เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    อานุภาพพระมหาลาภคำข้าว

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ ตั้งแต่ได้ พระมหาลาภคำข้าว มารู้สึกดีไปเสียทุกด้าน เช่นชอบฝันว่า หลวงปู่ปาน เอาเหล็กไหลมาให้หลายครั้ง 2. คิดอะไรก็คล่องแคล่วไปเกือบทุกอย่าง สิ่งอะไรที่ไม่เคยมุ่งหวังก็สำเร็จ สิ่งใดที่เกินความม่งุหวังก็ได้ ที่จะเรียนถามก็คือ ลูกอยากจะให้ได้ผลเนี๊ยบ ! ไปยิ่งกว่านี้ จึงอยากได้วิธีพูด วิธีอาราธนา วิธีบูชา พระมหาลาภคำข้าว แบบฉบับที่ถูกต้องจากหลวงพ่อ เพื่อให้เกิดความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งๆขึ้นไปเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เอาแค่นั้นนะดีแล้ว แค่ที่ทำล่ะนะ ถ้าทำอย่างนี้มันเป็นโลภะ มันจะตัด เดี๊ยวจะเจ๊ง...!

    ผู้ถาม : แบบพระที่ปลุกเสกแล้วที่วัดท่าซุง จะเอาให้หลวงพ่อเสกใหม่ หลวงพ่อบอกว่าอะไรนะ....?

    หลวงพ่อ : ไม่เอา ! ก็เขาเสกเข้าไปแล้ว ถ้าเสกอีกทีก็ต้องเอาออก มันดีอยู่แล้ว ทำตามนั้น อย่าดิ้นรนมากเกินไป จิตฟุ้งซ่าน จิตฟุ้งซ่านเป็นโลภะด้วย เป็น อุทธัจจกุกกุจจะ เลยตัดความดี

    ผู้ถาม : กราบเท้านมัสการหลวงพ่อสุดที่รักและบูชาของลูกที่เคารพ ลูกไม่เคยรบกวนหลวงพ่อเลย แต่วันนี้หนักใจ ไม่ไหวจริงๆเจ้าค่ะ คือว่านับตั้งแต่ลูกได้ัรับหลวงพ่อมหาลาภคำข้าวไปแล้ว ปรากฏว่าได้อะไรแปลกๆที่ไม่คาดฝัน เช่น 1. บริษัทคิดเงินเดือนเกินให้ 5 เดือน

    หลวงพ่อ : โอ๊ย ! แหม..มันน่าจะคิดทุกเดือนแบบนี้นะ

    ผู้ถาม : 2. วันนี้ยังไงก็ไม่ทราบให้เกินอีก 3 พัน เลยลูกตัดสินใจมาถวายหลวงพ่อ 100 บาท (ปู้โธ่ถัง)

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ยังดี ได้เต็ม 100 %

    ผู้ถาม : ที่จดหมายมานี้ไม่ใช่อะไรหรอกเจ้าค่ะ 1. มากราบขอบคุณหลวงพ่อ 2. ถ้าเลื่อนเมื่อไหร่ ให้พิเศษเมื่อไหร่ อาจจะมาถวายอีก 50

    หลวงพ่อ : เดี๊ยว ! เลื่อนขึ้นหรือเลื่อนลง ถ้า 50 ต้องเลื่อนลงนะ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : โอ..ยังงี้ก็เป็นอันยืนยันได้เลยว่า พระคำข้าว มีลาภจริงๆนะ แต่ว่าไม่เป็นไร ที่ท่านไม่ได้ก็คอย หลวงพ่อหางหมากนะ

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กันยายน 2543)


    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2016
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    [​IMG]

    " พลังอำนาจ " ยันต์เกราะเพชร " ลูกหลวงพ่อ "

    การที่ข้าพเจ้าได้นำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ น่าสนใจเรื่องหนึ่งที่บรรดาท่านทั้งหลายมียันต์เกราะเพชรไว้ประจำตัวและผู้ เขียนเองก็ห้อยคออยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะไปไหนหรือแม้แต่เวลานอนก็ยังอยู่ที่คอ ตลอดเวลา

    เรามีของประจำตัวนั้น บางทีเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เครื่องรางของขลังนั้นจะสามารถป้องกันตัวเราให้พ้นจากอันตรายได้หรือเปล่าก็ ไม่ทราบ ซึ่งคงมีหลายท่านที่มีความคิดเหมือนกับข้าพเจ้า บางท่านอาจจะมีประสบการณ์มาแล้ว รู้ได้เฉพาะตัวของท่านเอง ไม่อยากจะเล่าให้คนอื่นฟังเพราะถ้าเล่าให้ฟังแล้วอาจจะไม่เชื่อก็ได้

    เรื่องเครื่องลางของขลังนั้น ถ้าเรามีความรู้จะพิสูจน์ว่าจะสามารถป้องกันหรือคุ้มครองให้แก่เราได้หรือ ไม่นั้น เราก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นแจ้งชัดกันไปเลย

    ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อฤาษีเป็นครั้งแรกที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา นับว่าเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าในการไปหาท่านครั้งนี้ ข้าพเจ้าทำสมาธิมาหลายปีแล้ว ประมาณสัก 15 ปี เห็นจะได้ ทำโดยไม่มีครูหัดเลย อ่านจากหนังสือแล้วก็ทำเอง ทำถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีงามที่หลวงพ่อเดินทางไปอเมริกาจะได้ฝึกสมาธิเป็น ทางการเสียที นอกจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาเมืองไทย ถ้ามาเมืองไทยก็ไม่แน่นักจะได้พบหลวงพ่อ เพราะได้ข่าวว่ามีคนมาพบหลวงพ่อแน่นทุกวัน

    ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะขับรถยนต์ไปกับภรรยาและลูกของข้าพเจ้า ให้ถึงเมืองชิคาโก แต่เผอิญข้าพเจ้าได้เจ็บป่วยเสียก่อนโดยเป็นไข้หวัดธรรมดาเอง แล้วก็มาติดภรรยาเสียอีกเขาก็เลยเจ็บป่วยกันงอมแงม เลยตัดสินใจมาคนเดียว โดยมาทางเครื่องบิน แต่ไข้หวัดเจ้ากรรมมันก็ยังไม่หาย ข้าพเจ้าก็กังวลใจกลัวจะไม่มีโอกาสได้พบหลวงพ่อ

    คืนวันก่อนเดินทางหนึ่งวัน ข้าพเจ้าก็ได้ไหว้พระและอธิษฐานขอให้ข้าพเจ้าหายจากเจ็บป่วยเถอะ ลูกจะได้พบหลวงพ่อตามความตั้งใจ พอรุ่งเช้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น สดชื่นกว่าทุกวัน และสามารถขับรถไปได้อีก 2 ชั่วโมงเพื่อไปขึ้นเครื่องต่อ

    เมื่อมาถึงเมืองชิคาโก ได้มาพักอยู่บ้านคุณบุษกรซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้จักกันมาก่อนเลย เธอให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเหมือนกับเป็นญาติพี่น้องกันมาก่อน ขอขอบพระคุณคุณบุษกรมา ณ โอกาสนี้ด้วย ก็เป็นอันว่าได้พบหลวงพ่อที่บ้านพักคุณอมร ริดใจบุญ (ขณะนั้นยังไม่ได้บวช) ในวันเดียวที่ข้าพเจ้าได้ถึงเมืองชิคาโก

    ข้าพเจ้าได้ฝึกสมาธิตามแบบมโนมยิทธิของหลวงพ่ออยู่ถึง 2 วัน ตามกำหนดแล้วหลวงพ่อให้ฝึก 3 คืน แต่ผมอยู่ไม่ได้มีธุระต้องกลับบ้าน ผลที่ได้รับจากการฝึกสมาธิแบบมโนมยิทธิของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าดีใจเป็นอย่างมาก พูดกับตนเองว่าเกิดมาชาตินี้ทั้งทีไม่เสียชาติเกิด เพราะว่าข้าพเจ้าได้พบของวิเศษในชีวิตที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย การฝึกสมาธิแบบนี้ ผลที่ได้รับนั้นจะมีฤทธิ์ทางใจจริงๆ เพราะสามารถเห็นผี เทวดา พรหม และแม้กระทั่งเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานได้ นอกจากใจเห็นได้แล้ว ยังสามารถคุยกับพวกพรหม เทวดาได้อีก ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกมากเพราะธรรมดาเรื่องเหล่านี้ถ้าใครมาคุยให้ข้าพเจ้า ฟังแล้วจะไม่สนใจนัก แต่ก็ไม่ปฏิเสธเมื่อมาพิสูจน์ได้แล้วก็ต้องเชื่อ อย่างไม่มีความสงสัย

    เมื่อเรามีความรู้ในทางทิพย์ เราก็ต้องทดลองเครื่องลางของขลังที่มีอยู่กับตัวเราให้ประจักษ์แก่ใจว่าจะมี จริงเพียงไร ข้าพเจ้าเป็นศัลยแพทย์ทางผ่าตัดทั่วไป ประจำอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา

    วันหนึ่งคนไข้ของข้าพเจ้าเจ็บหนัก และถึงขั้นสลบ ไม่รู้ตัว (โคม่า) แต่การเจ็บป่วยครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการผ่าตัด เกิดจากการเป็นอัมพาต แล้วมีโรคปอดบวมเข้า มีไข้สูงมาก เป็นอันว่าคนไข้คนนี้ตายแน่เพราะอายุก็เข้าไป 80 ปีแล้ว ขณะปลอดคน ยังไม่มีพยาบาลเข้ามาดูแลคนไข้ ข้าพเจ้านั่งอยู่ข้างเตียง จิตใจสงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะไม่ใช่เรื่องของการผ่าตัด ข้าพเจ้าก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า อาจจะมีวิญญาณภูติผีในห้อง อาจจะเป็นได้ ก็เลยทำจิตให้สงบแล้วค่อยๆ ใช้กระแสจิตกวาดไปในห้อง ครั้งแรกเริ่มกวาดจากขวามาซ้าย กวาดไปช้าๆ พอมาถึงมุมห้อง รู้สึกว่ากระทบอะไรเข้าอย่างหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่ดูว่าเป็นอะไร เสร็จแล้วก็ทำแบบเดิม เริ่มจากทางซ้ายของห้องมาทางขวาพอมาถึงมุมห้องเดิมก็สะดุดสิ่งอันเดิมอีก

    ทีนี้ข้าพเจ้าก็เลยเอาจิตเพ่งที่มุมห้องทันที เพ่งสักพักก็เห็นชัดขึ้นมา พบว่าเป็นคนยืนอยู่ที่มุมห้องลักษณะเป็นชายร่างท้วม ผิวค่อนข้างขาว ไม่สูงนัก ใส่เสื้อแบบเสื้อยืดสีขาวค่อนข้างสกปรก แถมยังมีผ้ากันเปื้อนที่หน้าอก เหมือนกับที่แม่ครัวใส่เวลาทำกับข้าวแม้กระทั่งเสื้อกันเปื้อนยังสกปรก มือขวาถือหอกยาว ปลายหอกดูเหมือนจะมีสามแฉก นุ่งกางเกงขาสั้นแต่เลยเข่าไปหน่อย ใส่รองเท้าสานแบบนักรบโรมัน ขณะที่ยืนอยู่ก็ยืนอยู่ไม่นิ่ง เดี๊ยวเหลียวซ้ายแลขวา บางทีก็ทอดอารมณ์

    ข้าพเจ้าเป็นคนขี้สงสัยก็เลยขยับปากถามเพราะอยากรู้ว่าเจ้านี่คือใคร มาทำอะไรอยู่ในห้องนี้ แล้วถามเป็นภาษาอังกฤษออกไป คิดว่ามันเป็นผีฝรั่งแน่ ข้าพเจ้าถามว่า " คุณคือใคร...? "

    เท่านั้นแหละตาที่กำลังทอดอารมณ์อยู่ก็กลับมาจ้องเขม็งตรงมายังข้าพเจ้า เขาตอบว่า " มาเฝ้าไข้ "

    ข้าพเจ้าเลยถามต่อไปว่า " มาเฝ้าเพื่ออะไร ? "

    เขาตอบว่า " เพื่อจะเอาคนไข้ไป "

    ข้าพเจ้าถามอีกว่า " เอาไปเพื่ออะไร ? "

    เขาตอบว่า " ไม่รู้ เขาใช้ให้มาเอาไป "

    ข้าพเจ้าก็เลยนึกขึ้นได้ว่าไอ้เจ้าคนนี้ก็คือยมบาลเราดีๆนี่เอง คงจะเป็นยมบาลชั้นลูกน้อง เพราะถามอะไรแล้วก็ไม่รู้เรื่องนัก คงไม่ฉลาด ถ้าฉลาดแล้วเขาคงไม่ให้มายืนเฝ้าแบบนี้

    พอมาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงได้ยินคำบอกเล่าต่อกันมาว่า เวลาคนเราใกล้จะตายหรือตายแล้ว จะมียมบาลมาเอาวิญญาณไป ดังนั้นเรื่องก็เป็นจริงตามคำบอกเล่าของคนโบราณที่เล่ากันต่อๆมา

    ข้าพเจ้าก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า " คุณรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นหมอและเคยรักษาคนไข้คนนี้ "

    เขาตอบว่า " รู้แล้ว "

    ข้าพเจ้าก็เลยพูดต่อไปอีกว่า " เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คนไข้คนนี้เป็นคนไข้ของฉัน ฉันรักษาเขามาหลายหนแล้ว และนับถือเขาเหมือนญาติ ฉันจะไม่ยอมให้คนไข้คนนี้แก่ท่าน แล้วท่านจะว่าอย่างไร ? "

    เขาตอบ " ไม่ให้ไม่ให้ ต้องเอาไปให้ได้ "

    ข้าพเจ้าก็เลยพูดสำทับต่อไปอีกว่า " ฉันจะไม่ยอมให้จริงๆ แล้วคุณจะว่าอย่างไร ?"

