รวมคาถากันผี ไล่ผี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย chaokhun, 19 สิงหาคม 2013.

  1. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    กันผีขับผี

    ใช้คาถานี้เสกไล่ผี กันผี จะไม่มารบกวนและไม่หลอกหลอน จะเป็นผีภูตผีพราย ผีโป่งผีป่า ผีตายเห่า ผีตายโหง ผีกระสือผีกระหัง
    และเปรตอสุรกาย จะไม่เข้าใกล้ เสกข้าวสารซัด เสกทรายซัด เสกผ้าขาวม้า แดง ทำเป็นผ้ายันต์ ป้องกันผีทุกชนิด และกันภัยทั้งปวงทุกอย่าง

    • ยะนีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิวายานิวะ อันตะลิกเข สัพเพ วะภูตา สุมะนา ภะวัมตุ อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง

    กันภัยกันผี

    ทำน้ำมนต์สะเดาะ เพิ่มพลังปลุกเสกพระเครื่อง ป้องกันภัย ป้องกันผี จงใช้บทนี้แทรกเข้าไปด้วย ภูตผีทั้งหลายจะไม่กล้ามารบกวน และเพิ่มพลังยิ่งขึ้น


    • นะ ภะ มะ ภะ

    ไล่ผี


    จะใช้ทำน้ำมนต์ไล่ผี ปัดรางควาน ขับเสนียดจัญไร ไล่ลมเพลมพัดได้ สะเดาะเคราะห์ สะเดาะลูกในท้องที่คลอดยากจะคลอดง่าย ใช้ได้ผลดีนัก


    • โอม นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ นะมะอะอุ นะมะนะอะ นะเนโมสุ นะสุคะโต อะติตาจะ นะโมเอหิ นะมะนะอะ นอกอนอกะ นะโมพุทธายะ

    ไล่คุณ


    เสกทำน้ำมนต์อาบกิน เสกสูญฝีได้ทุกชนิด ไล่คุณไสย เสกไล่ผี เสกข้าวสาร เสกทรายซัดผีปีศาจ ขับไล่ผีที่สิงห์คนได้สารพัด


    • โอม พุทธา นะมามิหัง กุโก คะโต ตังเมสะ ตังทิโก มังสุโส สุเรโส อะปานา ปะสุนัมปิ สุลิอะทะ สิลิเล อิทฐิภูเต ปูวิสิเว เปหิเสติ คัชชะมุมหิ

    เสกต้นข่าตีผี


    หากผีเข้าสิงห์อยู่ในคนใด เราจะขับไล่ ให้เอาต้นข่ามาเสกแล้วตีที่ร่างไล่ผีออก

    ตั้งนะโม 3 จบ


    • พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณังคัจฉามิ โอม ภูตานิ เปโตนิ อิสะวาสุ เปหิ เปหิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ คัตชะมุมหิ ภะณามะเห

    "คาถา นารายณ์คลายจักร"
    • โส มา นะ คะ ริ ถา โธ หรือ "โล ปุ สุ สะ วิ ภุ สัง ภะ อะ"

    คาถานี้ ใช้เสกปูนสูญฝี เสกน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์ดื่มคลอดลูกง่าย
    เสกแป้งพอกถอนพิษคุณไสย ผีเข้าไล่ผีออกดีนักแล

    "คาถา พระมหาอุปคุต (ผูกผี)"
    • อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร อุปะคุตตัง จะ มะหาเถรัง พันธะเวระ
    พันธานุภาเวนะ อิมัง กายะพันธะนัง อะธิฏฐามิ

    คาถานี้ ใช้เสกด้ายสายสิญจน์ผูกผีที่เข้าสิงร่างคน
    หากจะปล่อยให้ใช้คาถานารายณ์คลายจักร ผีจึงจะออกขลังนักแล


    "คาถา แก้ผีปีศาจเข้า"
    • นะเคลื่อน โมคลาย พุทหาย ธาแก้ ยะสูญหาย บัดนี้

    คาถานี้ เมื่อผูกผีตาม คาถา ผูกมัดปีศาจ เวลาจะแก้ ให้เสกคาถาบทนี้
    พร้อมกับคลายเส้นด้ายที่ผูกคนผีเข้าออก
    ผีปีศาจก็จะออกตามประสงค์ วิเศษนักแล



    "คาถา ผูกมัดปีศาจ"

    • นะผูก โมมัด พุทรัด ธารึง ยะกรึงเอาไว

    คาถาบทนี้ ใช้เวลาถ้ามีผีเข้าคน หรือผีปอบ
    ผีกระสือมาสิงร่างคนไข้คนป่วย
    ให้กลั้นใจเอาหัวแม่มือ วนไปรอบหัวแม่เท้า
    ภาวนาคาถาบทนี้ไปด้วยผีที่เข้าสิงจะทนอยู่มิได้เลย

    หรือจะมัดไว้ ถามทัก เฆี่ยนตีก่อนก็ได้
    แล้วค่อยปล่อยมันไป วิเศษนักแล
    เวลามัดผูกผี ท่านให้เสกด้ายมงคล 3 เส้น
    ผูกข้อมือข้อเท้าคนที่ถูกผีเข้านั้นไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    555 ว่าจะเอามาโพสซักหน่อย โดนตัดหน้าซะแล้ว ^___^
    ขออธิบายเพิ่มเติมแทนก็แล้วกัน

    วิขาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้ หัวใจของธาตุทั้ง ๔ ไฟ ดิน ลม น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล

    ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม นะ โม พุท ธา ยะ นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4

    นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ
    โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน
    พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ
    ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม
    ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ

    เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
    นะ(ธาตุน้ำ)
    มะ (ธาตุดิน)
    พะ(ธาตุไฟ)
    ธะ (ธาตุลม)
    นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ

    ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ
    จะ(ธาตุน้ำ)
    ภะ(ธาตุดิน)
    กะ(ธาตุไฟ)
    สะ(ธาตุลม)
    จะ ภะ กะ สะ คือธาตุพี่เลี้ยง นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง



    เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ
    นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
    มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
    อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
    อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)

    หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เช่น

    วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง ทำให้ภูตผีเกรงกลัวและสะเดาะเคราะห์

    เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า

    นะ โม พุท ธา ยะ

    นะ มะ พะ ธะ

    นะ มะ อะ อุ

    มะ ภะ มะ ภะ

    นำติดตัวไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ารบกวน แม้จะทำการสิ่งใดจะได้ผล

    ผมว่าเขาพิมผิดน่ะ เพราะ นะเป็นธาตุน้ำ ช่วยในเรื่องเมตตามหานิยม ผมว่ามันน่าจะเป็น มะ ภะ มะ ภะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  3. toompom

    toompom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +64
    คาถาไล่ผีของผมแน่กว่า

    ไม่ต้องไปท่องจำคาถาที่ไหนหรอก คุณ แค่ตะโกนออกมาดังๆว่า ท่านท้าวเวสสุวรรณ บัดนี้มีผีปีศาจมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ขอท่านได้โปรดมารับตัวไปลงโทษโดยเร็ว หากท่านยังไม่ได้ยินที่ข้าพเจ้ากล่าว ขอบรรดาท่านยมฑูตทั้งหลายในสากลโลกจงมารับตัวปีศาจนี้ไปลงโทษโดยเร็วด้วยเถิด
    ผีที่ว่าจะถูกจับไปลงโทษในนรกอย่างหนักและคุณจะไม่เห็นผีอีกเลยตลอดชีวิต รับรองได้เพราะเขากลัวคุณตะโกนเรียกพญายมบาลอีก อันนี้ผมได้ทำมาแล้วและบรรดาผีทั้งหลายเผ่นแน๊บทันที
     
  4. ใส้เดือน

    ใส้เดือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +2,085
    แผ่เมตตา อุทิศบุญให้ แล้วบอกว่า อย่าพึ่งหนี้ไปไหนเลย ยังกล่าวไม่จบหนีไปก่อนแล้วครับ ว่าจะถามเลขซะหน่อย
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เห็นกระทู้แบบนี้แล้วชอบๆ..ขอพูดแบบกรณีบุคคลทั่วๆไปนะครับ..
    อยากจะขอแยกเป็น ประเด็นนะครับ.

    ๑.ประเด็นเรื่องการกันผี
    และ๒.ประเด็นเรื่องการไล่ผี..

    ประเด็นที่ ๑.ตั้งสมมุติฐานว่าการกันผีในที่นี้คือเรายังไม่ได้เจอผีนะครับ.
    การหาที่ยึดเหนี่ยวทางใจ.ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรางแบบต่างๆ หรือวัตถุมงคล
    ทุกประเถท ตลอดจนคาถาบางบทที่คุณ เจ้าคุณ นำมาลงเนี่ย.หรือบทสวด
    มนต์อะไรต่างๆก็ตาม.ก็ยังมีความจำเป็นนอกจากเรื่องสวดเพื่อให้เกิดผลทาง
    ด้านต่างๆ..ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า
    .เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่พร้อมที่จะเจอผีไม่ว่าระดับไหนในทุกๆกรณี.


    ประเด็นที่ ๒ การไล่ผี ตั้งสมมุติฐานไว้ว่า..เจอผีแล้ว เห็นผีแล้ว ไม่ว่าจะด้วยตัวเอง
    หรือด้วยตาตัวเองแต่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นมีผีเข้ามาเกี่ยวข้อง..ถ้ากรณีเจอด้วยตัวเอง
    ก็มีหลายวิธีที่จะไลผีได้ เช่น ระลึกถึงพระพุทธฯ ครูบาร์อาจารย์ที่นับถือ ตลอดจน
    ใช้คาถา ซึ่งก็ใช้ได้เหมือนๆกัน.วิธีการก็แตกต่างๆกันไปตามแต่ประสบการณ์ที่ตน
    ได้ประสบมาแล้วใช้ได้ผล.และการใช้บทคาถาในการที่เราเชื่อว่าบุคคลมีผีหรือวิญญาน
    เข้าสิง.ก็จะเห็นว่าทั้ง ประเด็นก็ยังมีความจำเป็นอยู่สำหรับการใช้บทคาถาต่างๆ..
    ตามความเหมาะสมของแต่ละเหตุการณ์..นี่พูดถึงประเด็นทั่วๆไปนะครับ..


