รบกวนถามท่านผู้รู้ช่วยอธิบายเกี่ยวกับกระบวนการเกิดในภพภูมิต่าง ๆ

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย อากาสา, 30 มกราคม 2013.

  1. อากาสา

    อากาสา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2013
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +10
    รบกวนท่านผู้รู้ช่วยอธิบายกระบวนการเกิด การดับ ในภพภูมิต่าง ๆ เพราะภพภูมิมีตั้ง 31 ประเภท เวลามนุษย์เราตายไป จะไปจุติที่ไหนก่อน ต้องไปใช้กรรมก่อนหรือไม่ แล้วจะได้ไปเสวยบุญหรือไม่ ตกนรกแล้วต้องไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นเดรัจฉานอีกหรือไม่ เสร็จแล้วต้องไปไหนต่ออีกหรือไม่ แล้วต้องไปจุติในอีกกี่ภพถึงจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ การจุติในแต่ละภพต้องอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง มีกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดที่ตายตัวหรือไม่ รบกวนช่วยอธิบายให้ละเอียดนิดครับผม ขอบคุณครับ
     
  2. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ถามซะยากเลย ไม่มีปัญญาตอบครับผม จะให้ได้คำตอบอย่างเที่ยงแท้ ต้องมาจากพระอริยะเจ้าน่ะครับ ถ้าให้พวกวิปัสนึกมาตอบ ก็จะได้คำตอบแบบนึกๆ น่ะครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลา คุณ อากาสา ลงมือปฏิบัติให้รู้ได้ด้วยตัวเองเลยดีกว่าครับ จริงๆแล้ว ผมก็กำลังลงมือปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบนี้อยู่เหมือนกันครับ :cool:
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ข้อมูลที่คุณต้องการนั้นมีค่อนข้างที่จะละเอียดเลยนะครับ....แต่เนื่องจากคุณถามค่อนข้างที่จะละเอียดอีกอย่าง ถ้าจะตอบง่ายๆนั้นก็เป็นไปได้ยากที่จะเข้าใจ......เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ผมแนะนำให้คุณลองศึกษาพระอภิธรรมด้วยตนเอง ซึ่งคุณสามารถจะศึกษาได้ทางไปรษณีย์ หรือ ทางออนไลน์ก็ได้ ( แต่ผมแนะนำให้คุณศึกษาทางไปรษณีย์นะครับ จบแล้วได้ใบประกาศฯจาก มจร. ด้วย ) ผมอาจตอบได้ไม่ตรงความต้องการของคุณที่อยากรู้ในตอนนี้ได้เท่าไร แต่ถ้าคุณศึกษา ในเรื่อง จิต เจตสิก คุณจะเข้าใจในทันที ไม่ว่าเรื่องตายแล้วเกิดในทันทีหรือไม่ จิตเมื่อจะเกิดใหม่เกิดในภพภูมิต่างๆได้อย่างไร จิตอะไรนำไปเกิด ตลอดจนเรื่อง ๓๑ ภพภูมิ อะไรอย่างนี้เป็นต้น จะมีหลักการและตรงตามความต้องการของคุณโดยตรง....จะอ่านจากเว็บนี้เลยก็ได้ครับ.....

    มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ในเรื่องเหล่านี้ในพระปริยัติมีให้ศึกษาไว้อย่างละเอียดแล้วครับ....เราเกิดมาพบพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านทรงสอนให้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องไปหาวิธีค้นพบด้วยตนเองให้เสียเวลาไปไม่รู้จะกี่กัป กี่ อสงไขย หลอกครับ....จะเกิดอีกไม่รู้เท่าไรก็ไม่รู้ ถึงจะรู้ภพ รู้ชาติ รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ เท่าพระพุทธเจ้าท่าน.....เมื่อเกิดมาพบพระธรรม ท่านสอนไว้แล้ว ก็ลงมือ ทั้งศึกษาและปฏิบัติตามท่าน ผมว่าคนจะเลิกเกิดเลิกทุกข์ได้เร็วกว่าที่มัวแต่จะงมศึกษาเองนะ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2013
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    :cool:มันไม่ยากหรอกครับถ้าอยากจะรู้ ให้ทาน รักษาศิล และเจริญภาวนา ให้มาก และหาทางพิสูตรได้ด้วยตนเอง ทางพระพุทธศาสนามีหนทาง ให้ท่านได้พิสูตรเยอแยะครับ กรรมคือการกระทำ ของเราเอง ที่ทำให้เราไปเกิด ในแดนนั้นๆ ไม่ว่า นรก เปรต อสูรกาย สัตว์ เดรัชฉาน มนุษย์ คือแดนกลาง เป็นแดนเลือกเกิด จะไป สวรรค์ พรหม นิพพาน ก็ต้องทำ หรือบำเพ็ญ ไปจากแดนนี้ทั้งสิ้น คุณจะเลือกไปไหนล่ะ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดสิ้นแล้ว

