รวบรวมความรู้ด้านเกษตรกรรม

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ชัยมงคล, 23 เมษายน 2008.

  1. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    ถึงเวลาที่สมาชิกควรมีความรู้ด้านเกษตรไว้บ้าง
    คงมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอน
    ท่านใดพบเห็นนำมาโพสให้เพื่อนสมาชิกได้รู้ด้วยนะครับ

    **************************************************

    ตัดใบข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิต
    คุณ นิวัติ ศรีเทียมเงิน เกษตรกรร้อยเอ็ด ได้ทดลองปลูกข้าว แปลงแรก ปลูกปรกติ เทียบกับอีกแปลง ตัดใบ 2ครั้ง
    ครั้งแรก 1 ก.ค. 50 ตัดเหลือ1คืบ โดยใช้เครื่องตัดหญ้า
    ครั้งสอง 2 ส.ค.50 ตัดสูงประมาณโคนใบ
    เก็บเกี่ยว 15 พ.ย.50
    ผลการทดลอง
    แปลงแรกที่ปลูกปรกติ ได้ผลผลิต 399 กก.ต่อไร่
    แปลงที่ตัดใบ ได้ผลผลิต 474 กก.ต่อไร่
    สรุป
    ข้าวนาหว่านข้าวจะขึ้นแข่งขันกับวัชพืช ซึ่งข้าวจะสู้ไม่ได้
    พอโดนตัดใบ ครั้งแรก ข้าวจะแตกยอดและแตกกอใหม่อย่างรวดเร็ว วัชพืชโตสู้ไม่ได้
    เราช่วยโดยเอาน้ำเข้านาเพื่อหยุดวัชพืชใส่ปุ๋ย
    พอตัดครั้งที่สองสูงประมาณโคนใบ ใส่ปุ๋ย ข้าวแตกกอสวยงามเตรียมออกรวง
    เกษตรกรรายอื่นได้ทดลองโดยปล่อยให้ควายลงไปกัดกินใบข้าว
    ต้นข้าวจะแตกยอดแตกกอได้มากขึ้นทำให้เพิ่มผลผลิต
    ในที่สุดเราก็เพิ่งเข้าใจต้นตอภูมิปัญญาดั้งเดิมเขาดีอยู่แล้วเราโง่เองที่ไม่เข้าใจ

    ***************************************************

    ไมยราบไร้หนาม (Mimosa invisa) เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด และพืชคลุมดินประเทศอินโดนีเซีย และประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์

    สำหรับในประเทศไทย ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ได้ทำการวิจัยการนำไมยราบไร้หนามมาใช้ปรับปรุงบำรุงดินเป็นเวลามากกว่าสิบปี จากการศึกาาในช่วงแรกไมยราบไร้หนามมีการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า เนื่องจากเชื้อไรโซเบียมที่ช่วยตรึงธาตุไนโตรเจนจากอากาศเป็นประเภทที่มีน้อยในธรรมชาติ แต่ถ้ามีการปลูกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้มีเชื้อไรโซเบียมนี้สะสมมากขึ้น เมื่อนั้นไมยราบไร้หนามจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ไมยราบไร้หนามเป็นพืชกึ่งล้มลุกและกึ่งข้ามปี (annual - perennial) ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดเท่านั้น มีการเจริญเติบโตขนานไปกับพื้น ไม่เจริญในแนวตั้ง เมื่อโตเต็มที่มีความสูงเฉลี่ยไม่เกิน 75 เซนติเมตร เป็นพืชที่ดูแลง่าย ไม่พบโรคและแมลงรบกวน เมล็ดไมยราบไร้หนามมีขนาดเล็กมาก (1,000 เมล็ด มีน้ำหนักเพียง 4.3 กรัม) ผลิตเมล็ดได้ครั้งละประมาณมากๆ และผลิตได้ทุกปี นอกจากนั้นเมล็ดยังมีการพักตัว (dormancy or reat period) ดังนั้น จึงสามารถสร้างคลังเมล็ดไมยราบไร้หนามในดินได้ ทำให้ไม่ต้องปลูกใหม่อีก

    ผลจากการทดลองของศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ เมื่อนำไมยราบไร้หนามปลูกร่วมกับข้าวโพดทำให้มีผลผลิตเพิ่มเป็นเท่าตัว ให้ต้นและใบเป็นปุ๋ยพืชสดมากถึง 10 ตันต่อเฮกแตร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงสมบัติทางเคมีของดิน โดยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินจาก 1.21 เป็น 2.63 เปอร์เซนต์ ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดิน โดยเพิ่มสัดส่วนของช่องอากาศในดินจาก 17.3 เป็น 26.8 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ดินร่วนซุย โดยลดความหนาแน่นของดิน และเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน

    ***************************************************
     
  2. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    E.M. (อี.เอ็ม.) คืออะไร
    E.M. ย่อมาจากคำว่า Effective Micro-organisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพคิดค้นพบโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรโอะ ฮิงะ (TEROU HIGA) แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิคทางชีวภาพ รวบรวมเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ หมวดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ช่วยปรับปรุงสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น จุลินทรีย์หมวดสร้างสรรค์ที่มีใน EM ได้แก่ กลุ่มจุลินทรีย์แสง แลกโตบาซิรัส เพนนิซีเลี่ยม ไตรโคเดอมา ฟูเซเลียม สเตปโตไมซิส อโซเบคเตอ ไรโซเบียม ยีสต์รา รูปเส้นใย ฯลฯ
    จุลินทรีย์ใน EM ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ และมีพลัง “แอนติออกซิเดชั่น” ซึ่งเป็นพลังสร้างสรรค์ของชีวิต ป้องกันมิให้มีการทำลายชีวภาพที่สำคัญของเซลล์ได้ป้องกันฤทธิ์ของสารพิษได้หลายชนิด รักษาสภาพธรรมชาติของเซลล์ ได้มิให้เสื่อมสภาพรักษาสุขภาพของคนและสัตว์ มิให้เป็นโรคหรือเจ็บป่วยได้ง่าย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ลักษณะโดยทั่วไปของ EM
    เป็นของเหลวสีน้ำตาลกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวาน (เกิดจากการทำงานของกลุ่มจุลินทรีย์ต่าง ๆ ใน E.M.) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีหรือยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ พืช และแมลงที่เป็นประโยชน์ ช่วยปรับสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ ที่ทุกคนสามารถนำไปเพาะขยายเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
    <o:p></o:p>
    ลักษณะการผลิต
    เพาะขยายจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากกว่า 80 ชนิด จากกลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง
    - กลุ่มจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติค
    - กลุ่มจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน
    - กลุ่มจุลินทรีย์เอคทีโนมัยซีทส์
    - กลุ่มจุลินทรีย์ยีสต์
    ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ได้จากธรรมชาตินำมาเพาะเลี้ยงและขยายให้จุลินทรีย์ขยายตัวด้วยปริมาณที่สมดุลกันด้วยเทคโนโลยีพิเศษ โดยใช้อาหารจากธรรมชาติ เช่น โปรตีน รำข้าว และสารประกอบอื่น ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
    <o:p></o:p>
    ประโยชน์ของจุลินทรีย์โดยทั่วไป
    ด้านการเกษตร
    - ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในดินและน้ำ
    - ช่วยแก้ปัญหาจากแมลงศัตรูพืชและโรคระบาดต่าง ๆ
    - ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำและอากาศผ่านได้ดี
    - ช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ เพื่อให้เป็นปุ่ญ (อาหาร) แก่อาหารพืชดูดซึมไปเป็นอาหารได้ดี ไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์
    - ช่วยสร้างฮอร์โมนพืช พืชให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดีขึ้น
    - ช่วยให้ผลผลิตคงทน สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน มีประโยชน์ต่อการขนส่งไกล ๆ เช่น ส่งออกต่างประเทศ
    - ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์มปศุสัตว์ ไก่และสุกร ได้ภายในเวลา 24 ชม.
    - ช่วยกำจัดน้ำเสียจากฟาร์มได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
    - ช่วยกำจัดแมลงวัน โดยการตัดวงจรชีวิตของหนอนแมลงวันไม่ให้เข้าดักแด้เกิดเป็นตัวแมลงวัน
    - ช่วยป้องกันอหิวาห์และโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนยาปฏิชีวนะและอื่น ๆ ได้
    - ช่วยเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทำให้สัตว์แข็งแรงมีความต้านทานโรคสูง ให้ผลผลิตสูงอัตราการตายต่ำ
    <o:p></o:p>
    ด้านการประมง
    - ช่วยควบคุมคุณภาพในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้
    - ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำเป็นอันตรายต่อกุ้ง ปลา กบ หรือสัตว์น้ำที่เลี้ยงได้
    - ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา กบ จระเข้ ฯลฯ ได้
    - ช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อ และทำให้เลนไม่เน่าเหม็น สามารถนำไปผสมปุ๋ยหมักใช้พืชต่างๆ ได้อย่างดี
    <o:p></o:p>
    ด้านสิ่งแวดล้อม
    - ช่วยปรับสภาพเศษอาหารจากครัวเรือน ให้กลายเป็นปุ๋ยที่มีประโยชน์ต่อพืชผักได้
    - ช่วยปรับสภาพน้ำเสียจากอาคารบ้านเรือน โรงงาน โรงแรมหรือแหล่งน้ำเสีย
    - ช่วยดับกลิ่นเหม็นจากกองขยะที่หมักหมมมานานได้
    <o:p></o:p>
    การเก็บรักษาจุลินทรีย์
    สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน อย่างน้อย 6 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ ไม่เกิน 46 – <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:metricconverter w:st="on" ProductID="50 C">50 C</st1:metricconverter> ต้องปิดฝาให้สนิท อย่าให้อากาศเข้าและอย่าเก็บไว้ในตู้เย็น ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ต้องรีบปิดฝาให้สนิท การนำ E.M. ไปขยายต่อควรใช้ภาชนะที่สะอาดและใช้ให้หมดภายในเวลาที่เหมาะสม
    <o:p></o:p>
    ข้อสังเกต
    หากนำไปส่องด้วยกล้องจุลทัศน์ที่มีกำลังขยายสูงไม่ต่ำกว่า 700 เท่า จะเห็น จุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ อยู่มากมาย E.M. ปกติจะมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวาน ถ้าเสียแล้วจะมีกลิ่นเน่าเหมือน กลิ่นจากท่อน้ำทิ้งเก่า ๆ (E.M. ที่เสียใช้ผสมน้ำรดกำจัดวัชพืชได้) กรณีที่เก็บไว้นาน ๆ โดยไม่มีเคลื่อนไหวภาชนะ จะมีฝ้าขาว ๆ เหนือผิวน้ำ E.M.นั่นคือการทำงานของ E.M. ที่ผักตัวเมื่อเขย่าแล้วทิ้งไว้ชั่วขณะ ฝ้าสีขาวจะสลายตัวกลับไปใน E.M. เหมือนเดิม
    <o:p></o:p>
    การประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ การงานต่าง ๆ ดังนี้
    งานด้านเกษตร
    E.M.ผสมน้ำ 1 : 1,000 – 2,000 ฉีดพ่นรดราดต้นไม้ สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง
    การขยายจุลินทรีย์
    เมื่อต้องการใช้จุลินทรีย์ในงานเกษตรที่มีเนื้อที่มาก ๆ ควรใช้จุลินทรีย์ที่ได้ขยายปริมาณให้มากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน โดยให้อาหารแก่จุลินทรีย์ ได้แก่ กากน้ำตาล น้ำอ้อย น้ำตาลทรายแดง นมแดง นมข้นหวาน หรือน้ำซาวข้าว เป็นต้น การขยายจุลินทรีย์ให้กับพืช
    วัสดุ
    จุลินทรีย์ กากน้ำตาล อย่างละ 1 ลิตร/น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1,000 ลิตร">1,000 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    ผสมกากน้ำตาลกับน้ำที่สะอาด คนให้ทั่วจนกากน้ำตาลละลายหมด
    น้ำ E.M. ผสมในน้ำคนจนเข้ากันทั่ว ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 1 – 3 วัน ภาชนะที่ใช้ต้องสะอาดจะใช้ถังพลาสติกหรือตุ่ม
    วิธีใช้
    เมื่อหมักไว้ตามกำหนดที่ต้องการแล้ว นำ E.M. ที่ขยายไปผสมกับน้ำละลายอีกในอัตรา EM1/น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="2,000 ลิตร">2,000 ลิตร</st1:metricconverter> ฉีดพ่นรดต้นไม้ พืชผัก ไม้ผล ไม้ดอกไม้ประดับทุกชนิด ทุกวันหรือวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง ใช้หญ้าแห้วหรือใบไม้แห้งหรือฟางคลุมดินบริเวณโคนต้นไม้ เพื่อรักษาความชื้นและ EM ย่อยสลายเป็นอาหารของพืช และเพื่อปรับสภาพของดินให้ดีขึ้นด้วย
    ข้อสังเกต
    1. เมื่อนำไปขยายเชื้อในน้ำ และกากน้ำตาลจะมีกลิ่นหอมและเป็นฟองขาว ๆ ภายใน 2 – 3 วัน ถ้าไม่มีฟองดังกล่าวแสดงว่า การหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล
    2. EM ที่นำไปขยายเชื้อแล้วควรใช้ให้หมดภายใน 3 วัน หลังจากหมักได้ที่แล้ว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเสื่อมคุณภาพ ที่อาจเกิดจากความไม่สะอาดของน้ำ ภาชนะ และสิ่งแปลกปลอมจากอากาศเฉพาะเชื้อ EM ส่วนใหญ่ไม่ต้องการอากาศ
    <o:p></o:p>
    การใช้จุลินทรีย์กับงานปศุสัตว์
    การขยาย EM กากน้ำตาลอย่างละ 1 ลิตร/น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="100 ลิตร">100 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    เหมือนกับของขยายที่ใช้งานพืช
    วิธีใช้
    นำ EM ที่ขยายแล้วไปผสมกับน้ำอีกในอัตรา 1/5,000 – 10,000 ใช้ล้างคอกและบำบัดน้ำเสียในฟาร์มหรือให้สัตว์กิน หรือจะใช้ EM ที่ขยายแล้ว โดยไม่ต้องผสมน้ำไปฉีด เพื่อบำบัดน้ำเสีย บำบัดกลิ่นเหม็นในฟาร์มและจุดที่มีกลิ่นเหม็นในที่ต่าง ๆ อัตราความเข้มข้นของ EM ขยายที่ไปใช้ จะมากน้อยตามความต้องการของลักษณะการใช้ในแต่ละพื้นที่เป็นสำคัญ
    <o:p></o:p>
     
