รบกวนสอบถามค่ะ มีนักปฏิบัติเค้าบอกว่าตัวในเราสวย วิญญาณถึงตามไม่ยอมปล่อย

ตัวใน

คืออะไรคะ มีนักปฏิบัติเค้าบอกว่าตัวในเราสวย วิญญาณถึงตามไม่ยอมปล่อย

 

เค้าบอกว่าให้สร้างผ้าทิพย์ห่มองค์พระ อุทิศบุญให้วิญญาณเพื่อสร้างแฟนให้เค้า

 

ไปทำบุญวันเกิด พระท่านทักว่ามีพระห้อยคอมั้ย ส่วนป้าที่ไปด้วยกัน ก้อเห็นในตัวเรามีเด็ก2คน และผู้หญิง1คน และป้าบอกว่าผู้หญิงคนนี้มาดี แต่ต้องการคุมเรา ป้าบอกว่าให้เราเป็นตัวเราเอง อย่าเอาสิ่งไม่ดีเข้ามา กลับถึงบ้าน ปรางก้อไปดูหิ้งพระเจอสมเด็จโต เลยนำมาห้อยคอ แต่คนที่บอกว่าให้ทำผ้าทิพย์ เค้าบอกว่าวิญญาณยังตามเราได้อยู่ดี และเวลาที่เค้าแฝงเรา เราจะทำอะไรเพี้ยนๆ

 

ญาติผู้ใหญ่ที่ไปด้วยกันในวันนั้น ถามป้าคนนี้ว่าต้องทำยังไง ป้าบอกว่าเด็ก2คนไม่มีปัญหา แต่ผู้ใหญ่อีกคน ต้องรอดูไปก่อน

 

วันที่ไปทำบุญพระกับป้าที่มีเซนส์มองปรางด้วยสายตาไม่ค่อยดี คนที่แนะนำให้ทำผ้าทิพย์เค้าบอกว่าเกี่ยวกับปานที่เรามีในที่ลับ และเค้ายังบอกอีกว่า เดือนหน้ามีฤกษวันเดือนดับ ปิด ไฝปานอาภัพจุดตำหนิกรรม พลิกชะตา.

หมายความว่ายังไงคะ ?

 

ไปไหนหมดแล้วท่านผู้รู้ทั้งหลาย
รึนอกตำราตอบไม่ได้

 

ตัวใน คงหมายถึงกายทิพย์หรือจิตวิญญาณ

คนที่ชอบทำบุญสุนทาน มีศีลธรรม มักมีกายทิพย์ที่ดี มีรัศมีผ่องใส

ก็คงจะเป็นที่ต้องการของพวกที่มาอาศัยอยู่ด้วย หวังรับพลังบุญที่เราอุทิศให้

หรือดูดบุญไปจากเรา ไม่ผิดจากพวกกาฝากที่ชอบเกาะต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์เพื่อดูดน้ำเลี้ยงหรอก
แต่ภาษาเรียกง่ายๆ หรือให้งงมากขึ้น จึงเรียกว่าตัวใน
คือหมายถึงกายทิพย์ หรือกายจิตวิญญาณของเรา

 

เรื่องไฝฝ้า ปานในที่ลับ ก้คงต้องไปถามจากคนนที่บอกนั่นแหละ
แต่ก็ควรระวังตัวไว้ด้วย อย่าเชื่อคนง่าย
ใครทักโน่นนี่มาก็เชื่อหมด อาจจะถูกเขาหลอกได้ง่ายๆ

 

บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้รู้บางท่านอาจจะอ่านก่อนแล้วค่อยล็อคอินเข้ามาตอบ
เพื่อป้องกันการเสียฟอร์ม
คิดมากไปป่าวหว่า
5555555
ไม่มีไรเพิ่งภาวนาเสร็จเลยเข้ามาจับผิดผู้อวดรู้
อิอิ

 

ไม่อยากเล่า. ไม่อยากพูดเลยครับ
คุณ ผ่านมาเฉยๆ ครับเพราะส่วนตัวมองว่า
เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของพวกปัญญาน้อยจริงๆ
และไม่ใช่ทางพุทธศาสนาเลย..ครับ
ถ้ามาถามเรื่องการปฏิบัติ ที่ตนเองได้ไปฝึกมา ปฏิบัติมา
แล้วติดขัดนี่อยากจะเขียน อยากจะอธิบายอยู่ครับ...
หลายๆคนที่อาจจะมองว่าเรื่องแบบนี้มันไร้สาระ
และมันไม่ใช่ทางจริงๆก็ได้ครับ..

