รวมประสบการณ์พบเจอเปรต

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย วงกรตน้ำ, 20 มกราคม 2017.

  1. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ตอนผมอยู่ม.4 (ตอนนี้ม.6) โรงเรียนผมไปพาไปเข้าค่ายที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุม(ต้องขออภัยหากผมใช้ภาษาไม่สุภาพ) พอไปถึงวันแรกไม่ต้องทำอะไรโรงเรียนให้ปล่อยว่างๆ ทำกิจกรรมอีกนิดหน่อย พอถึงวันที่2 ได้เข้าหอประชุมไปฟังเทศ กลุ่มพวกผมจึง โดดกันออกมา ในทีแรกออกมานั่งดูดบุหรี่กันตรง ลานส่วนนอกของหอประชุม ซึ่งไม่มีคน ตอนนั้นออกมากัน ประมาน7-8คน มีผู้หญิง1จึงมีคนนึงพูดขึ้นมาเบื่อว่ะ เล่นซ่อนแอบกันป่าว ผมจึงบอก เออเล่นดิๆ เวลาตอนนั้นประมาณ 4ทุ่ม จึงโอนอยออกกัน เพื่อนผมเป็นคนนึงชื่อ โต๊ด ให้นับถึง200 พวกผมจึงวิ่งกันไปแอบ ตอนนั้นมึนมืดมาก จึงกลัวกัน เลยแอบกันเป็นกลุ่มเลย 555+ โดนทีโดนหมด แต่ผมแอบออกมาซ่อนคนเดียว ไอ่กลุ่มเพื่อนผมที่แอบเป็นกลุ่มโดนโป้งหมด เหลือคนเดียวซึ่งแอบดูอยู่หลังต้นไม้ ไอ่เต๊ดแม่งหาผมไม่เจอแม่งเดินกลับไปนั่ง ไม่ยอมหา -*-(กวนตีนมาก) ผมจึงออกมา พูด เฮ้ย! มึงไม่หากูวะ แม่งบอก ขี้เกียจเล่นละไปเดินกันดีกว่า ก็เลยไปกันหมดเลย จากนั้นจึงเดินไปด้านซ้ายของวัดซึ่งมีเต๊นโรงอาหารอยู่ เดินออกไปทางซอยด้านซ้าย (ซึ่งออกนอกวัดไปแล้ว) เพื่อนผมคนนึงโทรศัพคุยกับแฟนอยู่ ชื่อไอ่ดรีม (มันทะเลาะกับแฟน) พวกผมเดินคุยกันเฮฮาไปเรื่อย จากนั้นผมมองไปด้านหลังมีหมาตัวนึงเดินตามมา น่ารักมาก ผมจึงพูด เฮ่ยมีหมาตามมาด้วยว่ะ พวกผมก็เดินไปเรื่อยเหมือนเดิน รอบบริเวณนอกวัดอ่ะเป็นวงวน พอเดินไปทางที่เป็น ทางจากที่เป็นปูนเริ่ม กลายเป็นดินแดงแล้ว ซึ่งเหมือนแถวบ้านนอก แล้วแอมซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพูดว่า กลับกันเหอะ พวกผมก็เลยบอก เดินไปก่อนดิ เดียวมันคงวนเข้าวัดล่ะ ก็เลยเดินมากัน (หมาตัวนั้นยังเดินตามมาอยู่) พอเดินไปเรื่อย เป็นทางแยก2ทาง ซ้ายขวา เพื่อนผมบอกว่าขวาดีกว่า วัดอยู่ขวานะเว้ย ผมก็เลย เออๆ! เดินไปผมหันไปมองข้างหลัง หมาตัวนั้นมันหยุดเดินมองมาทางกลุ่มพวกผม แล้วมันก็ วิ่งกลับไป ผมเลยบอกว่า เฮ้ย หมามันกลับบ้านแล้วว่ะ 55+ พอเดินไปเรื่อยๆ มันมืดจนไม่เห็นทางแล้ว เห็นแต่หน้าเพื่อนๆ เพื่อนผมชื่อไอ้อุ่น เดินนำหน้า(เป็นนักเล่นกล้ามตัวอย่างควาย) ผมเดินข้างมันส่วนข้างหลังเป็นเพื่อนๆ เดินไปเรื่อยเห็นไอ่อุ่นหันไปมองทางด้านซ้ายมือของทาง ยกมือมาขวางอกผมไว้ ผมถามว่ามีไรวะ ทั้งกลุ่มหยุดเดิน เงียบกันหมด(ลมหายใจหยุดนิ่ง) แล้วอยู่ๆ ไอ่อุ่นหันมามองหน้าผม จากที่มืดๆ ผมเห็นหน้าไอ่อุ่น กลายเป็นสีเทา (หน้าซีด) แม่งบอก วิ่ง! แต่พูดเงียบๆ จากนั้นไอ่อุ่นวิ่งกลับไปด้านหลัง ซึ่งพวกผมไม่รู้เรื่องอะไร จึกทำไรไม่ถูกวิ่งตามมันไป รองเท้าแตะ กระจุยกระจาย หายหมด ทุกคน แล้วไอ่แอม ซึ่งวิ่งอยู่ด้านหน้าเพื่อนผมชื่อเต้ ไอ่แอมล้มลง(ล้มลงไปนอนเลย) ทั้งกลุ่มจึงวิ่งกลับมาดู มันร้องไห้ แลกยกไม่ขึ้น ทำยังไงก็ยกไม่ขึ้น ขนาดไอ่อุ่นซึ่งแรงยั่งกะควาย ยกไม่ขึ้น ผมจึงถอดพระของผมห้อยไว้ที่แอม จากนั้น จึงยกขึ้นได้ แล้วไอ่โต๊ดมองกลับไปทางเก่า แล้วยกมืดไหว้ ผมจึงไหว้ตาม แล้ววิ่งกลับมาที่ หอนอน ไอ้เหี้ยอุ่นวิ่งอย่างเร็ว หายไปไหนไม่รู้ พอไปส่งแอมแล้วจึงกลับมาที่หอผู้ชาย จึงหาไอ่อุ่น ผมพูด เฮ้ยไอ่อุ่นมึงอยู่ไหนวะ พอเดินเข้าห้องเจอมันนั่งตัวลีบอยู่มุมห้อง หน้าซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด กูเดินเข้าไปถามมึงเจอไรวะ มันบอก มึงจำได้ป่ะที่กูยกมืดขวางมึงอ่ะ ผมพูด เออ! กูมองไปทางซ้าย แล้วต้นไม้มันขยับได้ แล้วมันก็ก้าวออกมายืนกลางถนน ไอ่เหี้ยกูเห็นเปรต จากนั้นไอ่โต๊ดพูดขึ้นมาว่า ไอ่สัสมันเป็นผู้หญิงนะเว้ย ผมจึงพูดมึงรู้ได้ไง ไอ่โต๊ดบอกว่า ผมมันยาวลงมาปิดหน้าอก แต่กูไม่กล้ามองหน้ามัน เรื่องนี้จึงได้ยินไปถึงเพื่อนต่างกลุ่มแม่งบอกจิงหรอวะ ทำเป็นไม่เชื่อ แม่งบอกถ้าจริงให้พามันไป ผมจึงพูดมึงก็ไปกันเองดิ มันจึงหาพวกแล้วเดินกันไป ไปประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แล้วพวกมันก็กลับมา ตะโกนว่า สัส! ไม่เห็นมีเหี้ยไรเลย พวกผมจึง งง กัน จากนั้น ออกก็เดินออกมาดูดบุหรี่ตรงลาน หน้าหอนอน (ยืนกับไอ่เต้เพื่อนผม) ผมมองไปตรงเต๊นโรงอาหาร สิ่งที่ผมเห็นคือ เงาสีดำ สูงเท่าหอประชุม ตัวเป็นเหมือนแท่ง เป็นแท่ง ก้าวข้ามเต๊น โรงอาหาร ผมจึงดับบุหรี่ถามไอ่เต้ มึงเห็นป่ะ ไอ่เต้บอกเข้าห้องเหอะ จากนั้นจึงเข้านอนกัน พอเช้า อีกวันพวกผมจึงพูดกับแอม แอม บอก จำได้ป่ะที่เราชวนกลับตั้งแต่ทางแยกแล้ว เราเห็นเงาดำๆเดินตาม มาทางป่าด้านข้างอ่ะ ผมบอก จิงป่ะเนี่ย! แล้วแอมก็พูดขึ้นมาว่า มันเป็นผู้หญิงนะ(ซึ่งตรงกับไอ่โต๊ด) แล้วไอ่โต๊ดนั่งอยู่ข้างๆ ทำเป็นมอง แบบไม่เชื่อ แอมบอกกูเห็นมันผมยาวลงมา แต่ไม่เห็นหน้า แล้วเรื่องนี้ แม่งไปถึงพวกอาจารย์ ได้ไงไม่รู้ พวกปากหมาแม่งเยอะ พวกผมจึงโดนเรียกไป คุยกับเจ้าอาวาส ของวัด เขาจึงทำพิธีปัดรังควาน ให้ และถามเรื่องราว เขาบอกไปแถวนั้นน่ะ ไม่เจอน่ะแปลก แถวนั้นเป็นดงต้นตาลหนุ่ม เป็นสถานที่ ที่พวกหมอผีจากลาว จากเขมร จับเปรตไปเลี้ยงกัน เจ้าอาวาสก็พูดว่า เนี่ยเวลาทำวัดเช้าเสร็จประมาณ ตี4 ก็เดินออกมา ยังเจอยืนอยู่ในเขตวัดเลย ไม่มีหัวด้วย! จากนั้นผมก็กลับไปที่โรงเรียนกลายเป็นเรื่องดังในโรงเรียนเลยล่ะ คงได้ข้อคิดจากเรื่องนี้นะคับ....