  3. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    การใช้ E.M. 5 ร่วมกับสมุนไพร
    การใช้เชื้อหมักขับไล่แมลงร่วมกับพืชสมุนไพรต่าง ๆ เช่นสะเดา ข่า ตะไคร้หอม ยาสูบ ดีปลี พริกขี้หนู ฯลฯ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการขับไล่แมลงศัตรูพืช ได้ผลอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
    วิธีทำ
    นำพืชสมุนไพร มาผึ่งลมหรืออบให้แห้ง แล้วนำมาสับหรือใช้เครื่องบด ให้ละเอียด ใช้ผงสมุนไพร 2 – 5 ช้อนแกง ใส่ในน้ำสะอาด <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:metricconverter w:st="on" ProductID="20 ลิตร">20 ลิตร</st1:metricconverter> แช่ทิ้งไว้ 1 คืน ใช้ผ้าหรือตะแกรงอย่างละเอียด กรองผงสมุนไพรออกเหลือแต่น้ำสมุนไพรส่วนกากาหรือตะกอนสมุนไพร นำไปผสมน้ำใส่บัวรดแปลงพืชผัก หรือบริเวณทรงพุ่มต้นพืชได้
    วิธีใช้
    นำน้ำสมุนไพร 2 – 5 ช้อนแกงแล้วฉีดพ่นพืชผักและต้นไม้ผลได้
    หมายเหต
    สำหรับพืชที่กำลังแตกใบอ่อน ควรใช้อัตราส่วนผสม E.M. 5 เจือจาง
    ว่านหางจระเข้เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้แทนสารจับใบได้เป็นอย่างดี โดยปลอกเปลือกเอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นทำการบดหรือปั่น แล้วนำผสมกับ E.M.5 และน้ำ อัตราส่วน 1 : 1 : 50 หรือ 1 : 2 : 50 เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการขับไล่แมลงได้เต็มที่ ควรใช้ E.M.5 และ สมุนไพรที่ผสมน้ำแล้วให้หมดภายใน 12 ชม.
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    การใช้ E.M.5 กับงานเลี้ยงสัตว์
    นำไปใช้ป้องกันหรือกำจัดไร เห็บ หมัด หรือแมลงที่มารบกวนสัตว์เลี้ยง ดังนี้ฉีดพ่นบริเวณคอกสัตว์ (โรงเรือนโค คอกหมู เล้าไก่) ให้ทั่วสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง หลังอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยง (วัว ควาย สุนัข) ทุกครั้ง ควรใช้ E.M.5 ผสมน้ำ ลูบตัวสัตว์เลี้ยงให้ทั่ว
    <o:p></o:p>
    การทำปุ๋ยหมักดิน
    วัสดุและส่วนประกอบ
    1. ดินแห้งทุบละเอียดแล้ว 5 ส่วน
    2. รำละเอียด 2 ส่วน
    3. แกลบเผา 2 ส่วน
    4. มูลสัตว์ (ชนิดใดก็ได้) 2 ส่วน
    5. อื่น ๆ
    6. E.M.กากน้ำตาล อย่างละ 10 – 20 ซี.ซี
    7. น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    1.ผสมดิน แกลบ มูลสัตว์และอื่น ๆ คลุกจนเข้ากัน
    2.นำรำละเอียดลงผสมคลุกเคล้าลงไป
    3.ผสม E.M.กากน้ำตาล และน้ำ รดบนกองปุ๋ยหมัก ดินให้ได้ตามความชื้นพอดี 50%
    4.นำส่วนผสมทั้งหมดกองบนพื้นซีเมนต์ หรือพื้นธรรมดาทั่วไป หนาประมาณ 10 ซ.ม. คลุมทับด้วยกระสอบป่าน
    5.ถ้าคอยกลับบ้างจะใช้เวลาหมัก 3 – 4 วัน
    ข้อสังเกต
    หลังจากหมักไว้ 1 คืน จะมีราขาว ๆ เกิดขึ้นเป็นเชื้อราที่ประโยชน์ เกิดจาก สปอร์ของจุลินทรีย์
    ปุ๋ยหมักดิน ที่ใช้ได้จะไม่ร้อน ไม่มีกลิ่นเหม็น แต่จะมีราขาวขึ้นเต็ม
    วิธีใช้
    ใช้รองก้นหลุมเพื่อปลูกพืชผัก หรือผลไม้ ไม้ยืนต้น ไม้ดอกไม้ประดับทุกชนิด ใช้ได้ผลดีสำหรับดินที่ใช้เพาะต้นกล้าและเพาะชำกล้าไม้ จะได้กล้าไม้ที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยมีส่วนผสมสำหรับเพาะกล้า ดังนี้
    - ปุ๋ยหมักดิน 1 ส่วน
    - ดินร่วนธรรมดา 1 ส่วน
    - แกลบเผา 1 ส่วน
    - ขุยมะพร้าว 1 ส่วน
    นำส่วนผสมทั้งหมดคลุกเคล้าจนเข้ากันดีก่อนนำไปใช้
    <o:p></o:p>
    การทำปุ๋ยคอกหมัก
    ปุ๋ยคอก ได้แก่ มูลสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ไก่ ฯลฯ ถ้านำไปใช้โดยตรงจะเกิดโรค และแมลงต่อพืชก่อนนำไปใช้ควรนำไปหมักด้วยจุลินทรีย์ อี.เอ็ม. ก่อน
    วัสดุและส่วนผสม
    1.ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
    2.แกลบเผา 1 ส่วน
    3.รำละเอียด 1 ส่วน
    4.อื่น ๆ
    5.จุลินทรีย์ กากน้ำตาล อย่างละ 10 – 20 ซีซี
    6.น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    1.ผสมปุ๋ยคอก แกลบเผา รำละเอียด อื่น ๆ เข้าด้วยกัน
    2.รดน้ำจุลินทรีย์ คลุกเคล้าให้เข้ากันดีจนได้ความชื้นพอเหมาะไม่เกิน 50%
    3.นำไปกองเกลี่ยบนพื้นซีเมนต์ หนาไม่เกิน 15 ซ.ม.
    4.ปุ๋ยคอกหมักที่มีคุณภาพดี จะไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีก๊าซแอมโมเนีย ไม่ร้อน แต่จะมีราขาว ๆ ขึ้นจำนวนมาก
    วิธีใช้
    ใช้ได้ดีกับพืชผักทุกชนิด เช่นเดียวกับปุ๋ยคอกทั่วไป
    <o:p></o:p>
    การทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ จากเศษอาหาร
    ทุกครัวเรือน ร้านอาหาร ภัตตาคาร ฯลฯ ล้วนมีเศษอาหารที่เป็นผักผลไม้ และเศษอาหารอื่น ๆ จำนวนมากน้อยแล้วแต่สถานที่ สามารถนำไปหมักเป็นปุ๋ยหมักชั้นเลิศ เพื่อใส่พืชผักและผลไม้ที่ปลูกไว้ได้
    อุปกรณ์
    - ถ้าพลาสติกมีฝาปิดขนาด 20 – <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter> แล้วแต่ปริมาณเศษอาหารที่จะได้หรือต้องการ เจาะรูติดก๊อกน้ำบริเวณก้นถัง เพื่อไว้ระบายน้ำปุ๋ยหมัก ใช้ก๊อกให้มีขนาดโตพอสมควร เพื่อป้องกันการอุดตัน
    - ถุงขยะพลาสติกสีดำ เจาะรูเล็ก ๆ 2 – 3 รู เพื่อให้น้ำปุ๋ยหมักผ่านทะลุได้ หรือจะใช้ตาข่ายไนล่อนตาถี่เย็บเป็นถุงก็ได้ หรือจะใช้กระสอบปุ๋ยน้ำซึมผ่านได้ก็ใช้ได้
    - นำเอาถุงใส่ปุ๋ยที่เตรียมไว้ ใส่ลงในถังหมักปุ๋ยที่มีวัสดุรองก้นถัง ให้สูงจากระดับก๊อกน้ำเล็กน้อย
    - ใช้กากน้ำตาล 20 – 40 ซีซี ใส่คลุกกับเศษอาหาร 1 ก.ก. และใส่จุลินทรีย์ 10 – 20 ซีซี คลุกอีกครั้ง ใส่ลงในถุงใส่ปุ๋ยทุกวันจนเต็มถุง
    - ปิดฝาถังหมักไว้ตลอดเวลา หมักไว้อย่างน้อย 7 วัน ก็จะมีน้ำปุ๋ยหมักซึมออกมา อยู่ที่ก้นถังหมัก
    - ไขก๊อกเอาน้ำปุ๋ยหมักที่ได้ไปผสมน้ำในอัตรา 1 : 500 – 1,000 รดพืชและต้นไม้ทุก ๆ วัน
    - ผสมน้ำปุ๋ยหมักกับอัตราส่วน 1 : 20 – 50 หรือไม่ผสมก็ได้ราดพื้นห้องส้วมชักโครกหรือจุดที่มีกลิ่นเหม็นบริเวณบ้าน หรือราดในท่อน้ำทิ้งเพื่อดับกลิ่นก็ได้ผลดี
    - กากอาหารที่เหลือก็สามารถไปคลุมกับดินเป็นปุ๋ยต้นไม้ได้ดี
    ข้อสังเกต
    ถ้าหมักได้ที่จะไม่มีแมลงวันหรือมีกลิ่นเหม็น แต่กลิ่นจะหอมอมเปรี้ยว
    ถ้ามีกลิ่นเหม็นและมีกลิ่นก๊าซแอมโมเนีย แสดงว่าหมักไม่ได้ผล
    ระหว่างหมักอาจจะมีหนอนแมลงวันเกิด แต่มันไม่กลายเป็นแมลงวัน จะเป็นหนอนตัวโตกว่าปกติ มีอายุอยู่นานได้หลาย ๆ วัน แล้วจะตายไปเอง
    <o:p></o:p>
    เชื้อหมัก อี.เอ็ม. 5 (สารขับไล่แมลง)
    เป็นส่วนผสมของเหล้า น้ำส้มสายชู จุลินทรีย์ กากน้ำตาลและน้ำ ที่หมักไว้เพื่อใช้ป้องกันและขับไล่แมลงศัตรูพืชต่าง ๆ พร้อมทั้งช่วยกำจัดโรคพืชต่าง ๆ ด้วย
    อัตราส่วน
    จุลินทรีย์ กากน้ำตาล น้ำสัมสายชูกลั่น 5% เหล้าขาว อย่างละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter> น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="8 ลิตร">8 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    1.เอากากน้ำตาลผสมกับน้ำจนละลายดีแล้ว ใส่เหล้าขาวและน้ำสัมสายชูชนิด 5%
    2.เอาจุลินทรีย์ใส่คนจนเข้ากันดี
    3. ปิดฝาให้สนิท หมักไว้ 15 วัน ภาชนะที่ใช้หมักนั้นควรใช้ถังพลาสติก
    4. ในระหว่างการหมักให้เขย่าทุกวันเช้า-เย็น เพื่อไม่ให้เกิดการนอนก้น แล้วปิดฝาเพื่อระบายก๊าซออก วันละ 2 ครั้ง
    5. เมื่อครบกำหนดก็นำไปใช้ได้ สามารถเก็บได้นานถึง 3 เดือน แต่ต้องเปิดฝาระบายก๊าซออกเป็นครั้งคราว
    วิธีใช้
    เชื้อหมักขับไล่แมลงผสมกับน้ำสะอาด ดังนี้
    - EM 5 10 – 15 ซีซี (1 – 5 ช้อนโต๊ะ)
    - กากน้ำตาล 10 – 15 ซีซี (1 – 5 ช้อนโต๊ะ) เพื่อเป็นการจับใบ
    - น้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="8 ลิตร">8 ลิตร</st1:metricconverter>
    นำส่วนผสมไปฉีดพ่นต้นไม้ทุกวันหรืออาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้ง ตามความต้องการ ทำการฉีดพ่นให้ชุ่มและทั่วถึงทั้งนอกและใบทรงพุ่ม หรือจะใช้เชื้อขับไล่แมลงผสมกับน้ำฉีดเลยก็ได้ โดยไม่ต้องเติดกากน้ำตาลอีก
    <o:p></o:p>
    เชื้อหมักขับไล่แมลง สูตรเข้มข้น
    วัสดุและส่วนผสม
    1. จุลินทรีย์ กากน้ำตาล น้ำส้มสายชูกลั่น อย่างละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter>
    2. เหล้าขาว 28 – 40 ดีกรี อย่างละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="2 ลิตร">2 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    ละลายกากน้ำตาลกับน้ำส้มสายชูก่อน จึงค่อยเติมเหล้าขาวลงไปคนจนเข้ากัน แล้วเติม EM นให้เข้ากันปิดฝาให้สนิทหมักไว้ 24 ชั่วโมง
    วิธีใช้
    ใช้ฉีดพ่นปราบหนอน แมลงศัตรูพืชที่ปราบได้ยาก เช่น หนอนหลอดหอม หนอนชอนใบ ฯลฯ ในปริมาณ 200 –300 ซีซี/น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter> หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม
    <o:p></o:p>
    การทำปุ๋ยหมักฟาง
    วัสดุและส่วนผสม
    1. ฟางแห้งตัดเป็นท่อนสั้นประมาณ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="2 เซนติเมตร">2 เซนติเมตร</st1:metricconverter> 1 ส่วน
    2. แกลบดิบ 1 ส่วน
    3. รำละเอียด 1 ส่วน
    4. กากน้ำตาล 10 – 20 ซีซี (1 – 2 ช้อนโต๊ะ)
    5. อี.เอ็ม. 10 – 20 ซีซี
    6. น้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    1.คลุกฟางและแกลบให้เข้ากันแล้วแบ่งออกเป็ฯ 3 กองเท่า ๆ กัน ผสมกองที่ 1 และ 2 เข้าเป็นกองเดียวกัน
    2.ผสม E.M.และกากน้ำตาลกับน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter> ที่เตรียมไว้ใส่ในบัวรดน้ำ
    3.นำน้ำผสม E.M. รดลงบนกองฟาง กับแกลบกองใหญ่ให้ชุ่มแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันดี
    4.ผสมผางและแกลบกองเล็กที่เหลือเข้าด้วยกันกับกองใหญ่คลุกเคล้าจนเข้ากันดี
    5.เอารำละเอียดลงไปผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันจนได้ความชื้นพอดี (50%) โดยการทดลองทำแล้วบีบดู ถ้าน้ำไม่ไหลออกมาตามง่ามมือ เมื่อแบมือยังจับกันเป็นก้อนแสดงว่าใช้ได้
    6.ถ้าความชื้นสูงเกินไป คือ เมื่อกำแล้วจะมีน้ำซึมออกมาตามง่ามนิ้วมือให้เติมวัสดุคือ ฟาง แกลบ และรำ ในอัตราส่วนเท่ากันผสมลงไปคลุกให้เข้ากันจนความชื้นพอดี
    7.เกลี่ยฟางรองพื้นให้เป็นแนวราบและหนาพอสมควร จากนั้นปูด้วยกระสอบป่านบนฟาง
    8.ตักปุ๋ยหมักลงเกลี่ยบนกระสอบป่านอย่าให้สูงเกิน <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ฟุต">1 ฟุต</st1:metricconverter> แล้วคลุมให้มิดด้วยกระสอบป่านหมักไว้ 5 ชั่วโมง เพื่อให้ อี.เอ็ม ทำงาน
    9.เมื่อครบ 5 ชั่วโมง ให้เริ่มตรวจวัดความร้อนทุก ๆ ชั่วโมง ด้วยการใช้ปรอทเสียบลงในกองปุ๋ยหมัก ทิ้งไว้คอยควบคุม ถ้าอุณหภูมิสูงเกิน <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="45 C">45 C</st1:metricconverter> หรือร้อนเกิน <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="45 C">45 C</st1:metricconverter> ต้องรีบกลับกองปุ๋ยทันที ถ้าความร้อนไม่เกินไม่ต้องกลับ
    ทิ้งไว้ 2 – 3 วัน ความร้อนจะลดลงเป็นปกติ ประมาร <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="37 C">37 C</st1:metricconverter>
    10.เปิดกระสอบที่ปิดไว้ออก ทิ้งให้โบกาฉิแห้งดีแล้ว จึงนำไปบรรจุกระสอบเก็บไว้ อย่าให้โดยความชื้นจนกว่าจะนำไปใช้
    วิธีใช้
    ใช้ผสมเตรียมดินสำหรับปลูกพืชทุกชนิด โดยการโรยปุ๋ยโบกาฉิฟาง ประมาณ 2 กำมือ ต่อพื้นที่ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ตารางเมตร">1 ตารางเมตร</st1:metricconverter> เอาหญ้าบางหรือฟางแห้ง คลุมทับอีกชั้นหนึ่ง แล้วรดด้วยน้ำผสม อี.เอ็ม. 10 –20 ซีซี/น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter> ทิ้งไว้ 7 วัน จึงค่อยปลูกผักหรือพืชต่าง ๆ ได้
    ในกรณีที่ใช้กับแปลงผักที่ปลูกแล้ว ใช้ปุ๋ยหมักฟางโรยรอบ ๆ ทรงพุ่ม (ระวังอย่าให้โดยใบและโคนต้นผัก) คลุมทับด้วยฟางหรือหญ้าแล้วรดด้วยน้ำ อี.เอ็ม. อีกครั้ง ใช้เดือนละ 1 – 2 ครั้งก็พอ
    สำหรับไม้ผล และพืชยืนต้นอายุประมาณ 2 ปี ให้ใช้หมักฟาง โรยรอบทรงพุ่มต้นละ 2 กิโลกรัม/ต่อปี จะใส่ครั้งเดียวหรือแบ่งใส่ก็ได้ จากนั้นใส่ปีละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 กิโลกรัม">1 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    ข้อสังเกต
    ถ้าผสมหมักปุ๋ยให้ได้ความชื้นพอดี หมักไว้ประมาณ 3 วัน ตามความร้อนของกองปุ๋ยจะเย็นเป็นปกติ แต่ถ้าความชื้นสูงเกินไป จะเกิดความร้อนสูง ต้องใช้มากกว่า 3 วัน จึงจะเย็นเป็นปกติ
    ปุ๋ยหมักที่หมักได้ผลดี จะมีกลิ่นหอมเหมือนเห็ด และจะมีราขาว ๆ ปะปน แต่ถ้ามีกลิ่นเหม็นเน่า หรือมีกลิ่นก๊าซแอมโมเนีย แสดงว่าปุ๋ยหมักใช้ไม่ได้
    ปุ๋ยหมักที่หมักแล้วใหม่ ๆ จะมีคุณภาพและใช้ได้ผลดีมากกว่าปุ๋ยหมักที่ทำแล้วเก็บไว้นาน ๆ หากใช้แล้วเหลือควรเก็บไว้ในร่ม อย่าให้โดนความชื้นจนกว่าจะนำไปใช้ (ควรเก็บไว้ไม่เกิน 6 เดือน
    <o:p></o:p>
    การทำปุ๋ยหมัก สูตร 24 ชั่วโมง
    วัสดุและส่วนผสม
    1. หญ้าฟางแห้งตัดท่อน (5 – <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 เซนติเมตร">10 เซนติเมตร</st1:metricconverter>) 10 ส่วน
    2. ปุ๋ยหมักฟางหรือมูลสัตว์ 1 ส่วน
    3. รำละเอียด 0.5 – 1 ส่วน
    4. E.M.และกากน้ำตาลอย่างละ 10 – 20 ส่วน/น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    1.ผสม อี.เอ็ม. กากน้ำตาล และน้ำใส่ในกาละมังไว้
    2.นำหญ้าหรือฟางแห้งที่ตัดไว้เป็นท่อน ๆ ลงจุ่มในน้ำผสม E.M. จนชุ่มแล้วยกขึ้นกองรอไว้
    3.ผสมรำละเอียดกับปุ๋ยหมักฟางหรือมูลสัตว์ ให้เข้ากันดีแล้วนำไปคลุกกับหญ้าหรือฟางเปียกที่กองรองไว้จนเข้ากันทั่วดี
    4.นำไปกองบนพื้นซีเมนต์ หรือบนผ้าพลาสติกเป็นกองกลมหรือสี่เหลี่ยมก็ได้ อย่าให้หนาเกินไป (<st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ฟุต">1 ฟุต</st1:metricconverter>) แล้วคลุมทับด้วยกระสอบป่านให้มิด หมักไว้ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="18 เซนติเมตร">18 เซนติเมตร</st1:metricconverter> คุ้ยกลับ 1 ครั้ง แล้วคลุมด้วยกระสอบหมักต่ออีก 6 ชั่วโมง เมื่อครบ 24 ชั่วโมง เปิดกระสอบออกเกลี่ยปุ๋ยหมักบาง ๆ ผึ่งไว้จนแห้งจึงนำไปใช้
    วิธีใช้
    ใช้รองก้นหลุมเพื่อปลูกผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ดอก และไม้ประดับทุกชนิด
    ใช้ผสมดินเตรียมแปลงปลูกผัก ผสมหญ้าแห้งหรือฟางแห้งคลุมแปลงผักคลุมโคนต้นไม้ ไม้ผลทุกชนิด
    ใช้เป็นหัวเชื้อขยายทำเป็นปุ๋ยหมัก 24 ชั่วโมง ต่อได้อีกและปุ๋ยใหม่ที่ได้สามารถนำไปทำต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ ดังนี้
    - ปุ๋ยหมัก 24 ชั่วโมง 1 ส่วน
    - หญ้าหรือฟางแห้ง 10 ส่วน
    - รำละเอียด 0.5 ส่วน
    - E.M.กากน้ำตาล 10 –20 ซีซี
    - น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter>
    <o:p></o:p>
    การทำฮอร์โมนพืชด้วย อี.เอ็ม.
    วิธีทำ
    วิธีทำและนำไปใช้ก็เช่นเดียวกับปุ๋ยหมัก 24 ชั่วโมงครั้งแรก
    วัสดุ
    1.กล้วยน้ำว้า, ฟักทองแก่จัด, มะละกอสุก, อื่น ๆ อย่างน้อย <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="2 กิโลกรัม">2 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    2.E.M. 20 ซีซี
    3.กากน้ำตาล 40 – 50 ซีซี
    4.น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    สับวัสดุทั้งหมดเปลือกและเมล็ดเข้าด้วยกันจนละเอียดผสมด้วย อี.เอ็ม. และกากน้ำตาล น้ำ คลุกให้เข้ากันดี
    บรรจุลงในถุงปุ๋ยหมักไว้ในถังพลาสติกปิดฝาไว้ 18 วัน
    วิธีใช้
    นำส่วนที่เป็นน้ำฮอร์โมน 20 – 30 ซีซี ผสมกับน้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="5 ลิตร">5 ลิตร</st1:metricconverter> แล้วนำไปใช้ดังนี้
    ใช้ฉีดพ่นต้นไม้ผล ในช่วงระยะก่อนแทงช่อดอก จะทำให้ต้นไม้แทงช่อดอกเพิ่มมากขึ้น
    ใช้ฉีดพ่นหรือรดต้นไม้ผล ช่วงติดดอกจะทำให้ติดผลดี
    ใช้แทนน้ำยาฮอร์โมนเร่งราก เพื่อทำให้รากพืชงอกได้เร็วขึ้นโดยใช้ในเรื่อง
    การชำกิ่ง โดยนำกิ่งพันธุ์ไม้ที่ต้องการขยายพันธุ์แช่ในน้ำฮอร์โมนที่ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 100 – <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter> แช่ไว้นานประมาณ 30 นาที แล้วนำไปเพาะชำในเรือนเพาะชำ
    การตอนกิ่ง โดยนำส่วนที่เป็นไขเหลืองทาบบริเวณที่ปอกเปลือกกิ่งพันธุ์เพียงเล็กน้อย (แล้วดำเนินการต่อตามขั้นตอนในการตอนกิ่ง)
    <o:p></o:p>
    ปุ๋ยหมักมูลสัตว์
    วัสดุและส่วนผสม
    1. มูลสัตว์ (ทุกชนิด) 1 ส่วน
    2. แกลบดิบแห้ง 1 ส่วน
    3. รำละเอียด 1 ส่วน
    4. E.M.และกากน้ำตาล 10 – 20 ซีซี
    5. น้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter>
    6. อื่น ๆ
    วิธีทำ
    1.ผสม EM กากน้ำตาลกับน้ำที่เตรียมไว้
    2.นำแกลบลงแช่น้ำผสม EM แล้วเอาขึ้นผสมกับมูลสัตว์
    3.นำรำละเอียดคลุกเคล้าความชื้นไม่เกิน 50%
    4.นำไปกองในพื้นที่ที่เตรียมไว้
    5.เมื่อครบ 5 ชม. เริ่มตรวจสอบความร้อนทุก ๆ ชม. ควบคุมอย่าให้เกิน <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="50 C">50 C</st1:metricconverter> ใช้หมัก 3 – 4 วัน
    เมื่อปุ๋ยหมักมูลสัตว์ ได้ผลดีจะมีกลิ่นหอมเหมือนเห็ดนำไปใช้ได้ หรือบรรจุกระสอบเก็บไว้ในที่ไม่โดนความชื้น
    วิธีใช้
    ใช้ผสมเตรียมดินสำหรับปลูกพืชทุกชนิด โดยการโรย 2 กำมือ (<st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 กรัม">200 กรัม</st1:metricconverter>) ต่อพื้นที่ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ตารางเมตร">1 ตารางเมตร</st1:metricconverter> เอาหญ้าหรือฟางแห้งคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง แล้วรดด้วยน้ำผสม EM อัตราส่วน 10 – 20 ซีซี ต่อน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10 ลิตร">10 ลิตร</st1:metricconverter> ทิ้งไว้ 7 วัน จึงค่อยปลูก
    ในกรณีที่ใช้กับแปลงผักที่ปลูกแล้วให้โรยรอบ ๆ ทรงพุ่ม คลุมทับด้วยฟางหรือหญ้าแห้งแล้วรดด้วยน้ำผสม EM
    สำหรับไม้ผลและพืชยืนต้นอายุประมาณ 2 ปี ให้โรยรอบทรงพุ่มต้นละประมาณ 2 – 3 กก./ปี จะใส่ครั้งเดียวหรือแบ่งใส่ก็ได้ จากนั้นใส่ปีละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 กก.">1 กก.</st1:metricconverter>
    <o:p></o:p>
     
