รวมเรื่องจริงอิงนิทานของ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงค่ะ..

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 8 มกราคม 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="578"><tbody> <tr> <td colspan="3" valign="top"> <table class="webbody" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" height="33" width="749">
    คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ <!-- #EndEditable -->​
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td height="206">
    </td> <td colspan="3" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--> <tbody> <tr> <td valign="top"><!-- #BeginEditable "detail" -->
    ต้นเหตุของเรื่องนี้เกิดจากคุณแดง (พ.ท.ศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์) คุยว่า เมื่อปีมะโว้โน้นเพื่อนชวนไปเที่ยวเขา ที่จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า เขาถ้ำ ได้เคยลงไปในปล่องถ้ำ ด้านบนพบผอบบรรจุกระดูกนิ้วมือ แล้วที่ผนังหินเห็น มีอะไรเขียว ๆ ใส ๆ ฝังปนอยู่ คุณแดงก็เลยเอาเหล็กสกัดที่ติดตัวไปด้วยสกัดออก ปรากฏว่า ของเขียวนั้นแข็งมาก จนเหล็กสกัดพังไปหมด เมื่อเล่าแล้ว ความโลภก็เข้าเกาะกุมพรรคพวกจนตาตั้ง ถามว่า ยังจำทางได้ไหม คุณแดงบอกว่า น่าจะได้ เพราะมันเป็นทางรถทางเดียว ลัดเลี้ยว ไปในป่า ซักกันไปซักกันมา พรรคพวกลงความเห็นว่า น่ากลัว จะเป็นมรกตเสียกระมัง ตกลงเลยเชิญ ท่านวิเชียรเทวดาผู้ปกครองท้องที่ มาประทับทรงลองสอบ ถามดู ท่านบอกว่า ท่านไม่หวง จะไปเอาก็ไปซี การเชิญประทับทรงนี้ ใครจะว่าเหลวไหลงมงายก็ช่าง สนุกดีเป็นใช้ได้
    ในโอกาสต่อมา ก็เชิญเทวดาองค์นั้นองค์นั้น องค์นี้ อีกหลายองค์ ท่านก็ช่วยทำพิธีให้ วิธีการบวงสรวงการ เซ่นสรวง เจ้าที่เจ้าทาง การขึงสายสิญจน์ ยาวเท่านั้นเท่านี้ อะไรก็ว่าไป แต่การขุด กลับไปกันเสียคนละเรื่อง ว่าจะไปสกัด "มรกต" กัน แต่ท่านให้ไปขุดบนดิน ส่วนจุดที่จะขุดนั้น ให้ไปเชิญประทับทรงที่โน่นจะ ช่วยทำเครื่องหมายให้ เมื่อเตรียมการ เสร็จเรียบร้อย ได้ฤกษ์ยามตามกำหนด ก็ออกเดินทางกัน (ลาพักร้อนประจำปี) ทีเดียว คุณเสริม คุณอ๋อย คุณแดง คุณเหม่ (เลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม) คุณเอก และคุณอุดม ผู้มี "ตาใน" (อัญชัญ ศุทธรัตน์) ก็ออกเดินทางกัน ด้วยรถแลนด์โรเวอร์ 1 คัน คุณเหม่ผู้ชำนาญการรถยนต์ คุณเสริม หัวหน้าคณะ คุณ อ๋อย คุณชอ การครัว คุณแดง คุณเอก คุณอุดม แผนกใช้แรง และ เรดาร์ตาทิพย์
    ออกเดินทางไปถึงชลบุรี พาหนะคร่ำคร่า ก็ทรยศไม่ยอมวิ่ง เสียเฉย ๆ งั้นแหละ เสียเวลาไปตั้ง 3 ชั่วโมง กว่าจะแก้ตก เล่นเอาเสียกำลังใจไปโข เพราะแสดงว่า ฤกษ์ไม่ดี กว่าจะถึงวัดที่เหม่ (ตัดคำว่าคุณออกเสียจะได้สั้น ๆ ) คุ้นเคยเพื่อขอพักนอน ที่จันทบุรีก็ค่อนข้างดึก
    รุ่งขึ้น เหม่ไปตาม พรรคพวก ที่รู้จักที่ทาง เพื่อให้หาคนนำทางไปเข้าถ้ำ พรรคพวกพาไป สอบถามที่บ้านนายายอาม ซึ่งอยู่ที่ปากทาง พวกที่รู้จักก็บอกว่า อย่าไปเลย เขาถ้ำดุจะตายไป ถ้าไปที่อื่นเขาจะพาไปเอง ถามเขาว่า ดุ ยังไง เขาบอกว่า
    ข้อหนึ่ง ช้าง ที่นั่นชาวบ้านไปทำไร่มันสำปะหลัง ช้างรังควาน เสียอยู่ไม่ได้เลย
    ข้อสอง เสือ เคยมีคนเข้าไปเที่ยวแล้วจอดรถนอน หมวกมันตกออกไปนอกรถ จะลงไปหยิบยังไม่กล้าเลย เพราะเสือมันนั่งดูอยู่
    ข้อสาม ผี มีคนเคยเห็นเสือสมังตัวเบ้อเร่อ กระโจนสามทีถึงยอดเขาเลย
    หัวหน้าคณะ นึกในใจว่า เรื่องนี้สบายมาก เพราะตกลงกับเจ้าของที่ ไว้แล้วว่า อันตรายจะไม่มี เลยเคี่ยวเข็ญว่า เอาเถอะน่า เอาพวกเราไปปล่อยไว้นั่น แล้วเราจัดการเอง พวกคุณจะกลับมาก็ได้ พวกคนนำทางก็รับคำ รุ่งขึ้นรถแลนด์ ฯ คันหนึ่ง กับจี๊ปเล็กของคนนำทาง ก็มุ่งไปสู่เขาถ้ำ เข้าไปร่วมชั่วโมง ไปพบหมู่บ้านริมทางเขา บอกว่า ทางนี้ เข้าไม่ได้หรอก ต้นไม้ใหญ่ล้มขวางทางเยอะแยะ ไปทางโน้นซี มีอีกทางหนึ่ง แต่เขาว่า สะพานข้ามห้วยมันพังหมดคงเข้าไม่ถึง เลยย้อนมาอีก พอถึงทางแยก เข้าคนนำทางก็ชี้ให้ แล้วพากันขับรถบุกเข้าไป ถ้ากิ่งไม้มากนัก ก็เอาดาบหวดซ้ายป่ายขวาเข้า จนในที่สุดก็ไปถึงห้วยแรก
    จริงของเขา ไม้ซุงที่ทอดข้ามห้วยมีอยู่ซีกล้อเดียว อีกซีกหนึ่งหักไปเสียแล้ว สะพานนี้พวกรถตัดไม้ รถลากไม้ คงจะมาทำเอาไว้ พวกขุดสมบัติมองไปมองมา บอกว่า ห้วยอันนี้มันก็ไม่ลึก เอาไม้พาดๆ ตรงนี้ ถากดิน ตรงนี้ ๆ มันก็พอจะเอารถลุยห้วยไปได้ นี่นะ เลยให้คนนำทางเขาช่วย คือ ตัดไม้ ขนไม้ ถากดิน กว่าจะเสร็จก็เกือบค่ำ เลยจ่ายเงินให้คนนำทางเป็นรางวัล แล้วเขาก็ขับรถจี๊ปเล็ก กลับไป
    คณะขุด ฯ เลือกได้ เนินเป็นชัยภูมิดี ก็กางเต๊นท์กัน หุงข้าวกินกัน โดยอาศัยน้ำขังในห้วยที่ไหลรินๆอาบน้ำอาบท่าเสร็จ พอค่ำก็ไหว้พระสวดมนต์ ทำกรรมฐานกันก่อน ใจไม่นึกกลัวผีป่าผีโป่งอะไรทั้งนั้น ตลอดจน เสือสางก็ไม่กลัว เพราะถือว่า ท่านวิเชียรคุ้มครองให้ จะคร้ามก็คร้ามเสียปืน ที่ดังหลายนัดฟังดูเหมือนใกล้ ๆ เมื่อตอนเย็นมากกว่า
    เลิกทำกรรมฐาน เสียงเหม่ถาม "เฮ้ยอุดมได้ยินอะไรหรือเปล่า ? ได้ความว่า เหม่ได้ยินเสียงคนพูดใกล้ๆ เต็นท์ เลยออกจากกรรมฐาน คอยระวังการอยู่ อุดมตอบว่า "ได้ยินครับ เป็นผู้ชายกับผู้หญิงพูดกัน ผู้ชาย บอกว่า จะเข้ามาดู แต่ผู้หญิงห้ามไว้ว่า "อย่าเลย" " ปรากฏว่า หลายคนนอนไม่หลับ เพราะต้องแอ่นหลัง นอนบนเนินประการหนึ่ง แปลกที่ประการหนึ่ง และมีความหวาดจากเสียงที่อุดมได้ยิน ประการหนึ่งเกรงว่าจะมีผู้ร้ายมาปล้น
    ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ก็หุงข้าวกันเตรียมจะกินด้วย แล้วใช้ในพิธีบวงสรวงด้วย ปรากฏว่า เมื่อข้าวเดือดเห็นมี เมล็ดข้าวสีจำปาอ่อน ลอยปนอยู่มาก พอสุกแล้วก็เห็นว่า ข้าวชนิดนี้มีปนอยู่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ มีรสหวานปะแล่ม ๆ ออกจะชอบกลอยู่ เพราะว่า เมื่อเย็นวานนี้ ข้าวก็ยังขาวดีไม่มีอะไรปนเลย ข้าวสารเอาไป ถุงเดียว ภาชนะก็อันเดียวกัน น้ำก็แห่งเดียวกัน ทำไมหุงแล้วไม่เหมือนกัน ตอนทำพิธี ก็เลยให้อุดมลองตรวจดู อุดมบอกว่าเห็นคนแก่ ๆ เอาอะไรมาโปรยบนหม้อข้าวที่กำลังหุง แล้วเห็นอีกคนหนึ่ง แอบต้นไม้ดูอยู่ เมื่อลองสำรวจดูบริเวณที่พักอีกทีหนึ่งให้ละเอียด (เพราะเมื่อเย็นวานนี้ไม่มีเวลาตรวจ) ก็พบว่า มีทางช้างเดิน และมีกองมูลเก่าช้าง อยู่หลายกอง ส่วนเนินที่เรานอนก็เป็นคล้ายที่พูนดินขึ้น เลยนึกถึงว่า คนนำทางเขาเล่าว่า ยิงกันตายตรงนี้ศพหนึ่ง น่ากลัวว่า จะนอนบนหลุมฝังศพ กันเสียแล้ว ศพของนาย คนที่มาแอบดูนั่นแหละ
    กินข้าวเสร็จ คณะขุดก็ออกเดินทางต่อไป โดยขับรถไปตามทางรถลากไม้เก่า ไปจนถึงห้วยที่ 2 เป็นห้วยตื้น มีน้ำไหลตลอด รถพอจะข้ามได้ แต่ขณะตรวจทางตรวจไปถึงห้วยที่ 3 ปรากฏว่า ลึกมากไม่มีทางข้ามได้ จึงตกลงใจตั้งฐานปฏิบัติการที่นั่น แล้วออกเดินสำรวจเอา เพราะ เมื่อวานนี้ คนนำทางเขาชี้ทิศคร่าวๆ ให้แล้ว ตอนนี้แบ่งคนเป็น 2 พวก พวกตั้งค่ายก็พวกหนึ่ง คือผู้หญิง 2 คนกับเอก อีก 4 คนแบ่งเป็น 2 พวก ไปค้นหาเขาถ้ำใน 2 ทิศที่เห็น เป็นภูเขาอยู่
    เขาถ้ำนี้ เป็นหินทั้งภูเขา แต่เขาที่เราเห็น เป็นเขาดินธรรมดาทั้งนั้น สำรวจใกล้ ๆ ที่พักก็ไม่พบร่องรอย พบแต่ปลักช้างเก่า ๆ รอยหมูป่าและรอยเท้ากระทิงโทน ซึ่งแสดงว่า ตัวโตมาก ตอนเที่ยง เมื่อกลับมาสมทบกันเหม่ กับแดงรายงานว่า ทางสายเขาเจอะรอยกระทิงสีกับต้นไม้ รอยนั้นอยู่สูงเกินศรีษะขนาดสุดมือเอื้อม แดงปรารภว่า "ไอ้ตัวนี้น่ากลัวมันจะกระโดดขึ้นไปสีว่ะ"
    ตอนบ่าย กินข้าวกินปลาเสร็จ รวมเป็นคณะเดียว ออกสำรวจตามทิศที่คนนำทางชี้ให้อย่างคร่าวๆ โดยบุกไป ตามรอยรถลากไม้เก่า ไปจนเกือบออกที่โล่งก็ยังมองไม่เห็นเขาถ้ำ ตกลงหยุดกลางป่า ซึ่งจะมองทิศไหน ก็เป็นต้นไม้เหมือนกันหมด จนแต้มเข้า ต้องใช้ตาเรดาร์ให้อุดมนั่ง "ดู" ถามว่า ไปทิศไหน จึงจะถูก อุดมนั่งหลับตาสักพักหนึ่ง ชี้ไปทางขวา บอกว่า "ทางนี้" เลยพากันบุกป่าไปอีก หนามเกี่ยวแทบตาย มากเสียด้วย รกก็รก แต่น่าแปลก ที่ไปเจอะ มูลถ่ายสด ๆ ของเจ้ากระทิงตัวนั้นเข้าได้ เหมือนกับว่า มันจงใจ นำทางอย่างนั้นแหละ บุกป่าไปพักหนึ่งก็ "ชน" เข้ากับหิน ต้องใช้คำว่า "ชน" ก็เพราะมันมองไม่เห็นจริง ๆ ว่า มีภูเขาอยู่ตรงนั้น ถึงแม้ จะห่างสักแค่ 20 เมตรก็ตาม สีมันกลืน กันไปหมด
    เมื่อไปถึงเขาถ้ำ ก็แย่งกันปีนขึ้นไปข้างบน เพื่อหาเครื่องหมาย ตามที่ได้รับการบอกเล่าจากแดง ในการนั่งสมาธิ เมื่อคืนนี้ว่า ให้ดูหินขาวเหนือยอดไม้ 2 ต้น ปรากฏว่า ไม่เห็นมีอะไร วันนี้จึงเป็นอันว่า ฟาวล์ ต้องกลับที่พัก เพราะเวลาเย็นเสียแล้ว กลับถึงที่พัก อุดมรายงานว่า เห็นสัตว์หน้าดำเหมือนหมีอยู่ทางซ้ายมือ แต่ไม่กล้าบอก
    กลับที่พักอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็ค่ำ บังเอิญเป็นคืนเดือนหงายเลยพากัน "แหกปาก" ร้องเพลงเป็นการใหญ่ แดงแสดงเป็น "ตาเกิ้น" เหม่เป็น "คุณศักดิ์" เมื่อสนุกกันหอมปากหอมคอ ก็เชิญประทับทรง ถามปัญหาต่าง ๆ ท่านก็บอกให้ไปเชิญลงประทับ ที่หน้าภูเขา จะชี้จุดให้ ในขณะเดียวกันอุดมก็ใช้ "ทางใน" ถามภุ มมเทวดาดู ท่านบอกว่า ที่นี่ มีช้าง อยู่โขลงหนึ่ง แต่ไม่ต้องกลัว เพราะให้ "คน" ต้อนไปเสีย อีกฟากหนึ่งแล้ว
    รุ่งขึ้นคณะ ฯ ก็หอบสัมภาระต่าง ๆ ไปที่หน้าเขา เพื่อดำเนินการ ไปถึงก็ทำพิธี ตามที่ท่านบอกไว้ แล้วให้ แดงเชิญประทับทรง แดงวิ่งไปปักชะแลงฉับ เข้าให้ตรงจุด ๆ หนึ่ง
    เขาถ้ำนี้เป็นเขาถ้ำสมชื่อ คือ มีถ้ำทะลุหน้าหลัง มีขนาดใหญ่มาก เพดานสูงมากเอารถใหญ่ๆเข้าไปจอด ได้ 4-5 คันอย่างสบาย เพราะพื้นเป็นดินทราย ข้างๆ เขามีห้วยเล็กๆ มีน้ำพอใช้ได้ เป็นเขาไม่สูงนักเลย มองไม่เห็นจากระยะไกล ๆ เพราะความสูงเท่ากับต้นไม้อื่น ๆ เขานี้แปลกเหมือนกัน ที่เป็นหินทั้งลูกใน ขณะที่เขาอื่น ๆ และบริเวณอื่น ๆ แถบนั้นไม่มีหินเลย
    พรรคพวกระดมกำลังขุดกันใหญ่ นัยว่า ทรัพย์จะเป็นมณีแดงก้อนโต แต่ขุดลงไปก็มีแต่ "แดงลาว" ไม่ใช่ แดงสยาม เราเรียกกันว่า แดงลาว เพราะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ สีแดงล้วน ๆ มีอยู่มาก แต่ไม่มีร่องรอยอะไร ให้เห็นว่า จะมีพลอยหรือทับทิมเลย มีแต่ผึ้งไม่รู้มันแห่กันมาจากไหน มาถึงก็รุมกันเกาะหัวหน้าคณะและคนที่ขุด ไต่ตาม เนื้อตามตัว คงจะหากินเนื้อเค็มๆ ถ้ามุดเข้าไปที่ไหนหาทางเดินไม่ได้ก็ต่อยเอา เลยต้องก่อไฟรมผึ้งกันอีก
    คุณเสริมหัวหน้าคณะ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องช่วยขุด นั่งมองไปมองมา จึงเห็นหินขาวบนภูเขา อยู่ตรงกับยอดไม้ 2 ต้น ที่ท่านบอกว่า เป็นที่หมายว่า มีอยู่จริง ๆ น่ะแหละ แต่อย่างไรก็ดีขุดกันไปจนถึงน้ำ ก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากแดงลาวเจ้ากรรมนั่น เลยต้องเลิกขากลับ เอกกำลังเดินอยู่ดีๆ คนเดียวในถ้ำไม่ทราบถูก ใครถีบเสียเซออก ไปข้าง ๆ บ่นขรมทีเดียว เดินผ่านมาถึงที่อุดมเห็นสัตว์เหมือนหมี ปรากฏว่า เป็นตอไม้ไหม้ไฟตอหนึ่งเท่านั้นเอง
    เมื่อกลับถึงที่พัก ตอนกลางคืน เลยให้อุดม ติดต่อเทวดา อุดมบอกว่า เห็นเจ้าเขานั่งหน้าบึ้งอยู่บอกว่า ไม่ให้เสียอย่างจะทำไม เราก็เถียงกันว่า ท่านวิเชียรให้แล้วนี่ แกก็ตอบมาว่า ให้ก็ให้ไป แต่คนเฝ้าได้รับคำสั่งตรงจากเบื้องบนที่สูงกว่าท่านวิเชียรนี่ รุ่งขึ้นคณะ ฯ ก็ต้องล่าทัพกลับบ้าน พร้อมกับบ่นในใจว่า เทวดา นี่ยังไงกันแฮะ เดี๋ยวให้ เดี๋ยวไม่ให้
    ต่อมาเมื่อพบหลวงพ่อ คุณอ๋อยก็ฟ้อง หาว่า เทวดาหลอกลวง หลวงพ่อหัวเราะแล้วบอกว่า รู้แล้วว่า ไปขุดไม่ได้อะไร แต่จะได้พบสิ่งอัศจรรย์ ก็เลยปล่อยให้ไป
    สรุปแล้วคราวนี้ ได้เห็นว่า เทวดาเอาข้าวทิพย์มาโปรยสำหรับทำบุญได้ แล้วก็ได้ความสนุก จากการผจญภัยต่าง ๆ ก็ดีเหมือนกัน ต่อมาอีกวาระหนึ่ง เกิดคบขึ้นกันขึ้นอีกว่า เทวดาไม่ให้ก็ช่างเทวดาเราไปเอาไอ้แก้วเขียว ๆ ที่เป็นของธรรมชาติ นั่นดีกว่า ยังไม่ยักเข็ด ที่เจ้าเขาแกโกรธเอา พอปรึกษาและปลุกใจกัน นิดหน่อย แล้วก็ตกลงไปกันอีก เป็นครั้งที่ 2
    ก่อนไปก็ติดต่อทางเบื้องบน ตามระเบียบอย่างคร่าวก่อน แต่คราวนี้เอาใหม่ คือ ช่วยกันถางทางไป จนถึงหน้าถ้ำ เอารถไปจอดที่ถ้ำเลยทีเดียว ห้วยต่างๆ สำรวจใหม่ ก็อยู่ในวิสัย ที่รถจะลุยข้ามได้ทั้งนั้น เมื่อเตรียมการเรียบร้อยดี ถึงวันได้ฤกษ์ คณะก็ออกเดินทางแต่เช้า ไปแวะกินข้าวที่บ้านนายายอาม ตรงนี้มารู้ภาย หลังว่าเขาห้าม แวะก่อนถึงที่หมาย พอถึงทางแยกในป่า ที่จะไปเขาถ้ำ เกิดพายุเมฆดำพัดมาทางคณะ ฯ เอ๊ะ ท่าไม่ดีบางคนก็ร่ายคาถากำจัดพายุ ฝนก็ลงนิดๆ เข้าไปถึงกลางทาง รถติดหล่มในห้วย พอดีใกล้เพล เลยต้องรีบจัดเครื่องบวงสรวง วางเข้าบนหน้า หม้อรถยนต์นั่นเอง ฝนก็กระหน่ำใหญ่ ไม่ลืมหูลืมตา ล่อกัน ทุลักทุเล กว่าจะถึงถ้ำได้ ก็บ่ายมากแล้ว เลยไม่เป็นอันทำมาหากินอะไร ขึ้นไปดูบนยอดเขา จะหาทางลงปล่อง ไปสกัดแก้วเขียวนั้น ปรากฏว่า คุณแดงหาปากปล่องไม่เจอะ รู้สึกว่า ปล่องถล่ม เสียหมดแล้ว เหลือช่องเล็กเกินไป เข้าไม่ได้
    รุ่งขึ้นตั้งพิธีทำการขุดใหม่ ที่จุดใหม่ที่ "ท่าน" ชี้ให้ด้วยการประทับทรง คราวนี้ขุดสะดวก ดินก็อ่อนมีกลิ่นหอม คนขุดบอกว่า มั่นใจมากว่าจะขุดได้ ขุดไปจนเย็นมันก็ไอ้ "แดงลาว" อย่างเก่านั่นแหละ ตอนหนึ่งอุดมเงยหน้าขึ้นมาถามว่า ทำอะไรตกหรือเปล่า คุณเสริมบอกว่า เปล่า อุดมก็บอกว่า ทำไมถึงมีเสียงดังตึง ? เสร็จ ! รูปนี้ แสดงว่า สมบัติเคลื่อนที่เสียแล้ว เพราะหลวงพ่อเคยเล่าว่า ทรัพย์ที่วัด เคลื่อนที่หนีคนขุดเสียงดังตึงใหญ่ ได้ยินไปถึงฝั่งโน้น จนต้องนั่งเรือข้ามาถามว่า รถชนกำแพงวัดหรือไง ขุดต่อไปจน เกือบ ตี 1 ก็ต้องเลิก แล้วอาบน้ำเข้านอนกัน ทีแรกก็นอนกันอยู่ข้างนอกดี ๆ เสียงอุดม บอกเหม่ว่า "อาจารย์ ๆ ไปนอนบนรถเถอะ ท่าไม่ดีเสียแล้ว" เลยกลัวกันใหญ่ ปืนเปิ่นอะไร ต้องขึ้นนกห้ามไกไว้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไร
    รุ่งเช้า เอกเล่าว่า เมื่อคืนนี้น้ำก็ไม่ได้อาบ เพราะอุดมอาบน้ำ ก่อนแล้วยืนรออยู่ใกล้ ๆ ขณะที่เอกกำลังจะอาบ เสียงอุดมบอกว่า "เอกๆ กลับเหอะ" เอกก็พอดีเหมือนกัน เขาบอกว่า กลับก็กลับเลยไม่ต้องซักถาม อะไรกันละ เรื่องนี้อุดมอธิบายว่า เห็นตัวอะไรก็ไม่รู้เล็ก ๆ ดำ ๆ เหมือนหมีแต่หน้าขาวจั๊วะ ยืนแอบต้นไม้ ดูอยู่น่ากลัว จะเป็นผี ฟังเรื่องกันดูแล้ว แดงออกความเห็นว่า "น่ากลัวจะเป็นลูกผีว่ะ เลยยังหลอกไม่เป็น" ส่วนที่เรียกเหม่ ให้เข้าไปนอน ข้างในนั้น เพราะว่า มีอะไรมาสัมผัส ขนลุกซู่ ๆ ผิดปกติ แล้วรู้สึกคล้าย ๆ ว่าจะมีงูด้วย
    เมื่อพักผ่อนกันดี ตอนบ่ายก็เดินทางกลับ มาค่ำเอากลางทาง พบว่า สะพานข้ามห้วยพังไปเสียแล้วรถลากซุง เขาบุกกันไปข้าง ๆ ได้ เพราะรถสูงมาก และ ใช้สลิงลากได้ ส่วนของเราไม่มีสลิงอยู่แถวนั้นเลยต้อง เอาไม้มาพาด ๆ ต่อกับบนสะพานที่หัก ซึ่งเป็นสะพานเหนือผิวน้ำหน่อยเดียว ให้รถค่อย ๆ ไต่ไป แต่เมื่อล้อรถต้องเปียกน้ำ และมีโคลนบนกระดาน รถก็เลยลื่นหล่นลงไป ติดหล่มอยู่ในลำธาร เสร็จกัน ! ในขณะ ที่ทอดอาลัยตายอยาก นึกว่า จะต้องรอกันจนเช้า คุณเสริมก็พบว่า รถมันไม่ได้จมลงไปทุกที ๆ อย่างที่คิด ตรงกันข้ามพื้นลำธารกลับ เป็นกรวดทรายแน่น คลำ ๆ ดูใต้ท้องรถปรากฏว่า แผ่นกระดานไปยันอยู่ดังนั้น เมื่อรื้อออกเสียได้ก็ใช้กำลัง เครื่องยนต์ประกอบกำลังคนใช้เชือกฉุดก็เลยขึ้นฝั่งได้
    การขุดครั้งที่สองนี้ไม่ได้อะไรมาก นอกจากความลำบาก และเมื่อรายงานหลวงพ่อ ท่านก็หัวเราะใหญ่ บอกว่า ไอ้ลูกผี และไอ้ที่ทำขนลุกซู่ ๆ นั่นคือ เทวดาที่เข้าคุ้มครองอยู่ เขาเฉียดมาใกล้ ๆ ส่วนงูนั่นมีมาจริง ๆ เป็นงูสีดำ ใหญ่เท่าต้นขา และมันเลื้อยผ่านปากถ้ำอีกด้านหนึ่ง ส่วนปัญหาว่า เทวดาหรอกไปขุดสมบัติ ทำไมนั้น ดู เหมือนท่านบอกว่า "เอามันให้เข็ดมันอยากโลภกันมากนัก" เช่นเดียวกับเลขหวยต่าง ๆ บอกมา ทีไรก็ต้องผิดทุกที ท่านบอกแล้วว่า
    เรื่องโชคนี้ อย่าไปขวนขวาย เพราะเป็นเรื่องของบุญกุศล หรือทานที่ทำไว้ในปางก่อนถึงเวลาก็มีมาเอง ไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องขอ ไอ้ที่ขอได้นั่น เรื่องเขาจะได้อยู่แล้ว
    มันก็ เลยคิดออกว่า เลขนั้นเลขนี้ มีคนมาขอหวยท่าน ๆ แกล้งบอกให้ไปนับกองขี้หมาตามทาง กลับบ้านดูซี ยังไปถูกเสียจนได้
    แต่คนโลภนี้ จะเข็ดก็หาไม่ เพราะอยู่มาวันหนึ่ง เทวดาก็บอกอีกแล้วว่า ทางเมืองกาญจน์น่ะ สมบัติเยอะนะแก พวกพม่ามันฝังไว้ ไอ้ที่หมดอายุการเป็นเจ้าของแล้วก็มี ลองไปตรงคุ้มน้ำตรงนั้นซี จะมีที่กำบังตาอย่างดี ลักษณะมองจากข้างบนก็ไม่เห็น มองจากแม่น้ำก็ไม่เห็น เอาอีกแล้ว คุณเสริมจัดแจงหาแผนที่มา ให้ท่านชี้จุด แล้วจัดการ ไปสำรวจกัน กว่าจะหาจุดในภูมิประเทศได้ กว่าจะยืมเรือ (รั่ว) ของชาวบ้าน ให้ เหม่พายทวนน้ำไป ได้ก็หอบหาไปหามาไปเจอะเข้าจริง ๆ ลักษณะตรงทุกอย่าง
    คราวนี้ก็คณะเดิม เป็นส่วนใหญ่ มีคุณเสริม คุณอ๋อย คุณชอ คุณเหม่ คุณแดง ต้อม ทักษิณ สองคนท้ายนี้ ไปแทน อุดม กับ เอก ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ยืมแพยางไป 1 แพ สำหรับข้ามน้ำ รถยนต์ไปถึงท่าม่วง ยางแตก ฤกษ์เสียอีกแล้ว (คราวที่ไปเขาถ้ำรถเสียทีหนึ่งแล้ว) แต่ก็ไปกันจนถึงจุด จุดที่จะขุดอยู่คนละฝั่งน้ำต้องขน ของลงแพยางข้ามไป เมื่อไปถึง ก็ตั้งเต๊นท์ จัดที่พักกัน ถึงกลางคืน ก็สวดมนต์นอน ที่จุดนี้ เป็นฝั่งแม่น้ำ ไม่มีอะไรน่ากลัวเหมือนเขาถ้ำ น่ากลัวอยู่อย่างเดียวคือ นอนกันอยู่ใต้ต้นไม้เอน ซึ่งอาจจะโค่นลงมาทับเอาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คิดว่า ไม่ถึงที่ไม่ตาย ก็เลยนอนกันไปได้
    รุ่งขึ้น บวงสรวงแล้ว ก็หาที่ขุด แล้วขุด ๆ ๆ กันลงไป ที่นี่ขุดง่าย เพราะ เป็นทราย แต่ขุดแล้ว ตามกำหนด คือ ลึกลง ไป 3 เมตร แล้วชอนไปอีกหน่อย ก็ไม่เห็นเจอะอะไร ตกกลางคืนตี 2 ฝนเทใส่หัวไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนกันเลย สนุกพิลึก เต๊นท์กางนั้นกันไม่ได้เลย เพราะใช้ผ้าพลาสติกขึง ๆ เอา
    ความจริง การขุดสมบัติเที่ยวนี้จะว่าเสียเที่ยวเปล่าก็ไม่เชิง เพราะได้เรียนรู้ชีวิตของคนจนไปด้วยนิดหนึ่ง ตรงบริเวณที่ขุดนั้น เป็นชานพักของตลิ่ง อยู่ติดกับไร่ของชาวบ้าน และ เป็นท่าน้ำที่ชาวบ้านมาลงเรือด้วย พอคณะ ฯ ไปกางเต๊นท์ทำหลังคา ก็มีเด็กตัวมอม ๆ หลายคนมามุงดู ตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้น ได้ความว่า ครอบครัวนี้มา รับจ้างตัดอ้อย มีลูกทั้งหมด 9 คน ก็เลยหาเรื่อง ให้สตางค์จ้างเขาไปตัดต้นอ้อมาทำโต๊ะ วางกับข้าว แกรับเงินแล้ว แกก็ชวนกันไปซื้อน้ำหวานกิน
    คณะ ฯ ได้ยินเรื่องน้ำหวาน ก็เลยวานเด็กพวกนั้นไปซื้อมากินบ้าง จะให้ค่าเดินแกเป็นเงิน แกก็บอกว่า ไม่ต้องหรอกแค่นี้เอง นี่เป็นน้ำใจของคนจน ไม่ใช่ว่าแกจะเห็นแก่เงินจนตาลุกเสมอไป นี่ขนาดเด็กตัวเล็กๆ เสื้อไม่ใส่ ตัวดำ พุงปลิ้น เด็กพวกนี้ มีพี่สาวคนหนึ่งกำลังรุ่น ชื่อ แม่สั้น ตอนเย็นลงมาตักน้ำ คณะ ฯ ก็บอกว่า เออ พวกเราคนนี้ (ต้อม) เขาชื่อ "ยาว" สั้นกับยาว คล้องกันเปี๊ยบเลยยุ เท่าไหร่ ๆ นายต้อมไม่กล้าจีบ คณะเลยให้ สตางค์ไป 100 บาท บอกแม่สั้นว่า เอาให้แม่นะ ให้ซื้อเสื้อผ้า หรือขนมให้เด็กนะ แกก็ไม่รับ ความจริงเด็กพุงโลพวกนั้นได้ชวนคณะฯ ไปนอนที่บ้านด้วยซ้ำ (ไม่มีการปรึกษาผูใหญ่ก่อนเลย) ต่อมาใน วันรุ่งขึ้น ยังเก็บมะเขือเก็บพริก ใส่ตะกร้า มาแจกให้คณะ ฯ กินเสียอีก บอกว่า แม่เขาปลูกไว้ สำหรับเอาไปขายในตลาด จะให้สตางค์แกก็บอกว่า ไม่ต้องหรอก นี่ในชีวิตจริงเป็นอย่างนี้ แต่พวกปลุกระดม แกแหกตาเราแทบตาย ช่องว่างช่องแคบอะไรของแกน่ะแหละ
    ไร่ที่นี่เป็นไร่อ้อย ฤดูตัดอ้อยหาคนตัดยาก บางทีคนงานภาคอื่นมา ขอเงินล่วงหน้าได้เงินแล้วหนีไปเลยก็มี ฉะนั้น เจ้าของไร่ มักต้องตระเวน ไปหาครอบครัวที่จน ๆ แต่ดี ๆ มาเลี้ยงไว้ แล้วอุปการะ โดยให้เซ็นของกินไปก่อนได้ พอได้ค่าจ้าง จากการตัดอ้อย ก็ค่อยมาเฉ่งกัน ลูกเด็กเล็กแดง อะไรพอทำงานได้ ก็ช่วยกัน ตัดอ้อยบรรทุกรถ ดูเหมือนจะให้ค่าตัดร้อยละสิบบาท เวลาไม่ได้ตัดอ้อยพวกเด็กๆ ก็ไปปักแร้วดักนก (ซึ่งคณะ ฯ สะดุดหลุดไปเสียหลายอัน) พี่น้องเขารักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่เรื่องความสะอาดแล้ว ไม่ต้องพูด กันละมอมแมมทีเดียว คุณชอต้องบอกให้ถอดเสื้อมาแล้วซักให้เขา บางคนก็ไม่อาบน้ำ ไล่เลียงไปมาเขา หายไปพักหนึ่ง แล้วมายิ้มกะเรียกะราด ให้ดูเป็นเชิงว่า นี่ไง อาบแล้ว
    นี่นิสัยไทยแท้สู้ไม่ถอย ไม่บ่น กำลังใจดีเสมอ เป็นนิสัยที่ด
    แต่พวกปลุกระดมกำลังจะทำลายให้เลิกสู้ ให้เอาแต่ร้องแรกแหกกะเฌอ ไม่ทำงานแต่จะเอา ๆ หรือ พอมีกินก็ร้องเอามากกว่านี่ ๆ เอาให้นายจ้างพังจนได้ เศรษฐกิจจะได้ล่ม ถ้าไทยเราอยู่อย่างไทย ๆ เราก็ไปรอดแน่นอน
    เอ้า เมื่อขุดไม่ได้ ก็กลับมาบ้าน มาต่อว่าเทวดากันใหม่ว่า หลอกกันอีกแล้ว ท่านก็บอกว่า เอ็งขุดเลยไปนี่หว่า มันควรจะขุดชอนตรงนั้นดันขุดเลยไปเสียได้ พอดีหลวงปู่ธรรมไชย มาที่บ้าน เลยขอให้ท่านช่วยดูให้ หลวงปู่องค์นี้เมตตาไม่สิ้นสุด ขอให้ทำอะไรไม่เคยขัด เวลาจะทำพิธีอะไรก็ยืดยาว ต้องครบเครื่อง ไปไหนกับหลวงพ่อไม่ค่อยได้ เพราะหลวงพ่อใจร้อนรักษาเวลา บางทีถึงเวลาไป อ้าว หลวงปู่ยังทำพิธีให้เขาไม่เสร็จ หลวงพ่อก็เร่งใหญ่ หลวงปู่ท่านพูดอ่อยๆ อย่างน่าสงสารว่า " หลวงปู่ทำอะไรเร็ว ๆ ไม่เป็น " สงสาร ท่านว่า คนกวนมากมาย โดยเฉพาะคนไข้ บางทีท่านเข้านอนตี 2 ตี 3 สงเคราะห์คนไข้ ตี 5 คนไข้มานั่ง รออีกแล้ว เรื่องที่จะปฏิเสธใครนั้นหลวงปู่ทำไม่เป็นเลย
    คราวนี้ก็เช่นกัน หลวงปู่ท่าน ก็ดูให้ ดูแล้วท่านก็บอกอย่างเกรงใจ ๆ ว่า "เอ หลวงปู่ว่า ไม่มีนะทรัพย์น่ะ" คณะ ฯ ก็ไม่เชื่อท่านตามเคย กลับไปขุดอีก
    ไปคราวนี้ เรือยางที่ยืมมาเอาไปคืนเขาเสียแล้ว ประกอบกับพายทวนน้ำไม่ขึ้น ด้วยคุณเสริม หัวหน้าคณะ หาทางออกใหม่ ไปซื้อเรือพายขนาดนั่ง 3 คนมาลำหนึ่ง แล้วขอยืม เครื่องตัดหญ้าเล็ก ๆ ชนิด มีใบพัด อย่างเรือหางยาวมา ทำใบพัดเปลี่ยนเสียใหม่ เอาไปติดเรือพายกลายเป็นเรือหางยาว ทดลองแล่นในสระ ใช้การได้ดีเหมือนกัน เอาบรรทุกบนหลังคารถแลนด์ฯ ไปเที่ยวนี้เปลี่ยนสมาชิก เหม่ไปไม่ได้ ต้อมไปไม่ ได้ เอาหน่อย (ลูกคุณ เสริม) กับ อู๊ด (รังสิต วัสนชิน) ไปแทน เรือหางยาวนี้ ไม่เคยมีใครหัดขับ แต่เห็นว่า มันไม่น่าจะยากอะไรนี่