    ที่มา: http://shockfmclub.blogspot.com/2008/10/blog-post_5583.html?m=1
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    สงสัยเห็นด้านข้างเลยไม่เห็นหน้า
    เพราะผมเค้าบังอยู่ เป็นเอกลักษณ์ทรงผมเด็กแนวเค้า
    ปกติตนนี้เค้านั่งในท่าเอามือกอดข้อเท้า
    นึกภาพอารมย์คนที่นั่งแบบนี้ออกไหม
    เฉพาะช่วงเท้าถึงหัวเข่าสูงพอๆต้นตาลแล้วหละ
    ผีเปรตนะตามีสีด้วยนะ น่าจะสีเหลืองถ้าจำไม่ผิด
    ยกเว้นบักเปรต บักปอบ หรืออีเปรต อีปอบ
    หน้าตาเหมือนมนุษย์แบบเราๆนี่หละ ๕๕๕
    ปล.พอขำๆ
     
  3. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ไม่เคยเห็นเปรตค่ะ และก็ไม่อยากเห็นด้วย แต่มีอยู่หัวค่ำหนึ่ง แบบว่าซื้อข้าวคลุกกะปิมาทาน นั่งทานตรงประตูหลังบ้านที่นอกกำแพงเป็นที่รกชัน มีต้นกล้วยขึ้นอยู่หนึ่งกอ นั่งทานไปก็ชมบรรยากาศไป มืดมีลม อาศัยแสงไฟจากบ้านข้างเคียง มองๆไป ตรงจุดยอดใบกล้วยที่สูงกว่าหลังคา ในความมืดก็เห็นคล้ายๆควันสีขาวๆ วูบๆ ไปมา ก็นึกว่าตาเราเบลอรึเปล่า ถึงมองอะไรเหมือนไม่ชัด ก็กระพริบตา และเพ่งมอง ก็ยังเห็นเป็นควันขาวๆ ตรงจุดเดิม วูบๆ จะมองกี่ครั้งก็เห็น ทีนี้ใจก็คิดว่า ผีเปรตรึเปล่า เลยอธิฐานแบ่งข้าวคลุกกะปิที่กำลังทานไป สักพักควันขาวๆก็หายไป
    ปล. คือระบุไม่ได้นะคะว่าคืออะไร มันวูบไหวไปมาในระดับยอดกล้วย (สูงกว่าหลังคาบ้าน) ที่แน่ๆไม่ใช่ควันไฟ ไม่มีกลิ่น ไม่มีแสง แถมลมก็พัด แต่ควันมันวูบๆอยู่จุดเดิม ใจมันก็นึกไปเองอะค่ะ
     
  4. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    ไม่เคยเจอเปรตค่ะ แต่จะเรียกว่าเจอได้มั้ย อืมมม
    คือประมาณสองปีมาแล้วมีเหตุต้องระเห็จไปอยู่ชุมพรบ้านน้าสาว แล้วก็เป็นช่วงทำตัวเป็นเด็กดี ตื่นเช้านอนหัวค่ำไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน(รู้สึกว่าถ้าไม่สวดมีอันตรายเกิดขึ้นกับตัวเองแน่ๆอาจเดี้ยงได้:confused: เคยมีคนว่าน้องนี่เข้าใจเลือกที่อยู่มากๆไปไหนไม่ไปไปอยู่ที่แรงๆ:eek:) เป็นช่วงเจออะไรแปลกๆแบบไม่คิดว่าจะมีอะไรแบบนี้ด้วย หนึ่งในนั่นคือความฝัน

    ฝันหลายฝัน แต่ที่ชัดเปรี๊ยะอันนึงคือฝันว่าไปเข้าห้องน้ำ ได้ยินพวกน้องๆคุยกันนอกห้องน้ำว่าจะชวนไปบ้านคนๆนึงเพราะมีเสียงแปลกๆที่บ้านหลังนี้ อีกคนถามว่าเสียงแบบไหน แล้วอยู่ๆเราก็ได้นินเสียงแหลมปรี้ดของอะไรสักอย่างคล้ายเสียงเอ็ฟเฟ็กหรือเครื่องเสียงแบเสียดๆ ในใจดันคิดว่า เออ เหมือนเสียงเปรตเลย(ป้าด มันคิดไปได้ไง) พอเท่านั้นก็ตื่นแต่ตาหลับ(นอนคว่ำ)กระดิกตัวไม่ได้เหมือนโดนอำ รู้สึกทุกอย่าง

    ช่วยด้วย ช่วยเราที ช่วยด้วย

    เป็นเสียงผู้หญิงหวีดร้องโทนเสียงแหลมแบบดังก้อง ระบบเซอราวด์เจงๆo_O
    ไอเราก็กลั้นใจอึบ แล้วกระดิกตัวลุกขึ้นได้อารมณ์แรกคือ หงุดหงิด (ง่วงๆนี่คุยกะใครไม่รู้เรื่อง)

    ทีหลังจะมาก็มาตอนช่วงสองทุ่มครึ่งที่สวดมนต์สิ ไม่ใช่มากวนเขาตอนตีสอง คนจะหลับจะนอน ไม่ชอบโดนกวนตอนนอนเข้าใจมั้ย(เออ มานมีอารมณ์ไปบ่นเขาอีก) แล้วหายใจลึกๆปรับอารมณ์แล้วแผ่เมตตาให้เขา5555 ตอนหลับนี่บ้าได้ตลอด เหวี่ยงวีนได้ตลอดๆเจงๆ:oops:อุ้ยเผลอพูดอะไรออกไป
     
  5. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ตรุษจีนนี้ เฮงๆๆๆ กันนะคะ :):):) 1485398630484.jpg
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เสียงเปรต เคยมีการบันทึกไว้ได้อยู่
    เสียงโหยหวน ไม่ได้มีทำนองที่ไพเราะน่าฟังหรอก..
    เสียงออก อี๊ดๆๆ วิ้ดดดๆ ลักษณะเสียงขยายเป็น
    เหมือนเราเทน้ำทิ้งบนพื้น แต่ถ้าเราได้ยินที่หู
    เสียงถึงจะออกดูคล้ายๆเป็นเส้นตรง (ปกติเสียงจะออกเป็น
    คลื่นๆแนวค่อนข้างตรงหน่อยพอนึกภาพออกเนาะ)
    บันทึกไว้ตอนที่พระท่านสวดมนต์อยู่
    เข้าใจว่า เค้าจะมารอรับอานิสงค์ภายหลัง...