  4. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    หลักการในการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน
    ในการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดินนั้น เราสามารถเพิ่มให้ได้หลายอย่าง ข้อสำคัญคือ อินทรีย์
    วัตถุแต่ละอย่างมีอัตราส่วนองค์ประกอบของธาตุคาร์บอน และไนโตรเจน (C/N ratio) แตกต่างกัน C/N ratio นี้เป็นตัวควบคุมบทบาทของไนโตรเจน เช่น ฟางข้าว มี C/N ratio ประมาณ 90 นับว่ากว้างมากไม่ควรที่จะได้กลบลงดินไปในดิน ควรนำมาหมักให้เป็นปุ๋ยเสียก่อน เพื่อปรับระดับให้เหลือ 20 หรือต่ำกว่า มิฉะนั้นแล้ว C/N ratio กว้าง ๆ เมื่อใส่ลงในดินจะทำให้ดินขาดไนโตรเจน เนื่องจากการสลายตัวโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ คือ จุลินทรีย์ จะเพิ่มขยายตัวมันเองอย่างรวดเร็ว และดึงไนโตรเจนในรูปของไนเตรทไปจากดินไปใช้ในการเพิ่มกิจกรรมและจำนวนของจุลินทรีย์จึงเป็นการแย้งไนโตรเจนจากพืช ทำให้ขาดไนโตรเจน โดยพืชจะแสดงอาการเหลืองซีด ขณะเดียวกันจุลินทรีย์ที่ใช้คาร์บอนเป็นพลังงานและปลดปล่อยให้หนีไปในอากาศ ในรูปก๊าซคาร์บอนไนออกไซด์ เมื่อคาร์บอนลดลงเรื่อย ๆ กิจกรรมของจุลินทรีย์จะลดลง ฉะนั้นเมื่อมีการใส่อินทรีย์ลงในดินขณะที่อินทรีย์วัตถุยังไม่สลายตัวเต็มที่แล้ว คือในระยะที่มี C/N ratio ยังกว้างนั้นดินจะขาดไนโตรเจนอยู่ระยะหนึ่ง จนกว่าจะสิ้นการสลายตัว อัตราความเร็วของการสลายตัวขึ้นอยู่กับชนิดของอินทรีย์วัตถุดิบ อุณหภูมิ ความชื้นเพื่อช่วยในการสลายตัวเร็วขึ้น จึงควรเพิ่มไนโตรเจนลงในดินเพื่อปรับ C/N ratio ให้แคบลง
    วิธีใช้
    นำ E.M. ที่ขยายแล้วไปผสมกับน้ำอีกในอัตรา 1/น้ำ 5,000 – 10,000 ส่วนให้สัตว์กิน ล้างคอก และบำบัดน้ำเสียในฟาร์ม
    หรือจะใช้ E.M. ที่ขยายแล้วโดยไม่ต้องผสมน้ำนำไปฉีด เพื่อบำบัดกลิ่นเหม็นในฟาร์มสัตว์ และจุดที่มีกลิ่นเหม็นในที่ต่าง ๆ
    อัตราความเข้มข้นของ E.M. ขยายที่นำไปใช้ จะมากน้อยตามความต้องการของลักษณะการใช้ใบ แต่ละพื้นที่เป็นสำคัญ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    การใช้ อี.เอ็ม. กับการเลี้ยงไก่
    ใช้ E.M. ที่ขยายแบ้วฉีดพ่นตามพื้นที่กำจัดกลิ่นแก๊สและกลิ่นเหม็นจากมูลไก่ ทุก ๆ 3 วัน หรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง มูลไก่ เหล่านี้นำไปใช้ทำปุ๋ยหมัก หรือนำไปใช้เป็นปุ๋ยใส่บริเวณทรงพุ่มต้นไม้และแปลงผักต่าง ๆ
    ผสม อี.เอ็ม. (หัวเชื้อ) กับน้ำกลั่น อัตราส่วน 1 : 1 ใช้แทนวัคซีน หรือหยอดตาหรือหยอดจมูกไก่ ตัวละ 1 – 3 หยด (ทำในช่วงระยะเวลาปกติของการใช้วัคซีนและตามขยาดอายุไก่)
    เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหรือป้องกันโรคไก่ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้
    <o:p></o:p>
    การใช้ อี.เอ็ม. กับการเลี้ยงสัตว์
    ทำการขยาย อี.เอ็ม. ในอัตราส่วน อี.เอ็ม. <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter> กากน้ำตาล <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter> น้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="100 ลิตร">100 ลิตร</st1:metricconverter> แล้วปิดฝาให้สนิท หมักทิ้งไว้ 3 วัน (ตามที่กล่าวไว้) นำไปฉีด ล้างให้ทั่วคอกจะสามารถกำจัดกลิ่นมูลเก่าได้ภายใน 48 ชั่วโมง เมื่อสะอาดปลอดกลิ่นดีแล้ว ต่อไปใช้สัปดาห์ละ 1 – 3 ครั้งก็พอ โดยน้ำล้างคอกที่มี อี.เอ็ม.ผสมอยู่ด้วยจะลงไปช่วยบำบัดน้ำเสียตามท่อและบ่อพักให้สะอาดขึ้นด้วย
    ผสม E.M. 1 ลิตรต่อน้ำสะอาด 5,000 – <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="10,000 ลิตร">10,000 ลิตร</st1:metricconverter> โดยประมาณ ให้สุกรกินทุกวัน เพื่อช่วยให้สุกรแข็งแรง และมีความต้านทานโรคและป้องกันกลิ่นเหม็นจากสุกรที่เกิดขึ้นใหม่ด้วย
    ผสมสุโตจู 1 ลิตรกับน้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="100 ลิตร">100 ลิตร</st1:metricconverter> เทราดตามบ่อน้ำทิ้ง เพื่อกำจัดหนอนแมลงวัน จะช่วยลดจำนวนลงได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
    ผสมซุปเปอร์โบกาฉิ สำหรับอาหารสัตว์ ประมาณ 2 % กับอาหารที่ให้สุกรกินแต่ละวัน เพื่อเสริมสุขภาพของสุกร
    กรณีลูกสุกรที่มีอาการท้องเสียใช้ E.M.5 ซีซี หยอดเข้าทางปากจะช่วยได้
    มูลสุกรที่ใช้ E.M.แล้ว สามารถนำไปใช้ทำปุ๋ยหมักต่าง ๆ หรือทำเป็นอาหารปลา กุ้ง กบ ได้ (ขึ้นอยู่กับการไปประยุกต์ใช้)
    ข้อสังเกต
    ฟาร์มที่ใช้ E.M. ส่วนมากจะไม่พบสุกรมีอาการท้องเสีย
    สามารถลดการใช้ยาเสียปฏิชีวนะต่าง ๆ ได้
    มีประสิทธิภาพในการขยายพันธุ์ดีขึ้นได้ แม่สุกรในบางฟาร์มให้ลูกถึง 14 – 16 ตัว โดยไม่มีตาย
    สุกรขุนที่ให้ E.M. จะให้เนื้อแดงมาก และสุกรมีน้ำหนักมากกว่าที่เคยได้
    หมายเหตุ วัว ควาย และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ก็สามารถนำ E.M. ไปประยุกต์ได้เช่นเดียวกัน<o:p></o:p>
    การใช้สุโตจู อี.เอ็ม. 5 กับงานเลี้ยงสัตว์
    ผสมสุโตจู 20 – 50 ซีซี กับน้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter> นำไปใช้ป้องกันหรือกำจัดไร เห็บ หมัด หรือแมลงที่มารบกวนสัตว์เลี้ยงได้ ดังนี้
    ฉีดพ่นบริเวณคอกสัตว์ (โรงเรือนโค คอกหมู เล้าไก่) ให้ทั่วสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง
    หลังอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงทุกครั้งควรใช้สุโตจู ผสมน้ำลูกตัวสัตว์เลี้ยง
    <o:p></o:p>
    การทำซุปเปอร์โบกาฉิ อาหารสัตว์
    วัสดุและส่วนผสม
    1.เปลือกหอยป่น กระดองปูป่น กระดูกป่น แกลบเผา อย่างละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="0.2 กิโลกรัม">0.2 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    2.ปลาป่น กากถั่ว อย่างละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="6 กิโลกรัม">6 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    3.รำละเอียด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="20 กิโลกรัม">20 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    4.อี.เอ็ม. กากน้ำตาล 10 ซีซี
    5.น้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="5 ลิตร">5 ลิตร</st1:metricconverter>
    วิธีทำ
    ผสมวัสดุที่ใช้ทั้งหมด เข้าด้วยกันจนเข้ากันดี
    ละลาย E.M. กากน้ำตาล , น้ำ, คนจนเข้ากันดี นำไปราดเป็นฝอยบนส่วนผสมในข้อที่ 1 คลุกเคล้าให้เข้ากันดี และให้ความชื้นไม่เกิน 40%
    เอาบรรจุใส่กระสอบป่านผูกปากให้แน่น ใส่ลงไปถุงพลาสติก ดำทึบแสงขนาดใหญ่อีกชั้นหนึ่ง มัดปากถุงให้แน่น อย่าให้อากาศเข้าหมักไว้ 3 วัน ความร้อนจะอยู่ระหว่าง 35 – 40 เซลเซียส
    เมื่อหมักครบ 3 วัน เอากระสอบออกจากถุงพลาสติกดำทึบแสง ตั้งทิ้งไว้ในร่มอีก 3 วัน อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และจะเย็นลงโดยพยายามกลับกระสอบทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นในกระสอบไปกองอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง จะทำให้จับกันเป็นก้อนได้
    ข้อสังเกต
    เมื่อหมักได้ที่แล้ว จะมีกลิ่นหอมกว่าโบกาฉิอื่น ๆ
    วิธีใช้
    ใช้ผสมกับอาหารสัตว์ เช่น หมู ไก่ กบ ฯลฯ ในอัตรา 2% ของอาหารที่ให้แต่ละครั้ง จะทำให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรงให้ผลผลิตสูง
    นำไปละลายน้ำในอัตราส่วน 1 – 2 กิโลกรัม/น้ำสะอาด <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="100 ลิตร">100 ลิตร</st1:metricconverter> ทำให้เป็นปุ๋ยน้ำหมักทิ้งไว้ 12 – 24 ชั่วโมง ก่อนนไปรดพืชผักต่าง ๆ โดยเฉพาะพืชผักที่ปลูกใหม่ ๆ จะทำให้ผักฟื้นตัวและโตเร็ว
    ใช้หว่านลงไปในบริเวณสระน้ำ เพื่อช่วยปรับสภาพน้ำที่เน่าเสีย
    <o:p></o:p>
    การทำซุปเปอร์โบกาฉิ สูตร 2
    วัสดุ
    1.รำละเอียด 3 ส่วน ปลาป่น กากถั่ว อย่างละ 1 ส่วน
    2.E.M.กาก น้ำ (1 : 1 : 50)
    วิธีทำ
    ผสมวัสดุทุกอย่างเข้าด้วยกัน ให้ได้ความชื้น 40% แล้วหมักตามขั้นตอนสูตร 1
    วิธีใช้
    เช่นเดียวกับสูตร 1
    <o:p></o:p>
    การใช้จุลินทรีย์ในการประมง
    ใช้ E.M. ที่ขยายแล้วใส่ในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ 1/10,000 หรือ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter> /10 คิวปิกเมตร ของน้ำใส่บ่อทุก ๆ 7 – 10 วัน แล้วแต่สภาพของน้ำและอัตราความหนาแน่นของสัตว์ที่เลี้ยง
    ผสมอาหารให้กินโดยใช้ EM ผสมในน้ำอัตรา 1 : 50 หรือ 100 ส่วนคลุกกับอาหารหรือแช่ไว้ก่อน ให้กินก็ได้ในฟาร์มเลี้ยงกบ บางฟาร์ม หลังจากใช้ EM ลงในบ่อเลี้ยงกบครั้งแรก แล้วไม่ต้องใส่อีกเพราะน้ำในบ่อจะได้ EM ควรใช้ EM อย่างเจือจางก่อน
    การใช้ EM ด้วยวิธีการดังกล่าวจะช่วยให้น้ำไม่เสียไม่จำเป็นต้องถ่ายน้ำบ่อย ๆ หรือไม่ต้องถ่ายน้ำเลยจนกว่าจะจับสัตว์ขายช่วนให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคสัตว์ โตเร็ว อัตราตายต่ำ
    <o:p></o:p>
    การใช้ อี.เอ็ม. ในการประมง (ปลา, กุ้ง)
    ใช้ อี.เอ็ม. ที่ขยายแล้วใส่ในบ่อเลี้ยงสัตว์ในอัตรา 1: 10,000 หรือ อี.เอ็ม <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ลิตร">1 ลิตร</st1:metricconverter> ต่อน้ำ 10 คิวบิกเมตรของน้ำ ใส่บ่อทุก ๆ 7 – 10 วัน แล้วแต่สภาพของน้ำ และอัตราความหนาแน่นของสัตว์เลี้ยง
    ผสมอาหารให้กิน โดยใช้ อี.เอ็ม ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 50 – 100 ส่วน คลุกกับอาหารหรือแช่ไว้ก่อนให้กินก็ได้ แล้วแต่ชนิดของสัตว์เลี้ยง
    ในฟาร์มเลี้ยงกบบางฟาร์ม หลังจากใส่ อี.เอ็ม ลงในบ่อเลี้ยงกบครั้งแรกแล้ว ไม่ต้องใส่อีก เพราะน้ำในบ่อจะได้ อี.เอ็ม เพิ่มทุกวันจากอาหารที่แช่ อี.เอ็ม และควรใช้อย่างเจือจางก่อน
    การใช้ อี.เอ็ม ด้วยวิธีการดังกล่าว จะช่วนให้น้ำไม่เหลือง ไม่จำเป็นต้องถ่ายน้ำบ่อย ๆ
    หรือไม่ต้องถ่ายน้ำเลยจนกว่าจะจับสัตว์ขาย ช่วยให้สัตว์มีสุขภาพดีแข็งแรงไม่เป็นสัตว์โตเร็ว และอัตราการตายต่ำ
    <o:p></o:p>
    การทำอาหารสำหรับเลี้ยงปลา
    วัสดุ
    1.เศษอาหาร 50 ส่วน รำละเอียด 20 ส่วน โบกาฉิมูลสัตว์ 1 ส่วน
    2.อี.เอ็ม : กากน้ำตาล : น้ำ 1 : 1 : 50
    วิธีทำ
    ผสมเศษอาหาร รำละเอียด และโบกาฉิ เข้าด้วยกัน แล้วคลุกด้วยน้ำ ผสม อี.เอ็ม หมักทิ้งไไว้ 1 – 2 ชั่วโมง
    วิธีใช้
    นำอาหารปลาที่หมักไว้แล้ว ไปหว่านในบ่อเลี้ยงปลาหรือวางบนตะแกรงหย่อนลงไปให้ปลากิน
    <o:p></o:p>
    การขยายจุลินทรีย์ แก้ปัญหาส้วมเต็ม
    ใช้ อี.เอ็ม ขยาย (อี.เอ็ม กากน้ำตาล 1/100 ลิตร) หมักไว้ 3 วัน นำมาเทใส่ส้วมชักโครก (เทใส่โดยไม่ต้องผสมน้ำ) ประมาณ 5 –10 ลิตร เดือนละ 1 ครั้ง อี.เอ็ม จะไปย่อยสลายสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ในถังพัก กากที่เหลือจะตกตะกอนและน้ำในถังพักจะดูดซึมลงไปได้มากถ้าส้วมไม่เต็มและไม่เหม็น
    การขยายจุลินทรีย์ บำบัดกลิ่นเหม็นและกำจัดแมลงวันจากกองขยะ ขยะที่ได้จากครัวเรือน ร้านอาหาร และโรงแรม ส่วนใหญ่จะเป็นขยะเปียก พวกเศษอาหาร ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นและแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน จุลินทรีย์จะสามารถบำบัดกลิ่นเหม็น กำจัดแมลงวันได้โดยการตัดวงจรชีวิตของแมลง และ อี.เอ็ม สามารถทำการย่อยสลายเศษอาหารได้ และเป็นปุ๋นแก่พืชผักและผลไม้ต่าง ๆ ได้อีกด้วย
    ใช้ อี.เอ็ม ที่ขยายแล้วผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 1,000 ฉีดพ่นบริเวณกองขยะ หรือพ่นให้คลุกเคล้ากับขยะที่จะนำไปทิ้ง หรือนำไปฉีดพ่นขยะบนรถขยะของเทศบาล แล้วจึงนำไปทิ้งในที่ทิ้งขยะ อี.เอ็ม ก็จะทำงานทำให้ขยะไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่มีแมลงวัน หลังจากขยะฉีดด้วย อี.เอ็ม แล้วนำไปฝังกลบก็จะยิ่งเป็นผลดี
    <o:p></o:p>
    การใช้จุลินทรีย์ในครัวเรือน
    ก่อนปรุงอาหาร หรือก่อนรับประทานพืชผัก ผลไม้ (ประเภทรับประทานทิ้งเปลือก) หรืออาหารสดต่าง ๆ โดยเฉพาะอาหารสดจากทะเล (กุ้ง ปู ปลาหมึกสด) ที่ซื้อมาจากตลาด แต่ไม่แนใจว่าปลอดสารพิษหรือไม่ ควรนำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่น้ำในจุลินทรีย์ ที่ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 100 –200 แช่ไว้ประมาณ 0 - 1 ชม. จะทำให้สารเคมีที่ปนเปื้อนหรือตกค้างอยู่ ในพืชผักหรืออาหารสดนั้น ถูก อี.เอ็ม ย่อยสลายหรือชำระล้างออกไปได้เป็นอย่างมาก
