รวมธรรมะ "ฐานิยปูชา ๒๕๕๑ "

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 28 กันยายน 2008.

  1. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    [​IMG]

    ที่มา : หนังสือ ฐานิยปูชา ๒๕๕๑
    พระราชสังวรญาน (พุธ ฐานิโย)
    เรียบเรียง : ดร.ดาราวรรณ เด่นอุดม

    เรื่องที่ ๑...วาจาสิทธิ์หลวงปู่สิงห์

    ความมหัศจรรย์ของหลวงปู่สิงห์ ตอนที่ท่านหล่อพระพุทธรูป ๒ องค์ ชาวบ้านเขาเอาสตางค์แดงมาถวาย ท่านทำหีบไม้โตขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ยังมีเหลืออยู่ เอาสตางค์แดงใส่ไว้เต็ม เอาเทินกันไว้

    ที่นี้พวกผู้ร้ายมันก็มา มาก็บอกว่า "หลวงปู่ ขอเองไปใช้หน่อย"
    ท่านก็บอกว่า "เงินไม่มี มีแต่สตางค์แดง"
    สตางค์แดงตอนนั้นมันใช้ได้อยู่นี่
    "สตางค์แดงก็เอา"
    ท่านก็บอกว่า "นั่น หีบวางอยู่นั่น อยากได้ก็เอาไป แต่ว่าเอามากไม่ได้นะ เอามาก บาป!"

    เมื่อก่อนนี้ ประตูวัดมันออกทางนี้ มักก็แบกออกไปนี่ พอดีทหารอากาศมาเจอเข้า
    "เอ้าพวกนี้ สงสัยมันจะไปขู่เอาเงินของหลวงปู่มาล่ะซิ"
    พอเขาสังเกตุเห็นมันหลบๆ ซ่อนๆ เขาก็มาล้อม ทหารอากาศเขามาหลายคน เสร็จแล้วเขาก็รุมซ้อมเอา แล้วบังคับให้มันแบกหีบเงินไปคืน

    พอถึงทางลง มันบอกว่า "โอ๊ย! หลวงปู่บอกว่าเอาไปมากมันบาป มันบาปจริงๆ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2008
  2. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๒ ... ท่านพ่อลีสอนหลวงพ่อ

    กับท่านพ่อลี สนิทกัน ที่แรกไม่ค่อยสนิท น้องสาวท่านไปอยู่บ้านหนองลักช้าง อำเถอสว่างแดนดิน ใกล้ๆ กับบ้านโคกพุทรา ท่านไปเยี่ยมน้องสาวท่าน ท่านรู้ว่ามีญาติอยู่ที่บ้านโคกพุทรา ท่านก็ไปเยี่ยม ญาติผู้ใหญ่เขาเล่าให้ท่านฟังว่า หลานคนหนึ่งก็เป็นเจ้าคณะอำเภอ อยู่ที่อำเภอวารินฯ พอท่านรู้ ท่านก็ไปตามหาหลวงพ่อ ไปเยี่ยม ไปแล้วท่านก็บอกว่า "พวกเราเป็นญาติพี่น้องกัน เรามีศักดิ์เป็นปู่ของเธอ" หลังจากนั้นก็ค่อยสนิทกันขึ้นมาเรื่อย

    ตอนที่ท่านสร้างวัดอโศการาม ไปกราบท่านทีไรท่านก็ต่อว่า "ไอ้เราเป็นลูกเป็นหลาน ไม่เห็นมาอยู่ด้วยกัน แต่คนอื่นเขายังอยู่" ก็เลยเรียนท่านว่า "ผมไม่มาอยู่ด้วย ผมก็มาศึกษา ศีกษาแล้วผมไปปฎิบัติ มีปัญหาอะไรผมก็มาเรียนปรึกษาครั้งหนึ่ง ดีกว่าจะมานั่งเฝ้าครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็มีบุญบารมีมากล้น อดิเรกลาภมันก็ไหลมาเทมา ประเดี๋ยวจะมาติดแหง่กอยู่นี่ ติดภาพติดยศอยู่นี่ ไปไหนไม่รอดแล้ว" ท่านก็เลยหัวเราะ

    พบกันทีไร ท่านจะไม่พูดพล่ามทำเพลงกับหลวงพ่อ พอเจอหน้ากันปั๊บ กราบแล้ว
    "นั่งสมาธิ"
    ท่านจะคุยอยู่กับใครก็ตาม ท่านจะชี้หน้าหลวงพ่อ
    "เอ้า นั่งสมาธิ"
    พอนั่งไปสักพัก ท่านก็บอก "เป็นไง นั่งสมาธิ"
    "นั่งสมาธิก็ได้สมาธิ"
    ท่านไม่เคยอธิบายอะไรให้ฟังกว้างขวางพิศดาร แต่ท่านจะย้ำว่า
    "ให้ปฎิบัติธรรมให้ต่อเนื่อง อย่าไปทำๆ หยุดๆ แต่ละครั้งที่เรานั่งสมาธิ จิตสงบหรือไม่สงบ อย่าไปท้อถอย ถึงเวลาสงบ มันจะสงบเอง ความสงบมันเป็นผลงาน เราแต่งเอาไม่ได้"


     
  3. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๓...ของเล่นพระอริยะ...............