    เขาก็ตอบว่า " ก็ต้องสู้กันเท่านั้น "


    (1/3)
    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2015
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    พอพูดจบไอ้เจ้านี่แสดงฤทธิ์ทันทีโดยแกว่งหอกที่กำลังถืออยู่เข้ามาตรงหน้า ของข้าพเจ้า ห่างจากหน้าข้าพเจ้าประมาณ 1 ศอก เฉียดพอดูข้าพเจาก็เลยนึกได้ทันทีว่า ถ้าเราพบเหตุการณ์อย่างนี้ก็ต้องพึ่งพระเป็นที่พึ่ง และได้นึกถึงยันต์เกราะเพชรที่อยู่บนหน้าอก แต่ผมมีกำลังใจ ไม่กลัวมันเท่าไหร่หรอก ข้าพเจ้าก็ยังถามมันต่อไปอีกว่า " จะสู้แน่หรือ..? "

    เขาตอบว่า " สู้แน่ "

    ขณะเดียวกันข้าพเจ้าเอามือไปล้วงยันต์เกราะเพชรออกจากหน้าอกมานอกเสื้อแล้ว เอาด้านหน้าของยันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปานให้มันดู แล้วข้าพเจ้าก็ยังพูดกับมันอีกว่า " ดูซิ จะสู้แน่หรือ..? "

    พอมันเห็นแล้วมันก็ทำตาพอง อาจจะตกใจก็ได้แล้วมันก็บอกมาว่า " ไม่สู้ท่านแล้ว ไม่เอาแล้ว "

    ผมก็เลยนึกขำในใจว่าไอ้เจ้านี่ ทำเหมือนเด็กอมมือ ทีแรกทำท่าทางขึงขังจะสู้ แล้วก็ยอมแพ้เอาดื้อๆ เท่านี้เอง ข้าพเจ้าอยากรู้ว่าไอ้เจ้านี่ทำไมไม่กล้าสู้ ข้าพเข้าจึงถามว่า " ทำไมจึงไม่สู้..? "

    เขาบอกว่า " จะสู้ได้อย่างไร คุณมีหอก มีดาบ มีมีด "

    ข้าพเจ้าถามต่อไปอีกว่า " หอก ดาบ มันอยู่ไหน ? " เพราะข้าพเจ้าเองมองไม่เห็นในสมาธิว่ามีหอกดาบเลยสักอัน

    เขาบอก " มีด หอก ดาบ มันอยู่รอบตัวของท่านนั่นแหละ "

    ข้าพเจ้าก็ถามต่อไปอีกว่า " มีเท่านี้หรือ..? "

    เขาบอกว่า " คุณยังมีเกราะหุ้มตัวอีก เป็นเกราะสีดำ " ความจริงการสนทนากับเจ้าคนนี้ ควรยุติแล้ว แต่ข้าพเจ้ามันเป็นคนขี้สงสัยก็เลยถามต่อไปอีกว่า " เกราะที่หุ้มตัวนั้นมันหุ้มอย่างไร ? "

    เจ้าคนนี้ก็ยังเป็นคนซื่อยังอุตส่าห์ช่วยอธิบายต่อไป เขาตอบว่า " หุ้มตั้งแต่หัวถึงตีนเลย เหลือแต่ลูกตาโผล่ออกมา " ตอบให้จุใจกับไอ้หมอที่ขี้สงสัยนัก

    ข้าพเจ้าก็เลยมาคิดว่ายมบาลตัวเล็กนี้ไม่ยอมสู้เรา เราควรจะสู้กับยมบาลตัวใหญ่ เพราะอยากรู้ว่าของขลังของเราจะมีพลังอำนาจเพียงใด ข้าพเจ้าก็เลยพูดว่า " นายของคุณอยู่ที่ไหน ล่ะ อยากพบเขา "

    เขาตอบว่า " เดี๊ยวจะตามมาให้ " พอพูดจบ เจ้านี่หายวับไปเลย ชั่วระยะเวลา 1 ถึง 2 วินาที เขาก็กลับมาพร้อมกับชายคนหนึ่ง โดยยืนอยู่ทางขวามือของเขา ลักษณะชายที่มาใหม่นี้สูงกว่าเขาแต่ผอมกว่า ผิวดำแดง ใบหน้ากระดูกนิดหน่อย ใส่เสื้อธรรมดาๆไม่ขาวนัก นุ่งกางเกงขายาวมีรองเท้าหรือไม่ข้าพเจ้ามองเห็นไม่ชัด ไม่มีอาวุธในมือ ข้าพเจ้าก็เลยถามว่า " ท่านเป็นนายใช่ไหม ? " เขาตอบว่า " ใช่ "

    พอพูดจบ เจ้าคนใหม่นี้ก็ตอบมาทันทีว่า " ไฮ ด๊อก " ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ " สวัสดีครับหมอ "

    ข้าพเจ้านึกแปลกใจมากว่าไอ้คนนี้มันรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร ก็เลยถามต่อไปว่า " คุณรู้จักผมได้อย่างไร "

    เขาตอบว่า " รู้จักมานานแล้วและรู้จักดี "

    ข้าพเจ้าถามต่อไปอีก " รู้จักดีได้อย่างไร ? "

    เขาตอบว่า " ผมเป็นคนติดตามและคุ้มครองคุณมาตลอดเวลา " เอ้า ! เป็นอย่างนั้นเสียอีก

    ข้าพเจ้าถามต่อไปอีก " มาคุ้มครองผมด้วยเรื่องอะไรเล่า ? "

    เขาตอบว่า " ก็คุณเป็นคนดี มีคนเขาสั่งมาให้ดูแล " หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เลยถามเรื่องราวของคนไข้ที่กำลังจะตายอยู่ ถามว่า " จะเอาคนไข้ไปทำไม ? "

    เขาตอบว่า " เมื่อตายแล้ว ก็ต้องเอาไปไต่สวน "

    ข้าพเจ้าถามว่า " ท่านอยู่ไกลจากถิ่นนี้ไหม ? "

    เขาตอบว่า " ไม่ไกลนัก "

    ข้าพเจ้าก็เลยได้ความรู้ว่านายคนนี้ เขามีความรู้ดีมาก รู้ดีกว่าลูกน้องชั้นกระจอกมาก การสนทนาคราวนี้ก็เลยไม่ได้พิสูจน์ของขลัง เพราะเขามาเป็นมิตร และยังมีบุญคุณต่อข้าพเจ้าเสียอีก

    พอคุยจบตอนนี้ก็ต้องยุติเพราะพยาบาลเดินเข้ามาในห้องพอดี ไม่มีเวลาจะพูดร่ำลากัน คนไข้คนนี้อยู่ต่อมาได้อีก 2 วันก็ถึงแก่กรรม

    (2/3)


    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99.310631/page-148



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2015
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    ประมาณ 2 เดือนต่อมาข้าพเจ้าได้ขอรับการปรึกษาและขอความเห็นเกี่ยวแก่การรักษาคนไข้คน หนึ่งในทางศัลยกรรม คนไข้คนนี้เลือดออกมาจากกระเพาะอาหาร แต่ไม่สามารถจะทำการผ่าตัดได้เพราะคนไข้มีโรคอย่างอื่นร่วมอยู่หลายโรค คิดแล้วถ้าได้รับการผ่าตัดคิดว่าคงตายในห้องผ่าตัดอย่างแน่นอน และขณะนี้ก็เข้าขั้น ไม่รู้สึกตัว ข้าพเจ้าได้ทำสมาธิในบริเวณห้องนั้น ก็พบมีชายอีกตามเคย ก็เลยเพ่งดูหน้าตาจะเป็นอย่างไร

    ชายคนนี้มีหน้าตาน่าเกลียด สกปรก ใบหน้าผอมมีกระดูกขึ้นบนแก้ม ผมกระเซิง ไม่มีหมวก เวลาอ้าปากยังมีของสกปรกค้างอยู่ในปาก ผอม สูง แต่สวมเสื้อเรียบร้อยกว่าคนแรก นุ่งกางเกงขายาว รู้สึกว่าจะเป็นสีน้ำตาลแดง สวมรองเท้า แต่ลักษณะอย่างไรจำไม่ได้ มือถือหอกตามเคย

    ข้าพเจ้าก็เลยถามขึ้นว่า " คุณเป็นใคร ? "

    เท่านั้นแหละเขาก็มองตรงมายังข้าพเจ้า เขาบอกว่า " มาเฝ้าคนไข้ "

    ความที่ข้าพเจ้ามีนิสัยอยากรู้อยากเห็นก็เลยจะพิสูจน์ความขลังของยันต์เกราะ เพชรอีก เลยต้องทำคุยไปก่อนแล้วก็หาเรื่องทะเลาะชวนตีทีหลัง สรุปแล้วชายคนนี้ก็สู้กับข้าพเจ้าอีกเลยขอเล่ารวบรัดตัดความ ผลที่สุดเมื่อมันเห็นยันต์เกราะเพชรแล้วมันก็ยอมแพ้อีก มันก็บรรยายตามเคยว่า รอบตัวของข้าพเจ้ามีหอก ดาบ มีด มันยังแถมบอกว่า เกราะที่หุ้มตัวข้าพเจ้านั้นเป็นเหล็ก

    ข้าพเจ้าก็ดำเนินตามแบบเดิมอีกโดยให้มันไปเรียกนายมาอีก มันก็อุตส่าห์ไปตามมาให้ คราวนี้นายมาสองคนเลย ไม่ใช่คนเดียวเหมือนคราวแรก ลักษณะการแต่งกายของนายทั้งสองคนไม่ค่อยสวยนัก รายละเอียดการแต่งกายข้าพเจ้าพรรณนาไม่ได้ เพราะเห็นในสมาธิไม่ชัดนัก ข้าพเจ้าถามว่า " ท่านเป็นนาย ใช่ไหม ? "

    มีคนหนึ่งตอบว่า " ใช่ " มาตอนนี้ข้าพเจ้าก็ชักจะคุ้นเคยกับพวกยมบาลมากขึ้น เลยอยากจะเบ่งเสียหน่อย เลยถามออกไปว่า " ผมชื่ออะไร ? "

    มีคนหนึ่งตอบว่า " คุณก็คือคุณหมอ (ชื่อของข้าพเจ้า) "

    ข้าพเจ้าก็เลยตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะอะไร เพราะข้าพเจ้าถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษแต่เขาตอบมาเป็นภาษาไทย และเรียกชื่อได้ชัดเจนเหมือนคนไทยพูด ข้าพเจ้าก็เลยพูดออกเป็นภาษาไทยเลยทันทีว่า " ทำไมคุณเรียกชื่อผมได้ชัดเจน ? "

    เขาตอบว่า " ก็ผมเป็นคนไทย "

    ข้าพเจ้าเลยถามว่า " ถิ่นนี้มันอเมริกา นี่ ทำไมคุณมาที่นี่ ? "

    เขาตอบว่า " เวรมันเปลี่ยนกันครับ "

    ข้าพเจ้าเลยถามอีกว่า " เมืองไทยกับอเมริกาไกลกันมากไหม ? "

    เขาตอบว่า " ไม่ไกลนัก " หลังจากนั้นก็ต้องหยุดการสนทนาอีกเพราะพยาบาลเข้ามาแล้วก็ไม่มีเวลาร่ำลากัน อีกตามเคย การสนทนาทั้งหมดตั้งแต่เดิมเริ่มแรก ทำให้ข้าพเจ้าได้ความรู้เพิ่มขึ้น ความรู้ที่ว่าพวกยมบาลหรือเทวดาชั้นต่ำนี้ เขาจะพูดหรือฟังภาษาทั้งหมดได้กับพวกมนุษย์ ถึงแม้อดีตชาติเขาเคยกิดมาเป็นคนไทยจีน แขก ฝรั่งก็ตาม นอกจากนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือ เขารู้จักมนุษย์ทุกคนตามถิ่นของเขาที่ประจำอยู่ เขารู้หมดว่ามนุษย์คนนี้ชื่ออะไร รู้ว่าคนนี้ ทำดีหรือทำชั่ว ตลอดระยะเวลาที่เป็นมนุษย์ซึ่งตรงตามที่หลวงพ่อสอนให้พวกเราฟังทุกอย่าง โดยถ่ายทอดการสั่งสอนนี้มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครูแห่งพระพุทธศาสนา

    ข้าพเจ้าก็เลยขอถือโอกาสนี้กล่าวต่อบรรดานักวิชาการนักวิทยาศาสตร์และผู้ที่ สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่เชื่อในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตัวท่านยังไม่ ได้เข้ามาพิสูจน์คำสั่งสอนของพระองค์ว่าถูกหรือผิด

    สิ่งที่ สำคัญที่สุดอีกอย่างในเรื่องที่เล่ามานี้ ก็คือพลังอำนาจของยันต์เกราะเพชรซึ่งมีพลังอำนาจมากมายและคุ้มครองต่อผู้ที่ รักษาของขลังนี้ ขอให้ท่านรักษาศีลและรักษาของนี้ไว้ร่วมกันในตัวของท่าน แล้วท่านจะแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ถ้าคุณของพระคุ้มครองท่านไม่ได้ก็อาจจะเป็นกรรมหนักของท่านเองที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องทนรับผลแห่งกรรมนั้นต่อไป

    สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณในความเมตตาปรานีของหลวงพ่อที่มี่ต่อลูกๆ ในการพร่ำสอนการทำสมาธิให้แก่พวกเรา ทั้งๆที่หลวงพ่อสุขภาพไม่สมบูรณ์นัก แต่จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เพื่อหวังดีและความเป็นห่วง เพื่อให้ลูกๆ ไปสู่ทางสุคติคือ นิพพาน เป็นหนทางสุดท้าย

    ข้าพเจ้าขอบารมีจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงคุ้มครองปกปักรักษาหลวง พ่อให้มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ มีอายุยืนนาน เพื่อจะได้เป็นมิ่งขวัญและที่พึ่งลูกต่อไป



    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 46)


    (3/3)




    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99.310631/page-148



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2015
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    ฝันว่านั่งร่วมโต๊ะกับหลวงพ่อ

    ผู้ถาม : ฝันเห็นตัวเองนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ดีมาก

    ผู้ถาม : อย่างนี้จะเป็นการปรามาสหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : อันนี้ฉันไม่ชอบ

    ผู้ถาม : เอ๊ะ ทำไมล่ะครับ

    หลวงพ่อ : อ้าว..แย่งกินนี่ มานั่งข้างๆโต๊ะ เอาอาหารมาให้ซิชอบ อันนี้ไม่มีอะไร ถ้าฝันอย่างนั้นนะ แสดงว่ากำลังใจก่อนจะหลับมีกำลังใจสะอาดมาก ถ้ากำลังใจเวลานั้น เป็นกำลังใจของพระจึงฝันแบบนั้น ดีมาก... รักษาอารมณ์เดิมไว้นะ


    ฝันเห็นหลวงพ่อกับในหลวง

    ผู้ถาม : ลูกนอนหลับตอนกลางวัน ฝันเห็นหลวงพ่อกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันอยู่ที่หน้าเตียง แต่หลวงพ่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเทศน์แทนหลวงพ่อ ก็อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นขอรับ ?