    แต่การป้องกันผีในกรณีที่เป็นวิญญานระดับสัมพะเวสีที่มาขอส่วนบุญ.จะทำให้เราเสีย
    ในเรื่องของทานบารมีที่เป็นฐานของการสร้างปัญญาบารมีต่างๆที่จะทำให้เข้าใจสภาวะ
    ธรรมต่างๆได้ในอนาคต..ส่วนการไล่ผีเฉพาะในกรณีที่เป็นภูตกับอสูรกายที่มาหาเราจะทำ
    ให้เราสอบตกในเรื่องเมตตาบารมีที่เป็นฐานของการสร้างกำลังจิตถึงขั้นที่สามารถนำมาใช้
    งานได้ทั้งทางโลกและทางธรรมในอนาคต
    เป็นผลทำให้กำลังจิตของเราไม่สามารถใช้งานในระดับแค่นึก
    ก็ใช้ได้โดยไม่ต้องบริกรรมคาถา
    และขาดพันธ์มิตรมีฤิทธิ์ทางภพภูมิที่จะคอยช่วยเหลือ
    และป้องกันเราครับ

    ปล.เรื่องที่พูดมานี้เป็นการเล่าให้ฟัง.ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัด
    ว่าเป็นคนดีหรือคนไม่ดีนะครับ.​
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    ต่อไปจะขอกล่าวถึงวิชาเดินธาตุซึ่งถ้าใครได้เข้ามาอ่านที่เขียนไว้นี้
    ก็ถือว่า.เราคงเคยส่วนได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อนตั้งแต่อดีตนะครับ

    ส่วนบทคาถาที่เกี่ยวกับธุาตทั้ง หากจะใช้แบบบทเดียวแล้วได้ผลอย่างน้อยต้องมี
    ครบทั้งธาตุ

    กรณีถ้ามี การเน้นธาตุใดธาตุหนึ่งโดยมีธาตุพี่เลี้ยงมาหนุน เช่นที่คุณ
    pongio เอามาจากตำราวิชาเดินธาตุนั้น
    จะต้องตั้งธาตุใหญ่ทั้ง ก่อน แล้วมาตั้งธาตุทั้ง
    และหนุนด้วยดวงแก้วที่เราเชื่อว่าเก็บรักษาไว้ยังสถานที่ต่างๆ
    ขออธิบายให้ฟังเพิ่มเติมดังต่อไปนี้.หากใครก็ตามได้เข้ามาอ่าน
    หวังว่าจะช่วยขยายความและทำให้เข้าใจอะไรๆได้มากขึ้น
    หากว่าจะไปฝึกวิชาเดินธาตุว่าจะต้องท่องอะไรบ้าง

    อธิบายจากตัวอย่างนี้
    นะ โม พุท ธา ยะ = ธาตุใหญ่ทั้ง ๕
    นะ มะ พะ ธะ = ธาตุทั้ง ๔
    นะ มะ อะ อุ = ดวงแก้วทั้ง ๔
    มะ ภะ มะ ภะ แปลแบบเต็มว่า ธาตุพี่เลี้ยงดินหนุนธาตุดิน.โดยมีธาตุพี่เลี้ยงดินหนุนธาตุดินเป็นที่สุด..
    อาจเปลี่ยนเป็นบรรทัดสุดท้ายเป็น
    นะ จะ นะ จะ หรือ พะ กะ พะ กะ หรือ ธะ สะ ธะ สะ ซึ่งการแปลคล้ายๆข้างบนและให้ผลแตกต่างกันไป...



    ต่อไปนี้เป็นบทภาวนาวิชาเดินธาตุครับ
    และถ้าเรียงลำดับใหม่ ด้วยการตั้งธาตุใหญ่ทั้ง ตามด้วยธาตุทั้ง
    และมีธาตุพี่เลี้ยงทั้ง ตลอดจดมีการหนุนด้วยดวงแก้วทั้ง แล้ว
    เราจะเรียกว่า วิชาเดินธาตุ กรณีนี้ยกตัวอย่างก็คือ การเดินธาตุน้ำครับ..
    และเพื่อจะให้การเดินธาตุน้ำสมบูรณ์ที่สุด จำเป็นต้องมีการใช้ธาตุอีก ธาตุ
    ที่เหลือมาหนุนธาตุน้ำ และมีธาตุน้ำปิดท้ายเป็นที่สุดเพื่อหนุนกันไปหนุนกันมา
    ..ก็จะออกมาเป็นคาถาดังต่อไปนี้

    นะ โม พุท ธา ยะ = ธาตุใหญ่ทั้ง
    นะ มะ พะ ธะ = ธาตุทั้ง
    จะ ภะ กะ สะ = ธาตุพี่เลี้ยงทั้ง
    นะ มะ อะ อุ = ดวงแก้วทั้ง
    นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ = ดินหนุนน้ำมีน้ำหนุนดินเป็นที่สุด
    ไฟหนุนน้ำมีน้ำหนุนไฟเป็นที่สุด และลมหนุนน้ำมีน้ำหนุนลมเป็นที่สุด

    ครบทั้งหมดนี้ ก็จะเป็นบทภาวนาสำหรับการเดินธาตุน้ำ..ในส่วนของ
    วิชาเดินธาตุ.ส่วนจำนวนรอบในการภาวนาอย่างน้อยก็คือ ตามปริมาณธาตุ
    ทั้ง ในร่างกายคือ น้ำ ๑๒ ดิน ๒๑ ไฟ ลม ครับ.

    .และการภาวนาในส่วนธาตุอื่นๆ ธาตุใหญ่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
    ให้เริ่มสลับตั้งแต่ ธาตุทั้ง โดยภาวนาธาตุอะไรก็ให้เอาธาตุนั้นนำหน้า.
    ส่วนหลักการอื่นๆเหมือนที่
    ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น.

    บทภาวนาวิชาเดินธาตุนี้.สำหรับใช้ภาวนาสำหรับผู้ที่จะฝึกวิชาเดิน
    ธาตุในเบื้องต้น.เพื่อที่จะเรียกกำลังจากธาตุทั้ง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ให้ขึ้นมาใช้งานในแบบที่สามารถจับต้องได้.โดยจะมี อากาศธาตุขึ้น
    มาก่อนอันดับแรก.และเพื่อการนำไปใช้งานในอนาคตต่อไปข้างหน้า

    ตามแต่การตั้งปลายทางไว้ของแต่ละบุคคล.และยังเป็นบทภาวนา
    ไว้สำหรับการฝึกซ้อมและการเพิ่มกำลังความเข็มแข็งให้แต่ละธาตุ
    สำหรับผู้ที่สามารถเรียกธาตุขึ้นมาใช้งานได้แล้วด้วยครับ.
    .
    ปล.ขอให้โชคดีครับ..คริ คริ​
     
  7. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... มาหาประสบการณ์ ....
     
  8. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    อ้อ มาหาประสบการณ์ นั้นก็เอาคาถาธาตุไปสักหน่อย

    คาถาโชคลาภ
    นะโมพุทธายะ นะมะ พะทะ จะ ภะ กะ สะ นะ อุ อุ นะ
    เตชะสุเนนะ มะภูจะนาวิเวอิติ นะยะปะรังยุตเต

    คาถาขุนแผน
    เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
    (ใช้ท่องกับของใช้ส่วนตัวอะไรก็ได้แล้วจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่หลงไหล)


    คาถาป้องกันผี
    นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ ภะ กะ สะ จะ
    สัพเพทวาปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโยปิยะ
    ขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา
    ปะลายันติ สักกัสสะ วะชิราวุธัง
    เวสสุวัณณัสสะ คะธาวุธัง
    อะฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง
    ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง
    อิเมทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
    (ใช้สวดภาวนาเมื่อเกิดความกลัวผีขึ้นมา วิญญาณจะไม่มารบกวนเข้าใกล้)


    คาถาร่ำรวย
    ธะนัง โภคัง ทุสะ มะนิ นะนัง โภคัง ทุสะ มะนิ อุมิ อะมิ มะหิสุตัง สนะพุทธัง
    อะ สุ นะ อะ นะ มะ พะ ทะ จะ ภะ กะ สะ
    (ใช้ภาวนากับน้ำแล้วนำเอามาพรมให้ทั่วร้าน หรือบ้านจะนำทาซึ่งเงินทองไม่ขาดสาย)

    ประธานพระคาถา :: กำกับธาตุพระคาถา เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกนี้
    "นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะอะอุ นิพพานะ ปัจจโย โหตุ สาธุ"

    คาถาท้าวเวสสุวรรณ
    “เวสสะ พุสะ นะมะพะทะจะภะกะสะนะเมติ”

    คาถาบูชาปฐมครูปู่ตาไฟ
    ตั้งนะโม 3 จบ”โอมนะโมพุทธายะ นะมะพะทะ นะเมติ ฦ ฦา ฤ ฤา นมัสสิตวา หลวงปู่ตาไฟ สิทธิเตโช มหาปุญโญมหายะโส มหาลาโภ อิทธิ ฤทธิ ประสิทธิเม”
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ทั่วๆไปนะครับแล้วแต่การมองเห็นนะครับ การมองเห็นขึ้นอยู่กับการตั้งปลายทางในชีวิตเราด้วยครับ.
    ..เราเป็นนักปฏิบัติ.เราควรวางใจเป็นกลางก่อน แม้ว่าเราจะถนัดในการค้นคว้าอ่านตำรามามากเพียงใดก็ตาม
    .แต่ในทางปฏิบัติจริงๆแล้ว ต้องอาศัยการลงมือทำถึงจะเข้าใจ.
    สภาวะบางอย่างก็หาอ่านตามตำราได้ยาก
    แต่มีการตรวจสอบกันได้อยู่.สังเกตุได้จากระดับกิเลสในใจที่น้อยลง
    หรือภูมิธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติที่ถ่ายทอดเป็นคำบรรยายออกมา.

    .ดังนั้นเราควรพูดในส่วนที่เราเข้าพอเข้าถึง พอเข้าใจและพอทำได้บ้างก็พอครับ.
    อย่าพูดในส่วนที่ได้แค่รู้มา ได้ยินมา ได้ฟัง และเรายังปฏิบัติไม่ได้จะดีกว่าเพราะอย่างไรก็ไม่พ้นปริยัติที่อาศัย
    ความคิดของตัวเองเข้าไปปรุงร่วมว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น
    อย่างนี้อย่างที่ตนเองเข้าใจ..
    .ที่สำคัญอย่าพึ่งรีบด่วนสรุปเลยคับ.
    ถ้าเป็นนักปฏิบัติควรจะต้องเข้าใจในประเด็นนี้..