    หลวงพ่อเคยใช้พลังจิตเพ่งหลอดไฟแตก นึกให้ต้นมะพร้าวหักมันก็หัก นึกให้กิ่งพะยอมหักมันก็หัก ในขณะที่เพ่งดูนี่ เราก็ไม่ได้ใช้พลังจิตอะไรทั้งนั้นแหละ เพียงแค่นึกว่าต้นมะพร้าวต้นนี้นะมันบังจั่วศาลา มองไม่เห็นเทพนม เทวดาช่วยตัดออกให้ด้วย พอเสร็จแล้ว โอ๊ย! มันจะหักทับหัว ก็เดินหนีไป พอไปพ้น พอเดินไปห่างจากที่ยืนอยู่นี่ประมาณสัก ๒ วาเศษๆ ต้นมะพร้าวมันก็หักลงมาทับตรงทะลายมัน ทะลายผลมะพร้าว ทับตรงที่ยืน รอยเท้ายืนพอดี

    ครั้งที่ ๒ ยายพวงไปได้กลดซึ่งเป็นมรดกของหลวงปู่พระครูวิโรจน์รัตโนบล(บุญรอด นนตโร) วัดทุ่งศรีเมือง ก็เอามาให้ ที่นี้เราก็ชื่นชมยินดีกับมรดกของครูบาอาจารย์ ก็เอากลดไปห้อยกับกิ่งพะยอม ไปนั่งสมาธิอยู่ นั่งได้ชั่วโมงเศษๆ พอเลิกนั่งสมาธิ มองดูกลด โอ๊ย! กิ่งพะยอมมันจะหัก ก็หุบเอากลดแล้วก็เดินขึ้นบนกุฎิซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๔-๕ วา พอไปเหยียบบันไดขั้นแรก กิ่งพะยอมก็หักโครมลงมา

    หลวงปู่ฝั้นท่านตำหนิ ท่านว่า "พระอะไรไปเที่ยวหาหักกิ่งไม้"
    "อ้าว นึกเฉยๆ มันจะเป็นอาบัติอยู่หรือ"
    "มันก็เป็นนะซิ มันมีเจตนา"

    อภินิหารของการปฎิบัติธรรมนี่ เวลามันเกิด มันน่าหลงจริงๆ นะ นอกจากมันจะเกิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาให้เราหลงผิดแล้ว มันยังมีอีกสิ่งหนึ่ง มันอันตรายมากทีสุด คือเพศตรงข้าม พูดกับใครไม่ได้เลยทีเดียว ภายหลังมานี่ นึกว่าถ้าขืนเล่นต่อไป มันอันตราย ก็เลยห่างๆ หน่อย

    อาจารยที่สอนสะกดจิตท่านก็เตือนว่า มาเรียนฝึกสะกดจิตแล้ว ทำให้เพศตรงข้ามติดอกติดใจนะ แล้วไม่เฉพาะแต่เรียนสะกดจิต พระธุดงคกรรมฐานนี่ ถ้าใครภาวนาเก่งๆ มีภูมิจิตภูมิใจ สาวๆ มันติดใจนะ มันอันตราย ลูกสาวพญามาร นางตัณหา นางราคา นางอรดี พระพุทธเจ้าจะเสด็จออกผนวช พวกนี้มันไปสกัดกั้น ไปพูดยั่วยวน ชวนให้หลงผิด คือกิเลสในใจนั่นแหละมันปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วย

    แล้วมันก็เป็นธรรมชาติของสมาธิ สมาธินี่มันมีพลังอันหนึ่งคือ ความเมตตา ความเมตตานี่มีพลังสูง
     
  4. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๔...เลี้ยงหมูขาย บาปไหม

    (พ่อค้าเลี้ยงหมูสงสัยว่า การมีอาชีพเลียงหมู เลี้ยงแล้วก็ขายไป จะเป็นบาปหรือไม่)

    ถ้าเรานึกว่ามันบาป มันก็บาป นึกว่าไม่บาป มันก็ไม่บาป เราเลี้ยงให้มันโต เราขายไป เขาจะไปทำอะไรเราไม่สนใจ

    เอาแบบคนเลี้ยงปลาที่จังหวัดจันท์ ก่อนที่แกจะลงมือเลี้ยงปลานี่ แกจุดธูปเทียนไหว้พระแล้วแกก็อธิษฐานจิต "ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าการเลี้ยงสัตว์ขายมันเป็นบาป แต่ข้าพเจ้าไม่มีทางออก มองเห็นทางเดียวเท่านี้ พอที่จะหาอยู่หากินเอาตัวรอดได้ ข้าพเจ้าขออนุญาตเลี้ยงปลาขาย ในเมื่อร่ำรวยมั่งมีตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้ว ข้าพเจ้าจะเลิก"

    แกก็ทำไป แล้วแกก็บรรลุผลสำเร็จ แล้ววันที่แกจะเลิกนั่น แกทำบุญต่อเนื่องกัน ๗ วัน เอาลูกปลามาปล่อยวันละแสนตัว แล้วแกก็เลิก
     
  5. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๕...กรรมฐานไม่แสวงหาเครื่องรางของขลัง

    มีพระองค์หนึ่งมาว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไปตัดเหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว ภูเขาควาย มันไม่ตรงกับความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์นั้นชื่อพระอาจารย์จันทร์ เขาบอกว่าตั้งแต่เขาเป็นเณรโน่น เขาว่าอย่างนั้น

    ที่นี้เหล็กไหลมันเป็นทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ท่านผู้เคร่งต่อธรรมวินัยนี่ ท่านจะไปทำได้อย่่างไร
    (มีผู้กราบเรียนว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านปฎิบัิติขนาดนี้แล้ว ท่านคงไม่แสวงหาเครื่องรางของขลังหรือที่พึ่งภายนอกแล้ว ใช่หรือไม่ หลวงพ่อเมตตาเล่าเพิ่มเติมว่า...)