    ข้ามน้ำเที่ยวแรก แดงขับ พอบ่ายหัวออกสู่กระแส หัวเรือก็ล่องตามน้ำทันที ร้องเฮ้ยๆ กัน เป็นการใหญ่ แต่เรือก็หมุนมาเข้าที่เดิมได้ อย่างทุลักทุเล เปลี่ยนใหม่ ให้หน่อยนักบินมือดี ลองขับดูบ้าง ออกได้หัวเรือ ก็ตำพรวดเข้า ไปในกอไม้ ริมตลิ่งโน้น ทำไงล่ะ อู๊ดก็แล้วกัน อู๊ดได้ไหม ? "ได้" ก็บรรทุกของ แล้วนั่งกัน สามคนพอเบนหัว เรือออก ก็หมุนคว้างตามกระแสน้ำมาอีกแล้ว กลับมาเข้าที่เดิม ผู้โดยสารเฮ้ยๆ กันจน เรือโคลง โคลงไปโคลง มาน้ำเข้าหนักเข้า เลยจมบุ๋มลงไปเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่เรือไม่ได้พลิก คราวนี้เอาแล้ว เกิดกลียุค ขนมเปี๊ยะบวงสรวง เอย ส้มสูกลูกไม้เอย ลอบกันฟ่องทีเดียว นายท้ายอู๊ดมือหนึ่งถือเครื่องเรือชู อีกมือหนึ่งพุ้ยน้ำ กว่าจะเข้าฝั่งได้ ก็เหนื่อย ขึ้นฝั่งแล้วหัวเราะกันแทบตาย ลงท้ายพายข้ามไปง่ายกว่าตั้งเยอะ ส่วนคุณเสริม เห็นว่า ต้องข้ามหลายเที่ยว เลยลองพุ้ยน้ำดู เอ๊ะ พอไปได้ไหน ๆ ก็เปียกแล้ว ว่าย ข้ามไปอย่างกระดืบ ๆ คงพอไหว ปรากฏว่า พอออกห่างฝั่ง น้ำพัดพรวดไปจนเกือบถึงแก่ง กว่าจะหยั่งถึง ดินได้เลือดตาแทบกระเด็น น้ำเชี่ยวจริง ๆ แต่มองไม่ออก เชี่ยวขนาดยืนในน้ำแค่เข่ายังยืนไม่ติด
    ผลของการข้ามน้ำ ปรากฏว่า มีการสูญเสีย หลายอย่าง คือ เครื่องเซ่น เครื่องบวงสรวง กลายเป็นเซ่นแม่พระคงคาไป แว่นตาราคาแพงของคุณเสริมหลุดหาย ในขณะว่ายน้ำ คุณเสริมบอกว่า ถ้าจะไล่คว้ากันจริงๆ ก็คงทัน แต่ก็คงจะจมน้ำตายด้วย เพราะกระแสน้ำแรงจัด ปืนพก 9 มม. ของอู๊ดตกหายไป 1 กระบอกคุณ เสริมตั้งสมญา ใหม่ว่า "เสือปืนหาย" มารู้กันในภายหลังว่า วิธีขับเรือข้ามน้ำนั้น เขาให้หัวเรือโต้น้ำเฉียง ๆ ไว้นิดเดียว มันก็จะข้ามไปเอง ถ้าตัดตรงไป น้ำเชี่ยวอย่างนี้ มันก็ต้องหมุนตามน้ำไปทุกที ได้ความรู้ เมื่อเรือจม
    ไปขุดทรัพย์คราวนี้ก็ไม่ได้ความอีกตามเคย เมื่อถอยทัพกลับมา อย่างมีระเบียบแล้ว ลองเรียนถามหลวงปู่ธรรมไชยดูอีก ท่านบอกว่า เทวดาที่นั่นโกรธมาก ก็ทรัพย์ไม่มี ๆ ยังไปขุดกันอยู่ได้ เอาปืนมันทิ้งน้ำไป มันก็ยังไม่กลัวอีกแน่ะ ขืนไปอีกทีจะฆ่าเสียเลย คณะขุดได้ฟังก็หัวเราะ เพราะรู้ว่า เทวดาขู่เล่น เรือพาย ลำเล็กที่ซื้อมา คุณเสริมก็เลย ถวายวัดท่าซุงไป สำหรับพระ จะได้พายไปบิณฑบาต ต่อจากนั้นมา ไม่นาน คุณเสริมก็มีอันเป็น คือ แน่นในท้องอยู่ 2-3 วัน จนปวดร้าวไปทั้งตัวครอบครัวเลยเข็นเข้า โรงพยาบาลไปจนได้ รักษาตัวอยู่ 2-3 วันก็กลับบ้าน หมอสงสัยจะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี แต่ยังตรวจไม่พบ ขอให้ไปตรวจ หลังจากอาการสงบดีแล้ว ซึ่งคุณเสริมยังเกเรอยู่จนบัดนี้
    ในภายหลังเทวดาบอกว่า ถ้าหากไม่ใช้ให้ไปรับเคราะห์เสียอย่างนี้แล้ว ก็ต้องผ่าท้องแน่ ๆ พูดถึงเทวดาที่ บอกว่า ท่านพูดอย่างนั้นอย่างนี้นั้น มีวิธีติดต่อสามทาง คือ ถามผ่านทางท่านผู้มีฌาน การเข้าทรง และการเดินกระดาน (ถ้วยแก้ว) เรื่องเช่นนี้ "ผู้ฉลาด" หลาย ๆ คนกล่าวว่า เป็นการงมงาย แล้วมักจะมองดูด้วยความดูถูก หรือเหยียดหยาม แต่คุณอ๋อย และพวกไม่ได้ตกลงไปในความงมงายชนิดนั้น คือไม่ได้เชื่อกัน อย่างหัวทิ่มหัวตำ ไม่ฟังเหตุฟังผล อย่างน้อยก็สงวนไว้ส่วนหนึ่ง คือ เผื่อไว้เสมอว่า อาจจะไม่ใช่เป็นความจริงเสมอไป สำหรับในเรื่องการไปขุดสมบัตินี้ ถึงแม้ว่า จะเป็นเรื่องเลื่อนลอย แต่ก็ชวนให้ลึกลับตื่นเต้น มีการผจญภัย จะเป็นเรื่องจริง หรือไม่ก็คาดว่า คงสนุกแน่ ๆ ก็เลยไปกันจะว่าไปเรื่องลายแทง เรื่องขุดสมบัตินี้ ดูจะเป็นเรื่องที่เข้าเลือดเข้าเนื้อคนไทยมานานแล้ว ด้วยกันน่ะแหละ

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  2. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="578"><tbody> <tr> <td colspan="3" valign="top"> <table class="webbody" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" height="33" width="749">
    คุณอ๋อยกับธรรมะ<!-- #EndEditable -->​
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td height="206">
    </td> <td colspan="3" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--> <tbody> <tr> <td valign="top"><!-- #BeginEditable "detail" -->
    แต่เดิมคุณอ๋อย กับคุณเสริม ก็ไม่ได้สนใจธรรมะเท่าใดนัก โดยปกติมักจะไม่ไปหาพระหาเจ้า ด้วยความสมัครใจของตนเอง ต่อเมื่อ มีคนชวนไปหาพระหมอดูบ้าง ไปรดน้ำมนต์บ้าง ก็ไปกับเขา หวังจะได้เห็นความขลังของพระ เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป
    ต่อมา เมื่อคุณเสริม ต้องไปเข้าโรงเรียนสนาธิการทหารอากาศ ที่สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ดำรงยศนาวาอากาศเอก ก็มีความวิตกอยู่ว่า เป็นนายทหารผู้ใหญ่ไป น่ากลัวจะต้องโดนถาม โดนให้พูดเรื่องอะไรต่าง ๆ ถ้าเผื่อถูกถามเรื่อง พระพุทธศาสนา คงจบเห่ เพราะเมื่อไปคราวก่อน ครั้งที่มียศเป็นเรืออากาศเอก เคยโดนถาม มาทีหนึ่งแล้วว่า พระพุทธศาสนา สอนว่ายังไง ได้ตอบเขาไปอย่าผึ่งผาย ตามแบบฉบับว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ฝรั่งช่างซักคนนั้น ก็ถามต่อไปว่า เอ ศาสนาไหนบ้างล่ะ ที่ไม่สอนยังงั้น เสร็จ !
    ไปเที่ยวนี้ ค้นไปก่อน เท่าที่เวลา อำนวย พล.อ.ต. สุกิจ เสมาเงิน แนะว่า คำสอน ่านเจ้าคณบาลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส ซีดี ผมเคยอ่านตอนบวช ก็เลยไปซื้อมา คุณอ๋อยก็อ่านไปด้วย
    ศึกษาหนักเข้าก็ชักจะรู้ พอชักจะรู้ ก็ค้นต่อ ให้คนไปยืมพระไตรปิฎก จากกรมยุทธศึกษาทหารอากาศมาดู ว่า ต้นตอท่านพูดไว้ว่ายังไง พอว่างงาน ก็หยิบอ่านดู เฉพาะปัญหา ที่สงสัย เอ ไม่เข้าที ต้องใช้เวลามาก พอดีกรมการศาสนา จัดพิมพ์ พระไตรปิฎก ฉบับแปลขึ้นใหม่อีก ก็เลยไปจองไว้ชุดหนึ่ง ราคาสองพันบาทเศษ เพราะปัญหาใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อยขี้เกียจยืมเขา มีไว้ค้นเองที่บ้านดีกว่า
    คุณเสริม ไม่ได้มีความมุ่งหมายจะปฏิบัติธรรมะ ในตอนนั้น แต่เป็นคนชอบสงสัย คือ สงสัยว่า พระพุทธ เจ้าท่านสอนไว้ยังไงกันแน่ พระก็ดี ฆราวาสก็ดี ถึงได้เอามาเถียงกัน เป็นวรรคเป็นเวร คนหนึ่งว่า สวรรค์ นรกมีจริง อีกคนหนึ่งว่า ไม่มี ท่านพูดเปรียบเทียบไว้เท่านั้น สวรรค์ก็อยู่ในอก นรกก็อยู่ในใจ นั่นเอง เทวดา พรหมที่ไหนมี ก็พ่อแม่ นั่นแหละเป็นเทวดา เป็นพรหมของลูก ชาตินี้ชาติหน้า ก็เช่นกัน ชาติก่อน ก็หมายถึง การกระทำในสมัยเด็กๆ หรือ ก่อน ๆ นั่นเอง นิพพาน บางคนก็ว่า สูญ บางคนก็ว่า ไม่สูญ คุณเสริมก็เลยตกลงใจว่า สติปัญญาของเราก็ไม่ควรจะโง่เกินไป จนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องหรอกน่ะ เห็นจะต้องดูจากต้นตอให้รู้ไปเสียทีว่า ท่านตรัสไว้ว่ายังไง
    เรื่องนี้คุณอ๋อย ก็ชอบใจ เพราะเป็นคนไม่ค่อยอ่านหนังสือ เนื่องจากภารกิจมีมาก ใช้วิธีเอาเปรียบให้คุณเสริมอ่านแล้วตัวคอยถามเอาดีกว่า
    เรื่องแรก ที่คุณเสริมพบ ก็พบท่านพูดว่า คนที่ทำดีนั้น "แตกกายตายไป" แล้วจึงไปสู่สุคติ คือ บอกไว้ชัดว่า ตายแล้วจึงไป ไม่ใช่สวรรค์ในอกนี่ ถ้าอย่างนั้น พระบางองค์ก็เทศน์โกหกน่ะซี ! คุณอ๋อยก็ค้านว่า มันมี อยู่อีกนัยหนึ่ง คือ เขาว่ากันว่า พระไตรปิฎก นี่น่ะ เชื่อถือไม่ได้ เขียนไว้หลอกคนโง่ ๆ สมัยนั้น แล้วมีการ แต่งเติมเข้าไปอีกมาก
    คุณเสริมมาคิดว่า พระพุทธศาสนาของเรานี้ ก็มีพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานอยู่อย่างเดียว ถ้าหากหลักฐานนี้ ง่อนแง่นแล้ว จะใช้อะไรเป็นหลักได้ ? ความจริงคนเราในสมัยนี้ จะรู้คำสอนของพระพุทธศาสนาก็รู้จากพระไตรปิฎก นี่แหละ เสร็จแล้วก็มาหาว่า พระไตรปิฎกคลาดเคลื่อน ไม่รู้ว่า เอาหลักฐานมาจากไหน ความจริงถ้าเชื่อ ตามพระไตรปิฎกเสียแล้ว ปัญหาที่ถามกันทุกวันนี้ ก็ไม่ต้องถาม เช่น เรื่องการแสดงอิทธิฤทธิ์ ท่านก็บอกว่า ทำได้ตั้งสามพัน กว่าวิธี จะเหาะเหิน เดินอากาศ ก็ได้ เทวดามี พรหมมี ตายแล้ว เกิดอีก ฯ ลฯ เพราะฉะนั้นถ้าจะกำจัดปัญหา เรื่องนี้ ทางที่ดี ก็ต้องพิจาณาดู พระไตรปิฎกก่อนว่า มีลักษณะยังไงกันแน่ จะคลาดเคลื่อนแต่งเติม อะไรหรือเปล่า
    ต่อไปนี้เป็นผลการค้นคว้า ของคุณเสริม ที่ถ่ายทอดต่อคุณอ๋อย ( ซึ่งคุณเสริมออกตัวว่า เป็นการค้นของผู้เริ่มต้นอาจพลาดได้ )
    ประวัติพระไตรปิฎก
    ปรากฏว่า พอพระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพพาน พระเถระซึ่งเป็นพระอรหันต์จำนวน 500 องค์ ก็ทำสังคายนากัน วิธีสังคายนาก็คือ ผู้หนึ่งตั้งคำถาม อีกผู้หนึ่งตอบ เมื่อรับรองกัน เห็นพ้องกันแล้ว ก็จดไว้ต่อไป เช่นจาก เล่ม 7 หน้า 312 (พระไตรปิฎกฉบับหลวงของกรมการศาสนา)
    ในด้านพระวินัย ท่านพระกัสสปถาม ท่านพระอุบาลีตอบ
    ก. ปฐมปาราชิก ทรงบัญญัติที่ไหน
    อ. เมืองเวสาลี
    ก. ทรงปรารภใคร
    อ. พระสุทินนกลันทบุตร
    ก. เรื่องอะไร
    อ. เรื่องเมถุนธรรม
    แล้วถาม วัตถุ, นิพพาน, บุคคล บัญญัติ, อนุบัญญัติ, อาบัติ, อนาบัติ, ฯลฯ ในด้านพระสูตร ท่านพระกัสสปถาม ท่านพระอานน์ตอบ
    ก. พรหมชาลสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสที่ไหน
    อ. ในพระตำหนักในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา ในระหว่างกรุงราชคฤห์ และเมืองนาลันทาต่อกัน
    ก. ทรงปรารภใคร
    อ. สุปนิยปริพาชก และพรหมทุตตมานพ
    ต่อไปนี้จึงได้ถามถึงนิทานและบุคคล
    การสังคายนาครั้งนี้คงจะสมบูรณ์ที่สุดเพราะตัวบุคคลยังอยู่เป็นส่วนมาก
    การสังคายนาครั้งที่ 2 ทำหลังจากพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว 100 ปีเป็นการตัดสินว่า ภิกษุลัชชีบุตรละเมิด พระวินัย 10 ข้อนั้นถูกหรือผิด เรียกว่าแจง 700 เพราะมีพระอรหันต์ร่วม 700 องค์
    ขุนวิจิตรมาตรา ค้นไว้ใน หนังสือ "หลักไทย" หน้า 251 ถึง 263 ว่าการสังคายนาครั้งที่ 3 ทำในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แล้วส่งสมณทูต คือ พระโสณะกับพระอุตตระ มาประดิษฐานพระพุทธศาสนา ที่เมืองนครปฐม นครหลวงของแคว้นทวารราวดีของละว้าในสมัยนั้น ส่วนการบันทึก เป็นตัวอักษร ทำเมื่อ พ.ศ. 433 ในการสังคายนาครั้งที่ 5 ที่ลังกา ซึ่งหลังจากนี้ มีพระพุทธโฆษาจารย์ ไปแปลมาเป็นภาษามคธ พระองค์นี้ กล่าวกันว่า เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ (พ.ศ. 956)
    การสังคายนา ครั้งหลัง ๆ นี้ไม่มีตัวบุคคล ยืนยันว่า อะไรผิดอะไรถูก จริงหรือไม่จริง ดังนั้น จึงเข้าใจว่าไม่มีใคร กล้าแตะของเดิม จะแตะก็เป็นการตัดออก คือ ตัดที่เห็นว่า ไม่ใช่ คำสอนออก เพราะได้ความว่า ทางศาสนาพราหมณ์ แต่งปลอมแปลงเข้ามา เพื่อทำลายพระพุทธศานา แต่การตัดนี้ ก็คงจะไม่ตัดกันส่งเดช จะสังคายนาทีไรก็ตัดทุกที เพราะฉะนั้น พระไตรปิฎกน่าจะมีแต่ขาดไม่มีเกิน
    การตัดก็ไม่ใช่ตัดกันส่งเดชท่านมีหลักให้ไว้ใน เล่ม 21 หน้า 195 ว่า "ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะ เหล่านั้นให้ดี แล้วเทียบเคียง ในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัยบท และพยัญชนะเหล่านั้น เทียบเคียงกันได้ ในพระสูตรสอบสวนกันได้ พระวินัยในข้อนี้ พึงลงสันนิษฐานได้ว่า นี่เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าแน่แท้"
    ประวัติของพระไตรปิฎก มีมาเช่นนี้ แต่จะใช้ยืนยันถูกต้องทันทียังไม่ได้ ควรต้องดูจากลักษณะอื่นอีก
    วิธีเขียนพระไตรปิฎก
    คนเป็นอันมาก ที่กล่าวโทษ พระไตรปิฎกว่า คลาดเคลื่อน แต่งเติม ฯลฯ นั้นปรากฏว่า เป็นคนที่ไม่เคยอ่าน พระไตรปิฎกเลย บางคนเหมาเอาว่า พระไตรปิฎกมีแต่นิทานชาดก มีสัตว์พูดได้ ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น คนประเภทนี้ถ้าพูดกันตามตรรกวิทยาของพระพุทธเจ้าแล้ว หมดสิทธิ ไม่มีสิทธิ์ ที่จะพูดเรื่องพระไตรปิฎกทีเดียว เพราะท่านจะถามดังนี้
    [​IMG] เคยเห็นพระไตรปิฎกหรือ ?
    [​IMG] เคยอ่านพระไตรปิฎกหรือ ?
    [​IMG] อ่านพระไตรปิฎกแล้วเข้าใจหรือ ?
    ถ้าหากท่านตอบว่า "ไม่" คำเดียว ท่านก็จะสำทับทีเดียว ว่า ถ้าเช่นนั้น ก็อย่าพูด โดยเฉพาะในเรื่อง การแต่งเติมนี้จะต้องถูกถาม อย่างแน่นอนว่า "ท่านรู้ว่า เป็นความจริง ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ ท่านไม่ได้คิดเอา ตามความเห็นหรือ ตรึกตรองตามอาการหรือ ?" เสร็จ !
    สำหรับผู้ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก สมควรจะทราบไว้ในที่นี้ว่า
    พระไตรปิฎกบันทึกเรื่อง แบบประวัติศาสตร์ แต่ละเอียดกว่า
    กล่าวคือ อ้างสถานที่ อ้างบุคคล ที่เกี่ยวข้อง และอ้างคำพูดว่า ใครพูดว่าอะไร คือ เป็นคำพูด ของคนนั้น ๆ ไม่ใช่ อ้างใจความเป็นร้อยแก้วทำความกว้าง ๆ แต่อ้างไว้เป็นคำพูดที่บุคคลนั้น ๆ พูดจริง ๆ ทีเดียว เช่น
    "สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล้วภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานพระวโรกาส แสดงพระธรรมเทศนาโดยสังเขปแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์สดับแล้ว เป็นผู้เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจมั่นคง อยู่เถิด ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคล ยังยึดมั่น ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่ยึดมั่น จึงหลุดพ้น จากมาร ฯ
    ดังนี้เป็นต้น
    ส่วนชาดกนั้น เป็นเรื่อง ที่ทรงเล่าประกอบ เวลาแสดงธรรม โดยมักจะเริ่มต้นว่า "เรื่องเคยมีมาแล้ว..." แล้วท่าน ก็เล่าไป
    คำถามเกี่ยวกับพระไตรปิฎก
    คำถาม พระไตรปิฎกมีการแต่งเติม
    คำตอบ นั่นเป็นเรื่อง ที่คนรุ่นหลังสันนิษฐานเอาเอง ไม่ใช่ว่ารู้มาจริง ๆ ว่าเป็นเช่นนั้น
    ถ้ารู้จริง จะต้องตอบได้ว่า ตรงไหนแต่งใหม่ ใครเป็นคนแต่ง แต่งตั้งแต่เมื่อใด เช่นนี้ เป็นต้น
    พระพุทธศานา ในเมืองไทย เป็นลัทธิเถรวาท หรือหีนยาน ยึดมั่นตามคำสั่งสอนดั้งเดิม ของพระพุทธเจ้า ลัทธิอื่น ถือเอาตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ว่า บัญญัติ (ศีล) ที่เล็กน้อยล้มเลิกเสียก็ได้ ลัทธิมหายาน ล้มเลิกไปเสียบ้าง ลัทธิอื่นล้มเลิกไปเสียบ้าง ผลที่สุดภิกษุในญี่ปุ่นมีเมียได้ ในเมื่อทรงบัญญัติว่า การเสพกามทำให้ภิกษุ เป็นปาราชิก ลัทธิหีนยาน ของเราเห็นว่า เมื่อพระอานนท์ ไม่ได้ทูลถาม ไว้ว่า ข้อไหนเล็กน้อย ข้อไหนไม่เล็กน้อย ถ้าแก้ไปก็อาจจะผิดจึงไม่แก้ ถือตามเดิมทุกประการ
    การแก้พระบัญญัติ หมายถึง ล้มเลิกไป ไม่ใช่บัญญัติ ขึ้นใหม่ การบัญญัติขึ้นใหม่ หรือ การแต่งขึ้นใหม่นี้ ค้านกับ "วิญญาณ" ของลัทธิหีนยาน นอกจากนั้น ยังเป็นการผิดที่เรียกว่า "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" ด้วย
    การกล่าวตู่นี้ย่อมร่วมไปถึง อธรรมวาที ซึ่งจะยกเฉพาะที่สำคัญมากล่าว คือ
    [​IMG] พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ นำมากล่าวว่า ตรัสไว้
    [​IMG] พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นำมากล่าวว่า ไม่ได้ตรัสไว้
    [​IMG] พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ นำมากล่าวว่า ไม่ได้บัญญัติไว้
    [​IMG] พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ นำมากล่าวว่า ทรงบัญญัติไว้
    กรรมนี้ ใครทำเข้า ในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 5 หน้า 312 บ่งว่า เป็นฝ่ายอธรรมวาที เล่ม 6 หน้า 371 กล่าวว่า เป็นเหตุ แห่งการวิวาท และเป็นรากแห่งอกุศล เล่ม 7 หน้า 171 กล่าวว่า เป็นเหตุแห่ง สังฆเภท (โทษของการสังฆเภท คือ ปาราชิก)
    เล่ม 12 หน้า 216 "เธอกล่าวตู่เรา ขุดตนเอง และประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมากด้วย ทิฐิอันลามก อันตนถือเอาชั่ว แล้วกรรมนั้นแล จักมีแก่เธอ เพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน" พูดง่าย ๆ คือ ตกนรก
    คำว่า "นรก" คนธรรมดา มีความรู้สึก เหมือนติดคุก ซึ่งคงจ มีความสบายบ้างพอสมควร บางคนถึงกับอยากจะลองว่า นรกเป็นยังไง อยากลองดูสักที แต่สำหรับภิกษุผู้มีการศึกษาก็ทราบว่า นรกมีไฟเผาตลอด เวลาและ 1 วัน 1 คืน ของอายุนรก ขุมต้น ก็เท่ากับ 9 ล้านปี ของมนุษย์แล้ว ไม่ใช่ของที่ควรล้อเล่น พระ พุทธเจ้าเอง ทรงตรัสว่า ท่านไม่ทรงเห็นว่าอะไร จะเป็นศัตรูของพระนิพพาน เท่ากับนรกเลย
    คนที่ไปเกิด ในอบายภูมิ หรือตกนรกนั้นจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากนักหนา ท่านเปรียบเทียบไว้ในพระไตรปิฎกว่า โอกาสของผู้ตกในอบายภูมิ ที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ให้เปรียบว่า เราเอาห่วงลอยไปในมหาสมุทร ใน 500 ปีให้เต่าตาบอดตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำครึ่งหนึ่ง
    ถ้าโผล่ตรงกลางห่วงได้เมื่อไรนั่นแหละ คือ โอกาสที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์
    พระที่ท่านบวช ตลอดชีวิต ด้วยความเลื่อมใส (ในสมัยโบราณ) ท่านหวังพระนิพพาน ท่านย่อมไม่อยากตกนรกแน่นอน โดยเฉพาะ ในลัทธิหีนยานด้วย พูดตาม ภาษาปัจจุบันแล้ว การที่พระภิกษุเหล่านี้ จะมีเจตนาดัดแปลงแต่งเติมพระไตรปิฎกนั้นไม่มีทาง (นอกจากเราจะคิดลงโทษท่านไปเอง)
    เรื่องหญ้าปากคอก ที่น่าจะมองเห็นเพิ่มเติม จากที่กล่าวมาแล้ว ก็คือ การตกแต่ง ดัดแปลง พระไตรปิฎก นั้นคือ การพูดโกหกผิดศีลข้อ 5 (มุสาวาทาเวรมณี) อย่างตรงเป๋ง
    ลองคิดดูต่อไป การแก้พระไตรปิฎกนั้น ไม่ใช่ใครอยากจะแก้ ก็แก้เอาตามใจ แต่ต้องแก้ในการทำสังคายนา ซึ่งมีพระภิกษุชั้นเยี่ยม นับร้อยรูปประชุมกัน ทำและเห็น พ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะเห็นได้ชัดว่า การที่พระชั้นดี มาย่อมร่วมกัน ทำผิดศีล มุสาวาท โดยไม่มีองค์ไหนค้านเลย แม้แต่องค์เดียวนั้น เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อทีเดียว
    เหตุผลประการที่สำคัญที่เรามักจะหาว่า พวกพระแก้ไขดัดแปลง พระไตรปิฎก ก็คงจะมีว่า แก้เพื่อผลประโยชน์ ของพวกพระเอง ซึ่งศัพท์ทางพระ ท่านเรียกว่า "เพื่อลาภสักการะ" นั่นเอง ข้อนี้ก็เป็นความเห็นที่ เอาโทษไปใส่ให้ท่าน อีกเช่นกัน เพราะพระชั้นสูง (ขนาดที่ได้รับนิมนต์ ไปทำสังคายนา) นั้นย่อมมี ความรู้ว่า พระบัญญัติบทปาราชิก (ขาดจากความเป็นพระ) สองข้อ (ใน 4 ข้อ ) คือ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีอยู่จริง และการลักขโมย นั้นมีฐานมาจากการกระทำ เพื่อเหตุแห่งท้องทั้งสิ้น ทรงสรัสว่า
    เหตุใดพวกเธอจึง... เพื่อสาเหตุแห่งท้องเล่า
    และ ทรงประณามว่า การกระทำ เพื่อสาเหตุ แห่งท้องนั้น มีค่าเท่ากับ เป็นมหาโจรปล้นชาวบ้าน การที่พระชั้นสูง จำนวนเป็นร้อย ๆ รูป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ จะทำการแก้ไข แต่งเติม พระไตรปิฎก เพื่อเห็นแก่ ลาภสักการะ (สาเหตุ ที่ทรงบัญญัติให้เป็นปราชิก) โดยพร้อมเพรียงกันนั้น เราย่อมทราบอยู่เองว่า น่าจะเป็นไปได้ หรือน่าจะเป็นไปไม่ได้
    คำถาม ถึงไม่มีการแก้ไขดัดแปลง โดยเจตนา ความคลาดเคลื่อน โดยธรรมชาติ ก็ควรจะมีอยู่ เพราะมนุษย์ ย่อมไม่สามารถจำได้ถี่ถ้วนเช่นนั้น
    คำตอบ ยอมรับว่า ความคลาดเคลื่อน ย่อมมีอยู่บ้างแต่ไม่ควรจะคลาดเคลื่อนในใจความหรือหลักสำคัญ
    ข้อสันนิษฐาน อย่างหนึ่งที่ว่า ต้องสืบต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการทรงจำก็คือ "สมัยนั้น ยังไม่มีตัวหนังสือใช้"
    ข้อสันนิษฐานนี้ เป็นไปได้อย่างมาก ในความคิดของนักปราชญ์สมัยนี้ แต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่ผิด เพราะความจริงในสมัยนั้น มีตัวหนังสือใช้อยู่แล้ว
    เล่ม 9 หน้า 95 " สมัยนั้นแล อัมพัฏฐมานพศิษย์ของพราหมณ์ โปกขรสาติ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5"
    เล่ม 3 หน้า 247 "เรียนหนังสือ 1 เรียนวิชาท่องจำ 1 เรียนวิชา เพื่อประสงค์คุ้มครองตัว 1 ไม่ต้องอาบัติ"
    ดังนั้น จึงควรสรุปได้ว่า สมัยนั้น คนท่องจำได้เก่งกว่าสมัยนี้มาก ซึ่งตรงกับหลายแห่ง ในพระไตรปิฎก ซึ่ง พระพุทธเจ้าทรงกำชับ ให้จำพระธรรมไว้เสมอ และทรงสรรเสริญ ผู้สามารถทรงจำพระธรรมด้วย
    เล่ม 11 หน้า 328 "เธอได้สดับแล้วมาก ทรงไว้แล้วคล่องปาก ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดี ด้วยความเห็น"
    เล่ม 13 หน้า 422 "จงทรงจำธรรมเจดีย์ไว้" เช่นนี้มีอยู่ตลอดทาง
    เล่ม 7 หน้า 245
    "ดูกรอุบาลี อนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทก์ ปรารถนาจะโจษผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า เราเป็นพหูสูต ทรงสุตะเป็นที่ สั่งสมสุตะหรือหนอธรรมเหล่าใดนั้น ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมเห็นปานนั้น เป็นธรรมอันเราสดับมาก ทรงไว้ คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่"
    พยานบุคคล ในเรื่องความจำนี้ คือ ท่านพระอานนท์ จำได้หมด 84,000 พระธรรมขันธ์ (และองค์อื่นที่ไม่ได้บ่งไว้ ก็คงจะจำได้เป็นธรรมดา)
    เล่ม 5 หน้า 30 กล่าวถึงพระโสณะสวดพระสูตรทั้งหลาย อันมีอยู่ในอัฏฐวรรค จนหมดสิ้นในคืนเดียวพระพุทธ เจ้าตรัสถามว่า บวชมาได้กี่พรรษา ทูลตอบว่า บวชพระมาพรรษาเดียว ดังนี้เป็นต้น
    เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ควรจะนึกออก ถึงความจริง ที่เห็นได้ชัดแจ้งข้อหนึ่งว่า พระสูตรที่ท่องจำกันนี้ ไม่ใช่มารวบรวมจารึกลงใหม่ในภายหลัง อันนั้นเป็นผลจากการค้นคว้าสอบสวน หากแต่ได้มีอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่
    เล่ม 19 หน้า 461 "ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า พระสูตรเหล่าใด ที่พระตถาคต ตรัสไว้ แล้วอันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยความว่าง เราจักเข้าถึง พระสูตร เหล่านั้นตลอดกาลเป็นนิตย์อยู่"
    เล่ม 21 หน้า 53 "เราได้กล่าวแล้วใน ปุณณกปัญหาปรายนวรรค"
    ข้อนี้ ทำให้ตีความ ได้ต่อไปว่า เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้ว ก็จะมีผู้ทำหน้าที่ ร้อยกรองขึ้น เป็นพระสูตรร้อยกรองเสร็จแล้ว จึงบรรยาย ถวายต่อพระพุทธเจ้า (เพื่อทรงตรวจสอบ ? ) ซึ่ง เมื่อทรงฟังแล้ว ก็อาจทรงเปล่ง พระอุทาน คือ พระคาถาสรุปอีกทีหนึ่ง เช่นตัวอย่าง
    เล่ม 25 หน้า 171 ตอนจบของอุปาทานสูตร (เช่นเดียวกับในอีกหลายพระสูตร)
    " ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานในขณะนั้นว่า......"