    <o:p></o:p>
    การใช้จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย
    น้ำที่เกิดจากชุมชน
    ใช้จุลินทรีย์ที่ขยายแล้ว นำไปราดตามท่อระบายน้ำลงในถังชำระล้างต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อให้น้ำผสมจุลินทรีย์ทำการบำบัด และไหลลงไปรวมในบ่อบำบัดและไหลลงไปรวมในบ่อบำบัดน้ำต่อไป
    น้ำเสียจากโรงพยาบาล โรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม ชุมชนต่าง ๆ
    ใช้จุลินทรีย์ที่ขยายกับระบบบำบัดน้ำเสีย ที่มีอยู่เดิม (ด้วยวิธีใช้เครื่องตีน้ำ เพื่อให้อากาศแก่แบคทีเรียที่ต้องการอากาศทำงาน)
    EM เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศในการทำงานจึงสามารถบำบัดน้ำเสีย โดยการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ ในน้ำเสียให้สะอาดา ไม่ต้องใช้เครื่องตีน้ำเป็นการลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และสามารถบำบัดน้ำเสียได้ดีมีประสิทธิภาพกว่าและย่อยสลายตะกอนที่เป็นอินทรีย์วัตถุจนหมดได้ สามารถนำน้ำที่ผ่านการบำบัดขั้นสุดท้ายแล้วไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ได้อีกด้วย
    <o:p></o:p>
    การประยุกต์ใช้ อี.เอ็ม ในนาข้าว
    ต่อพื้นที่ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ไร่">1 ไร่</st1:metricconverter> ใส่โปกาฉิประมาณ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 กิโลกรัม">200 กิโลกรัม</st1:metricconverter> โดยแบ่งใส่เป็นระยะดังนี้ ไถพรวน
    หว่าน โปกาฉิ 100 กิโลกรัมให้ทั่ว
    ผสม อี.เอ็ม 400 ซีซี ผสมน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter> ฉีดพ่นให้ทั่วพื้นที่แล้วไถพรวนทั่วทิ้งไว้ 15 วัน เพื่อให้ อี.เอ็ม ย่อยสลายวัชพืชและฟางข้าว ให้ปุ๋ยธรรมชาติ และเร่งการงอกของเมล็ดหญ้า
    15 วัน หลังไถแล้ว ผสม อี.เอ็ม และกากน้ำตาลอย่างละ 400 ซีซี กับน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter> ฉีดพ่นให้ทั่ว และไถกลบเพื่อทำลายหญ้าให้กลายเป็นปุ๋ยพืชสด
    ทิ้งไว้อีก 15 วัน จึงไถ และคราดเพื่อดำเนินดำนาต่อไป
    ไถคราด
    พ่น อี.เอ็ม อัตราส่วนเดิมอีกครั้ง
    ไถคราดให้ทั่ว เพื่อเตรียมปักดำ
    หลักปักดำ 7 –15 วัน
    หว่านโบกาฉิให้ทั่วแปลง 30 กิโลกรัม/ไร่
    พ่นตามด้วย EM กากน้ำตาล อย่างละ 200 ซีซี ผสมน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter>
    ข้าวอายุ 1 เดือน
    หว่านโบกาฉิ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="30 กิโลกรัม">30 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    พ่นด้วย EM กากน้ำตาลอย่างละ 200 ซีซี ผสมน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter>
    ก่อนข้าวตั้งท้องเล็กน้อย
    หว่านโบกาฉิ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="40 กิโลกรัม">40 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    พ่นด้วย EM กากน้ำตาลอย่างละ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter> ผสมน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter>
    หมายเหตุ
    เฉลี่ยพื้นที่ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 ไร่">1 ไร่</st1:metricconverter> ใช้ปุ๋ยโบกาฉิ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 กิโลกรัม">200 กิโลกรัม</st1:metricconverter>
    ในปีแรกที่ใช้โบกาฉิกับนาข้าว อาจต้องใช้ปริมาณมาก แต่เมื่อดินดีปีต่อไปจึงค่อย ๆ ลดปริมาณการใช้ลง
    เพื่อป้องกันเพลี้ยระบาด โรคแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ รบกวนควรฉีดพ่นด้วยสุโตจู (สารขับไล่แมลง) ทุก ๆ 15 วัน ในอัตราส่วนสุโตจู 400 ซีซี กากน้ำตาล 400 ซีซี และน้ำ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ลิตร">200 ลิตร</st1:metricconverter>
    การปลูกโดยไม่ต้องไถพรวน การไถพรวนเมื่อต้องการให้ดินที่แข็งตัวร่อนขึ้นอุ้มน้ำและอากาศผ่านได้ การใช้ EM จะช่วยให้ดินไม่จับตัวกันแข็ง แต่จะร่วนซุยอุ้มน้ำได้ และอากาศผ่านได้ จึงไม่จำเป็นต้องไถพรวนอีกต่อไป เกษตรกรที่ใช้ EM มา 3 ปี และเลิกการไถไปแล้วสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นทุกปีด้วย
    <o:p></o:p>
    การใช้ อี.เอ็ม กับการป่าไม้
    การปลูกป่าสร้างสวนป่า มักทำการปลูกกันในพื้นที่ดินแหล่งเสื่อมโทรม ดินปุ๋ยธรรมชาติ มีการพังทลายของดินสูง ต้นไม้ที่ปลูกมักมีปัญหา การเจริญเติบโตไม่มีเท่าที่ควร จึงมีการเสริมอินทรีย์วัตถุให้แก่ต้นไม้ และเพิ่มงบประมาณจุลินทรีย์ในดิน ให้มีการสร้างกิจกรรมในดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
    การแช่เมล็ดพันธุ์ไม้ก่อนเพาะ (เช่น เมล็ดไม้สัก, ไม้มะค่าโมง ฯลฯ) ควรทำดังนี้
    แช่เมล็ดในน้ำร้อน (60 – <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="70 C">70 C</st1:metricconverter>) นานประมาร 10 – 20 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด 2 – 3 ครั้ง
    นำเมล็ดไปแช่ใน อี.เอ็ม ผสมน้ำสะอาด อัตราส่วน 1 : 2,000 นานอย่างน้อย ? - 1 ชั่วโมง ถ้าเมล็ดมีเปลือกหนาควรแช่ไว้นาน 3 – 7 วัน
    การเพาะต้นกล้าในแปลงเพาะชำ เพราะเมล็ดพันธุ์ไม้ในถุงดำที่มีดินหมัก อี.เอ็ม ไว้
    โดยผสมปุ๋ยหมักดิน + ดินร่วน + แกลบสุก + แกลบดิบ (1 : 1 : 1) เข้าด้วยกันและระหว่างการเพาะชำกล้าไม้ต้องใช้น้ำ อี.เอ็ม (1 : 1,000) รดอาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้ง
    <o:p></o:p>
    การใช้ E.M. กับต้นไม้สวนป่า
    ใช้ปุ๋ยหมุกโบกาฉิ ฟาง มูลสัตว์ หรือปุ๋ยหมักหญ้า 24 ชั่วโมง โรยเสริมบริเวณพุ่มของต้นไม้ หลังปลูกที่มีอายุ 0 – 3 ปี ใช้อัตราส่วน 2 – 3 กำมือต่อต้น แล้วคลุกด้วยหญ้า/พุ่มแห้ง รดด้วยน้ำ อี.เอ็ม (1 : 1,000) ให้ชุ่ม เดือนละครั้ง โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูฝน จะช่วยให้ต้นไม้ที่ปลูกสร้างเป็นสวนป่า มีความแข็งแรง มีใบเขียว ชูช่อแตกดอกออกใบออกผลอย่างสมบูรณ์ เมื่อต้นไม้แข็งแรงดี ย่อมมีความต้านทานการทำลายของโรคและแมลงได้ดีถ้ามีโรคหรือแมลงรบกวนต้นไม้ ในสวนป่าให้ใช้ สุโตจู (EMS) สูตรทั่วไปหรือซูปเปอร์สุโตจู ฉีดพ่นตอนเช้าหรือตอนเย็น จะช่วยป้องกันแมลงพวกเพลี้ย ไร และแมลงมีปีกได้
    เมื่อปลูกต้นไม้ได้อายุ 3 ปีขึ้นไป การใช้ อี.เอ็ม หรือปุ๋ยหมัก อี.เอ็ม มีความจำเป็นน้อยลง หรือไม่ต้องใช้เลยก็ได้ เพราะกระบานการทางะรรมชาติจะทำให้ดินในสวนป่าในสวนอุดมสมบูรณ์ขึ้นอยู่แล้ว
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  5. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    คิดเองทำเอง : สกัดน้ำมันมะพร้าว"วิธีเหวี่ยง" คุณภาพเกรดเอ-ไร้กาก-บริสุทธิ์ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เชื่อได้แน่นอน มั่นใจได้ชัวร์ น้ำมันมะพร้าวใส่แจ๋วบริสุทธิ์จากเครื่องเหวี่ยง <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:metricconverter w:st="on" ProductID="25 องศาเซลเซียส">25 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> ผลงานการคิดค้นของทีมวิจัยจากภาควิชาการวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งนำโดย รศ.<st1:personName w:st="on" ProductID="วีระชัย แก่นทรัพย์">วีระชัย แก่นทรัพย์</st1:personName> ให้คุณค่าผลิตภัณฑ์เกรด เอ สูงที่สุดกว่ากรรมวิธีผลิตแบบอื่น <o:p></o:p>
    รศ.<st1:personName w:st="on" ProductID="วีระชัย ระบุว่า">วีระชัย ระบุว่า</st1:personName> จากการศึกษาและทดลองตามกรรมวิธีหลากหลายรูปแบบจนแน่ชัดวิธีหนึ่งที่ได้น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดีเยี่ยมและสูงที่สุดในตอนนี้คือ เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น โคโคนัท ออยล์ เป็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่ได้จากวิธีการเหวี่ยงซึ่งมีกรรมวิธีผลิตแบ่งเป็น 2 แบบ คือ สกัดแบบแห้งและแบบเปียก โดยแบบเปียกเป็นการนำเนื้อมะพร้าวไปลดความชื้นด้วยกรรมวิธีต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ <o:p></o:p>
    ส่วนกรรมวิธีสกัดแบบแห้งนั้น หัวหน้าทีมวิจัยคนเดิมระบุว่าเป็นการนำเนื้อมะพร้าวไปลดความชื้นด้วยวิธีต่างๆ จากนั้นจะใช้เครื่องบีบเพื่อบีบน้ำมันออกมาจากเนื้อมะพร้าว เช่น การนำเนื้อมะพร้าวสดไปอบแห้งที่อุณหภูมิไม่เกิน <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="50 องศาเซลเซียส">50 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> ใช้เวลา 30-45 นาที แล้วนำเนื้อมะพร้าวที่แห้งนั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปบีบด้วยเครื่องบีบแบบไฮโดรลิก <o:p></o:p>
    "เมื่อได้น้ำมันมะพร้าวมาแล้วก็นำไปกรองหลายๆ ชิ้น ทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ นำน้ำมันที่ได้มากรองอีกครั้งก็จะได้น้ำมันออกมาแบบบีบเย็น ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้สูญเสียคุณภาพของน้ำมันมะพร้าวไปไม่ใช่น้อย เนื่องจากคุณอุณหภูมิที่ใช้ในการทำและยังเสียเวลามากอีกด้วย" <o:p></o:p>
    รศ.วีระชัย ยังกล่าวถึงวิธีการผลิตน้ำมันมะพร้าวที่ทางภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ (มจธ.) ได้ศึกษาและแนะนำก็คือ การผลิตน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จากวิธีการเหวี่ยง จะได้ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ออกมาปริมาณมากและดีที่สุดในขณะนี้รับรองผลว่าเป็นผลิตภัณฑ์เกรด เอ คุณภาพสูง การเหวี่ยงนี้เป็นกรรมวิธีการผลิตน้ำมันมะพร้าว โดยใช้อุณหภูมิที่ต่ำ และน้ำมันมะพร้าวที่ได้ออกมามีความบริสุทธิ์ <o:p></o:p>
    สำหรับขั้นตอนการผลิต รศ.<st1:personName w:st="on" ProductID="วีระชัย อธิบายว่า">วีระชัย อธิบายว่า</st1:personName> เริ่มจากการขูดเนื้อมะพร้าวออกจากลูกมะพร้าวที่เก็บได้จากต้นไม่เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นนำไปแช่เย็นจนได้อุณหภูมิ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="20 องศาเซลเซียส">20 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> แล้วนำไปบีบหรือคั้นอย่างช้าๆ โดยอุณหภูมิไม่เกิน <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="25 องศาเซลเซียส">25 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> (ซึ่งโดยทั่วไปแล้วน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนสถานะที่อุณหภูมิ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="24 องศาเซลเซียส">24 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> ถ้าใช้อุณหภูมิสูงกว่านี้ จะเป็นการทำลายคุณภาพของน้ำมันมะพร้าวและถ้าทำอุณหภูมิต่ำกว่า <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="24 องศาเซลเซียส">24 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> ก็จะทำให้เป็นไข) จากนั้นนำน้ำกะทิที่ได้ไปทำการแยก <o:p></o:p>
    โดยการเหวี่ยงที่ค่าความเร่งสู่ศูนย์กลาง 6,000 เท่าของโลก (เหวี่ยงที่อุณหภูมิ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="25 องศาเซลเซียส">25 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter>) นาน 3 นาที น้ำกะทิจะแยกตัวออกมาเป็น 2 ชั้น คือ น้ำกับหัวกะทิ แยกน้ำออกแล้วนำไปเก็บที่อุณหภูมิ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="25 องศาเซลเซียส">25 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> เป็นเวลา 12-18 ชั่วโมง น้ำมันมะพร้าวก็จะแยกตัวออกมา <o:p></o:p>
    จากนั้นนำน้ำมันมะพร้าวไปเหวี่ยงแยกอีกครั้งให้ได้น้ำมันที่ใสปราศจากกากที่ละเอียด น้ำมันที่ได้มานั้นคุณภาพสูงใช้เวลาน้อยแถมยังได้น้ำมันมะพร้าวปริมาณมากตามต้องการจึงเรียกว่า เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น โคโคนัท ออยล์ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์โดยวิธีการเหวี่ยง ส่วนเครื่องเหวี่ยงนี้ สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 4 แสนบาท <o:p></o:p>
    สนใจสอบถามรายละเอียดและข้อมูลการผลิต น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น โคโคนัท ออยล์ โดยวิธีการเหวี่ยง เพิ่มเติมได้ที่ รศ.<st1:personName w:st="on" ProductID="วีระชัย แก่นทรัพย์">วีระชัย แก่นทรัพย์</st1:personName> ภาควิชาการวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โทร.0-1513-1017<o:p></o:p>
     