    ...
    ขนาดหลวงพ่อเอาตลับสีผึ้งใส่ย่ามมา (หลวงปู่เสาร์) ยังว่าเอาๆ จนงงอย่างกับไก่ตาแตก โอ๊ย! หลวงปูุ่่นี่ มาค้นดูย่ามเราตั้งแต่เมื่อไร... ตลับสีผึ้งนี่มันมีคนหนึ่งเขาทำให้ตั้งแต่เป็นเณรอยู่บ้านนี่ เขาบอกว่า จะไปเรียนเทศน์ เรียนหนังสือ มันเรียนหนังสือดีเขาว่า ก็เลยเอามา

    หลวงปู่เสาร์ท่านดุเอาว่า "จะมาภาวนาเอามรรคผลนิพพาน แล้วก็ติดตลับสีผึ้งใส่ย่ามมาด้วย มันจะไปได้อย่างไร" ว้า...หลวงปูุ่่นี่มาค้นย่ามเราตั้งแต่เมื่อไร

    พอตื่นเช้ามา ก็เอามันติดก้อนอิฐ เอาปาลงแม่น้ำมูล

    ไม่มีหรอกกรรมฐานนี่ เครื่องรางของขลัง รูปเหรียญหมู่นี่ไม่มี
     
  6. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๖...สอนตนก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่น

    เราเิกิดมาในชีวิต ตั้งแต่บวชมา ในชีวิตของการเป็นนักบวชนี่ ไม่เคยกลัวใครจะลงนรก เรากลัวแต่เราคนเดียวจะลงนรก... จะไปกลัวคนอื่นเขาจะลงนรกทำไม ถ้าคนทั้งโลกสร้างบาปลงนรก เราจะสร้างแต่ความดี นางฟ้านางเทวดาเป็นของเราหมด ไม่มีใครแย่ง...

    พระพุทธเจ้าท่านทำเป็นตัวอย่าง ท่านสอนตัวเอง ปฎิบัติตัวเองให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านจึงมาสอนเรา

    อย่างพวกเราๆ นี่ ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าสมาธิคืออะไร สมาธิที่แท้จริงคืออะไร อุตส่าห์ไปตั้งสำนักสอนสมาธิ สอนไปสอนมาก็มีแต่เถียงกัน บางสำนักติดประกาศมาตั้งแต่ฉะเชิงเทราจนถึงเมืองโคราช... มักกะลีผล เต่าล้านปี ถ้ำผีสิง ปักเป็นแถวตลอดจนถึงเมืองโคราช มักกะลีผล ถ้ำผีสิง เต่าล้านผี มันไม่ได้เกียวข้องกับพระพุทธศาสนาแม้แต่นิดเดียว แล้วเอามาประกาศโฆษณาเพื่อเหตุผลอะไร แต่ท่านก็ประกาศว่าท่านเป็นสำนักปฎิบัติ

    เพราะฉะนั้น เมื่อสรุปลงแล้ว ผู้เผยแพร่ธรรมะในปัจจุบันนี้ มุ่งแต่วัตถุกับบุคคล ส่วนคุณธรรมจะเป็นอย่างไรฉันไม่สนใจ ขอให้ฉันหลอกลวงคนให้มาหลงเชื่อให้ได้มากๆ นั่นเป็นดี สำหรับพระสงฆ์ในปัจจุบันนี้
     
  7. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๗...ผู้รู้จริงจะไม่คุยโว้โอ้อวด

    คนรู้จริงเห็นจริงเขาจะไม่พูด สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่รู้ด้วยเขาจะไม่พูด พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดอะไรขึ้นมาก่อน ถ้าหากมีพระสาวกองค์ใดไปรู้เห็นตรงกับที่พระองค์เคยรู้เห็นมา นำเรื่องมากราบทูลถามว่าเรื่องอย่างนี้ๆๆ มันเป็นไปได้ไหม พระองค์จะเอาผู้นั้นเป็นหลักฐานพยานในการเทศนา