    กายมันตาย แต่ใจหรือจิต มันไม่ได้ตายด้วย เขาเรียกย้ายที่ไป ไปเกิดเป็น สัตว์ นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัชฉาน ทุกเผ่าพันธุ์ เกิดเป็นคน ทุกเผ่าพันธุ์ ไปเป็นเทวดา พรหม นิพพาน ก็ทำไปจากคนทั้งสิ้น คุณทำกรรมอะไรไว้ ทำชั่ว มันก้ไปที่ชั่ว ที่ต่ำ ทำความดีก็ไปที่สูง เกิดในที่ภพภูมิที่ดี จากการกระทำของเราเอง ไม่มีใครมา ทำให้เราไปเกิดนะที่ใดๆได้ นอกจากเราทำเองครับ ถ้าทำกรรมชั่วหนักๆ ไม่ต้องผ่านสำนัก พยายม ลงดิ่งเลย ถ้าทำชั่วบ้างดีบ้าง ต้องผ่านสำนักพยายม ท่านจะถามเราเคยทำความดีไหม จะให้ไปเสวยสุขก่อน ถ้าเรานึกไม่ได้ ท่านจะถาม นึกไม่ได้ ก็ลงไปที่

    กรรมที่เราทำ ไปเสวยทุกข์ เคยทำบุญอุทิศกุศล ฝากท่านไว้ท่านจะบอกว่าเธอเคยอุทิส บุญ ขอให้พยายม เป็นพยาน ท่านก็จะบอก แล้วท่านก็ให้ไปเสวย สุข ก่อนเอาค่าวๆนะ ละเอียด พิมเป้นเล่มแน่เลยครับ ถ้าคุณทำบุญเหนือบาป บุญที่คุณทำจะนำจิตคุณไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้า หรือพรหม คุณตัดกิเลสได้ก้ไปนิพพาน ถ้าคุณไม่มีบุญและบาป ก็ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนจน คนรวย ก็เพราะบุญของคุณ ถ้าจะอธิบายว่าบุญอะไร ทำให้ไปเกิด เป็นเทวดาชั้นนั้นๆละก็ มันยาวครับ มาต่ออีกนิดครับ ทำบุญ ตักบารต ให้ทานกับคนและสัตว์ สร้าง โบสถ วิหาร กุฏิ ส้วม บุญอื่นอีกเยอะครับ ทีจะทำให้ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้าครับ

    ถ้าไปเกิดเป็นพรหม ต้องเจริญสมาธิกรรมฐาน ฌาณ ที่ ๑ ทำให้ไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ ๑-๒-๓ มันอยู่ที่ว่า ฌาณ ละเอีด ระดับไหน มีหยาบ กลางละเอียด ฌาณที่ ๒ ทำให้ไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ ๔-๕-๖ ก็มี หยาบกลางละเอียด เช่นกันครับ คนที่เจริญสมาธิได้ฌาณที่ ๓ ทำให้ไปเกิด เป็นพรหม ชั้นที่ ๗-๘-๙ และคนที่ได้ ฌาณ ที่ ๔ ทำให้ท่านเหล่านั้น ไปเกิด ตามกำลัง บุญญาบารมี ที่ได้ ทำให้ไปเกิด เป็นพรหม ชั้นที่ ๑๐-๑๐-๑๒ ส่วนพรหม ชั้นที่ ๑๓ ถึงชั้นที่ ๑๖ เป็นที่เกิดของคนที่บำเพ็ญ เป็พระอริยเจ้า ในขั้น ของพระอนาคามี