    นอกจากนั้นยังมีการตั้งชื่อด้วย
    เล่ม 14 หน้า 153 พระอานนท์ทูลถามว่า ธรรมบรรยายนี้ชื่อไรพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า "เพราะเหตุนั้นแล เธอจงจำธรรมบรรยาย นี้ไว้ว่าชื่อ พหุธาตุกบ้าง จตุปริวัฏฏบ้าง ว่าชื่อ ธรรมทาสบ้าง ว่าชื่อ อมตทุนทุภีบ้าง ว่าชื่อ อนุตตรสังคามวิชัยบ้าง"
    เมื่อนำมาแสดงถึงเพียงนี้ ก็สรุปได้ว่า พระในสมัยนั้น ท่องจำพระสูตร ที่มีการรจนา และตรวจทานถูกต้องแล้ว เหมือนกันหมดทุกองค์ ดังนั้นการสอบทาน ในภายหลัง จึงทำได้ง่าย และการท่องจำซึ่งสมัยนี้เรียกว่า "อาขยาน" นั้น เมื่อท่องขึ้นใจว่าเสียครั้งหนึ่งแล้ว ก็มักจะไม่ลืม
    การจารึกลง เป็นตัวอักษร ในสมัยหลังนั้น มีนิทาน (เรื่อง) เล่าว่า พระอรหันต์ในสมัยนั้นเห็นว่า ต่อไปจะมี คนทรงจำได้น้อยแล้ว จึงควรจารึกเป็นอักษรไว้
    ดังนั้น จึงได้ตอบไว้ในตอนต้นว่า ถ้าพระไตรปิฎก จะคลาดเคลื่อน ก็คงจะเป็นส่วนน้อย แต่ใจความหลัก ๆ ที่ สำคัญน่าจะไม่ผิด
    คำถาม เขากล่าวว่า พระไตรปิฎก ไม่ใช่พุทธวัจนะทั้งหมด
    คำตอบ ข้อนี้เป็นความจริง เพราะเขียนไว้เป็นทำนองบันทึกเหตุการณ์ เทวดาพูดก็มี พราหมณ์พูดก็มี พระเจ้าแผ่นดินพูดก็มี จะว่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสทั้งหมดก็ถูก
    แต่เป็นการพูดชนิดเล่นคำ คือ จงใจพูดเช่นนั้นเพื่อให้ เกิดความรู้สึกว่า ธรรมะที่เราเรียนกันนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสอน ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง
    ความจริง ในพระไตรปิฎกบ่งชัดว่า คำพูดอันไหน ใครเป็นคนพูด
    สำหรับด้านพระธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเอง ทั้งหมด ยกเว้นบางกรณี ทรงสั่งให้ ท่านพระสารีบุตรบ้าง ท่านมหากัจจายนะบ้าง เป็นผู้แสดงธรรม หรือในบางสูตร พระสาวก เป็นผู้แสดงธรรม ให้ภิกษุอื่นฟังก็มี
    (ซึ่งจะเอาไปพูดว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงเองก็พูดไม่ผิด แต่เรียกว่า พูดอย่างโกง ๆ )
    ธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่พระสาวกคิดขึ้นเอง แต่เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงบรรยายมาก่อน แล้วพระสาวกเอามาบรรยายซ้ำทั้งสิ้น
    ต้องจำไว้ว่า คนที่เอาคำเชิงค้านนี้ มาพูดจะมีเจตนาอย่างเดียว คือ
    ก่อให้เกิดความสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอน ที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก
    คำถาม เขามักจะมีปัญหาว่า ทำไมพระพุทธศาสนาจึงต้องอ้างเทวดา
    คำตอบ คำถาม อันนี้ ถามผิดความจริง พระพุทธศานา ไม่ได้อ้างว่า ถ้าไม่มีเทวดาแล้ว พระธรรมคำสั่งสอน จะไม่เป็นความจริง
    ในการพิจารณา เราต้องยึดหลักให้ดี ถ้าจะว่ากัน ถึงคำสอน สำหรับไปสู่จุดหมายปลายทาง ของศาสนา คือ พระนิพพานแล้ว ทุกคนก็รู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนอริยสัจ 4 เป็นหลักอันใหญ่ ซึ่งในข้อ 4 คือ หนทางปฏิบัติ เพื่อให้ถึงพระนิพพาน (อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8)
    ก็ไม่เห็นมีข้อไหนที่จะกล่าวถึงเทวดาหรือให้พึ่งทวดา ให้อ้อนวอนเทวดาไว้เลย
    ดังนั้น ที่เอามาถามว่า ทำไมพระพุทธศานา จึงต้องอ้างเทวดานั้น จึงเป็นคำถามที่ถามผิด และแสดงว่า ผู้ถามนั้น ๆ ไม่มีความเข้าใจ ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเลย (แล้วมักจะมีความเข้าใจว่า ตนเองแตกฉาน)
    เท่าที่จำได้พระไตรปิฎกจะกล่าวถึงเทวดาไว้เป็น 4 สถาน คือ
    1. เล่าว่า มีเทวดามาถามปัญหา หรือมาแสดงอะไรต่าง ๆ ข้อนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อไปนิพพาน
    2. ทรงตรัสว่า ถ้าบูชาเทวดา เทวดาจะบูชาตอบ (มงคล 38)
    3. ทรงตรัสถึง เทวตานุสสติกรรมฐาน ว่า เป็นการปฏิบัติทางจิตอย่างหนึ่ง (ในหลายอย่าง) คือ คิดตรึกตรองดู
    4. ว่าธรรมที่คนทำแล้วเป็นเทวดานั้น เราก็มีอยู่ อย่างไรก็ดี ท่านตรัสสอนให้ไปนิพพานอย่างเดียว ไม่ใช่ให้ติดแหง็กอยู่แค่เทวดา และไม่ใช่ให้อ้อนวอนเทวดา อย่างงมงาย
    เล่ม 23 หน้า 56 " ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะ หรือพราหมณ์ บางคนในโลกนี้.... ตั้งปรารถนา เพื่อเป็นเทพเจ้า หรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งว่า เราจักได้ เป็นเทพเจ้า หรือ เทพองค์ใดองค์หนึ่ง..... แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่า ขาดทะลุ ด่างพร้อยแห่งพรหมจรรย์....ไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ได้"
    เล่ม 22 หน้า 47 "ธรรม 5 ประการ ( คือ อายุ วรรณะ สุขะ ยศ สวรรค์ ) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ เรามิได้กล่าวว่า จะพึงได้เพราะเหตุแห่งอ้อนวอน หรือ เพราะเหตุแห่งความปรารถนา"
    คำถามข้อนี้ จึงควรถามว่า "ที่พระพุทธเจ้า ท่านกล่าวถึงเทวดานั้น เทวดามีอยู่จริงหรือ ?
    ข้อนี้ ก็เช่นกัน ผู้ถามนั้น หากมีความเลื่อมใส เชื่อมั่น ในพระพุทธเจ้า ก็ควรระลึก ถึงว่า พระพุทธเจ้านั้น หากไม่เป็นความจริง หากไม่ทรงเห็น ทรงทราบเองแล้ว ท่านจะไม่ตรัสเลย
    อีกข้อหนึ่ง ที่ควรระลึก ก็คือ ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น พิสูจน์ได้ ข้อพิสูจน์ว่า เทวดามีอยู่นั้น คืออะไร ?
    เล่ม 9 หน้า 370 " เธอได้เข้าสมาธิจิตชนิดที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ทางไปสู่เทวโลกปรากฏได้ "
    หน้า 371 "ภิกษุเข้าสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นแล้ว ทางไปสู่พรหมโลกปรากฏได้"
    เล่ม 10 หน้า 229 "ญาณเป็นเครื่องเห็นพวกอมนุษย์"
    เล่ม 20 หน้า 189 "ผู้ใดรู้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ เห็นสวรรค์ เห็นอบาย"
    เล่ม 13 หน้า 303 "ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละทุกข์ ละสุข และดับโทมนัส ก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ยืนด้วยกัน เจรจากัน สนทนากันกับเทวดาทั้งหลาย ผู้เข้าถึงโลกที่มีความสุขโดยส่วนเดียวเหล่านั้นได้"
    เล่ม 26 หน้า 390 "ภิกษุใด รู้แจ้ง มนุษย์โลก เทวโลก พร้อมทั้ง พรหมโลก อันมีประเภทตั้งพันได้ ในเวลาครู่เดียว ทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณ คือ อิทธิฤทธิ์ และในจุติ และอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมเห็นเทพเจ้าทั้งหลาย ได้ตามความประสงค์"
    สรุปแล้ว ให้เข้าฌาน 4 แล้ว น้อมจิตไปใน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ ก็จะเห็น และพูดคุยกับ เทวดาหรือพรหม ได้ตามความประสงค์
    ใครอยากจะพิสูจน์ ก็อย่าพิสูจน์ ด้วยตาเนื้อ ให้ฝึกสมาธิจนได้ฌาน 4 เสียก่อน เมื่อใช้ญาณทั้งสองแล้ว ยังไม่เห็นเทวดา จึงค่อยมาคัดค้าน
    ในบางครั้ง ถ้าเทวดาสงเคราะห์ ท่านก็อาจจะมาให้เห็นเองโดยผู้เห็นไม่ต้องมีฌาน
    เล่ม 26 หน้า 219 " ถ้าพระองค์ จักเป็นผู้ไม่มีศรัทธา มีความตระหนี่ มีจิตไม่เลื่อมใส พระองค์จักไม่ได้เห็นข้าพระองค์"
    ผู้ที่มักจะท้าว่า "ถ้ามีเทวดาก็มาให้เห็นหน่อยเถอะน่า" นั้นแสดงว่า เป็นผู้ไม่มีศรัทธา เป็นผู้มีจิตไม่เลื่อม ใส
    แล้วธุระอะไรเทวดาจะมาสงเคราะห์ เทวดาไม่ได้ขี้เห่อ และเทวดาไม่ใช่คนใช้ของมนุษย์
    จะได้คอยมาเอาอก เอาใจมนุษย์ ถ้าท่านจะมาสงเคราะห์ ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปได้ แต่เมื่อไม่มีศรัทธาแล้ว ก็เรียกว่า ขาดรากฐาน มนุษย์เช่นนี้ สงเคราะห์ไป ก็ไม่เกิดประโยชน์
    การมีเทวดา เป็นความจริงข้อหนึ่งของโลก พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึง หากเราจะลองคิดดูว่า พระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า ไปเข้านิพพาน จึงจะพ้นจากวัฏฏสงสาร คราวนี้ ก็ควรจะลองคิด ถามดูว่า ถ้ายังไม่นิพพานตาย แล้วจะไปไหน คำตอบก็มีอยู่ว่า ไปเกิดตามกรรมของตน ในภพต่าง ๆ คือ เป็นสัตว์นรกบ้าง, สัตว์เดียรรัจฉานบ้าง, มนุษย์ (ตามเดิม) บ้าง, เทวดาบ้าง, เปรตบ้าง, เวียนกันไปมา จนกว่าจะนิพพาน คือ ไม่เกิด นี่ก็เช่นเดียวกับที่มนุษย์เรามีชาติ ผิวเหลืองบ้าง ผิวขาวบ้าง ผิวดำบ้าง ซึ่งมีอยู่เป็นธรรมดา
    ถ้ามาถามว่า ทำไมจึงอ้างว่า มีมนุษย์ผิวขาว อย่างนี้ก็เรียกว่า ถามไม่ถูก เพราะเป็นสิ่งมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
    คำถามข้อนี้ โยงไปถึงเรื่องสวรรค์ และนรกว่า มีจริงหรือไม่ด้วย
    คำตอบ ก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะมีเทวดา ก็มีสวรรค์ ฯลฯ
    คำอธิบายที่ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" นั้นเป็นคำอธิบายของผู้ไม่รู้แก่ผู้ไม่รู้ คือ ไม่มีฌานที่จะเห็นได้ในมิติพิเศษ ที่เป็นทิพย์นั้น ทำให้เกิดความพอใจ คือ เป็นที่ยุติไม่ได้
    ความจริง คำอธิบายนี้ แย้งได้ เพราะ คนโกงที่หากินอยู่ในขอบเขตของกฏหมาย รู้ตัวแน่ว่ากฏหมายไม่มี ทางทำอะไรตนได้ ถึงทำชั่ว ก็มีความสุข กลับโกง มากขึ้นอีก มนุษย์กินคน สามารถกินคนได้ ในถิ่นของเขาโดยมีความสุข นักล่าสัตว์ ที่ยิงสัตว์ (โดยกฏหมายเสียด้วย) ก็มีทั้งความสุข และความสนุกคนกินเหล้า (ศีลข้อ 5) ก็มีความสุข มีสตางค์พอเสียอย่าง ทุกข์ก็ไม่เกิด
    ในเมื่อคำอธิบายนี้ แย้งได้ ก็ไม่ควรจะเป็นคำอธิบายที่ถูก
    ไม่เหมือน คำของพระพุทธเจ้า ที่พิสูจน์ได้ แย้งไม่ได้ และ เป็นจริงในทุกเวลาทุกสถานที่
    อันที่จริงในพระไตรปิฎกท่านพูดไว้ชัด ไม่มีความกำกวมเลยในเรื่องของนรกสวรรค์
    เล่ม 1 หน้า 6 หัวข้อจุตูปปาญาณ (ตอนพระพุทธเจ้ากำลังตรัสรู้)
    "เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงานตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไป เพื่อญาณ เครื่องรู้จุติ และอุปบัติ ของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้น ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ ผู้เกิด เป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกาย ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้นเบื้องหน้า แต่แตกกายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์....."
    เห็นได้ชัดว่า นรก หรือ สวรรค์นั้น ตายแล้วจึงไป ไม่ใช่ว่า ไปทั้งเป็นๆ อย่างที่พูดว่า สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ต้องขอสะกิดไว้นิดหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่ว่า "มีความเชื่อ" ว่า ทำชั่วตกนรก ทำดีขึ้นสวรรค์ แต่ท่านบอกว่า
    ท่านเห็นด้วยตาทิพย์ทีเดียวว่า ผู้ทำชั่วตกนรก ผู้ทำดีขึ้นสวรรค์
    ฉะนั้น ถ้าใครจะค้านท่าน ก็ต้องเห็นเอง เสียก่อน จึงค่อยค้าน ไม่ใช่ว่า ไม่เห็นอะไรเลย แล้วค้านตะบันไป คนชนิดนั้นท่านจัดไว้เป็นพวก "ปทปรมะ" อาจรู้สารพัดอย่าง แต่พูดไม่รู้เรื่องกันเลย
    หมายเหตุ :- หลวงพ่อฝึกมโนมยิทธิ มีคนไปชมสวรรค์ได้ด้วยตนเองหลายพันคนแล้ว ใน พ.ศ.2522
    คำถาม นี่ก็เลยโยงไปถึงคำถามว่า คนตายแล้วเกิดอีกจริงหรือ ที่ถามกันไม่รู้จักหยุด
    คำตอบ ความจริงเรื่อง คนตายแล้ว เกิดนี้ ไม่น่าจะสงสัย เพราะพระพุทธเจ้า ทรงสอนว่า ให้ไปอมตนิพพาน เพื่อพ้นจากการเวียนเกิดเวียนตาย (วัฏสงสาร) แสดงว่า ตายแล้วเกิดใหม่อยู่แล้ว
    แต่ในความหมาย ที่ถามกันนั้น ตั้งใจจะถามว่า คนตายแล้วจะมาเกิดเป็นคนใหม่หรือ ?
    หากถามเช่นนี้ก็ต้อง ตอบว่า ไม่จริง
    ได้กล่าวมา ในข้ออื่นแล้วว่า คนตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก (ตกนรก) ก็มี เป็นสัตว์เดียรัจฉานก็มี เป็นมนุษย์ก็มี เป็นเทวดาก็มี เป็นเปรตก็มี เล่ม 24 หน้า 280 บ่งว่า มีกุศลกรรมบท 10 จึงได้เกิดเป็นคน
    เรื่องตายแล้วเกิด หรือ มีชาตินี้ ชาติหน้านั้น มีหลักฐานพูดไว้ชัดในพระไตรปิฎกเล่ม 20 หน้า 45
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์กลับมาเกิดในมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดปีติวิสัยมากกว่าโดยแท้"
    เพราะฉะนั้น จึงตอบได้ว่า ตายแล้วเกิดอีก และชาติหน้ามีจริง
    อย่างไรก็ดี ปรากฏว่า พระที่มีชื่อเสียงบางองค์อ้างพระไตรปิฎก มาแสดงเหมือนกันว่า พระพุทธเจ้าท่าน ไม่ทรงยืนยันว่า ตายแล้วเกิดอีก เช่น
    เล่ม 13 หน้า 207 " วัจฉโคตรปริพาชกทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ ว่า สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายไปมีอยู่ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สิ่งนี้ เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น"
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ ก็มิ ใช่สิ่งนี้ เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ
    ดูกรวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น
    เมื่อท่าน ได้ยกพระไตรปิฎกตอนนี้มา แล้วก็ชี้ว่า นี่ยังไงล่ะ พระพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงยืนยันเลยว่า ตายแล้ว เกิดหรือไม่ได้เกิดสักหน่อย
    ตรงนี้น่าจะยกพระไตรปิฎกเล่ม 16 หน้า 302 มาแสดง
    "พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวถึง พระสูตรที่ตถาคต กล่าวแล้วอันลึกมีอรรถอันลึกเป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรม เหล่านั้น ว่า ควรเล่าเรียนควรศึกษา
    แต่ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตร อันนักปราชย์รจนาไว้ อันปราชญ์ร้อยกรองไว้มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับจักเข้าไป ตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา"
    ถ้าเราพิจารณาว่า ปัญหานี้มีคำตอบที่ตอบได้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น คือ
    ตายแล้วเกิด หรือ ตายแล้วไม่เกิดแล้ว
    ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าท่าน "ไม่ได้เห็นอย่างนั้น" ทั้งคู่ เช่นนี้ก็คงจะต้องมีอะไรที่ลึกกว่านี้ซ่อนอยู่
    ความจริง ในอีกแห่งหนึ่ง ท่านแปล ทับศัพท์ว่า " ท่าน พระโคดม มีทิฐิว่า..... หรือ" ซึ่งในสมัยนั้น มีความ เชื่อ หรือ ทิฐิกันต่าง ๆ 62 อย่าง รวมทั้งอุจเฉททิฐิ และสัตตทิฐิ ที่นิยม ยกมาอ้างกันด้วย ที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงตอบนั้น นักศึกษามักจะไปสนใจเอาถ้อยคำข้างหลัง เช่น
    มีความเห็นว่า สัตว์ตายแล้ว ยังมีอยู่หรือ ก็จะไปสนใจว่า ตายแล้วมีอยู่หรือเปล่า
    แต่ความจริงแล้ว ท่านทรงตอบ เฉพาะ ตอนหน้า คือ มี ความเห็นหรือไม่มีความเห็น (คือมีทิฐิว่า.....หรือ) ซึ่งทรง ตอบว่า ไม่มีความเห็น (ทิฐิ)..... เท่านั้น ใจความข้างหลังไม่มีความสำคัญ
    ฉะนั้นถึงจะถามมา 62 คำถาม ท่าน ก็ตอบว่า ไม่มีความเห็น ทั้งนั้น
    อันนี้ ก็คือทรงตอบว่า ไม่ทรงยึดถือในอะไรทั้งนั้นนั่นเอง ไม่ว่าความเห็นนั้นจะถูกหรือผิด
    ในกรณีของวัจฉโคตร นี้ ทรงอธิบายว่า ความเห็นเหล่านั้น ไม่เป็นไป เพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน พูดกันตรงๆ ก็จะทรงสอนว่า ไปติดใจ ในความเห็น ต่างๆ นั่นทำไม ไม่มีประโยชน์ แก่พระนิพพานเลย ต่างหาก
    คำตอบนี้ เลยย้อนมาถึง ผู้ที่ถามปัญหานี้ ในสมัยปัจจุบันด้วยว่า มัวแต่ไปติดใจปัญหาขี้ผงนี้อยู่ทำไม
    ท่านทรงอธิบายไว้ ในที่อื่นว่า การยอมรับว่า มีความตายความเกิดอะไรนั้น เท่ากับยอมรับว่า มีตัวตนของ ตน พระพุทธเจ้า (และพระอรหันต์ทั้งหลาย) พ้นแล้ว จากการนับว่า เป็นตัวตน เมื่อไม่มีตัวตนของตน (ซึ่ง ทำให้เกิดทุกข์ ) เสียแล้ว การพูดเรื่องตาย เรื่องเกิด ก็ไร้ความหมาย ป่วยการพูด ไม่เกิดประโยชน์
    ที่ท่านตอบ วัจฉโคตรเช่นนั้น ก็เป็นการตอบเชิงสอนนั่นเอง ความลึกของพระธรรมอยู่ที่ตรงนี้ แต่คนสมัย นี้ ไปจับเอา อย่างตื้น ๆ (อย่างที่ท่าน ทรงพยากรณ์ไว้แล้ว) ว่า ไม่ทรงยืนยัน ว่า ตายแล้ว เกิด หรือไม่เกิด (ความจริงน่าจะรู้ว่า พระพุทธเจ้านั้น ทรงมีสัพพัญญุตญาณ ไม่มีอะไรที่พระพุทธเจ้าไม่รู้)
    พระไตรปิฎกอีกตอนหนึ่งที่มักจะยกมาอ้าง คือ เล่ม 19 หน้า 92 ข้อ 107
    "ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณะพราหมณ์เหล่านั้น บุรุษผู้รู้แจ้งย่อมตระหนักชัดว่า ถ้าโลกหน้าไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป จักทำตนให้สวัสดีได้ ถ้าโลกหน้ามีเมื่อเป็นเช่นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไปจักเข้าถึง อบายทุคติวินิบาตนรก"
    เมื่อคัดมา แสดงแล้วก็ชี้ว่า เห็นไหม แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ยังไม่ยืนยันว่า โลกหน้ามี (ตายแล้วเกิด) แต่ความจริง แล้วในหน้าก่อน คือ ข้อ 106 มีใจความว่า
    "ก็โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นของผู้นั้นว่า โลกไม่มี ความเห็นของเขานั้น เป็นมิจฉาทิฐิ.... เขากล่าวว่า โลกหน้าไม่มี ผู้นี้ ย่อมทำตน เป็นข้าศึก กับพระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งโลกหน้า ฯลฯ "
    ผู้คัดกลับไม่คัดมาแสดง
    ความจริงเรื่องนี้ พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม แก่คนพวกใหม่ เมื่อเทศน์ไปว่า มีโลกหน้า ผู้ที่ยังไม่นับถือ พระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่ ที่ยังไม่เชื่อคำสอน ก็คงจะมีอยู่ ดังนั้นพระพุทธเจ้า ท่านจึงสรุปท้ายในข้อ 107 ว่า
    ถ้าประพฤติชั่วไว้ และโลกหน้าไม่มีก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดมีเข้าจริง ๆ ก็ต้องตกนรก
    เพราะฉะนั้น ทำดีไว้จึงเป็นการปลอดภัยกว่า (ธรรมนี้เรียกว่า อปัณณกธรรม) เท่านั้นเอง
    ผู้ที่คัดไปเพื่อเป็นการแสดงว่า พระพุทธเจ้า ไม่ยืนยันว่า โลกหน้ามีนั้น เห็นได้ชัดว่า เป็นพวกขี้โกง คัดมาสำหรับหลอกลวงผู้ไม่เคยอ่าน พระไตรปิฎก เพื่อความประสงค์ ที่จะบิดเบือน หรือทำลายพระพุทธศาสนา นั่นเอง
    บางคนทูลถาม พระพุทธเจ้าตรงๆ ว่า คนนั้น ๆ ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน ท่านก็ทรงตอบ
    เล่ม 19 หน้า 406
    พระอานนท์ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อสาฬหะมรณภาพแล้ว คติของเธอเป็นอย่างไร สัมปรายภพของเธอเป็นอย่างไร ภิกษุณีชื่อ นันทา มรณภาพแล้ว...ฯลฯ"
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุชื่อ สาฬมรณภาพแล้ว กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไปด้วยปัญญา อันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ภิกษุณี ชื่อ นันทา มรณภาพแล้วเป็น อุปปาติกะ จักนิพพานในภพนั้น..."
    อีตาพราหมณ์วัจฉโคตร ที่เคยได้รับคำตอบ "ไม่ได้คิดอย่างนั้น" มาแกคอยจับผิดอยู่ แกก็ค่อนแคะ ในทำนองว่า พระพุทธเจ้าก็คุยอวดเหมือนอาจารย์อื่น ๆ แหละน่าว่า ลูกศิษย์ของตนได้ดี แล้วตบท้ายว่า
    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้านั้น มีความเคลือบแคลงสงสัยแท้ว่า อย่างไร ๆ พระสมณโคดม ก็ต้องทรงรู้ธรรมอันบุคคลพึงรู้ยิ่ง" (เล่ม 18 หน้า 428)
    ตอนนี้ถ้าจะให้ดี เราควรสมมติตัวเอง เป็นพระพุทธเจ้า แล้วคิดว่า โดนเข้าท่านี้จะตอบอย่างไร ปรากฏคำตอบของท่านดังนี้
    "ดูกรวัจฉะ จริงทีเดียว ควรที่ท่านจะสงสัยเคลือบแคลงใจ ความเคลือบแคลงเกิดขึ้นแล้วแก่ท่าน ในฐานะที่ควรสงสัย ดูกรวัจฉะ เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้น แก่คนที่ยังมี อุปาทานเท่านั้น หาบัญญัติ แก่คนที่หาอุปาทานมิได้ ไม่"
    นี่ท่านศอกกลับเอาวัจฉะโคตรว่า เป็นบุคคลประเภทไม่มีอุปาทานเสียอีกด้วย ซึ่งคงจะทำให้วัจฉโคตรภูมิอกภูมิใจเป็นอันมาก
    ในเล่ม 13 หน้า 179 ตรัสว่า "ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย ตถาคตจะพยากรณ์ สาวกทั้งหลายผู้ทำกาละล่วงลับไปแล้ว ในภพที่เกิดทั้งหลายว่า สาวกชื่อโน้นเกิดในภพโน้น สาวกชื่อโน้นเกิดในภพโน้น ดังนี้ เพื่อให้คนพิศวงก็หามิได้ เพื่อเกลี้ยกล่อมคน ก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้ ด้วยความประสงค์ว่า คนจงรู้จักเราด้วยเหตุนี้ก็หามิได้ ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย กุลบุตรผู้มีศรัทธามีความยินดีมาก มีความปราโมทย์มากมีอยู่ กุลบุตรเหล่านั้น ได้ฟังคำพยากรณ์ นั้นแล้ว จะน้อมจิตเข้าไป เพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ข้อนั้นจะมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่กุลบุตรเหล่านั้นสิ้นกาลนาน ฯ"
    จะเห็นได้ว่า คำถามอย่างเดียวกัน จะทรงตอบแก่บุคคลต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ ก็ควรระลึกถึงบทพรรณนาพระคุณของพระพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นครูผู้เยี่ยมยอด ทรงตอบให้เหมาะกับที่ จะเกิดประโยชน์ กับบุคคลนั้น ๆ เป็นหลัก บางทีก็ตอบเพื่อสอนไปในตัว เช่น กรณีวัจฉโคตร เป็นต้น
    ความจริง เรื่องตายแล้วเกิดนี้ โดยเฉพาะพระภิกษุแล้วไม่ควรเลยที่จะสงสัย เพราะควรจะต้องรู้ประวัติการตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี เล่ม 1 หน้า 6 บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    "เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสนุสสติญาณ เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง....แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป เป็นอันมากบ้าง.... ว่าใน ภพโน้น เราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ครั้นจุติ จากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้ชื่ออย่างนั้น.... วิชชาที่หนึ่งนี้ แลเราได้บรรลุแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี...."