ประเด็นนี้เล่าต่อนะครับ
ถามหน่อยว่า ในโลกนี้มีใครไม่มีวิญญานตามมาบ้างครับ
แล้วกว่าจะมีเราจนถึงทุกวันนี้ ตรงที่เราอยู่
มีคนเกิดตายมาแล้วเท่าไรถึงเท่าไรครับก็
เมื่อดวงจิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง เป็นกระแสอย่างหนึ่ง
ซึ่งปกติเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ใช่ว่ามันไม่มีและ
ตัวจิตเรามันก็มีกระแสเข้ามาทุกวันอยู่แล้วเป็นปกติ
ไม่ว่าจากความคิด หรือการไปดึงเรื่องภายนอกเข้ามา
และกระแสพวกนี้ก็มีอยู่แล้วในธรรมชาติเป็นปกติ
ไม่ว่าจะคลื่นวิทยุ โทรศัพท์ โทรทัศน์ ฯลฯ
หรือใครไม่มีวิญญานบรรพบุรุษ ไม่มีวิญญานทั่วไป
ดวงจิตครูบาร์อาจารย์ต่างๆที่ฝันเห็นได้
หรือเห็นกรณีไหนก็ได้ ตามมาได้ครับ...
ถ้าเรายังนึกถึงนามธรรมอะไรก็ตามที่ล่วงลับไปแล้วได้
หรือฝันเห็นได้ หรือเห็นได้ไม่ว่ากรณีอะไร
นั่นก็คือยังตามเราได้ หรือจรเข้ามาในจิตเราได้ทั้งนั้นหละครับ
ดังนั้นอย่าไปให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มาก
เพราะมันเรื่องธรรมดาและแสนธรรมดาเหลือเกิ๊น
มีแต่พวกอยากเท่ห์ นั่นหละที่จะไปว่า ว่าฉันว่าตรู
มีท่านโน้นนี่นั้นตาม(ส่วนมากจะท่านที่ดีๆทั้งนั้น)
หละครับ จะมาสนใจเรื่องแบบนี้จนยึดติด


และไอ้การทักคนแบบพวกจำอวด เหลือบพุทธศาสนาแบบนี้
เพื่อให้คนมองว่าตนเองเป็นพวกผู้วิเศษทั้งหลาย
นึกแล้วขำดี คล้ายๆพวกที่เร่ตามงานวัดต่างๆ
ไม่อยากพูดอะไรมาก เกรงว่าพวกชอบทักคน
ชอบใช้มุขแบบนี้ทักคนทั้งหลาย
เพื่อให้ตนดูเป็นประหนึ่งผู้วิเศษจะสะเทือนจิตใจ..
เพราะจะเสียหายถ้าข้าพเจ้าได้พูดตรงๆนะครับ
โน้นถ้าชอบแนวๆนี้ ไปห้องดูดวงโน้น
ไม่ว่ากัน ก็เอาพอขำๆแต่อย่าไปยึด
เพราะคนที่ชอบแนวๆนี้ยังมีอยู่
และจะไปตัดสินว่า ใครที่ยังชอบ
หรือใครไม่ชอบ ว่าเค้าจะเป็นคนดี
หรือไม่ดีไม่ได้ เพราะมันวัดกันที่ตัวจิต

พวกชอบทักคนอื่นๆว่าตัวในแบบโน้นนี่นั่นถึงมีผีตามมา
ผีหรือที่เราเรียกแบบบ้านๆว่าเป็นวิญญาน ไม่ได้เป็นพวกบ้ากาม
ไม่ใช่พวกลามก หรือพวกพี่หื่นนะครับ
หรือไม่ใช่ปาๆรัสซี่ ที่จะได้มาคอยตามดูเรื่องราวชีวิตดารา
หรือพวกชายหนุ่มที่คอยตามดูบ้านสาวงามที่ตนหมายปอง
ว่าพักที่ไหน จะได้หาโอกาสทักทายพูดคุย..

