มีมติให้ดำเนินคดี พระเกษม

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 1 สิงหาคม 2008.

  1. sammanaen01

    sammanaen01 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +12
    ท่านเป็นพระอริยเจ้าเหรอ อย่างนี้ผมก็ไม่กราบหรอกนะครูบาอาจารย์ใหญ่ๆ ยังต้องไหว้เลย
     
  2. _เทวะสาวก_

    _เทวะสาวก_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +292
    "...คนในยามมีชีวิตอยู่อ่อนนุ่ม
    ตายแล้วจึงแข็งกระด้าง
    พฤกษานานา ยามมีชีวิตอยู่ก็อ่อนหยุ่น
    พอตายแล้วจึงแห้งแข็ง
    ดังนั้นพวกแข็งกร้าวจึงเป็นประเภทที่ตาย
    กองทะหารที่แข็งกร้าวจึงไม่ได้รับชัยชนะ
    ไม้ที่แข็งจึงต้องถูกตัดโค่น
    ความแข็งแกร่งเป็นของต่ำ
    ความอ่อนนุ่มเป็นของสูง..."
    เต๋า เต็ก เก็ง บทที่ 39 ภาคเต็ก

    ...จะแข็งกร้าวทุ่มเถียงกันไปเพื่อสิ่งใดเล่า...มีแต่จะเสียความรู้สึกด้วยกันทั้งสองฝ่าย...ฝ่ายที่เขาเชื่อ ก็มีความสุขที่เขาได้เชื่อ...ฝ่ายไม่เชื่อ ก็จงมีความสุขกับสิ่งที่ทำไปเถิด...ขอเพียงการกระทำของตน ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร...ก็นับเป็นการกระทำที่ถูกต้องที่สุดแล้ว มิใช่หรือ?
     
  3. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    ไม่ผิดพระธรรมวินัยจะมายกอธิกรณ์ได้ยังไงละคับ
     
  4. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    ที่ผมรู้เมื่อ3ปีที่แล้วก็อนาคามี
     
  5. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    คนตาบอดคับคุณเป็น หญิง หรือชายคับ ถ้าเป็นหญิงก็แล้วไปที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา แต่ถ้าเป็นชาย ท่านเคยบวชเป็นบรรพชิตหรือยังคับ ถ้าบวชแล้วบวชได้กี่พรรษาคับ บวชเอาเป็นวันไม่นับนะคับ ขอเป็นพรรษาคับหรือเป็นเดือนก็ได้
    ถ้ายังไม่บาชผมขอแนะนำว่าให้ไปบวชอย่างน้อย1พรรษาเลยนะคับรับลองกระทู้ที่ท่านตั้งท่านจะไม่ตั้งอย่างนี้แน่ แล้วจะรู้สึกขำตัวเองด้วย ไม่เชื่อลองดูได้คับ ไม่เสียหายอะไรด้วย
     
  6. ประเสริฐ2522

    ประเสริฐ2522 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +409
    คิดดีทำดี เด๋วก็ดี
     
  7. dice

    dice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +469
    ถ้ากราบไหว้เป็นยึดติด เช่นนั้นทำลายก็ยึดติดครับ

    ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น มองแค่ว่าเป็นอิฐหินดินทรายทองเหลือง ยามก้มกราบจิตนึกถึงพุทธองค์ก็คือกราบพระพุทธเจ้า เช่นนี้ ก็ไม่เห็นต้องไปทำลาย สิ่งที่ท่านอ้างว่าเป็นอิฐหินดินทรายทองเหลืองเลยครับ ปล่อบวางซะมั่งเถิดครับ