    และเปรตมีเรื่องโม้อีกแระนั้น
    หรือคล้ายเปรตนั้นส่วนตัวเคยเจอแบบ
    ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ และแบบที่ไม่ได้ตั้งใจจะเจอ งงไหม..๕๕๕
    แบบที่ไม่ได้ตั้งใจคือ รุ่นน้องมันนอนไม่ได้
    เพราะได้ยินเสียงที่มันเชื่อว่าเป็นเปรต
    ติดต่อกัน ๔ ถึง ๕ คืน มันจึงออกอุบาย
    ให้ข้าพเจ้าไปนอนค้างที่ห้องเป็นเพื่อน
    ออกอุบายร้อยแปดจนข้าพเจ้าหลงเชื่อ
    แทนที่ มะรึง จะบอกตรู ตรงๆ ไอ้มะเขือเอ้ย(ด่ารุ่นน้องมัน)
    งานเลยเข้าจิครับ ท่านผู้ชมมมมมมม...
    พี่ เป รด แกก็เลยตามข้าพเจ้ามาเลยนั่นจิครับ..
    ถ้าบอกตั้งแต่แรกตรงๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก
    ตรูจะได้ แสดงการเกรงก้ามให้ได้ผลตั้งแต่ช่วงแรกๆ.
    (ไอ้กระรอกเอ้ย! ท่อนสร้อยปิดท้าย)

    และแบบที่ไม่ได้ตั้งใจจะเจอ ก็คือแถวๆบริเวณบ้าน
    ที่เคยเป็นป่ามาก่อน แม้ว่าจะตัวสูงเท่าตึก ๔ ชั้นได้
    เผลอๆสูงกว่าอีกแม้ว่าตัวจะใหญ่ แต่ว่าตัวจะใส
    คือท่านนี้เป็นผู้ดูแลบริเวณป่าแถวนั้นอยู่
    ป่านว่า กำนั้นหรือผู้ใหญ่บ้านนั้นหละ..
    พอดีไม่ได้ถามชื่อ เลยไม่รู้ว่า ชื่ออะไร..

    ส่วนเปรตนั้น แม้ว่าเจอ ก็ใช่ว่าเราจะอุทิศส่วนกุศล
    ให้เค้าทีเดียวได้เลย มันต้องหลายรอบหน่อย
    เรียกว่า มีเหนื่อยกันทีเดียว เพราะดวงจิตพวกนี้
    เค้าจะติดวิบากตัวหนึ่ง ที่จะมาขวางในขณะที่
    เราส่งบุญให้เค้าไป เรียกว่า เราจึงต้อง กรรมกร
    แบบแรงงานพม่า กำลัง ๓ เลยทีเดียวถึงจะ
    ทำให้เค้าพอรับได้ ใช้กรรมกรแบบแรงงานไทย
    นิสัยรักสบายๆชิวๆ ปัญหาจะตามมาได้อยู่เรื่อยๆ...

    ส่วนเปรตแบบอื่นๆ คิดว่าคงพอมีประสบการณ์
    การกันเท่าหน้า เช่น อี เป รด หรือ บัก เป รด
    ตัวก็พอๆกับมนุษย์เรานี่หละนะ..เป็น เป - รด ได้ไงงง ??
    ประมาณนี้หละ๕๕๕
     
  7. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ผีเปรตในตำนานผีไทยกล่าวไว้ว่า มีอยู่ 12 ตระกูลให_่ๆ ใครอยากจะทราบราย ละเอียดต้องไปดูในคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ นิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ หรือดูจากจารึกการเปรีย_ ณ วัดพระเชตุพนฯ และห าอ่านได้จากประชุมศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ เล่ม 1 ซึ่งคัดลอกและถ่ายทอดมาโดยย่อ ดังนี้

    หิมวนตปปเทเส วิชาติเปโต นาม เปตวิสโย กาลครั้งหนึ่งยังมี ประเทศแห่งหนึ่งใ นป่าหิมพานต์ ชื่อว่าวิชาตประเทศ ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนรกขึ้นมา อันเป็นที่อยู่แห่งเปรตทั้งหลายมีมหิทธกาเปรตเป็นอธิบดีแก่เปรตทั้งปวง และตระกูลเปรตนั้นมีอยู่ 12 ตระกูล คือ
    1. วันตาสาเปรตตระกูล
    2. กูณปขาทเปรตตระกูล
    3. คูถขาทเปรตตระกูล
    4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล
    5. สุจิมุขเปรตตระกูล
    6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล
    7. นิชฌามกเปรตตระกูล
    8. สัตตังคาเปรตตระกูล
    9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล
    10. อัชครังคาเปรตตระกูล
    11. เวมานิกเปรตตระกูล
    12. มหิทธิกาเปรตตระกูล

    นอกจากเปรต 12 ตระกูลนี้ ยังมีเปรตอีก 19 จำพวก ได้แก่
    1. สุจิโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นเข็ม
    2. ขุรโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นกรด
    3. เอกปาทา คือ เปรตผู้มีเท้าข้างเดียว
    4. อเนกปาทา คือ เปรตผู้เท้ามาก
    5. เอกหตถา คือเปรตผู้มีมือข้างเดียว
    6. อเนกหตถา คือ เปรตผู้มีมือมาก
    7. เอกเจตตา คือ เปรตผู้มีจักษุข้างเดียว
    8. อเนกเนตตา คือ เปรตผู้มีจักษุมาก
    9. ได้แก่ เปรตจำพวกที่กินมลทินครรภ์เป็นอาหาร
    10. ได้แก่ เปรตจำพวกขนหยักเยื่อทูลศีรษะไว้เป็นนิตย์
    11. ได้แก่ เปรตจำพวกกายยาว 25 เส้น นอนกลิ้งอยู่ดุจแผ่นศิลา
    12. ได้แก่ เปรตจำพวกตัวจมอยู่บนภูเขาเพียง สะเอว ไฟไหม้อยู่
    13. ได้แก่ เปรตพวกไถนาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
    14. ได้แก่ เปรตจำพวกมีกายสูง มีกลิ่นตัวเหม็นยิ่งนัก
    15. ได้แก่ เปรตจำพวกมีพืชเป็นเหล็กเป็นเปลวเพลิงรัดศีรษะอยู่
    16. ได้แก่ เปรตจำพวกมีร่างกายผอม และเปลือยกายอยู่ตลอดเวลา
    17. ได้แก่ เปรตจำพวกรูปชั่วตัวผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ศีรษะกลั้วไปด้วยฝุ่น
    18. ได้แก่เปรตจำพวกดำดุจตอไฟไหม้ และ
    19. ได้แก่ เปรตจำพวกสูงเท่าลำตาล มีแต่หนังหุ้มกระดูก

    เปรตไม่สมประกอบ 4 ชนิด
    1. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ ร่างกายซูบผอมอดโซ
    2. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิการ เช่น กายเป็นอย่างร่างของมนุษย์ แต่ศีรษะ เป็นอย่างสัตว์ดิรัจฉาน เช่น ตัวเป็นคนหัวเป็นนกกาบ้าง...เป็นสุกรบ้าง...เป็นสุนัขบ้าง
    3. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิกล เสวยกรรมกรณ์ (รับกรรม รับอา_า) อยู่ตา มลำพังด้วยอำนาจบาปกรรมที่ได้กระทำเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่บนโลก มนุษย์
    4. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ปกติ แม้เป็นผู้เสวยก็มีวิมานอยู่ แต่ใน ราตรีต้องออกจากวิมานไปเสวยกรรมจนกว่าจะรุ่งเช้า เรียกว่าวิมานนิกเปรต

    เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่ง ซึ่งเคยทำบาปสร้างกรรมเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ครั้น ตายลงแล้วก็ต้องมารับผลกรรมตามที่ได้สร้างไว้ทำให้ต้องมีความเป็นอยู่ อย่างอดอยาก ผอมโซ ชอบส่งเสียงร้องหรือปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นเพื่อขอส่วนบุ_ให้ช่วยทำบุ_อุทิศ ส่วนกุศลไปให้บ้างเพราะอดอยากหิวโหยซะเหลือเกิน