  6. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    “ทายาทตระกูลเตชะไพบูลย์ หลานเจ้าสัวอุเทน เซ็งชีวิต
    เบื่อหน่ายมรดกบนกองเงินกองทอง
    ทิ้งชีวิตนักธุรกิจพันล้าน ถอดสูทหันไปยึดอาชีพชาวนา
    ยืนยันครอบครัวไม่มีปัญหาล้มเหลวทางธุรกิจ
    แต่เป็นเพราะความพอใจส่วนตัว”<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เรื่องราวของทายาทมหาเศรษฐี ที่ไม่สนใจในกองมรดก
    หมื่นล้าน ละทิ้งชีวิตหรูหราหันไปเป็นชาวนา
    ใช้ชีวิตติดดินยึดถือเศรษฐกิจพอเพียง
    ดำรงตนอยู่อย่างไม่เบียดเบียนใคร
    เขาผู้นี้คือ นายวิลิต เตชะไพบูลย์ อายุราว 37 ปี
    อาศัยอยู่ในบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ
    ที่สร้างด้วยฝีมือของนายวิลิตเอง ภายในไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรูหราประดับบ้าน มีเพียงที่นอนและหมอนมุ้งเท่าที่จำเป็น
    แถมยังไม่ใช้ไฟฟ้า โดยนายวิลิตอาศัยแสงสว่างจากการจุดตะเกียง
    เท่านั้น บ้านเล็กๆ หลังนี้ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่งพร้าว
    หมู่ 8 ต.ท่ายาง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ซึ่งนายวิลิต
    ได้เปิดเผยถึงปูมหลังของตัวเองว่าเป็นลูกชายคนที่ 3
    ของนายอุธรณ์ เตชะไพบูลย์ ซึ่งเป็นน้องชายคนที่ 6
    ของนายอุเทน เตชะไพบูลย์ อดีตเจ้าของธนาคารศรีนคร
    กับธุรกิจในเครืออีกหลายสิบบริษัท
    ก่อนหน้าที่จะมาใช้ชีวิตเป็นชาวนาอยู่ในชนบทแห่งนี้
    มีตำแหน่งหน้าที่เป็นถึงกรรมการผู้จัดการ
    โรงแรมรีเจ้นส์ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
    ภายหลังที่ร่ำเรียนจบจากคณะบัญชี จุฬาฯ เมื่อปี 2531
    นายวิลิตยังเผยถึงที่มาที่ไปของการสละความหรูหราร่ำรวย ไม่สนใจในกองเงิน กองทองของตระกูลว่า
    หลังจากที่ใช้ชีวิตเป็นนักธุรกิจดูแลโรงแรมและ
    ทำโครงการพัฒนาที่ดิน ทำรีสอร์ตขายมาประมาณ 10 ปี
    ก็บังเกิดความเบื่อหน่ายกระทั่งเมื่อต้นปี 2541
    จึงเริ่มคุยกับพ่อแม่ญาติพี่น้องว่าอยากจะหันมาใช้ชีวิตเป็นชาวนา
    ทำเกษตรทำไร่ไถนาหากินเลี้ยงชีพ จนปลายปี 2542
    จึงนำเงินที่สะสมไว้ระหว่างทำงานมา
    ซื้อผืนดินแห่งนี้จำนวน <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:metricconverter w:st="on" ProductID="11 ไร่">11 ไร่</st1:metricconverter> แล้วลงมือทำนาอย่างจริงจัง
    เมื่อต้นปี 2543 โดยได้ลาออกจากธุรกิจที่รับผิดชอบทั้งหมด
    มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ครั้งแรกพ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย
    แต่ท่านก็เปิดใจกว้างยอมรับได้และไม่ปฏิเสธ
    หรือโต้แย้งกับการเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งก็ได้พิสูจน์
    ให้ท่านเห็นว่าที่ตนทำไปนั้นมีเหตุผล
    ขณะที่พี่น้องซึ่งมีด้วยกัน 3 คน ก็เห็นด้วย
    และไม่ขัดขวางในการใช้ชีวิตชาวนา
    นางวิลิตยังกล่าวอีกว่า เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง
    ที่ทำให้ต้องทิ้งชีวิตหรูหราร่ำรวย เพราะเกิดความอึดอัด
    กับชีวิตนักธุรกิจ รู้สึกว่าตนเป็นคนอีกพันธุ์หนึ่ง
    ซึ่งตนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ เพราะชีวิตนักธุรกิจต้องมีประชุม
    ทั้งเช้าทั้งบ่ายทุกวัน ต้องเจอแต่ผู้คนเต็มโต๊ะ
    แต่ละคนจะถือมีดดาบเอาไว้ข้างหลังเพื่อเชือดเฉือนกัน
    ในชั้นเชิงของธุรกิจ การทำงานก็มีแต่ความขัดแย้ง
    ถ้าขืนอยู่ต่อไปคงอายุสั้นอย่างแน่นอน
    ตนไม่เคยเสียดายธุรกิจร้อยล้านพันล้าน
    เพราะชีวิตชาวนา คือชีวิตที่ตนเลือกแล้ว
    ถือเป็นกำไรชีวิต ไม่ชอบชีวิตชิงดีชิงเด่น เอาเปรียบใคร
    หรือต้องเจรจากับคนที่ไม่มีความจริงใจ มีแต่เสแสร้ง
    ต้องวางบทบาทเข้าหากันเพื่อผลประโยชน์
    ทายาทตระกูล “เตชะไพบูลย์” ยังเผยด้วยว่า
    หลังจากที่ลาออกจากงานมาแล้วก็เริ่มลงมือทำนาทันที
    โดยมีลูกน้องคู่ใจ 4 น ที่ลาออกตามมาช่วย
    ซึ่งทำตั้งแต่การพลิกฟื้นผืนดินปรับเป็นแปลงนา
    กระทั่งไถหว่านปักดำข้าวด้วยตัวเองทั้งหมด
    หลังเก็บเกี่ยวได้ข้าวมาครั้งแรกจำนวนเกวียนกว่าๆ
    นำไปหุงกิน และรู้สึกภาคภูมิใจมากที่กินข้างที่มาจากหยาดเหงื่อ
    แรงงานของตัวเอง เป็นข้าวที่อร่อยที่สุดในโลก
    ส่วนชีวิตประจำวันทุกวันนี้ ตอนเช้าก็จะออกไปดูแลนา
    แล้วกลบมาดูแลให้อาหารไก่ อาหารวัว อาหารปลาที่เลี้ยงไว้
    จากนั้นก็จะไปดูแลต้นหมากรากไม้พืชผัก
    ซึ่งมีทั้งผักสวนครัวและผักสมุนไพรที่ปลูกไว้กิน
    อาทิ ตะไคร้ พริก มะเขือ กล้วย โดยไม่ต้องไปซื้อไปหา
    ซึ่งวันๆ หนึ่งแทบไม่ได้ใช้เงินเลย เพราะข้าวก็ปลูกเอง
    กับข้าวก็หาได้จากพืชผักที่ปลูกไว้รอบบ้าน
    จะซื้อก็เพียงผักบางประเภทที่อยากกิน
    และสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    เช่น กะปิ น้ำปลา คิดว่าชีวิตแบบนี้ คือ ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง และน่าจะเป็นหลักชีวิตที่คนไทยควรหันมามอง
    “ตนอยากฝากว่าประเทศเรานั้นต้องสร้างระบบการศึกษาใหม่
    สร้างค่านิยมใหม่ให้แก่คนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ยึดติดกับวัตถุ
    และไม่ควรสะสมอะไรเกินความจำเป็นของชีวิต
    ชีวิตตอนนี้ง่ายๆ ถือว่าเงินทองเป็นของมายา
    ข้าวปลาเป็นของจริง มีความสุขและศรัทธากับสิ่งที่ทำ
    คนอื่นไม่เข้าใจ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น”<o:p></o:p>
    และนี่คำพูดที่ทายาทมหาเศรษฐีได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้
    <o:p> </o:p>
    ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอังคารที่ 17/10/43
    หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 18/10/43
    <o:p> </o:p>
     