    ส่วนการยกพระไตรปิฎกเพียงบางท่อนบางส่วนบางความมาอ้างความชอบธรรมหรือแนวคิดของตน ผมคิดว่าก็ไม่ถูกนัก เพราะไม่ได้แวดล้อมถึงเจตนาของพระพุทธองค์ ณ ขณะนั้น ว่าได้ว่ากล่าวสั่งสอนถึงเรื่องไหน ด้วยเหตุผลใด แต่ทั้งนี้ผมเชื่อสนิทใจว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่สอนสั่งให้เรายึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งใดหรอกครับ แม้แต่พระพุทธรูปหรือรูปกายของพระองค์ แต่เราก็อย่าได้เอาแค่ข้อความบางข้อมาอ้าง แล้วเหมารวมว่าการกราบวัตถุหรือสิ่งใดๆ โดยที่จิตใจเราน้อมถึงพระพุทธเจ้านั้นจะเป็นสิ่งที่บาปและต้องห้ามโดยเจตนาของพระองค์ไปซะหมด แล้วเราแน่ใจแล้วล่ะหรือ ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้มีเจตนาให้พระพุทธรูปเป็นของต้องห้ามในศาสนาพุทธของเราไม่ควรกราบและไม่ควรมี และแน่ใจแล้วล่ะหรือว่าพระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าการกราบพระพุทธรูปนั้นเป็นบาปดังที่หลายท่านอ้างมา

    ถ้าหากมีการแสดงถึงเจตนาห้ามการมีพระพุทธรูปในพระไตรปิฎกจริง เช่นนั้นในการสังคายนาหลายๆครั้งที่ผ่านมา ทำไมไม่มีท่านใดยกข้อความเหล่านั้นขึ้นมาปฏิรูปศาสนา ยกเลิกและทำลายพระพุทธรูปไปให้สิ้นแผ่นดินดังที่ได้บัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกล่ะครับ

    ผมไม่สงสัยพระไตรปิฎกและพระพุทธเจ้าหรอกนะครับ และผมไม่ได้ปรามาสหลวงพ่อเกษมเลยซักนิด เพียงแต่ติดใจสงสัยในการยกข้อความบางข้อในพระไตรปิฎกมาอ้างว่าตัวถูกเท่านั้นเองครับ ฝากไว้สองสามข้อ
    - พระพุทธเจ้าท่านตรัสห้ามไม่ให้มีพระพุทธรูปในศาสนาพุทธจริงหรือ?
    -การกราบไหว้พระพุทธรูปและวัตถุใดๆแต่ใจน้อมนำไปสู่พระพุทธเจ้าก็เป็นบาปหรือ? ยามตายก็ไปเป็นผีเฝ้าพระพุทธรูปจริงหรือ?
    - การสร้างพระพุทธรูป เป็นบาปจริงอ่ะ?
    -ถ้าไม่ยึดติด และเห็นว่าทุกสิ่งเป็นเพียงความว่าง มีแต่จิตของเราที่ตั้งอยู่ว่าจะน้อมนำถึงสิ่งใด เช่นนั้น เมื่อจิตคิดถึงพระพุทธเจ้า แล้วเราก้มกราบลง ไม่ใช่กราบอิฐหินดินทราย แต่กราบพระพุทธเจ้าที่เราระลึกถึง เช่นนี้เรียกว่ายึดติดในวัตถุหรือ ยกตัวอย่างเช่น ผมไปที่วัดไหว้พระประธานที่วัด เมื่อกลับมาบ้าน จิตผมไม่ได้คิดถึงรูปหล่อพระพุทธรูปที่เห็น แต่จิตผมอิ่มเอิบเพราะผมได้ก้มกราบพระพุทธเจ้าที่ผมน้อมรำลึกถึง และผมลืมรูปพระพุทธรูปไปแล้วด้วยซ้ำ เช่นนี้ผมก็ยึดในวัตถุหรือ
    - การมองเห็นว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นเสนียดจัญไร ไม่ควรมีอยู่ พึงทำลายให้สิ้น เป็นการยึดมั่นในวัตถุหรือไม่ หากไม่ยึดมั่นแล้ว สิ่งนั้นจะคงอยู่หรือไม่ก็อยู่ที่จิต เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำลาย แล้ว...จะต้องทำลายทำไม?

