มาดูกันว่าทำไม "กรรม" จึงข้ามภพข้ามชาติได้ วิธีเอาชนะ "กรรม" ทำให้กรรมทั้งหมดเป็น "อโหสิกรรม" (เหนือฟ้ายังมีฟ้า)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย กะละมัง, 26 เมษายน 2009.

  1. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    จากที่หนูศึกษามาจากเรื่อง "จิตปรมัติ" โดย อ.สุจินต์ บริหารวัณเขตต์ หนูจะพยายามเขียนโดยใช้คำที่เข้าใจง่ายที่สุดนะคะ

    มนุษย์เราจะมีจุดสิ้นสุดของชีวิตเรียกว่า "จุติจิต" หรือ "มรณาสัญวิถี" หมายถึง จิตดวงสุดท้าย หรือ "ภวังคจิต" ที่หล่อเลี้ยงภพปัจจุบัน ใกล้จะหมดกำลัง หรือ ใกล้จะหมดอายุลง และจิตดวงสุดท้ายของ "ภวังคจิต" นี่เองที่เรียกว่า "จุติจิต"

    "จุติจิต" หรือ "มรณาสัญวิถี" เป็นจิตดวงสุดท้ายของภพนี้ หลังจาก "จุติจิต" เกิดขึ้น จะมีจิตอีกประเภทหนึ่งมารองรับ คือเกิดขึ้นทันที เรียกว่า "ปฏิสนธิจิต" คือการเกิดในภพใหม่ ตามกำลังของกรรม ในขณะที่ "จุติ" ของภพที่แล้วเกิดขึ้น

    กล่าวง่ายๆคือ เมื่อคนเราจะตายอ่ะค่ะ จิตดวงสุดท้ายเรียกว่า "จุติจิต" ในขณะที่จุติจิตเกิด หาก "อาสัณกรรม" คืออารมณ์ของจิตที่คิดถึงเรื่อง บุญ-บาป เกิดพร้อมกับขณะที่ "จุติเกิด" แล้ว "ชนกกรรม" (กรรมนำเกิด) ก็จะนำจิตดวงนั้นไป "ปฏิสนธิ" ตามกำลังของกรรมตอนเกิด "อาสัณกรรม" นั่นเอง

    หากในขณะใกล้ตายไม่มี "อาสัณกรรม" กรรมอื่นๆ จะทำหน้าที่แทนได้แก่ "อาจิณกรรม, กตัตตากรรม เป็นต้นค่ะ (แต่ถ้าใครทำ "คุรุกรรม" ละก็ "คุรุกรรม" จะให้ผลก่อนเสมอ)

    ต้นเหตุของกรรม เพราะมนุษย์ไปยึดมั่นถือมั่นว่า ทุกสรรพสิ่งมันมีจริง มันเป็นของจริง ทั้งๆที่มันไม่มีจริง จึงเป็นเหตุให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ใน "สัตว์, บุคคล, สิ่งของ" และสิ่งที่มนุษย์ชอบทำกัน คือการตั้งชื่อเรียกกันไปต่างๆนา เช่น "นาย ก. นาย ข. รถยนต์ ต้นไม้ เรือ เครื่องบิน ตู้เย็น" จริงๆแล้วมันเป็น สมมุติบัญญัติ (สิ่งที่มนุษย์สมมุติเรียกขึ้นเองทั้งนั้น) โลกนี้ไม่มี "สัตว์, บุคคล, สิ่งของ" จริงๆหรอกค่ะ แท้จริงมันเป็นเพียง "รูป-นาม" หรือมองอีกนัย มันเป็นเพียง "ธาตุ4" ที่มาชุมนุมกันชั่วคราว เท่านั้นค่ะ (ถ้าประชุมในมนุษย์ และ สัตว์ เรียกว่า ขันต์5) ในทาง "ปรมัตธรรม" ทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วเป็นเพียง "อนัตตา" ไม่มีตัวตน สรรพสิ่งในโลกธาตุ เป็นเพียง "อากาศธาตุ" เท่านั้น เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัย ทุกสิ่งก็จะสลายตัว ซึ่งต้องใช้ปัญญามอง (วิปัสสนาญาณ) ค่ะ

    ภาพต่างๆที่เรามองเห็น ในความเป็นจริง มันไม่ใช่ สัตว์, บุคคล, สิ่งของ, มันเป็นเพียง ."สี" ที่มี "แสง" เป็นปัจจัย สะท้อน "สี" นั้้นมากระทบที่ "จักขุประสาท" (จุดเล็กๆกลางตาดำ) แล้วส่งต่อ "สี" นั้นมาที่ "จักขุวิญญาณ" (วิถีจิตที่รับสีต่อจาก "จักขุประสาท") แล้วส่ง "สี" นั้นมาทางวิถีจิตหลังๆอีกหลายวิถี แล้วจึงค่อยมาแปลความหมายว่า "สี" ที่เห็น มันคืออะไร