    ผมพอรู้ครับปกติคุณไม่ใช่บุคคลที่จะชอบนำเสนอความคิดของตนเองเท่าไร
    .แต่คุณจะนำคำสอนของครูบาร์อาจารย์.เข้ามาแสดงแทน.
    ประเด็นนี้ส่วนตัวค่อนข้างเห็นด้วยครับ.
    .
    แต่เรื่องเกี่ยวกับวิชาเดินธาตุที่มากกว่านี้.เนื่องจากหาในตำราได้ค่อนข้างยาก
    ต่อให้คุณไปพยายามค้นคว้าหาจากแหล่งข้อมูลที่ไหนก็ตาม.ก็จะหามาแย้ง
    ในสิ่งที่ผมกล่าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้แน่นอน ผมจึงพยายามเขียนไว้ก่อนแล้ว
    ในเบื้องต้นดังประโยคที่ยกมาให้อ่านอีกรอบ.และผมบอกคุณได้เลยคับว่า.
    ท่านที่จะมาสอนให้คุณได้เข้าได้พอเข้าใจ.จะเป็นพระมหาฤาษีและพระอาจารย์ในดงที่มีชื่อที่มาจากทางภพภูมิ..
    ซึ่งถ้าคุณไม่เคยฝึกกสิณได้มาก่อนในระดับที่
    พอใช้งานได้หรือเรียกพลังงานขึ้นมาให้จับต้องได้คุณไม่มีวันที่จะเข้าถึงได้
    และคุณจะไม่มีวันทราบได้ว่าคุณจะเห็นประโยชน์อะไรจากตรงนี้และนำไปงานเพื่ออะไร

    .ส่วนคุณต้องปฏิบัติตนเองอย่างไรถ้าคุณผ่านเกณฑ์ในอนาคตนะครับ.
    ปฏิบัติอย่างไรถึงจะเข้าใจได้ให้คุณไปคิดเอาเองนะครับ.
    .เพราะฉนั้นถ้าคุณเจอกรณีอย่างนี้ต่อไปผมแนะนำให้คุณนิ่งๆไว้ก่อน
    อย่างพึ่งรีบด่วนสรุปนะครับ.อย่าหาว่าสอนหรือแนะนำเลยนะคับ.
    เพราะมันไปหาตำรามาแย้งอย่างที่คุณทำเป็นประจำไม่ได้หรอกครับ
    คุณเลยบรรยายออกมา.ซึ่งทำให้เห็นภูมิธรรมและการปฏิบัติของคุณ
    ได้เป็นอย่างดี.เป็นข้อดีครับเราจะได้รู้ตัวเองจริงๆไม่ใช่เป็นการหลอก
    ตัวเองครับ.ประเด็นนี้พอเข้าใจที่สื่อนะครับ

    เด่วไปต่ออีก Rep นะคับ


    .
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ต่อครับคุณอ่านประโยคนี้อีกรอบนะครับ..
    ''บทภาวนาวิชาเดินธาตุนี้.สำหรับใช้ภาวนาสำหรับผู้ที่จะฝึกวิชาเดิน
    ธาตุในเบื้องต้น
    .เพื่อที่จะเรียกกำลังจากธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ให้ขึ้นมาใช้งานในแบบที่สามารถจับต้องได้
    .โดยจะมี อากาศธาตุขึ้นมาก่อนอันดับแรก
    .และเพื่อการนำไปใช้งานในอนาคตต่อไปข้างหน้า
    ตามแต่การตั้งปลายทางไว้ของแต่ละบุคคล.และยังเป็นบทภาวนา
    ไว้สำหรับการฝึกซ้อมและการเพิ่มกำลังความเข็มแข็งให้แต่ละธาตุ
    สำหรับผู้ที่สามารถเรียกธาตุขึ้นมาใช้งานได้แล้วด้วยครับ.
    .
    "
    ที่คุณ กล่าวมาเรื่องการภาวนาแยกธาตุเป็นหลักการสำหรับใช้เป็นแนวทาง
    การปฏิบัติพอเข้าใจอยู่แต่ก็เป็นสิ่งที่คุณไปรู้มาแต่ยังอยู่ภายใต้ปริยัติ.
    ..แต่ในทางปฏิบัติถ้าคุณไม่สามารถเข้าถึงสภาวะ
    จิตในจิตซึ่งต้องใช้กำลังสมาธิพอตัว. หรือว่า สภาวะที่คุณ สามารถแยกกายกับจิตให้ออกจากกันได้อย่าง
    เด็ดขาดแล้วและไม่ใช่แยกในอารมย์ระดับอุปจารสมาธิเหมือนคนฝึกสติปัฏฐาน ๔
    นะครับต้องกำลังสมาธิระดับกำลังฌาน ๔ เพราะอารมย์นั้นแม้จิตจะแยกกับกาย
    แต่ว่ายังมีความคิดที่เกิดจากจิตปรุงได้อยู่หรือเราเรียกว่าจิตยังส่งออก..

    .ตัวคุณเองยังจะต้องมีกำลังสติและกำลังสมาธิสะสมเพียงพอที่จะควบคุมให้จิตอยู่ในร่างกายได้
    ตลอดโดยที่ไม่ส่งออกไปไหน พูดแบบบ้านๆก็คือ ไปถอดจิตไปท่องเที่ยว.
    .และตัดเรื่องสัมผัสต่างๆเกี่ยวกับภพภูมิที่จะเข้ามาได้แล้วไม่ว่าจะเป็นการเข้า
    มาเองหรือว่าจิตส่งออกไปก่อน..ในระยะเวลาพอสมควร
    ตัวจิตถึงจะเห็นและเข้าใจอย่างสภาวะที่คุณ ได้อธิบายมาตามที่คุณได้ยินมา
    ปัญหาคือคุณได้แค่รู้อยู่ตอนนี้หรือว่าคุณปฏิบัติได้จริงๆครับ.

    .ถ้าระดับสมาธิไม่ถึงสภาวะนี้ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ
    ตัวจิตก็ไม่มีทางที่จะมองเห็นและเข้าใจสภาวะการเข้าไปแยกธาตุอย่างที่
    คุณได้บรรยายมาตามที่คุณใจ ณ เวลานี้ได้ครับ.
    ไม่งั้นที่ผมเขียนแค่พื้นฐานคุณมาอ่านคุณก็จะร้อง อ้ออออ !!! ไปนานแล้วครับ..
    .เพราะถ้าตัวจิตเข้าไปรู้ตรงนี้คุณไม่มีทางห้ามตัวจิตได้แน่นอนครับ.
    ถ้าคุณคิดได้ห้ามได้.นั้นคือยังมีความ
    คิดที่เกิดจากจิตไปปรุงร่วมอยู่.การอธิบายของคุณถ้าพูดเป็นแนวทางพอได้
    อยู่คับ.แต่การปฏิบัติของจริงมันอีกแบบครับ..

    ปล.ที่ผมพูดไปนั้นเป็นแค่ความสามารถพื้นฐานที่พอจะเริ่มเรียนได้เท่านั้นเอง
    จากพระอาจารย์ในดง.แต่ก็ยังมีองค์ประกอบอีกหลายเรื่อง.
    นอกจากเรื่องเมตตาเป็นทุน.ยังมีเรื่องที่สำคัญสุดคือว่าคุณตั้งปลายทางการใช้งานไว้อย่างไร.
    .ซึ่งตอนนี้คุณยังนึกไม่ออกหรอกครับ
    เอาให้ถึงพื้นฐานในการที่พอจะเริ่มเรียนได้ก่อนครับ.เพื่อที่จะเข้าถึงและพอ
    เข้าใจบ้างในอนาคต.อย่ารีบด่วนสรุปตามที่ได้ไปรู้ ไปอ่านมา
    แล้วมาวิเคราะห์เอาเอง.แบบนี้วิเคราะห์ยังไงก็ยังเป็นปัญญาทางโลกๆอยู่หรือ
    เป็นสัญญาปัญญาอยู่.ซึ่งมันจะเป็นตัวชี้วัดในเรื่องระดับสมาธิและการเดินปัญญา
    ที่ผ่านมาและที่คุณเข้าใจในตอนนี้ว่ามาจากการปฏิบัติหรือจากการอ่านได้อีกด้วย
    .หวังว่าจะเข้าใจที่พยายามสื่อนะคับ.
    แนะนำว่า.อ่านให้ดีๆก่อนที่จะคิดตอบหรือแย้งนะครับ..
     
  11. Pukku

    Pukku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +899
    ขอบคุณที่ชี้แนะค่ะ
     
  12. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    555 เฮียนพเอาจริง เอาล่ะครับก่อนที่กระทู้จะไหลไปไกลกว่านี้ ผมขอย้อนกลับมาที่เรื่องการปราบผีต่อ