  7. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    มาร์ติน วิลเลอร์ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ขออนุญาตนะครับน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่านที่ยังไม่เคยอ่าน<O:p></O:p>
    "ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ"
    วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
    " แม้เติบโตจากระบบทุนนิยม แต่แนวคิดกลับแปลกแยกอย่างสิ้นเชิง
    แม้เป็นชาวอังกฤษ แต่มุมมอง "ความเป็นไทย"กลับเฉียบคมยิ่ง ๑๒ ปีในเมืองไทย
    หล่อหลอมฝรั่งคนนี้เป็นคนไทย เกือบสมบูรณ์ กว่าคนไทยอีกหลายคน....."
    ประวัติ
    ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpool
    ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก ffice:smarttags" /><ST1:place w:st="on"><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]1.5 ลิตร</st1:metricconverter>

    <font size=" /><st1:placeName w:st="on">London</st1:placeName> <st1:placeType w:st="on">University</st1:placeType></ST1:place>
    ภรรยา นาง<st1:personName ProductID="รจนา วีลเลอร์" w:st="on">รจนา วีลเลอร์</st1:personName> ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
    ๑. ด.ช.<st1:personName ProductID="อิริค วีลเลอร์" w:st="on">อิริค วีลเลอร์</st1:personName> (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
    ๒. ด.ญ.<st1:personName ProductID="แอนนี่ วีลเลอร์" w:st="on">แอนนี่ วีลเลอร์</st1:personName> (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
    ๓. ด.ช.<st1:personName ProductID="ดิเรก วีลเลอร์" w:st="on">ดิเรก วีลเลอร์</st1:personName> (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน


    ผมเป็นชาวอังกฤษ
    เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก
    เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐กว่าคน
    แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน
    ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน
    ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
    ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น
    ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ
    อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง
    และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว
    แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆ
    ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน
    เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง
    เป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดี
    เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ
    ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง
    สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้
    ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย
    ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว
    ปฏิวัติค่านิยมเก่า
    ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่
    อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข
    ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ
    เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ
    ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ
    แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย

    หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้
    แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี
    ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ
    แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง
    ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย
    ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย
    ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

    ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน
    คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง? มี่กี่คัน? คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน? ลูกของคุณเรียนที่ไหน?
    เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง? จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน
    แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร
    แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น
    ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน
    เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด
    ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย
    แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

    ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก
    เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก
    คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน
    ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็น เจ้าของบ้าน
    ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต
    ๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง
    เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย
    เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน
    จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้
    ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี
    ด้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

    พ่อแม่และผม
    ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย? ผมคิดว่าไม่
    ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง
    เขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ
    เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง
    มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ
    แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน
    ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก
    วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียว
    ไม่ให้ใครรบกวน
    พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย
    สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ
    ผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง
    เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด
    คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย
    ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว
    แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

    แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว
    ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน
    เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย
    คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษ
    แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย

    ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง
    สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้

    <FONT face="Angsana New">๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕<FONT face="Angsana New">
    <FONT size=4>ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ
    อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆแล้ว
    ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน
    เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง
    ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู
    เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ
    แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย
    ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว
    และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส
    พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทยก็แปลกดีเหมือนกัน
    เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ
    ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต
    เราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่า
    ผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป
    แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็นเอาเงินให้ผมเฉยๆ
    ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ

    เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข
    ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ
    ๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
    ๒.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
    ๓.จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้น
    ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก
    ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข
    มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ
    ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท
    ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียว
    ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน
    ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงิน
    แต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปเที่ยว ไปกินเหล้า
    ไปสูบบุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
    แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร
    เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข

    หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวังไว้
    ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก
    ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา
    มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก
    เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วยจะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆ
    ไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆ
    ถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก
    จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว
    จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมืองไปอยู่บ้านนอก
    แฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น
    ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยายเห็นว่า เป็นธรรมชาติดี

    ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว
    พวกขุนนาง<st1:personName ProductID="ยึดหมด คนยากจน" w:st="on">ยึดหมด คนยากจน</st1:personName> จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก
    แออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม มีเงินเยอะ
    แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่
    กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุด
    ที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการ
    ก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริงๆ
    เป็นพวกขุนนาง<st1:personName ProductID="ใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก" w:st="on">ใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก</st1:personName> ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคน
    มีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี
    พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก
    สะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ
    มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก
    คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก
    เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก
    บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต

    ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ
    คนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัว
    ทำให้มีคนจนเยอะ
    ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้
    ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้น
    จากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย
    ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่าง
    ที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ

    แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต
    ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ
    เขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบากต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม
    วันละร้อยยี่สิบบาท โอ้โฮ...เหนื่อย เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อน
    แต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้
    แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก
    ๔๐ กว่าองศา บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า
    ทำไม ไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้
    เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกร
    ไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่
    ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุข
    ที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อย

    บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่า
    ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้
    ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด
    ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรีๆ
    ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก
    แมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า
    ๑.สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี
    ๒.ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน
    ขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน
    เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน
    ฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้
    มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร

    นิยามความรวยกับความจน
    มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ
    ที่อังกฤษมีแต่คนรวย
    ที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน
    เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน
    แต่คนรวยยืมเงินได้
    คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ?

    ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก
    ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง
    ผมบอกว่า

    ๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา
    ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม
    ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ
    มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

    ๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว
    แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ
    เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย
    เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน
    เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น
    ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน
    ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย
    เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง
    แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง
    ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี
    ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น
    เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี
    แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ
    อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน
    เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม
    เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์
    แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว


    <FONT face="Angsana New">ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ<FONT face="Angsana New">
    <FONT size=4>๑.ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ
    ๒.ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน
    ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ
    คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น
    ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ
    ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ
    แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน
    ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุด
    คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ
    ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย
    กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน
    เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก
    เพราะว่าสะอาด
    จ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด
    สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่า
    คนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ
    เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก
    เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

    คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น
    เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน
    ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ
    ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน บ้านคนละหลัง
    ครอบครัวคนละหลัง
    ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้
    คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

    ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ
    แต่เขาจะมี สิ่งที่ดีกว่า นั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี
    ไม่มียาเสพติดไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่
    ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้น
    มันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา
    ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่นลูกผมเรียน
    หนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา
    มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)

    แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก
    ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า
    เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น
    ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อน
    มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ
    แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิต
    ของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็น
    คนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ
    เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก
    สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต
    ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่


    วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา
    ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่ง
    สอนภาษาอังกฤษ
    เขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอาๆๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก
    ปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีก
    แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้
    เขายังไม่บอกผมเลย
    ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัว
    ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร?

    สมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต
    ภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้า
    เอาไว้รับจ้างเฉยๆ เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษ
    จะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขา
    เขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูงๆ หน่อย

    ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา
    คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก
    ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมาก
    คิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ
    ๑.ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย
    ๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย
    ๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้
    ๔.ไปอยู่ในเมือง
    ๕.ไปรับจ้างเขา
    ๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท

    เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย
    ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัย
    ที่จะช่วยให้เขาได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่า
    ลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน
    ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ
    เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้
    เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
    ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียน
    เพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

    จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทย
    ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน
    ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน
    ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนา
    ระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก
    แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจ
    เมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย

    ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม
    อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มากๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก
    แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน
    ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

    คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก
    เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น
    ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง
    แต่ไม่ยอมปฏิบัติ
    ตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง
    แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง
    แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า
    ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ
    ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด
    เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิด ของในหลวง
    เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
    ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง
    ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ
    เหมือนประเทศไทย

    พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓
    เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย
    ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง
    ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของ
    ศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธ
    เป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติ
    โดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

    อยากบอกอะไรคนไทย
    คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร
    ไม่ต้องไปเอาน้ำมัน จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้
    กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิด เรื่องเงินอะไรมาก
    อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆ
    คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัวมีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
    มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก
    ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป
    คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ
    แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้
    คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ
    ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิต
    ชีวิตมันก็ง่าย
    พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก
    พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป<O:p></O:p>

    <!-- / message --><!-- edit note --><FONT color=#666666 size=4><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2008
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +62,396
    มีประโยชน์มากครับคุณลุงชัยฯ
    ถ้าหากมีข้อมูลการปลูกข้าวบนดอย หรือที่สูงก็ดีนะครับ มีหลายท่านบอกมาว่าจะมีความจำเป็นมากในอนาคต (คงเพราะน้ำท่วมทำให้ที่ราบเพาะปลูกไม่ได้) และการนำเส้นใยพืชมาทำเครื่องนุ่งห่มกันหนาวด้วยครับ ภูมิปัญญาไทยครับ
     
  9. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    เรียนคุณชัยมงคนสถาน

    การขยายจุลินทรีย์
    เมื่อต้องการใช้จุลินทรีย์ในงานเกษตรที่มีเนื้อที่มาก ๆ ควรใช้จุลินทรีย์ที่ได้ขยายปริมาณให้มากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน โดยให้อาหารแก่จุลินทรีย์ ได้แก่ กากน้ำตาล น้ำอ้อย น้ำตาลทรายแดง นมแดง นมข้นหวาน หรือน้ำซาวข้าว เป็นต้น การขยายจุลินทรีย์ให้กับพืช
    วัสดุ
    จุลินทรีย์ยี่ห้อ EM 1 ลิตร น้ำตาลทรายแดง(น้ำตาลทรายปกติ) 1 กิโลกรัม ปุ๋ยยูเรีย 100 กรัม(1 ขีด) ผสมกันน้ำ 200 ลิตร

    วิธีทำ</B>
    ผสมน้ำตาลทรายแดงกับน้ำที่สะอาด คนให้ทั่วจนน้ำตาลทรายแดงละลายหมด แล้วเติมปุ๋ยูเรียที่เตรียมไว้ลงผสม จากนั้น
    นำน้ำ E.M. ผสมในน้ำคนจนเข้ากันทั่ว ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 7 – 10 วัน ภาชนะที่ใช้ต้องสะอาดจะใช้ถังพลาสติกหรือตุ่มก็ได้

    เป็นสูตรขยาย EM ที่ผมเคยทดลองแล้วได้ผลดีมากครับ เลยอยากให้ลองทำใช้ดู
    (การเพิ่มปุ๋ยูเรียในการหมักขยายจะช่วยให้สุขภาพของจุลินทรีย์แข็งแรงกว่าไม่เติมยูเรีย)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2008
  10. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    ท่านใดเจอช่วยเอามาลงทีข้าวบนดอยน่าจะเป็นไปตามคุณมีดว่า
    พอดีผมตั้งใจอยู่บนเขาเวียงป่าเป้าต้องปลูกข้าวดอยแน่นอน
    ผมเคยถามเขาว่าอยู่ที่พันธุ์ปลูกไม่ยาก คงได้ลอง
    น่าสนใจพืชเส้นใยเป็นเครื่องนุ่งห่ม ยังไม่มีข้อมูล
    ส่วน EM ที่มียูเรีย ผมกำลังหมักได้ที่แล้ว ยูเรียคือ ปัสสาวะผมเอง
    กำลังจะเอาข้อมูลปัสสาวะมาลงมี Nและ K สูง
    ซึ่งไม่ต้องซื้อแทนยูเรียได้เลย
    ตรงตามที่ตั้งใจไว้คือพึ่งพาตนเองให้ มากที่สุด
    ขอบคุณคุณtossapornkมากครับมีอะไรดีๆนำมาโพส
    ยิ่งประหยัดยิ่งดีครับเผื่อต่อไปไม่มีอะไรเลย
    เราก็อยู่ได้ ตอนนี้สนใจตู้เย็นธรรมชาติเผื่อเอาไว้
    เก็บอาหาร หาข้อมูลไม่เจอแล้ว
     
  11. ksuchet

    ksuchet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +6,060
    สวัสดีครับลุงชัย เปิดห้องมาถูกใจมากๆเลย ผมกำลังหาพันธ์ข้าวไร่อยู่ครับ จะมาทดลองที่ระยองที่บนเนิน

    อาชีพเดิม พ่อ แม่ และผมปลูกข้าวไร่ครับ สมัยเรียนไม่ได้ซื้อข้าวสาร

    ข้าวไร่หอม อร่อยที่สุด ตอนนี้ได้ข่าวที่ชุมพรยังมีข้าวไร่ขาย กิโลประมาณ 30 บาท แต่ผมยังไม่รู้จะติดต่อใครได้ อยากเจอลุงครับ
     
  12. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    น้ำปัสสาวะ คือ ปุ๋ยชั้นดี

    น้ำปัสสาวะ คือ ปุ๋ยชั้นดี
    ผมได้อ่านจากหนังสือเกษตรกรรมธรรมชาติ เขียนโดย คร.อานัฐ ตันโช
    ผมทำความเข้าใจ แล้วสรุปเขียนมาอีกทีเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
    นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าปัสสาวะคนปรกติไม่มีเชื้อโรคสามารถดื่มได้
    พุทธเจ้าท่านสอนมานานแล้วว่าเป็นยานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเริ่มเข้าใจ
    สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เช่น สิ่งเล็กๆๆ,นอนตระแคงขวา,น้ำปัสสาวะ
    อีกไม่นานน่าจะมีเรื่อง เดินจงกรม(ผมคิดว่าดีที่สุดของการออกกำลังกาย) ,เรื่องผีเปรตว่ามีจริง,นรกสวรรค์มีจริง,การฝึกจิตทำได้จริง
    น้ำปัสสาวะมีธาตุอาหารมากมายที่มีประโยชน์ต่อพืช โดยเฉพาะ ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส

    คนเราจะถ่ายปัสสาวะวันละ1-1.5 ลิตรต่อวัน
    ตารางองค์ประกอบของน้ำปัสสาวะของผู้ใหญ่ 1 คนต่อวัน
    ยูเรีย(ไนโตรเจน) 6-180 กรัม
    ครีเอไทน์(ไนโตรเจน) 0.3-0.8 กรัม
    แอมโมเนีย(ไนโตรเจน) 0.4-1.0 กรัม
    กรดยูลิค(ไนโตรเจน) 0.008-0.2 กรัม
    โซเดียม 2.0-4.0 กรัม
    โปแตสเซียม 1.5-2.0 กรัม
    แคลเซียม 0.1- 0.3 กรัม
    แมกนีเซียม 0.1-0.2 กรัม
    คลอไรด์ 4.0-8.0 กรัม
    ฟอสเฟต(ฟอสฟอรัส) 0.7-1.6 กรัม
    อนินทรีย์ ซัลเฟต(ซัลเฟอร์) 0.6-1.8 กรัม
    อินทรีย์ ซัลเฟต(ซัลเฟอร์) 0.006-0.2 กรัม

    <O:p</O:p
    ธาตุอาหารเหล่านี้สามารถนำไปปลูกพืชผักโดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
    สรุปว่า น้ำปัสสาวะที่มนุษย์ขับถ่ายและทิ้งในแต่ละวันสามารถตอบสนอง
    ต่อความต้องการปุ๋ยในการปลูกพืชของโลกทั้งหมด
    โดยธรรมชาติ
    -สัตว์กินเนื้อทั้งหลาย ปัสสาวะ เป็นกรดอ่อนๆเลย</O:p>
    -สัตว์กินพืช ทั้งหลาย ปัสสาวะเป็นด่างเลย
    - ปัสสาวะของคนเวลาถ่ายใหม่ๆมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆก่อน
    แต่พอทิ้งสักพักจะกลายเป็นด่างเพราะแบคทีเรีย ซึ่งเป็นข้อดี
    เพราะยูเรียกลายเป็นแอมโมเนียจะอยู่ในรูปพร้อมใช้ได้กับพืช
    แต่ข้อเสียมีกลิ่นฉึ่งๆ
    โดยปรกติสัตว์ถ่ายลงดิน,ลงน้ำ,บนใบไม้กิ่งไม้แห้ง เป็นการ
    เจือจางก่อนที่พืชจะนำไปใช้ ถ้ารดต้นไม้สดๆพืชอาจตายได้
    เพราะความเข้มข้นสูง
    นึกภาพควายเวลายืนปัสสาวะ
    (นานมากยังไม่มีใครจับเวลาแล้วเหม็นมากแสดงว่ามีไนโตรเจนสูง)
    ลงบนฟางในนาข้าวคงให้ปุ๋ยยูเรียแก่ดินเพื่อต้นข้าวต่อไปนอกจากมูลของมัน
    ปัสสาวะจะเป็นสารประกอบไนโตรเจน เป็น ยูเรีย,ครีเอไทน์,แอมโมเนีย
    และกรดยูริค ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ในดินเข้ามากินแล้วเปลี่ยน
    สารประกอบเหล่านี้เป็นสารประกอบที่พืชต้องการใช้เป็นอาหารได้
    เราเรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 เมษายน 2008
  13. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    น้ำปัสสาวะ คือ ปุ๋ยชั้นดี

    ผมได้อ่านจากหนังสือเกษตรกรรมธรรมชาติ เขียนโดย คร.อานัฐ ตันโช
    ผมทำความเข้าใจ แล้วสรุปเขียนมาอีกทีเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
    นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าปัสสาวะคนปรกติไม่มีเชื้อโรคสามารถดื่มได้
    พุทธเจ้าท่านสอนมานานแล้วว่าเป็นยานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเริ่มเข้าใจ
    สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เช่น สิ่งเล็กๆๆ,นอนตระแคงขวา,น้ำปัสสาวะ
    อีกไม่นานน่าจะมีเรื่อง เดินจงกรม(ผมคิดว่าดีที่สุดของการออกกำลังกาย) ,เรื่องผีเปรตว่ามีจริง
    นรกสวรรค์มีจริง,การฝึกจิต
    น้ำปัสสาวะมีธาตุอาหารมากมายที่มีประโยชน์ต่อพืช โดยเฉพาะ ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส
    คนเราจะถ่ายปัสสาวะวันละ1-1.5 ลิตรต่อวัน
    ตารางองค์ประกอบของน้ำปัสสาวะของผู้ใหญ่ 1 คนต่อวัน
    ยูเรีย(ไนโตรเจน) 6-180 กรัม
    ครีเอไทน์(ไนโตรเจน) 0.3-0.8 กรัม
    แอมโมเนีย(ไนโตรเจน) 0.4-1.0 กรัม
    กรดยูลิค(ไนโตรเจน) 0.008-0.2 กรัม
    โซเดียม 2.0-4.0 กรัม
    โปแตสเซียม 1.5-2.0 กรัม
    แคลเซียม 0.1- 0.3 กรัม
    แมกนีเซียม 0.1-0.2 กรัม
    คลอไรด์ 4.0-8.0 กรัม
    ฟอสเฟต(ฟอสฟอรัส) 0.7-1.6 กรัม
    อนินทรีย์ ซัลเฟต(ซัลเฟอร์) 0.6-1.8 กรัม
    อินทรีย์ ซัลเฟต(ซัลเฟอร์) 0.006-0.2 กรัม
    <O:p</O:p