    หลวงพ่อ : เพราะฝันจึงเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ฝันเป็นไปไม่ได้ ความจริงเป็นไปได้ แต่ว่าถือว่าฝันเห็นพระก็ดี เห็นกษัตริย์ก็ดี เขาถือว่าเป็นมงคลใหญ่ ยิ่งเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเทศน์ด้วย ก็ถือว่าเป็นพระราชาผู้ทรงธรรม อันนี้มงคลมันใหญ่มาก

    การแก้ฝันเขาว่าอย่างนั้น ตามตำรานะ เขาถือเป็นมงคลใหญ่ดีมาก แต่ไอ้ตอนฝันกลางวันสิ เขาไม่ค่อยใช้กัน ฝันกลางวันอย่างหนึ่ง ฝันก่อน 2 ยามอย่างหนึ่ง เวลาจะนอนท้องไม่ค่อยดีแล้วฝันอย่างหนึ่ง เขาไม่ถือเอา ต้องฝันดึก ยิ่งใกล้สว่างเท่าไร....ถือว่าเป็นเรื่อง คือ ความจริง



    (จากหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม 6)


    [​IMG]


    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99.310631/page-148
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2016
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    กลัวแผ่นดินไหว

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมั่นคงในพระรัตนตรัย แต่ว่าต้องตาขาวนิดๆ ในเมื่อกรมอุตุฯ ได้ประกาศพยากรณ์ว่าแผ่นดินจะไหว จะมีผลกระทบกระเทือนพื้นกรุงเทพฯ ด้วย ที่จะกราบเรียนถามนี้คือว่า หลวงพ่อมีอะไร ที่ลูกจะเอาไปป้องกันเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้น ?

    หลวงพ่อ : อ้อ...ไม่ยากๆๆ โอ้ย ! นโยบายแจ๋ว มันเกิดเดี๊ยวนี้เอง คือว่าพยายามย้ายจากกรุงเทพฯ ไปเสีย (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดนี่นะ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ เพราะมันจะไหวที่กรุงเทพฯนี่ เฉยๆ ไว้เถอะ มันไม่แค่ไหนประเทศไทยน่ะ อย่างมากที่สุดก็ต้นอ้อยหัก (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ไอ้กลัวไม่ใช่กลัวอะไรหลวงพ่อ กลัวจะไปนอนคอยตึกพัง 14 วัน 12 วัน กลัวจะเป็นแบบนั้น

    หลวงพ่อ : ก็เราจะโง่ทำไมกันเล่า เตรียมขนมปังไว้สิตอนนั้น (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : อ๋อ..กี่วันๆ ก็อยู่ได้

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ อยู่ได้ ขนมปัง และเตรียมน้ำไว้ด้วยนะ

    ผู้ถาม : ครับๆ เอ้า ! ตกลงเป็นอันว่าพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ไม่ต้องตกใจนะ ไม่ต้องห่วง

    หลวงพ่อ : ไม่หนักๆ หรอก


    ตึกที่รัสเซียถล่มคนตาย


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้อ่านตึกถล่มที่รัสเซีย แล้วมีคนตายเป็นหมื่นๆ นั้น มีอยู่ชุดหนึ่งคือว่า แม่กับลูกติดอยู่ใต้ดิน 8 วันเต็ม แม่เจาะนิ้วให้เลือดไหลให้ลูกดูด ปรากฏว่าลูกแข็งแรงรอดตาย แต่แม่ลำบากตรากตรำเป็นอันมาก คนที่ต้องมีอาการประเภทอย่างนี้มีวิบากกรรมอย่างไร ลูกลัวจะเจออย่างนั้น ขอหลวงพ่อได้โปรดแนะนำด้วยเถิดเจ้าค่ะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าไม่ย้ายไปอยู่รัสเซีย ก็ไม่มี ประเทศไทยไม่มีโอกาส ประเทศ ไทยนี่โพรงดินมีเหมือนกันนะ แต่ว่าหนามากใน หนังสืออ่านเล่นเล่ม 5 มีบอกลักษณะโพรงแผ่นดินหนาหรือไม่หนา แยกหรือไม่แยก แต่ไม่มีทางแยก เมื่อพูดถึงกฏของกรรม ถ้าเกิดแบบนั้นทั้งหมด เป็นโทษปาณาติบาตอย่างเดียว


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน 2548)


    พี่ๆน้องๆที่เกรงเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว ตึกถล่มในกรุงเทพฯ หรือภายในประเทศ คงเบาใจกันบ้างนะครับ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2016
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    FB_IMG_1500966959416.jpg
    เรื่องศพหลวงพ่อ

    ดร.ปริญญา ถามว่า

    "ศพขององค์หลวงพ่อเป็นอย่างไรครับ เป็นองค์แก้วหรือยังครับ"

    เอ้อ นี่มีพระผู้ใหญ่ก็ถามเหมือนกัน วันนั้นไปวัดโพธิ์ ไปกราบท่าน ไปขอนิมนต์ท่าน ท่านก็ถามว่า เฮ้ย..นันต์ ได้ข่าวว่าหลวงพ่อแกเป็นแก้วแล้วเหรอ

    ครับ แก้วนอกครับ (หัวเราะ)

    เป็นแก้วนอกอยู่ตอนนี้ ในยังไม่เป็น แต่ว่าอยากจะให้คนที่มั่นใจว่า บางคนก็เสียใจว่าเอ๊ะ ร่างกายหลวงพ่อไม่เห็นเป็นพระธาตุ ไม่เห็นเป็นแก้วอย่างเขาว่ากันเลย อะไรอย่างนี้ ไหนว่าเป็นพระอะไรต่ออะไร ก็จะพูดกันไป แต่จริงๆ ฟังที่ท่านพูดไว้เก่าๆ แล้วนี่ พระพุทธเจ้ามาบอกแล้วว่า ร่างกายของคุณ ไม่ได้เผานะ ไม่ได้เผา ฉะนั้นร่างกายของคุณจะไม่รับรองว่าจะเป็นแก้วหรือเป็นพระธาตุ แต่ว่าพระธาตุของหลวงพ่อนี่เสด็จมาก่อนนั้นแล้ว อย่างน้ำหมากก็ดี อะไรก็ดี เป็นพระธาตุมาแล้ว ไม่ได้เป็นที่วัด ถ้าเป็นที่วัดก็จะมีคนเขาหาว่าอุปโลกน์ขึ้นมา นี่มันเป็นที่อื่นที่บ้านชาวบ้านเขา แล้วท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นของที่ว่า พูดภาษาก็เรียกว่า พิเศษกว่าธรรมดา ที่ร่างกาย ยังไม่มรณภาพนี่ น้ำหมากเป็นพระธาตุขึ้นมาแล้ว แม้ว่าท่านมรณภาพแล้วนี่เห็นท่านพูดไว้ในเทปเหมือนกันว่า สมเด็จท่านมาบอกว่า ร่างกายของคุณไม่ได้เผา แต่ว่าจะไม่ได้รับรองว่าเป็นพระธาตุหรือไม่เป็นพระธาตุ

    ดร. ปริญญา พูดเสริมว่า

    "แต่ว่าท่านเคยบอกผมนะฮะ พูดกันตรงไปตรงมาเลยดีกว่า สองเรื่องด้วยกัน คือ ท่านบอกว่าท่านนี่เสกกระดูกท่านทุกวัน แล้วท่านก็บอกว่า กระดูกฉันนี่ไม่เป็นพระธาตุนะ ไม่เป็น บอกไว้เลย บอกว่า เสกไว้ให้คนบูชา อันนี้พูดไว้ตั้งนาน นานเต็มทีแล้ว"


    แต่เดี๊ยวนี้คนไปบูชามากผิดปกตินี่

    คนไปไหว้กันเยอะ เสาร์ อาทิตย์ อย่างกับมีงานเลย อย่างวันสงกรานต์นี่ไปดูได้เลย อย่างกับมีงานวัด รถเข้ามาทุกระยะเลย น่ากลัวจะต้องหยุดกรรมฐานสัก 2-3 วันเหมือนกัน ให้โอกาสคน

    "เอ๊ะ ถ้าหากว่าของหลวงพ่อเสกแล้ว ยังไม่เป็นพระธาตุใช่ไหม ก็แสดงว่าพระธาตุจะเป็นต่อไปก็จะเป็นเจ้าอาวาสองค์ถัดจากหลวงพ่อไปหรือเปล่า นี่"

    เป็นธาตุ แล้วก็เป็นเถ้า

    "แหม ยืนยันรับรองเลยนะ"

    ไม่ได้เดี๊ยวจะไปแข่งครูบาอาจารย์ลำบาก เลยอธิษฐานให้เป็นเถ้า (หัวเราะ)

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 170 เดือนพฤษภาคม 2538 หน้า 80-81)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2021
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    รอดตายด้วยลูกแก้ว

    ยกทรง : กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่า..ตัวลูกและก็เพื่อนนั่งรถไปปะทะกับรถอีกคันหนึ่ง ปรากฏว่า เพื่อนตายไปหลายคน สภาพรถของหนูก็เหมือนกับคุณนายแดงนั่นแหละเจ้าค่ะ โอ๋..คุณนายแดงด้วยเหรอนี่ (หัวเราะ) คือพังยับเยินปี้ป่น แต่ที่แปลกก็คือว่า หนูรอดได้เพียงคนเดียว เพราะว่าห้อยลูกแก้วของหลวงพ่อ นอกนั้นตายเรียบ วันนี้ตั้งใจว่าจะมาทำบุญกุศลเพื่อสงเคราะห์เพื่อนร่วมตายในครั้งนั้น

    หลวงพ่อ : เออดี

    ยกทรง : สงเคราะห์แบบไหนประการใด ที่พอจะอนุเคราะห์...

    หลวงพ่อ : เอาละ ถวายสังฆทานดีที่สุดแล้วนะ

    ยกทรง : อ๋อ..สังฆทานนี่นะ

    หลวงพ่อ : สูงสุด เป็นมหากุศลใหญ่แล้วนะ

    ยกทรง : อ๋อ..

    หลวงพ่อ : แล้วเวลาจะอุทิศส่วนกุศลก็ตั้งใจให้คณะนั้นโดยเฉพาะ ไม่ต้องออกชื่อก็ได้

    ยกทรง : ครับๆ

    หลวงพ่อ : คณะบุคคลที่ตายในรถคันนั้นขอให้มาโมทนาทุกคน

    ยกทรง : เอ๊ะ...ลูกแก้วหลวงพ่อนี่กันตายได้เหมือนกันนะ (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : ก็...กันตายคงไม่ได้หรอก ก็...กันเจ็บ ก็มีหลายคน รถเขาเป็นอย่างนี้นะ

    ยกทรง : ครับๆ แหม..ขนาดลูกละ 20 ยังทำได้เลย

    หลวงพ่อ : ใช่

    ยกทรง : โอ้โฮ..

