ยิ่งกว่าสุข..เมื่อจิตเป็นอิสระ" งานธรรมถวายในหลวง

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 29 พฤศจิกายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    "ยิ่งกว่าสุข..เมื่อจิตเป็นอิสระ" งานธรรมถวายในหลวง



    เช้าตรู่วันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายน ผู้คนหลากหลายวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส มารวมตัวกันที่หน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    ส่วนใหญ่ใส่เสื้อเหลือง เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถวายความจงรักภักดีแด่ "พ่อหลวง" เนื่องจากทุกคนตั้งใจมาปฏิบัติธรรม และฟังบรรยายธรรม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จัดขึ้นโดย *อมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    มีวิทยากรมาบรรยายธรรม อาทิ *ดร.สนอง วรอุไร* พูดเรื่อง "ที่พึ่งภายในตนเพื่อทำชีวิตให้เป็นอิสระ"

    ส่วนช่วงบ่ายเป็นการแสดงธรรม โดย *พระครูเกษมทัต* หรือหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสิ จากสำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมเหยงคณ์ แสดงธรรมเรื่อง "เห็นใจ เห็นธรรม" พร้อมทั้งนำเจริญสติ และตอบปัญหาธรรม

    หลังพักรับประทานอาหารว่าง *หลวงปู่พุทธอิสระ* แห่งวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม แสดงธรรมเรื่อง "อาณาปานสติภาวนา" พร้อมภาคปฏิบัติ และปุจฉา-วิสัชนาธรรม

    เห็นรายการแน่นเอี้ยดด้วยเนื้อหาเช่นนี้แล้ว อาจคิดว่าคนฟังจะไม่มาก แต่จากที่เห็นคนมากันแต่เช้าเพราะเกรงว่าไม่มีที่นั่ง ช่วงสายเท่าไหร่คนยิ่งมามากขึ้นเท่านั้น จนต้องเสริมเก้าอี้และติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดทางด้านหน้าหอประชุม

    เริ่มงานไล่ลำดับไปตามเนื้อหา แต่ที่น่าสนใจเป็นเรื่อง "ยิ่งกว่าสุข..เมื่อจิตเป็นอิสระ" โดย ดร.สนอง วรอุไร ที่ได้เกริ่นไปแล้ว

    อาจารย์สนองบอกว่า "ความสุข" เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา อยากมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่สุขอย่างไร จึงจะเรียกว่า "สุขที่แท้จริง"

    จากนั้นได้แจกแจงความสุขไว้ 3 ระดับ คือ

    ระดับแรกเรียกว่า "กามสุข" เป็นสุขที่เกิดจากการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับการประทบ จิตก็ปรุงเป็นอารมณ์เกิดเป็นกามสุข แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ลด ละ ความสุขทางกามตัวนี้ เพราะเมื่อใช้ปัญญามองอย่างถ่องแท้แล้วจะเห็นว่าความสุขชนิดนี้ เป็น*ความสุข* ที่มาคู่กับ *ความทุกข์* เสมอ

    *ไม่มีกามสุขใดจะได้มาโดยปราศจากทุกข์ ตัวอย่างเช่น กว่าจะสรรหาอาหารอร่อยๆ กินได้ ย่อมต้องเป็นทุกข์จากการแสวงหา บางครั้งต้องฝ่ารถติดไปกิน ทำให้เกิดโทสะเป็นทุกข์ เพราะรถติด เป็นต้น กามสุขจึงเป็นความสุขหยาบที่อยู่บนพื้นฐานของความเหนื่อยยาก มีอายุสั้น มาเร็วไปเร็ว ดังนั้น จึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับกามสุขด้วยสติและปัญญารู้เท่าทัน*

    ระดับ 2 คือ "ความสุขจากจิตที่สงบ" ความสุขประเภทนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เข้าถึงได้ 2 วิธีคือ

    1.ทำจิตใจให้สงบด้วยสมาธิหรือสมถกรรมฐาน 2.ทำจิตใจให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งด้วยวิปัสนากรรมฐาน

    ความสุขจากความสงบของจิตเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องตะเกียกตะกายไปหาที่ไหนไกลๆ จะอยู่ที่บ้านหรือที่ไหนก็สุขได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท ไม่ต้องลงทุนอะไร เพียงแค่กำหนดลมหายใจก็สามารถสร้างสุขชนิดนี้ให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้แล้ว

    *ขอเพียงรู้จักวิธีคิดและนำการหายใจซึ่งเป็นของดีที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดมาใช้ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น*

    ระดับ 3 คือ "สุขจากจิตที่เป็นอิสระ" ความสุขประเภทนี้ถือว่าเป็น "สุดยอด" ของความสุข จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสามารถทำชีวิตให้เป็นอิสระ จากการตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ และความหลง

    *ความสุขจากจิตที่เป็นอิสระนี้จึงมีอานุภาพมหาศาล และเป็นที่สุดแห่งสุขทั้งปวง*

    เพราะสามารถเปลี่ยนมนุษย์ทั่วไปให้เป็นอริยบุคคล ผู้มีจิตเป็นอิสระจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง ความสุขชนิดนี้จึงเป็นความสุขชนิดเดียว ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้พุทธบริษัทแสวงหา ดังที่ผู้รู้ท่านกล่าวไว้ว่า

    "ความสุขที่เกิดจากการหยุดแสวงหา คือสุดยอดของการแสวงหาทั้งปวง"

    ทุกวันนี้ใครกำลังแสวงหาความสุขประเภทไหน การแสวงหาความสุขคือเครื่องวัด เครื่องบ่งชี้ภูมิธรรม ภูมิปัญญา และบุญบารมี ของมนุษย์แต่ละคน

    หากยังหมกมุ่นอยู่กับความสุขประเภทแรก แสดงว่ายังไปไม่ถึงไหน หากขยับขึ้นมาอีกระดับหนึ่งต้องการแสวงหาความสุขจากจิตสงบ ก็บ่งชี้ว่าศักยภาพทางจิตสูงขึ้นแล้ว และหากขยับขึ้นมายินดีในสุขที่เกิดจากจิตเป็นอิสระได้ แปลว่าการเวียนว่ายตายเกิดใกล้จะสิ้นสุดแล้ว

    *คนประเภทนี้จะมีความสุขมาก ในขณะที่ความทุกข์ลดน้อยลง หรืออาจจะไม่มีเลย*
     
  2. mazble

    mazble เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    4,317
    ค่าพลัง:
    +15,076
    <pre>
    อิสระได้จากครามรู้สึกที่ว่าไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลย
    แม้แ้ต่ตัวเราก็เป็นเพียงรูป นาม ที่ประกอบกัน ตามธรรมชาติ...
    ขออนุโมทนาสาธุ กับคุณ NoOTa ด้วยครับ





    </pre>
     

แชร์หน้านี้

Loading...