    ผมแค่สงสัยและฝากไว้ คงไม่เข้าร่วมการโต้แย้งใดๆ เพียงว่าตามข้อสงสัยส่วนตัว ขอท่าทั้งหลายเชิญต่อครับ ขออนุโมทนา
     
  8. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสห้ามไม่ให้มีพระพุทธรูปในศาสนาพุทธจริงหรือ?

    ท่านไม่ได้ตรัสห้ามเรื่องพระพุทธรูปในสมัยนั้นครับ..........เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีพระพุทธรูปครับ แต่ท่านตรัสสั่งสอนและตำหนิความเชื่อในเรื่องรูปครับ

    การสร้างพระพุทธรูป เป็นบาปจริงอ่ะ?

    มีส่วนของบาปครับ....เพราะถึงผู้สร้างมีเจตนาดี ก็มีส่วนให้ผู้พบเห็น เกิดความเชื่อ ความเข้าใจผิดหรือรู้ไม่เท่าทันได้น้อมใจไปติดในวัตถุได้ครับ


    ถ้าไม่ยึดติด และเห็นว่าทุกสิ่งเป็นเพียงความว่าง มีแต่จิตของเราที่ตั้งอยู่ว่าจะน้อมนำถึงสิ่งใด เช่นนั้น เมื่อจิตคิดถึงพระพุทธเจ้า แล้วเราก้มกราบลง ไม่ใช่กราบอิฐหินดินทราย แต่กราบพระพุทธเจ้าที่เราระลึกถึง เช่นนี้เรียกว่ายึดติดในวัตถุหรือ ยกตัวอย่างเช่น ผมไปที่วัดไหว้พระประธานที่วัด เมื่อกลับมาบ้าน จิตผมไม่ได้คิดถึงรูปหล่อพระพุทธรูปที่เห็น แต่จิตผมอิ่มเอิบเพราะผมได้ก้มกราบพระพุทธเจ้าที่ผมน้อมรำลึกถึง และผมลืมรูปพระพุทธรูปไปแล้วด้วยซ้ำ เช่นนี้ผมก็ยึดในวัตถุหรือ

    ในกรณีที่คุณยกตัวอย่าง มันมีนัยยะอยู่ครับ ถึงคุณไม่ยึดในวัตถุนั้นๆ ก็มีเทวดาหรือผีที่เฝ้าพระพุทธรูปนั้นๆสำคัญตนผิดได้ว่า เค้ากราบไหว้เราแต่ชาวทิพย์เหล่านั้นก็ไปยินดีกับอาการที่ชาวพุทธทำแบบนั้น โดยลืมคิดไปว่าเราชาวพุทธกราบไหว้ เคารพพระองค์ท่านอยู่ นี่ตอบสำหรับผู้กราบและไม่ยึดติดนะครับ ส่วนผู้กราบและยึดติด ก็ตามที่ตอบไปแล้ว


    - การมองเห็นว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นเสนียดจัญไร ไม่ควรมีอยู่ พึงทำลายให้สิ้น เป็นการยึดมั่นในวัตถุหรือไม่ หากไม่ยึดมั่นแล้ว สิ่งนั้นจะคงอยู่หรือไม่ก็อยู่ที่จิต เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำลาย แล้ว...จะต้องทำลายทำไม?