    ตอนที่ ๑๘
    ผจญผีที่ซากเจดีย์เก่า

    หลวงปู่จามได้เดินธุดงค์ไปอำเภอฝางจังหวัดเชียงใหม่กับ พระอาจารย์หนู สุจิตโต และมีตาผ้าขาวไปด้วยหนึ่งคน ไปปักกลดบนหลังดอยที่มีลักษณะหลังปลาช่อน ด้านหนึ่งของภูป็นสันสูงเป็นหลังปลามีซากเจดีย์ปรักหักพังอยู่หนึ่งองค์ อีกด้านหนึ่งเป็นผาชัน หลวงปู่จามได้ปักกลดมุมหนึ่งขององค์เจดีย์ ส่วนตาผ้าขาวปักกลดอยู่อีกมุมหนึ่งตรงกันข้าม ส่วนพระอาจารย์หนู ปักกลดอยู่ด้านหน้าผา
    ชาวบ้านได้ทัดทานว่าอย่าปักกลดแถวนั้นเลยจะเกิดเภทภัย เพราะเคยมีพระและฆราวาสขึ้นไปถูกอาถรรพ์ โดยเกิดภาพหลอนให้เห็นเป็นน้ำ จึงว่ายหนีน้ำแต่เป็นการว่ายอยู่บนบก อกแถกพื้นดินพื้นหินเกิดบาดแผลฟกช้ำดำเขียวอยู่ไม่ได้มาแล้ว แต่ตาผ้าขาวดันปากโป้งบอกว่าไม่กลัว หลวงปู่จามบอกว่าจะมาภาวนาหาทางพ้นทุกข์ไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ
    พอเริ่มพลบค่ำต่างก็เข้าอยู่ในกลดขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้น ตาผ้าขาวมองเห็นชายนุ่งผ้าโสร่งเดินไปมารอบกลด ภาวนาจิตก็ไม่สงบ ไม่ได้หลับนอนตลอดคืน พอรุ่งเช้าเผ่นหนีไป ส่วนหลวงปู่จาม ขณะสวดมนต์ได้ยินเสียงคล้ายค้างคาวบินไปมาอยู่รอบกลด ๓ ตัวและเข้ามาในกลด และกระโดดเกาะหลังรู้สึกคล้ายสำลีมาสัมผัสหนังท่านจึงเอามือปัด ก็กระโจนหนีได้ยินเสียงร้องคิกคักเป็นเสียงคล้ายผู้หญิง สมัยนั้นไม่มีไฟฉาย มีแต่เทียนไขจึงต้องภาวนาไม่ได้นอนหลับเลย พอมาคืนที่สองก็เกิดเหตุการณ์ลักษณะทำนองเดียวกัน ต้องนั่งภาวนาตลอดคืน ส่วนกลางวันต้องหลับพักเอาแรงไว้สู้กับอมนุษย์ที่มองไม่เห็นตัวต่อไป
    เริ่มค่ำในคืนที่สาม หลวงปู่จาม รำลึกถึงโอวาทของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ขณะอยู่ที่วัดป่าห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ให้สวดบทโพชณังคปริตร จะช่วยระงับเหตุเภทภัยอาเพทต่างๆ
    หลวงปู่จามจึงสวดมนต์บทนี้แทนการภาวนาพุทโธ สวดโพชฌงค์ หลายๆ เที่ยวต่อเนื่อง ทำให้จิตสงบรวมลงเป็นสมาธิ สิ่งที่เคยรบกวนไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้เลย จิตได้สงบเป็นสมาธินานพอสมควร ก็บังเกิดความสว่างไสวมองเห็นได้ทั่วบริเวณ ปรากฏเห็นร่างเป็นหญิง ๓ คนที่เคยกระโดดเกาะหลัง หลวงปู่จามจึงส่งกระแสจิตขู่จะใช้กสิณไฟ ร่างอมนุษย์นั้นทำท่ากลัวจนตัวสั่น บอกว่ามารบกวนเพราะได้รับคำสั่งจากเจ้านายผู้ชายนุ่งโสร่งเจ้าของทรัพย์สมบัติที่เฝ้าอยู่เพราะห่วงสมบัติ
    ต่อมาก็เห็นภาพผู้ชายนั้นยืนอยู่ มือถือพระพุทธรูปทองคำ เทียน ๒ เล่ม อีกมือหนึ่งถือแก้วมณีบนเชิงรองลูกแก้วมณีเปล่งแสงประกายโตขนาดไข่ไก่ หลวงปู่จามจึงส่งกระแสจิตตวาดว่ามารบกวนทำไม
    อมนุษย์ตอบว่า กลัวท่านจะมาขุดเอาของมีค่าใต้เจดีย์ จึงต้องหาทางให้ท่านหนีไป
    หลวงปู่จามจึงบอกว่า “มาที่นี่ไม่หวังทรัพย์สินเงินทองใดๆ เรามาภาวนาเพื่อหาทางพ้นทุกข์ มารบกวนไม่กลัวบาปกรรมหรือ จะตกนรกนะ”
    หลวงปู่จามถามว่า “ในมือเจ้านั้นอะไร”
    เขาเลยว่า “สมณะไม่สำรวม”
    ท่านเลยขู่ไปทางกระแสจิตว่า “เดี๋ยวจะใช้เตโชกสิณเผาให้เป็นจุณหรอก”
    พวกนั้นจึงกลัวลาน ร้องขอชีวิต

    ท่านจึงกล่าวสำทับว่า “พวกเจ้าไม่รู้จักบุญกุศลหรือมาทำบาปทำกรรมอยู่ทำไมจะตกนรก”
    ต่อมาจึงได้ตกลงว่าต่างคนต่างอยู่ไม่รบกวนกัน แต่สัญญานี้ไม่รวมถึงพระอาจารย์หนูด้วย ต่อจากนั้นพระอาจารย์หนูก็ถูกเล่นงาน
    หลวงปู่จามถามพระอาจารย์หนูว่า “อาจารย์หนูทำอะไรเสียงดัง ฟันดาบหรืออย่างไรเมื่อคืนนี้”
    พระอาจารย์หนูตอบว่า “ฟันดาบอะไรพวกผีมันอาละวาดต่างหาก”
    พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก ขณะที่ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง จึงขอให้พระอาจารย์หนูได้ไขปริศนาเกี่ยวกับผีผู้หญิง ๓ ตนนั้น
    พระอาจารย์หนูบอกว่า “มันไม่เพียงกระโดดเกาะหลังเท่านั้น มันเข้ามาจับหำ (ของลับ) อาจารย์ด้วย”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2013
  13. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    วิธีฝึกภาวนา เตโชกสิณ (กสิณไฟ)
    การฝึกภาวนาเตโชกสิณ หรือกสิณไฟ ตามแบบของหลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นการฝึกกรรมฐานอย่างหนึ่งซึ่งหลวงพ่อเกษม เขมโก เคยสอนลูกศิษย์ติดต่อกันมาหลายรุ่นแล้วดังต่อไปนี้...
    ขั้นแรก ให้จัดเตรียมเทียนที่ผึ้งมา ๑ เล่ม ขนาดเท่าแท่งดินสอ อาจเล็กหรือใหญ่กว่าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร สั้นยางเท่าเทียนไขธรรมดาหรืออาจสั้นกว่าเล็กน้อยก็ได้หาที่สำหรับปักเทียนมาหนึ่งอัน จะเป็นจากกระเบื้องจานสังกะสี หรือก้อนอิฐที่สะอาดก็ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟไหม้เมื่อเทียนหมด วัดจากปลายเทียนด้านที่ใช้จุดไฟให้ยาวหนึ่งข้อนิ้วมือ (นิ้วชี้) แล้วเอาไม้เล็ก ๆ เหลาปลายให้แหลมปักไว้ หรือจะใช้ได้ผูกไว้พอให้รู้กำหนดที่เหมายไว้เท่านั้น หลังจากไหว้พระสวดมนต์ตามปกติเสร็จแล้วก็เริ่มฝึกภาวนา “เตโชกสิณ” ต่อไป
    ก่อนจะนั่งภาวนา ให้ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ ( กราบ ๑ ครั้ง )
    สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ ( กราบ ๑ ครั้ง )
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ ( กราบ ๑ ครั้ง )
    จากนั้นให้นั่งภาวนาเตโชกสิณ ผู้ชายนั่งขัดสมาธิ ผู้หญิงนั่งพับเพียบ จุดเทียนปักไว้ตรงหน้า ให้เทียนห่างจากหน้าตักหนึ่งศอกกับหนึ่งคืบ พนมมือว่านะโม ๓ จบ แล้วอธิฐานกสิณ ๓ ครั้งดังนี้
    อะมัง กะสิณัง อะธิฏฐามิ
    อะมัง กะสิณัง อะธิฏฐามิ
    อะมัง กะสิณัง อะธิฏฐามิ
    จบแล้วเอามือลง นั่งสมาธิภาวนากสิณไฟต่อไป โดยพิจารณามองดูไฟที่เปลวเทียนพร้อมกับบริกรรมในใจอย่างสม่ำเสมอว่า “ไฟ ไฟ ไฟ...” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าไฟที่เทียนไหม้ลงมาถึงที่กำหนด ซึ่งเราเอาด้านพันหรือเอาไม้ปักหมายไว้ จึงหลับตาลงแล้วภาวนาในใจต่อไปอีกเรื่อ ๆ จนก่าเราจะเลิก หรือปลงกสิณ เมื่อจะปลงกสิณก็ให้กล่าวคำปลงกสิณ ๓ ครั้ง ดังต่อไปนี้
    เตโช กะสิณัง ปะติฏฐิปามิ
    เตโช กะสิณัง ปะติฏฐิปามิ
    เตโช กะสิณัง ปะติฏฐิปามิ
    จบแล้วให้กราบลาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนี้
    พุทธัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ
    ธัมมัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ
    สังฆัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ
    ให้ท่านปฏิบัติไปเถิดทุก ๆ วัน ตามแต่เวลาจะอำนวยให้ เมื่อท่านปฏิบัติสม่ำเสมอแล้ว ท่านจะมีความรู้สึกว่า จิตใจของท่านมีความสุขสงบเยือกเย็น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอบคุณนะครับ คุณ โลโป ที่อ้างอิงแหล่งข้อมูล ที่ดีนำมาลง.โดยที่ไม่ได้แสดงภูมิธรรมของตนเองในการมาแย้ง
    เพื่อให้เป็นผลในการหักล้างกัน.ก็ถือว่าดี
    ไม่ได้มีอะไรเสียหายครับ..ถ้าการที่จะคิดเองเพื่อโต้แย้งกับผมมันยาก
    มากนักก็ไม่เป็นไรครับ..ถ้ากลัวผมจะทะลวงระดับความเข้าใจของคุณ
    แล้วคุณกลัวจะเสียฟอร์มก็รักษาฟอร์มและเป็นอย่างนี้ต่อไปเถอะครับ.

    ในส่วนเนื้อหาของบทความนะดีมากๆครับ..
    แต่ถ้าถามว่ามันเกี่ยวกับที่ผมพูดตรงไหนครับ.?????

    และเนื้อหาในบทความก็ไม่ใช่และไม่เกี่ยว
    และคนละประเด็นกับที่สื่อเลยครับ.ไม่ได้ใกล้เลยแม้แต่นิดเดียวครับ.
    เป็นไปได้อย่าพยายามเอาบทความ ครูบาร์ อาจารย์ หรือพระสงฆ์
    และพระพุทธเจ้า.มาลงเพื่อหนุนความคิดเห็นของตนเองอย่างนี้นะครับ.
    คนที่จะซวยจะเป็นตัวคุณเอง.เพราะว่าใจเรายังไม่มีความเป็นกลางและยังมีความเลวแฝงในใจตนอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว.
    .โดยเฉพาะเรื่องทิฐิมานะในใจตน.
    เรื่องการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
    .เรื่องการรักษาภาพพจน์พวกนี้เป็นสักกายะทิฐิแบบเต็มๆ..