กายเราแบบไหน พวกหน้าตาแบบนั้นก็ตามเรานั่นหละครับ
ถามว่าตามได้เพราะอะไร ถ้าจิตเราไม่เคยไปสร้างวิบาก
คือสร้างกะแสให้เค้าจรเข้ามาในจิตเราได้มาก่อน
หรือจิตเคยมีสัมพันธ์อะไรมาก่อนในอดีต
แล้วเราบังเอิญผ่านไปบริเวณนี้ จ้างให้ร้อยเปอร์เซนต์
เค้าก็ตามมาไม่ได้ครับ เพราะมันไม่มีตัวสัญญาที่เชื่อม
กันระหว่างดวงจิตกับดวงจิตครับ
เพียงแต่ว่า ตรงนี้บุคคลนั้นจะรู้หรือไม่รู้แค่นั้นเอง

และถึงจะได้มาตามก็ไม่ได้ตามเพราะอะไรที่สวยๆ
งามๆ แต่ที่ตามเพราะเป็นกระแสวิบากหรือกระแสจร
ตัวหนึ่งที่สร้างปรุงร่วมกับสัญญาจนเป็นภาพได้...
ซึ่งก็รวมทั้ง ภาพที่เป็นครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิต่างๆ
ที่มาสอนสมาธิหรือกรรมฐานพิเศษต่างๆร่วมด้วยครับ
ที่เรียกว่าเพราะจิตเคยมีสัมพันธ์กับท่านมาก่อน
สัมพันธ์กับท่านมาก่อนนั่นหละ ก็จะเป็นกระแสวิบาก
ที่จรเข้ามาในจิตเช่นกันนั่นหละครับ
ท่านจึงให้เราเคารพนับถือได้ ถ้าเป็นกระแสที่ดี
แต่ท่านไม่ให้ยึดถือ เพราะไม่งั้นไม่ว่ากระแสดี
หรือไม่ดี มันก็จะต้องไปเสวยผลของกระแสนั้นอยู่
เป็นเหตุให้ยังไม่หลุดพ้นได้ครับ

คำว่าตัวใน หรือ กายใน
หรือธรรมกาย หรือกายทิพย์ อทิสมานกาย
หรือสุดแล้วแต่จะเรียก...
มันก็คือสภาวะธรรมของดวงจิตดวงนั้นๆ
หรือคุณธรรมในจิตของบุคคลนั้นๆ
ที่แสดงออกมาให้เห็นครับ
อย่างเช่น อย่างเช่นฆารวาสที่ถือศีล ๕ กายในก็จะดูเป็นมนุษย์
หน้าตาดีปกติได้แค่นั้นหละครับ

ยกตัวอย่างนะครับ สมมุติว่า ไอ้แบ๊วบ๊อง..
มันมาถามว่า มีคนมาทักว่า มีกายในหล่อเท่ห์ ป่านนายแบบ
ในกายใน ไอ้แบ๊วบ๊อง หน้าตาที่แสดงในนามธรรมจะดูดีเฉยๆ..
แต่ว่า ไอ้แบ๊วบ๊อง มันเอามาพูดในเชิงลึกๆ
จะให้คนอื่นๆเห็นหรือจะคุยว่าข้างในมันดี ข้างในมันเท่ห์ ป่านว่า ณ เดช..
ทั้งๆที่ไอ้แบ๊วบ๊องมันพึ่งจะถือศีล ๕ ได้เพียงแค่ปีกว่าๆแค่นั้นหละ
และที่ตามๆมันมาก็หน้าตาเป็นเหมือนมนุษย์นี่หละครับ..
ซึ่งไม่ได้วิเศษวิโส หรือมีอะไรเลยถ้าจะว่าไป...
นี่เป็นตัวอย่างเรื่อง ไอ้แบ๊วบ๊อง นะครับ ไม่ได้ว่าใคร......

หรือพวกที่ปฏิบัติธรรมด้วยถือศีล ๕ ด้วย
นั่งสมาธิด้วย กายในก็จะดูเหมือนใส่เครื่องทรงได้
หน้าตาดูดีหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่าง
ไม่ว่าเมตตา การละอายต่อบาป สิ่งพิเศษที่จิตมีความเด่น ฯลฯ
หรือพวกมีฤิทธิ์ก็จะแสดงเป็นภาพอีกแบบ
พวกจิตอสูรกายก็อีกแบบ พวกจิตเป็นเปรตก็อีกแบบครับ
ซึ่งการที่ยังมองเห็นตัวใน หรือกายในได้นั้น..
มันยังเป็นการปรุงแต่ทั้งสิ้นครับ
ถามว่าใช้ได้ไหม พอใช้ได้อยู่ แต่ว่ามันยังไม่ใช่...
และ ปรุงจากอะไร
ปรุงจากสัญญาความจำได้ เพื่อให้รู้สภาวะจิตดวงนั้นๆ
ออกมาเป็นภาพให้มองเห็นได้นั่นหละครับ..
ที่สำคัญพวกนี้มันมีการเปลี่ยนแแปลงได้ตลอดเวลา
และมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลยทางพุทธศาสนาครับ
ท่านสอนไม่ให้ยึดอะไรกับเรื่องกะลั่วๆพวกนี้...
เพราะมันไม่ได้ส่งเสริมอะไรด้านปัญญา
มีแต่จะทำให้ยึดมั่นถือมั่น