    เช่นอย่างนางกุลธิดาคนหนึ่ง เอาดอกบวบขม ๔ ดอก จะไปบูชาพระสถูปเป็นที่บรรจุพระัิิอัฐิของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ที่นี้แกก็วิ่งตามหลังเขาไป ไม่ได้พิจารณาถึงทางว่ามันจะมีอันตรายอะไร บังเอิญโคลูกอ่อนมาขวิดแกตายในขณะนั้น ยังไม่ได้ไปบูชา แล้วแกก็ไปเกิดในสวรรค์ มีวิมานทองอยู่ สูงถึง ๑๒ โยชน์ เครื่องประดับตกแต่งล้วนแต่สีเหลือง เสร็จแล้วพระโมคคัลลาน์ไปพบแกเข้า ไปเห็นสมบัติแกมากมายก่ายกอง เลยถาม "นางทำบุญอะไร จึงได้มีสมบัติมากมาย" แกก็เอียงอาย เพราะว่าแกทำบุญนิดหน่อย เพียงแค่เอาดอกบวบขม ๔ ดอกจะไปบูชา แล้วก็ยังไม่ได้บูชาเสียด้วยซ้ำ ไปตายกลางทาง แล้วไปเกิดเป็นเทวดา ก็ไม่อยากบอก แต่พระคุณเจ้าเคี่ยวเข็ญ ทนไม่ไหวก็ต้องบอก พอบอกแล้วพระโมคคัลลาน์ก็นำเรื่องไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พอกราบทูลเสร็จปั๊บ "นี่โมคคัลลาน์ เธอไปรู้ไปเห็นมาแล้ว จะมาถามเราทำไม เรียกพระภิกษุสงฆ์มาประชุมกัน เราจะแสดงธรรม" นั่นแหละพระองค์จึงพูด

    สาวกสมัยปัจจุบันนี้มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ปฎิบัติธรรมนี่ก็... "มาๆๆ มาปฎิบัติกับอาตมานี่ จะไม่ให้เกิน ๗ วัน"

    ครูบาอาจารย์ของเรานี่ก็มีหลายองค์ เคยชักชวนหลวงพ่อไปอยู่ด้วย "ไปอยู่กับผมไหมล่ะ อย่างท่านนี่้จะไม่ให้เกิน ๗ วัน จะให้สำเร็จ" แต่ไม่ทราบว่า พระคุณเจ้านั้นสำเร็จอะไร

    ภายหลังมา ผู้ที่มาชักชวนเราให้ไปปฎิบัติด้วย จะให้เราสำเร็จภายใน ๗ วันนี้ ภายหลังนี่ท่านก็สึกไปเป็นฆราวาส ไปมีครอบครัวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าท่านเอาความรู้ความเข้าใจอะไรมาพูด
     
  8. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๘...ของแท้ ธรรมนำวัตถุ ของเทียม วัตถุบังธรรม

    สำนักวัดที่ท่านเป็นนักปฎิบัติอย่างแท้จริง ท่านจะรักษาธรรมชาติให้กลมกลืนกับการปฎิบัติ เพราะการปฎิบัติธรรมนี่ หลักปฎิบัติที่ถูกต้องคือปฎิบัติตามหลักของธรรมชาติ

    พระวัดใดที่หย่อนคุณธรรม มักจะสร้างวัตถุตกแต่งวัดวาอาส ประเดี๋ยวสร้างกุฎิสวยๆ แล้วก็มีสวนหย่อม มีอะไรต่ออะไรอุตลุด หลวงตามหาบัวมีแต่ป่ากับกระรอกกระแตเต็มไปหมด

    เพราะฉะนั้น การปฎิบัติธรรมนี่ ใครจะอย่างไรก็ช่างใคร อย่าไปกล้วคนอื่นจะลงนรก ให้กลัวเราคนเดียวจะลงนรก มุ่งหน้าปฎิบัติเอาตัวให้มีคุณธรรม ให้มันมีทางรอด ให้มองเห็นทางพ้นทุกข์ ให้มันเห็นแต่ทางบุญทางกุศล

    พูดอย่างนี้เห็นแก่ตัวหรือเปล่า ใครจะว่าเห็นแก่ตัวก็ว่าไป เราไม่ได้ไปประกาศโฆษณาใครที่ไหน วัดเราใครเข้ามา... คนต่างจังหวัดมา เขาจะมาถามว่า "หลวงพ่อมีงานอะไร" "คุณถามทำไม" "ทำไมคนจึงมาเยอะ ที่พวกเราประกาศปาวๆๆๆ ไม่เห็นมีใครเข้าวัด"

    ขนาดวัดวะภูแก้วนี่สร้างขึ้นเมื่อวานนี้ี้ มันก็ยังมีความหมายสำคัญสำหรับสังคม เด็กเล็กเด็กน้อยมันก็ไปภาวนาเดือนละ ๓ ครั้ง ๓ รุ่น แต่ละรุ่นก็ ๑๐๐ ๒๐๐ ๓๐๐... ปีหนึ่งๆ เราได้ปลูกฝังคุณธรรมแก่เยาวชนไม่น้อยกว่าปีละหมื่นคน


     
  9. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๙...อวดอุตตริมนุสสธรรม

    เวลาหลวงพ่อพูดเกี่ยวกับเรื่องสมาธิ เรื่องอะไร จะรู้อะไร เห็นอะไรนี่ หลวงพ่อชอบใช้คำว่า "ฝัน" เพราะว่าฝันนี่ ผู้คนธรรมดาสามัญมันก็ฝันได้ ถ้าไปบอกว่า ฉันรู้เห็นด้วยญานด้วยฌานอะไรต่างๆ นี่ มันกลายเป็นอวดอุตตริมนุสสธรรม