    เห็นได้ชัดว่ามีการตายแล้วเกิดใหม่ และที่บางคนพยายามอธิบายว่า ชาตินี้ชาติหน้าก็หมายถึงว่า เมื่อเด็ก ๆ (คือ เวลาล่วงมาแล้วในชาตินี้) คือ ชาติก่อนอนาคต ของชาตินี้ ก็คือ ชาติหน้า นั้นไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้า ตรัสเล่าไว้เลย
    บุคคลประเภทค้านพระพุทธเจ้า หรือ สอนแข่งกับพระพุทธเจ้า คือ สอนไปเสียคนละทางเช่นนี้ มีอยู่ไม่ใช่น้อย ทำให้ผู้ที่ไม่สนใจค้นหลักฐานในพระไตรปิฎก (เลยไม่รู้จริง) เป๋ไปเป๋มา ในที่สุดคนไม่รู้ก็เถียงกับคนไม่รู้แล้วเลยเอาเป็นยุติไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสมัยนี้
    คำถาม เรื่องฤทธิ์เขาว่า เป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อ เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน
    คำตอบ "เขา" ที่ว่าอย่างนั้นแหละเป็นคนเพ้อเจ้อ พูดไม่มีหลักมีเกณฑ์คิดเอาเอง ควรจำไว้บ้างว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า พูดอะไรก็ต้องมีหลักอ้างอิงอยู่เสมออย่าพูดเฉย ๆ
    ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านทรงสนับสนุนเรื่องฤทธิ์ และใช้ฤทธิ์อยู่บ่อย ๆ แต่ทรงใช้เมื่อเห็นว่า เกิดประโยชน์เท่านั้น ไม่ใช่แสดงฤทธิ์ เล่นสนุก ๆ หรือ แสดงตามคำขอร้อง การแสดงฤทธิ์ เป็นเครื่องช่วยให้เกิดความเลื่อมใสเท่านั้น ไม่ได้เป็นเครื่องตัดอาสวะกิเลสโดยตรง
    เล่ม 4 หน้า 30 พระพุทธเจ้าทรง "บันดาลอิทธาภิสังขาร" มิให้เศรษฐีบิดาของยสกุลบุตรมองเห็น ท่านยสกุลบุตร ซึ่งนั่งอยู่ ณ ที่นั่น ประโยชน์ที่เกิดขึ้นคือ พระยสกุลบุตรได้เป็นพระอรหันต์ ส่วนบิดาเป็นพระโสดาบัน
    เล่ม 4 หน้า 44 ถึง 55 ทรงแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ คือ
    [​IMG] สู้กับนาคที่แสดงฤทธิ์
    [​IMG] ไปบิณฑบาตที่อุตตรกุรุทวีป แล้วนำกลับมาในเวลาอันสั้น
    [​IMG] ไปเก็บผลหว้าประจำชมพูทวีป และ ดอกปาริฉัตรจากดาวดึงส์
    [​IMG] บันดาลให้ชฎิลผ่าฟืนไม่ออก
    [​IMG] บันดาลให้ก่อไฟไม่ติด
    [​IMG] เนรมิตไฟ 500 กองให้พวกชฏิลผิง
    [​IMG] บันดาลให้น้ำที่กำลังท่วม ไม่ท่วมตรงที่ประทับ
    ประโยชน์คือ เป็นการทรมานอุรุเวรกัสสปชฏิลให้เลื่อมใส และในที่สุดก็บวชพร้อมด้วยศิษย์ 500
    เล่ม 5 หน้า 2
    ผู้แทนชาวบ้านแปดหมื่นตำบลไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านพระสาคตะ แสดงฤทธิ์ดำดินให้เห็น ชาวบ้านก็เลย ไม่แน่ใจว่า องค์ไหนเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงสั่งให้แสดงฤทธิ์มากกว่า นั้นอีก ท่านสาคตะ คงจะรู้พระทัยว่า ไม่เป็นการสะดวกแก่พระพุทธเจ้า ที่จะบอกว่า นั่นเป็นเพียงศิษย์ เมื่อแสดงฤทธิ์ พอควรแล้ว ก็มาซบที่พระบาทกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า
    นอกจากนี้ ทรงแสดงฤทธิ์อีกหลายแห่งเพื่อการสอน เช่น ขณะที่สาวกในที่ไกลกำลังคิดผิด ก็จะทรงปรากฏพระองค์สั่งสอนทันที เป็นต้น
    เล่ม 13 หน้า 390 ทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้องคุลิมาลโจรวิ่งไม่ทัน
    ทรงสนับสนุน ให้สาวก ทำตน ให้มี ฤทธิ์ด้วย เช่น ในเล่ม 11 หน้า 305 ทรงสอนว่า ธรรม 6 อย่างที่ ภิกษุ ควรทำให้แจ้ง คือ อภิญญา 6 (ข้อ 1 ของอภิญญา 6 คือ บรรลุอิทธิวิธี)
    เล่ม 13 หน้า 275 ตรัสว่า สาวกของพระองค์บรรลุอภิญญาเป็นจำนวนมาก
    เล่ม 20 หน้า 194 สาวกที่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ 3 มีมาก
    ฝ่ายที่แอนตี้การแสดงฤทธิ์มักจะยกหลักฐานมา 2 แห่ง
    แห่งแรก เล่ม 11 หน้า 3 สืบเนื่องมาจากโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อ สุนักขัตตะจะออกจากการเป็นสาวก ของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุที่ "พระผู้มีพรภาคเจ้ามิได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่ข้าพระองค์เลย"
    พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไม่ให้ติดในฤิทธิ์ เพราะคนลักษณะนี้ถ้าได้เห็นฤทธิ์แสดงแล้ว ก็คงจะหมกมุ่น อยู่แต่เรื่องฤทธิ์ไม่มุ่งที่จะตัดกิเลส คือ ทรงสอนว่า
    "ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเรา ได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมเนียมยิ่งยวดของมนุษย์ หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติ ให้สิ้นทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะปรารถนากระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์ไปทำไม"
    ผู้อ่านหนังสือ ควรระลึกว่า พระพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้สอนชั้นเยี่ยม สอนให้เหมาะแก่บุคคล นั้น ๆ คำตอบนี้ ตอบแก่ สุนักขัตตะเท่านั้น ไม่ใช่หมายความว่า เป็นคำสอนทั่วไป ทั้งนี้เพราะการแสดงปาฏิหาริย์ ไม่มีค่าแก่บุคคลผู้นี้ ป่วยการแสดง ในหน้าต่อ ๆ ไปได้ทรงเตือนสุนักขัตตะถึงเรื่องที่ ผ่านมาแล้ว 3 เรื่องและชี้ว่า นั่นคือ ปาฏิหาริย์ ที่พระองค์ทรงแสดง ให้เห็นอยู่แล้ว ยังไม่พออีกหรือ (ใน 3 เรื่องนั้น สุนักขัตตะ เป็นตัวเกี่ยวข้องสำคัญอยู่ด้วย)
    แห่งที่สอง เล่ม 9 หน้า 347 เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตร ทูลขอพระพุทธเจ้า ให้ส่งภิกษุสักรูปหนึ่ง ทำปาฏิหาริย์ เพื่อให้ชาวเมือง เกิดความเลื่อมใส พระองค์ทรงปฏิเสธ แล้วทรงกล่าวว่า ปาฏิหาริย์ 3 นั้นทรงทราบแต่...
    [​IMG] เมื่อเล็งเห็นโทษเช่นนี้จึงอึดอัด ระอา เกลียด อิทธิปาฏิหาริย์
    [​IMG] เมื่อเล็งเห็นโทษเช่นนี้จึงอึดอัด ระอา เกลียด อาเทศนาปาฏิหาริย์
    [​IMG] แต่ไม่ตรัสว่า อึดอัด ระอา เกลียด อนุสาสนีปาฏิหาริย์
    เมื่อยกมา เช่นนี้แล้ว ก็ประโคมกันว่า ทรงคัดค้านการแสดงปาฏิหาริย์ ซึ่งเราจะเห็น ได้ว่า ขัดกันกับคำสอนเรื่อง ให้ทำอภิญญา 6 และขัดกับที่ทรงประพฤติ ในการแสดงฤทธิ์หลายครั้ง แต่เราต้องไม่ลืมว่า พระพุทธเจ้านั้นจะไม่มีการค้านได้เลย ฉะนั้นจะต้งพิจารณาเรื่องนี้โดยละเอียด
    ประการที่ 1 จะต้องระลึกว่า พึ่งจะเสด็จ มาถึงที่นั่น (สวนมะม่วง ของปาวาธิกเศรษฐี เขตเมือง นาลันทา) ยังไม่มี ผู้เลื่อมใส ยังไม่มีโอกาส แสดงธรรม ถ้าจู่ ๆ ไปแสดง อิทธิปาฏิหาริย์เข้า ผลที่เกิด ก็คือ คนที่ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใส จะกล่าวได้ว่า มีวิชา คือ คันธารี ใช้แสดงเช่นนี้ได้เช่นกัน ถ้าหากแสดง ครั้งแรกแล้ว มีคนค้านได้ ก็เห็นได้ว่า "เสียเส้น" หมด อันนี้เราควรจะต้องเห็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ในปัญหาว่า จะปฏิเสธเกวัฏฏ์อย่างไรดีจึงจะไม่เสียน้ำใจ วิธีที่ทรงเลือกนี้ นับว่าเหมาะสมที่สุด
    เรื่องนี้ พอดีมีตัวอย่าง ในสมัยปัจจุบัน คือ เรื่องของนาวสาวศศิธร เมธางกูร ซึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่านาย บุญมี เมธางกูร ผู้เป็นบิดาได้นำมาแสดง การปิดตาอ่านหนังสือ และขับรถ ด้วยอำนาจจิตศาสตร์ต่อมาหนัง สือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2521 ทำข่าวสัมภาษณ์ นักเล่นกลหลายคน นักเล่นกลบอกว่า อย่างนี้ เป็นกลชั้นต่ำ นักเล่นกลที่ไหนก็ทำได้ จะทำยิ่งกว่านี้ เช่น ให้คนลอยในอากาศก็ยังได้ ผ้าปิดตาสีดำ ทำไว้ขายสำหรับเล่นกลอย่างนี้ มีขายถมเถไป
    นายบุญมี เมธางกูร ผู้นี้มีชื่อเสียงดีงามในกิจของพระศานา คือ เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม ที่ออกเป็น รายการวิทยุ ก็ดูเหมือนมี ถ้าบังเอิญ เรื่องการใช้จิตศาสตร์ ของนางสาวศศิธร เป็นเรื่องจริง แท้ไม่แปลกปลอม นายบุญมี กลับไม่ได้รับอะไรเลย นอกจากความเสียหาย พระพุทธเจ้าท่านคงจะรู้ทันข้อนี้ ถ้าให้สาวก แสดงปาฏิหาริย์ก็คงจะถูกหักล้างว่า ใช้วิชาคันธารี ถ้า วิชาคันธารี เป็นการแสดงกลชนิดหนึ่ง ก็จะกลายเป็นว่า พระพุทธเจ้าหลอกลวง ให้คนเลื่อมใส ดังนั้น จึงเลี่ยงเสีย ปฏิเสธเสียไม่แสดง (ทำให้คนสมัยนี้บาง พวกนำไปอ้างว่า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้แสดงฤทธิ์)
    ประการที่ 2 อาเทศนาปาฏิหาริย์ ก็มีวิชาชื่อ มณิภา สามารถนำมาใช้ได้ผลอย่างเดียวกัน จึงทรง "อึดอัด ระอา และเกลียด" อีก
    ประการที่ 3 ทรงกล่าวถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์โดยละเอียด ซึ่งอันที่จริงก็คือ หลักสูตรพระพุทธศาสนาทั้งดุ้น นั่นเอง คือ กล่าวถึงจุลศีล (หน้า 350) มัชฌิมศีล (หน้า 352) มหาศีล (หน้า 255) แล้วต่อด้วย การละนิวรณ์ 5 บำเพ็ญฌาน 1 ถึง 4 แล้วน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ นิรมิตรรูปอื่น จากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง น้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ทำให้หายไป ก็ได้ ฯลฯ (เหมือนกับที่ระบุไว้ในอิทธิปาฏิหาริย์) น้อมจิตไป เพื่อทิพยโสตธาตุได้ยินเสียง 2 ชนิดคือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งอยู่ใกล้และไกลล่วงโสตมนุษย์ น้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสสติ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ 6 อย่างหลัง นี้ คือ อภิญญา 6 ทั้งหมด นี้ คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ต่อจากนั้น ท่านก็ทรงบรรยายถึง นิพพานโดยย่อเป็นอันจบหลักสูตร
    ถ้าเราจะจับเรื่องโดยย่อ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังคนกลุ่มใหม่นั้น เกวัฏฏ์ก็จะขอให้อาจารย์ของตน (พระพุทธเจ้า) สั่งสาวกแสดงปาฏิหาริย์ ให้เป็นที่ประจักษ์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ไม่เป็นโอกาสที่ควรแสดง เพราะคนยังไม่รู้จัก และถ้าแสดงไปก็จะมีคนค้านได้ กลับทำให้ความเลื่อมใสไม่เกิด จึงปฏิเสธโดยอ้อม ๆ แล้วถือโอกาสนั้น แสดงธรรมว่า พระพุทธศาสนาสอนอะไรบ้าง แทรกไว้ใน อนุสาสนีปาฏิหาริ์ ซึ่งในนั้นเองกล่าวว่า สามารถแสดงฤทธิ์ได้
    โดยสรุปแล้ว จะเห็นได้ว่า ถ้าแสดงฤทธิ์ ได้ประโยชน์ ก็ทรงสนับสนุน ถ้าแสดงแล้ว เกิดโทษไม่สนับสนุน ส่วนที่ห้ามสาวกแสดงฤทธิ์ แก่ฆราวาสนั้น น่าจะเป็นการช่วยพระสาวก ให้รอดตัวมากกว่า เพราะคราวนั้น ท่านบิณโฑลภารทวาชะ เหาะไปเอาบาตรไม้จันทน์ แล้วลอยไปรอบเมือง คนที่ยังไม่เห็น ก็ตามกันมา เกรียวกราว จะให้เหาะให้ดูอีก ถ้าไม่ทรงห้าม ท่านบิณโฑลเห็นจะต้องเหาะโชว์ตลอดวันแน่ จะว่าไป การเหาะคราวนั้น ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย เพราะคล้ายเป็น การลองฤทธิ์ ซึ่งผิดพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า
    เรื่องฤทธิ์นี้ จำเป็นต้องพิสูจน์ ตามระเบียบว่า เป็นไปได้หรือไม่ ขอให้ไปดูเล่ม 31 หน้า 419 ถึง 428 ซึ่ง กล่าวถึงรายละเอียดในเรื่องฤทธิ์ เช่น ในหน้า 422 "คำว่า เหาะไปในอากาศ เหมือนนกก็ได้ คือ ท่านผู้มีฤทธิ์เป็นผู้ได้ ปฐวีกสิณสมาบัติ โดยปกติ ย่อมนึกถึงอากาศ แล้วอธิษฐานด้วยญาณว่า จงเป็นแผ่นดิน ก็เป็นแผ่นดิน ท่านผู้มีฤทธิ์นั้น เดินบ้าง ยืนบ้าง นอนบ้าง ในอากาศ กลางหาว เหมือนนกได้ เปรียบเหมือน พวกมนุษย์ผู้ไม่มีฤทธิ์โดยปกติ เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่นบ้าง นอนบ้าง บนแผ่นดินฉะนั้น ฯ"
    พูดตามภาษาชาวบ้าน ผู้ที่จะทำฤทธิ์ได้นั้น ต้องได้อรูปฌาน และต้องคล่องในกสิณ 10 เวลาจะทำฤทธิ์ ก็ เข้าอรูปฌาน มีกสิณอย่างใด อย่างหนึ่งเป็นนิมิต แล้วอธิษฐานก็จะสำเร็จดังประสงค์ เห็นได้ว่า ท่านไม่ได้ กล่าวไว้อย่างเลื่อนลอย วิธีแสดงฤทธิ์ท่านก็บอกไว้เสร็จ ขอเชิญพิสูจน์ด้วยตนเองก่อน แล้วจึงกล่าวว่า เป็นไปได้หรือไม่ได้
    ประโยชน์ของฤทธิ์นั้น มิใช่ว่า ทำให้เกิดความเลื่อมใสแล้ว จะเข้าปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก ในเล่ม 20 หน้า 258 พระอานนท์กราบทูลว่า "เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอ ที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้
    ท่านพระอุทายีก็ติงว่า "ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ "
    พระพุทธเจ้าทรงแก้ให้ว่า "ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา 7 ครั้ง พึงเป็นเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ 7 ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่า อานนท์จักนิพพานในอัตภาพนี้เอง"
    คำถาม มีคนสงสัยกันมากกว่า ทำบุญกับสาธาณะ ควรจะได้ประโยชน์มากกว่า ทำกับวัด
    คำตอบ เรื่องผลของการทำบุญนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะใช้อธิบายกันได้ว่า ทำอย่างนี้ทำไม่ได้ผล อย่างนั้นเป็นเรื่องที่ใช้ปัญญา พิจารณาไม่ได้ เรื่องนี้เป็น อจินไตย ซึ่งท่านกล่าวไว้ในเล่ม 21 หน้า 93 ว่ามี 4 ประการ คือ
    1. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า
    2. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน
    3. เรื่องของโลก
    4. วิบากของกรรม
    อจินไตย นั้นท่านบอกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะจะตอบให้แน่นอนลงไปไม่ได้ ถ้าใครขืนคิด ท่านว่า "พึงมีส่วนแห่งความบ้า" ผลของการทำบุญว่า ทำบุญอะไร จะได้ผลอย่างไรนั้น เป็นเรื่อง อยู่ในข้อ 4 คือ วิบากของกรรม ในเมื่อเราไม่สามารถจะตรึกตรองให้รู้ได้เอง เราก็ต้องเชื่อท่านผู้ที่รู้ไปก่อน ท่านผู้รู้ ก็คือ พระพุทธเจ้านั่นเอง
    พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญู คือ ที่ไม่รู้นั้นไม่มี
    เล่ม 25 หน้า 208 "จริงอยู่ พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้กลัวต่อบุญเลย คำว่า บุญ นี้เป็นชื่อของความสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็เรารู้ได้ด้วย ญาณอันวิเศษยิ่ง ซึ่งวิบาก อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจที่ ตนเสวยแล้ว สิ้นกาลนาน แห่งบุญทั้งหลาย ที่ตนทำไว้แล้วสิ้นกาลนาน"
    ความเชื่อตาม กาลสูตร ที่ชอบอ้างกันนั้น นำมาใช้ไม่ได้ในที่นี้ เพราะท่านบ่งว่า เรื่องนี้รู้ได้ด้วยญาณไม่ใช่ มาตรึกตรองเหตุผลกันได้
    คำตอบของปัญหาที่ถาม จะได้จากเล่ม 23 หน้า 361 ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเล่าว่า สมัยที่พระองค์เกิดเป็น เวลามพราหมณ์ นั้นได้ให้มหาทานดังนี้
    [​IMG] ถาดทองคำเต็มไปด้วยรูปิยะ 84,000 ถาด
    [​IMG] ถาดรูปิยะเต็มไปด้วยทอง 84,000 ถาด
    [​IMG] ถาดสำริดเต็มไปด้วยเงิน 84,000 ถาด
    [​IMG] ช้างประดับเครื่องทอง 84,000 เชือก
    [​IMG] รถประดับเครื่องทอง 84,000 คัน
    [​IMG] แม่โคนม 84,000 ตัว
    [​IMG] หญิงสาวพร้อมเครื่องประดับ 84,000 คน
    [​IMG] บัลลังก์ลาดผ้าโกเชาว์ และขนแกะ 84,000 ที่
    [​IMG] ผ้า 84,000 โกฏิ
    และข้าว น้ำ ของบริโภค เครื่องลูบไล้ และที่นอนจำนวนนับไม่ได้ (ถ้าเราคิดเป็นราคาเดี๋ยวนี้น่า กลัวจะถึง ล้านล้านบาท)
    ทานนี้ น่าจะมีผลมหาศาล แต่พระพุทธเจ้า ทรงเล่าต่อไปว่า "ดูกรคฤหบดี ทานที่บุคคลเชื้อเชิญ ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิองค์เดียว บริโภคมากกว่า ทานที่เวลามพราหมณ์ ให้แล้ว" คำว่า "ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ" นั้น ค้นดูแล้วปรากฏว่า หมายถึงพระโสดาบัน คือ ทานทั้งหมดนั้น คนที่รับทานไม่มีใครเป็นทักขิเญยบุคคลเลย (เป็นคนธรรมดา) สู้เลี้ยงข้าวพระโสดาบันเพียงมื้อเดียวก็ไม่ได้
    ต่อจากนั้นก็เปรียบเทียบไว้ดังนี้
    [​IMG] ทานแก่พระสกิทาคามี 1 องค์ ผลมากกว่าท่านผู้ถึงด้วยทิฐิ 100 องค์
    [​IMG] แก่พระอนาคามี 1 องค์ มากกว่าแก่พระสกิทาคามี 100 องค์
    [​IMG] แก่พระอรหันต์ 1 องค์ มากกว่าแก่พระอนาคามี 100 องค์
    [​IMG] แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 องค์ มากกว่าแก่พระอรหันต์ 100 องค์
    [​IMG] แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 องค์ มากกว่าแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 องค์
    [​IMG] แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข มีผลมากกว่าแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 องค์
    [​IMG] การสร้างวิหารทาน ถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ มากกว่า ที่ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็น ประมุข
    [​IMG] การที่บุคคล มีจิตเลื่อมใส ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ มีผลมากกว่าสร้างวิหาร ทานถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ
    [​IMG] การที่บุคคล มีจิตเลื่อมใส สมาทาน สิกขาบท (ศีล 5) มีผล มากกว่า การที่ บุคคล มีจิตเลื่อมใส ถึงพระพุทธเจ้า ฯ
    [​IMG] การที่บุคคล เจริญเมตตา โดยที่สุดแม้เพียง เวลาสูด ของหอม มีผลมากกว่า การที่บุคคล มีจิตเลื่อมใส สมาทานสิกขาบท
    [​IMG] การที่บุคคลเจริญ อนิจจสัญญา แม่เพียง เวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่า การที่บุคคล เจริญเมตตาจิตโดย แม้เพียงเวลาสูดของหอม
    ในเล่ม 14 หน้า 389 ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ไว้ในเรื่องของ ทักษิณาปาฏิปุคคลิกทาน
    [​IMG] ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน หวังผลทักษิณาได้ 100 เท่า
    [​IMG] ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล หวังผลได้ 1,000 เท่า
    [​IMG] ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล หวังผลได้ 100,000 เท่า
    [​IMG] ให้ทานในบุคคลภายนอก ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม หวังผลได้แสนโกฏิเท่า
    [​IMG] ให้ทานแก่ท่านผู้ปฏิบัติ เพื่อทำโสดาปฏิผลให้แจ้ง หวังผลนับไม่ได้
    พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้อย่างนี้ เราก็ควรจะเชื่อท่าน แต่ในเรื่องความเชื่อนี้ มักจะมีผู้นำคำสอน ของพระพุทธเจ้าในกาลามสูตร หรือเกสปุตตสูตร ตามเล่ม 20 หน้า 213 ที่ตรัสว่า
    "มาเถิดท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือ
    [​IMG] ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
    [​IMG] ตามถ้อยคำสืบ ๆ กันมา
    [​IMG] โดยตื่นข่าว
    [​IMG] โดยอ้างตำรา
    [​IMG] โดยเดาเอาเอง
    [​IMG] โดยคาดคะเน
    [​IMG] โดยความตรึกตามอาการ
    [​IMG] โดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
    [​IMG] โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
    [​IMG] โดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา"
    เสร็จแล้วก็ลงท้ายว่า ในการที่เราจะเชื่อถืออะไรได้นั้น เราต้องตรึกตรอง ให้เห็นจริงเสียก่อน จึงควรเชื่อ ผู้เขียนบางคน ถึงกับอ้างว่า แม้พระพุทธเจ้าสอนก็อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องตรองให้เห็นจริงจึงจะเชื่อได้
    ความเข้าใจเช่นนี้น่าจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูก เพราะทุกเรื่องไม่ใช่ว่าจะหาเหตุผลได้เสมอไป เช่น พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าใครเป็นพระโสดาบันแล้ว เรียกว่า เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ ได้ในไม่เกิน 7 ชาติ เช่นนี้ ท่านผู้ใดจะหาเหตุผลได้ว่า ทำไมต้อง 7 ชาติ และเป็นเช่นนั้นจริงหรือ เปล่า ? เมื่อไม่สามารถหาเหตุผลได้ ท่านจะไม่เชื่อหรือ ? ท่านก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาเถียงอีกน่ะ แหละว่า เป็นพระอรหันต์ใน 7 ชาติไม่ได้
    โดยที่แท้แล้ว สิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่แจ้งด้วยปัญญา แล้วท่านกลับสั่ง ให้เชื่อผู้อื่นที่รู้ไปก่อนด้วยซ้ำ เช่น เล่ม 19 หน้า 276 " ดีละ ๆ สารีบุตร ด้วยอมตะนั้น ชนเหล่าใดยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่กระทำให้แจ้ง ไม่พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา ชนเหล่านั้นพึงถึงความเชื่อต่อชนเหล่าอื่น ในอมตะนั้น ว่า...."
    อย่างไรก็ดี การที่ต้องเชื่อผู้อื่นไปก่อนนั้น แสดงว่า ตนเองยังไม่มีปัญญาที่จะพิจารณาเห็นได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้า จึงมักจะซ้อมผู้อื่น อยู่เสมอว่า เดี๋ยวนี้ยัง "ต้องเชื่อ" ท่านอยู่หรือเปล่า ผู้ที่จัดว่า ใช้ได้แล้ว คือประเภท "ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า" แล้ว
    ตามตัวอย่างเล่ม 19 หน้า 276 ข้างบนนี้ พระพุทธเจ้าท่านถามท่านสารีบุตรว่าเชื่อท่านหรือไม่ว่า.... พระสารีบุตรตอบว่า ไม่ต้องเชื่อต่อพระพุทธเจ้า (เพราะรู้แจ้งด้วยปัญญว่า เป็นจริงตามที่สอนแล้ว)
    ในเล่ม 22 หน้า 37 พระพุทธเจ้าตรัสถาม สีหเสนาบดีว่า เชื่อในผลทาน 5 ข้อที่พระพุทธเจ้าสอนหรือไม่ สีหเสนาบดีก็ตอบว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง 4 ข้อเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสบอกแล้ว ข้าพระองค์ย่อมเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคในผลแห่งทาน 4 ข้อนี้ ก็หามิได้ แม้ข้าพระองค์ ก็ ทราบดีคือ ข้าพระองค์เป็นทายกเป็นทานบดี ย่อมเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของปวงชนเป็นอีนมาก ฯลฯ ส่วน ผลทานที่จะพึงเห็นเอง ที่พระผู้มีพระภาคตรัสบอกข้าพระองค์ว่า ทายกผู้เป็นทานบดี เมื่อตายไปแล้วย่อม เข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบ ก็แต่ว่า ข้าพระองค์ย่อมเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคในข้อนี้" พระผู้มีพระภาคตรัสย้ำว่า " อย่างนั้นท่านสีหเสนาบดี ๆ คือ ทายกผู้เป็นทานบดี เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์"
    ข้อถกเถียงอาจปรากฏขึ้นในตอนนี้ว่า ถ้าเช่นนั้นที่พระพุทธเจ้าสอนก็แย้งกันเองคราวหนึ่งว่า ไม่ให้เชื่ออีก คราวหนึ่งว่าให้เชื่อ แล้วจะถืออย่างไหนเป็นถูก
    เมื่อมีปัญหาเช่นนี้ ก็ต้องย้ำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ท่านตรัสคำไหนเป็นคำนั้น ไม่เป็น อย่างอื่นฉะนั้น โดยหลักแล้วจะแย้งกันไม่ได้ ความขัดแย้งนี้เกิดจากตัวผู้อ่านไม่ทำความเข้าใจ ให้ดีต่างหาก
    เช่นในกาลามสูตร ปัญหาเดิมมีอยู่ว่า ชาวบ้านทูลมาถามว่า มีอาจารย์หลายคนมาสอน คำสอนขัดแย้งกัน ทำอย่างไรจะรู้ว่าใครถูก พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นอย่ายึดถือ ตาม 10 ข้อนั้น ซี แล้วก็ประทาน คำตอบว่า ให้พิจารณาว่า อะไรเป็นกุศลก็ให้ปฏิบัติ อะไรเป็นอกุศล ก็ให้ทิ้งไปเสีย
    ความเชื่อ กับความยึดถือ ว่าเป็นจริงอย่างนั้น ย่อมเป็นของคนละอย่างกัน ในกาลามสูตรท่านพูดถึง ความยึดถือ ไม่ได้พูดถึง ความเชื่อไปก่อน อะไรที่ไม่รู้ ท่านก็ให้เชื่อผู้รู้ไปก่อน เมื่อรู้ได้เอง คือ เห็นจริงด้วยตนเองแล้ว คราวนี้ก็ไม่ต้องหลับเชื่อตามคนอื่นบอกต่อไปละ
    คราวนี้พูดกันถึงว่า "รู้ได้เอง" นั้นคืออย่างไร คำถามนี้ตอบได้ด้วยการเปรียบเทียบ เช่น เราได้ฟังจากพระ พุทธเจ้าว่า อริยสัจ 4 ทำให้นิพพาน เป็นต้น อริยสัจ 4 มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราก็รู้ เท่าๆ กับพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ทำไมเราจึงไม่เป็นพระอรหันต์ ? นี่ก็เพราะว่า ที่ว่า "รู้" นั้นความจริงไม่รู้ เราเพียงเชื่อต่อพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ต่อเมื่อปฏิบัติตัว จนเป็นพระอรหันต์ แล้วนั่นแหละ จึงร้องอ้อ เป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องเชื่อต่อพระพุทธเจ้าอีกต่อไปเพราะ "รู้เสียเอง" แล้ว
    แต่ก็มีบางเรื่อง ที่เรารู้ไม่ได้ด้วยการปฏิบัติ เช่น วิบากกรรมที่กล่าวมาแล้ว เป็นต้น วิบากนั้นมีนับ ไม่ถ้วน เพราะ กรรมมีนับไม่ถ้วน ไม่มีทางที่จะทำกรรมเหล่านั้นทุกอย่างเพื่อจะรู้ผลทุกอย่างไปได้ ในเรื่องเช่นนี้ ก็จะต้องเชื่อต่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีสัพพัญญุตญาณ (คือไม่รู้นั้นไม่มี)
    ธรรมบางอย่างใช้ความคิดตามธรรมดาไม่ได้ ต้องมีญาณจึงจะรู้ได้ ดูได้จาก
    เล่ม 27 หน้า 92 "บุคคลเหล่าใด ยังไม่รู้ธรรมทั้งหลาย ด้วยญาณ ทั้งปวง บุคคลเหล่านั้นแล ย่อมสงสัยใน ธรรมทั้งหลาย"
    เล่ม 29 หน้า 284 "บุคคลผู้มีความสงสัย พึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ"
    เล่ม 16 หน้า 17 "พระอริยสาวกมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อต่อผู้อื่นเลย"
    เล่ม 16 หน้า 127 "เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกตามอาการ และจากการทนต่อความเพ่งด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณ เฉพาะตัว ท่านว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมี ชรา และ มรณะ ดังนี้หรือ"
    อันนี้เป็นคำตอบ สำหรับผู้ที่สงสัยในกาลามสูตรว่า ถ้าจะไม่ให้ยึดมั่นตามนั้นแล้วจะยึดมั่นได้ด้วยอะไร คือตอบว่า "ด้วยญาณ"
    คราวนี้ก็ต้องย้อมกลับมาหานักปราชย์สมัยนี้ ที่ชอบมาบอกว่า ไม่ให้เชื่อ นรก สวรรค์ เทวดาเพราะเป็นของ เหลวไหล (ตามความคิดของเรา) นั้นน่ะ ตัวเขามีญาณอะไรหรือ จึงรู้ว่า เหลวไหล จะเป็นความเชื่อของตัว เอง การตรึกตามอาการ ฯลฯ เสียมากกว่ากระมัง ?