    ที่เราเห็นเป็น "สัตว์, บุคคล, สิ่งของ" จริงๆแล้วเราคิดปรุงแต่งไปเองทั้งหมด ซึ่ง "ปรมัติธรรม" จริงๆมันเป็นเพียง "สี" เท่านั้น จงเลิกยึดมั่นถือมั่นในทุกอารมณืที่มากระทบอายัตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เพราะถ้าเรายังยึด "วัตถุ" หรือ "หลงวัตถุ" เราก็จะเวียนวนอยู่ใน "วงจรปกิจสมุปบาท" เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ถ้า "หลงตาย หรือ ตายแบบจิตเป็นโมหะ" จิตดวงนั้นจะไป ปฏิสนธิ ใน อบายภูมิ (เดรัจฉานภูมิ) ค่ะ

    แล้วมาฝึก เจริญสติ ในแบบ สติปัฏฐาน4 มีสติในทุกอารมณ์ที่มากระทบ โดยสักแต่ว่าให้อารมณ์กระทบ แล้วให้จบแค่นั้น อย่าให้อารมณ์นั้น แปลสภาพไปเป็น โลภะ, โทสะ, โมหะ, ตลอดชีวิต จิตก็จะมีความว่าง (สุญตา) เป็นอารมณ์ เพราะโดยเนื้อแท้ของ จิต มันมีความเป็น ประภัสสร (ความว่างเปล่า) โดยธรรมชาติ แต่เมื่อ โลภะ, โทสะ, โมหะ, มาห่อหุ้มจิต จิตจึงเศร้าหมอง และตัว โลภะ, โทสะ, โมหะ, นี่เอง ที่เป็นสาเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด เพราะเมื่อเกิด โลภะ, โทสะ, โมหะ, ชวนจิตก็จะบันทึก บุญ-บาปนั้น เพื่อเตรียมสร้าง รูป-นาม ในอนาคตชาติ (คือการสร้าง ขันต์ ขึ้นมาใหม่ใน 31 ภพภูมิ) ตามกำลังแห่งกรรม ไม่มีที่สิ้นสุด

    การหยุดยั้ง กรรม ก็เพียงแต่ว่า สักแต่ว่าให้อารมณ์กระทบ อายัตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) แล้วให้จบแค่นั้น อย่าปรุงแต่งต่อ อย่าให้อารมณ์นั้น แปลสภาพไปเป็น โลภะ, โทสะ, โมหะ, ตลอดชีวิต จิตก็จะมีความว่าง (สุญตา) เป็นอารมณ์ นิพพานก็อยู่แค่เอื้อม บุญ-บาป ที่ทำมาก็เป็นหมันไป (อโหสิกรรม) ค่ะ

    แต่เนื่องจากการเจริญสติ ในแบบ สติปัฏฐาน4 (วิปัสสนา) เป็นของยากและต้องใช้ความเพียรสูง เป็นของไม่สนุก เป็นเรื่องทวนกระแส เพราะโดยปกติ "จิต" ของมนุษย์ จะไหลไปตามกระแสแห่งกิเลส โลภะ, โทสะ, โมหะ, แต่การเจริญสติ ในแบบ สติปัฏฐาน4 (วิปัสสนา) เป็นการทวนกระแสโลก ซึ่งเป็นงานที่เหนื่อย แต่ถ้ามีความเพียรเพียงพอ ก็จะสามารถเอาชนะ "กิเลส" ได้ เมื่อหมดเชื้อแห่ง "กิเลส" จิตก็จะมแต่ีความว่าง (สุญตา) เป็นอารมณ์ เสวยสุขตอนมีชีวิต (แบบนี้เรียกว่า "นิพพานดิบ") และเมื่อตายจากโลกนี้ ก็จะเสวยสุขแบบอมตะนิรันกาล (แบบนี้เรียกว่า "นิพพานสุก") หรือ "โลกกุตร นิพพาน" ค่ะ


    ถึงแม้ว่าเราจะเจริญสติ ในแบบ สติปัฏฐาน4 (วิปัสสนา) จนจิตมีความว่าง (สุญตา) เป็นอารมณ์แล้ว แต่ถ้าเรายังไม่ตาย (ยังมีขันต์5 อยู่) กรรมยังตามให้ผลได้ค่ะ ให้ผลเฉพาะชาติปัจจุบันเท่านั้น แต่กรรมจะไม่ให้ผลในภพต่อๆไปค่ะ เพราะหมดเชื้อแห่งกรรมแล้ว (อโหสิกรรม) แล้วดับขันต์เข้า นิพพาน ดับอย่างถาวร เหมือนเปลวเทียนดับ ไม่ไปเกิดที่ภพไหนอีกเลย

    อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะกลัว "นิพพาน" แล้วก็ได้ เพราะจิตดับอย่างถาวร ลองถามใจตัวเองดูว่า รู้อย่างนี้แล้ว ยังปรารถนา "นิพพาน" อีกหรือไม่ ถ้าถามหนู หนูว่าการดับขันต์อย่างถาวร ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็ดีเหมือนกันค่ะ อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องไปเกิดใน "อบายภูมิ" เช่น " นรก" ฯลฯ

    .
    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2009
  2. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    คุนกะละมังผมมีปัญหาจะถามคุนครับ คือ เหตุการณ์เหล่านี้คุนเห็นอะไร