    ธาตุอาหารเหล่านี้สามารถนำไปปลูกพืชผักโดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
    สรุปว่า น้ำปัสสาวะที่มนุษย์ขับถ่ายและทิ้งในแต่ละวันสามารถตอบสนอง
    ต่อความต้องการปุ๋ยในการปลูกพืชของโลกทั้งหมด
    โดยธรรมชาติ
    -สัตว์กินเนื้อทั้งหลาย ปัสสาวะ เป็นกรดอ่อนๆเลย
    -สัตว์กินพืช ทั้งหลาย ปัสสาวะเป็นด่างเลย
    - ปัสสาวะของคนเวลาถ่ายใหม่ๆมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆก่อน
    แต่พอทิ้งสักพักจะกลายเป็นด่างเพราะแบคทีเรีย ซึ่งเป็นข้อดี
    เพราะยูเรียกลายเป็นแอมโมเนียจะอยู่ในรูปพร้อมใช้ได้กับพืช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 เมษายน 2008
  14. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    คุณลุง Font อ่านยากมากเลย
     
  15. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    สวัสดีครับคุณสุเชษฐ์ผู้เชี่ยวชาญอยู่นี่เองนึกออกแล้วเราเคยคุยกันที่บนดอย
    เรื่องข้าวไร่นะดีเลยถ้าได้ลองปลูก อยากเจอเหมือนกัน
    ช่วงนี้ผมไปไหนไม่ได้เลยหลานเขาทำงานบริษัทแล้ว
    แต่ก่อนวานให้เขามาช่วย คงอีกสักระยะ
    ที่สวนผมยังไม่มีคนอยู่ประจำ มีแต่ลุงเบิ้มช่วยมาดูให้กลางวัน
    สายไฟของวิทยุสื่อสารหายไปแล้ว
    ถ้าไม่มีคนเฝ้าคงทำอะไรไม่ได้ หายหมด
     
  16. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    ไม่รู้ทำไม แจ้งลบแล้วก็ไม่ลบ ทำไงดี
     
  17. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    น้ำปัสสาวะ คือ ปุ๋ยชั้นดี

    ผมได้อ่านจากหนังสือเกษตรกรรมธรรมชาติ เขียนโดย คร.อานัฐ ตันโช
    ผมทำความเข้าใจ แล้วสรุปเขียนมาอีกทีเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
    นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าปัสสาวะคนปรกติไม่มีเชื้อโรคสามารถดื่มได้
    พุทธเจ้าท่านสอนมานานแล้วว่าเป็นยานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเริ่มเข้าใจ
    สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เช่น สิ่งเล็กๆๆ,นอนตระแคงขวา,น้ำปัสสาวะ
    อีกไม่นานน่าจะมีเรื่อง เดินจงกรม(ผมคิดว่าดีที่สุดของการออกกำลังกาย) ,เรื่องผีเปรตว่ามีจริง นรกสวรรค์มีจริง,การฝึกจิต

    น้ำปัสสาวะมีธาตุอาหารมากมายที่มีประโยชน์ต่อพืช โดยเฉพาะ ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส คนเราจะถ่ายปัสสาวะวันละ1-1.5 ลิตรต่อวัน
    ตารางองค์ประกอบของน้ำปัสสาวะของผู้ใหญ่ 1 คนต่อวัน

    ยูเรีย(ไนโตรเจน) 6-180 กรัม
    ครีเอไทน์(ไนโตรเจน) 0.3-0.8 กรัม
    แอมโมเนีย(ไนโตรเจน) 0.4-1.0 กรัม
    กรดยูลิค(ไนโตรเจน) 0.008-0.2 กรัม
    โซเดียม 2.0-4.0 กรัม
    โปแตสเซียม 1.5-2.0 กรัม
    แคลเซียม 0.1- 0.3 กรัม
    แมกนีเซียม 0.1-0.2 กรัม
    คลอไรด์ 4.0-8.0 กรัม
    ฟอสเฟต(ฟอสฟอรัส) 0.7-1.6 กรัม
    อนินทรีย์ ซัลเฟต(ซัลเฟอร์) 0.6-1.8 กรัม
    อินทรีย์ ซัลเฟต(ซัลเฟอร์) 0.006-0.2 กรัม

    ธาตุอาหารเหล่านี้สามารถนำไปปลูกพืชผักโดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
    สรุปว่า น้ำปัสสาวะที่มนุษย์ขับถ่ายและทิ้งในแต่ละวันสามารถตอบสนอง
    ต่อความต้องการปุ๋ยในการปลูกพืชของโลกทั้งหมด
    โดยธรรมชาติ

    -สัตว์กินเนื้อทั้งหลาย ปัสสาวะ เป็นกรดอ่อนๆเลย
    -สัตว์กินพืช ทั้งหลาย ปัสสาวะเป็นด่างเลย
    - ปัสสาวะของคนเวลาถ่ายใหม่ๆมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆก่อน
    แต่พอทิ้งสักพักจะกลายเป็นด่างเพราะแบคทีเรีย ซึ่งเป็นข้อดี
    เพราะยูเรียกลายเป็นแอมโมเนียจะอยู่ในรูปพร้อมใช้ได้กับพืช
     
  18. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    แต่ข้อเสียมีกลิ่นฉึ่งๆffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    โดยปรกติสัตว์ถ่ายลงดิน,ลงน้ำ,บนใบไม้กิ่งไม้แห้ง เป็นการ<O:p></O:p>
    เจือจางก่อนที่พืชจะนำไปใช้ ถ้ารดต้นไม้สดๆพืชอาจตายได้<O:p></O:p>
    เพราะความเข้มข้นสูง<O:p></O:p>
    นึกภาพควายเวลายืนปัสสาวะ<O:p></O:p>
    (นานมากยังไม่มีใครจับเวลาแล้วเหม็นมากแสดงว่ามีไนโตรเจนสูง)<O:p></O:p>
    ลงบนฟางในนาข้าวคงให้ปุ๋ยยูเรียแก่ดินเพื่อต้นข้าวต่อไปนอกจากมูลของมัน<O:p></O:p>
    ปัสสาวะจะเป็นสารประกอบไนโตรเจน เป็น ยูเรีย,ครีเอไทน์,แอมโมเนีย<O:p></O:p>
    และกรดยูริค ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ในดินเข้ามากินแล้วเปลี่ยน<O:p></O:p>
    สารประกอบเหล่านี้เป็นสารประกอบที่พืชต้องการใช้เป็นอาหารได้<O:p></O:p>
    เราเรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2008
  19. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,729
    ค่าพลัง:
    +77,793
    แต่ข้อเสียมีกลิ่นฉึ่งๆ<o></o>
    โดยปรกติสัตว์ถ่ายลงดิน,ลงน้ำ,บนใบไม้กิ่งไม้แห้ง เป็นการ<o>
    </o>
    เจือจางก่อนที่พืชจะนำไปใช้ ถ้ารดต้นไม้สดๆพืชอาจตายได้<o></o>
    เพราะความเข้มข้นสูงนึกภาพควายเวลายืนปัสสาวะ<o></o>
    (นานมากยังไม่มีใครจับเวลาแล้วเหม็นมากแสดงว่ามีไนโตรเจนสูง)<o></o>
    ลงบนฟางในนาข้าวคงให้ปุ๋ยยูเรียแก่ดินเพื่อต้นข้าวต่อไปนอกจากมูลของมัน<o></o>
    ปัสสาวะจะเป็นสารประกอบไนโตรเจน เป็น ยูเรีย,ครีเอไทน์,แอมโมเนีย
    และกรดยูริค ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ในดินเข้ามากินแล้วเปลี่ยน
    สารประกอบเหล่านี้เป็นสารประกอบที่พืชต้องการใช้เป็นอาหารได้<o></o>
    เราเรียกว่า “วงจรไนโตรเจน” (NITROGEN CYCLE)
    <o></o>

    จุลินทรีย์ในดินมีมากแต่ที่พบมี แบคทีเรีย 2 ตัวคือ<o></o>
    -ไนโตรแบคเตอร์ (Nitrobacter)<o></o>
    -ไนโตรโซโมนาส(Nitrosomonas)

    <o></o>
    ปรกติ ปัสสาวะ จะมีไนโตรเจน ในรูป ยูเรีย แล้วเปลี่ยนเป็น แอมโมเนีย(NH3)<o></o>
    อย่างรวดเร็วในสภาพดินที่มีอากาศเกิดกระบวนการณ์ออกซิไดซ์ เรียกว่า<o>></o>>
    “NITRIFICATION” คือ

    <o></o>
    ยูเรียและแอมโมเนีย----------------->ไนไตรท์(NO2) โดย ไนโตรโซโมนาส<o></o>
    ไนไตรท์(NO2)---------------------->สารประกอบไนเตรท(NO3)โดย ไนโตรแบคเตอร

    ซึ่งสารประกอบอนินทรีย์ไนเตรทจะเป็นอาหารของพืชจะถูกสังเคราะห์<o></o>
    โดยขบวนการสังเคราะห์แสงเป็นสารประกอบอินทรีย์ไนโตรเจน<o></o>
    เช่น กรดอะมิโน และโปรตีนของพืชต่อไป

    เมื่อพืชถูกกินจากสัตว์ก็นำกรดอะนิโมไปสร้างโปรตีนของสัตว์ต่อไป
    <o></o>
    ส่วนที่ไม่ได้ใช้จะถูกขับถ่ายออกมา<o></o>

    แต่การที่แบคทีเรียนำยูเรียและแอมโมเนียมาเป็นอาหารเพื่อเพิ่มจำนวนนั้น
    <o></o>
    ต้องอาศัยธาตุคาร์บอนด้วยเพื่อสร้างผนังเซลล์และเอนไซม์<o></o>

    ถ้าคาร์บอนไม่พอจะทำให้ยูเรียและแอมโมเนียเหลือ
    <o></o>
    ซึ่งสัดส่วน คือ คาร์บอนต่อไนโตรเจนหรือ C:N = 25:1<o></o>
    แต่ในปัสสาวะมี คาร์บอนต่อไนโตรเจน หรือ C:N =0.8:1<o></o>
    แหล่งคาร์บอนที่สำคัญ คือ ใบไม้แห้ง ,กิ่งไม้

    นี่คือการรังสรรค์จากธรรมชาติเพื่อย่อยใบไม้กิ่งไม้ให้เข้าระบบธรรมชาติ
    <o></o>
    ที่มิให้ศูนย์เปล่าทุกอย่างมีค่าทั้งหมด<o></o>
    การนำปัสสาวะมาใช้ประโยชน์เราเติมคาร์บอนไปด้วยให้ได้ 25:1<o></o>
    อาจใช้ใบไม้แห้ง,ขี่เลื่อย,เศษกระดาษและน้ำตาล<o></o>

    น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีคาร์บอนมาก
    <o></o>
    ใช้อัตรส่วน น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยต่อน้ำปัสสาวะ1-ffice:smarttags" /><st1:metricconverter productid="1.5 ลิตร" w:st="on">1.5
    ลิตร</st1:metricconverter>

    หมักในที่มีอากาศก็จะได้ไนเตรทที่เป็นประโยชน์กับพืช<o></o>

    วิธีการใช้น้ำปัสสาวะมาเป็นปุ๋ย
    <o></o>
    1.เจือจางด้วยน้ำใช้รดพืช<o></o>
    นำน้ำปัสสาวะ 1 ส่วน ต่อน้ำ 8 ส่วนแล้วรดลงบนดิน รอบๆพุ่มไม้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง<o></o>
    ถ้าหากจะรดปัสสาวะ100%เลยผิวดินควรมีเศษไม้ใบไม้หนาอย่างน้อย <st1:metricconverter productid="3 นิ้ว" w:st="on">3 นิ้ว</st1:metricconverter><o></o>

    2.ผสมกับน้ำทิ้งในครัวเรือน
    <o></o>
    น้ำทิ้งจากครัวเรือน น้ำอาบจากสบู่แชมพู,น้ำล้างจาน,น้ำซักผ้า จะมีคาร์บอนสูง<o></o>ส่งไปตามท่อที่มีการเติมอากาศไปยังแปลงผักจุลินทรีย์ในดินจะเปลี่ยนน้ำปัสสาวะ<o>></o>>
    ไปเป็นอาหารพืชได้<o></o>

    3.หมักน้ำปัสสาวะ

    น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีคาร์บอนมาก.ในปริมาณน้อยๆ<o></o>
    ใช้น้ำปัสสาวะ 1 ลิตรผสมน้ำตาล 1/3 ถ้วย<o></o>
    ใส่ในท่อหรือภาชนะทรงสูงประมาณ 10 นิ้วแล้วเติมถ่าน,ขี้เลื่อย<o>
    </o>
    เศษกระดาษ หรือทรายหยาบ หมัก เมื่อนำไปใช้เจือจางด้วยน้ำ<o></o>
    ไปรดต้นไม้<o></o>

    4.นำน้ำปัสสาวะเทใส่ถังหมักปุ๋ยที่ใช้พวกเศษไม้กิ่งผลต่างๆ
    <o></o>
    จะช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุเหล่านี้ให้เป็นปุ๋ยหมักได้เร็วขึ้น<o></o>
    การใช้น้ำปัสสาวะให้ปลอดภัย<o></o>ต้องได้จากคนไม่เป็นโรคถ้าให้ดีเก็บไว้นาน 6 เดือนก่อนนำไปใช้<o></o>รดลงดินจุลินทรีย์ในดินจะทำลายเชื้อโรค<o></o>
    ข้อมูลการทดลองใช้ต่างๆจากต่างประเทศ<o></o>

    *การวิจัยจากสถาบันวิจัยต่างๆในหลายประเทศยืนยันว่าปลอดภัย
    <o>
    </o>
    ปราศจากเชื้อโรคสามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยปลูกพืชเป็นอาหารคนได้<o></o>
    *ในสวีเดนการประปานำมาปลูกธัญพืช<o></o>
    *เม็กซิโกรวบรวมจากหลายสถานที่ใส่เก็บไว้หลายสัปดาห์<o></o>
    นำไปปลูกข้าวโพด,ข้าวสาลี,ข้าวโอ๊ต ได้ผลดี<o></o>
    *องค์การนาซ่า ปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิคได้ผลดีเยี่ยม<o></o>
    *มหาวิทยาลัยสวีเดนรายงานว่าน้ำปัสสาวะผู้ใหญ่1คน
    สามารถเป็นปุ๋ยเพียงพอต่อการปลูกพืชผักเลี้ยงตัวเอง<o></o>
    ได้50-100 %เลยทีเดียว

     
  20. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    ขอบคุณครับคุณ Falkman พาสาวไปเที่ยวไม่พาไปวัดหรือครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...