    เมื่อได้อธิบายมาถึงแค่นี้แล้ว ก็ควรจะย้อนกลับไปสรุป เรื่องผลของการทำบุญทำทานได้ว่า ความจริงเป็น อย่างไรนั้นเป็นอจินไตย เอาเหตุผล มาเถียงกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเชื่อต่อ พระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า ที่ท่านทรงนำมากล่าวไว้นั่นแหละ จนกว่าเราจะมีญาณเท่ากับพระองค์ท่าน
    กลับมาถึงปัญหา ทำทานที่เป็นสาธารณะ จะเห็นว่า ทำไปตั้งล้านบาท สู้ถวายอาหารพระโสดาบันมื้อเดียว ก็ไม่ได้ ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยัน ดูได้จากเรื่องของ อังกูรพานิชกับอินทกมานพ ในเล่ม 26 หน้า 184 ขอสรุปโดยย่อว่า
    อังกูรพานิชทำทาน คือ ให้อาหารแก่หมู่ชนวันละ 60,000 เล่ม เกวียนเป็นนิตย์ ใช้พ่อครัว 3,000 คน มานพ 60,0000 คน ผ่าฟืน หญิง 60,000 คน บดเครื่องเทศ อีก 16,000 คน ถือทัพพีคอยรับใช้ ทำดังนี้หลายปี ตายไปแล้วไปเป็นเทวดาอยู่ในดาวดึงส์ ส่วนอินทกมานพถวายอาหาร 1 ทัพพีแก่ท่านพระอนุรุทธ (ซึ่งเป็นพระอรหันต์) ตายไปแล้วก็เกิดในดาวดึงส์เหมือนกัน แถมรุ่งเรืองกว่า ด้วยประการทั้งปวง เสียอีกด้วย
    เมื่อพระพุทธเจ้า เสด็จขึ้นไป อินทกเทพบุตร ได้นั่งเฝ้าใกล้ ๆ ส่วน อังกูรเทพบุตร ต้องถอยไป 12 โยชน์ (หลีกทางให้เทวดาอื่นที่ รุ่งเรืองกว่า) พระพุทธเจ้าทรงตรัสถาม สาเหตุอังกูรเทพบุตรก็ทูลตอบว่า"จะทรงประสงค์อะไร ด้วยทานของข้าพระองค์นั้น อันว่างเปล่าจาก ทักขิเณยบุคคล อินทกเทพบุตรนี้ ให้ทานนิดหน่อย รุ่งเรืองกว่าข้าพระองค์ ดุจพระจันทร์ในหมู่ดาวฉะนั้น ฯ"
    ในสมัยปัจจุบัน มีนักปราชญ์ ที่หลักแหลม แต่เป็นนักค้านตัวยงอยู่มาก นักปราชญ์ เช่นนั้นอาจจะค้านว่า ไหนว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ รู้ทุกอย่างไงล่ะ เมื่อรู้แล้ว ทำไมต้องถามด้วย ? ก็แสดงว่า ไม่รู้จริง เก๊ทั้งเพนะซี
    คำตอบมีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบทุกอย่าง ทราบแล้ว ตรัสถามก็มี ถ้าตรัสถาม ก็จะถามในกาลที่เห็นสมควร และ เพื่อประโยชน์ 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เพื่อบัญญัติ (ห้าม) หรือเพื่อแสดงธรรม (อาศัย เรื่องนั้นเป็นเหตุ) คำตอบนี้นักปราชญ์คนไหนอยากทราบว่า อยู่ตรงไหนในพระไตรปิฎก ก็ต้องลงโทษ ให้ไปค้นเองเสียบ้าง
    บางท่านอาจจะกล่าวร้ายว่า พวกพระต้องการ ให้ทำบุญกับวัด จึงโมเมใส่เข้ามา ว่าเป็นอย่างนี้ ถ้าเช่นนั้น ก็จะต้องชี้ว่า การทำทานด้วยอามิสทานนั้น มีวิหารทาน (สร้างวัดหรือส่วนของวัด) เป็นสูงสุด
    แต่ที่สูงไปกว่าวิหารทาน กลับไม่ต้องใช้อามิส คือ ไม่ต้องใช้สตางค์เลยสักเก๊เดียว
    ปรากฏว่า ยายแก่คร่ำครึที่ไปรักษาศีลที่วัด แกกลับได้บุญมากกว่าเศรษฐีสร้างโรงพยาบาลตั้ง 10 ล้านเสีย อีก (เลยไม่รู้ว่า ใครคร่ำครึ กันแน่) ข้อนี้ ตรงกับที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า ธรรมทาน ดีกว่า อามิสทาน อย่างที่เราพูดกันในภาษาธรรมดาว่า ปฏิบัติธรรม ดีกว่าเอาอะไรต่ออะไร ไปถวายพระตั้งเยอะนั่นเอง
    อย่างไรก็ดี การปฏิบัติธรรม เช่น การรักษาศีล เป็นต้น ควรจะเป็นของง่าย แต่กลับเป็นของยากยิ่ง สำหรับปุถุชนทุกชั้น จึงมักจะเลือเอาทางที่ถูกกว่า คือ อามิสทานเพราะทำง่ายกว่า และในทางจิตวิทยา มักจะคิด ว่าทำมาก ๆ แล้วได้บุญเยอะ นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
    ความจริงแล้ว การทำบุญในด้านจิตใจ เป็นการฝึกให้มีความเสียสละ ตัดความโลภ ความเสียดาย ใครจะทำบุญอะไรที่ไหนก็ทำเข้าไป โดยไม่ต้องห่วงว่า ได้มากได้น้อย แต่ถ้าจะเอาคำตอบกันจริงๆ แล้วก็คัดได้ มาอย่างที่แสดงไว้นี่แหละ
    คำถาม เรื่องนิพพานสูญกับนิพพานไม่สูญ อีกเรื่องหนึ่งทุ่มเถียงกันมาก มีคนเขาว่าพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า เมื่อท่านนิพพานไปแล้วก็ไม่มีแล้ว จะเอามาพูดกันได้ยังไงว่า มาแสดงให้ปรากฏอีกได้
    คำตอบ เรื่องนิพพานนี้หลวงพ่อท่านก็เทศน์ก็สอนไว้แล้วว่า ไม่สูญ แต่ถ้าจะเอาหลักฐานจากพระไตรปิฎก จะค้นมาให้ดูก็ได้ พวกนิพพานสูญ ไม่รู้เขา ปเอามาจากไหนกัน เห็นแต่อ้างว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" เมื่อสูญก็แปลว่า หายไป ไม่มีแล้ว แต่พวกนี้แปลก ก็ที "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง" ไม่ยักยกมาพูด ได้กล่าวมาแล้วว่า พระพุทธเจ้า พูดไม่ผิด และ ค้านไม่ได้ แย้งกันเองก็ไม่ได้ ตามหลักก็ ต้องถือว่า เป็นเช่นนั้นทั้งคู่ สุญญัง ด้วย สุขขัง ด้วย
    คำว่า สุญญัง นี้ หลายท่านแปลว่า ว่าง ไม่แปลว่า สูญหายไป ว่างจากกิเลสอย่างยิ่ง ลองค้นดูใจ ความเกี่ยว กับคำว่า ดับ ว่า สูญ นี้จะพบหลายแห่ง
    เล่ม 1 หน้า 3 "เรากล่าวความขาดสูญแห่งราคะ โทสะ โมหะ" สูญ คือ หายไปขาดคือสิ้น ไม่มีทางเกิดอีก เช่นนี้กระมัง
    เล่ม 11 หน้า 46 "พระผู้มีพระภาคนั้นเป็นผู้ดับแล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความดับ" ความดับในที่นี้จะแปลว่าสูญก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ แปลได้อย่างเดียวคือ ดับกิเลสเพราะ ถ้าสูญไปตายไป ก็คงมาแสดงธรรมไม่ได้
    เล่ม 13 หน้า 104 "ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้วย่อมปฏิบัติเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัดเพื่อดับสนิทแห่งภพ เท่านั้น" ขอให้สังเกตว่า ไม่ได้หมายความว่า ตัวภพเป็นตัวดับ ภพมีอยู่เสมอ แต่บุคคลผู้หลุดพ้นนั้น ดับไปจากภพอย่างสนิท คือ ไม่ไปเกิดในภพอีกแล้วนั่นเอง
    เล่ม 13 หน้า 138 "อาสวะเหล่านั้นตถาคตจะได้แล้ว มีมูลอันขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิด ต่อไปเป็นธรรมดา" ความนี้ได้ความว่า อาสวะ ถึง ความไม่มี ไม่ใช่ พระตถาคตสูญไป เพราะขณะที่ตรัสก็ "ถึงความไม่มี" คือ ไม่มีอาสวะอยู่แล้ว
    หน้า 140 "ย่อมน้อมไป ในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้ สงบ ธรรมชาตินี้ ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบ สังขารทั้งปวง เป็นที่สละ คือ อุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไป แห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้"
    เล่ม 16 หน้า 18 "เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นอวิชชา ควรจะกล่าวว่า ภิกษุบรรลุนิพพานในปัจจุบัน" ข้อนี้แสดงว่า ถึงยังไม่ตายก็ดับได้
    หน้า 128 ภพดับเป็นนิพพาน
    เล่ม 17 หน้า 58 "เพราะละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ"
    หน้า 210 "เพราะความดับสนิทแห่งกิเลสเหล่านั้น เรากล่าวว่า เป็นธรรมที่ดับสนิทแห่งเครื่องนำไปภพ"
    เล่ม 25 หน้า 56 "เมื่อใดพราหมณ์ เป็นผู้ที่ถึงฝั่งในธรรมทั้ง 2 ประการ เมื่อนั้น กิเลส เครื่องประกอบทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ผู้รู้แจ้ง ย่อมมีถึงความสาบสูญไป"
    เล่ม 30 หน้า 35 คำว่า "ดับแล้ว" ความว่าชื่อว่าดับแล้วเพราะเป็นผู้ดับ ราคะ โทสะ โมหะ… ปมาทะ กิเลส ทั้งปวง ความกระวน กระวายทั้งปวง ความเร่าร้อน ทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุศลาภิสังขารทั้งปวง ฯ"
    เล่ม 31 หน้า 183 คำว่า สุญญํ ความว่า เป็นสถานที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยใครๆ เป็นคฤหัสถ์ก็ตามเป็นบรรพชิตก็ตาม
    ตามที่ยกมาอ้างนี้ จะเห็นได้ว่า ที่ดับที่ขาดสูญนั้น คือ ภพและกิเลส ไม่ใช่ผู้ที่เข้านิพพานอันตรธานสูญไป ไม่มีอยู่
    ตามชื่อที่เรียกกันนั้น เรียกนิพพานว่า อมตะ หรือ อมตธาตุ ไม่ตาย เมื่อไม่ตายก็มีอยู่ตลอดเวลา ถ้าสูญไป ก็ควรจะเรียกได้ว่า ตายตลอดเวลา
    ตรงกันข้าม ส่วนที่แสดงว่า นิพพานมีอยู่ กลับมีมากมาย
    เล่ม 12 หน้า 488 "นิพพานอันผู้บรรลุพึงรู้แจ้งได้ เป็นอนิทัสสนะ เป็นอนันตมีรัศมีในที่ทั้งปวง"
    เล่ม 25 หน้า 429 "นามรูป ของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะ นามรูป มีความสาบสูญไป เป็นธรรมดา นิพพานมีความไม่สาบสูญเป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น โดยความเป็นจริง"
    ในบางแห่ง กล่าวถึงนิพพานในลักษณะว่า เป็นที่แห่งหนึ่ง
    เล่ม 12 หน้า 349 "นิพพาน อันเป็น แดนเกษม" "โลกอันมัจจุถึงไม่ได้" โลกในที่นี้ คงเป็นคำรวม เพราะบางทีหมายถึงร่างกายก็ได้ ไม่หมายถึงภพ
    เล่ม 23 หน้า 178 "ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วนอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ นิพพานธาตุ ก็มิได้ปรากฏว่า จะพร่องหรือเต็ม ด้วยภิกษุนั้น" ความพร่องความเต็มย่อมต้องใช้กับสถานที่เท่านั้น
    เล่ม 25 หน้า 72 ทรงเปล่งอุทานว่า "ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุ นั้นดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี" ข้อนี้ คงจะซ้ำกับข้อต้นที่ว่า มีรัศมีในที่ทั้งปวง ถึงแม้จะไม่มีบ่อเกิดแสง
    เล่ม 25 หน้า 166 "บุคคลตัดวัฏฏะได้แล้ว บรรลุถึงนิพพานอันเป็นสถานที่ไม่มีตัณหา
    หน้า 175 "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายนะ วิญญานัญ จายตนะ เนวสัญญา นาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสองย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวถึง อายตนะนั้นว่า เป็นการมา การไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อาตนะนั้น หาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์"
    เล่ม 31 หน้า 84 โลกุตตรภูมิเป็นไฉน มรรคผล นิพพาน ธาตุอันปัจจัยไม่ปรุงแต่ง อันเป็นโลกุตตระนี้ชื่อ ว่า โลกุตตรภูมิ
    เล่ม 33 "เมื่อดิฉันทั้งหลาย ออกจากภพนี้ไปสู่บุรี คือ นิพพานอันอุดม"
    เล่ม 9 หน้า 373 ภิกษุ ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ มหาภูตรูป ทั้ง 4 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโช ธาตุ วาโยธาตุเหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือ ในที่ไหน"
    พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า ปัญหานี้ตั้งไม่ถูก ควรถามว่า "ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในที่ไหน นาม และ รูป ย่อมดับไม่เหลือ ในที่ไหน ดังนี้ ในปัญหา นั้น มีพยากรณ์ ดังต่อไปนี้ ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในธรรมชาตินี้ อุปาทายรูป ที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งาม และไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน ธรรมชาตินี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นาม และ รูปย่อมดับไม่ เหลือในธรรมชาตินี้"
    อาจจะเป็นคำว่า ที่ว่า วิญญาณดับนี้เอง ที่ทำให้คิดว่า นิพพานแล้วสูญ แต่คำนี้เข้าใจยากว่าเป็นอะไร และ มักเข้าใจปนอยู่กับคำว่า "จิต"
    เล่ม 17 หน้า 59 "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้า ความกำหนัด ในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้ เพราะ ละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญาณ ย่อมไม่มีวิญญาณ อันไม่มีที่ตั้ง ไม่งอกงาม ไม่แต่ง ปฏิสนธิหลุดพ้นไป เพราะหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อมจึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบ เฉพาะตน เท่านั้น"
    เล่ม 25 หน้า 30 "จิต ของเราถึงแล้วซึ่งนิพพานอันปราศจากสังขาร"
    ความนี้ฟังยาก เพราะ เมื่อที่ตั้งของวิญญาณไม่มี วิญญาณหลุดพ้นไป ก็น่าจะดับ แต่กลับกลาย เป็นดำรงอยู่ แต่ในความที่สอง บอกว่าจิตไปเข้านิพพาน
    คำอธิบายของจิตกับวิญญาณ น่าจะดูจากเล่ม 4 หน้า 181 "ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย จิตดวงแรกใดเกิด แล้วใน อุทรมารดาวิญญาณดวงแรกปรากฏแล้ว อาศัยจิตดวงแรกวิญญาณดวงแรกนั้นน่ะแหละ เป็นความเกิดของสัตว์นั้น"
    ดูการเกิด ของมนุษย์จากเล่ม 12 หน้า 398 "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดบิดามารดาอยู่ร่วมกันด้วยมารดา มีระดูด้วยทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย" อันนี้แสดงว่า ต้องมีสิ่งที่จะมาเกิดมาจากภาย นอกร่างกายมารดา ข้อนี้ยืนยันได้จากประโยชน์ 6 ประการของการเป็นพระอินทร์ในเล่ม 10 หน้า 253 คือ "ข้อ 2 จุติจาก กายทิพย์แล้ว จะเข้าสู่ครรภ์ในตระกูลอันเป็นที่พอใจของตน"
    ปัญหามีว่า อะไรของพระอินทร์ที่มาจุติ ถ้าเราตอบว่า "จิต" ก็จะนำไปใช้ได้ทุกกรณีรับกันหมด คือ เมื่อรวมความแล้ว จิตเป็นตัวมาเกิดในร่างทารก ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    ดังเล่ม 15 หน้า 189 เสลาภิกษุณีกล่าวกะมารผู้มีบาปว่า "รูปนี้ไม่มีใครสร้างไม่มีใครก่อรูปเกิดขึ้นเพราะ อาศัยเหตุดับไป เพราะเหตุดับ"
    หรือเล่ม 16 หน้า 70 "ดูกรภิกษุทั้งหลายกายนี้มิใช่ของเธอทั้งหลาย ทั้งไม่ใช่ของผู้อื่น"
    เกี่ยวกับวิญญาณนั้น ในเล่ม 14 หน้า 347 เมื่อทรงกล่าวถึงธาตุ 4 ของร่างกาย คือ ปฐวี อาโป เตโช และ วาโยธาตุ อากาศธาตุแล้ว "ต่อนั้น สิ่งที่เหลืออยู่อีกก็คือ วิญญาณอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง บุคคลย่อมรู้อะไร ๆ ได้ ด้วยวิญญาณนั้น"
    ท่านไม่ตรัสว่า รู้ด้วยสมองแต่ตรัสว่า รู้ด้วยวิญญาณ ทั้งนี้ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่า ในที่อื่นท่านกล่าวถึงสมองไว้เหมือนกัน (เล่ม 25 หน้า 2 สมองเป็นอย่างหนึ่ง ของอาการ 32 กับเล่ม 25 หน้า 332 ในโพรงของศรีษะ มีมันสมอง)
    ถ้าเราจะตั้ง ทฤษฎีว่า ร่างกายเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ยังไม่มีชีวิต จะมีชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อ มีจิตเข้ามาอยู่ (ด้วยมีสิทธิเลือก หรือตามกรรมบังคับ) พอจิตเข้าเกิดในท้องแม่ วิญญาณดวงแรกก็เกิดแล้ว ดูเหมือนว่า จิตจะถูกกลืนหายไปในวิญญาณ ซึ่งทีแรกก็บริสุทธิ์ดี ต่อมา เมื่อคนตายวิญญาณก็ตาย ทำให้จิตหลุดเป็นอิสระจากวิญญาณ คือ วิญญาณ ไม่มีที่ตั้งแล้ว จิตก็หลุดพ้นไปเข้านิพพานหากเป็นเช่นนี้แล้ว ที่พูดว่า วิญญาณดับไปเหมือนดวงประทีป แต่จิตที่หลุดเป็นอิสระ ไปเข้านิพพานก็รับกันได้พอดี
    อย่างไรก็ดี ที่ว่า นิพพานไม่สูญนั้น ยังอาจตีความได้ จากอีกหลายแห่งว่า นิพพานนั้น สามารถรู้เห็นกันได้ เพราะถ้าสูญก็รู้เห็นกันไม่ได้ (และอย่าลืมว่า สิ่งใดพระพุทธเจ้า ไม่รู้ไม่เห็นด้วยพระองค์เอง แล้วย่อมไม่สอน)
    เล่ม 23 หน้า 383 ท่านพระอุทายี ถามท่านพระสารีบุตรว่า "ดูกรอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มี เวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร" ได้รับคำตอบว่า "ดูกรอาวุโส นิพพานนี้ไม่มีเวทนานั่นแหละเป็นสุข" แล้วแถมด้วย การอธิบายว่า "ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านจะพึงทราบ ได้โดยปริยายแม้ นี้....." แล้วท่านก็เล่า ตั้งแต่ ฌาน 1 ไปจนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ว่านั่นแหละเทียบกับสุขในนิพพาน
    เล่ม 22 หน้า 368 กล่าวว่า ผู้ได้ฌานสามารถถูกต้องอมตธาตุด้วยกายได้
    เล่ม 25 หน้า 256 "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หาอาสวะมิได้ ถูกต้องอมตธาตุ อันไม่มีอุปธิด้วยนามกาย"
    จากข้ออ้างนี้อนุมานได้ว่า นิพพานมีอยู่ ไม่ใช่สูญ
    พิจารณายืนยันอีกจากลักษณะของสังเขตธรรม (คือ นิพพาน) 3 ประการในเล่ม 20 หน้า 170 คือ
    1. ไม่ปรากฏความเกิด
    2. ไม่ปรากฏความเสื่อม
    3. เมื่อตั้งอยู่ ไม่ปรากฏความแปรปรวน ทำให้เกิดสงสัยว่า เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ควรมีอยู่ แต่นี่แสดงว่า มีอยู่ (ตามข้อ 2 และ 3) คือ ถึงไม่เกิดก็มี อยู่ได้
    เล่ม 13 หน้า 189 "ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุชื่อนี้ ทำกาละแล้วดำรงอยู่ในอรหัตผล" ถ้า "ดำรงอยู่" ก็ต้องแปลว่า สูญไม่ได้เป็นแน่ล่ะ
    เล่มดียวกันนี้ วัจฉโคตรปริพาชก ทูลถามพระพุทธเจ้า ในหน้า 209 ว่า "ข้าแต่พระโคดม ก็ภิกษุมีจิตพ้นวิเศษแล้วอย่างนี้ จะเกิดในที่ไหน
    ดูกรวัจฉะ คำว่า จะเกิดดังนี้ไม่ควรเลย
    ข้าแต่พระโคดม ถ้าเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นหรือ
    ดูกรวุจฉะ คำว่าไม่เกิดดังนี้ก็ไม่ควร"
    ต่อไปวัจฉโคตร ก็ทูลถาม ไล่ไปถึง เกิดก็มี ไม่เกิดก็มี เกิดก็ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ อะไรก็ไม่ควรสักอย่าง วัจฉโคตร ชักจะโมโห ต่อว่า ว่า "ข้าแต่พระโคดม ในข้อนี้ ข้าพเจ้า ถึงความไม่รู้ ถึงความหลงแล้ว แม้เพียงความเลื่อมใส ของข้าพเจ้าที่ได้มีแล้ว เพราะพระวาจา ที่ตรัสไว้ในเบื้องแรก ของท่านพระโคดม บัดนี้ได้หายไปเสียแล้ว"
    ซึ่งพระพุทธเจ้าก็คงจะขำ ตอบว่า ควรแล้วที่จะไม่รู้ เพราะเป็นของรู้ได้ยาก
    ในเรื่องการเกิดนี้ มีคำจำกัดความ ไว้ในเล่ม 12 หน้า 117 " ดูกรสารีบุตร กำเนิด 4 ประการ นี้แล 4 ประ การเป็นไฉน คือ อัณฑชะกำเนิด ชลาพุงชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด และโอปปาติกะกำเนิด" แล้วทรง อธิ บายว่า
    [​IMG] อัณฑชะกำเนิด คือ การชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด
    [​IMG] ชลาพุงกำเนิด คือ การชำแรกไส้ (มดลูก) เกิด
    [​IMG] สังเสทชะกำเนิด คือ เกิดในปลาเน่า ของบูด น้ำครำ เถ้าไคล เป็นต้น
    [​IMG] โอปปาติกะกำเนิด ได้แก่เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางพวก และเปรตบางจำพวก
    ถ้าเราจะใช้ทฤษฎีของเราว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ เมื่อตาย จิตก็เป็นอิสระจากวิญญาณ แล้ว ไปดำรงอยู่ใน นิพพานเฉย ๆ ก็จะเห็นได้ว่า จิตนั้น ไม่ใช่การเกิดตามคำจำกัดความ (เราอาจจะคิดว่า เป็นกำลังงาน อันหนึ่งก็คงจะได้กระมัง) แต่จะว่า ไม่เกิดก็มีปรากฏไป "ดำรงอยู่ในอรหัตผล" แล้วก็ไม่มีแก่ ไม่มีตาย เป็นอมตะ มีความสุขตลอดกาล เป็น เอกันตบรมสุข อย่างนี้บางทีเราอาจจะพอเข้าใจได้ลาง ๆ และตรงกัน กับคำอธิบายทั้งหลาย
    ส่วนสถานที่ อันเป็นที่อยู่ของพวกพระอรหันต์ ที่ตายแล้วนั้น เมื่อไม่มีการเกิดก็ไม่เรียกว่า ภพ และภพอื่นๆ ที่ว่า ดับไปก็คือ ไม่มีอิทธิพลต่อจิตนี้ เมื่อมีทฤษฎีว่า มีจิตไปเสวย อรหันตผล อยู่ในนิพพาน และ จิตเหล่านั้น เป็นจิตที่มีฤทธิ์ จิตก็สามารถจะบันดาล ให้ใครเห็น หรือได้ยิน อะไรก็ได้ ตามวิสัย และตามแต่ท่าน เหล่านั้นต้องการจะสงเคราะห์
    คราวนี้นักปราชญ์ก็จะค้าน 2 ข้อ
    1. การมีอะไรไปเข้านิพพาน แสดงว่า "อะไร" นั้นเป็นอัตตา ค้านกับที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า อัตตา ไม่มี มีแต่ อนัตตา
    2. การไปมีความสุขในพระนิพพานนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะ ความสุขเป็นกิเลส
    คำตอบ สำหรับข้อ 1 มีดังนี้ คือ คนส่วนมาก ไม่ได้ศึกษาโดยแท้จริงว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร ส่วนมาก เรื่อง ความมีตัวตน หรือ ไม่มีตัวตน นี้มักยก สัตตทิฐิ กับ อุจเฉททิฐิ มาอ้างว่า พระพุทธเจ้า สอนว่า ความเห็นทั้งสองอย่างนี้ผิด คือ ยึดว่ามีตัวตนก็ผิด ยึดว่าไม่มีตัวตนก็ผิด ตามสามัญสำนึก มักจะไปเพ่งกัน ที่ตัวตนว่า มี หรือ ไม่มี
    ถ้าหากท่านสอนว่า มีก็ผิด ไม่มีก็ผิด อย่างนี้ก็ฟังชอบกลอยู่ เพราะ มันควรจะต้องถูกเข้าสักข้างหนึ่งความจริง ที่ท่านว่า ผิดนั้น คือ การยึด หรือ ทิฐิเอง ทิฐิมีอยู่ 62 อย่าง ผิดทั้งหมด ถ้าไปยึดอะไรเข้า ก็ผิดทั้งนั้น
    ท่านสอนไม่ให้ยึด แต่ให้ปล่อยวาง แม้แต่พระนิพพาน ท่านก็ให้เพียงแต่รู้ ไม่ให้ยึด
    ตัวอนัตตา แท้ ๆ ที่ท่านสอน คือตัว อนัตตา ในพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนัตตา อันนี้ มีความหมายอย่างไร ? พระที่เรียนบาลีท่านบอกว่า แปลว่า มีความเป็นก้อนมั่นคงหรืออะไร ทำนองนี้ เวลาสอนสาวก พระพุทธเจ้าท่านมักจะไล่ไตรลักษณ์อยู่บ่อย ๆ
    ตัวอย่างจากเล่ม 17 หน้า 53 พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามว่า ดูกรโสณะ ท่านจะสำคัญ ความข้อนั้น เป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง คฤหบดีบุตรชื่อโสณะ ทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
    ส. เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะพิจารณาสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา
    ส. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระเจ้าข้า แล้วท่านก็ไล่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปตามลำดับ เสร็จแล้วท่าน ก็สรุปว่า
    "ดูกรโสณะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงเห็น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ รูปอย่างใดอย่าง หนึ่งเป็นอดีต อนาคต และ ปัจจุบัน เป็นภายใน หรือ ภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือ ประณีต อยู่ใน ที่ไกลหรือใกล้ รูปทั้งหมดนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง..."
    ดูกรโสณะอริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจิต ย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี"
    นี่คือหลักสูตร การเป็นพระอรหันต์ชัด ๆ จะเห็นได้ว่า
    [​IMG] "ไม่เที่ยง" คือ อนิจจัง "
    [​IMG] "เป็นทุกข์" คือ ทุกขัง "
    [​IMG] "ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวของเรา" คือ อนัตตา
    อนัตตาตัวนี้ คือ สำคัญที่เป็นหลักใหญ่ของคำสอนของพระองค์ คนที่รับความหมายว่า อนัตตา คือ ไม่มีตัว ตนจะเกิดความสงสัยเป็นกำลังว่า ร่างกายก็มีอยู่จะว่า ไม่มีตัวตนได้ยังไง เมื่อรับไปผิด ก็ไม่เข้าใจอนัตตา มีความสำคัญอยู่ที่ว่า ร่างกาย นี้ไม่มีแก่นสารมั่นคง มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ไม่ใช่ของเรา ท่านสอนไว้ในที่แห่งอื่นว่า ถ้าเป็นของเรา เราก็ควรจะสั่งมันได้ซีว่า อย่าแก่ อย่าเจ็บ อย่าตาย ถ้าสั่งไม่ได้ก็ไม่ใช่ของเรา
    กุญแจสำคัญ ของการเข้าถึง ความเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ตัวอนัตตานี้เอง อย่างที่ท่านสอนท่านโสณะ ที่อ้างมานี้ เมื่อเห็นแล้วว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ("เรา" คือ จิต ที่มาอาศัยเกิด) แล้วก็ย่อมเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด คือ ตัดร่างกายทิ้งไป ไม่เอาเรื่องกับมัน ตัดขาดว่า ไม่ใช่ของเราที่จะต้องหวง ต้องบำรุงตกแต่ง ฯลฯ เมื่อคลายกำหนัดก็หลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ แค่นี้เอง
    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ที่หลายๆ คนพากันเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "ไม่มีตัวตน" นั้นต่างก็มักเข้าใจกันไม่ถูกเรื่อง ไม่ลึกซึ้งพอ อนัตตา คือ เห็นร่างกายหรือตัวตนนี้ไม่ใช่ "เรา" ไม่เป็น "ของเรา"จึงจะ เป็นความเข้าใจที่ถูกตามหลักฐานที่อ้างมาแล้ว
    เรื่องนี้พระพุทธเจ้า ท่านเอาไปสอนในอีกหลายแห่ง เช่นถามว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด และอะไรต่อ อะไรตามมาอีกนั้น ท่านไม่พูด ไม่ตอบ ไม่เห็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า
    เมื่อรู้เสียแล้วว่า ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่มีตัวตนที่เป็นของตนเองอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นการพูด ถึงความตาย ความเกิดก็ไม่มีประโยชน์อะไร
    พระพุทธเจ้า "พ้นจากการบัญญติว่ารูป" เสียแล้ว ในนทางตรงกันข้าม ถ้าพูดเรื่องตายเรื่องเกิด กลับเป็นการยอมรับบัญญัติว่า มีรูป ฯ ซึ่งผิดหลักการที่ทรงสั่งสอน
    (เลยมีคนเอาไปแปลว่า พระพุทธเจ้าไม่ยืนยันว่า ตายแล้วเกิด) (ดูเล่ม 18 หน้า 415)
    เวลาที่พระบางองค์ท่านสอนว่า เป็นพระอรหันต์ง่ายจะตายไป ไม่เห็นมีอะไรเลยมัวหลงไปทำอย่างอื่นเสียตั้งนาน เสียท่าจริง ๆ นั้น พระเช่นนี้มักจะถูกค่อนขอดว่า อวดเก่งอวดอุตริมนุสธรรม รู้ได้ยังไงว่า เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ คนที่พูดเช่นนั้นแหละ ควรจะถามตัวเองว่า รู้หรือว่าอย่างไร หรือทำอย่างไร จึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ ความจริงตัวเองไม่รู้ แล้วก็จะเกณฑ์ให้คนอื่นไม่รู้ไปด้วย ท่านพูดไว้ในพระไตรปิฎก เห็นทนโท่ก็ไม่อ่าน
    คนส่วนมากคงเข้าใจว่า ต้องทำสมาธิวิปัสสนากันเป็นการใหญ่ จึงจะพ้นกิเลสได้ พวกวิปัสสนาบางสำนักยัง ดูหมิ่นพวกสมาธิ หรือสมถะอีกว่า ทำไม่ถูก ทางตรงต้องวิปัสสนา จึงจะได้ ฯลฯ
    ก็วิปัสสนานั้น คืออะไรล่ะ ? ก็คือ พิจารณาให้เห็น ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ว่า ร่างกายนี้ เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ มีแก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น ไม่ควรคบ ถึงจะตายไป เป็นเทวดาเป็นพรหมมี ความสุขสบาย ในที่สุด ก็ต้องกลับมาเกิด เป็นคนต้องรับทุกข์อีกน่ะแหละ คือ พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในอนัตตานั่นเอง