    โดยทั่วไปคนส่วนให_่เข้าใจว่า เปรตเป็นผีชนิดหนึ่งที่มีลำตัวสูง บ้างว่าสูงเท่าลำตาล สูงเท่าต้นตาลหรือยอดตาล บ้างว่าสูงเท่าเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ บ้างว่าสูงเท่ายอ ดธง หากเป็นสมัยนี้คงต้องเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันใหม่ว่า สูงกว่าตึกห้าชั้น หรือสูงเท่ากับคอนโดมิเดียมริมน้ำอะไรทำนองนี้ สรุปใจความก็คือ เปรตเป็นผีที่มี รูปร่างสูงมาก จนมีคำพูดติดปากล้อใครที่ตัวโย่งๆว่า ....สูงยังกับเปรต แต่เนื่องจากกรรมหรือการกระทำในทางที่ชั่วร้ายมีแตกต่างกันไป เมื่อตายแล้วจึงได้เกิดเ ป็นเปรตชนิดต่างๆกัน เช่น คนที่ชอบดุด่าตบดีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ จะต้องไปเกิดเป็นเปรตจำพวกที่มีปากเท่ารูเข็ม มือโตเท่าใบพายหรือใบตาล อดอยากและหิวโ หยอยู่เป็นนิตย์ ลองคิดดูว่าหากใครเกิดมามีปากเท่ารูเข็ม เวลาจะกินข้าวต้องเอายัดเข้าปากไปทีละเมล็ดมันจะทรมานทรกรรมขนาดไหน เป็นคำขู่หรือเตือนสติข องคนโบราณ ให้ลูกหลาน มีความกตั__ู ให้การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชราและไม่ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจใครขืนเป็นอย่าง ที่ว่ารวมทั้งพวกเกกมะเหรกเกเร ชาวบ้ านก็จะพากันด่าประณามว่า...ไอ้เปรต คนที่ชอบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ตีไก่ เชือดหมู เชือดวัว อยู่เป็นอาจิณ เวลาตายไปแล้วอาจต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภท ตัวเป็นค นหัวเป็นไก่ หรือหัวเป็นหมู ตามแต่ผลกรรม ใครทำกรรมเอาไว้อย่างไรก็จะได้ผลกรรมอันนั้นตอบสนอง ฉะนั้นเปรตอาจมีอยู่หลายชนิดหลายจำพวก ใครอยากเห็นก็ลองดูรูปปั้นเปรตชนิดต่างๆ ได้ที่วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี
    เปรตมีที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไปตามประเภทและเผ่าพันธ์รวมทั้งคติความเชื่อ ที่บอกต่อหรือสืบทอดกันมา บางตำราว่าอาศัยอยู่ตามวัดคอยปรากฏตัวหลอกหลอ นหรือแสดงร่างให้เห็นเพื่อขอส่วนบุ_ บ้างว่าอยู่ตามท้องทุ่งตามทางเปลี่ยวใครไปเที่ยวดึกๆ กลับบ้านคนเดียวเดินผ่านศาลาวัด หรือตามทางแยก อาจเจอเปรตเดิ นตามหลังมาส่งถึงบ้าน หรือเดินเป็นเพื่อนมาตลอดทาง ซึ่งหากเจอเปรตก็ไม่ต้องตกอกตกใจอะไร วิ่งลูกเดียว หรือหากว่ามีเปรตและผีชนิดใดก็ตามขวางหน้าเรา อยู่ โบราณว่าอย่าวิ่งหันหลังกลับ เพราะจะโดนมันดักหน้า ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งฝ่าไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีกลางค่ำกลางคืน นอนอยู่บ้านสบายที่สุด...ว่ามั๊ย...

    เปรตกินอะไรเป็นอาหารคงไม่ต้องบอก เพราะไม่รู้เหมือนกันนอกจากมีความเชื่อกันว่า เวลาทำบุ_อุทิศส่วนกุศลให้แก่_าติที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเปรตก็จะมารับ ส่วนบุ_จากลูกหลานได้กินอิ่มหมีพีมันไปมื้อหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็อดอยากหิวโหย นอกจากพวกอาหารคาวหวานแล้ว บางทีลูกหลานจะถวายเสื้อผ้าเครื่ง อนุ่งห่มแก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อให้ผี_าติๆ ของตนไม่ต้องโป๊หรือเปลือยกายล่อนจ้อน ใครจะศรัทธาแก่กล้าถึงขนาดถวาย ซาวด์อเบาท์ หรือโทรทัศน์ วีดีโอ ซีดี. ก็ ตามถนัดไม่ผิดกติกาอันใด หากไม่มี_าติหรือ ลูกหลานคอยทำอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเปรตเหล่านี้จะหิวโหย ร้องโหยหวล เสียงร้องของเปรตไม่มีใครยืนยันได้ว่ าไพเราะเพราะพริ้งขนาดไหน นอกจากในบางตำรา บอกไว้ว่า มันส่งเสียงร้องดังกรี๊ดๆ เป็นเสียงหวิวหวีดฟังแล้วชวนวังเวง วิเวกวิโหวเหว คนล่ะอย่างกับที่พวก วัยรุ่นกรี๊ดกร๊าดเวลาเจอดารายอดนิยมหรือตอนดูคอนเสิร์ตหลังหมอชิต ว่ากันว่าที่เสียงมันดังกรี๊ดๆ ก็เพราะเกิดจากแรงดันของลมจากท้องผ่านช่องปากที่เล็กเท่า รูเข็ม เลยกลายเป็นเสียงอย่างที่บอก แบบนี้พวกเปรตที่มีหัวเป็นไก่ก็อาจจะร้องเสียง เอก-อี้-เอ้ก-เอ้ก ก็ได้ล่ะมั้ง ถ้าใครทำบุ_หากจะอุทิศก็ขอให้กล่าวหรือออกน ามพวกผีไม่มี_าติ หรือบรรดาผีๆ ทั้งหลายรวมทั้งคุณผีเปรตด้วย เพื่อที่จะได้ไม่หิวโหยร่างกายผอมโซจนน่าสงสาร

    หลังจากที่ถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิต นางวันทองได้กลายเป็นผีเปรตที่ไม่มีหั วหรือเปรตหัวขาด วันหนึ่งนางทราบข่าวว่าพระไวยวรนาถลูกชาย กำลังจะไปรบกับผู้เป็นพ่อคือขุนแผน เปรตนางวันทองกลัวพ่อกับลูกจะต้องฆ่ากันเอง พลอยเป็นบาปกรรมติดตัวกันไปเปล่าๆ ก็เลยออกมาห้ามทัพ โดยแปลงกายเป็นสาวงาม นั่งเล่นอยู่บนชิงช้า เพราะรู้ว่าพระไวยฯ นั้นชีกอเหมือนพ่อนั่นแหละพระไวยฯ ไม่ทราบความนัย จีบสาวงามที่ได้พบ แม้เธอจะบอกว่าเป็นแม่ หรือนางวันทอง พระไวยฯ ก็ไม่ยอมเชื่อจนนางต้องแปลงเพศกลับเป็นเปรตอย่างเดิมเพื่อให้เห็นแจ้ง ประจักษ์ ว่ากันว่า เปรตนอกจากจะมีรูปร่างผอมโซจนเห็นโครงกระดูกทุก ซี่และมีความสูงชนิดผีฝรั่งอายแล้ว มันยังสามารถ แลบลิ้นได้ยาวเท่ากบความสูงของตัวเองอีกด้วย อะไรจะเว่อร์ปานนั้น
    เปรตน่าจะเหมือนผีธรรมดาสามั_ทั่วไปคือ กลัวพระ กลัวเครื่องรางของขลัง ลอ งเจอเข้าเป็นเผ่นกระเจิง เพราะผีกับพระไม่ถูกกัน เหมือนงูกบเชือกกล้วยยังไงยังงั้น แต่สำหรับ ผีเปรตมีท่านผู้รู้แนะนำว่า หากใครเจอระหว่างทางหรือเจอที่ไห นก็แล้วแต่ ให้รีบบอกว่า...ไปที่ชอบๆ...หรือไปผุดไปเกิดซะเถอะ แล้วจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ เท่านี้ผีเปรตและผีทั้งหลาย ก็จะเลิกตอแย หายตัวแว๊บ..ไปเลย แ ล้วก็อย่าลืมทำตามสั__า เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเจออีกเป็นรอบที่สอง เพราะคุณผีเขามาทวงส่วนกุศลนั่นแหละ