    หลวงพ่อ : ถ้าลูกละยี่สิบพันนะ จะทำได้ดีกว่านั้น

    ยกทรง : (หัวเราะ) อ๋อ...ตามกำลังอัตรานะ

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ)

    (จากสนทนาหลังกรรมฐาน หน้า 235 หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 16)


    [​IMG]
    [​IMG]


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2014
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    ขับรถมักเกิดอุบัติเหตุ

    ยกทรง : เอ่อ..เขาบอกว่าเขาขับรถแท็กซี่หรือไงนี่ เดี๊ยวชนเขา เขาชนเราตลอดเวลาครับ คันอื่นก็ไม่ชน ชนเฉพาะของเขานี่ ไม่รู้มีวาสนาบารมีอย่างไร จะแก้ไขอย่างไรหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ชาติก่อนเคยเล่นชนไก่ (หัวเราะ) กรรมชนไก่มันสนอง

    ยกทรง : เขาเลยให้เรียนถามว่า จะมีวิธีอะไรผ่อนหนักให้เป็นเบา

    หลวงพ่อ : จะไม่ให้ชน ใช่ไหม

    ยกทรง : ครับ ครับ

    หลวงพ่อ : ก็ไม่ขับรถมันเสียเลย (หัวเราะ) ก็หมดเรื่อง


    ถ้าจับพวงมาลัยแล้วภาวนาว่า "สัมปติจฉามิ" นึกถึงพระพุทธเจ้านะ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนนะ ของท่านนะ

    (จากสนทนาสายลม หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 413 )


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2022
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    ผีปอป

    ผู้ถาม : กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกอยากจะเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องผีปอบ ที่บ้านของลูกน่ะมีมากมายเหลือเกิน เดี๊ยวคนโน้นคนนี้ทำให้เดือดร้อนเป็นอย่างมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ลูกต้องการรบกวนหลวงพ่อก็คือว่า่ จะมีวิธีแก้ไขและจะกำจัดอย่างไร เพื่อไม่ให้ผีปอบมาเล่นงานครอบครัวลูกอีกเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : จะเล่าเรื่องให้ฟังเอาไหม เมื่อปี พ.ศ. 2521 หรือปีอะไรไม่ทราบ จำพ.ศ. ไม่ได้นะ ทางจังหวัดปราจีนบุรี มีผีปอบมาก และก็มีนายทหารคนหนึ่งยศร้อยตรี แกมีผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามอยู่สองผืน ในเมื่อชาวบ้านรายงานให้ทราบ แกไม่รู้จะทำยังไง แกให้ผ้ายันต์ไว้ผืนหนึ่ง แบ่งให้แกไว้ผืนหนึ่ง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาปรากฏสัก 6 - 7 เดือน ไม่มีผีปอบให้ปรากฏเลย

    และต่อมาชาวบ้านเขาก็ไปถามหมอดู หมอดูทางในน่ะ ถามว่า " ผีปอบทำไมจึงไม่มา ? " ท่านผู้นั้นก็หลับตาประเดี๊ยวถามว่า " ผ้าแดงๆ น่ะ มาจากไหน ? ก็เพราะผ้าผืนนั้นผีปอบจึงเข้ามาในหมู่บ้านไม่ได้ "


    ปอบเข้าสิง

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ยายผมถูกปอบเข้าสิง พระเก่งๆ หลายวัดเอาไม่อยู่ หมอก็เอาไม่ได้ สู้มันไม่ได้เลย ลูกอยากจะพึ่งบารมีหลวงพ่อว่ามีข้อแนะนำอย่างไรหรือไม่เจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : หลวงพ่อก็สู้ไม่ได้เหมือนกัน ไอ้เรื่องผีปอบเป็นยังงี๊นะ เคยครั้งหนึ่ง คราวหนึ่งไปนอนที่ ท่าลาน นะ เอาเรือยนต์ขนาดเล็กไป อยากจะไปสืบราคาว่าค่าเหล็กค่าปูนราคาเท่าไหร่

    ทีนี้บังเอิญไปจอดเข้าก็มีคนเขามาทำบุญ ความจริงไม่มีเครื่องขยายเสียงไม่มีอะไรหมด ไปกับเด็ก 2 คน เด็กผู้ชาย เด็กลูกศิษย์วัดน่ะ ขับเรือไปตอนนั้นอยู่วัดบางนมโค ทีนี้ตอนกลางคืนก็มีฆราวาสเข้ามาประมาณสัก 10 คนกว่า แกถือปืนมาด้วย แกบอก " ท่านถอยๆเรือไปห่างๆหน่อยครับ ผมจะนอนริมตลิ่ง ที่นี่ไว้ใจไม่ได้ ถ้ามีอะไรผมจัดการกันเอง "

    นั่นหมายถึงคนนะ แต่ก็นอนไปถึงตอนตี 2 ตื่นขึ้นมา เห็นคนผู้ชายผู้หญิงบ้างแ่ต่งตัวไม่ดีวิ่งมายืนที่หน้าตลิ่ง แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งบนหลังคาเรือยนต์ ห้อยขามากวักมือ " มึงเก่งจริงมาซิวะ "

    ผลที่สุดเ้จ้าพวกนั้นมองเห็นคนบนหลังคาก็วิ่งหนีึหมดเลย

    ผู้ถาม : คนมีปืนนั่นหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ พวกผี ! พวกมีปืนน่ะนอนหลับไปแล้ว แต่ความจริผีอาจจะสะกดให้หลับก็ได้ ก็ถามคนบนหลังคาเขาบอกให้เขาลงมา ถามชื่ออะไร ถามว่าเป็นใคร บอก " ผม พรสวรรค์ ครับ "

    เขาชื่อ " พรสวรรค์ " นะ บอก " พวกที่มันมาเป็นพวกผีปอบ "

    ตอนเช้าเลยถามพวกแถวนั้นว่ามีผีปอบไหม เขาบอก " มีมากครับ มีเยอะ ! " ก็เป็นผีธรรมดา รูปร่างหน้าตาธรรมดาเรานี่นะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้ก็เห็นจะต้องพึ่งบารมี ท่านพรสวรรค์ ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ พรสวรรค์ นี่ ?

    หลวงพ่อ : นั่นนะซิ ลืมแก้ผ้าดู (หัวเราะ) ผู้ชายๆ ท่านพรสวรรค์ นี่อยู่นิพพาน นะ

    ผู้ถาม : ก็สบายใจได้เลยนะ ขอบารมีท่านพี่ พรสวรรค์ ท่านช่วยสงเคราะห์ความจริงผ้ายันต์เกราะเพชรเคยใช้หรือเปล่า เจ้าของปัญหา ?

    หลวงพ่อ : ผ้ายันต์แดงนี่ผีหนี ผีปอบหนีเพราะเคยใช้แล้ว ไอ้นี่มีแถวปราจีนบุรี มีผีกวน ใช่ไหม ก็มีนายทหารคนหนึ่งเป็นร้อยตรี แกมีผ้า 2 ผืนที่เคยให้ไว้ ตั้งแต่วันนั้นมาจนกระทั่ง 5-6 เดือน ไม่มีผีมารบกวนอีก นี่ชาวบ้านเขาไปหาหมอดูคนหนึ่ง หมอดูทางในนะ หมอดูนั่งๆหลับตาอยู่ประเดี๊ยวลืมตามถาม " ไอ้บ้านนั้นมีผ้าแดงๆ ผ้าอะไร ผ้าอันนี้ผีกลัว "

    เอ๊ะ ! ผ้ากันผีปอบนี่ราคาแพงหน่อยเฉพาะผืนนั้นนะ ผืนอื่นปกติ

    ผู้ถาม : อย่างนี้ถ้าจะสู้กับผีก็เอาผ้ายันต์แดง ผ้าอะไร พิชัยสงคราม

    หลวงพ่อ : ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม ไปไว้ที่บูชาไปตั้งไว้ แต่อย่าเอาไฟจุดนะ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ผ้ายันต์กลัวไฟเหมือนกันหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่กลัว ผ้ายันต์ชอบไฟซิ ! เจอะเมื่อไหร่ลุกเมื่อนั้น

    ผู้ถาม : นี่ได้ความรู้นะ ติดตัวก็ได้ หรือเอาไว้ที่บูชาก็ได้


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2543)

    ผ้ายันต์พิชัยฯ.jpg
    อานุภาพผ้ายันต์ฯ


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ เมื่อตอนแข่งกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่ประเทศจีน ฟุตบอลไทยเจอกับจีนเจ้าภาพ เจ้าภาพจีนแพ้ไทยเพราะเตะเข้าประตูไทยไม่ได้ ทีวีเขาไปสัมภาษณ์ว่าเป็นเพราะเหตุไร จีนจึงเตะไทยไม่เข้า ประตูไทยชื่อ ชัยยงค์ บอกว่าเป็นเพราะมีผ้ายันต์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านช่วยปัดไม่ให้ลูกเข้าโกล์

    ทีวีเลยซักต่อไปว่า เออ...หลวงพ่อฤาษีลิงดำ อยู่ที่ไหน โกล์คนนั้นบอกว่าอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี ซักถามว่าวัดอะไร เขาจำไม่ได้บอกว่าคงจะเป็นอุทัยธานี

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ก็ไม่ผิดๆ ไงๆป้ายนั้นก็ต้องลงอุทัยธานี วัดจันทาราม วงเล็บ (ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ. อุทัยธานี เขาเขียนแบบนั้นไม่ผิด

    ผู้ถาม : ขอต่ออีกหน่อยนะครับ ลูกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก ก็เลยจะมาขอบารมีอย่างนี้ว่า ต่อไปลูกจะเอาผ้ายันต์หลวงพ่อไปช่วยปัดหนี้ปัดสินอย่าให้มา ให้สะกด จะช่วยได้เหมือนอย่างที่ของโกล์ประตูหรือไม่ครับ ?

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ไม่เป็นไร ! สำคัญจะไปปัดหนี้ซิ

    ถ้าบูชาผ้ายันต์นะ แล้วก็ใช้ "คาถาเงินล้าน" ร่วม

    เพราะว่าผ้ายันต์นี่ใช้ได้ทุกอย่างนะ

    ผู้ถาม : ไม่รู้ว่าผืนแดงหรือว่าผืนขาวครับ ?

    หลวงพ่อ : ผืนแดง "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" เพราะว่าผ้ายันต์นี่เคยรบที่ โนนหมากมุ่น นะ คืนนั้นปรากฏว่าทหารทุกฐานถูกตีหมด เว้นฐานทหารช่างฐานเดียวนะ แกก็คุยว่า "โอ้ย ! ข้าศึกไม่เห็นฐานอั๊วหรอกว่ะ ! ไม่เห็นเข้ามาตี"
    แต่ที่ไหนได้ ไปดูรอยเท้าเกลื่อนหมด มันมาเหมือนกันแต่มันไม่เห็นฐาน

    ถ้าหากว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นน่ะ ติดธงชาติตั้งไว้ในบ้านที่บูชา...ปลอดภัย !



    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2543)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2020
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    เรื่องลูกฝรั่งเจอปาฏิหารย์หลวงพ่อ

    เมื่อคืนมารศรีเขามาคุยให้ฟัง สามีเขาเป็นฝรั่ง มารศรีนี่ เขาเล่าให้ฟังตรงนี้ว่า ไปวัดเดือนที่แล้วนี่ ฝรั่งนับถือศาสนาคริสต์ไม่ยอมขึ้นวิหาร 100 เมตร โอ้โฮ จะเป็นเรื่องเป็นราวกันมาให้ได้ คงขัดคอกันมานานแล้วละ ไอ้เรื่องทำบุญนี่ คงจะฝังใจมานาน ครั้งนี้ครั้งเผด็จศึกแน่ (หัวเราะ) บอกไอ้กระโหลกหนานี่มันต้อง (หัวเราะ) บอกกระโหลกหนาเลยนะ บอกวันนี้ต้องหย่ากันแน่

    "ฟังคุณสมศรีเล่าดีกว่า คุณสมศรีบอกว่าได้มางานครบ 2 ปีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วก็ชวนสามีมาด้วย แต่พอมาถึงมหาวิหาร 100 เมตรแล้วสามีไม่ยอมเข้าไปกราบหลวงพ่อ จึงเข้าไปกราบหลวพ่อแล้วขอหลวงพ่อ ตั้งจิตอธิษฐานขอหลวงพ่อ ขออย่างไรก็ฟังรายละเอียดจากคุณสมศรีเล่านะครับ"

    "อธิษฐานกับหลวงพ่อว่า ถ้าบุญกุศลที่ลูกทำมีมรรคผลเพียงใด ขอให้ดลจิตดลใจคนๆนี้ ปรากฏว่าพออธิษฐานเสร็จ ใจเหมือนหลวงพ่อบอกว่าให้ไปชวนเขาใหม่ลูก ไปตั้งสติชวนเขาใหม่ เดินไปชวนก็บอกว่ายูมาถึงนี่แล้วนี่ทำไมไม่เข้ามา ไปดูสิ ที่เคยให้ดูรูปถ่ายหลวงพ่อว่ามีเพชรนะคะ ไม่ทราบว่าจะเรียกยังไง พระธาตุเป็นภาษาอังกฤษ เรียกไม่ถูก ก็บอกว่าเหมือนมีเพชรที่เกิดขึ้นบนศรีษะหลวงพ่อ มาไปดูกัน

    พอแกขึ้นมานะคะ ตั้งท่ากราบหลวงพ่อ แกยืนเสร็จ ตะลึง แล้วก็ปิดหน้าร้องไห้ ก็ไม่กล้าถามว่าเกิดอะไร แกนั่งแกก็ยังสะอื้นร้องไห้อีก แกบอกว่าเห็น หลวงพ่อเดินลงมากอดแก หลวงพ่อในโลงค่ะ ที่ข้างหน้าศพน่ะค่ะ เดินมากอดแล้วก็ลูบหัวแล้วบอกว่าพ่อขอบใจมากนะลูกที่มา พ่อรอ รอมานานแล้ว รอลูกอยู่

    พอกลับมาถึงบ้านนี่แกยังกลับมาร้องไห้อีก 3 วันนะคะ ทีนี้ไม่ต้องสอนแล้วค่ะเรื่องมาทางธรรมะ เข้าห้องปฏิบัติเองเลย

    อันนี้นะคะแสดงให้ห็นว่าขนาดคนที่ฟังภาษาไทยไม่ออก อ่านภาษาไทยไม่ได้ บุญไม่เคยทำกับหลวงพ่อเอง แต่ว่าหลวงพ่อท่านยังโปรดได้ถึงขนาดนี้ ถ้าสมมุติพวกเรายังยึดมั่นทำความดีที่หลวงพ่อสอน ดิฉันยืนยันว่าที่หลวงพ่อบอกพวกเราไปนิพพานกันได้ทุกน แล้วก็ขอให้นึกถึงพระนิพพานตลอดเวลา อย่างที่องค์หลวงพ่อท่านสอนนะคะ ขอบคุณค่ะ" (สาธุ)

    (ผู้เล่าชื่อมารศรี บุญสม หลวงพี่นันต์ได้คุยถึงคนๆ นี้เพิ่มเติม ในครั้งที่หลวงพ่อป่วยที่โรงพยาบาลครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลศิริราช หลวงพี่นันต์เล่าให้ฟังดังต่อไปนี้)

    เออ..คนนี้นี่เคยมีประวัติร้ายอยู่นะ คนเล่านี่ (หัวเราะ)

    คือว่าสมัยก่อนที่หลวงพ่ออยู่ที่โรงพยาบาบศิริราช ครั้งสุดท้ายที่จะมรณภาพนี่ พอเอาหลวงพ่อเข้าไปไว้ที่ I.C.U. ทุกคนก็รู้ว่าหลวงพ่ออยู่ที่โรงพยาบาล ตอนเช้าเราก็ไปนั่งอยู่หน้าห้องหลวงพ่อ พยาบาลก็มารายงานบอกว่า โอ้โฮ ลูกศิษย์หลวงพ่อด่าเก่งจังเลย เป็นยังไงถึงด่าเก่ง โทรศัพท์มาไม่ขาดเลยเมื่อคืนนี้ เราก็ไม่รู้ว่าใคร

    ตอนเช้าคนก็มาเยี่ยมหลวงพ่อกันเยอะ เราก็เล่าให้ฟัง บอกแหม...เมื่อคืนพยายาลเขาบ่นว่าลูกศิษย์หลวงพ่อโทรมาทั้งคืนเลย ไม่รู้ใครด่าเก่งจังเลย (หัวเราะ) คนนี้เขาบอกฉันเองแหละด่าพยาบาล (หัวเราะ) แต่เขาก็อธิษฐานเป็นพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ห้อง C.C.U. นี่ใครก็เข้าไม่ได้นอกจากหมอ ไม่ใช่ห้อง I.C.U. เขาเรียก C.C.U.