    อุตตริมนุสสธรรม ถ้ามันไม่เป็นจริง ใครพูดอวด มันต้องอาบัติปาราชิก แม้แต่ว่าการอยู่ในเรือนว่าง การอยู่ป่าช้า การอยู่โคนต้นไม้ เราไม่ได้ปฎิบัติเช่นนั้น ไปเที่ยวคุยอวดว่าเราปฎิบัติอย่างนั้น มันก็เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม

    ในบทบอกอนุสาสน์ อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา อุตระริมะนุสสะธัมโม นะ อุลละปิตัพโพ อันตะมะโส สุญญาคาเร อะภิระมามีติ. การอวดอุตตริมนุสสธรรมคือคุณธรรมที่ไม่มีในตน โดยที่สุดแม้อวดว่า เราอยู่เรือนว่าง อยู่โคนต้นไม้ อยู่ป่าช้า ซึ่งเราไม่ได้ปฎิบัติอย่างที่ว่านั้น ที่นี้ภิกษุผู้อวดอุตตริมนุสสธรรม อัสสะมะโณโหติ ไม่เป็นสมณะ แล้วก็เป็นการทำลายตัวเอง... ปาราชิก ๔ ข้อสุดท้าย อวดอุตตริมนุสสธรรม

    อนุสาสน์ ๘ กรณียกิจ ๔ อกรณียกิจ ๔ กรณียกิจ ๔ เป็นกิจที่ควรทำ เที่ยวบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล อยู่โคนไม้เป็นวัตร ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ที่นี้อกรณียกิจ คือกิจที่ไม่ควรทำ เสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์ให้ตาย อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน

    พระภิกษุไปอวดอุตตริมนุสสธรรม แม้เป็นจริง บอกอุตตริมนุสสธรรมแก่คฤหัสถ์ เป็นอาบัติปาจิตตีย์
     
  10. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๐...บารมีธรรมชักนำศรัทธา

    นักปฎิบัติโดยทั่วๆ ไปที่ประกาศโฆษณาอยู่ปาวๆ ได้แต่ประกาศโฆษณา แต่การปฎิบัติมันไม่ถึงขั้น อย่างปัจจุบัน มาเทียบกับของเรานี่ เวลาคนต่างถิ่นเขามาที่วัดเรานี่ เขาจะถามว่ามีงานอะไร เพราะว่ารถยนต์จอดอยู่เป็นแถว ผู้คนก็ไม่ขาด ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะบารมีของครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างเอาไว้แล้ว

    หลวงพ่อยังได้เคยพูดอยู่เสมอว่า วัดของเรานี่มันเป็นคล้ายๆ กับว่าโรงงาน... โรงงานที่ไม่ต้องลงทุนซื้อวัตถุดิบ แต่มีลูกค้าเอามาป้อนให้เรื่อย เสียอย่างเดียวว่า บุคลากรของเราที่จะรองรับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันยังไม่พร้อม เพราะฉะนั้น โดยทั่วๆ ไปชาวบ้านทั้งหลายที่เขาเร่ร่อนไปมา อย่างไปหาหลวงปู่มหาบัว ไปหาใครต่อใครที่มีชื่อเสียงในทางปฎิบัตินี้ พวกนี้ไม่ตื่นพระหมอวิชาอาคม แต่ชอบไปแสวงหาความดีจากครูอาจารย์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ

    ถ้าหากว่าพระเจ้าพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำในภายในมีความเข้มแข็ง เราไม่ต้องไปประกาศโฆษณาหาคนเข้าวัด มันจะหลั่งไหลมาเอง

    ตอนหลวงพ่อมาอยู่วัดนี้ทีแรกนี่ คุณพ่อเขานี่ (นายวัน คมนามูล) มาบอกว่า "การก่อสร้าง พระคุณเจ้าไม่ต้องกระตือรือล้น ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ การก่อสร้าง ญาติโยมเขาย่อมดูอยู่"

    พอหลังจากนั้นหลวงพ่อก็สบายใจ ใครจะสร้างก็สร้าง ไม่สร้างก็ตามใจ พอเสร็จแล้วมันก็เป็นเอง ก็เป็นอย่างที่ผู้เฒ่าท่านว่า

    อันนี้เราสร้างความดีไม่ถึงที่ สร้างความดีไม่สมบูรณ์แบบ แต่กลายไปเป็นคนชิงสุกก่อนห่าม ไปมุ่งหาแต่สมบัติ หาแต่วัตถุ แต่คุณธรรมไม่สนใจ พอเสร็จแล้วมันก็ไม่มีเครื่องดึงดูด

    คุณธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของท่านผู้ใด ไม่เฉพาะแต่นักบวช แม้แต่คฤหัสถ์ มันก็สามารถดึงดูดศรัทธาประชาชนได้

     
  11. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๑...ธรรมคุ้มครองแม้ในความฝัน

    หลวงพ่อสมัยเป็นสามเณร กำลังเริ่มหนุ่มๆ วัยคะนอง พอนั่งสมาธิปั๊บ จิตมันนึกถึงเจ้าสาวที่ตัวชอบ ภาวนา พุทโธๆๆๆๆ เอ้า! ประเดี๋ยวมันก็วิ่งไปหาสาวๆ ชื่อมันชื่อ ยายประยูร มันก็ไปนึก ประยูรๆๆๆ แทนพุทโธ มันลงเป็นสมาธิเหมือนกัน

