการจัดการได้

    แต่ถ้าหากต่างคนต่างเข้าใจต่างรู้ว่างานคือการแก้ปัญหา ก็จะทำหน้าที่แก้ปัญหาของตน ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่มีใครทะเลาะกัน และจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แล้วธรรมชาติของการงานมันสร้างสัมพันธภาพต่อกัน เมื่อมีสัมพันธ์ผูกพันกัน ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะทำให้เป็นศัตรูกัน ถ้าทุกคนมีใจอันใสซื่อ มี ความรู้สึกถูกตรงต่อการทำงานอย่าง บริสุทธิ์ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องทำให้ทะเลาะกันอีก

    จริงๆ แล้วงานก็เป็นแค่ละครโรงหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ชีวิตไม่ได้จม ปลักอยู่กับงานอย่างเดียว มันเป็นบทละครบทหนึ่งที่ทุกคนเข้ามาเล่น เมื่อพ้นจากโรงละครแล้ว แต่ละคนก็ต้องบริหารจัดการชีวิตส่วนตัวต่อไป และเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงต้องมา สร้างความร้าวฉาน ต้องมาทำให้คนรอบข้างรังเกียจตน เป็นการสร้างศัตรูเพิ่ม ทำให้สังคมของตนคับแคบลง ถ้าเข้าใจคิดแบบนี้ในวิถีพุทธ ก็ไม่มีอะไรต้องทะเลาะกัน

    ปุจฉา
    เบียดก่อนบวช..ใครได้บุญ?


    กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ผมสงสัยมานานแล้วว่า ที่คนโบราณมักจะบอกลูกหลานผู้ชายว่าให้บวชก่อนแต่งงาน แต่ก็ยังมีหลายคนที่แต่งงานแล้วจึงบวช ซึ่งก็รวมผมด้วย ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วจึงได้ไปบวช เพราะก่อนหน้านั้นต้องทำงานหนักไม่มีเวลาได้บวชเลย ผมก็กลัวว่าพ่อแม่จะไม่สบายใจที่ผมไม่ได้บวช แต่พ่อแม่ผมก็ดีใจนะครับที่ผมได้บวช ผมจึงสงสัยว่าการแต่งงานแล้วค่อยไปบวชนั้น พ่อแม่จะได้ผลบุญไหมครับ หรือว่าภรรยากับลูกๆ ผมจะได้ ขอกราบขอบคุณหลวงปู่มาก

    วิสัชนา

    การที่เราไปมีชีวิตสัมพันธ์กับคนอื่นนั้น ครึ่งหนึ่งของเราเป็นของเขา แต่ก่อนที่เราจะไปสัมพันธ์กับคนอื่น เรายังเป็นของพ่อของแม่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นของเรา ถ้าเราบวชเพื่ออุทิศให้พ่อแม่ด้วย พ่อแม่ก็จะได้ครึ่งหนึ่ง ของทั้งหมดนั้น แต่ถ้าเราเบียดก่อนบวชกลายเป็นว่าครึ่งหนึ่งที่จะกลายเป็นของพ่อแม่ก็กลาย เป็นของเมียของลูกไป ส่วนอีกครึ่งที่เป็นของเราก็ไม่รู้ว่าเราจะตั้งใจให้พ่อแม่แค่ไหน เต็มที่หรือไม่ ก็เลยกลายเป็นว่าเราอาจไม่ได้บวชเพื่อทดแทนคุณของพ่อแม่ แต่บวชเพื่อจะทำให้พ่อแม่สบายใจเฉยๆ

    อีกอย่างหนึ่งต้องดูว่าขณะบวช คุณทำอะไร ถ้าบวชอย่างเดียวแล้วมานั่งๆ เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด ค่ำๆ ดูโทรทัศน์ ดึกๆ ซัดมาม่า อย่างนี้ละก็ไม่ถือว่าทำให้พ่อแม่ได้บุญหรอก อาจจะทำร้ายทำลายพ่อแม่ให้ตกนรก ด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นต้องสำนึกในสถานภาพและสภาวะของตนในขณะบวชด้วย แล้วทำให้ถูกตรง ถูกต้องต่อสภาวะนั้น จึงจะถือว่าพ่อแม่ได้บุญมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...