    1. พ่อลูกยืนอยู่กลางตลาด เห็นนักเลงเลือดร้อนคนหนึ่งโดนหนุ่มหน้าจืดเหยียบเท้าโดยบังเอิญ นักเลงตะคอกด่าอย่างฉุนเฉียวพร้อมทำหน้าเอาเรื่อง หนุ่มหน้าจืดยกมือไหว้ขอโทษแล้วหลีกไปอย่างสงบ
    2.
    พ่อลูกนั่งดูข่าวอยู่ด้วยกัน เห็นข่าวโจรปล้นธนาคารได้อย่างลอยนวล และถูกบันทึกไว้เป็นการโจรกรรมครั้งใหญ่ที่แยบยลยิ่ง แม้ตำรวจยังสารภาพว่าตะลึงทึ่งอึ้งงันกันไปหมด
    3.
    พ่อลูกได้ยินเพื่อนบ้านเล่าให้ ฟังว่าแม่ค้าหมูปิ้งในซอยเดียวกันถูกล็อตเตอรี่หลายสิบล้านบาทหลังจากลง ทุนอย่างสูญเปล่ามาครึ่งค่อนชีวิตอันอัตคัดขัดสน
    4.
    พ่อลูกชวนกันยืนจ้องแมวตัวหนึ่งที่นอนปิดตาไม่รู้ไม่ชี้กับอะไรทั้งสิ้น
    5.
    พ่อลูกตื่นขึ้นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงเอะอะล้งเล้งจากบ้านตรงข้าม ทั้งคำด่าทอ ทั้งคำขับไล่ไสส่ง ตลอดจนการขว้างปาข้าวของกระแทกพื้นโครมคราม
    6.
    พ่อลูกเดินผ่านหน้าห้างใหญ่ เห็นนักเรียนช่างกลถูกตำรวจจับกุมหลังยกพวกตีกัน
    7.
    พ่อลูกเข้าไปในวัดใหญ่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยผู้คนก้มลงกราบกรานพระประธานมากมาย
    8.
    พ่อลูกไปเที่ยวทะเล นั่งมองฟ้ากว้างจากชายหาด ไม่มีอะไรมากไปกว่าเวลาว่างกลางทิวทัศน์เปิดโล่งตลอด
    9.
    พ่อลูกเดินผ่านกระจกเงาบานใหญ่ พ่อชะงักเท้าและชวนลูกให้หยุดมองเงาในกระจก
     
  3. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ขอเพิ่มเติมให้ชัดเจนว่า ถึงแม้จะเป็นพระอริยเจ้าจิตมีสุญญตาเป็นอารมณ์ แต่ถ้าท่านยังมีร่างกายอยู่ก็ยังไม่พ้นกฎของกรรมนะครับ มีตัวอย่างประเด็นนี้อีกมากมายเช่นบทความด้านล่างที่คัดลอกมา เรื่องพระนางสามาวดีถูกเผา แล้วยังมีเรื่องอื่นๆด้วยเช่นพระพุทธเจ้าโดนเทวทัตแกล้งให้บาดเจ็บก็ดี พระโมคคัลลาน์ที่ถูกทุบตีก็ดี

    แล้วนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมเราควรรักนับถือพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะพุทธองค์ทรงตรัสรู้ธรรมจนเห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ ขนาดพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ท่านบำเพ็ญจิตจนบรรลุธรรมแล้ว ถ้ายังมีร่างกายอยู่ก็ยังต้องชดใช้กรรมเลย จะพ้นกรรมอย่างถาวรก็ต้องนิพพานก่อนนั้นหละ นิพพานสมบัติจึงเป็นของเลิศสุดเพราะฉะนี้ ดังนั้นพวกเราจึงควรเข็ดที่จะเกิดเป็นมนุษย์กันดีกว่านะ