    คนธรรมดา มีความสุขสบาย มักจะทำใจ ให้เห็นจริง ไม่ได้ว่า ร่างนี้ไม่ใช่เรา ควรทิ้งไปเสีย เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยวิธีอื่นช่วย เช่น ฝึกให้มีทิพจักขุญาณ ดูกันให้รู้ดำรู้แดงว่า เมื่อก่อนเคยเกิดเป็น หมู หมาเป็น หนอนในส้วม เคยตกนรกมาแล้วตั้งเยอะ จริงหรือเปล่า หรือฝึกให้จิตนิ่งเป็นสมาธิ หรืออยู่ในฌาน จิตแจ่ม ใสเหมือนน้ำใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว แล้วเอาจิตดวงนั้น (ในสภาพนั้น) พิจารณา อนัตตา ก็จะเห็นแจ่มแจ้งขึ้น ตัว อย่างเช่น อุจจาระมันเหม็น ถ่ายออกมาแล้ว ก็รังเกียจ จับต้องไม่ได้ แต่มีใครที่ทำใจได้ว่า อุจจาระเหม็น นั้นมันอยู่ในท้องเราเองตลอดเวลา ทำไมเราไม่รังเกียจ ทำไมเราไม่รังเกียจตัวเราเอง ซึ่งเป็นต้นตอของ อุจจาระนั้น และขี้อะไรต่ออะไรอีกตั้งเยอะบ้าง ตรงกันข้าม กลับรักมันเสียแทบเป็นแทบตาย
    ส่วนคนที่มีความทุกข์ต่างๆ มักจะเห็นสภาพเช่นนี้ได้ดีกว่า โดยเฉพาะ คนที่ถูกโรคทรมาน จนมีความเจ็บปวด แสนสาหัสนั้น ไม่ต้องลงทุน ลงแรง สมาธิวิปัสสนา อะไรมากนัก เขาก็เห็นได้ ด้วยตัวเอง ทันทีว่า ร่างกายนี้ทุกข์หนอ เพราะฉะนั้น ถ้าคนไหนขี้โรค แต่รู้จักพิจารณาอนัตตา ให้เห็นประโยชน์ โดยอาศัยความ ทรมานจากโรคนั้น เป็นเครื่องพิจารณา เขากลับจะเป็นคนโชคดีกว่า เศรษฐีร้อยล้านเสียอีก
    คนอีกประเภทหนึ่ง ที่พิจารณาอนัตตาได้ดี คือ คนที่กำลังจะตาย คนพวกนี้ เห็นความจริง ในบัดนั้นเองว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ดึงไว้ไม่ได้แล้ว กิจการ เงินทอง ยศ ฯลฯ ที่ทำไว้มากมายนั้น ผลสุดท้ายก็มาสิ้นสุดตรงนี้เอง
    สิ่งเหล่านี้ คนเราธรรมดา มองไม่เห็น แม้แต่จะคิดว่า เราต้องตายแน่ ๆ ก็ยังไม่คิด กลับทำท่าคล้ายๆว่า เราจะไม่ตาย อย่างนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า คนเราตายได้ทุกขณะนะ อย่าประมาทให้ คิดไว้ทุกขณะจิตว่า เดี๋ยวก็จะตายแล้ว แต่มีใครปฏิบัติอย่างนี้สักกี่คน ตรงกันข้าม ใครทำอย่างนี้หาว่า เซี้ยวไม่เต็มบาทด้วยซ้ำ
    นี่คนเรา มักเป็นอย่างนี้ คนอื่นทำดี ทำถูก หาว่าเขาบ้า เราไม่รู้ คนอื่นเขารู้ และรู้ถูก รู้จริงด้วย หาว่า เขาเหลวไหล งมงาย
    ความแตกต่าง ระหว่างพระอรหันต์ กับคนธรรมดาก็คือ คนธรรมดารู้เข้าใจความหมายของอนัตตา แต่ทำจิตให้หลุดพ้นไม่ได้ ส่วนพระอรหันต์ท่านทำจิตหลุดพ้นได้เท่านั้น
    เรื่องนี้ ความจริงหลวงพ่อ ท่านก็สอนคุณอ๋อย กับพุทธบริษัท มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ค่อยจะ "แจ้ง" กันสักที หลวงพ่อท่านบอกว่า ไม่เป็นไรตอนนี้รู้ไว้ก่อน รักษาตัวไว้ในกุศลกรรมก็แล้วกัน อย่างน้อยก็รักษาศีล 5 เท่า ชีวิตไว้ก่อน แล้วให้จิตระลึกถึง แต่ความดีที่เคยทำมาให้เป็นนิสัย ความชั่วที่เคยทำมาบ้างในกาลก่อน อย่าไปพยายามคิดถึงมัน เพราะจะทำให้จิตมัวหมอง พอถึงเวลาตาย จิตมันจะรวมตัวได้เอง ในตอนนั้นใช้ เวลาตัดไม่นานนัก ก็จะไปนิพพานได้ วิธีตัดแบบนี้ ตรงกับที่ พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านโสณะ ในเล่ม 17 หน้า 53 ที่กล่าวมาแล้ว
    เราไม่ค่อย จะเชื่อสนิทกันนัก เพราะดูมันง่ายเกินไป ส่วนมากเราไปรู้กันว่า จะเป็นพระอรหันต์ ต้องตัดกิเลส คราวนี้ก็ ไล่กิเลสกันไปซี มีตั้ง 1,500 ตัว ไอ้ตัวนั้น จะตัดยังไง ตัวนี้ จะตัดยังไง ไล่จิตกันไปตั้ง 110 ดวง รู้สึกว่าทำอย่างนั้นก็คงจะไม่ผิด แต่เป็นการทำแบบลิดรอนกิ่งก้าน ไปทีละกิ่ง จนต้นใหญ่ตายไปเอง ส่วนวิธีนี้ เป็นแบบสายฟ้าแลบ โค่นต้นใหญ่ตึงเดียว กิ่งก้าน ตายไปเอง คือ
    เมื่อตัดความรักในร่างกายได้ พร้อมทั้งตั้งเจตนาไปนิพพานเลย ไม่ขอเป็นอะไรอย่างอื่นทั้งหมด กิเลสทั้งหลายมันจะหมดไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปไล่ตัดมันทีละตัว
    หลวงพ่อท่านแถมพกให้อีกหน่อยว่า ถ้าเราทำตัวดีมุ่งทางธรรมกันโดยแท้จริง หรือทำความดีกับพระศาสนาไว้มากๆ แล้วตอนใกล้ตาย พระท่านมักจะมาช่วยส่งเสริม คือ ช่วยให้ทำจิตได้ดีขึ้นด้วย เรื่องนี้เราก็ต้องเชื่อท่านไว้ก่อนตามระเบียบ เพราะยังไม่เคยตาย ที่เคยตามมาหลายแสนชาติ แล้วก็จำไม่ได้ว่าตายยังไง รู้แต่ว่า คงจะตายไม่ถูกวิธี เลยต้องเกิด อีกอย่างนี้แหละ
    สำหรับปัญหาข้อ 2 ที่ว่า ในนิพพาน จะมีความสุขไม่ได้ เพราะ ความสุขย่อมเป็นกิเลสนั้น มีคำตอบดังนี้
    เล่ม 13 หน้า 87 ทรงกล่าวถึงกามคุณ 5 คือ รูป (อันจะพึงรู้ได้ด้วยจักษุอันสัตว์ปรารถนารักใคร่พอใจเป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด) เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทรงกล่าวว่า "สุขโสมนัสอันใด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามคุณ 5 นี้ สุขและโสมนัสนี้เรากล่าวว่ากามสุข"
    "ดูกรอานนท์ เราไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำ ของผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเสวยสุขโสมนัสมี กามสุขนี้ เป็นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่า และประณีตกว่าสุขนี้ยังมีอยู่อีก"
    แล้วท่าน ก็อธิบายต่อไปว่า มีสุขที่เหนือกว่า กันเป็นขั้น ๆ ไปดังนี้ ปฐมฌาน, ทุติยฌาน, ตติยฌาน, จตุตถ ฌาน, อากาสานัญจายตนฌาน, วิญญา นัญจายนฌาน, อากิญจัญญายตนฌาน, เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และสัญญาเวทยิตนิโรธ สุขในฌานนี้ เป็นสุขไม่มีอามิส ไม่อาศัยตัณหา เพราะ ผู้เข้าฌาน ตัดกาม ฉันทะไปตั้งแต่ปฐมฌานแล้ว อาจเรียกชื่อว่า นิรามิสสุขได้
    เล่ม 13 หน้า 164 "ดูกร อุทายี กามคุณห้า เหล่านี้ กามคุณห้า เป็นไฉน คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันพึงรู้ด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนารักใคร่ ชอบใจ เป็นสิ่งน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด กามคุณห้านี้แลอุทายี ความสุขโสมนัสที่เกิด เพราะ อาศัยกามคุณห้านี้ เรากล่าวว่า กามสุข ความสุขไม่สะอาด ความสุขของปุถุชน ไม่ใช่สุขของพระอริยะอันบุคคล ไม่ควรเสพ ไม่ควรทำให้เกิดมี ไม่ควรทำให้มาก ควรกลัวแต่สุขนั้น
    ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม ลรรลุปฐมฌาน... จตุตฌาน ฌานทั้ง 4 นี้ เรากล่าวว่า ความสุขเกิดแต่การ ออกจากกาม ความสุขเกิดแต่ความสงัด ความสุข เกิดแต่ความสัมโพธิ อันบุคคล ควรเสพ ควรทำให้เกิดมีควรทำให้มากไม่ควรกลัวแต่ความสุขนั้นดังนี้ "
    ย้อนไปถึง ที่อ้างเล่ม 23 หน้า 383 ที่ท่านพระสารีบุตร บอกกับ ท่านอุทายีว่า นิพพาน เป็นสุขอย่างไรนั้น ทราบได้ด้วยการเข้าฌานต่าง ๆ ก็ตรงกัน
    เมื่อสรุปแล้วตอบได้ว่า สุขในนิพพานไม่ใช่กามสุข แต่เป็นสุขเนื่องจากการออกจากกามสุข เกิดแต่ความสงัด สุขเกิดแต่ความสัมโพธิ ซึ่งสุขเหล่านี้ไม่มีกิเลสตัณหาปน จึงเป็นสุขที่มิได้ เป็นความสุขที่ไม่มีกิเลส
    มีอยู่แห่งหนึ่ง ท่านบอกไว้คล้ายกับว่า ความจริง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุข (ควรใช้คำอื่น ?) แต่มนุษย์ ไม่รู้จักความรู้สึกอย่างนั้น จึงต้องอาศัยเรียกเป็นความสุข ซึ่งเป็นที่รู้จักของมนุษย์
    บางที ปัญหานิพพานสูญ หรือไม่สูญนี้ จะยืนยันได้ชัด จาก เล่ม 31 หน้า 455 "เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบ็ญจขันธ์ เป็นนิพพาน เป็นสุข ย่อมย่างลงสู่สัมปัตตนิยาม"
    และหน้า 456 "เมื่อพิจารณาเห็นเบ็ญจขันธ์โดยความเป็นของสูญ... เมื่อพิจารณาว่า ความดับแห่งเบ็ญจขันธ์เป็น นิพพานสูญอย่างยิ่ง....." ดังนี้จะเห็นได้ว่า นิพพานเป็นทั้งสุข และ สูญอย่างยิ่ง โดยทั้งสองอย่างนี้ มีรากฐาน มาจากการดับของขันธ์ 5 (ร่างกาย) ไม่ใช่ว่านิพพานแล้ว สูญหายไปเลย ตรงกันข้าม ท่านกลับ เรียกว่า อมตนิพพาน
    คำถาม เขาพูดกันว่า พระพุทธเจ้าสอนความสันโดษแล้วทำให้ขี้เกียจ
    คำตอบ นักวิชาการ สมัยใหม่ พูดเดาสุ่มส่งเดช โดยไม่เข้าใจความหมาย ของคำว่า สันโดษ นี่เป็นข้อบกพร่องสามัญของคนสมัยใหม่ ที่ชอบพูดไปโดยที่ตัวเองไม่รู้ ไม่เข้าใจ
    เล่ม 9 หน้า 80 "ดูกนมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นสันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาต เป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใด ๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร นกมีปีก จะบินไป ทางทิศาภาคใด ๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมาแล้วนี้ และภิกษุชื่อว่า เป็นผู้สันโดษ"
    ในที่อื่นมีกล่าวถึง "สันโดษด้วยภรรยาของตน" อีกด้วย สรุป ความหมายของสันโดษ คือ พึ่งตัวเอง ใช้ของตัวเอง ไม่ต้องไปรบกวน หรือเบียดเบียนคนอื่น ซึ่งไม่ได้บ่งว่า ให้ขี้เกียจเลย
    นักวิชาการ ไม่ได้คิดว่า พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ฆ่า ขโมย ผิดในกาม โกหก และกินเหล้าสิ่งเหล่านี้ "พุทธศาสนิกชน" ไม่ได้ปฏิบัติตาม เสียเป็นส่วนใหญ่ เหตุใดเขาจึงต้องปฏิบัติตามในเรื่องสันโดษ (หากสันโดษ แปลว่า ให้เกียจคร้าน) ด้วยเล่า เหตุใด จึงไม่กล่าวว่า ความเกียจคร้านเกิดจากอาการ เกิดจากสันดานซึ่ง ควรจะมีเหตุผลมากกว่า
    อันที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอน ไม่ให้เกียจคร้านโดยตรง และสรรเสริญความขยันอยู่แล้ว กลับไม่ยกมาแสดงมาใช้
    เล่ม 25 หน้า 317 ผู้เสื่อมได้แก่ผู้เกียจคร้าน
    เล่ม 23 หน้า 257 อุฏฐานสัมปทา เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน
    เล่ม 32 หน้า 7 "ท่านทั้งหลาย เห็นความเกียจคร้านโดยเป็นภัย และเห็นความเพียรโดยความเกษม แล้ว จงปรารถความเพียร นี้เป็นอนุสาสนีของพระพุทธเจ้า"
    เล่ม 16 หน้า 312
    "พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะผมดังนี้ว่า โมคคัลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ปรารภความเพียร ด้วยตั้ง สัตยาธิษฐานว่า จะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เลือด และ เนื้อในร่างกาย จงแห้งไปเถิด ผลอันใดที่จะพึงบรรลุได้ ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษยังไม่บรรลุผลนั้นแล้ว จะหยุดความเพียรเสีย เป็นอันไม่มี"
    จะเห็นได้ว่าท่าน ทรงตำหนิความเกียจคร้านว่า เป็นภัย และสอนให้ขยัน เห็นอยู่โต้ง ๆ ไม่รู้จักศึกษาและด้วยความโง่ของตนเอง กลับไปโทษว่า สันโดษทำให้เกียจคร้าน
    เท่าที่คุณเสริม ศึกษาตำรามาถ่ายทอด แก่คุณอ๋อยนี้ พอดีตรงกับที่หลวงพ่อ ท่านสอนว่า พระไตรปิฎกนั้น ถูกต้องอยู่แล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหลักสูตรการปฏิบัติ เพื่อเป็นพระอรหันต์นั้นมี อยู่อย่างบริบูรณ์ ดังนั้น คุณอ๋อยก็ขยับจากขั้นรู้ งู ๆ ปลา ๆ ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
    พวกปริยัติมักศึกษาทำความเข้าใจตำราอย่างเดียว บางทีก็ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก เพราะจับความยาก ชอบไปอ่านตำราที่ใครต่อใครแต่งขึ้นให้อ่านง่าย ๆ แล้วนับถือตำรานั้น ๆ ว่า เป็นตำราดี ซึ่งความจริง เขาอาจจะแต่งผิดก็ได้ เคยเห็นมาหลายรายแล้ว เป็นพระดัง ๆ แล้วสอนแข่ง กับพระ พุทธเจ้า การอ่าน แต่ตำ รา (พระไตรปิฎก) ซึ่งลึกซึ้งนั้นไม่ได้ผล ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจที่แจ่มแจ้ง
    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ในเล่ม 9 หน้า 255 ว่า "ดูกรกัสสป มรรคามีอยู่ ปฏิปทามี บุคคลปฏิบัติ ตามแล้ว จักเห็นเอง ว่าพระสมณโคดมกล่าวตามกาล กล่าวจริง กล่าวอรรถ กล่าวธรรม กล่าววินัย"
    ที่เรียกว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม พวกปริยัติ คือ พวกอ่าน แต่ตำรา แล้วไม่ปฏิบัติ เมื่อไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ " เห็นเอง " นั่งตีความกันไปมา ลงท้าย มาเถียงกับพระไตรปิฎก หาว่า พระไตรปิฎก คลาดเคลื่อน การตีความจากการอ่านหนังสือนั้น ไม่มีทางเป็นผลได้ เพราะเป็นการใช้ปัญญาของคนธรรมดาไปเทียบกับ พระปัญญาของพระพุทธเจ้า ซึ่งห่างกันลิบลับอยู่แล้ว แต่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีญาณทัสสนะด้วย จึงจะเข้าใจได้ เพราะพระธรรมของท่านได้จากญาณทัสสนะด้วย
    เล่ม 12 หน้า 115 " ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแลพึงว่า ซึ่งเรา ผู้รู้ อยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณ ทัสสนะอันวิเศษ พอแก่ความเป็นอริยะของพระสมณะโคดมไม่มี พระสมณโคดมแสดงธรรมที่ประมวลด้วย ความตรึกที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจาเสีย ไม่ละความคิดนั้น เสีย ไม่สละคืนทิฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก "
    เป็นอันว่า ความสงสัยต่าง ๆ ในพุทธศาสนาของคุณอ๋อยก็หมดไป เกิดความมั่นใจเข้ามาแทนที่ เมื่อได้พบหลวงพ่อผู้ทรงคุณ ทั้งปริยัติและปฏิบัติ และสอนไปในแนวเดียว กับพระไตรปิฎก ก็เกิดความศรัทธา นิมนต์มาจำวัดที่บ้านทุกเดือน เพื่อแสดงธรรม ได้จัดกุฏิให้ต่างหาก มีหลังคาแยกเป็นเอกเทศ เพื่อนฝูงที่มาฟัง ก็ชักชวนเพื่อนฝูงต่อ ๆ กันไป พวกที่มีความศรัทธา จากหนังสือที่อ่าน มากขึ้น ๆ จนสถานที่ไม่พอต้อนรับ จึงได้จัดการขยายบ้านถึง 4 ครั้ง และอนุญาตให้คนที่มีศรัทธา เข้าไปนมัสการหลวงพ่อเพื่อฟังธรรมได้
    ตัวคุณอ๋อยเอง ทีแรกก็ถือศีล 5 เป็นปกติ หนัก ๆ เข้าก็ถือ แบบอุกฤษณ์ตัวตายดีกว่าศีลขาด วันพระรับศีล 8 แล้วก็ขยายมาเป็นไม่กินข้าวเย็น แล้วขยายมาเป็นถือศีล 8 อย่างถาวร จนกระทั่งอาการป่วยมีมากขึ้น ได้ดำเนินการไปอีกขั้นหนึ่ง คือ ยกบ้านให้หลวงพ่อรับภาระไป สำหรับใช้ในการศาสนา
    พุทธบริษัท ในคณะเดียวกัน กับคุณอ๋อยทุกคน เว้นจากพวกพุทธภูมิ ที่ไม่ยอมลาออก ต่างก็มุ่งไป นิพพาน ทุกคนในชาตินี้ ตามคำที่หลวงพ่อสอนว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา ให้ตัดใจ ทิ้งมันไปเสีย แค่นี้ก็ เข้านิพพานได้ หากปฏิบัติจริง ๆ จัง ๆ ในบางครั้ง หลังจากนั่งกรรมฐานหลวงพ่อ จะแจ้งให้ทราบ ตามคำที่พระท่านมาบอกว่า มีหวังไปได้สำเร็จมากรายด้วยกัน ทำให้เกิดกำลังใจ ขึ้นอีกมาก
    หลวงพ่อบอกว่า บ้านคุณอ๋อยเคยเป็นวัดเก่า ๆ (ตรงกับหลวงปู่อื่น ๆ หลายองค์) ที่นี่มีพระสำเร็จอรหันต์ 1 องค์ชื่อ แสง ถือกันว่า เป็นเจ้าสำนัก ดังนั้นบางคราว จึงเรียก บ้านคุณอ๋อยว่า "วัดหลวงตาแสง"


    <!-- #EndEditable --></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  3. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="578"><tbody> <tr> <td colspan="3" valign="top"> <table class="webbody" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" height="33" width="749">
    คุณอ๋อยกับเสด็จพระองค์หญิง<!-- #EndEditable -->​
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td height="206">
    </td> <td colspan="3" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--> <tbody> <tr> <td valign="top"><!-- #BeginEditable "detail" -->
    เสด็จพระองค์หญิงวิภาวดีรังสิต เจ้าของนามปากกา ว.ณ. ประมวญมารค อันเลื่องลือ ได้เบนวิถีของท่าน มาพบกับคุณอ๋อยเมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 โดยพี่ปุ๊หรือแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์ แจ้งมาว่า มีพระประสงค์จะมานมัสการหลวงพ่อที่บ้านคุณอ๋อย
    ความจริงคุณอ๋อย พบกับท่านมานานแล้ว ในทางหนังสือ คือ อ่านหนังสือของท่านแทบทุกเล่ม แต่ไม่เคยพบพระองค์จริง
    เมื่อ 1 องค์ กับ 1 คนมาพบกันเข้า ก็รู้สึกว่า สัมพันธภาพจะดำเนินไปด้วยดี อย่างรวดเร็ว เพราะช่างพูดด้วยกัน และใจซื่อด้วยกัน ประกอบกับ ความไม่ถือพระองค์ของเสด็จ ดังนั้น จึงมักจะแวะมาคุยที่บ้าน คุณ อ๋อย บ่อย ๆ เวลาคน จะตามหาพระองค์ท่าน บางทีก็โทรศัพท์มาพบที่บ้านนี้ เสด็จ ฯ รับสั่งว่า พวกนี้ ชัดรู้แกวเสียแล้วว่า หญิงหลบมุมมาอยู่นี่
    บ้านคุณอ๋อยอุทิศเป็นบ้านฟังธรรม ไม่มีห้องรับแขก เพราะสร้างห้องรับแขกทีไร ก็กลายเป็นห้องฟังธรรม เสียทุกที ดังนั้นเวลาเสด็จมา ก็รับเสด็จกัน บนพื้นธรรมดา คือ บนเสื่อ หรือบนพรม บางทีก็เลยบรรทมลง ไปอย่างนั้นแหละ ทรงเป็นกันเองกับบ้านนี้ อย่างรวดเร็ว บางทีก็ถาม คุณเสริมว่า " พี่เสริม ทำอย่างนี้ได้ไหม " แล้ว บรรทมหงายหลัง ยกพระบาทชี้ฟ้า ทำท่าถีบจักรยาน พวกลูก ๆ ของคุณอ๋อย ก็รักเสด็จกันทุกคน
    ในโอกาสหนึ่งทรงพบกับหลวงปู่ธรรมไชย แห่งวัดทุ่งหลวง ท่านก็ทรงขอให้หลวงปู่ตรวจพระโรค หลวงปู่ก็บอกว่า ตาที่เป็นต้อนั้นรักษาหาย ไม่ต้องผ่าตัด จะหายใน 27-28 วัน แล้วหลวงปู่ก็ให้ยาและน้ำผึ้งมนต์ สำหรับหยอด กับทำยาเพิ่มไฟตา หรืออะไรสักอย่างเสด็จ ฯ ก็ทรงปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด จะไปเมืองนอกก็เอาไปด้วย ระหว่างเสด็จประเทศอังกฤษครั้งสุดท้าย ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงคุณอ๋อย 2 ฉบับ

    Hotel Zurich
    วันที่ 17 มิถุนายน 19 ​
    คุณอ๋อยที่รัก
    ลูกศิษย์หลวงพ่อคนนี้ (คือหญิง) ออกจะอาการไม่สู้จะดี ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศ เมื่องฝรั่งเสียเลย เวลานี้อยู่โฮเต็ล ที่หรูที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซูริค วิวสวยที่สุด ก็ไม่ชอบ บอกตัวเองว่า "ไม่เที่ยง" ท่าเดียว ห้องหรูหราก็ไม่ชอบ กระจกเดินหันหลังให้ตลอดเวลากลางคืน ครั้นต้องไปกินเลี้ยงก็กินไม่ลง อย่างดีซุป ก็จะจุกแอ้ด ๆ จะถืออุโบสถศีลท่าเดียว เช้าก็ตื่นเสียหัวไก่โห่ ทั้ง ๆ ที่เมืองฝรั่ง (โฮเต็ลหรู ๆ ) เขาตื่นสายกัน อาหารเช้าต้องราว 2 โมง ไอ้เราก็อยากกินแต่โมงเช้า ! เขาคุยกันว่า หน้าร้อนนี้ ต้องไปตกปลา ที่โน่นที่นี่ หญิงก็อยากจะห้ามว่า ฆ่าสัตว์บาป ! แต่ไม่ได้ห้ามดอก เพียงแต่นึกในใจแล้วก็ปลง พรุ่งนี้จะออกเดินทาง ต่อไปเจนีวา ท่านชายจัดการ ให้รถยนต์มาคอยอยู่ ในวันที่เราเดินทางมาถึง แล้วต่อไป ก็ไปฝรั่งเศส และอังกฤษ
    การปฏิบัติไม่สู้จะสำเร็จ มีนายคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ แล้วแม่หลานยายก็ติด (เอามาด้วย) เรียกยายทั้งวัน
    ที่ต้องเขียนถึงคุณอ๋อย ก็เพราะ ท่านชายอนุญาตให้เงินจำนวนหนึ่ง ไว้สร้างกระต๊อบน่ารัก ๆ ไว้ที่วัด หลวงปู่ธรรมไชย คุณอ๋อย กรุณาเรียนหลวงปู่เลย ให้ช่วยสร้างเรือนเล็ก ๆ แบบพื้นบ้าน ใต้ต้นไม้ใหญ่ใบหนา มีห้อง 2 ห้อง เล็ก ๆ กับห้องเก็บของเล็ก ๆ และมีนอกชาน อ้อ ถ้ามีห้องน้ำ (มีตุ่มน้ำ ส้วมซึม) สักห้องเป็นพอ หญิงจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนประวัติหลวงปู่ และ เวลาว่าง เพื่อความสงบสบายใจ กลับไปนี่จะเอาเงิน ไปถวายค่ากระต๊อบของหญิง เฟอร์นิเจอร์ไม่ต้องมี หญิงจะนอนกับพื้น และถ้ามีชั้นไว้ใส่หนังสือก็พอ กลับจากเมืองนอก ก็ต้องไปปักษ์ใต้ จากปักษ์ใต้ จึงจะขึ้นไปดู การสร้างกระต๊อบ หญิงแดงอยากได้เร็ว ๆ เดือนพฤศจิกายนจะได้ไปอยู่ คุณอ๋อยต้องมาด้วยกันนะคะ
    เรียนหลวงปู่อีกอย่างว่า ตาดีขึ้นมาก อ่านหนังสือ (ข้างที่เคยมัวหนัก) ก็ได้ กำลังรอให้ครบเดือนจะหายตามหลวงปู่สั่ง วันที่ 23 ยายทิพา จะไปหาหลวงปู่พาคนไข้ไปหา ถ้าคุณอ๋อยมีข่าวอะไรถึงหญิง เขียนฝากมานะคะ แกจะออกเดินทาง วันที่ 24 และจะพบกับหญิง ที่ลอนดอน ในวันที่ 26 หรือ อะไรพวกนี้ แล้วแต่นาย (ม.จ. ปิยะ) จะสั่ง
    ฝากกราบหลวงพ่อหลวงปู่ด้วยค่ะ
    วิภาวดี
    ป.ล. กรุณาพูดกับคนรถที่ขับรถพาเราไปวัดท่าซุงวันก่อนด้วยว่า ช่วยหาคนรถให้ด้วย กลับไปจะขอจ้างเขาเลย
    อีกฉบับหนึ่ง เขียนจากอังกฤษดังนี้

    23 Walpole St.
    London S.W. 3
    วันที่ 24 กรกฎา 19 ​
    คุณอ๋อยที่รัก
    ท่านชาย และหญิง พาหลานขับรถ มาจากฝรั่งเศส ถึงบ้านเราที่ลอนดอนเมื่อค่ำวันที่ 2 นี้เอง จึงเพิ่งได้รับ จ. ม. ต่าง ๆ ที่ฝากทิพามา ขอบอกด้วยความยินดีว่า หลวงปู่รักษาตาหญิงหาย ก่อนปลายเดือนจริงๆ พอ วันที่ 27 ก็ร้สึกว่า มันใสจ้าขึ้นมา หมอตาต่าง ๆ จะต้องงงเต้กไปหมด กรุณาเรียนหลวงปู่ด้วยว่า ตาทั้ง 2 ข้าง เห็นดี แต่แสง เป็นสีคนละสีกัน ข้างดี (ข้างซ้าย) เป็นสีขาว ธรรมดา แต่ข้างขวา ออกเป็นสี คล้ายใส่แว่นตาสีชา แต่เมื่อหลวงปู่ให้ยาซึ่งหลวงปู่เรียกว่า ยาไฟตา หญิงก็รีบกิน และล้างตามคำสั่ง คงจะเป็นปกติในไม่ช้า
    หญิงได้ข่าวว่า หลวงปู่ท่านยังไม่มีกุฏิอยู่เลย ที่ วัดทุ่งหลวง ของท่าน ท่านอยู่ในวิหาร หญิงเลยอยากจะสร้างกุฏิถวายท่าน เป็นตึกหรือเรือนไม้ 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับท่าน อยู่กับเครื่องยา มีห้องน้ำชั้นล่าง เป็นห้องเปล่า ๆ สำหรับรักษาคนเจ็บ ส่วนเรือนของหญิงเป็นเรือนเล็ก ๆ ชั้นเดียว นอกนั้นจะชวนพรรคพวกไปด้วย เวลาหญิงไม่อยู่ก็ให้หลวงปู่ใช้ได้ เรือนหญิงขอให้อยู่ใกล้ ๆ กับหลวงปู่ อยากให้สร้างเสร็จที่จะไปเดือนพฤศจิกา
    หญิงคิดจะกลับ ก.ท. ราววันที่ 20 พอพักพอหายเหนื่อย อยากจะชวนคุณอ๋อยไปเชียงใหม่ด้วยกัน เพื่อไปดูที่ทางที่จะสร้างบ้าน 2 หลังนี้ งบประมาณ เป็นแสนก็ได้ เวลานี้หญิงสนใจแต่จะเข้าทำประโยชน์ กับพระอริยสงฆ์ทั้งปวง เพื่อช่วยให้ท่านช่วยคน และทำบุญเมืองฝรั่งนี้ เบื่อแทบสิ้นสติ ทนอยู่เพื่อปลง ๆ ไปงั้นเอง เพื่อนฝูงมี มากมาย จะทิ้งเขาปุบปับ ก็น่าเกลียด แกรู้ว่าหญิงมา แกก็เลี้ยงกันเสียจริง ๆ ดัทเชสอะไรต่าง ๆ
    หนังสือหลวงพ่อ หญิง edit ให้เสร็จ ไปเล่มแล้ว เล่มที่ยังไม่พิมพ์ คือ กรรมฐาน 40 นี่ก็ กำลังทำอยู่ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง ก็เอาออกเสียบ้าง และสำนวนคุย ก็ไม่น่าจะออกมา เป็นตัวหนังสือเท่านั้น ไม่ยากและชอบทำมาก ส่วนทางหลวงปู่ หญิงก็วางแผนจะเขียนประวัติท่านนี่แหละ ถึงคิดจะ ไปอยู่วัดเพื่อหาเวลาคุยกับหลวงปู่ (เวลาว่างก็จะปฏิบัติพระกรรมฐานตามที่หลวงพ่อสอน) รับรองว่าเรื่อง หลวงปู่จะฮิตใหญ่ คุณอ๋อย จะต้องขายสนุกเทียว โดยเฉพาะ ต้อจากตาหญิง ซึ่งหมอทั่วโลกรวมทั้งหมออุทัยกับหมอสำราญต่างก็รักษา และก็เห็นว่า ต้องรอจนกว่าจะแก่แล้วผ่า นี่กลับไปให้ส่อง คงงงพิลึก ไอ้ขาว ๆ ที่ปิดตาดำอยู่ก็หายไป ทุกคนจะเห็นด้วยตาเปล่าว่า ตา 2 ข้าง เหมือนกันแล้วต้อหายไปเฉย ๆ
    คุณอ๋อย ช่วยนัดหลวงปู่ นะคะว่า ราววันที่ 24 เราจะไปหา ไม่ต้องให้ท่านลำบาก เราไปอยู่รินคำได้ พอดูที่ทางแล้ว ก็จะให้ลงมือสร้างได้พร้อมกันทั้ง 2 หลัง ว่าแต่หลวงปู่จะให้สร้างแน่ไหม หญิงกลับจากเชียงใหม่ ก็จะวิ่งไปเฝ้าที่นราธิวาส และเพื่อตามเสด็จสงขลา หลังวันที่ 12 คือ ทรงบรรจุพระบรมธาตุ อยากจะชวนหลวงพ่อ หลวงปู่ไปทอดผ้าป่าพ่อหลวงจ้อย จะได้หมดหนี้สิ้นเสียที หญิงให้ท่านรอง วางแผนเรียบร้อยแล้ว ราวกลางเดือนสิงหา
    มีข่าวอะไรตอบด่วนค่ะ ลูกชายคุณยุทธศิลป์เป็นยังไงบ้าง ขอบใจหลานและทุกๆ คนที่ทำยาให้
    รักและคิดถึงจาก
    วิภาวดี

    เรื่องราวไปอย่างไรมาอย่างไรคงไม่ต้องเล่ากันอีก เพราะใจความในลายพระหัตถ์แจ่มแจ้งดีแล้ว
    ประวัติหลวงปู่ธรรมไชยเป็นอันว่า ไม่ได้เขียน แต่ทราบว่า ทรงมอบบันทึกย่อ ไว้กับคุณทิพา ซึ่งหากมอบให้ใครก็คงจะเขียนได้ เท่าที่หลงมามีอยู่ในมือคุณอ๋อย มีอยู่อันเดียวคือ กรณีหลวงปู่รักษามะเร็งในเม็ดเลือด ดังนี้ (ลายมือผู้อื่นเขียน)
    ด.ช. ทรงแสง ครายศรี อายุ 7 ขวบ บุตรนางบุญโยง และนายถนอม ครายศรี ซึ่งนางบุญโยง ทำงานเป็นแม่ครัว และนายถนอม ทำงานเป็นคนขับรถ ใน พระราชวังสวนจิตรลดา ด้วยกัน ด.ช. ทรงแสง ครายศรี เริ่มป่วย บิดามารดาพาไปรักษาตัวที่ ร.พ. จุฬา เป็นคนไข้ของหมอดนัย (ไม่ทราบนามกุล) หมอตรวจพบว่า เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด และเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ระหว่างที่รักษาตัวที่ ร.พ. จุฬา อาการไม่ดีขึ้น คุณแม่ ของประเสริฐ และ คุณยาใจ (จำนามสกุลไม่ได้) อยู่เมืองชล ซึ่งทำงาน ที่เดียวกับ นางบุญโยง ได้แนะนำให้ไปรักษากับหลวงปู่ธรรมไชย หลวงปู่ตรวจชื่อเด็กชายพบว่า เป็นชื่อที่ขาดอักขระ จึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ เป็น ด.ช.อุ่นเรือน ครายศรี แล้ว ทำการรักษา ในระยะแรก ให้รับทานยาขับมะเร็ง ทำให้เกิดพุพองขึ้นตามผิวหนัง มีน้ำเหลือง น้ำหนอง ไหลออกมา อาเจียนมาเป็นเลือด จนมารดาคิดว่า ไม่รอดแน่ เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ อาการดีขึ้น แต่แผลตามผิวหนังหายไม่สนิท เธอพาลูกชาย กลับมากรุงเทพ ฯ แต่ยังคงรับประทานยาหลวงปู่ต่อไป ขณะนี้เวลาเวลาผ่านไปเดือนเศษ ลูกชายสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว
    สำหรับรายนี้ ได้พบอีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลาประมาณ 1 ปี หลังจากการรักษา สอบถามดูได้ความว่า เด็กมีอาการปกติ ไม่เคยต้องถ่านเลือดอีกเลย
    หลวงปู่ธรรมไชย ท่านมีของแปลก ๆ ติดตัวอยู่มาก วันหนึ่งท่านจัดเครื่องแต่งตัว ท่านก็ควักกล่องออกมาวาง ในนั้นมีตัวอะไรต่ออะไร ที่กลายเป็นหิน อยู่มาก เช่น ทากหินเป็นต้น พวกนี้ทำท่าจะกระโดดเกาะ ในขณะที่ หลวงปู่บำเพ็ญภาวนา หลวงปู่ก็ห้ามว่า อย่าเกาะนะ เดี๋ยวกลายเป็นหินนะ เขาก็ไม่ฟัง เกาะจนได้ แล้วเลย กลายเป็นหินไปจริง ๆ คราวหลังที่สุดมีหินมาใหม่อีกตัวหนึ่ง ขนาดกว้างประมาณ 4 ซม.ท่านเล่าว่า เห็นปูตัวนี้เดินอยู่ ก็ทักเขาว่า จะเข้าป่ารึ เขาก็หดแข้งหดขา แล้วเลยกลายเป็นหินไป นัยว่าพวกเหล่านี้ จะให้หลวงปู่เอาไว้ใช้ทำยาหรือใช้ในการรักษา