    ถ้ายึดมั่นแล้วจะทำลายทำไมครับ
    หากไม่ยึดมั่นแล้วทำลายเพราะ.....สิ่งนั้นมีโทษ รู้ว่ามีโทษ จะเก็บไว้เพื่ออะไรครับ
    และถ้าไม่ทำลาย มันก็มีผู้มายึดมั่นถือมั่นในวัตถุนั้นๆเป็นวัฏจักรต่อไป
    สำหรับท่านผู้กราบแล้วไม่ยึดติดในวัตถุ เมื่อไม่ยึดติดก็ไม่มีไว้ครอบครองไม่ต้องกังวลหรอกครับ
    แต่ท่านผู้เข้าใจและเคารพในวัตถุผิดๆ และมีไว้ในครอบครอง มีโทษแน่ครับ

     
  9. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    แอบมาดู..แล้วก็ไป
     
  10. แสงดาวของหัวใจ

    แสงดาวของหัวใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +112
    0.0
     
  11. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    70 % เคยอ่านตำราหลวงปู่ + ดูVCD มากันหมดแล้ว ไม่ใช่ว่ามาวิจารณ์ปรักปรำพระให้เกิด บาปเวรอะไรหรอก

    จริงเหรอครับ.........เอาตัวเลขมาจากไหนครับ

    ++++++++++++++++++++++++


    ลองเอารายชื่อคนเข้ากระทู้ ที่ประกาศแจกซีดีแจกฟรี ผี ทรง เจ้า บ้า ของหลวงปู่เกษม

    มารันรายชื่อ ดูว่ามีใครบ้าง ซึ่งคนที่ได้แจกซีดี

    ก็มาด่าในกระทู้นี้ เพียบบบบบบบบบบบบบ

    ไม่เชื่อก็เข้าไปดูได้ที่


    http://palungjit.org/showthrea...=46899&page=16
     
  12. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE (racerwin_x @ Apr 27 2006, 06:52 PM)</td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->ก่อนที่พระพุธเจ้าจะ ตร้สรู้ ท่านต้องพบกับมารผจญมากมายขนาดไหนครับ เท่าที่รู้คือ มีปีศาจที่เรียกลูกตัวเองมาแล้วก็ยั่วพระพุธเจ้า

    แต่พระพุธเจ้าหยุดแล้วจึงขจัดมารไปได้ นอกจากมารตัวนี้แล้ว มีตัวไหนอีกครับ ที่มารังควาญก่อนจะตรัสรู้ ขอบคุณครับ

    ผมไม่ทราบชื่อมารตัวนี้ครับ จําไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->
    พอดีไม่มีเวลาค้นละเอียด ลองศึกษาดูก่อนนะครับ <!--emo&:lol:-->[​IMG]<!--endemo-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า 'มารผจญ' ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก ก่อน
    ตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมี
    ชื่อว่า 'นาราคีรีเมขล์' เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือพระ
    นางธรณี มีชื่อจริงว่า 'สุนธรีวนิดา'

    พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่
    คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัว
    ดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาลขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกัน
    หมดเพราะเกรงกลัวมาร

    ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า "...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวก
    ก็หน้าเขียวกายแดง ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...ลางพวกกายท่อน
    ล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์..."


    ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธ
    ต่างๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว
    เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ


    เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกิน
    หน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหา
    บุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอาโพธิบัลลังก์
    คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้อง
    ของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระ
    หัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็น
    พยาน<!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่
    โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า 'โพธิบัลลังก์' พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหา
    บุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง
    อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน

    ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้น
    ปฐพี..." แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ทักษิโณทก'
    อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่
    พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา

    ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วง
    มหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น
    ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตาม
    ชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"

    บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรง
    บริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราใน
    ท้องฟ้า

    ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗
    วัน คำว่า 'เสวยวิมุติสุข' เป็นภาษาที่ใช้สำหรับท่านผู้ทรงหลุดพ้นแล้ว เทียบกับภาษาสามัญชนคนมีกิเลสก็
    คือพักผ่อนภายหลังที่ตรากตรำงานมานั่นเอง

    หลังจากนั้นจึงเสด็จไปยังต้นอชปาลนิโครธ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิ์ ต้น
    นิโครธคือต้นไทร ส่วนคำหน้าคือ 'อชปาล' แปลว่า เป็นที่เลี้ยงแพะ ตามตำนานบอกว่าที่ใต้ต้นไทรแห่งนี้
    เคยเป็นที่อาศัยของคนเลี้ยงแพะมานาน คนเลี้ยงแพะที่ตำบลแห่งนี้ได้เข้ามาอาศัยร่มเงาต้นไทรเป็นที่เลี้ยง
    แพะเสมอมา