    ผีเปรต หรือชาวอีสานเรียกว่า ผีเผด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เอ๊ย..ไม่ใช่ เกิดหรื อถือกำเนิดขึ้นตามผลกรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้ สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตำราโบราณกล่าวว่า เวลาที่เปรตตัวเดิมจะพ้นจากกรรมได้ไปผุดไปเกิด จะมีเปรตตัวใหม่ มารับตำแหน่งแทนดังมีเค้ามาจากนิทานพระมาลัยเรื่องหนึ่ง ดังนี้

    ยังมีมานพหนึ่งคนหนึ่งชื่อว่า มิตตวินทุ อยากจะไปเที่ยวทะเลกับพ่อค้าสำเภาจึงเ คี่ยวเข็_เอาเงินทองจากมารดาซึ่งเป็นแม่ม่ายใจบุ_ ด้วยความเป็นห่วงลูกชายมารดาก็ขัดขวาง มิตตวินทุปกติเป็นคนเกกมะเหรกเกเรอยู่แล้ว จึงโกรธจนลืมตัวถี บแม่จนล้มแล้วหนีไปเที่ยวทะเลจนได้ แต่ผลกรรมตามทันทำให้เรือแตก มิตตวินทุว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งที่เกาะแห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของพวกเปรต แต่ชายหนุ่มกลับม องเห็นกงจักรที่หมุนคว้างผ่าศีรษะของพวกเปรตเหล่านั้นเป็นดอกบัวซึ่ง ประดิษฐ์เป็นมาลาสวมใส่ไว้อย่างสวยงาม..เห็นเลือดที่ไหลย้อยมาตามตัวเป็น สังวาลสาย สร้อย เห็นพวกเปรตที่กำลังร้องครว_ครางยกมือยกไม้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดเป็น การร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข มิตตวินทุจึงเอ่ยปากขอพวกเปรตรู้ ว่ามีผู้มารับกรรมหรือรับ

    ช่วงต่อ แสดงว่าพวกตนได้พ้นจากกรรมที่เคยกระทำเอาไว้แล้วก็ดีใจ รีบยกให้อย่างไม่ลังเล จึงเป็นที่มาของคำพังเพยไทยที่ว่า "เห็นก งจักรเป็นดอกบัว เห็นสองโพดำเป็นสเปโต..." อะไรทำนองนี้แหละ

    ในพจนานุกรมฉบับต่างๆ กล่าวถึงเปรตพอรวมความได้ว่าเป็นสัตว์พวกหนึ่ง เกิ ดในอบายภูมิ แปลว่า แดนแห่งความทุกข์เป็นผีเลวจำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด รูปร่างสูงโย่งยังกับลำตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซเพราะอดอยาก ปากเท่ารูเข็ม..... สงสัยจะหมายถึงเข็มเย็บผ้ามากกว่าเข็มเย็บกระสอบ มีมือโตเท่าใบตาล กินเลือดและหนองเป็นอาหาร ร้องเสียงดังกรี๊ดๆ ไม่ใช่กรี๊ดกร๊าด ส่วนในหนังสือไ ตรภูมิพระร่วง พรรณนาเกี่ยวกับเปรตเอาไว้ว่า บางจำพวกอยู่ในมหาสมุทร บนยอดเขา ตามไหล่เขา แต่บางจำพวกก็อยู่ในปราสาท มีช้างม้าเป็นข้าทาส บางจ ำพวกเวลาข้างแรม เป็นเปรต เวลาข้างขึ้นเป็นเทวดา ฯลฯ อันนี้แล้วแต่บุ_กรรมที่ได้กระทำเอาไว้

    ทางภาคใต้ มีผีอยู่ชนิดหนึ่ง เรียกว่า 'ผีหลังกลวง" เป็นผีที่มีรูปร่างลักษณะอย่างค น แต่ข้างหลังเป็นรูกลวงสามารถมองเห็นเครื่องในประเภทตับไตใส้พุงได้หมด มีหนอนยั๊วเยี๊ย เวลาใครก่อไฟผิงอยู่กลางแจ้ง ผีหลังกลวงจะทำทีเข้ามาขออาศัย ด้วย แล้วหลอกหลอนโดยการแสดงให้เห็นอวัยวะภายในจากหลังที่กลวง บางทีมันแกล้งวานเด็กๆ เกาหลังให้ แล้วหลอกให้เห็นอวัยวะภายในหรือหลังที่กลวงซึ่งมีกิ๊งกือเต็มไปหมดผีพวกนี้ ไม่ทำร้ายใคร แต่จะหลอกหลอนให้ตกใจกลัว


    หัวข้อ: เปิดตำนานเปรต

    ที่มา:http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5033.0;wap2
     
  8. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เนื่องจาก มช เคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่าเรื่องผีทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอ ตรงนั้นจะเป็นวงเวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะ

    ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิต ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหอ 4 ชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอ 6 หญิง เรื่องนี้เล่ากันว่า ตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้

    บางคนอยากลองดี อยากลองดีก็มีวิธีให้ลอง

    วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืน ให้ไปขับรถวนทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (ปกติวงเวียนจะให้รถขับวนตามเข็มนาฬิกา) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้นไม่เคยมีใครขับรถทวนเข็มนาฬิกาไ ด้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ

    แต่วนไปรอบสองก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สาม จู่ๆก็มีเสาสองต้นมาตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้างแฉลบบ้างไปตามๆกัน ใครอยากรู้ก็ลองดูเอง อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชาย 4

    และหญิง 6 ฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆเล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิตไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ
     
  9. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    สมัยเด็กๆเคยได้ยินเพื่อนเล่าว่าใครอยากเห็นเปรตให้ถือไม้กวาดเดินวนรอบโบสถ์ 3 รอบ ตอนตีสาม จากนั้นให้ก้มมองรอดหว่างขาตนเอง แล้วจะได้เห็นในสิ่งที่ตนปรารถนา! ไม่รู้เกี่ยวกันยังไงหรือเป็นเคล็ดลับอะไรสักอย่างชวนให้คิดอยู่

    หรือช่วงนั้นพระคุณเจ้าท่านลุกขึ้นกวาดลานวัดเป็นประจำ แล้วแผ่เมตตาไปให้บ่อยๆ เปรตเลยจำได้ เลยปรากฎตัวเพื่อขอส่วนบุญ ชะลอยว่าคงมาขอบุญจากการทำความสะอาดเปล่า เจ้าเด็กวัดคนนั้นเลยได้เห็นแล้วนำมาถ่ายทอด(สมัยประถมมีเพื่อนเด็กวัดหลายคน) จนแล้วจนรอดเลยยังไม่มีใครกล้าพิสูจน์! ^_^

    คุณวงกรตจะลองดูก็ได้นิ :eek:
     
  10. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    แหมๆๆ ท่านหน่อพูดเข้า 555++ToT ตอนตีสามนี้ยังหลับอุตุ แถมอาจมีเสียงรถไฟที่ยังไม่ออกเดินทางร้องลั่นซะด้วยนิ 555
    เรื่องเดินวนรอบโบสถ์ กับมองรอดหว่างขา ได้ยินมาตั่งแต่เด็กค่ะ เคยทดลองมอง ไม่พบอะไร ก็จะพบได้ไงตอนกลางวัน 5555 แต่คิดว่าไม่จำกัดแค่เปรตนะคะ รวมถึงผีบริเวณนั้นด้วย ส่วนตอนตีสามนี้ ถ้ามารอรับบุญ คงไม่ต้องมองรอดหรอกค่ะ น่าจะเห็นเต็มๆสองตานี่ละค่ะ เห็นมีหลายเรื่องที่เณรพบกันมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2017
  11. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    ทางที่ดีอย่าไปอยากป๊ะกันแฮ่มกับหมู่เขาเลย เดี๋ยวเจอรูปโฉมแสนสะคราญตาจะสะทัานจนเป็นลม โอยใครเป็นคนคิดอยากเจอผีเจอเปรต ตอบ!!!