ยกตัวอย่างประกอบความเข้าใจนะครับ
พอมีคนทักว่า โห้พี่กายใน
พี่ทรงเครื่องงามเหมือนเทวดาเลยครับ
พอมาในชีวิตจริง มันก็จะยึดว่ามันหล่อ เท่ห์หลาย
เหมือนเทวดา ที่พวกจำอวดมันทัก
กลายเป็นคิดเอง เอ่อเอง เดินไปคิดว่าตรูเป็นเทวดา
ทั้งๆที่ส่องกระจกที่ไหน ใครก็ดูออกว่า คนชัดๆ
กลายเป็นพวกหลงนามธรรมหลงตัวเองไปโดยธรรมชาติต
พอนึกภาพออกไหมครับ
พอมีคนทักว่า กายในพี่เป็นอสูรกาย ฮั่นแน่ไม่เชื่อเค้าอีก
ไปเกลียดเค้าอีก ว่าเค้าอย่างโน้นนี่นั้น ไม่เก่งนี่หว๋า
เคยมีคนทักว่า ตรูกายในเป็นเทวดา
กายเป็นพวกยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมรับความจริงไปอีก
เพราะฉนั้นเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้จะทักว่าดีหรือไม่ดี
ก็ไม่ควรพูด ไม่ควรไปบอก ยกเว้นว่าพูดแล้วมันมีประโยชน์
พูดแล้วทำให้เค้าหันมาปฏิบัติธรรม สร้างความดี
เห็นในเรื่องปัญญาอย่างนี้พูดได้ แต่ควรเลือกที่จะพูด
ตามวาระ ตามความเหมาะสมแห่งบุคคลที่ควรพูดได้
อย่างนี้ไม่เป็นไร...


เพราะถ้าไปติดเรื่องแบบนี้
จิตดวงนั้นจะยังวนเวียนในไตรภพนี้ได้
เพราะตราบใดที่ยังเห็นเป็นภาพได้
ตราบนั้นมันยังมีการปรุงแต่ง ยังไม่พ้น
เพราะจิตต้องอาศัยสัญญาเพื่อสร้างภาพอยู่
คือติดในสัญญานั่นหละครับ..

ส่วนนี้เพิ่มเติมการที่ผีตาม วิญญานตามมาขอส่วนบุญ
มันไม่ใช่เพราะกายในเราหล่อ เราสวยครับ
กายในมันเป็นสภาวะที่สร้างเป็นสัญญากับ
ทางนามธรรมทั้งหลาย ซึ่งการได้รับความเคารพ
นับถือจากทางภพภูมิหรือไม่ ภพภูมิจะดูตรงส่วนนี้ครับ
เพราะมันเป็นสัญญาที่สร้างขึ้นมาให้ภพภูมิต่างๆ
ที่ยังวนเวียนในไตรภพนี้ได้ทราบ..
เช่น กายในเราเป็นเหมือนเทวดา พวกนามธรรมเหมือนมนุษย์
ก็จะเคารพเรา ถ้ากายในเราเป็นพรหมพวกเทวดา
เทพก็จะเคารพเรา....เราจึงได้เห็นพระสงฆ์มีชื่อต่างๆ
ที่กายในท่านเป็นคล้ายๆพระพุทธรูปสีทองทั้งหลาย
ท่านถึงได้รับการเคารพนับถือจากเทพ พรหมเทวดาทั้งหลาย
นั้นหละครับ ตรงนี้ชัดนะครับ....