    ในส่วนของฌาณ โลกีย์ ไม่ใช่พระอริย ไม่มีสิทธิ์อยู่ครับ ไม่ว่าผู้หญิงหรือชาย เจริญสมาธิกรรมฐาน ได้ฌาณ ไปเกิดเป็นพรหม จะไม่มีเพศ หญิงหรือชาย ไม่เหมือนเทวดา ครับ เทวดายังมีเพศหญิงชายอยู่ครับ ถ้าคนที่เจริญ อรูปฌาณ จะทำให้ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีรูป มี ๔ ชั้น ไม่มีอายาตนะ เป็นดวงจิต ลอยอยู่ เฉยๆ ในชั้นอรูปพรหมครับ อธิบายมาก พิมหนังสือเป็นเล่มๆก็ไม่จบ และผมก็ไม่รู้ละเอียดลึกซึ้นขนาดนั้นครับ พออนุมาณให้เข้าใจน่ะพอได้ครับ

    ทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว ที่จะทำให้เรา ไปเกิด ในแดนนั้นๆครับ จะไปไหนก้เลือกเอาครับ ดวงจิตดวงนี้แหละ สมมุติ ว่าท่านว่าท่านใกล้ จะตาย ท่านไม่นึกถึงบูญ หรือ กรรมอย่างอื่น ดันไปนึกถึง สัตว์ เข้า จะเป็น เป็ดไก่ วัวควาย ช้างม้า หมูหมา ก้ตาม จิตเรามันก็จะไปเกิด ตามนั้นเลยครับ อยู่ในคราบของสัตว์ แต่จิตหรือใจ มันเป็นคนครับ หรือเรียกตามสัพ อีกอย่างว่า อทิศมานกายๆในนั่นเอง ครับ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2013
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940

    ไม่ต้องไปพิจารณา กระบวนการ เพราะ นั่นเป็นเรื่องของ สัพพัญุญาณ

    หากเป็น สาวก เอาแค่ พิจารณาการมี "อาสวะ" ถ้ายังมี อาสวะ ก็
    จะต้องมี ชาติ ชรา มรณะ ฯ อยู่แน่นอน เช่น ยังจับอารมณ์นิพพาน
    มีการ ทรงอารมณ์นิพพาน ไม่ปล่อยแม้อารมณ์นิพพาน อันนี้ ก็จะถือ
    ว่า มีอาสวะ พอมีอาสวะ ก็ไปเกิดแน่นอน มี ชาติ ชรา มรณะ รออยู่
    แน่นอน

    ส่วนเรื่อง ภพภูมิ เราไม่ได้ เรียนธรรมะ เพื่อเป็น โหร !!

    เราศึกษาธรรมะเพื่อ เข้าใจ แทงตลอดในหลัก อิทัปปัจจัยตา

    หากกรรมดีมี ผลกรรมดีย่อมมี

    หากกรรมไม่ดีมี ผลกรรมไม่ดีก็ย่อมมี ไม่หายไปไหนด้วยนะ
    เช่น พระโมคคัลลานะ เคยทำร้ายทุบตีแม่ ตกนรกไม่รู้กี่กัป
    ต่อกี่กัป เรียกว่า ใช้กรรมในนรกภูมิ สิ้น ไม่ต้องไปลงเสวย
    นรกภูมิด้วย ปัจจัยคือกรรมชั่วนั้นอีก แต่.....ตลอดชั่วกาลปาวสาน
    จะเกิดกี่ชาติ ก็จะต้องโดน ทุบตีให้แหลกละเอียดเช่นนั้น ทุกชาติไป
    กรรมไม่มีการหาย เด็ดขาด

    หากเคยเล่นกรรมแม่บุญมือแล้ว ก็ต้องเกิดมาเป็น คนเล่นแม่บุญมือ
    อยู่แบบนั้นไปตลอดชั่วกาลปาวสาน

    เพียงแต่ว่า มันจะปรากฏเมื่อไหร่ ไม่สามารถระบุได้ ขึ้นกับปัจจัย
    แวดล้อม ( โลกที่ห้อมล้อม ) ไม่ได้ขึ้นกับ ตัวคนๆนั้นนะ กรรม
    จะส่งผลมาถึง มันขึ้นกับ โลก โลกเขาพร้อม กรรมก็ถึงทันที

    ดังนั้น

    เวลาตาย หรือ จุติ หากตอนนั้น โลกเข้าพร้อม จิตไม่ได้พ้นจากโลก
    แล้วโลกเขาพร้อม ก็บอกไม่ได้หลอกว่า จะเกิดการเคลื่อนไปเกิด
    ในภพภูมิใด ปัจจัยใดพร้อมตอนนั้นก็ไปเกิดตามนั้น เนี่ยะ หลัก
    "อิทัปปัจจัยตา" ฟังแล้วก็เหมือนๆว่าจะเข้าใจ แต่เราไม่ได้เอา
    เข้าใจ ฮานาก้า