    คุณอย่าพยายามอ่านจากที่เขียนแล้วคาดเดาความคิดเลยครับยังไงก็ผิดครับ..
    ไม่ว่าชาตินี้ยันชาติหน้าคุณก็อ่านไม่ออกหรอกครับ..ไหนๆวันนี้เลยวันโกน
    กับวันพระมาแล้วจะเล่าให้ฟังถือว่า จะได้เพิ่มอานิสงค์ในการเข้าใจเรื่องนามธรรมให้คุณแล้วกันนะครับ

    .เห็นว่าคุณมีเจตนาดีอยู่ในการพยายามเผยแพร่ธรรมะ แต่คุณอย่าลืมว่า
    จริตในการปฏิบัติธรรมของแต่ละบุคคลแตกต่างๆกันออกไป
    คุณจะไปเหมาะเอาว่าต้องเป็นแบบที่คุณเข้าใจเลยไม่ควรนะครับ..
    คุณยังเข้าไม่ถึง ยังปฏิบัติไม่ได้.คุณจะไปแนะใครหรือไปแย้งใครเค้าได้ครับ.

    ถ้างั้นคนอ่านแต่ตำราก็บรรลุธรรมกันหมดทั่วจักรวาลแล้วครับ..
    คุณคิดว่าภพภูมิจะส่งเสริมคนที่อ่านมาจากตำรา อ้างอิงตำรา
    หรือคนที่มาจากการปฏิบัติครับ..สังเกตุสัมภูมิที่คุณคิดได้และสัมผัส
    ได้คิดว่าคุณน่าจะพอรู้ตัว และก็ถ่อมตนบ้างนะครับ..

    .อุตสาห์บอกแล้วว่าให้คิดให้ดีๆก่อนตอบ.แม้ไม่ใช้ภูมิธรรมตัวเองในการตอบ
    จุดนี้ก็พอเข้าใจ รู้อยู่ครับ ว่าการปฏิบัติยังไม่ถึง แต่ไม่ใช่ว่าคุณไม่ดีนะครับ
    แต่คุณควรไปเขียนตำราขายดีกว่าครับ..
    และเป็นไปได้นะครับอย่าพึ่งรีบตัดสิน แยกแยะ
    และถ้าคุณรู้จักหยุดคิดซักนิด
    และฟังบ้างและยอมรับตัวเองบ้างว่าเราไม่ใช่ว่าจะรู้ไปในทุกๆเรื่อง
    ในปัจจุบันนี้..อานิสงค์ในการเข้าใจนามธรรมของคุณ จะใกล้เข้ามา..

    เด่วจะแยกให้ฟังที่ละประเด็นนะครับ...
    ประเด็นแรก.. วิชาเดินธาตุที่กล่าวถึง ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไม่ใช่มายากล เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตครับ..จริงๆอ่านมาเยอะน่าจะเข้าใจนะครับ..
    และคุณก็สร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อย ที่กล้าเอาบทความแบบนี้
    มาเพื่อเสริมความคิดในใจตนโดยไม่แสดงความเห็นตนแม้แต่คำเดียว

    ประเด็นที่ ๒ ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดมันมีเรื่องการนับถือผีที่ไหนครับ.ระดับที่คุณพูดถึง..
    ถ้าไม่ใช่สัมพะเวสี ก็เป็นระดับวิญญานมีฤิทธิ์ที่อยู่มานานแค่นั้น..ธรรมดาครับ
    อานิสงค์ที่ยังไม่มากพอเรื่องนามธรรมตอนนี้เลยพูดเรื่องนี้กับคุณย๊ากๆ.
    เอาว่าคุณได้เห็น ได้อ่านจากตำรา ที่คุณกล่าวถึง.ส่วนตัวไม่ได้รับรู้แบบคุณ
    แล้วกันครับ..เพียงแต่นิสัยส่วนตัวไม่ค่อยจะพูดเรื่องทำนองนี้เท่าไร.
    และถ้าพูดถึงเรื่องวิญญานคุณจะมองไปตามสัมผัสหรือความรู้สึกที่คุณเข้าถึง
    เท่านั้นเอง.พูดถึงคุณแล้วนึกถึง ที่ปริพาชก นายหนึ่งที่ถามพระพุทธเจ้า
    ถึงครั้งว่าคนที่เป็นนักดนตรี หนทางเค้าคืออบายภูมิอย่างเดียวหรือ.ผมว่า
    คุณกับปริพาชกที่ถามนิสัยเหมือนกันแบบถอดพิมพ์มาจากบล๊อกเดียวกันเลยนะ
    และประเด็นที่คุณอ้างมา ชาวพุทธในจักรวาลนี้ค่อนข้างจะทราบ
    กันดีแล้วหละครับ...นี่อีกประเด็นนะครับเพื่อคุณจะยังหลงๆลืมๆอยู่..

    ประเด็นที่ ๓ วิชาเดินธาตุ.จะสอนโดยพระอาจารย์ในดง.เราจะรู้จักกันในนามว่า พระครูเทพโลกอุดร.ซึ่งแต่ละท่านอยู่มาตั้งแต่.
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ หรือผู้เป็นสามภพในกัปล์นี้แล้วครับ..
    .ท่านเป็นระดับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญานทั้งนั้นครับ..
    และจะอยู่ช่วยส่งเสริมพระพุทธศาสนาจนกระทั่งครบ ๕,ooo ปี แต่ละท่านมีความชำนาญแตกต่างกันไปในแต่ละด้าน
    .และยังมีกลุ่มพระมหาฤาษี กลุ่มชีประขาว กลุ่มเทพเทวดา ที่ได้ชื่นชม
    บารมีพระพุทธและกลุ่มที่่มาจากอมรโคยานทวีป
    ที่นับถือผู้เป็นเลิศทั้ง ภพ
    ตั้งแต่สมัยพระเจ้าจักรพรรดิ์แล้วครับ คุณณณณณณณณณ
    ส่วนความชำนาญนั้น นอกจากเรื่องการใช้วิทยาศาสตร์ทางจิตทางด้านต่างๆแล้ว
    ยังมีความชำนาญทางด้านวิชาปรอท วิชาทางด้านการเดินธาตุ ทางด้านวิชาการแพทย์.เป็นต้น
    .ถ้าคุณผ่านเกณฑ์พื้นฐานทางด้านจิตใจและมีแนวทางไปด้านไหน
    ตามจริตที่คุณฝึก..ท่านจะเมตตามาสอน มาโปรดคุณเองหละครับ.และคุณจะรู้อะไรๆอีกหลายๆเรื่องมากกว่า
    คุณจะรู้และเข้าใจในตอนนี้และหาอ่านได้จากตำราบนโลกใบนี้ครับ...
    เพียงแต่คนที่รู้เค้าจะรู้ว่าคุณควรจะรู้ได้หรือยังเท่านั้นเองครับ
    คุณเลยคิดว่าที่คุณรู้นะคือรู้มากแล้ว ความจริงในจักรวาลนี้ยัง
    มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะเพราะฉนั้นควรถ่อมตัวไว้บ้างครับ.

    ยกตัวอย่าง.คุณคงเคยได้ยินหมอเก่งๆ
    ที่รักษาคนไข้โดยไม่คิดตังค์โดยที่ยาแผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ไหมครับ
    .คุณคิดว่าพระธุดงค์ที่อยู่ดีๆออกมาจากป่า และมาบอกสูตรยาที่ไม่มีในโลกแล้วรักษาให้คนหายได้ท่านเป็นใครครับ
    ..นี้แค่ยกตัวอย่างนะครับ.

    ปล.สำหรับคุณเอาแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ...เตือนอีกครั้งนะครับ
    ฉลองออกพรรษาแล้วกัน ก็อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะครับ.
    และควรคิดดีๆก่อนที่จะตอบในครั้งต่อไปนะครับ..


     
  15. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... สาธุคะ ....


    ..... ความรู้ก็ไม่สู้ประสบการณ์หรอกนะคะ .. เพราะเรื่องบางอย่างก็ไม่อาจเขียนเป็นตำราได้ .. ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ... และ ที่ท่านพี่ nopphakan พูดในเรื่องการเดินธาตุนั้น และ อธิบายนั้นเพราะท่านได้เรียนรู้มาแล้วคะ จึงได้นำมาเพื่อแนะนำบางส่วนที่แนะนำได้มาให้เราได้ศึกษากัน นั้นคือ ปฏิบัติแล้ว ศึกษาแล้ว ไม่ใช่แค่อ่านจากตำราเท่านั้น .. ยังไงก็ขอให้พิจารณาให้ดีนะคะ จะได้ประโยชน์อย่างมากแน่นอนคะ .. เพราะวิชาเดินธาตุนั้นมันเหมือนวิทยาศาสตร์โบราณนะคะ ขนาดวิชาฮวงจุ้ยยังอิงหลังธาตุ ฯ เลยนะคะ ... ดิฉันเองยังอยากเรียนเลยแต่ความสามารถไม่ถึง ...

    ... ส่วนประเด็นที่ 3 ของท่านพี่ nopphakan กล่าวนั้น ดิฉันก็เชื่อแบบนั้นคะ .. คือ ช่วยกันทำนุบำรุงศาสนาให้ยืนนานตามวาระที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้ .. ตามความสามารถของตนเอง .. ยังไงก็พิจารณาให้ดีนะคะ ... อย่าใช้อารมณ์ทิฐิอยู่เหนือเหตุผล .. ลองไตร่ตรองก่อน
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เอาว่าคุณ อาจจะเน้นนำคำสอนของครูบาร์ อาจารย์ มาลงมาถ่ายทอดนะครับ
    แม้ว่าคุณจะไปในหลายๆห้องก็ตาม..ห้องนี้เป็นห้อง เรื่องผี ผี คลิปผี.
    ผมว่า จะมาห้องนี้ คุยกันแบบฮาๆดีกว่านะครับ.ถ้าคุณคิดว่า สิ่งที่คุณพูดถูกต้อง
    นะครับ..ผมแนะนำให้คุณลองไปพูดในห้อง อภิญญา-สมาธิ หรือห้อง อภิญญาxp ดีกว่านะครับ..

    แต่ก็อย่างว่า คุณก็ถนัดแต่ Ctrl+C และก็ Ctrl+V ห้องที่ผมแนะนำ
    เค้าเน้นทางปฏิบัติซะด้วยซิ.แนะนำว่าถ้าไม่ไปห้อง
    พุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มต้น..ก็ไปแต่งหนังสือรวมคำสอนไว้ขายเพื่อให้เอา
    เงินไปทำบุญจะได้ทานบารมีด้วยครับ..ซึ่งเป็นฐานสำคัญของปัญญาบารมีครับ
    อ่านดีๆนะครับ..ครั้งที่ แล้วนะครับ.ที่ผมเตือนคุณ..
    และคุณไม่ใช่คนแรกหรอกครับที่เป็นอย่างนี้ ของอย่างนี้
    เป็นกันได้ทุกคนครับ.สำคัญจะรู้ตัวหรือเปล่า.