    ระหว่างที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ นักแต่งเรื่องเรื่องในยุคอรรถกถาจารย์ ยุคนี้เกิดขึ้นภาย
    หลัง พระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี ได้แต่งเรื่องขึ้นเฉลิมพระเกียรติของพระพุทธเจ้าว่า ลูกสาว
    พระยามารซึ่งเคยยกทัพมาผจญพระพุทธเจ้าเมื่อตอน ก่อนตรัสรู้เล็กน้อยแต่ก็พ่ายแพ้ไป ได้ขันอาสาพระยา
    มารผู้บิดาเพื่อประโลมล่อพระพุทธเจ้าให้ตกอยู่ในอำนาจของพระยามารให้จงได้ ลูกสาวพระยามารมี ๓
    คน คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี

    ทั้งสามนางเข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้าด้วยกลวิธีทางกามารมณ์ต่างๆ เช่น เปลื้อง
    ภูษาอาภรณ์ทรงออก แปลงร่างเป็นสาวรุ่นบ้าง เป็นสาวใหญ่บ้าง เป็นสตรีในวัยต่างๆ บ้าง แต่พระพุทธ
    เจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติแม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง


    เรื่องธิดาพระยามารประโลมพระพุทธเจ้าก็เป็นปุคคลาธิษฐาน ถอดความได้ว่า ทั้งสามธิดา
    พระยามารนั้น ล้วนหมายถึงกิเลสทั้งนั้น อย่างหนึ่งคือความยินดี อีกอย่างหนึ่งคือความยินร้ายหรือความ
    เกลียดชัง ความยินดีส่วนหนึ่งแยกออกเป็นตัรหา คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด อีกส่วนหนึ่งเป็นราคา
    หรือราคะ คือความใคร่หรือกำหนัด ความเกลียดชังหรือยินร้ายออกมาในรูปของอรดี อรดีในที่นี้คือ
    ความริษยา

    ความที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ แม้แต่ทรงลืมพระเนตรนั้น ก็หมาย
    ถึงว่า พระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->
     
  13. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"><tbody><tr><td>QUOTE (racerwin_x @ Apr 27 2006, 06:52 PM)</td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->ก่อนที่พระพุธเจ้าจะ ตร้สรู้ ท่านต้องพบกับมารผจญมากมายขนาดไหนครับ เท่าที่รู้คือ มีปีศาจที่เรียกลูกตัวเองมาแล้วก็ยั่วพระพุธเจ้า

    แต่พระพุธเจ้าหยุดแล้วจึงขจัดมารไปได้ นอกจากมารตัวนี้แล้ว มีตัวไหนอีกครับ ที่มารังควาญก่อนจะตรัสรู้ ขอบคุณครับ

    ผมไม่ทราบชื่อมารตัวนี้ครับ จําไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->
    พอดีไม่มีเวลาค้นละเอียด ลองศึกษาดูก่อนนะครับ <!--emo&:lol:-->[​IMG]<!--endemo-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า 'มารผจญ' ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก ก่อน
    ตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมี
    ชื่อว่า 'นาราคีรีเมขล์' เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือพระ
    นางธรณี มีชื่อจริงว่า 'สุนธรีวนิดา'

    พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่
    คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัว
    ดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาลขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกัน
    หมดเพราะเกรงกลัวมาร

    ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า "...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวก
    ก็หน้าเขียวกายแดง ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...ลางพวกกายท่อน
    ล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์..."


    ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธ
    ต่างๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว
    เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ


    เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกิน
    หน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหา
    บุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอาโพธิบัลลังก์
    คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้อง
    ของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระ
    หัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็น
    พยาน<!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่
    โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า 'โพธิบัลลังก์' พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหา
    บุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง
    อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน

    ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้น
    ปฐพี..." แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ทักษิโณทก'
    อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่
    พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา

    ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วง
    มหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น
    ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตาม
    ชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"

    บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรง
    บริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราใน
    ท้องฟ้า

    ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗
    วัน คำว่า 'เสวยวิมุติสุข' เป็นภาษาที่ใช้สำหรับท่านผู้ทรงหลุดพ้นแล้ว เทียบกับภาษาสามัญชนคนมีกิเลสก็
    คือพักผ่อนภายหลังที่ตรากตรำงานมานั่นเอง

    หลังจากนั้นจึงเสด็จไปยังต้นอชปาลนิโครธ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิ์ ต้น
    นิโครธคือต้นไทร ส่วนคำหน้าคือ 'อชปาล' แปลว่า เป็นที่เลี้ยงแพะ ตามตำนานบอกว่าที่ใต้ต้นไทรแห่งนี้
    เคยเป็นที่อาศัยของคนเลี้ยงแพะมานาน คนเลี้ยงแพะที่ตำบลแห่งนี้ได้เข้ามาอาศัยร่มเงาต้นไทรเป็นที่เลี้ยง
    แพะเสมอมา

    ระหว่างที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ นักแต่งเรื่องเรื่องในยุคอรรถกถาจารย์ ยุคนี้เกิดขึ้นภาย
    หลัง พระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี ได้แต่งเรื่องขึ้นเฉลิมพระเกียรติของพระพุทธเจ้าว่า ลูกสาว
    พระยามารซึ่งเคยยกทัพมาผจญพระพุทธเจ้าเมื่อตอน ก่อนตรัสรู้เล็กน้อยแต่ก็พ่ายแพ้ไป ได้ขันอาสาพระยา
    มารผู้บิดาเพื่อประโลมล่อพระพุทธเจ้าให้ตกอยู่ในอำนาจของพระยามารให้จงได้ ลูกสาวพระยามารมี ๓
    คน คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี

    ทั้งสามนางเข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้าด้วยกลวิธีทางกามารมณ์ต่างๆ เช่น เปลื้อง
    ภูษาอาภรณ์ทรงออก แปลงร่างเป็นสาวรุ่นบ้าง เป็นสาวใหญ่บ้าง เป็นสตรีในวัยต่างๆ บ้าง แต่พระพุทธ
    เจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติแม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง


    เรื่องธิดาพระยามารประโลมพระพุทธเจ้าก็เป็นปุคคลาธิษฐาน ถอดความได้ว่า ทั้งสามธิดา
    พระยามารนั้น ล้วนหมายถึงกิเลสทั้งนั้น อย่างหนึ่งคือความยินดี อีกอย่างหนึ่งคือความยินร้ายหรือความ
    เกลียดชัง ความยินดีส่วนหนึ่งแยกออกเป็นตัรหา คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด อีกส่วนหนึ่งเป็นราคา
    หรือราคะ คือความใคร่หรือกำหนัด ความเกลียดชังหรือยินร้ายออกมาในรูปของอรดี อรดีในที่นี้คือ
    ความริษยา

    ความที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ แม้แต่ทรงลืมพระเนตรนั้น ก็หมาย
    ถึงว่า พระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd--><!-- / message --><!-- sig --> __________________
    ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน ^_____^
     
  14. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE (racerwin_x @ Apr 27 2006, 06:52 PM)</td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->ก่อนที่พระพุธเจ้าจะ ตร้สรู้ ท่านต้องพบกับมารผจญมากมายขนาดไหนครับ เท่าที่รู้คือ มีปีศาจที่เรียกลูกตัวเองมาแล้วก็ยั่วพระพุธเจ้า