    ยอมเสียสละเกียรติที่จะได้ชนไหล่กับเซเลบดังอย่างเธอน่ะเปรตซี่ ใครอยากได้ตั๋วเชิญถามวิธีท่านพี่นพน่าจะรู้

    แต่เสียงเธอดีเกินหน้านักร้องเสียงโซปราโน่ สะเทือนทุกรูขุมขน ช้านไม่อยากต๊กกะใจอีก
     
  12. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    แต่จำได้ว่าตอนไปวัดอัมพวัน เวลาผ่านทางเดินรอเข้าไปกินข้าวจะมีคนหันไปไหว้ เรือนเทพกาหลง ไอเรานี่ก็ไม่รู้กับชาวบ้านเขาก็มองอย่างสงกะสัย

    จะความคันมันแตก ถามพี่คนนึงที่เป็นชุดขาวด้วยกัน ว่าตรงนั้นเขาไหว้ไรกัน
    เขาเลยเล่าประวัติคร่าวๆของแม่กาหลงให้ฟัง(หาในกูเกิ้ลน่าจะมี)
    ตอนนั้นนี่เพิ่งกิขข้าวก่อนเที่ยงใหม่ๆ
    แล้วก็เข้ากระบวนการปฏิบัติตามระเบียบ
    คราวนี้หาวน้ำหูน้ำตาร่วงพรูทำไรไม่ได้เลยเรา รออยู่นานก็ไม่หาย จะหลับจะหาวจนเหนื่อย เราเลยหลบไปห้องน้ำ ได้น้ำแก้วก็กรวดน้ำให้แม่กาหลง พอเสร็จหายยังกะปลิดทิ้ง นี่ถ้าไม่ทำคงไม่เป็นอันต้องทำอะไรเลย ลูกก็แค่ถามนิดเดียว นั่งฟังเขาพูดอย่างเดียว ทักลูกอีกแระ เฮ้อ
     
  13. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    โมทนาสาธุ..ขอให้เจอบ่อยๆ อิอิ
     
  14. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    คุณขุนลั้ลลาท่าจะชอบ ไม่ต้องอวยพรก็ได้ค่ะ อยู่ห่างๆอย่าง(ไม่ต้อง)ห่วงๆบ้างก็ได้
     
  15. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เมื่อวานผมไปเจอเปรตมาครับ พูดจริงๆ


    เมื่อวานผมขับรถไปรับแฟนที่ อ.ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ใกล้ๆวัดเจดีย์หอย ตอนที่ไปรับก็ประมาณ 6 โมงเย็นครับ
    แล้วผมก็ขับรถกลับประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ ระหว่างขับรถกลับ 2 ข้างทางเป็นทุ่งนาหมดเลยครับ มีบ้านคนอยู่เป็นหย่อมๆและถนนเส้นนั้นมันไม่มีไฟถนนด้วยครับ ผมขับไปเกือบจะถึง 3 แยกอยู่ละพอดีมองไปด้านขวา เห็นตะเกียงวางไว้แล้วมีคนนั่งอยู่ผมก็ งง ว่าเอ๊ะ ใครกันนะ มานั่งจุดตะเกียงในที่มืดๆแบบนี้ ผมหยุดรถแล้วเปิดกระจกไปมอง เห็นพระธุดงค์นั่งสมาธิปักกลดอยู่ใต้ต้นไม้ครับ
    ผมประหลาดใจมาก ว่าไม่น่าเชื่อว่าแถวนี้จะมีพระธุดงค์ด้วย ผมกับแฟนเลยยกมือไหว้ท่าน ทันใดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงวี๊ดๆ แอ๊บๆ อู๊ปๆ มันดังมาจากทุ่งนา ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็หันไปมอง และผมก็เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาเลยในชีวิต ผมเห็นคนรูปร่างสูงใหญ่มากๆ สูงกว่าต้นไม้แถวนั้นอีก กำลังเดินช้าๆเข้ามาทางพระธุดงค์
    ผมเห็นทีแรกมันอึ้งครับ พูดอะไรไม่ออกเลย รูปร่างมันสูงผอม ฝ่าเท้าใหญ่ มือใหญ่ มากันประมาณ 3-4 ตัวเห็นจะได้ มีอยู่ตัวนึงมีไฟลุกบนหัวด้วย

    ผมหยุดดูแค่ 5 วินาทีเองมั้ง แล้วผมก็รีบขับรถออกไปจากที่นั่นอย่างเร็วเลย เพราะยิ่งมันเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเห็นรายละเอียดชัดทุกที น่าสะพรึงกลัวมาก
    แฟนผมเล่าว่า ตอนที่ผมรีบขับรถออกมานั้น เธอเห็น มีตัวนึงเป็นผู้หญิงนมยานตกลงมาจนเกือบถึงหัวเข่า ผอมมาก แต่มือเท้าใหญ่ ดวงตามีสีแดงๆ
    ผมกับแฟนขับรถกลับบ้านก็คุยเรื่องนี้กันมาตลอดทาง คิดว่าคงเป็นเปรตมาขอส่วนบุญกับพระธุดงค์นั่น แต่มันไม่น่าเชื่อเลยนะ ที่จะมาเห็นอะไรแบบนี้
    ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นผีเลย ออกจะไม่เชื่อเรื่องผีด้วยซ้ำ แต่พอมาเห็นกับตานี่อึ้งไปเลยครับ ผีเปรตนี่มันมีจริงๆ ขอย้ำว่ามีจริงๆนะครับ!!!
    ผมเห็นมากับตาสองข้างเลย ผมตอนนั้นไม่ทันคิดและกลัวมากด้วย เลยไม่ทันได้ถ่ายรูปมา
    เรื่องนี้มันทำให้ผมเชื่อเรื่องผี เรื่องบุญ-บาป นรก สวรรค์มากขึ้นเลยครับ ของแบบนี้มีจริงแน่นอน ใครที่ไม่เจออย่างผมคงไม่เข้าใจ

    ที่มา : http://www.jokergameth.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ew.gif
      ew.gif
      ขนาดไฟล์:
      1.8 KB
      เปิดดู:
      57
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2017
  16. Mathura

    Mathura นะโม แปลว่า ผู้นอบน้อม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,161
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13,119
    @วงกรตน้ำ ขอบคุณค่ะหาเรื่องผีมาเล่าตลอด เคยอ่านเจอในหนังสือภาษาไทยเกี่ยวกับเปรตที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเท่านั้นแหละค่ะ ที่จำได้ พูดแล้วอยากอ่านอีกจัง
     
  17. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เรื่องนั้นน่าจะเป็นของอินเดีย แบบคล้ายนิทานเวตาลอะค่ะ ที่ว่าลูกชายทำร้ายมารดา และขโมยทรัพย์มาขึ้นเรือ ระหว่างทางเรือเกิดร่ม แต่รอดชีวิตมาติดบนเกาะแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้พบพวกที่อาศัยอยู่บนเกาะ ดูมีชีวิตแสนสุขสบาย วันๆเอาแต่สนุกสนาน ร้องรำทำเพลงกันทุกวัน ทุกคนมีมุงกุฎดอกบัวงดงามสวมใส่ มีสายสังวานคล้องจากมงกฎยาวเป็นสายลงมา เขาก็เกิดความโลภอยากได้บ้างก็ขอมงกุฎจากชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นก็ดีใจหมดกรรมละทีนี้ ยินดียกมงกุฎให้ทันที เมื่อได้มาก็รีบสวม จึงตระหนักรู้ว่า มงกุฎดอกบัวนั้นแท้จริงแล้วคือกงจักรที่หมุนวนชำแหละหัวเปรตทั้งหลาย สายสังวานงดงามที่เห็นแท้จริงแล้วเป็นน้ำเลือดน้ำหนองที่ไหลลงมาเป็นสาย เสียงขับร้องเพลงที่เสนาะหู ก็เป็นเสียงร้อง กี๊ดๆๆๆ!!! ของเปรต ที่ว่าร้องรำทำเพลง คืออาการเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานจนไม่มีเวลาแม้จะหยุดพัก จึงเป็นที่มาของ
    " เห็นกงจักรเป็นดอกบัว " ฉะนี้นั่นเองค่ะ
    ปล.เดี๋ยวจะหาต้นฉบับมาลงให้ค่ะ วันก่อนพึ่งอ่านเจอมา
     