    ทีนี้เขาอธิษฐานมาจากบ้านเลย ยังไงก็ขอเข้าไปเยี่ยมหลวงพ่อให้ถึงองค์ท่าน เป็นหนึ่งในร้อย ไม่รู้ใช้แปลงกายเข้าไปยังไง ต้องให้เขาเล่าให้ฟังอีกที เป็นยังไง ใช้วิชาอะไร

    "คือตลอดเวลาที่หลวงพ่อป่วยนะคะ ก็พยายามไปเยี่ยม แล้วก็สรรหาผลไม้ที่หลวงพ่อชอบฉัน จะพยายามดิ้นรนไปหาซื้อมาถวายท่าน คือก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ได้ยินเสียงหลวงพ่อมาบอกที่บ้านว่า พ่อมาลา วันนั้นมีความรู้สึกว่าหัวใจแตกสลายค่ะ นั่งร้องไห้ ก็เลยโทรไปหาคุณชูใจ บอกว่า ทราบว่าพ่อป่วย แล้วท่านคงจะลา พี่เขาก็ดุมาบอกว่าแหมเราไม่เก่ง ด๊อกเตอร์ปริญญาขอไว้ตั้ง 139 ปี อย่าพูดส่งเดชเลย โดนรุมกระทืบตาย (หัวเราะ) หนูก็บอกว่า แต่หนูรู้ว่าใจหนูแตกสลาย ยังไงก็นั่งไม่ติด ก็เลยโทรไปที่โรงพยาบาล

    ทีนี้เขาไม่ให้ข่าวอะไรเลย ถามว่าหลวงพ่อป่วยยังไง แกก็ไม่พูด แถมพูดตวัดเสียง ก็เลยต้องโต้คารมน่ะค่ะ (หัวเราะ) ก็เลยอธิษฐานว่าไม่ได้ผลอย่างนี้ ต้องเอาอย่างนี้ดีกว่า นึกถึงหลวงปู่ เอาจิตขึ้นไปกราบหลวงปู่องค์ปฐม แล้วอธิษฐานว่า เป็นตายร้ายดียังไงนะคะ จะต้องไปกราบหลวงพ่อที่พระบาทให้ได้ ไปกราบท่านที่เท้าให้ได้ ท่านอยู่ที่ไหน ก่อนที่ท่านจะจากลูกจะต้องไปกราบที่นั่นให้ได้ อธิษฐานพร้อมกับลูกสาว ปรากฏว่าวันนั้นเขาก็วุ่นชุลมุนเลย หนูก็ปลอมตัวเป็นหมอเข้าไปด้วย" (หัวเราะ)

    แน่..วิชามารแปลงกาย

    "ก็เจอหัวหน้าหมอใหญ่ก็ตกใจ อ้าวคุณเข้ามาได้ยังไง หน้านี้ไม่ใช่หมอนี่ เพราะหมอเขาไม่แต่งหน้าใช่ไหมคะ คนนี้แต่งหน้า ก็บอกว่าดิฉันเป็นลูกสาวหลวงพ่อ หมอกับพยาบาลแกก็เข้าใจว่า หลวงพ่อมีลูกสาวโตเท่านี้จนมีหลาน เอ้า หยวนให้หลานกับลูกสองคน วาระสุดท้าย (หัวเราะ) อธิษฐานค่ะ แรงอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ค่ะ หลวงปู่กับหลวงพ่อ หลวงปู่องค์ปฐมน่ะค่ะ"

    ก็เลยเข้าไปได้ใช่ไหม

    "ค่ะ เข้าไปอยู่กับหลวงพ่อตอนวาระสุดท้ายจริงๆ"

    พระยังเข้าไปไม่ได้เลย

    "แต่หมอเขาเข้าใจว่าตัวศรีกับลูกสาวเป็นลูกหลวงพ่อ แบบมีลูกสมัยนี้น่ะค่ะ เป็นลูกบังเกิดเกล้าจริงๆชาตินี้ เพราะอ้างตัวว่าเป็นลูก ลูกสาวท่าน"

    หน้าก็เหมือนด้วยนะ (หัวเราะ) พอไปกันได้ หลวงพ่อสงเคราะห์นะ พระกับหลวงพ่อสงเคราะห์

    พุทธานุภาพนี่ ไม่ใช่ธรรมดา แปลกหนึ่งในร้อยแท้ๆ ที่เข้าไปได้

    "หมอกับพยาบาลลืมคิดว่า หลวงพ่อบวชมาตั้งนาน ทำไมลูกยังไม่สี่สิบตอนนั้น"

    โดนของไปเลยโง่เลย (หัวเราะ)

    "คือเรื่องมหัศจรรย์จะประสบบ่อยๆ อย่างหลังจากนั้นก็ได้คิด ตายแล้ว ทำยังไงหลวงพ่อ เพราะกลัวไม่ได้เข้านิพพาน แต่ท่านมาบอกที่บ้าน บอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก พ่อคัดเลือกไว้แล้ว องค์นี้น่ะบารมีไม่เบา"

    "องค์ไหนเหรอ"

    "หลวงพี่เจ้าอาวาสค่ะ"

    อ๋อ ห้าสิบแปด หกสิบแปดกิโล (หัวเราะ)

    "อ๊อ..เอายังไงแน่ เห็นบอกสองทีไม่ตรงกัน ห้าสิบแปดหรือหกสิบแปด (หัวเราะ) เอาให้แน่นะ"

    กลัวจะน้อยไป

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 165 เดือนธันวาคม 2537 หน้า 61-63)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2020
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    เรื่องผ้ายันต์ท้าวมหาพรหม(ผ้ายันต์กันเพลี้ยกระโดด)

    มีเรื่องอยู่เรื่องคือ ที่พิเศษออกมาก็คือยันต์ จริงๆนี่สมัยหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่นี่เกิดเรียกว่าเพลี้ย เพลี้ยกระโดด เคยได้ยินไหม เพลี้ยสีน้ำตาลมันกินข้าวเป็นแสนๆล้านๆ ไร่เลย ชาวนาจนช่วงนั้นนี่ คือหลวงพ่อก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ท่านบอกว่า นันต์ แกลองบอกกับชาวบ้านเขาซิ ให้ว่าคาถาตัวไหนก็ไม่รู้ ให้เขียนเป็นแล้วไปปักที่กลางนา เราก็จำไม่ได้ ไม่ค่อยได้สนใจมาก พอคุยป๊บท่านก็เข้าห้องน้ำ ท่านอยู่ในห้องน้ำท่านก็บอก เฮ้ย..นันต์ ที่พูดนั่นท่านเจ้าของคาถาเขามาเลย ท้าวมหาพรหมมาบอก เขียนแค่นั้นไม่พอนะ ต้องเต็มตัวเลย เขียนว่า พรหมาจะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ

    ตอนนั้นท่านก็ยังไม่ได้ทำนี่ เราก็ให้พระที่อื่นทำ พระที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อที่เคารพกันอยู่ ทำแล้วก็เกิดมีผลเข้า มีผลชาวบ้านเขาบอกเออ..ดี ไปปักที่นาแล้วเพลี้ยทีนี้ไม่เข้าก็จริง แต่เรามาดูคาถาที่แปลแล้วเป็น คาถาปัดอุปสรรค

    เราก็เอ๊ะ
    ..มาถึงตาเรานี่มาถามปรึกษากับพระบอก เอ๊ะตัวนี้นี่หลวงพ่อให้ทำ แต่เราไม่ได้ทำสมัยแต่ก่อน ท่านไม่ได้บอกให้เราทำ แต่ให้คนอื่นทำดู ไปเขียนคาถา คาถาปัดอุปสรรคอะไรอย่างนี้ เราก็เอ๊ะ...ลองปรึกษากับพระ ไปปั๊มทีซิจะทำเสาร์ห้าด้วย ทีนี้ก็เกิดทำเข้ามาแล้วก็ เราไม่รู้ผลจะเป็นยังไงนะ ใช่ไหม

    พระชัยวัฒน์นี่พอทำวันเสาร์ห้า เสร็จก็ไปอะไรนะ ไปเขาคิชฌกูฏ ที่จันทบุรีเลย เราก็ไม่รู้ผลว่าเป็นยังไงเพิ่งทำมาได้ไม่กี่วันนี่ ท่านชัยวัฒน์เขามาเล่าให้ฟัง บอกไอ้ปั๊มน้ำมันนี่เขาเอายันต์นี่ไปให้ เขาก็บอกเอ๊ะ...แปลกใจจังเลย คนเข้าปั๊มเต็มเลย เราบอกค่อยๆ พูดนะ เดี๋ยวจะหาโฆษณานี่ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่


    แต่เป็นคาถากันอุปสรรค กันเสนียดจัญไร อะไรอย่างนี้ กันอุปสรรค แต่ที่แปลดูคาถามหาลาภนี่ จะเป็นกันอุปสรรค กันอุปสรรคทั้งหลาย

    "หรือจะเป็นอุปสรรคหมดไปแล้ว ลาภก็เลยเข้ามา"


    คงจะเป็นยังงั้น อุปสรรคคือสิ่งที่ไม่ถูกใจ ใช่ไหม



    "นี่จะเอาสักผืนแล้ว มีมาหรือยังครับ"

    มีอยู่ 3 พัน เขาทำไว้ 3 หรือ 4 พันเท่านั้น ปั๊มไม่ทัน จะมีหรือเปล่า มีมั๊ง

    ท่านบอกปักกลางนา ทำเป็นธงนะ เป็นธงไปปัก


    ก่อนปักนั้นให้สัคเคด้วย สัคเค ใครสัคเคไม่เป็นก็ไปหัดท่องให้ได้ สัคเค อธิษฐานขอให้ธงนี้ป้องกันอุปสรรคทั้งหลาย อะไรนี่ คือไปปักที่กลางนาก็มีผลนี่ มีผลมาแล้วพวกลองดูน่ะ เราไม่มีนาก็ปักที่บ้านได้ กันอุปสรรคได้

    "หรือไม่ก็เอาไว้ในกระเป๋าสตางค์"

    เอาไว้กระเป๋าสตางค์ได้


    (จาก "คำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 มีนาคม 2538 หน้า 84-85)


    ผ้ายันต์เนื้อแข็ง.jpg

    ยันต์ท้าวมหาพรหม (ยันต์กันเพลี้ยกระโดด) แบบเนื้อผ้าแข็ง


    DSC06111.jpg

    ยันต์ท้าวมหาพรหม (ยันต์กันเพลี้ยกระโดด) แบบเนื้อผ้าอ่อน ผืนนี้เป็นรุ่นแรกครับ จะไม่มีรูป "ยันต์เฑาะว์" แต่มาในรุ่นที่ออกปัจจุบนี้จะเป็นผ้าเนื้อแข็งพอดีๆ และไม่มียันต์เฑาะว์เช่นกันครับ



    168 หน้า 75.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 เดือน มีนาคม 2538 หน้า 75)


    ผ้ายันต์ท้าวมหาพรหมสร้างครั้งแรกเข้าพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันเสาร์ 5 ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2538
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2020
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    ทำการค้าแล้วอยากฆ่าตัวตาย

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทำการค้าขายกับคู่แข่ง แต่ถูกกลั่นแกล้งเรื่องการค้าตลอดมา ขณะนี้ลูกทนไม่ไหวแล้ว ลูกอยากจะฆ่าตัวตาย แต่เขาบอกว่าให้มาถามหลวงพ่อก่อนว่าจะตายแบบไหน ?

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ซิ หาวิธีตายให้ตายง่ายๆ นะ หายใจเรื่อยๆ กินข้าวเรื่อยๆ บริหารร่างกายแล้วมันก็จะตายไปเอง ก็ทำอะไรล่ะ ?