ดวงจิตที่ต้องการบุญตามมานั้น เพราะเค้าเห็นแสงสว่าง
ซึ่งเป็นแสงเย็นที่ดวงจิตนั้นได้ไปทำมา แสงสว่างตรงนี้
จึงเปรียบเสมือนไฟที่นำพาให้ดวงจิตที่ต้องการบุญต่างๆ
เหล่านั้นตามมา เพราะเมื่อเค้าได้รับ มันจะทำให้ดวงจิต
เค้ายกระดับพัฒนาได้ จากกระแสเย็นซึ่งเป็นกระแสบุญ
ที่เราได้ทำการส่งให้เค้าไปนั่นหละครับ..

เป็นนักปฏิบัติให้ระหว่าง พวกชอบมามุขโชว์เทพ
พวกที่ชอบทักแบบไม่ได้ถาม ไม่มีวาระ อยากจะทัก
ว่าเรามีเทพโน้นนี่นั้นตามมา มันใช่พุทธศาสนาหรือเปล่า

ให้ระวังพวกที่ชอบทักว่า เรามีโน้นนี่นั้นในที่ลับ
ถามหน่อยว่าบนโลกนี้ ในที่ลับใครไม่มี
ดังนั้นทักใครบนโลกนี้มันก็ถูกหมดนั่นหละครับ
ถามหน่อย ศาสนาพุทธจักรวาลไหนสอนเรื่องนี้....

หรือพวกที่ทักว่า มีวิญญานโน้นนี่นั่นตามมา
(ถามหน่อยถ้าเก่งขนาดเห็นได้ขนาดนั้น
แล้วทำไมไม่ช่วยตอนนั้นเลยวะ)
จะมาอ้างว่า เป็นวิบากเป็นกรรมเฉพาะบุคคล
ต้องรออย่างโน้นอย่างนี้ ต้องเข้าพิธีโน้นนี่นั้น
ถ้าจะอ้างโน้นอ้างนี่แล้วจะทักทำมะเขืออะไร..จริงไหมครับ..
ที่สำคัญมันใช่พุทธศาสนาไหม

หัดพึ่งระลึกไว้ในแก่นกระโหลกบ้าง...
ไม่ใช่ปากอ้างพระรัตนตรัย
อ้างเคารพนับถือพระพุทธเจ้า
อ้างเคารพนับถือครูบาร์อาจารย์ท่านนี้ท่านโน้น..
ท่านทั้งหลายสอนให้ทำตามธรรมะ คำสอนของท่าน
ท่านไม่ได้สอนให้ยึดที่ตัวของท่าน..เหมือนๆ
ที่เราอาจจะเผลอไปดึงเรื่องภายนอกต่างๆ
ที่ไม่ใช่แนวทางพุทธศาสนาเอามายึด
จนกลายเป็นตัวเองได้ อย่างคาดไม่ถึงครับ
ปล.เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ

 

โอ้ไม่หลับไม่นอนเหมือนกันแฮะลุงนพ
ส่วนเรื่องที่บ้องแบ้วถามนี่อาจจะเพราะสงสัยจริงๆก็ได้มั้งครับ(รึผมมองในแง่ดีเกินไป)
เพราะถ้าตามที่ลุงนพว่ามาเห็นว่าเพิ่งถือศีลได้ไม่นานก็เลยไม่รู้ว่าที่เค้าทักคืออะไรเลยเอามาถามในบอร์ดน่ะครับ
เรื่องนี้ผมมองว่าก็เป็นเรื่องดาษๆทั่วไปเหมือนลุงนพแหละครับ
ส่วนคนที่ทักเค้าอาจจะหวังดีก็ได้มั้งครับ(อาจจะนะครับอาจจะ)
ที่เค้าตกใจอาจจะเป็นเพราะตำหนิในร่างกายถูกต้องตามที่ทักจริงๆก็ได้
ส่วนเรื่องโดนตามนี่ก็เป็นเรื่องวิบากของใครของเราอะครับ
ก็แค่ลองทำตามที่เค้าแนะนำ ที่ว่าถวายผ้าทิพย์ ถ้าไม่ได้ไปเสียเงินสะเดาะเคราะห์ ตัดกรรม ไล่ผี
ก็จัดว่าเป็นการทำบุญที่ดีนะครับ(อันนี้มุมมองผมนะ)
ส่วนเรื่องสาเหตุที่เค้าตามอันนี้คงต้องไปถามคนที่ทักแล้วละ
หวังว่าคงจะไม่ได้ไปรับปากใครส่งเดชนะ