  18. Mathura

    Mathura นะโม แปลว่า ผู้นอบน้อม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,161
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +13,119
    @วงกรตน้ำ ใช่ๆ พออ่านเรื่องเปรต เลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ อีกเรื่องจะเป็นเรื่องเปรตสามตนจากหนังสือกฏแห่งกรรม ปกขาว ที่เคยอ่านสมัยเด็กๆนะคะ นอกนั้นก็ไม่ได้เจอเรืองเปรตอีก เว้นแต่ผีเปรตนางวันทอง จากเรื่องขุนช้างขุนแผน สนุกดี ขอบคุณค่ะ

    สนุกดี จะรอเกาะกระทู้อ่านนะคะ

    @devotee57 มีวิธีการเรียกคุณผีได้น่ารักมาก เปรตซี่ โซปราโน ฮามาก ช่างสังเกตเป็นเลิศ สุดยอดๆ ขอคารวะเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2017
  19. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เปรตสามสาวงาม


    คืน วันหนึ่งตอน ๓ ทุ่ม ขณะที่ท่านพระอาจารย์จันทาเดินจงกรมอยู่ในป่าช้าแห่งนั้น บรรยากาศอันสงัดวิเวกวังเวงได้เย็นเยือกลง มีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยมาจนทำให้สะอึก ท่านคิดว่า ชาวบ้านฝังผีไม่ลึก ทำให้สุนัขมาขุดคุ้ยหลุมผี ลากเอาศพเน่าแล้วขึ้นมากิน กลิ่นศพเลยกระจายมาตามกระแสลม จึงสูดลมหายใจแรง ๆ เอากลิ่นศพเข้าปอด วิธีนี้จะทำให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับกลิ่นเหม็นได้สนิท ความเหม็นเน่าจะทุเลาลง วิธีนี้สัปเหร่อแนะนำให้ไว้
    แล้วท่านก็เดินจงกรมต่อไปกำหนดพุทโธตามจังหวะย่างก้าวไม่นานจิตร่วมลงเกิดโอภาสสว่างจ้า

    ใน แสงสว่างนั้น เห็นนิมิตเป็นหญิงสาว ๓ นาง ตัดผมสั้นคล้ายทรงผมผู้หญิงออกศึกสงครามสมัยโบราณ ผิวขาวร่างสูงใหญ่ ๘ ศอก สวยมาก แต่เปลือยกายล่อนจ้อน เข้ามาหยุดยืนห่างในระยะประมาณ ๒ วา ที่ของลับนางทั้ง ๓ มีหนอนตัวเท่านิ้วมือจำนวนมากมายเจาะอยู่ยุ่บยั่บน่าหวาดเสียว น้ำเหลืองน้ำหนองไหลพลั่ก ๆ ลงมาที่พื้นดินจิตบอกว่า นางทั้ง ๓ นี้เป็นเปรต !

    นางเปรตทั้ง ๓ ได้เดินไปยืนคร่อมเครือเถาวัลย์ แล้วถูไปถูมาทำให้หนอนที่รุมเจาะของลับอยู่นั้นร่วงพรูลงมา เป็นภาพที่ทำให้สังเวชสลดใจยิ่งนัก ท่านพระอาจารย์จันทากำหนดจิตถามว่า

    “ทำกรรมทำเวรอันใดไว้ถึงได้มาตกค้างอยู่ในสภาพนี้โยม?”

    นางเปรตทั้ง ๓ ร้องเสียงดังโหยหวนไปทั้งป่าช้า ร่ำไห้น่าสงสาร กล่าวตอบว่า
    “พวกข้าน้อยมีทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหลือเกินท่านครูบาเอ๊ย ตั้งแต่สมัยตั้งเมืองนครพนมหลายร้อยปีนานมา

    พวก ข้าน้อยเป็นสาวงาม เมื่อมีผัวแล้วก็เล่นชู้นอกใจผัว ไม่เลือกเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าหรือฆราวาส ฝ่ายผัวรู้เข้าก็คับแค้นใจ สาปให้ตายไปเป็นเปรต ถูกฝูงหนอนรุมเจาะของลับเช่นนี้แหละ”
    “อยากจะพ้นทุกข์นี้ไหมล่ะโยม ?”
    “อยากพ้นเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้จะพ้นได้อย่างไร ?”

    ท่านพระ อาจารย์จันทาจึงกำหนดจิตถามพระธรรม ซึ่งก็คือ พุทโธหรือจิตนั่นเอง พระธรรมบอกว่า เปรต ๓ นางนี้เคยเป็นญาติกันมาในชาติก่อนหลายภพชาติ เคยช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันมา สมควรจะช่วยเหลือพวกนางให้ไปเกิดในสุคติภูมิหลาย ภพชาติมาล้วนไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าองค์ใด สามารถช่วยเหลือเปรตทั้ง ๓ นางนี้ได้เลย เมื่อมาเจริญภาวนาในป่าช้าแห่งนี้แล้วจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็ไม่สามารถมองเห็นเปรตทั้ง ๓ นางได้

    ในชาติ ปัจจุบัน พระที่มาเจริญภาวนาในป่าช้านี้จำนวนหลายองค์ จิตไม่มั่นคง เพราะถูกพวกเปรตในป่าช้ารบกวน ก็หนีไปอยู่เสียที่อื่น ไม่ได้ช่วยให้พวกเปรตหลุดพ้นทุกข์ไปได้ รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวเนื่องเป็นญาติกันด้วย

    ท่านพระอาจารย์จันทา สังเวชสลดใจ บาปกรรมช่างร้ายแรงน่าสะพรึงกลัวนี่กระไร จึงบอกให้นางเปรตทั้ง ๓ ตั้งใจรับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้วจึงสอนให้เดินจงกรมภาวนาพุทโธสอนให้หัดไหว้พระสวดมนต์ กำชับให้เจริญภาวนาพุทโธ เอาพุทโธเป็นสรณะที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาอย่าได้ขาด

    “เมื่อชาวบ้านญาติโยมมาทำบุญสุนทานในวัด ก็ให้โยมทั้ง๓ ฟังเทศน์ฟังธรรมกับเขา รับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ ศีล ๘ กับเขา

    เผื่อ เขากรวดน้ำอุทิศกุศลให้เปรตขนก็โมทนายินดีรับเอากุศลนั้นด้วย จะได้หมดกรรมในเปรตวิสัยภูมิเร็วขึ้น” ท่านพระอาจารย์จันทากำชับนางเปรตทั้ง ๓
    ท่านเล่าว่าต่อมาบางวันสงบ ๆ ในเวลากลางวัน จะได้ยินเสียงนางเปรตทั้ง ๓ กรีดร้องโหยหวนร่ำไรรำพันว่า

    “เจ้าศีลเจ้าธรรมคูรบาเอ๊ย เมื่อไหร่หนอ พวกข้าน้อยจะพ้นจากเวรกรรมเสียที ทุกข์ยากเจ็บปวดแท้ น้อ”

    บาง คืนเปรตก็ร้องคร่ำครวญน่าเวทนายิ่งนัก เวลาท่านเดินจงกรมตอนกลางวันกลางคืน นางเปรตและผีทั้งหลายในป่าช้าพากันนั่งเต็มไปหมดคอยรับเอาส่วนกุศลที่แผ่ให้ แล้วจึงไปภาวนาทำความเพียรช่วยตัวเอง

    “ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าพระ กรรมฐานทุกองค์แม้จะได้ฌานสมาธิ แต่ก็ไม่ได้เห็นผีเห็นเปรตหรือเห็นเทวดาเหมือนกันหมดทุกองค์ พระกรรมฐานที่จะเห็นได้
    ส่วนมาก เคยมีกรรมเก่าพัวพันกับผีสางเทวดาเหล่านั้นมาแล้วในชาติปางก่อน
    อาตมาเกิดนิมิตในสมาธิเห็นพวกวิญญาณได้เห็นจะเนื่องจากอาตมาเคยมีกรรมพัวพันกับพวกเขามาก่อน ไม่ใช่อาตมาได้ตาทิพย์อะไรหรอกนะ ครูบาอาจารย์ยังได้สอนอีกว่า อำนาจสมาธิอาจสามารถทำให้เห็นอดีต เห็นปัจจุบัน เห็นอนาคต ได้