    แต่พระพุธเจ้าหยุดแล้วจึงขจัดมารไปได้ นอกจากมารตัวนี้แล้ว มีตัวไหนอีกครับ ที่มารังควาญก่อนจะตรัสรู้ ขอบคุณครับ

    ผมไม่ทราบชื่อมารตัวนี้ครับ จําไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->
    พอดีไม่มีเวลาค้นละเอียด ลองศึกษาดูก่อนนะครับ <!--emo&:lol:-->[​IMG]<!--endemo-->

    <!--QuoteBegin-->
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า 'มารผจญ' ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก ก่อน
    ตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมี
    ชื่อว่า 'นาราคีรีเมขล์' เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือพระ
    นางธรณี มีชื่อจริงว่า 'สุนธรีวนิดา'

    พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่
    คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัว
    ดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาลขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกัน
    หมดเพราะเกรงกลัวมาร

    ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า "...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวก
    ก็หน้าเขียวกายแดง ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...ลางพวกกายท่อน
    ล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์..."


    ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธ
    ต่างๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว
    เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ


    เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกิน
    หน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหา
    บุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอาโพธิบัลลังก์
    คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้อง
    ของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระ
    หัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็น
    พยาน
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin-->
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่
    โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า 'โพธิบัลลังก์' พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหา
    บุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง
    อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน

    ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้น
    ปฐพี..." แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ทักษิโณทก'
    อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่
    พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา

    ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วง
    มหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น
    ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตาม
    ชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"

    บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรง
    บริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราใน
    ท้องฟ้า

    ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin-->
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗
    วัน คำว่า 'เสวยวิมุติสุข' เป็นภาษาที่ใช้สำหรับท่านผู้ทรงหลุดพ้นแล้ว เทียบกับภาษาสามัญชนคนมีกิเลสก็
    คือพักผ่อนภายหลังที่ตรากตรำงานมานั่นเอง

    หลังจากนั้นจึงเสด็จไปยังต้นอชปาลนิโครธ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิ์ ต้น
    นิโครธคือต้นไทร ส่วนคำหน้าคือ 'อชปาล' แปลว่า เป็นที่เลี้ยงแพะ ตามตำนานบอกว่าที่ใต้ต้นไทรแห่งนี้
    เคยเป็นที่อาศัยของคนเลี้ยงแพะมานาน คนเลี้ยงแพะที่ตำบลแห่งนี้ได้เข้ามาอาศัยร่มเงาต้นไทรเป็นที่เลี้ยง
    แพะเสมอมา

    ระหว่างที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ นักแต่งเรื่องเรื่องในยุคอรรถกถาจารย์ ยุคนี้เกิดขึ้นภาย
    หลัง พระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี ได้แต่งเรื่องขึ้นเฉลิมพระเกียรติของพระพุทธเจ้าว่า ลูกสาว
    พระยามารซึ่งเคยยกทัพมาผจญพระพุทธเจ้าเมื่อตอน ก่อนตรัสรู้เล็กน้อยแต่ก็พ่ายแพ้ไป ได้ขันอาสาพระยา
    มารผู้บิดาเพื่อประโลมล่อพระพุทธเจ้าให้ตกอยู่ในอำนาจของพระยามารให้จงได้ ลูกสาวพระยามารมี ๓
    คน คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี

    ทั้งสามนางเข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้าด้วยกลวิธีทางกามารมณ์ต่างๆ เช่น เปลื้อง
    ภูษาอาภรณ์ทรงออก แปลงร่างเป็นสาวรุ่นบ้าง เป็นสาวใหญ่บ้าง เป็นสตรีในวัยต่างๆ บ้าง แต่พระพุทธ
    เจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติแม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง


    เรื่องธิดาพระยามารประโลมพระพุทธเจ้าก็เป็นปุคคลาธิษฐาน ถอดความได้ว่า ทั้งสามธิดา
    พระยามารนั้น ล้วนหมายถึงกิเลสทั้งนั้น อย่างหนึ่งคือความยินดี อีกอย่างหนึ่งคือความยินร้ายหรือความ
    เกลียดชัง ความยินดีส่วนหนึ่งแยกออกเป็นตัรหา คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด อีกส่วนหนึ่งเป็นราคา
    หรือราคะ คือความใคร่หรือกำหนัด ความเกลียดชังหรือยินร้ายออกมาในรูปของอรดี อรดีในที่นี้คือ
    ความริษยา

    ความที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ แม้แต่ทรงลืมพระเนตรนั้น ก็หมาย
    ถึงว่า พระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->


     
  15. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    <table valign="Bottom" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody> <tr bgcolor="white"> <td rowspan="5" align="center" valign="top" width="280">[​IMG]</td> <td rowspan="5" width="1"> </td> <td vspace="0" hspace="0" align="center" valign="top"><big>สมุดภาพพระพุทธประวัติ</big>
    ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร
    ภาพที่ ๒๖
    แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี
    </td></tr> <tr> <td vspace="0" hspace="0" align="left" valign="top">[SIZE=-0] <table valign="Bottom" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="left">
    [​IMG]
    สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่
    โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า 'โพธิบัลลังก์' พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหา
    บุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง
    อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน
    [​IMG]
    ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้น
    ปฐพี..."
    แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ทักษิโณทก'
    อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่
    พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา
    [​IMG]
    ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วง
    มหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น
    ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตาม
    ชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"
    [​IMG]
    บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรง
    บริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราใน
    ท้องฟ้า
    [​IMG]
    ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น</pre></td></tr></tbody></table>[/SIZE]</td></tr></tbody></table>
     
  16. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    พระเกษมนี้ก็ ทำเกินไป สงใส ตบะ แตก
     
  17. olive36

    olive36 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +152
    เห็นคุณน้อง boko0121 เข้าข้างพระเกษมมาตลอดเลย

    ไม่ทราบว่าพระเกษม บอกให้นับถือ พุทธไปด้วย นับถือคริสต์ไปด้วยเหรอคะ
    แล้วที่เอา คัมภัร์ไบเบิ้ลมาแจกใน เวบศาสนาพุทธนี่

    คิดว่าเหมาะสมแล้วเหรอคะ? พระเกษมบอกให้ทำเปล่าคะ ?

    ทำไมไม่ไปโพสในเวบของ พวกคริสต์หล่ะคะ? เวบศาสนาพุทธมีจุดประสงค์อยากให้คนสนใจทางศาสนาพุทธมากกว่านะคะ ไม่ใช่ดึงคนในศาสนาพุทธให้ ย้ายไปนับถือ พระเจ้าแทน
     
  18. kiyomaro

    kiyomaro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +25
    พุทธบูชามหาเตชะวันโต
     
  19. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    310
    ค่าพลัง:
    +973
    สัททธรรมปฏิรูป คือการตีความในพระไตรปิฎกเข้าข้างความคิด เข้าข้างคำสอนตนเอง
    มองไม่เห็นความผิดพลาด เมื่อก้าวผ่าน แล้วหันมามอง จึ่งค่อยเห็น
    รู้เอง ไม่เป็นไร.......ถ้าเผยแพร่ อันตรายกับพระศาสนา พึงพิจารณา
    กุศลบารมีสั่งสมต่างๆกัน ย่อมรู้เห็นได้ต่างๆกัน แต่โลกุตตระญาน...จึงเป็นญานของพระอริยะ
    ถ้าเรายังอยู่ในโลกของสมมุติ ก็พึงมองเห็นประโยชน์และคุณค่าของสมมุติ
    แต่จงอย่าติดในสมมุติ เพราะจะทำให้เราไปไม่ถึงวิมุตติ
     
  20. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939

แชร์หน้านี้

Loading...