    พอจิตเป็นสมาธิ บางทีก็เห็นหน้าเขา บางทีมันไม่เฉพาะแต่เห็นหน้านะซิ พอจิตมันสงบ สว่าง โน่น! วิ่งไปบ้านเขาเลย จิตมันออก มันไปค้นไปดูหมดจนกระทั่งภายในห้องนอน แล้วที่นี้บางทีพอไปเห็นแล้ว เพราะกิเลสความรักความชอบมันมีอยู่ จิตอกุศลมันก็เกิดขึ้น มันคิดจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา มันก็บอกตัวเองว่า สิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา เราไม่ควรทำ

    จึงมาตีความว่า อ้อ! นี่หนอ ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริก ธรรมะคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม แม้แต่ในฝันมันก็ยังเตือนเรา
     
  12. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๒...ปาติโมกข์ คือหลักการปกครองคณะสงฆ์

    ศีล เป็นข้อบังคับ เป็นพุทธอาณา เป็นอำนาจของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงบัญญัติเอาไว้สำหรับกล่อมเกลาความประพฤติของนักบวชให้มีความละเอียดประณีตยิ่งขึ้น รวมแล้วมีอยู่ ๒๒๗ สิกขาบท

    มีปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยตะ ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ อาจิตตีย์ ๙๒ ปาฎิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ รวมเป็น ๒๒๗

    อันนี้เป็น พุทธอาณา ที่พระพุทธเจ้าวางอำนาจไว้ เป็นหลักการปกครองคณะสงฆ์

    แม้แต่เวลาที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์ได้ทูลถามว่า "ในกาลที่พระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว จะแต่งตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระองค์"

    พระองค์ก็รับสั่งว่า "ดูก่อน อานนท์ วินัยที่เราบัญญัติไว้ดีแล้วนั่นแหละ จะเป็นศาสดา เป็นครู สั่งสอนพวกเธอทั้งหลาย ผู้ใดปฎิบัติเจริญตามรอยของเราคถาคต ต้องยึดมั่นในวินัยคือศีลให้เคร่งครัด เพราะธรรมวินัยที่เราบัญญัติไว้แล้วจะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย" พระองค์รับสั่งอย่างนี้
     
  13. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๓...ไม่มีเจตนาไม่เป็นอาบัติ

    อาบัติปาราชิก เมื่อภิกษุต้องแล้ว ขาดจากความเป็นพระภิกษุ

    เมื่อวานนี้ก็มีท่านหนึ่งที่ไปปลงอสุภะศพที่โรงพยาบาลตำรวจ บังเอิญไปเห็นปัจจัยเขาตกอยู่ นึกว่าเป็นของตัวเองตกหล่น ก็เลยเก็บเอามาไว้ พอมาดูของตัวเอง อ้าว! ของเรายังอยู่ ก็เลยเอาไปคืนไว้ แล้วก็สงสัยข้องใจตัวเอง ว่าเก็บของตกนี่เป็นอาบัติหรือเปล่า ที่นี้ถ้าหากว่าของนั้นไม่ใช่ของเรา เป็นของที่ตกอยู่ ของตกหล่นซึ่งเป็นของมีค่า เจ้าของเขายังอาลัยในสิ่งของของเขา ถ้าพระภิกษุไปเก็บ ต้องอาบัติตามราคาของสิ่งของ ถ้ามีราคาต่ำกว่า ๑ บาท ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าหากว่ามีราคามากกว่า ๑ บาท คือมากกว่า ๕ มาสก มาสกหนึ่ง ๒๐ สตางค์ ๒๐ สตางค์ ๕ หน เป็น ๑ บาท สมัยโบราณท่านเปรียบเทียบกับทองคำหนักเท่าเมล็ดข้าวเปลือก แล้วก็เทียบออกมาเป็นเงินตรา เป็นราคา ๑ บาท ถ้าสิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่ของเรา หรือเราไม่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นของเรา ไปหยิบเอาโดยเจตนาก็เป็นอาบัติ ถ้าของนั้นเกินราคา ๑ บาทขึ้นไป ก็เป็นอาบัติปาราชิก แต่ว่าท่านผู้ที่เก็บเิงินตกได้นึกว่าเป็นของตัวเองตกหล่นก็เลยเก็บมา พอมาสงสัยว่าผมจะเป็นอาบัติไหม เพราะในเมื่อมาดูของตัวเองแล้ว ของเรายังอยู่ จึงเข้าใจว่าของนั้นเป็นของคนอื่นที่ทำตกเอาไว้ ก็เลยเอาไปคืนเขา

    นี่ ในลักษณะอย่างนี้ เราไม่มีเจตนา เราไม่มีเจตนาที่จะไปหยิบเอาของของเขา แต่เราเข้าใจว่าเป็นของของเรา ไม่เป็นอาบัติ เป็นอาบัติเฉพาะจับเิงินจับทอง เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ รับเิงินทองด้วยมือตัวเอง

    เหตุการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ปากกาอยู่ในย่าม ปากกาด้ามนั้นมันราคา ๓๐๐ บาท ปาร์คเกอร์สมัยก่อน เอาใส่ย่ามแล้วก็เดินไปในเมือง ย่ามสมัยก่อนมันไม่มีถุงเล็กถุงน้อยเหมือนอย่างทุกวันนี้ ก็เสียบปากย่าม เวลาดึงเอาของ ของมันก็มาเกาะเอาปากกาหลุดหล่นไม่รู้ตัว จนกระทั่งเข้าไปทำธุระในเมืองหลายชั่วโมง กลับมาแล้วก็มาเห็นปากกาตกหล่น ก่อนที่จะหยิบก็ค้นหาปากกาในย่ามของตัวเอง มันไม่มี แล้วมองดูปากกาที่ตกอยู่นั่น มันรูปร่างลักษณะก็เหมือนของเรา แล้วยังแถมมีสลักชื่อด้วย ก็เลยหยิบขึ้นมาดู แต่ถ้าหยิบขึ้นมาดูแล้วไม่เห็นชื่อ เราก็ต้องวางไว้ที่เดิม ในลักษณะอย่างนี้ไม่เป็นอาบัติ
     
  14. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๔...อาบัติที่เกี่ยวข้องกับอิสตรี

    มีวินัยอีกข้อหนึ่ง ห้ามไม่ให้พระภิกษุนั่งในที่ลับหูลับตาสองต่อสองกับผู้หญิง ซึ่งไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย

    เช่นอย่างเราอยู่องค์เดียว โยมผู้หญิงจะเข้ามาหาเรา เราก็ต้องหาเพื่อนไปนั่งเป็นเพื่อน แม้ว่าเราอาจจะไม่มีเจตนาร้ายอะไร แต่บางทีเราอาจจะแสดงธรรมแก่ผู้หญิงเกิน ๖ คำ พระภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิงเกิน ๖ คำ โดยไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย ต้องอาบัติปาจิตตีย์

    ื้ืัที่นี้ผู้หญิงหลายคน ไม่สามารถจะคุ้มอาบัติพระในข้อนี้ได้

    ที่ท่านห้ามไม่ให้อยู่่สองต่อสองในที่ลับหูลับตา ที่ลับตาก็คือที่มีที่กำบัง ที่ลับหูก็คือที่ซึ่งคนไม่สามารถที่จะได้ยินเสียงพูดของเรา ที่ห้ามเช่นนั้นก็เพราะว่ามันเป็นที่รังเกียจของท่านผู้รู้ บางที่เขาอาจจะกล่าวหาเรื่องปรับอาบัติเราก็ได้ อันนี้วินัยข้อนี้ไม่ได้ปรับอาบัติอะไรลงไปชัดเจน แต่ว่าถ้าหากมีผู้กล่าวหา พระภิกษุก็ลำบาก

    อันนี้เป็นวินัยอีกข้อหนึ่ง วินัยส่วนใหญ่ที่เป็นอันตรายจริงๆ นะมีอยู่ ๔ ข้อ คือ ปาราชิก ๔
     
  15. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๕...อาการที่พระต้องอาบัติ

    การต้องอาบัตินี่ :
    - ต้อง ด้วยความไ่ม่รู้
    - ต้อง ด้วยความไม่ละอาย
    - ต้อง ด้วยเจตนาจะล่วงละเมิด
    - ต้อง ด้วยสำคัญในของ ควร ว่า ไม่ควร

    เช่น ชาวบ้านเขาทำแกงมา เรามองเห็นเนื้อ เราไปนึกว่าเนื้อที่ต้องห้าม เป็นเนื้อเสือ เนื้อช้าง เนื่อมนุษย์ เนื้อหมี เนื้อเสือเหลือง เสือดาว เนื้อสุนัข เนื้อม้า อะไรพวกนี้ อันนี้วินัยห้า ถ้าเราเห็นแล้วก็ อืมม์! อันนี้มันเป็นเนื้อม้า หรือเนื้ออะไรก็ไม่รู้ สงสัยแล้วฉันลงไป ก็เป็นอาบัติ

    ที่นี้ เนื้อที่ไม่ควร เช่นอย่างเขาเอาเนื้อสุนัข เนื้อช้าง เนื้อม้าแกงมาให้พระฉัน แต่พระก็สงสัย สงสัยว่ามันเป็นเนื้อที่สมควรหรือเปล่า แต่ลงผลสุดท้ายก็ยังฉันอยู่ ก็ต้องอาบัติอีก

    อันนี้ ต้องด้วยรู้แล้วขืนทำลง ต้องด้วยสงสัย ต้องด้วยความไม่ละอาย

    นี่อาการที่พระต้องอาบัติ มีอยู่ ๖ อย่าง*
    _______________________

    *อาการที่พระต้องอาบัติ จากหนังสือนวโกวาท มีดังนี้
    ๑. ต้องด้วยไม่ละอาย
    ๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
    ๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
    ๔. ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
    ๕. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
    ๖. ต้องด้วยลืมสติ
     