    ผู้ถาม : ทำการค้า มีคนมากก็กลุ้มใจ คู่แข่งทำให้เดือดร้อน

    หลวงพ่อ : ก็ถ้าเราได้คาถาบทนี้ไป(พระคาถาเงินล้าน) ถ้าใจเย็นๆมันไม่มีทางหรอกเรื่องเล็กๆ ก็หนักที่สุดเรื่องการใช้จ่าย สตางค์ในกระเป๋าก็ไม่มี ก็นี่แหละค้าขายนี่แหละจากเงิน 10 บาทมาเป็นเงิน 100 บาท จากเงิน 100 มาเป็นเงินหมื่น จากเงินหมื่นมาเป็นเงินแสน จากเงินแสนมาเป็นเงินล้าน ค่าใช้จ่าย ใจเย็นๆนะ แล้วก็คาถาบอกอยู่แล้วบทนี้เงินแสนนะ บทนี้เงินล้านนะ คาถาวิระทะโย เป็นพื้นฐานใหญ่ บทนี้ให้ทำตามนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทต้นที่ตัดอุปสรรคที่ลาภจะเกิด อันนี้ก็มีอยู่ให้ไปครบถ้วนแล้วใช่ไหม อย่าเพิ่งตายเลย ถ้าจะตายให้ดีก่อนตายเอาเงินมาให้ฉัน 10 ล้านก่อน ถ้ายังไม่ได้ 10 ล้านยังอนุญาติให้ตายไม่ได้

    ผู้ถาม : อ๋อ..ต้องให้สตางค์ก่อนเหรอครับ หลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ เดี๋ยวตายแล้วไม่ได้ให้ ไม่ได้ตายอย่างเดียวก็ไม่ได้กี่ตังค์ อันนี้ไม่จำเป็นนะ เขาแกล้งก็ช่างเขาปะไร ก็ภาวนาไปเฉยๆ ว่าคาถาของเราไปเรื่อยๆ ทำใจสบายๆ มันมีร้านค้าอยู่ที่จตุจักรกระมั๊ง มีเขากลั่นแกล้ง เอาไอ้โน่นโยนมา เอาไอ้นี่ทำมา ปรากฏว่าเมื่อปีใหม่แต่ก็ช่วยกันขาย 13 คน ยังไม่ทันเลยนี่ข้างๆเขาแกล้งอยู่เรื่อยนะ ทำเรื่อยไม่เห็นเป็นไรเลย

    ผู้ถาม : คือว่าสนใจคาถานี้ ภาวนาคาถานี้ ถ้าได้เงินมาก็เอามาถวายก็แล้วกันนะ

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องถวายวัดละ ถวายฉันหรือถวายหลวงน้าก็แล้วกัน มันถวายวัดไปวางไว้ ถ้าเดินไปเก็บเอาไปหมด

    ผู้ถาม : อ๋อ...ต้องถวายกับมือหลวงพ่อเอง

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ เอาไปวางไว้หน้าวัดก็เก็บไปทีเดียวหมดซิ


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กุมภาพันธ์ 2540)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2019
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    เรื่องเงินงอก

    ที่วัดมีคนมาหาแล้วก็เอาเงินไปถวายแสนหนึ่ง คนที่รู้จักกันก็บอก ไอ้นี่แกถวายแล้วน้ำตาซึมถึงร่วงๆเผาะๆๆวะ บอกเป็นไงไปลักเขามาเหรอ มันก็บอกไม่ใช่ เงินงอก หลวงพี่เงินที่มาถวายนี่เงินงอก

    บอกเอ๊ะ...มันงอกยังไงวะ ติดใจ บอกทำไงเงินงอกจะได้ไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังบ้าง คนนี้เขาค้าขายพืชไร่ ไอ้เงินงอกบอกแกทำยังไง เขาบอกท่องคาถาเงินล้านนี่ เลยบอกเขาก็ท่องกันทั้งนั้นไม่เห็นงอกเลย บอกก่อนที่จะท่องคาถานี่จับลูกแก้วให้เห็นขาวใสก่อน

    พอเห็นจับนิมิตไม่ใช่มือจับนะ เอาใจจับ ใจจับให้เห็นลูกแก้วขาวใส ภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาไปเรื่อยๆ เวลาเขาซื้อขายพืชไร่กันนี่ ซื้อพันกิโลมันจะงอกเป็นร้อยกิโล ไอ้ตัวงอกมาแกจะจดไว้ เอาเฉพาะพันกิโล เหลือนั่นถือว่างอก ทำอยู่อย่างนี้ปีหนึ่ง ปีนี้กลัวจะขาดทุนเลยงอกมาแสนหนึ่ง คิดเป็นเงินแสนมาถวาย

    จะบอกให้คนอื่นรู้ก็กลัวเขาจะหาว่าเพี้ยนไปบ้าง ใจไม่ถึงบ้าง แล้วแกก็ดีใจ ยังไงดีใจว่าหลวงพ่อสอนแกไว้ให้เข้าใจตรงนี้ แล้วใครจะไปเอาไปปฏิบัติบ้างก็ได้นะ ลองดูลองจดดู ไม่ใช่งอกมาทีละแสน งอกมาทีละพันสองพัน ห้าร้อย สองร้อยนี่มันจะเกิน มันจะเกินมาเรื่อย คือท่องคาถาเงินล้านไม่ต้องรีบร้อน คือ ท่องให้ใจสบายไปเรื่อยๆ ให้เห็นลูกแก้วขาวไว้ด้วยยิ่งดีใหญ่

    " ถ้าท่องไม่จับลูกแก้วจะจับองค์พระ องค์ปฐมหรือองค์วิสุทธิเทพจะได้หรือเปล่า "

    คงได้มั๊งที่เขาได้มาทางลูกแก้วนี่ถ้าไปใช้คงจะได้นะ จะลองดูก็ได้



    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2538 หน้า 86-87)


    เรื่องทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

    เรื่องทำดีได้ดีมีที่ไหนทำชั่วได้ดีมีถมไป มีคนมากล่าวมาเช่นนี้ มันมีปัญหาอยู่เรื่อง จริงก็ตอบไม่ออกเหมือนกันถ้าไม่ได้จากหลวงพ่อมานี่ นึกไม่ออก

    คือว่าที่สมัยนี้ที่เขาพูดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป นี่เขาก็เกิดว่าไอ้คนรวยนี่มันเกิดโกงขึ้นมา ก็โกงรวยขึ้นไปๆๆ ทำไมมันโกงแล้วรวยขึ้น นี่เหตุผลปัจจุบัน ทำไมถึงรวยอะไรยังงี้น่ะ
    ทีนี้ถ้าจะตอบไม่มีระฆังก็ข้างๆคูๆ ไม่ค่อยเข้าใจ

    ทีนี้หลวงพ่อท่านตอบไว้บอกว่า ไอ้คนเรามันเหมือนกับเราตายไปแล้วเนี่ย ลูกหลานอยู่ข้างหลังก็ทำบุญให้ใช่ไหม ทำบุญให้มากทำบุญเรื่อยให้ แต่ไอ้ตัวเรามันตกนรกไปซะแล้ว มันก็ไม่ได้ผล ผลบุญที่ทำให้มันไม่ได้ผล ขณะที่ตกนรก มันรับไม่ได้ แต่ไอ้ผลบุญที่ทำมันไปรออยู่ ที่เขาอุทิศให้ไปรออยู่ ไอ้นี่เขาพ้นจากนรกก็ขึ้นมาก็เกิดมาเป็นคน สมมุติเกิดมาเป็นคน ไอ้ผลที่บุญที่มันรออยู่นี่มันให้ผล รวมตัวให้ผลเลย มันถึงเกิดได้ลาภทำมาหากิน มาจากนรกภูมิก็ยังได้รวยนี่ ไอ้ลาภที่ทำบุญสะสมไว้นี่ มาให้ผลตรงนี้ มาให้ผลตอนหลัง ตอนตกนรกมันให้ผลไม่ได้ มันให้ไม่ได้ บอก อ๋อ..ตรงนี้เอง



    แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งคุยกับพระปลัดวิรัช ท่านไปอ่านหนังสือเจอว่า พระเจ้าจักรพรรดินี่มีอะไร มีเกือกแก้ว มีเมียแก้ว มีวิมานแก้ว มีขุนคลังแก้ว เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นเจ้าของโลก เป็นเจ้าโลกเลย ในโลกนี่ไม่มีใครสู้ได้ แต่มีความดีได้ส่วนเล็กน้อยของพระโสดาบันเท่าน้น พระโสดาบันมีความสุข 16 ส่วนนี่ พระเจ้าจักรพรรดิมีความสุขแค่ 1 ส่วนเท่านั้น พระวิรัชท่านก็สงสัยไปเรื่อย มันเป็นยังไงมันถึงมีความสุขนิดเดียวนะ เป็นเจ้าโลกแล้วนี่ ทีนี้ใครก็ลองตอบดูซิเป็นไง ความสุขน้อย พระโสดาบันบางทีจน ไถนา

    พระวิรัชท่านก็ไปถามหลวงพ่อเหมือนกัน บอกหลวงพ่อครับ ไอ้ความสุขพระเจ้าจักรพรรดิมี 1 ส่วนของพระโสดาบันเท่านั้น มันเป็นยังไง พระเจ้าจักรพรรดินี่เจ้าโลกอยากจะครองโลกเรื่อย คืออยากจะไปยึดเมืองโน้นเมืองนี้ ความโลภมันก็ยังมีอยู่ พระโสดาบันนี่ ท่านบอกว่า ความสุขของพระโสดาบันคือหนึ่งบรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลง ความสุขนี่มี แต่พระเจ้าจักรพรรดินี่ไม่บรรเทาเลยซิ ความโกรธยังเต็ม ความโลภยังเต็ม ความหลงยังเต็ม นี่ความสุขไม่ผ่อนคลาย ถึงยังงั้นถึงว่ามีความสุขนิดเดียวของพระโสดาบัน

    " แล้วเอาเขามาแล้วก็ต้องดูแลเลี้ยงดูเขาต่อไปใช่ไหม ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก "

    ท่านตอบงี้หายข้องใจ เพราะพระโสดาบันเขาบรรเทาความโลภแล้วนี่ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลงทุกอย่าง แต่พระเจ้าจักรพรรดิไม่เคยบรรเทาเลย ความโลภเต็มอัตราศึก ความโกรธเต็มอัตราศึก แม้จะมีทรัพย์มากก็ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่เยอะเต็มไปหมด

    " นี่จะยุญาติโยมให้เป็นพระโสดาบัน ที่ตอบๆยังงี้จะยุหรือเปล่านี่นะ "

    ก็อยากให้เป็นทุกคนน่ะ

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 เดือนมีนาคม 2538 หน้า 87-88)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2020
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    พระจับสตางค์

    มีอีกข้อหนึ่งบรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชน มาพูดเรื่องพระหยิบสตางค์ว่า มีสำนักหนึ่งหลายสำนักทีเดียว ถ้าเข้าไปปฏิบัติในสำนักนั้นล่ะ ห้ามหยิบสตางค์ ถ้าใครเขานำเอาสตางค์มาถวาย มีทายกเก็บไว้ใช้ ความจริงข้อนี้น่าจะอ่านพระวินัยให้เข้าใจชัดไม่ใช่ของลี้ลับ

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบอกไว้แล้วว่า " รับเงินเองก็ดี ให้บุคคลอื่นรับก็ดี หรือให้บุคคลอื่นเก็บไว้เพื่อตนก็ดี เป็นอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์เหมือนกัน "

    ถ้าอย่างนั้นละก็จะไปนั่งหลอกชาวบ้านเพื่อประโยชน์อะไร ทำตนเป็นเคร่ง ใครเขาถวายสตางค์เข้ามาหยิบไม่ได้ แต่ก็รู้อยู่ว่าสตางค์อยู่ที่ตาคนนั้นตาคนนี้ ตาคนนั้นตาคนนี้เก็บไว้ให้ อาบัติมันเท่ากัน นี่ทำแบบนี้มันก็เป็นมายาเป็นอุปกิเลส นี่มันเสีย 2 ทาง อาบัติ " นิสสัคคิยปาจิตตีย์ " ก็เป็นด้วย และก็เสียในด้าน " มุสาวาท " โกหกชาวบ้านอีกด้วย จิตใจทำเพื่อโอ้อวด เป็น " อุปกิเลส " ฝ่ายธรรมะ โดยเข้าไป 3 ต่อ กระสุดนัดเดียวได้ นกระยำ 3 นก เรียกว่าได้ทั้งแร้ง ทั้งเหี้ย ทั้งกามาเลย ดีไหม...อย่างนี้ก็เจริญพรซิ หรือบรรลัยพรก็ไม่แน่ ไม่เป็นเรื่อง ไม่ควรแก่การปฏิบัติจริงๆ

    อย่างนี้เห็นเข้าแล้วก็อย่าไปเชื่อ อย่าไปถือเลย นักบวชที่บอกว่าไม่หยิบสตางค์น่ะ เวลาตายแล้วมีเงินเป็นแสนเป็นล้านตั้งเยอะ เที่ยวไปโกหกชาวบ้านเขาเพื่อประโยชน์อะไร ทำให้ตรงไปตรงมา เวลานี้หยิบสตางค์ ใครเขาจะว่า ว่าก็ว่า ใครเขาจะชมก็ชม ปล่อยเขาอย่าไปสนใจเพราะความจำเป็นมันบังคับ ไปร้านเจ๊กเขาเอาสตางค์ทุกอย่าง ขึ้นรถ ขึ้นเรือ เขาก็เอาสตางค์ ไปรักษาโรค เขาก็เอาสตางค์ ในเมื่อชาวบ้านเขาถวายสตางค์เข้ามาก็รับ จะไปตั้งท่าตั้งทางโกหกเขาเพื่อประโยชน์ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ข้อนี้ก็ขอผ่านไป มีอะไรอีกไหม

    ห่มผ้าสีกรัก

    ถามมาเยอะแยะ เดี๊ยวห่มผ้าสีกรัก มีบางสำนักบังคับว่าต้องห่มผ้าสีกรัก ความจริงไอ้ผ้าสีกรักน่ะสีดำๆ นั่นมันเหมาะสำหรับพระที่เขาออกเดินธุดงค์ มันเปื้อนยากเขาเรียกว่าผ้าห่มสีน้ำฝาด ไอ้ความจริงเรื่องผ้านี่ไม่สำคัญ จะเห็นว่าเป็นผ้าเหลืองก็ได้ ผ้าเหลืองเจือแดงเข้มก็ได้ ห่มผ้าสีน้ำฝาดก็ได้ ก็แค่นั้นแหละไอ้เรื่องผ้า