    บุพกรรมของพระนางสามาวดี, ขุตฉุตตรา<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คนที่เกิดมาในโลกนี้ จะมีบุญวาสนาบารมีแบบไหนก็ตาม ต้องถูกกฎของกรรมเดิมลงโทษ ท่านจงอย่าคิดว่าเราเจริญกรรมฐานแล้ว เราให้ทานแล้ว จะเกิดมาใหม่ มีแต่ความสุข อันนี้ขอยืนยันว่า คนที่ถวายสังฆทานแล้วมาเกิดใหม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน ถ้าไม่เชื่อให้มาต่อว่าฉัน จะเอาสัญญา จะปรับไหม ยังไงก็ยอม แต่แกต้องตายไปก่อนเถอะ ตายไปแล้วไปเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าที่ไหนก็ไปเถอะ แล้วกลับมาเป็นคนใหม่ ถ้าไม่เป็นมหาเศรษฐีแล้ว จะชำระหนี้ให้<o:p></o:p>
    จะยกตัวอย่างให้ฟัง ถึงแม้จะเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่พ้นกฎของกรรม เอาเรื่องย่อ ๆ เวลามีนิดเดียว เรื่องของพระนางสามาวดี มีหญิงคนใช้คนหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม รูปร่างหน้าตาดี ๆ ใช้ออกจากวังไม่ได้ ก็ได้แต่หญิงค่อมคนเดียวใช้ไปซื้อดอกไม้ หญิงหลังค่อมคนนี้ชือว่า ขุตฉุตตรา แกก็เป็นคนฉลาด วันหนึ่งพระเจ้าอุเทนให้ค่าดอกไม้พระนางสามาวดีวันละ 8 ตำลึง แต่ว่าแม่ค่อมนี่ก็บอกแล้วว่าฉลาด ไม่ใช่คนโง่ แกก็เก็บไว้ 4 ตำลึง ซื้อ 4 ตำลึง ต่อมาวันสุดท้ายพระพุทธเจ้าเสด็จเมืองนั้น ก็พอดีนายมาลาการคนประจำสวนดอกไม้ของมหาเศรษฐี ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสาวก ว่าพรุ่งนี้ขอเลี้ยงพระ ขอถวายทานกับพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ นางขุตฉุตตราก็เอาเงิน 8 ตำลึงไป อีก 4 ตำลึงยังไม่ได้เก็บ ไว้เก็บทีหลัง ไปถึงนายมาลาการก็บอกว่า เรื่องดอกไม้ไม่ใช่ของแปลก เตรียมไว้แล้ว แต่ว่าการถวายทานมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน มีพระอรหันต์สาวกหาไม่ได้ หายาก ช่วยกันถวายทานก่อน เสร็จแล้วจะจัดดอกไม้ให้ เธอก็ช่วย เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จท่านก็เทศน์ คำว่าโมทนาก็คือเทศน์ โมทนาบอกถึงอานิสงส์ความดีที่ทำ ขุตฉุตตราฟังจบเดียวเป็นพระโสดาบัน ทำยังไง พระโสดาบันศีล 5 ต้องครบ วันนั้นเลยซื้อดอกไม้ 8 ตำลึง<o:p></o:p>
    พอมาถึงพระนางสามาวดีก็แปลกใจ ถามว่า ทำไมพระราชาให้ค่าดอกไม้มากกว่าวันก่อนรึ เธอก็บอกว่าให้เท่ากัน แต่ทว่าวันก่อนฉันแบ่งให้ 4 ตำลึง บอกตรงไปตรงมา พระโสดาบันนี่ไม่คดแล้ว คนที่พอจะเชื่อได้ทางคณะสงฆ์เขาถือว่าต้องเป็นพระโสดาบันที่จะเป็นพยานนะ พระนางสามาวดีก็เลยบอกว่าอีก 4 ตำลึงที่เธอเก็บแล้ว ให้เก็บไว้ได้ อนุญาต แค่ 4 ตำลึงก็พอ บอกไม่ได้ พระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว บอกบาป ที่เอาไว้ก่อนคืนหรือเปล่าไม่ทราบ บาลีไม่ได้บอกนะ ก็เป็นอันว่าถามว่าทำไมจึงไม่เอา ก็บอกว่าวันนี้ไปซื้อของ ไปพบพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ เลี้ยงพระ พอเลี้ยงเสร็จเทศน์จบ ฉันเป็นพระโสดาบัน<o:p></o:p>
    หญิงทั้ง 500 มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน ก็ขออยากจะฟังเทศน์บ้าง เธอก็บอกว่าฟังเทศน์น่ะฟังได้ แต่ต้องมีอาสนะสูงกว่า เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ต้องมีอาสนะสูงกว่าคนธรรมดา ประการที่ 2 ต้องแต่งตัวสวย ประการที่ 3 ต้องอาบน้ำก่อน เธอก็เอาน้ำหอมอาบ 16 หม้อ แต่งตัวสวย จัดธรรมาสน์ให้ เธอก็เทศน์ ความจริงเทศน์ดีมาก พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญภายหลัง ทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศในการแสดงธรรมฝ่ายสตรี เธอก็เทศน์ในลีลาเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เล่า ในใจความพระพุทธเจ้าพูดแบบไหนจำหมดทุกคำ ว่าเรื่อย ลีลาเหมือนกัน ผู้หญิงทุกคนฟังก็จับใจ พอเทศน์จบ อีก 500 คน เป็นพระโสดาบัน<o:p></o:p>
    เมื่อฟังเทศน์จบ ต่างคนต่างเป็นพระโสดาบัน ต่างคนต่างตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าการเคารพของหญิง 500 กับ 1 คน คือหญิงเป็นบริวาร 500 คน แล้วพระนางสามาวดี 1 เป็น 500 กับ 1 คน เคารพในพระพุทธเจ้ามาก ทีนี้มีเมียมากอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เมียน้อย พระเจ้าอุเทน มีเมีย 3 คน มีพระนางวาสุนทัตรา เป็นคนแรก 2 ก็พระนางสามาวดี 3 พระนางมาคันธินยา เมียคนแรกไม่มีเรื่องยุ่ง<o:p></o:p>