    ปล.อยู่ในพลังจิตให้นานๆหน่อยนะครับ..ขอบคุณมากครับ
     
  17. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    เอาล่ะครับ 2 ฝ่าย พอหอมปากหอมคอน่ะครับ ผมขอสรุปอย่างนี้ล่ะกัน

    มหาธรรม : การบูชาไฟและฝึกควบคุมธาตุสี่


    ปกติมีวิธีฝึกธาตุสี่หลายวิธี บางท่านใช้ “คาถา” เป็นตัวนำ เช่น การฝึกธาตุสี่แบบฉบับของพระสังฆราชสุก (ไก่เถื่อน) ใช้คาถาเดินธาตุเป็นตัวนำ ทว่า นั่นก็เป็นเพียงหนึ่งวิธีของการฝึกธาตุสี่ ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถฝึกธาตุสี่ได้ ในบทความฉบับนี้ ขอเสนอการฝึกธาตุสี่ โดยเริ่มต้นจากการบูชาไฟ ซึ่งจะก่อให้เกิดธาตุไฟสะสมในร่างกายก่อน ดังนี้


    ๑) การบูชาไฟเพื่อเพิ่มพลังธาตุไฟในร่างกาย
    เริ่มต้นจากการบูชาไฟ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ในบางท่านใช้ตะเกียงอาระตี ซึ่งมีผู้ประดิษฐ์ขึ้นในภายหลังแต่มีราคาแพง บางท่านใช้เทียนในการบูชาไฟ แต่บางท่านก็อาจดัดแปลงขึ้นมาในแบบของตนก็ได้ ขอให้สามารถบูชาได้อย่างเหมาะสม โดยบูชาไฟนี้ ทำโดยตรงต่อพระพุทธเจ้าก็ได้ ในสมัยโบราณตามบันทึกในพระไตรปิฎก ได้กล่าวถึงพระนิตยโพธิสัตว์หลายองค์ที่กระทำพิธีบูชาไฟต่อพระพุทธเจ้าเช่นกัน บางองค์ถึงขนาดใช้ผ้าพันตัวราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาตัวเองบูชาเลยทีเดียว การบูชาไฟเป็นเพียงวิธีการหนึ่งของการเรียนรู้เรื่องธาตุไฟเช่นเดียวกับการเพ่งธาตุไฟ, เพ่งดวงไฟ, เพ่งดวงอาทิตย์ หรือวิธีการเรียนรู้ธรรมชาติในแบบอื่นๆ อันเป็นพื้นฐานให้จิตมีกำลังมากพอ มีอินทรีย์กล้าแข็งพอที่จะรับธรรมะจากพระพุทธเจ้าต่อไปในภายภาคหน้า การบูชาไฟทำให้ได้ทั้งศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิและกำลังจิตเหลือแต่เพียงปัญญาเท่านั้น ที่อาจยังไม่รู้แจ้ง แต่ก็พร้อมเต็มที่ที่จะรับธรรมะจากพระพุทธเจ้า ดังนั้น พราหมณ์จำพวกหนึ่งก็นิยมกระทำกัน และพระพุทธเจ้าเองก็นิยมโปรดพราหมณ์ที่มีความตั้งใจกระทำด้วยเช่นกัน เมื่อกระทำถึงจุดหนึ่งแล้ว ธาตุไฟในร่างกายจะเพิ่มขึ้นมาก ถ้ามากเกินไป จะทำให้เกิดอาการ ธาตุไฟในร่างกายกำเริบ คือ มากเกินขีดจำกัดของสังขาร ต้องค่อยๆ หาวิธีจัดการต่อไป


    ๒) การปรับพลังธาตุไฟให้กลายเป็นธาตุลม
    เมื่อรู้ตัวว่าธาตุไฟในร่างกายเริ่มมากเกินไปแล้วกำเริบแล้วคือ มีอาการของธาตุไฟกำเริบเช่น ความหุนหันพลันแล่น, ความคิดสว่างไสวฉับไว (แต่ยังไม่รู้แจ้ง), เกิดแผลร้อนในในปาก ฯลฯ เหล่านี้ เป็นอาการของธาตุไฟในร่างกายมากเกินไปจนกำเริบขึ้น ให้ฝึกปรับธาตุไฟในร่างกายให้ลดความร้อนลง ถ้าสามารถควบคุมความร้อนของธาตุไฟได้สำเร็จ จะเป็นคนที่มีจิตใจเย็นลง แล้วธาตุไฟในร่างกายก็จะเปลี่ยนสภาพเป็น “ธาตุลม” จากธาตุไฟจะดับลงเพราะดับความร้อนของใจได้ ธาตุไฟดับก่อเกิด “ธาตุลม” ต่อ ให้สังเกต อาการภายในร่างกายและรอบตัว มีสัญญาใดที่แสดงให้เห็นว่าธาตุไฟดับ ก่อเกิดธาตุลม เช่น อาการรอบตัวเคยร้อนอบอ้าวมากๆ พอเราฝึกสำเร็จ มีไหมที่กลายเป็นเย็นลงทันที โดยก่อนจะเย็นลงมีลมพัดมาก่อน ลมพัดเอาความหนาวเย็นมาแทนที่ นั่นอาจเป็นสัญญา บ่งบอกว่าการฝึกปรับธาตุไฟของเราสำเร็จเป็นธาตุลมแล้ว ช่วงนี้ ความคิดและพฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนแปลงไปคือ จากเดิมสว่างไสว, ร้อนแรง, ใจร้อน ฯลฯ เหมือนไฟ ก็เป็นใจเย็นลง แต่ยังไม่นิ่ง จะคล้ายลมพายุก่อน คือ ว่องไว, หุนหัน, ผันผวนแปรปรวน, ไม่ยึดติด, ไม่มีรูปแบบ, ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน, ใสและมองไม่เห็น บางคนฝึกสำเร็จ ทำให้อยู่บนโลกนี้ ราวกับไม่มีคนรู้เห็นก็มี แต่คนจะรู้ได้จากการเคลื่อนไหว เพราะฤทธิ์จากธาตุลม นอกจากนี้ อาการร้อนในในร่างกายจะลดลง เป็นอาการธาตุลมแทนเช่น อาการลมเวียน, ลมปราณปั่นป่วน ซึ่งเราสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธาตุในร่างกายได้ชัดแจ้ง


    ๓) การควบคุมธาตุลมจนก่อเกิดเป็นธาตุน้ำ
    เมื่อเกิดธาตุลมในร่างกายแล้ว ทำให้เกิดความปั่นป่วนในร่างกายของเราไปจนถึงจุดหนึ่ง ให้ฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวของธาตุลม คุมลมในอยู่ในกรอบ ไม่กระจัดกระจายฟุ้งซ่าน ไม่ปั่นป่วน เสมือนสร้างคลองให้น้ำไหลฉะนั้น เมื่อยามนั้น จะทำให้ความคิดไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระจัดกระจาย มีแนวทาง, มีทางเดิน, มีครรลอง “คลองธรรม” ของตน ให้สังเกตว่าธรรมชาติรอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงด้วยหรือไม่ จะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราฝึกควบคุมธาตุลมได้สำเร็จแล้ว เมื่อธาตุลมดับก่อเกิดธาตุน้ำ ส่งผลให้น้ำในร่างกายเพิ่มขึ้นได้ เช่น อาจมีอาการน้ำมูกไหลมากกว่าปกติ, น้ำในร่างกายเพิ่มและล้นออกมาจากทวารใดทวารหนึ่งในเก้าทวาร ในรูปต่างๆ เช่น น้ำมูก, น้ำตา, น้ำลาย หรือแม้แต่การถ่ายท้อง ท้องเสีย ก็เป็นอาการหนึ่งของธาตุน้ำกำเริบ เมื่อถึงจุดนี้ ให้สังเกตธรรมชาติรอบตัวด้วย ลมจะเริ่มสงบลง แต่ “น้ำ” จะมาแทนที่ บางทีฝนจะตก บางทีเป็นน้ำค้าง, บางทีเป็นน้ำอื่นๆ


    ๔) การหลอมรวมธาตุน้ำจนก่อเกิดเป็นธาตุดิน
    เมื่อธาตุน้ำในร่างกายมีปริมาณมากแล้ว จนก่อเกิดอาการธาตุน้ำในร่างกายกำเริบ ให้ฝึกต่อไป คือ ฝึกลอมรวมธาตุน้ำ ระลึกเหมือนว่าเรากำลังรวมน้ำกองหนึ่ง น้ำที่เหลวอยู่ ทำอย่างไร ของเหลว ของไหล จะกลายเป็น “ของแข็ง” คือ “ธาตุดิน” ได้ ต้องใช้จิตที่แน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหว มีขันติธรรม อดทนยอมรับสภาพต่างๆ ได้ดั่งดินที่รองรับได้ทุกสิ่ง เพื่อปณิธานหรืออุดมการณ์ของตน เมื่อทำจิตได้ดั่งแผ่นดินก็จะก่อให้เกิด “ธาตุดิน” จากพลังธาตุน้ำที่มีอยู่แต่เดิม ยามนี้ ร่างกายจะรู้สึกหนักแน่นขยับยากไม่ค่อยลื่นไหลดังก่อน แต่มั่นคง เข้มแข็ง ด้วยอุดมการณ์ของตน อุปมาเหมือนบุคคลเกิดธาตุไฟมีปัญญาสว่างไสว แต่ใจร้อนรีบเผยแพร่แนวคิด ทำให้เกิดปัญหาลุกลาม ต่อมาก็ปรับความร้อน ความใจร้อนลงได้ก็กลายเป็นฟุ้งซ่านบ้าง แต่ไม่ยึดมั่น เริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวตามสิ่งต่างๆ แต่ไม่กล้าเผยตัวตน เป็นลมที่มองไม่เห็น จากนั้น เริ่มหา “ครรลอง” ที่จะมีแนวทางของตนในการดำเนินไป กลายเป็น “ธาตุน้ำ” จากนั้น จึงแนวแน่มั่นคงในอุดมการณ์ไม่หวั่นไหว แม้ได้รับการกระทบกระทั่งเสียดสีหรือแรงกดดันจากสังคม ที่ไม่เห็นด้วยกับการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ของตน ดังนี้ ก็ก่อกำเนิดธาตุดินได้ในท้ายที่สุด บุคคลย่อมสำเร็จตามปณิธาน