    ถ้าผ้ามันดีจริงๆ ทำให้หมดกิเลสได้ เราก็สบาย ถ้าห่มผ้าสีกรักเมื่อไหร่กิเลสหมดเมื่อนั้นละก็แจ๋วล่ะ ตานี้ไม่ต้องห่วงสบายใจได้เลย แล้วมันจะเป็นยังงั้นได้ยังไง ผ้านี้เราห่มเข้าไปแล้วมันทำใจให้หมดกิเลสได้รึเปล่า ความจริงมันก็เปล่า อย่างนี้ไม่เห็นชอบด้วย ควรจะปล่อยไปตามสบาย เพราะะผ้าที่ไม่ผิดวิน้ยก็ใช้ได้ ถ้าหากว่าห่มผ้าผิดวินัยคนจะตำหนิกัน ไอ้ตั้งกฏตั้งเกณฑ์แบบนั้นมันไม่ใช่ของดีอะไร ทำให้ลำบากใจเปล่าๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์ในการกำจัดกิเลส


    ปักกรดในบ้าน


    นี่ข้อ 7 หน้ากระดาษเขาจะหมดอยู่แล้ว อ้อ..ปักกลดในบ้าน นี่เจอเข้าเองเหมือนกันน่ะซิ เมื่อปี พ.ศ. 2517 และก็วันที่ 17 มีนาคม นิมนต์พระมา 2 องค์ เป็นงานวางศิลาฤกษ์ พ่อเทวดาเอากลดมา ดันกางในกุฏินั้น แม้นี่กุฏิที่ให้อยู่ก็มีมุ้งลวดไม่ต้องกางมุ้ง แต่บังเอิญถ้ากุฏินั้นมันไม่มีมุ้ง เอามุ้งของกลดมากางมันก็พอใช้ได้ นี่ว่าบ้านเขาไม่มีมุ้ง เอากลดขึงเข้าไม่ต้องด้าม เอาข้างบนแขวนไว้ขอเกี่ยวเข้า แล้วเอามุ้งของกลดกางลงไปเป็นการกันยุงอย่างงี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากว่าถ้าชาวบ้านเขามีมุ้งให้แล้วไม่เป็นการสมควร

    นี่ไม่อย่างงั้นซิ พ่อเคร่งจัดดันเอากลดมากางในกุฏิที่มีมุ้งลวด กุฏินี่เขาไม่ต้องใช้มุ้งกันอยู่แล้วนี่ ไอ้เจ้าเรื่องกลดนี่เขาใช้สำหรับอัพโภกาส อัพโภกาสน่ะหมายความว่า เวลาที่เราอยู่กลางแจ้งน่ะเราก็ต้องใช้กลด กลดปักเข้ามันมีหลังคามุง มุ้งกาง ถ้าอยู่รุกขมูล อยู่โคนไม้ เราไม่ต้องใช้กลดก็ได้ เพราะว่ามีจองมุงบัง แต่ว่าเวลากลางคืนเราจำเป็นจะต้องใช้ เหลือบยุงมันจะกวน อย่างนี้ใช้ได้ แต่การที่มากางกลดในบ้านนี่มันเลยดีไปแล้ว พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญแน่ แบบนี้เป็นกิเลสหนัก อวดชาวบ้านเขานี่ว่าเราเป็นนักธุดงค์ ปัดโธ่ ! ไม่ควรๆ เป็นอันว่าการปฏิบัติแบบนี้ใช้ไม่ได้

    (จากหลวงพ่อเล่าให้ฟัง ธัมมวิโมกข์ เมษายน 2541)



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2015
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    หลวงพ่อดุมากๆ

    มาหาท่านครั้งแรก ไอ้เรามันไม่เคยเจอพระดุ เราก็เดี๋ยวจะไปเดี๋ยวจะถามยังงั้นยังงี้นะ รู้จักหลวงพ่อจากอ่านหนังสือหลวงปู่ปานอย่างเดียวครั้งแรกเลย ตอนนั้นบวชแล้วสิ มาท่านก็เลี้ยงหมาก๊อกก๊อก ฉันเพลเสร็จ ท่านจะมาเลี้ยงหมาท่านเป็นกะละมังๆเลยมาตักทำเองเลย ท่านบอกให้พระเลี้ยงนี่หมามันจะติดสีเหลือง อย่างน้อยก็เป็นเทวดา เสร็จแล้วก็ไปล้างชามท่าน้ำนั่นน่ะ เลี้ยงปลาอีกทีเรียกว่าปลาตะเพียนทอง มันก็มากิน ล้างกะละมังเสร็จก็กลับ

    เราไปใหม่ก็ไปนั่งรับท่านข้างใน โอ้โหตาท่านคมกริบ มองเพ่ง....ไอ้คนสมัยนี้มันบวชเป็นพิธีกรรมเท่านั้นแหละ มันบวชมันกลัวมีเมียไม่ได้มันถึงบวช ว่าเราหรือเปล่าวะเนี่ย ว่าเราหรือเปล่า(หัวเราะ) แข็งปั้กลงมาถึงใจเลยนะ ตอนหลังนี่

    " เดี๊ยวสิ เดี๊ยวสิ หลังจากนั้นมีอะไรต่อหรือเปล่า "

    ตอนนี้บอกไม่ได้ (หัวเราะ) เป็นความลับพูดเป็นสาธารณะชนไม่ได้ (หัวเราะ) โอ้ ท่านจวกปั๋งๆๆมาเลย

    " โดนดีเลยนะ "

    พระครูสุรินทร์ท่านก็มาฝากบอกว่าฝากด้วยพระท่านอยากจะปฏิบัติธรรม ท่านบอกระงับนิวรณ์ได้หรือยัง เราบอกนิวรณ์นี่อะไรวะ (หัวเราะ) ไม่ต้องรู้ว่ามีอะไรเลย คือ ไม่รู้เรื่องเลย

    " เรียกว่ามาอย่างบริสุทธิ์เลยนะ...แหม..เอ้ออย่างนี้ก็ดีนะ ลูกหลานจะได้รู้ไว้ "

    เราบอกอะไรวะ ตัวอะไรวะ ไม่รู้เรื่องเลย

    " นี่ต้องอย่างนี้เจ้าอาวาสต้องเก่งมาอย่างนี้นะ "

    บอกหลวงพ่อครับญาติผมที่อยู่นี่นครววรรค์ แล้วก็แถวๆนี้มโนรมย์นี่มีญาติเยอะครับ มีพี่น้องอยู่แถวนี้ครับ ท่านบอกเออพีน้งพี่น้องไม่สำคัญน่ะ ระวังนะอย่าฟังเสียงนกเสียงกาหมาเห่าหมาหอนให้มากนักนะ เราก็เอ..หมายความว่ายังไงวะ คิดไปคิดมาพี่น้องเราด่าหลวงพ่อทุกคนเลย (หัวเราะ) ก็พี่น้องเราอยู่แถวนั้นใช่ไหม พี่น้องเกลียดหลวงพ่อทั้งนั้น ท่านถึงบอกว่าอย่าฟังหมาเห่าหมาหอนมากนัก

    ทีนี้วันแรกก็ ไอ้เราก็ส่วนมากอาบน้ำแม่น้ำน่าน มาถึงที่นี่มันก็น้ำประปาใช่ไหม ไอ้ตรงพระฉันเก่า มันมีอยู่ห้องหนึ่ง ก็อาบซู่ๆ ออกมา ฮื่อน้ำท่ามันก็มีอยู่ข้างๆไม่ใช้ สำอางค์มาอาบน้ำนี่ (หัวเราะ)

    " อู้ฮู้ ประเดิมใหม่ๆเลยหรือ "

    อู้ฮู้ จวก..เขาให้คนอาบน้ำในแม่น้ำไงเล่า แถวนั้นเขาอาบน้ำในแม่น้ำกันทั้งนั้น ตั้งแต่นั้นเข็ดเลยไม่อาบอีกแล้ว (หัวเราะ) ต้องอาบน้ำที่แพ ท่านประหยัด แถวนั้นไม่มีปลูกดอกไม้อะไรหรอก ตึกเสริมศรีนะ เพราะว่าท่านให้ตักน้ำในแม่น้ำมารดนี่ (หัวเราะ) น้ำก๊อกอะไรนี่ท่านไม่ให้รดหรอก เพราะว่าเปลืองมันต้องใช้คลอรีน ต้องใช้ไฟฟ้าสูบมา ใครจะขยันนักล่ะ

    ทีนี้บางคนก็เอาน้ำประปาไปล้างรถ พอท่านเห็นท่านก็จวกเอา ไอ้ขี้ข้าไอ้พวกนี้ โอ้ด่าเจ็บทั้งนั้นเลย

    " เรียกว่าล้างทีเดียวชาตินี้ไม่ได้ล้างอีกต่อไปเลย "

    ท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน ใช้คุ้มค่า เงินที่บริจาคไปนี่ใช้คุ้มค่าไม่ฟุ่มเฟือย ท่านละเอียดเรื่องเงิน แล้วไม่ไว้ใจคนหรอกเรื่องเงินน่ะ ต้องรู้ทุกอย่างเรื่องเงินทอง

    ทีนี้ก็เอ๊ะทำไมถึงดุ ชักกลัวละสิคราวนี้ ทีนี้ลงเทศน์เมื่อไรเอาเมื่อนั้น (หัวเราะ) ก็เทศน์กันที่แคบๆ นี่อย่างกับห้องนี้ มันเล็กกว่าอีกนี่

    " ไม่มีทางหลบเลยหรือครับ "

    ก็หนีกันไม่จนหรอกมองเห็นกันหมด

    " อ๋อ..คนน้อยก็เทศน์คนมากก็เทศน์ "

    เทศน์ ลงทุกวัน เราคุยกันอย่างนี้เราจะรู้เราคุยอะไรกันบ้าง ทีนี้มีพี่สะใภ้ท่านอยู่คนหนึ่ง ท่านก็เทศน์เรื่องอะไร เรื่องคนในครัวนะ เออ..พระท่านก็บิณฑบาตมานะ ท่านก็ฉันอย่างนั้น แต่อีแม่ครัวจัญไรนี่สิ มันต้องทำพิเศษกินอีก ท่านก็ว่า เราก็แหม...กูว่าแล้วมันต้องยายนี่แน่ เต็มที่เลย (หัวเราะ) พอตกกลางคืนเอาใหม่ท่านเทศน์อีก ให้ทุกคนมันดูตัวมันนั่นแหละไม่ใชไปดูตัวบุคคลอื่น ดูจิตของตัวเอง ไอ้ตัวมันเองดูตัวเองซะบ้าง อู้ฮู้..ว่ากูนี่หว่านี่ (หัวเราะ) ไม่ต้องไปฟ้องนะ คิดในใจนะ เราคุยกันนึกๆว่าโอ้ว่ายายคนนั้นแหละ

    ครูบาอาจารย์นี่รู้จริงไม่มีโมเม ตอนหลังหลังนี่ชักเบาแล้ว ซักห้าปีสิบปีนี่นะ เบาเรื่องนี้ เมื่อก่อนนี่นะโอ้โฮ เรียกว่าพรรษาแรกพูดกันไม่รู้เรื่อง ว่าเอ๊ะหลวงพ่อทำไมถึงสั่งงานอย่างเดียวกันนี่สามคนสี่คน สั่งคนนี้ พอเจอเราสั่ง เจอพี่โอสั่ง แต่งานอย่างเดียวกัน มันเบลอเพราะกลัวกันนี่ เดี๋ยวมันไม่ทำ มันเบลอ มันกลัวจนลานเกินไป

    " เรียกว่าพอเข้าไปใกล้ พอสั่งอะไรก็ ครับ ครับ ครับ "

    พระฉันอาหารกันท่านดูว่าเออ...พระฉันอาหารมีรสชาติอย่างไรบ้าง เป็นห่วง แต่เมื่อฉันเสร็จแล้วสักพักหนึ่ง ท่านบอกว่าได้ยินเสียงหมามันกัดกันหรือไงนี่ (หัวเราะ)

    " อู้ฮู้ ใช้ศัพท์อย่งนั้นเลยหรือครับ "

    ใช้อย่างนี้ กินข้าวดังจ๊วบๆนี่มันไม่ใช่คน ไม่ใช่พระหรอก คนก็ยังเลวเกินไป นี่เขาเรียกหมู หมูคือสัตว์เดรัจฉาน อู้ฮู้

    (หลวงพ่อดุมาก พระที่อยู่ทันหลวงพ่อกลัวมาจนทุกวันนี้)


    เรื่องพิธีสะเดาะเคราะห์


    สะเดาะเคราะห์นี่มันเป็นการบำเพ็ญ ไม่ใช่รับเคราะห์แทนเขานี่ ต้องเชื่อกฏของกรรมอย่งที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ว่าพอทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วเคราะห์มาเข้าตัวเองอะไรอย่างนี้ พิธีสะเดาะเคราะห์คือทำความดีหนีความชั่ว หมายความว่าช่วงจังหวะนี่ อกุศลกรรมมันจะมาทันเราพอดี ทันพอดีเลยเวลานี้ เราเดินมาพอดีมันก็ถึงพอดี แต่ถ้าเราวิ่งไวกว่ามันก็พลาดเหมือนกัน คือวิ่งสปีดให้มันไวกว่าปกติสักหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งไปชลบุรีกับหลวงพ่อ มีหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย ฉัน แล้วก็หลวงพี่โอ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! สามโมงออกเดินทางนะ สามโมงปุ๊บนายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็มา จะเจิมนั่นจะเจิมนี่ จะให้หลวงปู่ธรรมชัยเจิม

    หลวงพ่อท่านก็บอก " หลวงปู่ เวลาก็ต้องเป็นเวลา ไป "

    หลวงปู่ก็งง (หัวเราะ) หลวงพ่อดุนี่

    " อ๋อ..หลวงปู่นี่เคยถูกดุเหมือนกันเหรอครับ "

    โดน (หัวเราะ) หลวงปู่ธรรมชัยนะ หลวงปู่ธรรมชัย พอมาในรถท่านก็บอกตอนสามโมงน่ะ ที่ออกสามโมงนั่นน่ะ มันจะคลาดกันที่ตรงไหน รถมันจะชนกัน ถ้าเราไปช่วงหลัง จากนั่นน่ะมันจะชนกัน ตรงนั้นเราไปไปชนกันพอดี เราไปช่วงนี้มันจะคลาดกันตรงนั้น