  16. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๖...อาบัติเบา

    ที่นี้สำหรับวินัยเล็กๆ น้อยๆ เช่นอย่างอาบัติทุกกฎ นอกจากจะมีในเสขิยวัตร ๗๕ เสขิยวัตร ๗๕ นี่ ล่วงละเมิดข้อใดข้อหนึ่ง วินัยปรับอาบัติทุกกฎ แต่วัตถุที่เป็นอาบัติทุกกฎนี่มันมีมากมายก่ายกอง ไม่สามารถที่จะบัญญัติเป็นข้อๆ ได้ ท่านจึงสรุปลงว่า

    "สิ่งใดที่เป็นไปเพื่อเสียมารยาท สิ่งนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎ"

    การทำ การพูด ที่ไม่สำรวม พูดดังเกินไป พูดตลกโปกฮาหรือก้าวร้าว สิ่งที่มันเป็นการตลกคะนอง เช่น เล่นปู้ยี่ปู้ยำ เช่้น จุดป่าเล่น ท่านยกตัวอย่าง เป็นการเสียมารยาท ต้องอาบัติทุกกฎทั้งนั้น
     
  17. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๗...กฎของสังสารวัฎ

    (มีผู้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า พระที่ปฎิบัติจนเข้ากระแสพระนิพพานแล้ว จะไม่สึกแล้ว ใช่หรือไม่ หลวงพ่อให้คำอธิบายไว้ดังนี้)

    ...จะไม่สึกแล้ว แม้แต่ว่าเพียงแต่มีความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อกรรมและผลของกรรมเท่านั้น จะสึกไม่ได้แล้ว แม้จะไม่เป็นพระิอริยบุคคลก็ตาม สึกไม่ลงแล้ว

    ถ้าสำเร็จขั้นพระโสดาบัน ยังไม่สำเร็จพระนิพพาน ก็ต้องมาเกิดอีก พระโสดาบันนี่มาเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ

    พระสกิทาคาก็ยังต้องมาเกิดอีก

    พระอนาคาไปเกิดเป็นพรหมในพรหมโลก บำเพ็ญเพียรต่อสำเร็จอยู่ตรงนั้น ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

    พระพรหมชั้นอนาคาเป็นรูปพรหม พระพรหมชั้นพระโสดาบัน ผู้ที่สำเร็จชั้นอริยมรรคอริยผลแล้วก็เป็นรูปพรหม พวกนี้ไม่ไปเป็นอรูปพรหม ส่วนใหญ่พระโสดาบันนี่ไปเกิดเป็นเทพบุตรชั้นดุสิต

    พระอนาคาจะไปเกิดในสวรรค์ ต้องขึ้นสุทธาวาส ๕ (รูปพรหม) เป็นอัติโนมัติ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฎฐา อายตนะต้องดึงดูดไปที่นั่นแน่นอน

    มันเป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง
     
  18. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๘...การตรวจศีลคือการภาวนา

    ให้พิจารณาตรวจศีลของตัวเองให้มากๆ

    กิจวัตรของพระสงฆ์นี่ ก่อนอื่นเวลาท่านนั่งสมาธิ ผู้ทีปฎิบัติที่ถูกต้อง ท่านจะกำหนดตั้งแต่ท่านตื่นขึ้นมา ว่าท่านได้ละเิมิดสิกขาบทวินัยข้อใด ถ้าท่านข้องใจอยู่ที่ตัวไหน ว่าอาจจะละเมิดสิกขาบทวินัยข้อนั้น ท่านจะปลงอาบัติทันที

    การตรวจศีล นี่ก็คือการเจริญสมาธิ

    เอาศีลเป็นหลักสำคัญ ถ้าเรามั่นใจว่าศีลของเราบริสุทธิ์แท้จริงแล้ว ไม่ต้องไปกังวลอะไรทั้งสิ้น
     
  19. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เรื่องที่ ๑๙...ศีล เป็นตัวการสำคัญ ในการเข้าถึงมรรคผล

    การเข้าถึงอริยมรรคอริยผล มันใช่เรื่องของสมาธิ แต่เป็นเรื่องของศีล

    ท่านนักเทศน์ทั้งหลายท่านเทศน์ว่า ศีลมีหน้าที่รักษากาย วาจา มันไม่ถูก อันนี้พูดเอากันเพียงแต่ว่า ขั้นเจตนา

    ศีล แปลว่า ปกติ เมื่อจิตตั้งมั่นมีความเป็นปกติ ไม่หวั่นไหวต่อบุญและบาป อันนั้นแหละคือศีล

    ในเมื่อมันเข้าไปถึงข้างในจริงๆ แล้ว ศีลนี่แหละเป็นตัวการที่สำคัญที่สุด ที่มันจะเป็นมัคคปฎิปทา ตัดทอนกิเลสและบาปกรรม สมาธิเป็นแต่เพียงฐานการสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง ปัญญาก็ให้รู้เหตุรู้ผล แต่เมื่อรู้เหตุรู้ผล แล้วจิตปล่อยว่าง ก็กลายเป็นปกติจิต

    เพราะฉะนั้น ในขั้นที่อริยมรรคอริยผลจะเกิดจริงๆ นี่ คือต้องเข้าถึงจิตถึงใจ

    ความจริง ศีลนี่ ท่านตีความหมายเพียงแต่ว่า ศีล ป้องกันโทษที่จะเกิดทางกายและทางวาจา
     
  20. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...