    ขอเล่าเรื่องลัด ๆ พระนางสามาวดีกับหญิง 500 ถูกพระนางมาคันธิยาให้น้าชายไปเผาปราสาท เอาน้ำมันไปบอกว่า เอาน้ำมันไปทาเสาทำให้มั่นคง เกรงปลวกจะกิน ปราสาทเป็นไม้ ขอบรรดาพระแม่เจ้าทั้งหลายจงอยู่ข้างใน เขาอยู่ข้างหน้าก็เอาตะปูตีหน้าต่างก็ไม่มี ประตูก็ออกไม่ได้ เขาก็เอาไฟจุด พอจุดไฟเสร็จ พระนางสามาวดีพอเห็นแสงไฟก็ประกาศว่า<o:p></o:p>
    “พวกเราจงอย่าโกรธในพระนางมาคันธิยา อย่าโกรธในน้าชายของพระนางมาคันธิยา พวกเราที่ถูกไฟไหม้ครั้งนี้ เพราะอาศัยมีกรรมเป็นเหตุ”<o:p></o:p>
    แต่ความจริงท่านเป็นพระอริยเจ้าหมดแล้ว คือ เป็นพระโสดาบัน อาศัยที่ไฟที่จะไหม้เข้ามา จิตก็นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกว่าความตายจะเข้ามาถึง เราจะไม่มีชีวิตต่อไป จิตใจก็ละเอียด บางท่านก็เป็นสกิทาคามี บางท่านก็เป็นอนาคามี รวมความว่าเขาเผาพระอริยเจ้า 500 กับ 1 คน<o:p></o:p>
    ต่อมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ บรรดาพระสงฆ์ก็เข้าไปถามองค์สมเด็จพระบรมครู ถามว่า <o:p></o:p>
    “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เพราะเหตุใด หญิง 500 มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน เป็นพระอริยเจ้าด้วย เป็นคนดีมาก และมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก ทำไมถูกไฟเผา”<o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หญิง 500 นี้ สมัยชาติก่อน เป็นบริวารของพระราชาองค์หนึ่ง” ฟังแล้วก็นึกไปด้วยเป็นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณ คือตัวปัญญา ให้รู้ว่าถ้ากลับมาเกิดอีกมันมีความทุกข์อย่างนี้ กฎของกรรมมันมีความทุกข์อย่างนี้ กฎของกรรมมันตามทัน ถ้าเราไม่มาเกิดมันตามไม่ทันหรอก เป็นเทวดาอยู่ก็ดี เป็นพรหมอยู่ก็ดี มันตามไม่ทัน ถ้าไปนิพพานเสียเลยยิ่งไม่ทันใหญ่<o:p></o:p>
    ท่านบอกว่า “ในสมัยนั้นพระราชมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แต่บังเอิญพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นหลังค่อม วันหนึ่งพระราชาจะไปสรงน้ำที่ชายทะเล ชายทะเลมันก็เป็นป่า เผอิญพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นท่านเข้านิโรธสมาบัติ อยู่ที่ชายทะเลในพุ่มไม้มองไม่เห็นตัว เมื่ออาบน้ำเสร็จบรรดาชาววังทั้งหลายก็สุมไฟ เอาฟืนมากอง ๆ แล้วก็สุมไฟ เอาไปกองทับพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้า มองไม่เห็นหรอก พอไฟไหม้มอดลงไปแล้ว ก็เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งดำอยู่ นึกในใจว่านี่เป็นพระผู้เป็นเจ้าที่พระราชาเรามีความเคารพ ถ้าพระราชาทรงทราบว่าเราเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า เราต้องถูกประหารชีวิตแน่ อีตอนก่อนไม่ได้ตั้งใจ ท่านบอกว่าไม่บาป ไหน ๆ ท่านก็ตายแล้ว เผาให้หมดซากไปเลย เอาฟืนมาทับให้มาก เผาอีก คราวนี้บาปแน่ พอหลังจากนั้น 7 วัน พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลุกเดินไปตามสบาย นิโรธสมาบัตินี่ทำอะไรไม่ได้นะ ขนก็ไม่ไหม้นะ ผมก็ไม่ไหม้ อาศัยที่หญิงทั้ง 500 ในตอนหลังมีเจตนาเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงถูกเผาในชาตินี้” นี่ถ้าเรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นอย่างนี้นะ<o:p></o:p>