    เรื่องสัตว์กับคนรู้ใจกันนี้ น่าจะเป็นไปได้ ทางตำราเรียกว่า เจโตปริยญาณ อย่างเช่นที่วัดท่าซุง หลวงพ่อมีแมว 2 ตัว ชื่อเงินกับทอง วันหนึ่งหลวงพ่อมากรุงเทพ ฯ สั่งป้าอาดให้มาเลี้ยงแมว ให้คลุกข้าวด้วยปลาทู 2 ตัว เมื่อหลวงพ่อกลับไปวัด ป้าอาดบอกว่า แมวไม่กินข้าว หลวงพ่อบอกว่า แกเรียกเขาว่า "อี" ใช่ไหมล่ะ แล้วท่านก็ เอาข้าวที่มันไม่กินนั่นแหละไปให้กิน แมวมันก็กิน ถามหลวงพ่อดูว่า ทำไมท่านถึงรู้ ท่านตอบว่า เขาฟ้อง
    เรื่องสัตว์รู้ภาษาคน หรือจะเรียกว่า รู้ใจคนนี้ ก็มีทางเป็นไปได้ ที่บ้านคุณอ๋อย มีหมาชื่อ "มาดี" อยู่ตัวหนึ่ง แม่ตัวนี้เจอะหน้าหลวงพ่อ เป็นหลบวาบ ไม่ยอมมอง บางทีก็แอบค้อน อีกด้วย เวลาเรียกไม่ยอมไปหาเลย จะว่า กลัวพระหรือตื่นพระก็ไม่ได้ เพราะเวลาหลวงปู่คำแสนเล็กมา และจัดให้นอนในห้องพักของหลวงพ่อ เขากลับ ขึ้นบันได ไปหาไป ประจบ ประแจง คราวหนึ่ง ลูก ๆ คุณอ๋อยล้อว่า ตะกละกินมากเกินไปแล้วตัวอ้วนเชียว ทักเขา 2-3 วัน เขาเลยไม่ยอมกินข้าว เอาหมูเอาเนื้อเอาไก่ป้อนถึงปากก็ไม่กิน แม่ตัวนี้เขาถือวิสาสะ เข้ามาอยู่ในบ้านเอง อยู่ ๆ ก็เข้ามานอนบนตักโหน่ง เอาเฉย ๆ ไม่ทราบมาจากไหน แต่นี่ก็ไม่ใช่ ตัวแรก มากัน 3-4 ตัวแล้ว ไม่ใช่หมาแถวนั้นเสียด้วยเพราะไม่เคยเห็น
    นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เสด็จ ฯ ยังเห็นเรื่องอัศจรรย์ อีก 2 อย่าง คือ ตอนที่ท่าน ฝึกนั่งกรรมฐานครั้งแรก ท่านเล่าว่า เห็นหลวงพ่อปาน อยู่ตั้งชั่วโมง เห็นได้ ทั้งหลับตา และลืมตา ท่านก็เลยมุ ทำเป็นการใหญ่ ทำไม่ขาดด้วย แม้จะเสด็จไปปฏิบัติภารกิจ ในแดนกันดาร ต้องเหน็ดเหนื่อย ในเวลากลางวัน ต้องเขียน รายงานในตอนกลางคืน ดึกดื่น เสร็จแล้ว ท่านก็ไม่เว้นที่จะต้องนั่งกรรมฐานอีก
    อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่อง การเดินทาง ในคราวนั้น คุณอ๋อยกับลูก คือ หน่า กับหน่องเดินทางไปด้วย ในระยะหลังๆ นี้ จะเสด็จไปไหนมักจะชวนคุณอ๋อย คุณอ๋อยก็ไม่ขัด คราวที่กล่าวถึงนี้ เป็นการเดินทาง ไปบ้านแม่สาน อำเภอศรีสัชนาลัย หลวงพ่อเดินเท้าไม่ไหว เพราะเป็นการเดินขึ้นเขาลงห้วย คือ ลุยไปในห้วย หรือ ไต่ไปตามหินในห้วยจริงๆ ด้วย ดังนั้นจึงจัด ฮ. ให้นำหลวงพ่อไป หลวงพ่อท่านก็สั่งว่า เวลาเดินทางให้ท่องชื่อ ท่านทรงเดช เทวดาเจ้าของถิ่นไปด้วย จะได้เบาตัวและไม่เหน็ดเหนื่อย คณะเดินก็ปฏิบัติ ซึ่งปรากฏว่า เมื่อเที่ยวก่อน เสด็จฯ เคยใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง คราวนี้ กลับใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 ชั่วโมง ขากลับก็เช่นกัน
    คราวที่ไป สิ้นชีพิตักษัย ที่สุราษฎร์ธานีนั้น คุณอ๋อย ก็ไปด้วย ข่าว ฮ. ถูกยิง ทำเอาพวกที่บ้านใจหาย นึกว่า ตามเสด็จไปเสียแล้ว แต่ปรากฏว่า ไม่ได้ไปกับ ฮ. และ โดยสารเครื่องบินมากับพระศพ ซึ่งหลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ ก็ลงข่าวว่า สัมภาษณ์ นางเฉิดศรี ณ นคร ภรรยา ผบ.ทบ. ผู้มีน้ำตาอันนองหน้าว่า อย่างนั้น อย่างนี้ คุณเฉิดศรีบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาถามอะไรนี่ ร้องให้ก็ไม่ได้ร้อง คุณเสริมบ่นว่า ย่องไปเป็นภรรยา ผบ.ทบ. ตั้งแต่เมื่อไหร่ ระวังคุณหญิงแสงเดือนท่านจะฉีกอกเอานะ
    เกี่ยวกับการสิ้นชีพิตักษัย ของเสด็จฯในครั้งนี้ มีคนต่อว่ามากว่า เสียแรงไ กับหลวงพ่อหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ทำไม เรื่องอย่างนี้จึงเกิดได้ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า คนจะตายเสียอย่าง จะไปห้ามได้ยังไง ความจริงเรื่องนี้ หลวงพ่อ ได้รับคำสั่งจากพระว่า อย่าแยกเครื่องนะ หลวงพ่อ ก็คอยระวังอยู่ แต่สำหรับท่านเอง ในวันนั้น ก็ เป็นวันมรณะ ท่านบอกว่า วันนั้นท่านจะยิง แล้วจะยิงออกเสียด้วย จะถูกที่ขาแต่เมื่อนัดกันแล้วก็ไป ตายก็ตาย ท่านกำชับว่า เมื่อถึงโรงเรียน ให้ลงให้หมดนะ ปล่อย ฮ ไปรับคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาลก่อน แล้วให้ขากลับมารอที่โรงเรียนอีก แต่เสด็จแอบไปเสียกับ ฮ. โดยไม่บอกให้ทราบ ก่อนไปฝากโน๊ตถึงหลวงปู่ให้ช่วย หลวงปู่ก็ไม่ได้อ่าน เพราะไม่ได้เอาแว่นไป เลยไม่รู้เรื่องกัน
    พวกที่ไปด้วย มาเล่าในภายหลังว่า เมื่อ ฮ.ถูก ยิง ครั้งแรกก็รู้แล้ว ดังนั้นทุกคน ก็เข้าล้อมท่านหญิงไว้แต่ การยิงในระลอกสอง กระสุนสังหารนัดนั้น ทะลุท้อง ฮ. ถูกหัวรองเท้า นายตำรวจ แล้วแฉลบไปถูกเหล็กพนักที่นั่ง แล้วแฉลบเข้าด้านหลัง ของเสด็จฯ อีกทีหนึ่ง เรียกว่า ป้องกันยังไง ก็ไม่ไหว ถ้าหากคนจะตายเสียอย่าง
    ที่ว่าคนจะตายเสียอย่างนี้ มารู้ในภายหลังว่า เสด็จทรงจบกิจพระศาสนา ตั้งแต่ตี 2 ของคืนก่อน และเมื่อฆราวาส จบกิจพระศาสนาแล้วก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ ถึงพระอาทิตย์ตกในวันรุ่งขึ้น
    ตามคติของชาวโลก การตายเป็นของน่ากลัว น่าเศร้า น่าเสียดาย แต่สำหรับพระแล้ว การตายโดย เฉพาะตายเมื่อจบกิจพระศาสนา ก็ไปเสวยสุขในพระนิพพาน เป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นสองฝ่ายนี้ จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นคนละภาษาเลยที่เดียว
    เรื่องฆราวาสจบกิจ พระศาสนา คือ ตัดกิเลสได้นั้น หลวงพ่อเคยชักตัวอย่าง จากพระไตรปิฎกให้ดูหลายองค์ว่า จะมีนางผีเสื้อยักษ์ แปลงตัวเป็นโคแม่ลูกอ่อน มาขวิด ตายเสียเป็นส่วนมาก
    เคยมีผู้ตั้งปัญหา ถามหลวงพ่อว่า ทำไมฆราวาส สำเร็จอรหันต์จึงตาย แต่ทีพระทำไมอยู่ได้ หลวงพ่อตอบว่า เพราะ เพศฆราวาสบริสุทธิ์ ไม่พอ ครองความเป็นอรหันต์ไม่ได้ คำตอบนี้ ยังไม่เป็นที่พอใจ เพราะคล้ายๆกับจะแย้งได้โดยมีเหตุผลว่า ถ้าทำตัวอย่างพระแต่ไม่บวช ก็ควรจะได้อยู่ได้ซี
    นึกไปนึกมา แล้วยังมีอีกแง่หนึ่ง ที่น่าจะใช้อธิบายได้ คือ เมื่อบุคคล สำเร็จอรหันต์แล้ว ความจำเป็นที่จะทรงชีวิตอยู่ไม่มี ควรรีบไปอยู่นิพพานตามสภาพทันที หรือโดยเร็วที่สุด แต่ที่พระยังอยู่ได้นั้นก็เพราะ พระยังทำประโยชน์ แก่โลกได้ คือ อยู่เพื่อสอน กับอยู่เพื่อให้คนทำบุญ คนที่ทำบุญกับพระอรหันต์นั้น จะได้ผล ตอบแทนมากกว่าทำกับคนธรรมดานับล้านๆเท่า แต่ฆราวาสที่เป็นพระอรหันต์นั้นสอนใคร เขาก็ไม่ค่อย เชื่อแล้วก็ไม่มีใครเขาทำบุญด้วย เพราะเห็นเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระ ถ้าอยู่ไปกลับจะเป็นอันตรายแก่ชาวบ้าน เช่น ค่อนขอด ด่าว่า ล่วงเกิน ถ้าเป็น ญาติผู้ใหญ่ เป็นนายจ้าง เขาก็จะใช้งานท่าน แล้วเลยลงนรกไปเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ฆราวาสที่เป็นอรหันต์จึงกล่าวได้ว่าไม่มีประโยชน์กับใครอีกแล้ว ไปนิพพานดีกว่า คำอธิบายนี้รู้สึกว่า พอจะไปได้ แต่จะถูกหรือไม่ถูกไม่ทราบ
    สำหรับท่านหญิงนั้น คนที่ไม่ค่อยจะทราบประสบการณ์ทางศาสนาของท่าน อาจจะนึกว่าเป็นไปได้รึที่เสด็จ ฯ จะจบกิจพระศาสนา แต่ตามจดหมาย ถึงคุณอ๋อยนั้น แสดงว่า ท่านก้าวหน้าไวมาก หลวงพ่อเคยบอกว่า พระอนาคามีนั้น จะถือศีล 8 เอง โดยอัตโนมัติ ในจดหมายท่าน ก็รับสั่งท่านอยากจะถือ 8 ท่าเดียว เช่นนี้ ควรแสดงว่า ท่านใกล้แล้ว นอกจากนี้ สำหรับผู้ใกล้ชิดจะเคยได้ยินท่านทรงกล่าวเสมอว่า ทรัพย์สมบัตินั้น ท่านเลิกกังวลมานานแล้ว เมื่อมาได้รับคำสอนถูกทาง ได้มีศรัทธาเพิ่มเติม จากประสบการณ์ เกี่ยวกับหลวงพ่อและหลวงปู่ ก็อาจเป็นได้ว่าท่านจะสามารถตัดไปได้เลย
    ความจริงจะเป็นอย่างไร คนธรรมดา ไม่สามารถทราบได้ แต่อย่างไรก็ดี ขอเตือนให้ระลึกว่า ที่หลวงพ่อชี้แจงมานี้ เป็นการชี้แจงแก่ศิษย์ใกล้ชิด เพื่อการศึกษา โปรดอย่าเข้าใจว่า หลวงพ่อประกาศแก่คนทั่วไป ประเดี๋ยว จะไปหาว่า ท่านโฆษณา ตัวเองเข้าอีก แล้วข้าพเจ้าผู้เขียน จะพลอยเป็นจำเลยไปด้วย แต่โดย เฉพาะศิษย์วงในแล้ว เสด็จฯ นับเป็นองค์แรกในบรรดาพวกเขา ที่แสดงให้เห็นว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอน ให้ทำจิดนี้ ทำได้สำเร็จจริง เป็นการเพิ่มพูนกำลังใจ แก่ผู้ที่อยู่ กำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังมาก ความมุ่งมั่นในพระนิพพานก็แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกมาก

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  4. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="578"><tbody> <tr> <td colspan="3" valign="top"> <table class="webbody" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" height="33" width="749">
    คุณอ๋อยกับความเจ็บป่วย<!-- #EndEditable -->​
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td height="206">
    </td> <td colspan="3" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--> <tbody> <tr> <td valign="top"><!-- #BeginEditable "detail" -->
    เมื่อประมาณปี 2516 คุณอ๋อยบังเอิญคลำพบก้อนเนื้อเป็นไตแข็ง ที่อกข้างขวา ดังนั้นจึงไปตรวจอาการ แล้วให้หมอทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ คุณหมอบุญเกตุ ผ่าออกมา แล้วส่งไปตวรจ เดี๋ยวนั้น ปรากฏว่า มีเชื้อมะเร็ง เลยตัดออกหมดทั้งข้าง ตามวิธีการของหมอ ตัดแล้วให้เข้ารับการรักษาด้วยรังสี ครบตามขนาด กินเวลาประมาณ 1 เดือน ต่อจากนั้นหมอสั่งให้หมั่นไปตรวจอาการเสมอๆ
    ต่อมาไม่นานนัก เมื่อเห็นว่า อาการของมะเร็ง ปรากฏให้เห็นเช่นนี้แล้ว จะปล่อยมดลูก รังไข่ ซึ่งมีอาการไม่ดี คือ มีโลหิดออก ในบางคราว เอาไว้คงจะไม่น่าไว้ใจ ดังนั้น จึงเข้าโรงพยาบาลเดิม ผ่าตัดเอาออกไปเสียอีก คราวนี้สามารถกลับบ้านได้ในเวลา 3 วัน
    หลังจากผ่าตัด อาการอื่นๆ ก็เป็นปกติ เว้นแต่ แขนขวา ซึ่งมักจะบวมเป่ง เนื่องจาก ท่อทางถูกตัดไปของเหลวต่างๆ ไม่มีทางหมุนเวียน คงจะคั่งตัวกัน นอกจากนี้แล้ว อาการอื่นๆก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากว่า ถ้าใช้แขนขวาแล้วมักจะเจ็บชายโครง
    เวลาผ่านไปประมาณ 4 ปี พวกที่เข้าผ่าตัดมะเร็ง ในระยะใกล้เคียงกันต่างไปหมด แต่คุณอ๋อยไม่เป็นไร ทำให้ใครๆคิดว่า พ้นเขตอันตรายเขตอันตราย เขาว่ากันว่า ถ้า 5 ปีไม่เป็นไรก็แปลว่า ปลอดภัย
    พอเริ่มวางใจ คุณอ๋อยเกิดมีอาการ เจ็บปวดแสบปวดร้อนภายในอก แล้วก็มีตุ่มใสๆ ที่ผิวหนังอกหน้าเดิม ที่ตัดออกไป คุณอ๋อยคลำไปคลำมา พบก้อนเนื้อแข็ง ในร่องกระดูก ไหปลาร้า การเจ็บปวดแสบปวดร้อน จากภายในเหมือนเอาไฟไปเผานี้ ภายหลังจากออกมาเป็นตุ่มแล้วคล้ายกับว่า ทุเลาลง เหมือนกับเอาพิษ มาทิ้งข้างนอก แต่ความเจ็บเพิ่มขึ้นทุกที จนแทบทนไม่ได้
    คุณเสริม แอบถาม ท่านผู้มีฌาน ขอให้ติดต่อลุงพุฒิดูว่า หมดอายุขัยหรือว่า อุปฆาตกรรม ถ้าเป็นอุปฆาตกรรมจะผ่อนกรรมอย่างไร คือเจ้ากรรมเขาต้องการอะไร ท่านตอบว่า เป็นอุปฆาตกรรม หากผ่านคราวนี้ ไปได้จะมีอายุต่อไปได้อีก 40 ปี ความจริง เรื่องการเป็นการตายนี้ ลุงพุฒิบางที ท่านก็บอกผิดๆมาให้ คือ บอกมาว่า ไม่ตายแต่ตายเสียก็มี สำหรับคราวนี้สั่งให้ถวายสังฆทาน แล้วเผาหุ่นกระดาษ ชื่อคุณอ๋อย ( ซึ่งหลวงพ่อเคยล้อว่า หลอกเทวดา ) คราวนี้พอไปที่วัด เรียนหลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า พระท่านมาสั่ง ให้ทำพิธีบังสกุลตาย บังสกุลเป็นด้วย เป็นอันว่า ทำพิธีกันเสร็จไป หลวงพ่อบอกว่า ต่อไปนี้เทวดาชื่อ มณีรัตน์ ท่านขอยืมร่างใช้หน่อยนะ จะทำอะไรให้บอกท่านด้วย
    พอกลับบ้าน ก็รู้สึกว่า มีอาการขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวไข้ร้อนสูงจัด เดี๋ยวก็หาย ลองปรึกษาหลวงตาแสงดู ท่านบอกให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว อาจเป็นการทำเคล็ดก็ได้ เลยย้ายไปอาศัยอยู่บ้าน คุณอำไพ พวงทอง ที่อยู่ในบริเวณรั้วเดียวกับ คุณปิ่น พวงทอง มารดา มีหมอยุวดีอยู่ด้วยคนหนึ่ง อยู่บ้านนี้ดีเหลือหลาย อยู่ก็ฟรี กินก็ฟรี มีหมอประจำ บางทีคุณปิ่นก็ซื้อรังนกมาช่วยบำรุงเสียอีกด้วย
    คุณอ๋อย ปรารภว่า บ้านนี้มีบุญคุณท่านเท่าชีวิตทีเดียว อยู่มาได้ 2 เดือนกว่า โดยคุณอำไพ ช่วยดูแล ในเรื่อง การรักษาทางพลังจิตด้วย อาการก็ยังทรงๆทรุดๆ เห็นว่า ถ้าขืน อยู่นานเกินไป จะไม่เป็นการสมควร ก็เลยย้ายกลับมาอยู่บ้านเดิม คราวนี้ตุ่มต่างๆมีมากขึ้น แต่ที่ทำความปวดจริงๆที่แขน ที่บวมเป่งกับความเจ็บที่ท้องด้านซ้ายบ้างขวาบ้าง พอประมาณ ซึ่งทำให้หาท่านอนที่ถนัดได้ยาก ความเจ็บที่แขนนั้น ในบางคราวมีมากจนขนาดที่ว่า คุณอ๋อยสั่งฝากไปถึงหลวงพ่อ ขออนุญาต ให้หมอฉีดยาให้ตายไปเสีย หลวงพ่อ ตอบว่าไม่ได้ ยังไม่จบกิจ ห้ามหนี แม้พระอรหันต์ จบกิจพระศาสนา สามารถหนีได้ ท่านก็ยังไม่หนี อย่างนี้ เสียชื่ออาจารย์หมด ให้เอาความเจ็บนั่นแหละ เป็นวิปัสสนา พิจารณาความทุกข์ของขันธ์ 5 ไป
    แผลที่หน้าอก ในตอนหลังตุ่มต่างๆ ก็เป็นสะเก็ด แล้วลามถึงกันหมดขนาดเท่าฝ่ามือเห็นจะได้ เมื่อหลวงปู่ธรรมไชยามาเยี่ยม ท่านก็พ่นหมากให้ และทำแผลทาขี้ผึ้งให้ รู้สึกว่า อาการ เจ็บภายในคลายตัวลงไป ถามหลวงพ่อ หลวงปู่ท่านก็บอกว่า หายไม่เป็นไร หลวงพ่อบอกว่า ตายไม่ได้จะเอาไว้ใช้งาน เหล่านี้พวกศิษย์ ก็ทราบว่า เป็นคำ ปลอบใจ เพราะ เมื่อคราวจ่าพัวที่เป็นมะเร็ง เหมือนกัน ท่านก็ตอบว่า หายไม่เป็นไร แล้วก็ตาย (คุณอ๋อยเองก็ออกปากในเรื่องนี้) แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นการช่วยกำลังใจบ้าง ไม่ ให้ใจเสีย เหมือนคำตอบว่า ตายแน่ๆ อย่างนี้ท่านไม่ถือว่าเป็น มุสาวาท เพราะมุสาวาท ต้องมีส่วนที่จะเอาประโยชน์ทางลาภผลหรือตัดประโยชน์ทางลาภ ของผู้อื่น เป็นจุดสำคัญ
    ระยะต่อมา อาการหายใจ รู้สึกว่า ไม่สะดวก หายใจไม่เข้าไม่ออก คือ หายใจตื้นมาก หมอกระซิบ บอกว่า อย่างนี้ เป็นสัญญาณว่า ไปถึงปอดแล้ว จะขึ้นสมองในเร็ววัน แล้วก็จะเป็นวาระสุดท้าย ในตอนนี้ มีแขกมาเยี่ยมมากขึ้น เพราะ ข่าวการเจ็บป่วย ค่อย ๆ กระจายออกไปทุกที วันหนึ่ง เมื่อช่วยกันหาม คุณอ๋อยลงมาข้างล่าง เพื่อให้ชมห้องฟังธรรม ที่เพิ่งปูพรมอัดสีแดงเสร็จ ไหน ๆ ลงมาแล้ว หน่า (ลูกสาว) ก็เลยจัดห้อง ให้นอนเสียข้างล่าง เรื่องห้องน้ำก็ใช้วิธีต่อที่นั่งส้วมเข้าสะดวกสบายดี หนุ่ยกับหน่า ช่วนกันชะแผลเช้าเย็น ตอนกลางคืน โหน่งกับหน่า ผลัดกันนอน ทำหน้าที่พยาบาล นับว่า ดีกว่าอยู่โรงพยาบาล ซึ่งคงไม่มีทางทำอะไรดีกว่านี้
    ใครต่อใครที่ทราบข่าว ก็ช่วยกันเป็นการใหญ่ คุณละม่อม คุณอรรณพ ช่วยพยาบาลด้วยพลังจิต คุณชวาล ใช้วิธีกระตุ้นประสาท ได้ผลดีเหมือนกัน คุณหมอวีรวรรณ คุณหมอยุวดี คุณหมอแวววิทย์ ช่วยกันจัดน้ำเกลือบ้าง วิตามิน และอาหารที่ให้ทางเส้นเลือดบ้าง มาจัดการให้ด้วยตนเอง บางคนก็บอกยาไทย ที่รักษาโรคมะเร็งได้เด็ดขาด มีพยานทุกรายว่า หมอปัจจุบันบอกว่า หมดหวังแล้วทั้งนั้น แต่กลับหายได้ แต่คุณอ๋อย รักษาด้วยยาของหลวงปู่ธรรมไชยอยู่ จึงได้แต่ขอบคุณ ความหวังดี ของท่านเหล่านั้น คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค สามีของท่านคือ ดร. เดือน บุนนาค ป่วยเดินไม่ได้จะไปไหนต้องให้นั่งรถเข็น อุตส่าห์จัดการเอารถนั่งเข็นมาให้ สำหรับไปนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์หน้าบ้าน นับว่าเป็นความกรุณาอย่างที่สุด
    เมื่ออาการหายใจสั้นเข้า ๆ คราวนี้ก็นับว่า ถึงวาระที่จะต้องใช้อ็อกซิเจนช่วย คุณหมอยุวดีจัดแจงหอบมา จากโรงพยาบาลพร้อมมิตรเสร็จสรรพ ถ้าหมด ก็เปลี่ยนมาจากโรงพยาบาลนี้ และในเมื่อต้องฝ่าจราจร เป็นการเสียเวลามาก พล.อ.ต. เทอญ สุขขะเนนย์ รองเจ้ากรมแพทย์ ทอ. ก็กรุณาให้ยืมมาครั้งเดียว 7 ท่อ นับเป็น ความกรุณาอย่างบอกไม่ถูก
    คราวใด ที่เข้าที่คับขัน คือ อาการหนัก หลวงปู่ธรรมไชย หลวงปู่คำแสน หลวงปู่วงศ์ จากชียงใหม่ ลำพูน ไม่ทราบท่าน ไปมายังไง มาถึงในเวลาไล่ ๆ กัน ท่านก็มา ช่วยไล่โรคบ้าง เป่าคาถาบ้าง ผูกสายสิญจน์บ้าง ให้ทำพิธี บูชาธาตุบ้าง ทางสายหลวงพ่อ ท่านก็ขอยาจาก ท่านหินกอง มาช่วยสมทบ นับว่า ยานี้เน่าแล้วก็หาย
    แต่พิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องชี้ผลไปในทางไม่ดีเลย เช่น ท่านหินกอง ส่งผู้แทนลงมาบอกวิธีรักษา หน่ากำลังใช้ปากกาแดงอยู่ ก็จดด้วยปากกาแดง ปรากฏว่า ท่านเสี่ยงทายไว้ว่า สีเขียวรอด สีแดงตาย พิธีบูชาธาตุ ที่ขอให้หลวงปู่ธรรมไชย ทำให้ตามหลวงปู่คำแสน แนะนำ เทียนอายุ ทางด้านที่คุณอ๋อยนั่งไหม้ลงถึงโคนโดยเร็ว ในขณะที่ด้านอื่นไหม้ ไม่ถึงครึ่ง มิหนำซ้ำธงจำนวนเท่าอายุ ที่ปักในถาด ยังไหม้ไฟเสียอีกด้วย
    เดือนธันวาคม คุณอ๋อย หายใจลำบากมาก ก็เลยต้องสูบน้ำออก ตามกรรมวิธีของแพทย์ ในระยะ 1 เดือน ต่อมา คือ เดือนธันวาคม อาการดีขึ้นบ้าง สามารถถอดอ็อกซิเจนได้ประมาณ 2 อาทิตย์ และ พูดประโยคยาว ๆ ได้ หายใจได้ลึก คุณเสริม เตือนบอกว่า หลวงตาแสง บอกไว้ว่า จะทรุดลงอีก ในเดือนกุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้น ในตอนที่สบายอยู่นี้ ก็ควรรีบพิจารณาตัดไปเสีย ให้จบกิจพระศาสนา เพราะถ้าตัดได้ แล้วก็ตายในวันเที่ยวอย่างที่หลวงพ่อบอก จะสบายดีกว่า หากต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว ประเดี๋ยวจะคุมสติไม่ได้ ความจริงเรื่องความเจ็บป่วยนี้ ถามหลวงตาแสงท่านดูแล้ว ท่านบอกว่า ถ้าพ้นเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้ว จะอยู่ได้ แต่ท่านติงว่า เรือมันผุแล้วจะเอาไว้อีกหรือ ทรมานมากนะ
    ต้นเดือนธันวาคม หลวงตาแสง ให้ย้ายไปห้องหน้าบ้าน ที่เพิ่งต่อเสร็จ เพราะอากาศบริสุทธิ์กว่า คุณหมอ วีรวรรณ กรุณาให้ยืมเตียงคนไข้ที่เหลือใช้มา 1 เตียง ในตอนนี้คุณอ๋อย ยังดูเขาจัดปีใหม่เล็ก ๆ ภายในครอบครัวได้
    6 มกราคม เข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎ ฯ สูบน้ำ ออกจากปอด ครั้งที่ 2 คราวนี้ ต้องใช้ยาระงับหลายเข็ม ต่อจากนั้นมีอาการ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ต้องพยุงนั่งพยุงนอน ตามคำขอตลอดเวลา เพราะหาท่านอนที่สบายไม่ได้ โหน่งหน่ารับไม่หยุด ต้องจ้างพยาบาลพิเศษ เพื่อผ่อนแรง
    เช้าวันอาทิตย์ ที่ 8 มกราคม หมอวีรวรรณ มาเยี่ยมตอนเช้า เห็นมีอาการกระตุก บอกว่า จวนแล้ว ยังไม่เคยเห็น คนไข้ฟื้นจากอาการนี้ ดังนั้นพี่น้องทั้งหลาย และลูกหลาน ก็มารวมกันจัดดอกไม้ธูปเทียนยกพระพุทธรูปมาตั้ง เปิดเทปตอนสวดมนต์ไหว้พระให้ฟัง (ความจริงเทปคำสอนหลวงพ่อ ได้เปิดให้ฟังอยู่ตลอด เวลาที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว) คุณอ๋อยที่ดูว่า ไม่มีสติ กลับสามารถสวดตามได้ โดยเห็นริมฝีปาก เคลื่อนที่ตาม แต่ไม่มีเสียง ลูกหลานส่วนมากทำใจได้ และมักจะวางใจเป็นปกติ เพราะรู้ว่า ไม่รอดแน่ ถูกภาพนี้ เข้าก็ ตื้นตันน้ำตาเตรียมจะไหลอยู่แล้ว พอดีดาวหลานสาวคนโต เข้ามาเยี่ยม มาร้องไห้น้ำตาไหล คนอื่นเลยสกัดน้ำตาไม่อยู่ คุณอ๋อยกลับได้สติ พูดว่า "ดาว ยายยังไม่ตายหรอก" (อันนี้ดูเหมือนจะเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ความดี) แล้วปรากฏว่า ยังไม่ตายจริง ๆ อาการยังอยู่เช่นนั้น อาการหายใจกระตุกมีน้อยลง
    วันอังคารที่ 10 มกราคม หลวงปู่ธรรมไชย ผ่านมาจำวัดที่บ้าน 2 วัน ท่านช่วยรักษาเต็มที่ตามเคย ของท่าน ช่วยเสกน้ำมนต์ให้กิน ช่วยทำแผล ช่วยป้อนข้าว "แม่ นี่หลวงปู่ กินเสียนะ กินให้หมดนะ" ฯลฯ ท่าน เรียกคุณอ๋อยว่า แม่ และเรียกคุณเสริมว่า พ่อ จะเป็นธรรมเนียมของท่าน หรืออย่างไรไม่มีใครไล่เลียงดู แต่เห็นท่านเรียก อุบาสิกา ที่วัดว่า แม่ เหมือนกัน
    คุณอ๋อยยอมกินจนหมดเหมือนกัน แต่เวลาคนอื่นป้อนแล้วไม่กิน (ใช้กาแก้วป้อนอาหารเหลวและน้ำ)
    วันพุธ หลวงปู่ไม่อยู่ไปธุระตอนเย็น จึงได้กลับ ท่านกระซิบว่า ตอน 5 ทุ่มคืนนี้ คุณอ๋อยจะรู้ตัว ให้ทำพิธีขมากันเสีย ตอนตี 3 ครึ่ง ตี 5 ห้านาที และ 7 โมงเช้า จึงมีจังหวะที่จะตายได้ทั้งนั้น แต่ถ้ายังไม่ตายยังไง ๆ ก็ไม้พ้นวัน พฤหัสบดีที่ 12 เพราะวันพฤหัสบดีเป็นวันมรณะ ของคนเกิดวันเสาร์
    5 ทุ่มก็มาทำพิธีกัน หลวงปู่เป็นผู้นำ ทำพิธีขมาเสร็จ หลวงปู่ก็เทศน์ ใช้เวลาทั้งหมด ชั่วโมงครึ่ง คืนนั้นก็เดิน เข้า ๆ ออก ๆ กันอยู่ ม่ำกับตั้ว จะมาค้างด้วย คุณเสริมบอกว่า อย่าลำบากเลย กลับไปนอนบ้านเถอะ คงยังช่วยงานอะไรไม่ได้หรอก
    วันพฤหัสที่ 12 มกราคม 2521 เวลา 10.15 น. หนุ่ยเรียกคุณเสริมบอกว่า ไม่ดีแล้ว มีเสียงครอก และตากลับขึ้น ข้างบน ต่างก็ไปเฝ้าดู อาการกัน หนุ่ยบอกว่า หลังจากตากลับขึ้นข้างบนแล้ว ยังกลับมาจับที่ภาพพระอีกทีหนึ่ง แล้วหลับตาลงสนิท ต่อจากนั้น การหายใจก็ห่างออก ๆ บางคราวเกือบ 1 นาทีจึงหายใจครั้งหนึ่ง ดังนี้สัก 3 ครั้ง ก็หยุดหายใจไปเฉย ๆ โดยอาการสงบ คือ ไม่มีดิ้นทุรนทุรายอะไรเลย
    คุณเสริม และ ลูก ๆ บ่นด้วยความหนักใจ และเสียดายว่า ถ้า "ไป" เสียแต่เมื่อวันอาทิตย์ คงจะดีกว่ามาก เพราะวันนั้นมีสติ และจับที่พระตลอดเวลา แต่วันนี้ไป โดยไม่ฟื้นคืนสติเลย น่าจะทำจิตได้ไม่ถึงที่สุดกระมัง แต่อย่างไร ก็ยังคิดว่า หากไม่ถึงที่สุด ก็คงไปต่อข้างบน ประเดี๋ยวเดียวก็จบ ได้แน่
    ในตอนนี้ พี่ ๆ น้อง ก็เตรียมกันอยู่แล้ว คือ เรื่องตั้งศพ ก็เตรียมถามไปแต่เช้า ให้พิชิตชัย ไปติดต่อด้วยตัวเองที่ วัดพระศรี ฯ เขาก็มาดำเนินการได้ทัน คุณอำไพ ช่วยเหลือ ในโอกาสสุดท้าย นี้อีกครั้งหนึ่ง โดยกรุณานำเครื่องรดน้ำศพมาให้ใช้ พวกพี่หญิงและคนอื่น ๆ ช่วยกันจัดดอกไม้ พอถึงเวลา ทุ่มครึ่ง ก็สามารถทำพิธีวดพระอภิธรรมที่บ้านได้ โดยเรียบร้อย
    พูดถึงความเจ็บป่วย ก็ควรจะพูดถึงคุณหมอวีวรรณ (พ.อ. วีวรรณ คำนวณกิจ) แห่งโรงพยาบาลพระมงกุฎ ฯ ไว้ด้วย คุณหมอ เป็นเพื่อนนักเรียนเตรียม รุ่นเดียวกับคุณอ๋อย คุณอ๋อยเรียกว่า "เบ๊บ" เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ตลอดจนคลอดบุตรหรือลูกหลานเจ็บป่วย ก็มักจะได้คุณหมอวีวรรณช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ ในระยะหลังคุณหมอมี ความเลื่อมใสในหลวงพ่อ ก็ไปมาหาสู่ กับที่บ้าน คุณอ๋อย บ่อยขึ้น ถึงคราวเจ็บป่วย ครั้งนี้ ก็ได้เทียวไปเทียวมา ดูแลโดยใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาจนถึงที่สุด
    คุณหมอยุวดี อีกท่านหนึ่ง นับได้ว่า เป็นทั้งเพื่อนทั้งหมอ ช่วยรักษาอย่างเข้มแข็ง
    ครอบครัวคุณอ๋อยกำชับมาว่า อย่าลืมขอบพระคุณคุณหมอทั้งสองเป็นพิเศษไว้ด้วย
    หมายเหตุ:- .ในภายหลังคุณหมอวีวรรณ ได้กรุณาส่งความระลึกถึงคุณอ๋อยมาอีกดังต่อไปนี้
    คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (หรือ คุณอ๋อย) ได้จากพวกเราไป โดยทิ้งผลของความดี และผลของการ ปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบไว้ให้พวกเราระลึกถึง และจดจำไว้เป็นตัวอย่าง
    เนื่องจากข้าพเจ้า เป็นผู้ที่ได้เห็น คุณอ๋อยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เริ่มเจ็บป่วยครั้งแรก จนเริ่มเข้าระยะทรุดหนัก ตราบกระทั่งวันที่จากไป จึงเห็นได้ว่า คุณอ๋อยมีอาการที่สงบที่สุด ไม่มีอาการกระวนกระวายมากนัก ไม่มีความทุกข์ทรมาน กับโรคที่เป็นอยู่เท่าที่ควร อย่างที่คนเป็นโรคนี้พึงเป็น และสามารถที่จะควบคุมสติ ระงับจิตใจได้อย่างดี จนถึงที่สุดของเธอ
    ในขณะที่อาการของเธอ กำลังจะทรุดหนักอยู่ เพื่อนฝูง และญาติพี่น้องไปเยี่ยม อดที่จะรู้สึก เศร้าโศกเสียใจมิได้ บางครั้งถึงกับน้ำตาไหล บางครั้งแทนที่ผู้ไปเยี่ยม จะปลอบโยนคนป่วย กลับได้รับคำปลอบจากคนป่วยให้คิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา กับบางทีแนะนำวิธีปฏิบัติจิตใจให้เพื่อนฝูงอีกด้วย
    และแม้กระทั่งอีกหนึ่งวันสุดท้าย เธอก็ยังมีแก่ใจจับมือข้าพเจ้าไปกุมไว้ พลางมองด้วยสายตา ที่ข้าพเจ้า ไม่สามารถจะบรรยายได้ ก่อนจะบอกว่า"ขอบใจ" ซึ่งคำนั้น ทำให้ข้าพเจ้าตื้นตัน จนพูดไม่ออก เพราะขนาด เธอจะจากไปแล้ว เธอยังไม่เว้นที่จะขอบใจคนที่อยู่เบื้องหลัง ด้วยมารยาทอันงามยิ่ง ซึ่งแสดงถึง ความงดงามแห่งน้ำ ใจอย่างยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้
    จากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เห็นมาด้วยตนเอง จึงอยากจะเขียนไว้ในที่นี้ว่า เนื่องจากผลบุญกุศล ที่คุณอ๋อย ได้ทำไว้มาก และผลของการปฏิบัติจากคำสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อ (มหาวีระ) ได้พยายามสอนพวกลูกศิษย์ ได้ให้ผลอย่างชัดเจนแล้ว ด้วยตัวคุณอ๋อยเอง จึงเป็นกำลังใจให้พวกนักปฏิบัติทุก ๆ คนจดจำไว้เป็นตัวอย่าง และพยายาม ที่จะปฏิบัติทำความดี และฝึกฝนตามคำสั่งสอน ของหลวงพ่อกันต่อไป ไม่หยุดยั้ง
    ข้าพเจ้าเชื่อว่า อานิสงส์ ที่คุณอ๋อย ได้ทำได้ปฏิบัติมา จะทำให้เธอ มีความสุข ในชาติในภพที่เธอได้ไปถึง ซึ่งความสุขเช่นนั้น ความสงบเช่นนั้น ยากที่จะมีได้ ในชาติในภพนี้ ความตาย จึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับ ผู้ปฏิบัติธรรม หากความตายคือทางไปสู่ความสุขสงบ ดังเช่นที่คุณอ๋อยเธอประสบมาแล้ว
    แล้วคุณรัชนี เจนรถา ก็เขียนมาอีกคนหนึ่งว่า...