    เราต้องหมายเอาที่ จิต นั้น ถึงพร้อมทิฏฐิเหล่านี้หรือเปล่า รู้เท่า
    เอาทัน อิทัปปจัยยตาหรือเปล่า ถ้าทัน มันก็มี สภาวะบางอย่าง
    ปรากฏให้รับรู้ รับรู้แล้วหากทรงหรือสำคัญมั่นหมาย ก็ไม่พ้นโลก
    ไปไหน มี ชาติ ชรา มรณะ อยู่ดี
     
  8. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    อจินไตยมี 4 อย่างคือ

    ๑. พุทธวิสัย คือความรู้ความสามารถของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะหยั่งถึง เข้าใจได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงรู้ ทรงเห็น ทรงมีความสามารถมากมายก่ายกอง ผิดจากมนุษย์คนธรรมดาสามัญ

    ๒. ฌานวิสัย คือเรื่องของฌานสมาบัติ เช่นทำไมคนเราบางคนถึงเข้าฌานนั่งอยู่เฉยๆ ได้เป็นวันๆ โดยที่ไม่ต้องกินข้าวไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน สิ่งนี้เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้ จะเข้าใจได้ ถ้าคนที่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติมานั่งคิด นอนคิดยังไงก็ไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างพวกเรานี้ เพียงแต่นั่งเฉยๆ แค่ ๑๕ นาที หรือครึ่งชั่วโมงก็จะนั่งกันไม่ได้อยู่แล้ว แล้วทำไมคนบางคนจึงนั่งหลับตานิ่งเฉยอยู่เป็นวันๆได้ นี้คือการเข้าฌานสมาบัติ ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้

    ๓. กรรมวิสัย เรื่องของกรรมนี้เป็นเรื่องที่เหนือวิสัยของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้ว่า เมื่อทำกรรมอันหนึ่งอันใดไว้แล้ว ผลที่จะตามมานั้นจะเป็นอย่างไร หรือการที่มนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ในโลกนี้นั้น
    ได้กระทำอะไรมาในอดีต เรื่องนี้เราไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ เพราะเป็นเรื่องข้ามภพข้ามชาติ พวกเราเห็นได้แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในชาตินี้เท่านั้นเอง แต่เราไม่รู้ว่าชาติก่อนมีจริงหรือเปล่า ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถจะรู้ได้จากความนึกคิดของเราเอง แต่เป็นสิ่งที่จะรู้ได้จากการประพฤติปฏิบัติธรรมเท่านั้น คือต้องนั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนาเท่านั้น จึงจะเข้าสู่ความจริงอันนี้ได้

    ๔. โลกวิสัย คือเรื่องของความเป็นมาของโลกนี้ ว่าโลกนี้เป็นมาอย่างไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีใครเป็นคนสร้างมาหรือเปล่า หรือไม่มีคนสร้าง เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่เหนือวิสัยของมนุษย์ที่จะสามารถรู้เห็นได้ เลยกลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไปต่างๆนานา บางคนก็ว่ามีพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา บางคนก็บอกว่าไม่มีพระเจ้า ไม่มีใครสร้างโลก เป็นเรื่องของเหตุ เป็นเรื่องของปัจจัย เป็นเรื่องของธาตุทั้ง ๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ เมื่อเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาก็ทำให้เกิดเป็นโลก เป็นดาว เป็นเดือน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมา

    ….ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยถูกคนอื่นถามด้วยเรื่องอจิณไตย เช่น….

    ….จักรวาลกว้างเท่าไร? มีขอบเขตแค่ไหน?….

    ….นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่? ถ้ามีตั้งอยู่ที่ไหน?…

    ….ถ้าสำเร็จพระอรหันต์แล้วจะอยู่ยังไงหลังความตาย?….

    ….คนเราตายแล้วจะไปไหน?….

    ….พระพุทธองค์ทรงตอบได้ทุกเรื่อง และทรงเมตตาสั่งสอนต่อไปว่า….

    ….”ตถาคตทราบดีทุกเรื่องที่ท่านถาม รู้ลึกซึ้งกว่าที่ท่านอยากจะรู้”….