    พระก็ถามต่อไปว่า ยังมีสาวใช้อยู่คนหนึ่งชื่อ ขุตฉุตตรา ทำไมจึงเป็นคนมีปัญญามาก <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าก็บอกว่า “ในฐานะที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระราชามีความเคารพ วันหนึ่งเมื่อเข้าไปในเมืองใหม่ ๆ มีคนเขาใส่ข้าวต้มร้อน ๆ ท่านก็เอามือซ้ายถือบ้าง มือขวาถือบ้าง ผลัดกันไปผลัดกันมา ขุตฉุตตราออกไปจากวังเห็นเข้า ก็ถอดกำไลมือถวายท่านเพื่อรองไม่ให้มือร้อน เมื่อถอดกำไลมือถวายท่าน ท่านก็มองหน้าเธอ ก็บอกว่าถวายเลยเจ้าค่ะ แล้วก็ขอพรว่า “ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าบรรลุแล้ว...อย่าลืมนะ คำนี้สำคัญมากนะ ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าบรรลุแล้ว ขอฉันบรรลุธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ” พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ ซึ่งแปลว่า เจ้าปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา อันนี้เป็นปัจจัยให้นางขุตฉุตตราเกิดในชาติหลังเป็นหญิงที่มีปัญญามาก หญิงทั้ง 500 คน มีพระนางสามาวดีเป็นประธานต้องอาศัยคนนี้<o:p></o:p>
    พระก็ถามว่า “ในเมื่อขุตฉุตตราเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมขุตฉุตตราจึงได้เป็นคนหลังค่อม”<o:p></o:p>
    เอาอีกแล้วพระก็แน่เหมือนกัน ไม่แน่เราก็ไม่รู้ ท่านสงสัย มีบุญมากนี่นะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า วันหนึ่งบรรดาสาวใช้ทั้งหลาย เวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามา ขุตฉุตตรานี่เป็นคนคล่องตัวมาก แต่หญิงสาวใช้คนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็อยากจะทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปร่างเป็นยังไง เธอก็ไม่พูดเฉย ๆ ไปหยิบผ้ามาสไบเฉียงเข้า เอาขันมาอุ้มเข้า ทำเดินหลังค่อม ๆ นี่พระผู้เป็นเจ้าที่พระราชาเคารพมีลักษณะเป็นอย่างนี้ เลยเกิดเป็นหญิงค่อม 500 ชาติ<o:p></o:p>
    ท่านก็ถามต่อไปอีกว่า ทำไมเป็นคนรับใช้ของพระราชา พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ในสมัยหนึ่ง ขุตฉุตตราเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี จำให้ดีนะ กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ เวลานั้น มีพระพุทเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก ก็มีนางภิกษุณีองค์หนึ่ง เพื่อนของนางขุตฉุตตราเป็นสาวรุ่นเดียวกัน เป็นพระอรหันต์ ตอนเย็นก็มาเยี่ยมที่บ้าน พอดีกระเช้าเครื่องแต่งตัวมันวางอยู่ นางภิกษุณีก็มานั่งคั่นกลางพอดี เธอก็ยกมือไหว้บอกว่า ขอประทานอภัยพระแม่เจ้า ช่วยหยิบกระเช้าเครื่องแต่งตัวทีเถอะ แค่นี้เองนะ ขออภัยแล้วนะ พระอริยเจ้านี่อย่าลืมนะ ทำบุญนิดหนึ่งก็บุญมหาศาล มันมีค่าเท่ากัน ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น นางภิกษุณีก็คิดว่าเราจะหยิบให้เธอดีหรือไม่หยิบดี ถ้าเราหยิบให้เธอ เธอตายจากความเป็นคนแล้วต้องเป็นทาสเขา 500 ชาติ ขนาดขออภัยแล้วนะ ถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธในเรา เธอต้องลงนรก ฉะนั้น การเกิดเป็นคน เป็นทาสเขา ดีกว่าลงนรก จึงหยิบให้ เรียกว่าด้วยความเมตตา<o:p></o:p>
    ก็สรุปว่า ถ้าเรายังกลับมาเกิดเป็นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ท่านทุกคนที่นั่งที่นี่ คิดว่าถวายสังฆทานกันแล้วทุกคน หรือว่าสตางค์ทุกบาทที่ญาติโยมเอามาถวาย ไม่ได้ถวายสังฆทานก็เป็นสังฆทาน อาตมาถือว่าเป็นสังฆทานหมด เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย ก็ถือว่าทุกคนมีสังฆทานแล้ว มีวิหารทานแล้ว มีบุญมหาศาลแล้ว ถ้าเกิดมาใหม่ ยังไงก็ตามต้องเป็นมหาเศรษฐี ถ้ามาเกิดใหม่ก็ต้องถูกกฎของกรรม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะทุกคนมีบาป ฉะนั้น เมื่อเราทำบุญ บุญพาไปสวรรค์ บุญพาไปพรหมโลก บุญพาไปนิพพาน ถ้าพาไปนิพพานไม่เป็นไร ถ้าไปอยู่แค่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องมาโดนกรรมประเภทนั้นอีก<o:p></o:p>
    อย่างปาณาติบาต เป็นเหตุให้คนมีอายุสั้น ตายบ้าง มีโรคภัยไข้เจ็บบ้าง อทินนาทาน ไฟไหม้บ้านบ้าง ขโมยลักของหายบ้าง ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วมบ้านบ้าง กาเมสุมิจฉาจาร คนในปกครองดื้อด้านว่ายากสอนยาก มุสาวาท จะพูดดีแสนจะดีเขาก็ไม่ยอมจะเชื่อ สุราเมรัย อย่างเบาเป็นคนปวดหัว ปวดหัวมาก ปวดหัวบ่อย ๆ อย่างกลางเป็นโรคเส้นประสาท อย่างด็อกเตอร์เป็นบ้า<o:p></o:p>
    รวมความว่า กรรมทุกอย่างมันติดตาม เมื่อเรามาเกิดเป็นมนุษย์
     