    แต่ ถ้าผู้ได้สมาธิระดับนี้ใช้สอดส่องเพ่งมองอดีต ปัจจุบันและอนาคต เป็นการอวดตนหรือหวังลาภสักการะแล้ว ย่อมจะทำให้การก้าวหน้าทางโลกุตรธรรมหยุดชะงักลงอย่างหมดหวัง น่าสลดสังเวช ประดุจดอกไม้ยังไม่ทันได้บานขึ้นเต็มที่ก็พลันเหี่ยวแห้งร่วงโรยไปเสีย ไม่มีโอกาสได้กระจายกลิ่นหอมหวนทวนลมแม้แต่น้อย
     
  20. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ประเพณีทำบุญสารทเดือนสิบ พิธีชิงเปรต


    คนภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อ ซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์ โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพชนและญาติที่ล่วงลับ ซึ่งเชื่อว่าได้รับการปล่อยตัวมาจากภูมินรก ที่ตนต้องจองจำอยู่เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยทำไว้ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากภูมินรกในทุก วันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์ โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง ที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังภูมินรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10


    ช่วงระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบ จะมีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ ถึง วันแรม 15 ค่ำ เดือน10 ของทุกปี แต่สำหรับวันที่ชาวใต้มักจะนิยมทำบุญกันมากคือ วันแรม 13 ถึง 15 ค่ำ ประเพณีวันสารทเดือนสิบ โดยในส่วนใหญ่แล้วจะตรงกับเดือนกันยายน

    การจัดหฺมฺรับ

    เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือนสิบ ซึ่งเรียกกันว่า “วันหลองหฺมฺรับ” (หฺมฺรับ อ่านออกเสียง ม ควบ ร เป็นคำภาษาไทยถิ่นใต้)แต่ละครอบครัวหรือวงศ์ตระกูล จะร่วมกันนำข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ มาจัดเป็นหฺมฺรับ สำหรับการจัดหฺมฺรับนั้น ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน จะจัดเป็นรูปแบบใดก็ได้ แต่ลำดับการจัดของลงหฺมฺรับ จะเหมือน ๆ กัน คือ เริ่มต้นจะนำกระบุง กระจาด ถาด หรือกะละมัง มาเป็นภาชนะ แล้วรองก้นด้วยข้าวสาร ตามด้วยหอม กระเทียม พริก เกลือ กะปิ น้ำตาล และเครื่องปรุงอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ ต่อไปก็ใส่ของจำพวกอาหารแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม และผักผลไม้ที่เก็บไว้ได้นาน ๆ เช่น ฟักเขียว ฟักทอง มะพร้าว ขมิ้น มัน ลางสาด เงาะ ลองกอง กล้วย อ้อย ข้าวโพด ข่า ตะไคร้ ฯลฯ จากนั้นก็ใส่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ไต้ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันก๊าด ไม้ขีด หม้อ กระทะ ถ้วยชาม เข็ม ด้าย และเครื่องเซี่ยนหมาก สุดท้ายก็ใส่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการจัดหฺมฺรับ คือ ขนม 5 อย่าง ( บางท่านบอกว่า 6 อย่าง ) ซึ่งขนมแต่ละอย่างล้วนมีความหมายในตัวเอง คือขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพ สำหรับผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ ขนมลา แทนเครื่องนุ่งห่มแพรพรรณ ขนมกง หรือ ขนมไข่ปลา แทนเครื่องประดับ ขนมดีซำ แทนเงินเบี้ย สำหรับใช้สอย ขนมบ้า แทนสะบ้า ใช้เล่น ในกรณีที่มีขนม 6 อย่าง ก็จะมีขนมลาลอยมัน ซึ่งใช้แทนฟูกหมอน เข้าไปด้วย

    การยกหฺมฺรับ

    ในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ซึ่งเป็นวันยกหมฺรับ ต่างก็จะนำหมฺรับพร้อมภัตตาหารไปวัด โดยแต่ละคนจะแต่งตัวอย่างสะอาดและสวยงาม เพราะถือเป็นการทำบุญครั้งสำคัญ วัดที่ไปมักจะเป็นวัดใกล้บ้านหรือวัดที่ตนศรัทธา การยกหมฺรับไปวัดอาจต่างครอบครัวต่างไปหรืออาจจัดเป็นขบวนแห่ ทั้งนี้เพื่อต้องการความสนุกสนานรื่นเริงด้วย วัดบางแห่งอาจจะจัดให้มีการประกวดหฺมฺรับในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น ได้จัดให้มีขบวนแห่หมฺรับอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาในงานเดือนสิบทุก ๆ ปี โดยมีองค์กรทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนต่างส่งหฺมฺรับของตนเข้าร่วมขบวนแห่และร่วมการประกวด ซึ่งในช่วงเทศกาลนี้สามารถจูงใจนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราชมากยิ่งขึ้น

    เมื่อขบวนแห่หฺมฺรับมาถึงวัดแล้ว ก็จะร่วมกันถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้วจะร่วมกัน “ตั้งเปรต” เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ในอดีตมักตั้งเปรตบริเวณโคนต้นไม้หรือบริเวณกำแพงวัด แต่ปัจจุบันนิยมตั้งบน “หลาเปรต” โดยอาหารที่จะตั้งนั้นจะเป็นขนมทั้ง 5 หรือ 6 อย่างดังกล่าวข้างต้น รวมถึงอาหารอื่น ๆ ที่บรรพชนชอบ ตั้งเปรตเสร็จแล้ว พระสงฆ์จะสวดบังสุกุล โดยจับสายสิญจน์ที่ผูกไว้กับหลาเปรต เมื่อพิธีสงฆ์เสร็จสิ้น ผู้คนจะร่วมกัน “ชิงเปรต” โดยการแย่งชิงอาหารบนหลาเปรต ทั้งนี้นอกจากเพื่อความสนุกสนานแล้วยังมีความเชื่อว่า หากใครได้กินอาหารบนหลาเปรตจะได้รับกุศลแรง เป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เสร็จสิ้นการชิงเปรตต่างก็แยกย้ายกลับบ้านด้วยใจอิ่มบุญ


    ประเพณีชิงเปรต

    ชิงเปรต เป็นประเพณีของภาคใต้ที่ทำกันในวันสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีที่ดำรงอยู่บนความเชื่อของการนับถือผีบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ[1]ไปแล้วหากยังมีบาปอยู่จะกลายเป็นเปรตในภูมินรกปีหนึ่ง จะถูกปล่อยให้มาเมืองมนุษย์ 15 วัน โดยมาในวันแรม1 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งถือว่าเป็น วัน "รับเปรต" หรือ วันสารทเล็ก ลูกหลานต้องเตรียมขนมมาเลี้ยงดูให้อิ่มหมีพีมัน และฝากกลับเมืองเปรต ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 นั่นคือวันส่งเปรตกลับคืนเมือง เรียกกันว่าวันสารทใหญ่[2]

    ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนได้ยืนยันว่า การชิงเปรตไม่เป็นความอัปมงคลแก่ผู้ชิงเปรตแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับถือว่า เป็นการได้บุญ เพราะเชื่อกันว่าหากลูกหลานของเปรตใดชิงได้ เปรตตนนั้นย่อมได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนั้น[3]

    พิธีกรรม

    การตั้งเปรตและชิงเปรต จะกระทำกันในวันยกหมฺรับไปวัดหลักๆ ก็จะมีขนมพอง ขนมลา ขนมเบซำ(ดีซำ) นอกจากนี้ก็อาจจะมีเป็นผลไม้หรืออาหารแห้งอื่นๆ ที่บรรพบุรุษที่เป็นเปรตชอบ ไปวางรวมกันไว้บน "ร้านเปรต" หรือ หลาเปรต หลังจากที่พระสงฆ์ได้ทำพิธีกรรมและกำลังฉันเพล ชาวบ้านก็จะออกมาตักบาตรข้าวสวย และเริ่มชิงเปรตกัน ซึ่งขั้นตอนนี้ก็จะมีทั้งความชุลมุนและความสนุกสนานผสมกัน เป็นที่เฮฮาของบรรดาผู้ที่มาชิงเปรต

    ที่มา : https://th.m.wikipedia.org
     

แชร์หน้านี้

Loading...