    ….”แต่ว่าท่านอยากจะรู้ไปทำไม ในเมื่อท่านรู้แล้วก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์มรรคผลใด ๆ”…

    ….“เพราะมันมิใช่วิถีทางแห่งการดับอาสวะกิเลส เพื่อทำให้สิ้นทุกข์”…

    ….”ทุกเรื่องล้วนเป็นอจิณไตย คือท่านรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”…

    ….”หากท่านอยากรู้ จงเร่งปฏิบัติให้สิ้นอาสวะกิเลสในตนเถิด แล้วท่านจะสามารถรู้ได้เอง”….

    ….หลักการอบรมสั่งสอนของพระพุทธศาสนานั้น คือสอนให้รู้ รู้ลึก รู้รอบ และรู้จริง….

    ….สอนให้รู้ด้วยการพิจารณาด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยข้อพิสูจน์…

    ….ไม่ใช่ให้รู้จากตำรา คัมภีร์ วิธีปฏิบัติ (ทฤษฎี) หรือแค่คำพูด…

    ….แต่สอนถึงหลักวิธีปฏิบัติจริง ที่สามารถพิสูจน์เหตุผลได้ทางวิทยาศาสตร์…

    ….ผู้ที่กล่าวถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นพุทธมามะกะตัวจริง จึงปฏิบัติตนในทุกสภาวะโดยธรรม…

    ….ปฏิบัติในทุกอิริยาบทในการดำรงชีพ ไม่ใช่แค่นุ่งขาวห่มขาวนั่งหลับตาฟังอาจารย์สอนจนหลับใน แล้วเข้าใจว่าบรรลุธรรม…

    ….”ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา”…

    ….”ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”…

    ….“หากประสงค์จะบูชาเรา จงบูชาด้วยปฏิบัติบูชาเถิด”…

    ….“อย่าพึงปฏิบัติด้วยอามิสบูชาเลย”….

    คัดลอกมาจาก GooGle
     
  9. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    อยู่ที่จิตสุดท้ายครับ จะเป็นตัวนำไปเกิดในภพภูมิใหม่.. ท่านถึงให้ฝึกสติไงครับ จะได้นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลก่อนตาย.. ถ้าตอนจะตายนึกถึง อกุศล หรือบาป กลัวห่วงหาอาลัย ก็ไปอบายภูมิได้ครัับ... จิตที่สะสมความโกรธมาก ไปนรก.. จิตที่สั่งสมความโลภมาก ไปเปรต จิตที่สั่งสมความหลงมาก( ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี,ติดกามมาก ) ไปเดรัจฉาน.. ศีล5เป็นปกติ ไปมนุษย์.. ทาน ศีล กุศลกรรมบท10 ไปเทวดา.. ตายขณะทรงณาน ไปพรหม.. วิปัสนาเพื่อขจัดทิ้งซึ่งอาสวะกิเลส หมดสิ้นตันหา อุปาทาน อวิชชา = นิพพาน ไม่เกิดในภพภูมิไหนอีก.. คือ หมดทุกข์
     
  10. อากาสา

    อากาสา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2013
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +10
    ถามคุณ Fabreguz แล้วจิตสุดท้ายประเภทไหนไปเป็น "อสุรกาย" ครับ
     
  11. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    มีหลายประเภทครับ.. ถ้าจะให้แยกจริงๆก็เยอะมากๆ แม้แต่เปรตก็มีหลายประเภท ทำกรรมต่างๆกันไป.. รวมๆแล้ว อบายภูมิ ก็ ผิดศีล เป็นประเด็นหลักครับ.. อาจมีในส่วนความหวงแหน ความทะนงตน ทิฐถิมานะสูง อาฆาต เพ่งเล็งจะเอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตน.. ทั้งหลายเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นที่จิตเรานี่แหละครับ...
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ทุกวันนี้ เวลาเรียนธรรมะ เรื่องบาปบุญ เรามักจะได้รับการ กล่าวยืนยันใน
    ทำนองที่ว่า ทำบุญ แล้วได้ สวรรคิ์ แน่นอน

    หรือ หากทำกรรมชั่วก็ต้อง ตกนรกแน่นอน ..............