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนากับน้องกะละมัง และคุณเด็กอนุบาลที่เข้ามาช่วยเติมเต็มให้ครบถ้วน และป้องกันการเข้าใจผิดครับ

    ผมขอแย้งที่น้องกะละมังกล่าวนิดนึง คือ "นิพพานก็อยู่แค่เอื้อม บุญ-บาป ที่ทำมาก็เป็นหมันไป (อโหสิกรรม) ค่ะ"

    ในความเป็นจริงแล้ว "บาปตามไม่ทัน" เพราะ "บุญมีมากล้น" ดังนั้นจึงเป็นหมันแค่บาปครับ ส่วนบุญก็ยังคงอยู่และช่วยให้เราเขาถึงซึ่งพระนิพพานครับ

    โมทนาครับ

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  5. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    หนูเห็นเพียง "สี" ที่มากระทบ ตา เท่านั้นค่ะ แล้วหนูจะพยายามไม่ปรุงแต่งต่อค่ะ พยายามทำให้ จิต มีความว่าง (สุญตา) ตลอดเวลาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2009
  6. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    คุนกะละมัง แล้วตัวรู้มิได้บอกอะไนคุนมากกว่านั้นรึ ผมคิดว่าคุนน่าจะมองเห็นอะไรมากกว่านั้น แต่ไม่เป็นไร รอคุนตอบฉบับนี้ แล้วผมจะให้คุนยืมแว่นขยาย
     
  7. NooF

    NooF เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +112
    ขณะที่อยากรู้ว่าน้องเค้ารู้อะไรบ้าง

    คุณรู้ตัวเองแล้วรึยังครับ

    รู้มากแต่รู้ไม่จริง ระวังจะเป็นมิจฉาทิฐิ ^^
     
  8. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ผมรู้ไม่มากหรอกครับ รู้เพียงแค่ว่า ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟครับ และปัจจุบันทองแท้หายากครับ อ้ออีกอย่างผมรู้ว่าศาสนาพุทธสอนปริยัติและปฏิบัติไปด้วยกันครับ มิฉะนั้นจะเป็นนกแก้วนกขุนทอง ง่ะครับ
     
  9. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    จิต เป็นของไม่สูญ กรรมย่อมมีผลข้ามภพข้ามชาติแน่นอน
     
  10. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    จิต เป็นของไม่สูญ กรรมย่อมมีผลข้ามภพข้ามชาติแน่นอน
     
  11. P-ALL

    P-ALL สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    -*-


    เหมือนคุณกำลังหาเรื่องคุนกะละมังนะ แล้วคุณคิดว่ารู้ดีแค่ไหน คุณกะละมังเขาคงไม่อยากใส่ใจกับเรื่องไร้สาระของคุณ คุณจะไปกล่าวหาเรื่องเขาทำไม
    อย่างนี้ไม่ใช่ชาวพุทธที่ดีเลย ดีซะอีกที่เขาเอาหลักธรรมคำสอนมาเผยแผ่ให้เกิดประโยชน์
     
  12. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    หนูไม่ค่อยเข้าใจคำถามอ่ะค่ะ พี่ถามใหม่ได้มั้ยคะ ^_^V
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2009
  13. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    แต่ ขอแก้นิดหน่อย " จิตเป็นของไม่สูญ เป็นเราของจริง " เมื่อทำลายเชื้อของการเกิดแล้ว เราคือจิต(ที่ฉลาดแล้ว) จิตคือเรา ยังรู้สึก รู้คิด รู้จำ มีพละกำลัง (พลัง)
     
  14. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ขอน้อมรับคำแนะนำครับ และจะนำไปปฏิบัติครับ แต่ว่าคนเรามองได้หลายมุมผมเองไม่ได้หาเรื่องกับคุนกาละมัง ผมเพียงแต่มองในมุมของผมครับ มีการกล่าวว่าได้อาราธณาพระคาถาชินบัญชรจนได้อิทธิได้ญาณดังกล่าวนั้นผมเพียงแต่ไม่เห็นด้วย เพราะแม้กระทั่งพระอรหันต์ท่านยังไม่บอกใครเลบว่าท่านบรรลุ มีคำกล่าวว่าของจริงนิ่งเงียบครับ ศาสนาพุทธสอนให้เราลด ละ วาง ปล่อย มิใช่ปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งฤทธิ์หรืออิทธิต่างๆ ครับ มันผิดหลักการของพุทธองค์ที่สอนให้ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ผมมองในมุมนี้ต่างหากครับ
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    น่าสนใจนะ

    จงเลิกยึดมั่นถือมั่นในทุกอารมณืที่มากระทบอายัตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เพราะถ้าเรายังยึด "วัตถุ" หรือ "หลงวัตถุ" เราก็จะเวียนวนอยู่ใน "วงจรปกิจสมุปบาท" เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ถ้า "หลงตาย หรือ ตายแบบจิตเป็นโมหะ" จิตดวงนั้นจะไป ปฏิสนธิ ใน อบายภูมิ (เดรัจฉานภูมิ) ค่ะ

    แต่ทำยังไงถึงจะไม่หลงยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งต่อในผัสสะเหล่านั้นได้จริง ๆ ถ้าใช้วิธีผลักไสท่าเดียว ไม่เอา ๆ ๆ ฉันไม่เอา เห็นอะไรฉันสักว่าเห็น เป็นต้น ที่สุดก็จะได้แค่หลบไม่เกิดปัญญาอะไร อย่างมากก็เป็นเพียงการใช้หลักของเหตุผลมาแก้ต่างกันในฐานของความคิดเท่านั้นเอง อย่างสูงก็เป็นแค่การเจริญสมถะ