    สะเดาะเคราะห์มันมีอะไรล่ะ เราไม่ได้เรียกเป็นเงินเป็นทองห้าบาท สิบบาท ร้อยบาท พันบาท แต่แสนบาทเราก็เอาใช่ไหม (หัวเราะ) การเจริญภาวนาก็ถือว่าเป็นบุญ การฟังพระสวดอภิธรรมก็ถือว่าเป็นบุญ มีอานิสงส์ใช่ไหม การรักษาศีลก็ถือว่าเป็นบุญสะเดาะห์เคราะห์ เดินมานี่ให้ภาวนาพุทโธ ก็เป็นพุทธานุสสติเป็นบุญใหญ่ ไม้ที่แตะนี่ (คธาเสก) ก็พระพุทธเจ้าทำใช่ไหม ก็เป็นพุทธานุสสติ บุญสามสี่อย่างมารวมกันนี่ มันก็มากกว่าธรรมดา มันก็เพิ่มพลังขึ้น ทำให้หนีได้เร็วขึ้น ไวขึ้น เอ้าหมดเวลาแล้วหรือ แหม กำลังมีเรื่องคุยหมดเวลาเสียได้

    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2537)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2014
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    คำว่า "อุเบกขา"


    ผู้ถาม : อุเบกขาของพระโสดาบันกับอุเบกขาของพระอนาคามีเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรครับ

    หลวงพ่อ : นายสบสันต์เวลานี้กับสบสันต์ตอนเป็นเด็ก กำลังเท่ากันหรือเปล่า

    ผู้ถาม : ไม่เท่าครับ

    หลวงพ่อ : แล้วถามทำไม เดี๊ยวขว้างหัวเลย

    ผู้ถาม : คือผมไม่เข้าใจทำไมจึงใช้คำว่า อุเบกขาเหมือนกัน ควรจะมีคำอื่นที่แตกต่าง

    หลวงพ่อ : แสดงว่าหูไม่ได้ฟัง หรือใจไม่ได้ฟังที่ฉันพูด

    บอกว่าตั้งแต่พระโสดาบันไปเขาใช้สังขารุเปกขาญาณ

    อุเบกขานั่นมันฌานโลกีย์เข้าใจไหม ระวังกระโถนลอยนะ

    คือว่าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป อารมณ์ธรรมดาเริ่มเกิด ความรู้สึกว่ามันเบา อันดับแรกก็ถือว่าเป็นธรรมดาของการเกิด แต่ความมั่นคงจะน้อยหน่อย แต่ถึงแม้ว่าจะมีความมั่นคงน้อย ถึงเขาจะโกรธขนาดไหนก็ตาม เขาไม่ละเมิดศีล ใช่ไหม ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของศีลหมด จึงชื่อว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณของพระโสดาบัน

    ถ้าเป็นสังขารุเปกขาญาณของพระสกิทาคามี ก็อยู่ในขอบเขตของกรรมบท 10 ละเอียดกว่า จะถือว่าไม่โกรธน่ะไม่ได้ พระโสดาบันกับสกิทาคามียังโกรธ แต่มันโกรธเบากว่าชาวบ้าน แล้วก็โกรธขนาดไหนก็ตามไม่ละเมิดศีล 5 ชาวบ้านละเมิดได้ใช่ไหมแค่ด่าศีล 5 ยังไม่ขาด ถ้าด่ากรรมบถ 10 ขาด

    เมื่อถึงอนาคามีก็เลิกโกรธ ทีนี้เราจะอยู่ด้วยอารมณ์หยาบมันไม่ได้ มันจะต้องเข้าถึง ถ้าฉันจะพูดถึงวิชาหมอ ฉันก็พูดได้ แต่มันไปตรงกับหมอสบสันต์พูด เพราะเป็นการเดา คือคนที่มีความรู้จริงพูดกับคนที่มีความชำนาญพูด มันพูดให้คนอื่นฟังได้แต่ความรู้เช่นหมอไม่มี เข้าใจ๋ ?

    (จาก "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 76 มิถุนายน 2530 หน้า 12-13)

    การสูบบุหรี่เป็นกิเลส


    ผู้ถาม : การสูบบุหรี่เป็นความอยากไหมครับ เป็นกิเลสไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าไม่อยากก็สูบ มันเป็นกิเลสข้อไหนล่ะ ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้าม ทำไมจึงว่าเป็นกิเลส พระอรหันต์ก็สูบ หมากท่านก็กิน นางสิริมาที่ต้องเป็นหญิงโสเภณีก็เพราะละอองน้ำหมากของพระอรหันต์

    ผู้ถาม : อย่างนั้นการสูบบุหรี่ก็ไม่เป็นกิเลสซิครับ

    หลวงพ่อ : ถ้าจะให้เป็นก็เป็น ไม่ให้เป็นก็ไม่เป็น อยู่ดีๆ คิดว่าเป็น กิเลสจิตเศร้าหมองก็ลงนรกไปลงนะ สิ่งที่ไม่เป็นโทษคิดว่าเป็นโทษมันเอานะ

    ต้องดูว่าพระพุทธเจ้าเจ้าท่านห้ามหรือเปล่า สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม สิ่งนั้นผิด สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงห้ามสิ่งนั้นไม่ผิด ไอ้กิเลสเขาแปลว่าความชั่วของจิตแปลว่าอารมณ์เศร้าหมอง อารมณ์เศร้าคือความชั่ว พระพุทธเจ้าไม่ทรงปรับ เราจะปรับเกินพระพุทธเจ้า ถ้าเราปรับเกินพระพุทธเจ้าเราก็ลงนรกเอง โดยที่ไม่ต้องบาป ลงนรกเพราะจิตเศร้าหมอง ต้องไปดูพระอรหันต์พระพุทธเจ้าปรับข้อไหนบ้าง บางคนก็มีความรู้เลยไป พระพุทธเจ้าไม่ทรงปรับการตัดต้นไม้ว่าเป็นบาป บางคนคิดว่ามีนั่นมีนี่ แกลงนรกไปเถอะ คนอื่นเขาจะพลอยลงด้วย คนประเภทนี้มีเยอะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกิเลสยังหนาอยู่ที่คิดแบบนั้นนะ ต้องคิดแค่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเท่านั้น

    ทีนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส รวมความว่าการศึกษาพระพุทธศาสนาต้องศึกษาจริงๆ หมายความว่าฟังพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามีอะไรบ้างถ้าคิดมากเกินไป อย่างพระนางมัลลิกาสะดุดเท้าสามี ความจริงไม่มีความผิดแต่คิดว่าผิด ลงนรกไปหน่อยแค่ 7 วัน

    นักปฏิบัติกับนักตำราอารมณ์คนละอย่าง ตำราเป็นพื้นฐานจริงถ้าอารมณ์จิตไม่ถึงเขา เขาก็เข้าใจยังไม่ถูกต้อง ตำราเขาเขียนถูกแต่อารมณ์เข้าถึงไม่ถูก


    (จาก "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 76 มิถุนายน 2530 หน้า 13-14)



    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2022
  18. benzbtx3

    benzbtx3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +949
    อนุโมทนาด้วยนะครับดีมากเลยครับผมชอบอ่านมากจะมาคอยอ่านเรื่อยๆนะครับพี่ สาธุ
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337

    ขอบคุณครับ :) :) :) :)

    ถ้าอ่านไม่ทันใจสามารถไปอ่านที่กระทู้อีกอันของผมได้ครับ

    คือในกระทู้นี้ผมรวบรวมส่วนที่เป็นเฉพาะหลวงพ่อตอบปัญหาและจากคำบอกเล่าจากกระทู้นั้นมาลงในกระทู้นี้ครับ

    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    59
    ค่าพลัง:
    +225,337
    แหวนเพชรถูกกางเกงใน

    ผู้ ถาม : แหวนเพชรก็ดี ลูกแก้วก็ดี เอาไว้ติดตัวเป็นประจำ บางครั้งก็ถูกกางเกงใน บางทีก็ต้องเข้าห้องน้ำ ไม่ทราบว่าจะทำให้ของดีๆของหลวงพ่อเสื่อมไปหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวง พ่อ : ไม่เป็นไร กางเกงในมันไม่สกปรกเท่าตัวเองหรอก ในตัวมีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำเหลือง มีขี้ มีเยี่ยว พระไม่ได้ถือขนาดนั้น ถ้าปรามาสถึงจะเสื่อม ถ้าไม่ปรามาสไม่เป็นไรนะ


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2543)


    แหวนเพชรรักษาโรค

    ผู้ถาม : ลูกซื้อแหวนเพชรจากวัดไป บังเอิญคนที่บ้านไม่สบาย ลูกก็เอาแหวนเพชรแช่น้ำ แล้วก็อาราธนาบารมีหลวงพ่อช่วย ปรากฏว่าโรคต่างๆ หายอย่างปลิดทิ้ง ต่อมาลูกเห็นคนข้างเคียงเขาจะออกลูก อยากจะเรียนถามว่า ถ้าเอาแหวนเพชรไปแตะที่ท้องแล้วลูกจะออกง่ายหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : คือท่านแก้ทุกอย่าง พระพุทธเจ้าท่านทำทุกอย่าง ฉันไม่ได้ทำเอง

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2543)




    รักษาศีล 8 ดูทีวี

    ผู้ถาม : รักษาศีล 8 ดูทีวีได้หรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : ดู ทีวี ได้แต่ห้ามเต้นตามทีวี เดี๊ยวๆ อีหนู เอ้า ! อย่ารำคนเดียวซิ ข้าจะช่วยรำ เสร็จ ! เต้นไปเต้นมา ทีวีเลิกเมื่อไรก็ไม่รู้เต้นเพลิน

    ดูทีวีความจริงก็ไม่เป็นไร ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติกรรมฐาน ดูได้ทุกอย่าง ดูอย่างนักกรรมฐานดูนะ ! ถ้าเป็นละครชีวิต มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง ทะเลาะกันบ้าง ก็ดูว่าภาวะอันนี้เป็นความจริงของโลก คนที่เกิดมาในโลก ถ้าเราเกิดมามันต้องประสบอาการอย่างนี้ เวลานี้เขาทะเลาะกันให้เราดู เขาแสดงการทะเลาะเรายังไม่ทะเลาะ สักวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะทะเลาะกับใครก็ได้ อย่างที่เขาเรียกว่า ดูเป็นกรรมฐาน

    ดูทีวีก็ดูอย่างพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ดูมหรสพซิ ! ดูไปก็คิดว่า ไอ้นี่มันทุกข์ ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ พยายามพิจารณาบ่อยๆ


    เหยียบสัตว์เล็กตาย

    ผู้ถาม : ถ้าเราเดินไปเหยียบสัตว์เล็กๆ หรือปัดยุงแล้วไปโดนยุงตาย อย่างนี้ศีลจะขาดไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าเป็นสัตว์เล็กๆ เดินไปเราไม่เห็น บังเอิญเราไปเหยียบตาย อย่างนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็กๆ มันมาเกาะกินเลือดของเรา เราไม่คิดจะฆ่ามัน ถ้ามันเกาะนานเกินไป ก็ค่อยๆ เอามือลูบให้มันหนีไป แต่บังเอิญมันหนีไม่ทัน ไปถูกมันตาย อย่างนี้ศีลไม่ขาดเพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า

    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 219 เดือนมิถุนายน 2542 หน้า 66)

    ปล่อยนก

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ถ้าหากเราจะทำบุญด้วยการปล่อยนก เราจะได้บุญไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้

    ผู้ถาม : ทีนี้มาคิดดูอีกที ถ้าเราไปซื้อมาปล่อยบ่อยๆ เขาก็จะไปจับนกมาอีก อย่างนี้เรียกว่าเป็นความผิดหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : ความคิดนี่ไม่ผิดแต่ว่าขาดดีไปนิด ถ้าเราซื้อมาปล่อยมันก็ไม่ตาย ถ้าเราไม่ซื้อมาปล่อยเขาอาจจับมาแกงก็ได้ นกตัวนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ฆ่าให้ตายแต่ก็เสียอิสรภาพ ถ้าเราปล่อยไปนกตัวนั้นก็พ้นจากการถูกขัง และเขาถือเป็นการให้อภัยแก่ชีวิตสัตว์เหมือนกัน

    ผู้ถาม : จะไม่เป็นการส่งเสริมให้คนนั้นเขาทำบาปหรือคะ ?

    หลวงพ่อ : จะไปส่งเสริมเขายังไง ถ้าเราไม่ซื้อก็ไม่เสียหายอะไร ถ้านกตัวนั้นอยู่นานๆ น่ากลัวตาคนนั้นแกแกงนะ หรือแกจะปล่อย ดีละ... ไม่มีใครซื้อ ฉันปล่อยเองก็ได้ ปล่อยลงท้องไปเลย..

    ผู้ถาม : (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : ว่าไง..จะปล่อยหรือไม่ปล่อย

    โยมยิ้มไม่ตอบ หลวงพ่อจึงสรุปว่า

    หลวงพ่อ : การปล่อยนกมันก็มีเมตตาส่วนหนึ่ง มันมีโอกาสให้นกเป็นอิสระภาพ นกไม่ถูกขัง และเงินที่ให้ไปเขาก็ได้เลี้ยงชีวิต เป็นอันว่าเราได้ 2 ทาง เสียสตางค์ 1 บาท ได้ 2 ส่วน ดีไหม..ถ้าคิดว่าเราปล่อยนกอย่างเดียวเป็นการให้อภัยแก่นกเป็นเมตตาบารมี

    ถ้าเราซื้อนกปล่อย นกก็ไม่ถูกขัง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตาย แต่ก็ลำบากต้องพลัดพ่อพลัดแม่ใช่ไหม ถ้าเราซื้อคนที่ขายเขาก็ได้เงินไปใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เอาทั้ง 2 ทางเลย ถือเป็นการให้ทานไป

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ฉบับรวมเล่มปีที่ 2 ปี 2524 ฉบับที่ 9-18 หน้า 520)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...