    หรือ กว่านั้น คือ คนสอนนั้นเป็น บุคคลที่ บรรลุเจโตสมาธิ มี หูทิพย์ ตาทิพย์
    สามารถไปรู้เห็น พูดคุย กับ เทวดา แล สัตว์นรกได้ บุคคลเหล่านี้ก็อาจจะ
    ออกมากล่าวว่า

    "เห็นคนบางคนเป็นพระตัวอ้วนๆ เห็นทาสของพระพุทธ แต่ทว่าเวลานี้ อยู่ในนรกแน่นอน"

    หรือ มีคุณตาคนหนึ่งไม่ได้ทำบุญอะไร อาศัยสนิทกับพระ พอจะตาย พระก็ไป
    เฝ้าไข้ แล้วตอนตายก็กล่าวว่า ไปสววรคิ เพราะตนไปกำกับบท กำกับวาระจิต
    ก่อนตายจึงอยู่บนสวรรคิ์แน่นอน

    อะไรแบบนี้ พระพุทธองค์บอกว่า บุคคลที่บรรลุเจโตสมาธิเหล่านั้น กล่าวถ้อย
    คำด้วยอาสวะ และ อุปทาน

    เพราะ ว่า กล่าวธรรมแบบไม่ได้แทงตลอด คนทำชั่วโชคดีมีพระนำจิตไปสวรรคิ์
    อันนั้นจริง แต่ ไปสวรรคิ์แล้วไม่ได้แปลว่า ไอ้คนๆนั้น จะไม่ตกนรก นรกย่อมรออยู่

    หรือ แม้ว่า พระที่ทาสพระพุทธเจ้าแต่ที่เข้าอ้างว่าเห็นด้วยเจตโสมาธิอันยอดเยี่ยม
    ว่าอยู่ในนรก แต่ อยู่ในนรกก็ใช่ว่าจะไม่ได้กลับไปสวรรคิ์

    ดังนั้น

    " กัมวิภังค์ " หรือ การว่าด้วย การพยากรณ์จิตสุดท้าย เป็นเรื่องที่ สาวก ทำไม่ได้
    โดยบริสุทธิ และ แทงตลอด จะกล่าวได้เฉพาะที่ตาเห็น หรือ พูดภาษาชาวบ้าน คือ
    " ตาบอดในเรื่องกรรมวิภังค์แล้วยังไม่เจียม " ไปทำตัวตีเสมอ ข่ายพระญาณของ
    พระสัพพัญญู

    และ สาวกคนใดก็ตาม ที่ ทำนายทายทักเรื่อง " การไปเกิด ไปจุติ " พระพุทธองค์
    จะเรียกการกล่าวพยากรณ์นั้นว่า " เดรัจฉานกถา "

    พระพุทธจึงเน้นว่า ให้สนใจแค่ความเป็น ปัจจัย ก็เพียงพอแล้ว

    คือ

    หากทำกรรมดี ก็ต้องได้รับผลดี แต่ ได้เมื่อไหร่ นั้นให้ ละ ไว้ ไม่ต้องพยากรณ์
    ( พยากรณ์ว่าได้เมื่อไหร่ คนสอนคนนั้น กระทำ เดรัจฉานกถา ทันที )

    หากทำกรรมไม่ดี ก็ต้องได้รับผลไม่ดี แต่ ได้เมื่อไหร่ นั้นให้ ละ ไว้ ไม่ต้องพยากรณ์
    ( พยากรณ์ว่าได้เมื่อไหร่ คนสอนคนนั้น กระทำ เดรัจฉานกถา ทันที )


    หรือ กรณีที่

    เราไปเห็น ใครคนใดคนหนึ่ง ประกอบกิจที่ ส่งผลให้เป็น อสุรกาย พอเราเห็น
    แล้ว เราไปดำริว่า ไอ้คนๆนี้ เดี๋ยวเถอะ ตอนตายมันต้องเกิดเป็น อสุรกาย

    ก็พึงทราบไว้เลยว่า ขณะนั้น คนดำริปักใจเชื่อ อะไรแบบนั้น คนๆนั้น เองนั่น
    แหละที่กำลังประกอบจิตเป็น เดรัจฉาน

    สรุปคือ

    เราใช้ธรรมภายนอก(คนอื่น) ธรรมภายใน(ตัวเรา) เพื่ออาศัยระลึก ทราบ เหตุปัจจัย
    ตามความเป้นจริง

    เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ เพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดำริหาอุบายนำออกจากทุกข์
     

แชร์หน้านี้

Loading...