    จริง ๆ ถ้าจะให้ได้ผลดี เราต้องฝึกสติให้ต่อเนื่องก่อน ฝึกจิตให้มีกำลังไม่หลงทำตามความพอใจเดิม ๆ ได้ง่าย ๆ ก่อน เมื่อสติมีความต่อเนื่องเพียงพอ เราก็หัดสังเกตในภาวะปัจจุบันขณะตรงนั้นไปด้วย หมั่นสังเกตให้ทัน เผลอก็เริ่มใหม่ ๆ ๆ ๆ ไม่ต้องไปเพ่งจ้อง หรือไปดักรอให้เขาเกิด ให้เป็นไปแบบธรรมชาติ อย่าไปอยากเห็น ฝึกเผลอแล้วให้รู้ทันให้เร็วให้ไวบ่อย ๆ จนกระทั่งเรารู้ทันเห็นทัน เราก็จะเข้าใจเอง ว่าเราหลงไปได้อย่างไร จิตของเรา (หรือไม่ใช่ของเราก็ช่างมันไปก่อนนะ) มันเข้าไปหลงหน่วงเหนี่ยวเอาความคิดเข้ามาเป็นอารมณ์ได้อย่างไรเราต้องมาทำความเข้าใจตรงนี้ให้ได้ด้วยสติจริง ๆ เมื่อนั้นแหละเราจึงจะสามารถคลายความหลง คลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ได้จริง ๆ ถึงตอนนั้นเราก็จะรู้จักจุดปล่อยจุดวาง มองเห็นทางเดินไปข้างหน้าได้ชัดเจนเอง..

    ที่กล่าวแบบนี้พอมองเห็นทางบ้างมั้ยครับ
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ต้องทำความเข้าใจด้วยนะ เพราะคนเราทุกคนนั้นทุกข์เพราะหลง เราหลงไปได้อย่างไร เราต้องทำความเข้าใจด้วย ตอนไม่หลงมันไม่ทุกข์หรอก ตอนหลงนั่นแหละมันถึงจะทุกข์ เราหลงไปได้อย่างไร เราต้องเอาปัญญาจากทุกข์ตรงนั้น ถ้าเราเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ได้จริง ๆ เราก็จะไม่หลงทำทุกข์ให้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ อีก ถึงเกิดเราก็รู้จักดับจักควบคุมเป็น ก็หมั่นทำความเข้าใจไปด้วย จิตไม่เกิด (อาการ) นั้นดีแล้ว แต่ตอนจิตจะเกิดจะหน่วงเหนี่ยวเอาความคิดมาเป็นอารมณ์เราต้องมาหัดดูให้ทัน เราถึงจะเข้าใจเรื่องทุกข์และหนทางดับทุกข์นะ ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้ ถึงเราจะว่าจิตว่าง ๆ อยู่ มันก็คือจิตเกิดบนความว่างนั่นเอง เพราะเรายังไม่รู้ว่า อย่างไรเรียกว่าจิตเกิด จิตไม่เกิด พอเราไม่รู้จักไม่เข้าใจอาการของมัน เราก็หลงไปยึดเอาความว่าง ๆ นั้นแหละเป็นอารมณ์ มันไม่ใช่ว่างจริงนะ ว่างจริงคือว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มีสติรับรู้อยู่กับปัจจุบันขณะนั้นเอง ตรงนี้ต้องดูให้ออกนะ..
     
  17. SOMDEJ

    SOMDEJ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    611
    ค่าพลัง:
    +353
    อนุโมทนา ผู้รู้มากดีจัง
    หลายคนต่างยลตามช่อง...
    ล้วนมองหาสัจจธรรม
    ส่วนตัวเรา ยังเห็นไม่ชัดเลย ขอเป็นผู้ติดตาม
     
  18. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    ๒๖. โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอื่นสักข้อหนึ่งที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) นี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลาย มีมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เป็นอย่างยิ่ง."
    เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๔๔

    ๘๒. คนที่เกิดมีขวานมาในปากด้วย
    "คนที่เกิดมาแล้ว มีขวานเกิดมาในปากด้วย คนพาลเมื่อกล่าวคำชั่ว ชื่อว่าใช้ขวานนั้นฟันตนเอง. ผู้ใดสรรเสริญคนที่ควรติ ติคนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้น ชื่อว่าใช้ปากเลือกเก็บความชั่วไว้ จะไม่ได้ประสบความสุข เพราะความชั่วนั้น."

    ๑๐๗. พูดมากไม่ทำ กับ พูดน้อยแต่ทำ
    "คนที่พูดถ้อยคำมีประโยชน์ แม้มาก แต่เป็นผู้ประมาท ไม่ทำตามถ้อยคำนั้น ผู้นั้นย่อมไม่ได้มีส่วนแห่งคุณธรรมที่ทำให้เป็นสมณะ เหมือนคนเลี้ยงโค นับโคให้ผู้อื่น แต่ไม่มีส่วนแห่งน้ำนมโคฉะนั้น. คนที่พูดถ้อยคำมีประโยชน์ แม้น้อย แต่ประพฤติตามธรรม ละราคะ โทสะ และ โมหะ ได้ รู้อยู่โดยชอบ มีจิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี ไม่ถือมั่นในโลกนี้ หรือโลกอื่น ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งคุณธรรมที่ทำให้เป็นสมณะ."

    ธรรมบท ๒๕/๑๗
     

แชร์หน้านี้

Loading...