    พิจารณาอาการเกิดดับของธาตุทั้งสี่
    ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ และ ไฟ, ลม, น้ำ, ดิน หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ไม่จีรัง ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดได้ แปรเปลี่ยนได้สารพัน
    แท้แล้วไม่ต่างกัน มีธาตุพื้นฐานมาจากที่เดียวกัน แต่อาการเปลือกนอกต่างกันเท่านั้น เหมือนมีดินเหนียวก้อนหนึ่งจะปั้นให้เป็นอะไรก็ตามแต่ใจของเรา เมื่อใจเราเปลี่ยนแปลง ธาตุในร่างกายก็แปรปรวนตามนั้น ใจร้อนก็เกิดธาตุไฟ ใจแปรปรวนก็เกิดธาตุลม ใจลื่นไหลในคลองธรรม ก็เกิดธาตุน้ำ ใจแน่วแน่ในปณิธานอดทนอดกลั้นต่อการถูกกระทำ ก็เกิดธาตุดิน ดังนี้ จึงผันแปรได้ดังใจปรารถนา


    การฝึกธาตุสี่แบบนี้ ให้ผลทั้งด้าน “อิทธิฤทธิ์” และ “ปัญญา” ซึ่งหากต้องการให้ผลมากทางปัญญาให้พิจารณามากๆ บ่อยๆ ให้แยบคาย รอบคอบ รอบด้าน ให้ละเอียดมากๆ ก็จะได้ปัญญาความรู้มาก หากประสงค์จะเน้นหนักไปทางอิทธิฤทธิ์มากๆ ให้เน้นกระทำให้มากโดยไม่ต้องเน้นการพิจารณา ก็จะทำให้เกิดมวลพลังธาตุพื้นฐานมากมาย แล้วแปรเปลี่ยนไปตามแต่ใจกำหนด ใจเป็นอย่างไร มวลพลังก็ก่อเกิดได้อย่างนั้น ไม่อาจยึดว่าจะต้องเป็นธาตุใดเสมอไป จากธาตุหนึ่งแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้สารพัน


    วิธีการฝึกธาตุสี่แบบนี้ค่อนข้างง่าย เพราะไม่ต้องใช้คาถา ไม่ต้องจดจำอะไรมาก ใช้การบูชาไฟเป็นจุดเริ่มต้นก็พอ และคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไทยอยู่แล้ว เพราะคนไทยก็บูชาพระพุทธเจ้าด้วยไฟเหมือนกัน แต่ใช้ “ธูปเทียน” เป็นสำคัญ ในการบูชาไฟก็เพียงปรับรูปแบบเล็กน้อย ให้สามารถเห็นเปลวไฟของสิ่งที่บูชาได้ชัดเจน เช่น การใช้สำลีเป็นไส้ตะเกียง ใช้พาชนะที่สามารถถือได้ไม่ร้อนรองรับ แล้วใส่น้ำมันลงไป จุดไฟติดแล้วบูชา ก็สามารถบูชาไฟได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ปรับรูปแบบทำตามความเหมาะสม


    ในการฝึกธาตุสี่นั้น จะส่งผลให้ธาตุสี่ในร่างกายเปลี่ยนแปลง เมื่อฝึกธาตุใด ธาตุนั้นจะเปลี่ยนแปลงตาม ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามแสดงว่า “ฤทธิ์ทางใจ” ยังไม่เกิด และเมื่อมีฤทธิ์ทางใจมากขึ้น ให้สังเกตดู ธรรมชาติรอบตัวจะเปลี่ยนแปลงธาตุในร่างกายของเราด้วย แต่ธรรมชาติรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงตามเรานี้ จะมีรัศมีวงกว้างขนาดไหน ขึ้นอยู่กับตบะ กำลังฤทธิ์ กำลังจิตของเราเอง ฝึกได้ฤทธิ์มาก ก็ส่งผลได้ไกลมาก ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอให้ท่านแสวงหาครูบาอาจารย์แล้วเริ่มทดลองปฏิบัติพิสูจน์ด้วยตนเองเถิด...

    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=527465

    ก็เป็นว่าทั้ง 2 ฝ่าย พูดถูกทั้งคู่ เพียงแต่พูดกันคนละแบบ เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้านนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013
  18. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ตำราของพระพุทธศาสนาที่มีบันทึกไว้คือ พระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าทรงมอบพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ หากจะศึกษาพระพุทธศาสนาต้องศึกษาจากพระไตรปิฏกหรือจากพระสงฆ์ เมื่อศึกษาแล้วนำไปปฏิบัติจึงได้ชื่อว่าเข้าถึงพระศาสนา


    คุณบอกว่าวิชาเดินธาตุเหมือนวิทยาศาสตร์โบราณ คำว่า "วิทยาศาสตร์" กับคำว่า "โบราณ" รวมกันเป็น "วิทยาศาสตร์โบราณ" วิทยาศาสตร์คือวิชชาที่มีการพิสูจน์ มีการทดลอง มีผลการทดลอง แต่วิชาโบราณนั้นอาศัยแค่ความเชื่อโดยไม่ต้องทดลอง หากมีคนเชื่อก็เป็นวิชาโบราณได้แล้ว คุณเชื่อวิชาเดินธาตุเพราะเชื่อ nopphakan ทั้งๆ ที่คุณก็บอกเองว่า ความสามารถไม่ถึงอาศัยแค่ความเชื่อ ความเชื่อแบบนี้อย่าเอาเหตุผลมาอ้างเลยครับ




    .... ดิฉันไม่ได้ศึกษาวิชาเดินธาตุไงคะ และก็ไม่ใช่เชื่อเพราะท่านพี่ผู้นี้พูดอย่างเดียว ... พ่อของดิฉันก็เคยสอนคะ .. แต่แค่เบื้องต้นให้พอรู้แต่ดิฉันไม่ชอบแต่รู้ว่าศาสตร์นี้มีมานาน ที่ดิฉันรู้จักคือพวกวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ... หรือพวกที่เขาเอามาทำวัตถุมงคล หรือ ใส่ในวัตถุมงคลต่าง ๆ ตั้งแต่ดิฉันไม่ถึง 10 ขวบคะ ... สำหรับท่านพี่ผู้นี้ดิฉันก็เพิ่งมารุ้จักตอนเข้าพลังจิตนี้แหละคะ .. ได้อ่านบทความของพี่เขามานานพอสมควรจึงพอทราบแนวทาง และ ความรู้ที่พี่ท่านนี้เอามาลงนั้นมันก็คล้ายกับดิฉันได้ยิน ได้เรียนรู้มาก่อน ... ไม่ใช่เชื่อเลยทันทีไม่ว่าพี่เขาจะพูดอะไร ... กรุณาคิดเสียใหม่นะคะ ... และที่รู้ว่าพี่เขามีความรู้ด้านนี้เพราะก็ทราบว่าพี่เขาได้ไปเรียนไปศึกษามาจริงมีครูบาอาจารย์ที่คนนับหน้าถือตามากมายในประเทศไทย ... ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่อ ... แต่จะให้มานั้งจารนัยละเอียดยิบมันก็คงไม่ใช่เรื่อง .... เพราะหากจะอ้างอิงแค่ตำราอย่างเดียวนั้นมันก็ไม่ใช่ถุกที่สุด ... อย่าลืมว่าพระไตรปิฏกพระพุทธองค์ไม่ใช่คนเขียนเองนะคะ ... เป็นการเขียนขึ้นหลังจากปรินิพพานไปแล้วหลายปีจากคำบอกเล่าต่าง ๆ จากความทรงจำ ... และ สำคัญฉบับแรก " ไม่ได้เขียนเป็นภาษาไทย " คุณแน่ใจแค่ไหนว่าแปลตรงตามพระประสงค์ของพุทธองค์เอง .... มันเป็นการเทียบเคียงให้ใกล้เคียงที่สุดเท่านั้น .... และการที่แปลจากภาษาต้นฉบับมาเป็นภาษาต่าง ๆ มันอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ไม่ตรงกับความหมาย .... หรือ คุณว่าไม่จริง .... คุณคิดว่ามันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เหรอคะ ... ถ้าใช่คงไม่ต้องสังคยาณากันหลายรอบน่าจะครั้งเดียวตั้งแต่สมัยต้น ๆ พุทธศักราชแล้ว ....


    .... แล้วที่คุณบอกว่าดิฉันใช้แต่ความเชื่อ กับ " คำว่า "วิทยาศาสตร์" กับคำว่า "โบราณ" รวมกันเป็น "วิทยาศาสตร์โบราณ" วิทยาศาสตร์ คือ วิชชาที่มีการพิสูจน์ มีการทดลอง มีผลการทดลอง แต่วิชาโบราณนั้นอาศัยแค่ความเชื่อโดยไม่ต้องทดลอง หากมีคนเชื่อก็เป็นวิชาโบราณได้แล้ว " คุณนี้ไม่มีคำบรรยายจริง ๆ คะ ดิฉันไม่ชอบอ้อมค้อมเท่าไหร่ คนอย่าง กาลีนะ ผิดก็ยอมรับถ้ามีเหตุผลพอ .. แต่ถ้าไม่แล้วเป็นแบบที่คุณกล่าวอ้างมาแบบนี้ละก็


    ... คงต้องกลับไปเรียนใหม่แล้วมั้งคะ ... วิชาโบราณไม่ว่าจะเป็น การแพทย์ + ฮวงจุ้ย + โหราศาสตร์ แม้แต่คาถาที่ใช้กัน หรือ อะไรก็ตามที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน ๆ นั้น .. ล้วนมาจาก การสังเกต + ตั้งคำถาม + หาเหตุผล + ทดสอบ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่ถูกต้องที่สุด หรือ ตรงกับคำถามที่สุด ... และเป็น " พื้นฐานของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แทบทั้งสิ้น " ... และ บางอย่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังทำไม่ได้เท่าคนสมัยก่อนเลยด้วยซ้ำ ... เช่น การทำมัมมี่ .. การปรุงยารักษา ยาพิษ .. ล้วนแล้วแต่เริ่มต้นมาจากวิทยาศาสตร์โบราณทั้งสิ้น

    .... ถ้าคุณคิดแบบนี้ " ให้คุณหยุดเลิกสวด คาถา ต่าง ๆ เถอะคะ เพราะคุณไม่มีความเชื่อสวดไปก็เท่านั้น .. อ้อนวอนไปก็เท่านั้น เพราะคุณไม่มีความเชื่อเป็นพื้นฐาน ... อาจเข้าข่าย หมิ่นครูบาอาจารย์ได้ง่าย ๆ นะคะ ... เพราะตอนเด็กเล็ก ๆ ดิฉันไปวัดกับแม่ .. ดิฉันมักสวดมนต์แข่งกับพระเพราะดิฉันไม่รู้ว่ามันเป็นการไม่ควร แต่ด้วยความไม่รู้ และ ไม่เชื่อ .. ผู้ใหญ่ก็สอนว่ามันไม่ดีมันบาป มันเป็นการไม่ให้เกรียติพระท่าน เหมือนไปลบหลู่เพราะบางบทสำหรับพระท่านสวดให้ ฆราวาส ... แต่ดิฉันก็ไปสวดแข่งกับท่านเสียงดังคับศาลาเลยทีเดียวตอนนั้นยังไม่ถึง 7 ขวบด้วยซ้ำ "


    ..... พอโตขึ้นมาเริ่มศึกษาจึงเข้าใจ พร้อมทั้งพ่อของดิฉันท่านก็สอนมาด้วยว่าการที่เราจะสวดบทสวด หรือ คาถาอะไรก็ตามเราต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาก่อน ไม่งั้นก็สื่อถึงเจ้าของบทสวด หรือ ครูบาอาจารยืนั้นไม่ได้ ... เพราะคาถาทุกคาถาต้องมีความเชื่อมาก่อน เชื่อมั่นในคาถาว่าศักดิ์สิทธฺิ์จริง เชื่อมั่นในครูผู้ถ่ายทอดคาถา ... เอากันง่าย ๆ เลยนะคะ ....แม้แต่บทสวดมนต์ไหว้พระธรรมดาก็มาจากความเชื่อคะ ... วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคาถานี้ใช้ได้ มีผลยังไง ... เพราะส่วนมากนักวิทยาศาสตร์เป็นฝรั่ง และ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้

    ... แล้วอย่างโหราศาสตร์อันนี้มีมาหลายพันปีแล้ว " เป็นวิทยาศาสตร์โบราณอย่างแท้จริง " เพราะทุกอย่างเกิดจากการสังเกตุ + จดบันทึก + ทำเป็นสถิติ + สรุปผล ... กว่าจะได้มาเป็นคำทำนายไม่ใช่ง่าย ๆ ....


    ... แต่วิชาโบราณนั้นอาศัยแค่ความเชื่อโดยไม่ต้องทดลอง หากมีคนเชื่อก็เป็นวิชาโบราณได้แล้ว ....


    ..... อย่าดูถูกอะไรแบบนี้โดยไม่คิดให้ดีอีกนะคะ .. คนมีครูบาอาจารย์ถ้าขาดซึ่งความเชื่อ แล้วทำการลบหลู่โดยตั้งใจ หรือ ไม่ ก็ตามถ้าไม่ไตร่ตรองให้ดี หรือ ไม่สำนึกให้ดี มีแต่ความอยากเอาชนะอย่างเดียว .. อาจพลาดพลั้ง " ผิดครู " ได้ง่าย ๆ นะคะ ... หรือ ว่าคุณไม่มีครูบาอาจารย์ของตนเองคะ .. เพราะคาถา บทสวดที่เรียน ๆ กันนี้ก็มาจากความเชื่อนะคะ ครูบาอาจารย์ที่คิดค้นบทสวดขึ้นมาก็เพราะท่านเชื่อว่ามันต้องศักดิ์สิทธิ์จริง ...

    .... ปกติดิฉันจะไม่เยอะในโพส หรือ กระทู้คนอื่นถ้าไม่จำเป็น และ มีสัมมาคาราวะพอสมควร ... และ จะชี้แจงถ้าจำเป็น แต่ถ้าดิฉันมองแล้วว่ามันเกินไปก็ต้องเตือนไว้คะ ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013
  19. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... อ้อ .. แล้วรูปตัวแทนของคุณนี้ก็เอามาลงแบบนี้เพื่ออะไรคะ มันเป็นศาสตร์โบราณนะคะ " เป็นไสยย์ศาสตร์คะ " .. วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้นะ ... ทั้งตะกรุดนั้นก็ด้วย .. มันเป็นความเชื่อของคนโบราณที่ลงอักขระคาถา .. พลังจิต ใส่ลงไปเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น .. เจตนาเพื่อให้คุ้มครองผู้ครอบครองเท่านั้น ... ไม่ใช่มีไว้เพื่อประกาศศักดิ์ดา หรือ ทำร้ายผู้อื่น ทั้งที่เจตนา และ ไม่เจตนา ....

    " พระพุทธศาสนา มิใช่เวทมนต์คาถาขลังอย่างทางไสยศาสตร์ มิใช้เป็นตำราทำนายโชคชะตาอย่างโหราศาสตร์ มิใช่เป็นตำราเล่นแร่แปรธาตุผสมธาตุ สร้างรถสร้างเรือสร้างปรมาณูเป็นต้นอย่างวิทยาศาสตร์ "

    .... ตอนแรกที่ดิฉันตัดสินใจพิมพ์ลงไปแบบนั้นเพราะมันคือความคิดเห็นส่วนตัวของดิฉันเอง ... ไม่ได้ไปคัดลอกเอาของใครมาลงนะคะ ... ดิฉันอ่าน และ พิจารณาแล้ว และ พิมพ์ในส่วนที่คิดว่าเห็นด้วย และ อยากเตือนคุณเพื่อว่า โทสะจริต มันจะบังสติปัญญาของคุณจนเอาไม่อยู่ ... เพราะดิฉันคิดว่าคุณก็ศิษย์มีครู .. ถ้าคุณไม่เชื่อท่านเหล่านั้นคงไม่นับถือเป็นครูหรอกใช่ไหม๊คะ ... เพราะคุณคงไม่ได้เอาวิทยาศาสตร์ หรือ เครื่องมืออะไรไปนั้งวัดว่าอันนี้เชื่อได้ อันนี้เชื่อไม่ได้ ... ของแบบนี้มันต้องมาจาก " ความเชื่อ " ก่อน เมื่อเชื่อแล้วก็ " ศรัทธา " แล้วจึงไปสู่ขั้นตอนการ " ปฏิบัติ " ... ส่วนผลที่ได้ อาจไม่คงที่ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ...

    .... ดิฉันขอพูดเพียงแค่นี้ ... ต่อจากนี้คุณจะเข้าใจแค่ไหนที่ดิฉันพยายามสื่อสารก็แล้วแต่คุณแล้วกัน ... คงจะไม่ต่ออะไรอีกถ้าไม่จำเป็นจะพยายามอยู่ใน " อุเบกขา " ให้มากที่สุด .. เพราะดิฉันได้ทำในส่วนของดิฉันแล้ว .. ส่วนผลจะออกมาในรุปแบบไหนก็สุดจะเดาได้ ... ใจคนเรายากแท้หยั่งถึง .. เพราะคำสอนของพุทธองค์มันฟังดูง่าย .. แต่ยากในทางปฏิบัติ ..

    ....... " ชำระจิตใจให้สะอาด พิจารณาด้วยเหตุ ปัจจัย แล้วปล่อยวาง " ..... เพราะดิฉันเองก็ทำไม่ได้ดีแย่กว่าใครหลาย ๆ คนเสียด้วยซ้ำ แต่ดิฉันมีความพยายามจะศึกษา และ เรียนรู้ต่อไป .. ความอ่นน้อมถ่อมตน เป็นวิสัยของบัณฑิต .. ครูดิฉันสอนมา .. เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา .. แต่ดิฉันก็ทำไม่ได้อย่างเช่นตอนนี้ ... แต่นับแต่วินาทีนี้ดิฉันจะพยายามทำให้ได้ ... เพราะผิดหวังเล็ก ๆ กับคำตอบที่คุณตอบมาแต่ตอนนี้ สุดแต่เวรกรรมใครมันละคะ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013
  20. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... สาธุ

    ....... ในความเมตตาของคุณพี่ pongio นะคะ ... ที่นำความรู้มาลงเพิ่มเติมให้ได้ศึกษาเป็นพระคุณอย่างยิ่งคะ ...

    .... และ ต้องขอกราบอภัยท่านเจ้าของกระทู้ และ ทุกท่านที่ได้มาอ่านข้อความของเราในกระทู้นี้แล้วขุ่นเคืองใจ ... เพราะมันเป็นแค่การแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของ กาลีนะ เอง ในส่วนที่พิมพ์ไป ... เพราะตอนแรกมันเป็นความรู้สึกว่าเป็นการ " ตอบไม่ตรงคำถาม "
    ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยของผู้มีภูมิมาแสดงความคิดเห็น หรือ โต้เถียงกัน ด้วยความรู้ของตนเอง ... กาลีนะ เลยแสดงความคิดเห็นในส่วนของตนเองบ้าง ว่าคิดยังไง .... แต่การที่เขามาตอบโพสในส่วนของกาลีนะนั้น ... มันทำให้ กาลีนะ ต้องมาพิมพ์เพิ่มเติมเยอะแยะมากมายแบบนี้ เพราะนี้คือ ความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ได้ให้ใครมาชักจูงแต่อย่างใด ... ไม่ใช่เพราะชื่นชอบพี่ nopphakan เป็นการส่วนตัว ... เพราะก่อนหน้าที่จะมารู้จักกับพี่ท่านนี้ กาลีนะ ก็ศึกษา และ มีประสบการณ์ต่าง ๆ มาพอสมควร ... เพียงแค่คิดว่าไม่ใช่แนวตนเองจึงศึกษาแค่พอรู้ ... ถ้าใครเคยอ่านบทความที่ กาลีนะ ลงในพลังจิต ... ก็คงพอทราบแล้ว ... ว่าเป็นยังไง .. เพราะกับพี่ nopphakan นั้น กาลีนะก็แย้งก็ถกปัญหากันเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพูดมาแล้วจะเชื่อไปหมด ... เพียงแต่ถกเถียงกันในแบบ กัลยาณมิตรแลกเปลี่ยนความรู้กันในส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ... เมื่อเจอแบบนี้เลยทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นเคืองใจมาก ๆ จึงได้กระทำการแบบนี้ลงไป ก็ขอกราบอภัยทุกท่านอีกครั้ง

    ... สาธุคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...