    "ในฐานะ ที่ได้เกิดมาพบธรรมะ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคำสอนของอาจารย์องค์เดียว กับคุณป้าเฉิดศรี คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสนี้ กล่าวถึง ปฏปทาของท่าน ในสมัยเมื่อมีชีวิตอยู่ ในด้านธรรมปฏิบัติ
    ก่อนที่คุณป้าจะล้มเจ็บ ในบั้นปลายชีวิตนั้น ท่านเคยปรารภ ถึงอารมณ์ความเบื่อ ในร่างกาย แล้วพูดกับข้าพเจ้า ถึงผลการไปเห็นมานั้น นำมาคิดพิจารณาได้ชัดเจนขึ้น กว่าเก่าอย่างไร ข้าพเจ้าก็กล่าวกับท่าน ถึงความรู้สึกที่ได้ จากพระท่านโปรดเมตตาสอนมา พอฟังจบท่านก็น้ำตาคลอด้วยความปีติ จากนั้นมา 3 สัปดาห์ ท่านก็ล้มเจ็บขนาดลุกเดินไม่ได้ ได้ถามท่านว่า อาการเจ็บมันเจ็บอย่างไร ก็จะได้รับคำตอบจากหน้าเฉย ๆ ว่า
    "มันเจ็บเสียดบอกไม่ถูก บางทีนอนเอาหลังแตะพื้นไม่ได้เลย"
    ข้าพเจ้าฟังดูแล้วคิดว่า นี่ไม่ใช่เจ็บอย่างเบา ๆ เลยนี่นา คงจะเจ็บปวดมาก แต่กิริยาและแววตาของท่าน ไม่บ่งบอกเลยจริง ๆ บ่อยครั้ง ข้าพเจ้าได้ยินท่านหันมาพูดด้วยว่า "ป้าเมื่อมันเต็มทน มันจะเจ็บจะป่วยอย่างไร ก็คิดว่าช่างมันแล้ว ไม่นึกแล้วว่า มันจะหายหรือไม่หาย" และแล้วในที่สุด ร่างกายของท่าน อันมีธาตุทั้ง 4 ก็สลาย มอดไหม้ ไปสิ้น ต่อแต่นี้ไป เราจะนึกถึงท่าน ก็นึกถึงแต่คำพูด และความดีของท่าน ที่ยังคงสภาพอยู่ โดยมิต้องไปค้นหา คุ้ยเขี่ย เอาจากเถ้า ถ่านบนเชิงตะกอนนั้นเลย
    จากการเจ็บป่วยและการตายครั้งนี้ของท่าน ทำให้พวกเราหลายคน ได้ข้อคิดมาพิจารณา อย่างเห็นชัดใน พุทธดำรัส แห่งองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
    ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
    ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
    มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
    โสกปริเวทุกขโทมนัสสุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์
    เมื่อเขียนจบ ข้าพเจ้าต้องหันมาถามตัวเองว่า อย่างนี้แล้ว เรายังอยากจะเกิดกันอีกหรือ ?
    รัชนี เจนรถา ​
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  5. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="578"><tbody> <tr> <td colspan="3" valign="top"> <table class="webbody" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" height="33" width="749">
    คุณอ๋อยกับการทรงกระดาน<!-- #EndEditable -->​
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td height="206">
    </td> <td colspan="3" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--> <tbody> <tr> <td valign="top"><!-- #BeginEditable "detail" -->
    เมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว คุณอ๋อยกับคุณเสริมทราบข่าวว่า เขามีการเดินถ้วยแก้วกัน ที่บ้านข้าราชการผู้หนึ่ง ก็เลยชวนกันไปดู ตามประสาคนชอบสนุก และตื่นเต้น ที่ไปดูก็เพราะ เขาเล่าว่า องค์ที่มาเดินกระดานนั้น คือ หลวงปู่ภู ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดสมเด็จโต และได้มรณภาพไปเมื่ออายุ 103 ที่ท่านมาเดินกระดาน หรือ ที่ทั่วไป เรียกกันว่า ผีถ้วยแก้ว และที่ในขณะนี้ ขอเรียกว่า "ทรงกระดาน" นี้ก็เพื่อสงเคราะห์คน เป็นการสร้างบารมีของตัวท่านเอง ส่วนมากเกี่ยวกับช่วยรักษาโรค และช่วยขจัดปัดเป่า ให้คนที่มีเคราะห์ เจ้าของบ้านไม่ได้มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นกับตัวเองเลย มีแต่ทางเสียสตางค์ ซื้อขนม เลี้ยงแขกอย่างเดียว ตัวอย่างความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน มีมากมาย แต่ที่จำได้จากคนที่ได้รับผลจริง ๆ ก็คือ พี่หนู
    เรื่องมีว่า พี่หนูแต่เดิม ก็ไม่ได้รู้จักหลวงปู่ภู ที่ท่านเดินกระดาน พี่หนูเป็นโรคอาเจียนเป็นเลือด รักษาไม่หาย ได้ข่าวว่า หลวงปู่ภูท่านรักษาโรค ก็เลยไปลองดูๆ เขา วันหนึ่ง ๆ ที่มีการทรงกระดาน จะมีคนไปมากด้วยกัน พี่หนูไม่รู้จักใคร ก็เลยต้องนั่งอยู่วงนอก ไม่ทันได้พูดกับใคร สักประเดี๋ยวหลวงปู่ ก็เดินกระดานบอกว่า คนที่รากเลือด น่ะเข้ามาซิ พี่หนูก็เลยเข้าไปท่าน ก็บอกยาให้นำไปเสก แล้วก็เลยหายจากโรคนั้น นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่
    การเล่นผีถ้วยแก้วนี้ รู้สึกว่าใคร ๆ ก็จะลองเล่น กันเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ เวลาเล่น ก็มักจะต้องแตะถ้วยเบา ๆ ช่วยกันแตะสัก 3 คน แล้วถ้วย (ตะไล) จะค่อยๆ เลื่อนไป คนก็ต้องเลื่อนมือตาม เลยกลายเป็นแรงช่วยดันถ้วย และเวลาจะผสมเป็นตัวหนังสือ พอให้อ่านได้ความ ใจของผู้เดิน ก็มักจะเอาใจช่วย ให้ถ้วยเคลื่อนที่ ไปยังอักษรตัวนั้น ๆ ที่เล่น ๆ กัน ก็อ่านได้ความบ้าง ไม่ได้ความบ้าง ตามเรื่อง แต่ผลที่สุด ก็มาลงความเห็นกันว่า ความจริงคนไถกันไปเองมากกว่า จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใคร ถือเป็นเรื่องจริงจัง ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ มีชื่อเสียงหน่อย ก็หาว่า เหลวไหลงมงาย
    แต่ที่สำนักหลวงปู่ภูนี้ การเดินกระดาน ไม่เหมือนกับที่เคยเล่น ๆ กัน มีข้อกำหนดอยู่ว่า คุณ จ. จะต้องเป็นผู้แตะถ้วยอยู่คนหนึ่ง ส่วนคนอื่น จะเป็นใคร ก็ได้ ถ้าคุณ จ. ไม่แตะถ้วย เอาคนอื่นมาแตะแทน ถ้วยก็ไม่เดิน หรือถ้าช่วยกันเข็นจริง ๆ ก็คงจะเดิน แต่เดินไม่เป็นเรื่องอ่านไม่ออก ถ้าคุณ จ. แตะถ้วยแล้ว พูดง่าย ๆ ว่า ถ้วยจะ "วิ่งปรู๊ด" ทีเดียว เมื่อพูดว่า "วิ่ง" แล้วขอให้เข้าใจว่า วิ่งจริง ๆ ไม่ใช่ค่อยๆ เดินช้าๆ คนอ่าน จะต้องอ่านเก่งจริง ๆ จึง จะดูได้ทัน ความเร็วในการเดินของถ้วยนั้น เปรียบเทียบได้ว่า เร็วจนจดลงสมุดเกือบไม่ทัน บางคราวคน อ่านก็อ่านไม่ทัน ต้องขอซ้ำใหม่ ส่วนคุณ จ. คนสำคัญนั้น บางทีก็ไม่ได้มองกระดาน มือแตะอยู่ที่ถ้วย แต่ตัวหันไปคุย โต้ตอบกับคนอื่นก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทฤษฎีที่ว่า ถ้วยเดินไป เพราะแรงคนดันก็ใช้ไม่ได้เอาเลยทีเดียว ถ้าใครไม่เชื่อ ก็ควรจะทดลอง พิสูจน์ดูด้วยตนเอง คือ หาคนไม่เชื่อมาสัก 3 คน ทำกระดานเข้าแล้วก็ทดลองไถถ้วย ดูสมมติว่า ให้สอนเรื่อง "ศีล 8 มีอานิสงส์อย่างไร" ก็แล้วกัน ดูซิว่า สามคนจะช่วยกันดันถ้วย ให้ออกมาเป็นคำสอน สักหน้ากระดานหนึ่งได้หรือไม่ การพิสูจน์นี้ ทำได้ง่าย ๆ วิสัยนักวิทยาศาสตร์หากไม่เชื่อ ก็ควรจะทดลองดู ไม่ใช่สันนิษฐานเอาเฉย ๆ
    ต่อมา ก็มีวงทรงกระดานอีกวงหนึ่ง เรียกว่า คณะพรสวรรค์ ลักษณะการเดินกระดาน ก็เหมือนวงหลวงปู่ภู แต่วงนี้อยู่ใกล้บ้านมาก คุณอ๋อยก็เลยห่างเหินวงหลวงปู่ภูไป จะว่าไป คุณอ๋อยก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนใจอะไร ที่จะไปกวนท่านอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งด้วย
    สำหรับวง "พรสวรรค์" นี้ มักจะมีแต่เรื่องเทศน์ เกี่ยวกับธรรมะ ในบางเรื่องการเทศน์ก็ลึกซึ้ง และไม่เคย เห็นมีใครเทศน์ที่ไหนมาก่อนเลย เช่น พรหมวิหาร 4 ตามตำรา ก็มีเพียงเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา แต่ท่านมา ซอยละเอียด ในการทรงกระดาน ลงไป ถึง เมตตาในเมตตา เมตตาในกรุณา เมตตาในมุทิตา เมตตาใน อุเบกขา กรุณา ใน เมตตา กรุณาใน กรุณา ฯลฯ อย่างนี้ไม่เคยพบ คนสำคัญของการเดินกระดาน ชื่อ ม. ก็เป็นหนุ่มเด็ก ๆ ธรรมะไม่แตกฉานอะไรเลย จะว่า แกไถถ้วย ก็ไม่เป็นเหตุผลที่ ถูกเพราะ การเทศน์ อย่างนี้ อย่าว่า แต่ไถถ้วยเลย แม้พูดปากเปล่า ก็พูดไม่ได้เสียแล้ว หรือเอาแค่ให้คนอื่น พูดให้ฟัง แล้วให้เราว่า ตาม (หรือ อธิบายใจความ) ก็ยังทำไม่ได้
    ท่านผู้มาสงเคราะห์ ส่วนมากจะเป็นพระ บางทีท่านก็เทศน์ บางที ก็ตั้งคำถามให้ตอบ บางทีก็เอ็ดเอา และบางทีท่านก็มีอารมณ์ขัน
    เนื่องจากคุณอ๋อยกับพวก ขยันทำบุญ ขยันฟังธรรม แทนที่จะเรียก ชื่อจริง บางทีท่านก็เรียก คนนั้น คนนี้ เป็นบุญ นั่นบุญนี่ เช่น เรียกคุณอ๋อยว่า แม่บุญช่วย เป็นต้น คณะพรรคที่มาร่วมในวงนี้ ต่างได้รับความพออกพอใจกันเป็นส่วนมาก ใครมีข้อพิศวงสงสัย ปลีกย่อยอะไร ที่เห็นว่า หากนำไปถามหลวงพ่อ คงจะโดนเอ็ดเพราะ เป็นปัญหาไม่เป็นเรื่อง หรือไม่ก็เป็นการเสียเวลาคนอื่นเขา อย่างนี้ก็ตีกลองปุโหละมาถามกันที่วงพรสวรรค์นี้ บางที ใครมีเคราะห์อะไร ท่านก็มาเตือนมาเร่ง โดยไม่บอกว่า อะไรเป็นอะไร อย่างรายคุณอ๋อย ท่านก็มาเตือนหลายครั้งว่า ปฏิบัติธรรมได้ช้ากว่าคนอื่นมาก ให้ละวางการปฏิบัติลงเสียบ้าง ให้เด็ก ๆ เขาทำไปบ้าง เตือนมาได้เกือบปี คุณอ๋อยก็ถึงแก่กรรมดังนี้ เป็นต้น เห็นได้ว่า ท่านรู้แล้วว่า จะอยู่ได้ไม่นาน จึงควรต้องเร่งมือในการปฏิบัติ
    คุณอ๋อยจากไปเสียคนหนึ่ง พรรคพวกในวงพรสวรรค์ชักจะเหงา เช่นอย่างคุณบุญพริ้งเป็นต้น หรืออีกท่าน หนึ่งไม่ลงนามมา เลยตั้งชื่อ ให้เสียเองว่า คุณบุญเพ็ญ ทั้งสองนี้ เขียนมาเป็นพิเศษ ในทำนองไว้อาลัย แต่รู้สึกว่า ท่วงทำนองออกจะแปลกออกไปจากธรรมดา จงขอนำมาลงไว้ในตอนนี้ ดังต่อไปนี้

    เขียนที่ บุญนิเวสน์ ​
    ถึง น้องบุญช่วย ที่รัก
    พี่คิดถึงน้องมาก เพราะขาดคนที่จะยั่วเย้าพี่ให้หัวเราะได้อย่างเคย น้องไปเป็นสุขแล้ว ทิ้งให้พี่ผจญอยู่ในโลก ที่แสนจะน่าเบื่อ พี่ยังจำได้ว่า น้องเป็นคน เปิดเผย มีนิสัยร่าเริง ไม่เป็นพิษ เป็นภัยกับใครเลย มีแต่ มุทิตาจิตชอบ แต่ช่วยเหลือคน และตักเตือน ให้คนทำแต่ความดี
    ความดีที่น้อง ได้ทำไว้กับพี่ ก็มีมาก และพี่ก็ระลึกอยู่เสมอ สิ่งที่ประทับใจมากที่สุด เมื่อตอนที่ลูกของพี่ ต้องไปอยู่ที่ บ้านน้องเป็นระยะเวลา 2 ปี น้องก็ได้ดูแลอบรมสั่งสอน เหมือนกับลูกของน้องเอง ซึ่งพี่คิดว่า บุญคุณอันนี้ คงจะหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชดเชยมิได้
    ความดีทั้งหลายที่น้องได้กระทำไว้นั้น คงจะส่งผลให้น้องบรรลุถึง ณ ที่ปรารถนา
    จากพี่ ​
    บุญพริ้ง ​

    ข้าพเจ้าจำได้ว่า... ข้าพเจ้าจำได้ว่า... เมื่อ 17 ปี ที่แล้ว ข้าพเจ้าได้รู้จักกับ "คุณอ๋อย" และครอบครัว ที่ชะอำ เมื่อเราได้ร่วมกัน ไปทำพิธีบูชา ท่านมเหสักขา ในนามคณะศิษย์หลวงปู่ภู "คุณอ๋อย" ที่ข้าพเจ้ารู้จักในครั้งนั้น เป็นหญิงร่างสูงโปร่ง ผมตัดแค่ต้นคอ ชอบคาดผมเสมอ และแต่งตัวตามสบาย อยู่เป็นนิจ เธอเป็นคนร่าเริง เปิดเผย ไม่ถือตัว ช่างคุยช่างเล่าอะไรต่าง ๆ ให้พวกเราฟังอย่างสนุกสนาน เธอจะขึ้นต้น เล่าอย่างตื่นเต้น เมื่อมีผู้สนใจฟัง เธอจะหยุดเล่าชั่วขณะ พลางหันมาถาม คนฟัง รอบข้างว่า "ทายซิมันเป็นยังไง" หรือไม่ก็ "อ๋อยไม่บอก คิดเอาเอง" ทำให้ผู้ฟังอยากรู้ยิ่งขึ้น แล้วเธอก็จะอมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงเล่าต่อไป ในตอนนั้นลูกทั้ง 5 คนของเธอ ยังเด็กอยู่ข้าพเจ้าจำ ได้แต่ชื่อลูกสาว โดยเฉพาะคนโตชื่อ "เอื้อมสุขย์" ชื่อนี้ หลวงปู่ได้ให้เติม "ย์" ที่ท้ายชื่อเดิม เพื่อแปลว่า สุขที่เอื้อมถึงแล้ว ส่วนลูกสาวคนรองนั้น จำได้แต่ชื่อเล่น ว่า น้อยโหน่ง และน้อยหน่า ตอนนั้นเด็กทั้งคู่ตัวเล็ก ผอมดำ แต่ตากลมโต ข้าพเจ้าชอบดูเวลาแกเล่นซน และก็เถียงกัน แต่ก็รักใคร่กันดี เวลาพ่อแม่นั่งอยู่ที่ใด พวกลูก ๆ จะล้อมหน้าล้อมหลัง นั่งนอนเล่นใกล้ ๆ เหมือนกับลูกแมวฉะนั้น
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า..ข้าพเจ้าได้พบคุณอ๋อยอีกเป็นบางครั้ง ที่บ้านอุรุพงศ์ และในปีต่อมา เมื่อคณะศิษย์หลวงปู่ ได้ทำพิธีประจำปีอีก ที่พัทยาแทนการไปชะอำ เพราะระยะทาง สั้นกว่า และสะดวกกับผู้ที่ค้างคืนไม่ได้ ในครั้งนั้น คอบครัวเราสนิทกันมากขึ้น ข้าพเจ้าเรียกคุณอ๋อยว่า "คุณอา" ซึ่งเป็นสรรพนามที่ข้าพเจ้าเรียกผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าคุณพ่อ "คุณอา" ยังเป็นคนร่าเริงเหมือนเดิม ชอบทำอะไร ตามสบาย มีความเป็นกันเองกับทุกคน ส่วนน้อง ๆ ก็โตขึ้นมากแล้ว แต่ข้าพเจ้า คุ้นเคยกับ "หนุ่ย" มากกว่าน้องคนอื่น เพราะอายุเธอห่าง จากข้าพเจ้าเพียง 5 ปี
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า...ข้าพเจ้าไม่ได้พบกับ "คุณอา" อีกหลายปี เพราะข้าพเจ้ามัวแต่สนใจกับการเรียน สอบแล้วก็ทำงานสอน แล้วก็กลับมาเรียน และสอบอีก หลังจาก กลับมาจากต่างประเทศ ข้าพเจ้าได้มีโอกาส พบ "คุณอา" อีกครั้ง เมื่อวันแต่งงาน ของข้าพเจ้า ใน พ.ศ. 2513 คุณอาได้ให้ของขวัญ เป็นนาฬิกาตั้ง โต๊ะประดับด้วยพลอยสีเหลือง สวยงามมาก คุณอาเป็นคนช่างสังเกต ช่างจดช่างจำว่า ใครชอบอะไร และคุณอาจะหาของ ให้ถูกใจคนรับเสมอ
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า..คืนนั้นที่บ้านถนนตก "คุณอา" ทั้งสองเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง จึงเลยไปบ้านถนนตกทั้งชุดราตรี เป็นครั้งแรก ที่ข้าพเจ้าเห็นคุณอา (ญ) ในชุดราตรียาว ผ้าชีฟอง ลายสายรุ้งจีบฟู และมีสายคาดยาว เป็นเม็ดเล็ก ๆ ดูแปลกไปกว่า คุณอาคนเดิม คุณอา บอกว่าใคร ๆ ว่า "ชุดนี้เสริมซื้อมาให้จากเมืองนอก" วันนี้ คุณอา (ช) ถือหนังสือไป 5 เล่ม และวางตรงหน้า ไม่ไกลจากข้าพเจ้านัก พลางกล่าวเชิญชวน ผู้ที่นั่งอยู่ว่า "ถ้าต้องการหนังสือ ก็เชิญนะครับ" ข้าพเจ้ารีบขออนุญาต เป็นกรรมสิทธิ์ สักเล่มหนึ่ง เพราะข้าพเจ้าเห็นชื่อหนังสือว่า "ประวัติหลวงพ่อปาน" ข้าพเจ้า รับหนังสือนั้นมาด้วยความดีใจ อย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าเคยท่องคาถา พระปัจเจกพุทธเจ้า มานานแล้ว แต่ไม่เคยทราบเรื่องราว หรือประวัติของหลวงพ่อปาน เลย แต่ข้าพเจ้า ก็เหมือนไก่ได้พลอย ได้หนังสือมาแล้ว วันรุ่งขึ้น ก็รีบเอาไปให้เพื่อน ที่เขาสนใจ ธรรมะอ่านก่อน จนเวลาล่วงเลยมาหลายเดือน จึงหยิบมาอ่าน แต่ก็อ่านไม่จบเล่มสักที ได้แต่ชี้ชวน ให้คนนั้นคนนี้ ยืมไปอ่านก่อน
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า...ในราวกลางปี พ.ศ. 2516 เมื่อเพื่อนข้าพเจ้า ที่อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน คนแรกนั้น แจ้งความจำนง กับข้าพเจ้าว่า เขาอยากจะพิมพ์เรื่อง มหาสติปัฏฐาน 4 ของท่าน พระมหาวีระ ถาวโร เป็นอนุสรณ์ ในงานฌาปนกิจศพ มารดาเขา ข้าพเจ้า พอจะช่วยพาเขาไปหา " ท่านเจ้ากรม ฯ " เพื่อพบ "หลวงพ่อ" องค์นั้นได้หรือไม่ ข้าพเจ้ารับปาก ที่จะช่วยติดต่อให้ ดังนั้น เมื่อทราบข่าวว่า "หลวงพ่อ" ลงมากรุงเทพ ฯ และพักที่บ้านซอยสายลม ข้าพเจ้าจึงชักชวน เพื่อน และน้า ของข้าพเจ้า ไปกราบท่าน ข้าพเจ้าเพียงแต่คิดว่า ข้าพเจ้า จะไปกราบพระองค์หนึ่ง กับไปพบคุณอาและครอบครัวเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงที่นั่น ข้าพเจ้ากลับรู้สึกประหม่า เมื่อก้มลงกราบหลวงพ่อ น้ำตาก็พลอยจะไหลออกมา ด้วยความปีติอย่างบอกไม่ถูก เสียงท่านถามน้าข้าพเจ้าว่า "เป็นไงโยม" น้าข้าพเจ้ายิ้ม และตอบท่านว่า " เคยเห็นแต่รูปท่านใน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็อยากจะมาดูว่าองค์จริงเป็นไง" ท่านหัวเราะ และถามว่า "เห็นแล้วผิดหวังไหมโยม" เท่านั้น น้าข้าพเจ้า ก็เริ่มจะร้องไห้อีก คนหนึ่งแล้ว หลวงพ่อท่าน ทักทายพอสมควร แล้วท่านก็ เทศน์ธรรมะสั้น ๆ เกี่ยวกับ เรื่องขันธ์ 5 ข้าพเจ้าฟังท่าน แล้วก้มมองดูตัวเองพลางคิดว่า ถ้าข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระองค์นี้ เทศน์ก่อนหน้านี้แล้ว ข้าพเจ้า จะอยู่ในสภาวะนี้หรือไม่ (ในขณะนั้น ข้าพเจ้าตั้งครรภ์บุตรคนเล็กได้ 7 เดือนแล้ว) หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ ทราบเกียรติคุณของหลวงพ่อองค์นี้ อีกหลายอย่างจากคุณอา และในวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานจบบริบูรณ์
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า... ในปลายปี พ.ศ. 2516 เมื่อบิดามารดาของข้าพเจ้า ได้ร่วมกันสร้างพระทอง หน้าตัก กว้าง 55 นิ้ว ขึ้นเป็นพุทธบูชา ท่านมิอาจตกลงใจได้ว่า สมควรจะประดิษฐาน ณ ที่ใด ท่านอยากจะให้ตั้งบูชา ณ วัดที่ยังขาดพระประธาน และเป็นวัดที่อยู่ในย่านที่เดินทางไปมาสะดวก ในที่สุดท่านหลวงปู่ ได้แนะนำว่า ควรจะไปไว้ วัดท่าซุงที่อุทัยธานี ทำให้ข้าพเจ้านึกถึง "หลวงพ่อ" และ "คุณอา" ทั้งสอง ข้าพเจ้าได้กราบเรียนให้บิดา มารดาทราบ ถึงเกียรติคุณของหลวงพ่อ ที่ฟังมาจากคุณอา และชี้ชวนให้ท่าน อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ท่านทั้งสอง เกิดศรัทธา อย่างแรงกล้า เมื่อได้นัดหมายกัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำพิธี อัญเชิญพระ "พระพุทธพรมงคล" ไปประดิษฐาน ณ วัดจันทาราม (ท่าซุง) ในปลายปีนั้นเอง พระพุทธรูปองค์นี้ มารดาข้าพเจ้าได้กล่าว สัจจะอธิษฐาน ไว้ต่อหน้า พระรัตนตรัยว่า "เมื่อผู้ใด ได้มาบูชาพระองค์นี้ ขอให้ท่านประทานพร ตามแต่วาสนาบารมีที่เขาจะพึงมีพึงได้"
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า... หลังจากได้ไปทำบุญ และ ถวายพระพุทธรูป ที่วัดท่าซุงแล้ว ครอบครัวข้าพเจ้า ก็ได้ไปมาหาสู่ กับบ้านซอยสายลม เป็นประจำ และได้ร่วมทำบุญ เรียนธรรมะกับหลวงพ่อ ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา ความสนิทความคุ้นเคย ความผูกพันซึ่งมีมาแต่อดีต ทำให้ข้าพเจ้าขอเปลี่ยนสรรพนาม เรียกคุณอาใหม่ เป็น "น้าอ๋อย" และ "น้าเสริม" แทน เพราะข้าพเจ้า มีความรู้สึกว่า น้าอ๋อย เป็นน้าของข้าพเจ้าจริง ๆ ใน เวลาต่อมา เราได้มีโอกาสติดตาม หลวงพ่อ และบรรดาศรัทธาทั้งหลาย ไปแสวงธรรมะ และกราบนมัสการ พระสุปฏิปันโน ยังทิศต่าง ๆ เราได้ไปทำบุญร่วมกัน กินนอนด้วยกัน ถึงแม้ว่า น้าอ๋อย จะเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิต แบบง่าย ๆ อะไรก็ได้ แต่เธอก็พิถีพิถันมาก ในเรื่อง การทำเครื่องบูชา และการปฏิบัติพระ จะเห็นได้จากเวลาพวกเราทำเครื่องบวงสรวง ทำฉัตร ปิดทองพระ และจัดงานต่าง ๆ ของวัดเป็นต้น น้า อ๋อย จะเอาใจใส่ ในเรื่องนี้ เป็นพิเศษ ติและชม ถ้าเธอว่าง เธอจะลงมือทำเอง หรือถ้าลูก ๆ หลาน ๆ ช่วย กันทำ เธอก็จะมานั่งดูใกล้ ๆ ให้กำลังใจ โดยมิได้เหน็ดเหนื่อย พวกเราจึงได้ เรียนรู้งาน และทำเป็นกันหลายอย่าง ตั้งแต่ พับดอกบัว ร้อยมาลัย เย็บบายศรี จนกระทั่งถึง ร้อยฉัตร 9 ชั้น และลงรักปิดทององค์พระ ทั้งนี้ ผลงานที่ออกมาสวยงามไม่แพ้ ช่างฝีมืออาชีพเลย
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า... ในช่วงระยะเวลา 5 ปีหลังนี้ น้าอ๋อย ได้ทุ่มเทกำลังทั้งหมด ให้กับงานของหลวงพ่อ น้าอ๋อย และ น้าเสริม เป็นกำลังสำคัญ และเป็นสื่อกลาง ประสานงาน ระหว่างสงฆ์ กับฆราวาส และบรรดาศรัทธาทั้งหลาย นอกจากงานของหลวงพ่อแล้ว น้าอ๋อยยังรับงาน ช่วยจัดหาทุนบูรณะวัด ให้กับหลวงปู่ อีกหลายองค์ จนถึงวาระสุดท้าย แห่งชีวิต น้าอ๋อยจึงได้จากพวกเราไป น้าอ๋อยจากไปแต่เพียงขันธ์เท่านั้น ซึ่งแปรสภาพกลับคืนเป็นธาตุ 4 ดังเดิม แต่ในความทรงจำของพวกเราทั้งหลาย ยังมีคำว่า "พี่อ๋อย" "น้าอ๋อย" "แม่อ๋อย" "ป้าอ๋อย" และ "ยายอ๋อย" อยู่เสมอ
    บุญเพ็ญ ​

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  6. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="578"><tbody> <tr> <td colspan="3" valign="top"> <table class="webbody" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" height="33" width="749">
    คุณอ๋อยกับผลการปฏิบัติธรรม <!-- #EndEditable -->​
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td height="206">
    </td> <td colspan="3" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--> <tbody> <tr> <td valign="top"><!-- #BeginEditable "detail" -->
    ตามที่ได้เล่าไว้ในที่หลายแห่งข้างต้นแล้วว่า หลวงพ่อท่านสอน ให้มุ่งพระนิพพานเข้าไว้ตลอดเวลาแล้วนั้น ขอนำตัวอย่างการอบรม ก่อนเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐาน ซึ่งหลวงพ่อ ทำการอบรม ในคืนวันที่ 19 มกราคม 2521 คือ ในวันที่พระราชทานเพลิงศพคุณอ๋อย ดังต่อไปนี้
    คุณอ๋อย คุยอยู่กับเรา 2 - 3 วันนี้เองนะ วันนี้เราไปเผาแกเสียแล้ว แสดงว่า มีจิตใจโหดร้ายมากจริงไหม นี่ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้เป็นอนิจจัง ความจริง โลกเขาเที่ยง แต่อารมณ์เรามันไม่เที่ยง ไม่ยอมรับความเที่ยงของโลก คือ มันเปลี่ยนแปลงแล้วก็พัง เราไม่รับเร ก็เลยทุกข์ มีแต่พระอรหันต์ ท่านไม่ทุกข์ กายของท่านทุกข์ แต่ใจของท่านไม่ทุกข์ ท่านจึงให้เราพิจารณาใจของเราไว้เสมอ อย่างที่ท่านว่า
    <table border="0" width="74%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" width="21%">อัตตนา โจทยัตตานัง</td> <td class="webbody" width="79%">เราจงเตือนตนของตนเองไว้เสมอ </td></tr> <tr> <td class="webbody" width="21%">อัตตาหิ อัตโน นาโถ</td> <td class="webbody" width="79%">ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน </td></tr> <tr> <td class="webbody" width="21%">โกหิ นาโถ ปโรสิยา</td> <td class="webbody" width="79%">บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ </td></tr> <tr> <td class="webbody" width="21%">อัตตาหิ สุทันเตนะ</td> <td class="webbody" width="79%">เมื่อเราฝึกตนดีแล้ว </td></tr> <tr> <td class="webbody" width="21%">นาถัง ลภติ ทุลภัง</td> <td class="webbody" width="79%">เราจะได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่น หาได้ด้วยยากก็คือ พระนิพพาน </td></tr></tbody></table> ตัวอย่างของพวกเราก็คือ คุณอ๋อย คุณอ๋อยนี่เวลานี้เขาบอกว่า ตายไปแล้ว แต่ถ้าเราจะไปเทียบกับเรื่อง ๆ หนึ่งในพระธรรมบท ที่ตอนเช้าพระไปบิณฑบาต ได้ข่าวบุคคล 2 ประเภทตาย นั่นก็คือ เรื่องของ พระนางสามาวดี พร้อมไปด้วยบริวาร 500 ถูกพระนางมาคันทิยา ให้อาไปเผาปราสาท ตายหมดทั้ง 500 คน แล้วต่อมา พระเจ้าอุเทน พระราชสวามี จับได้ว่า พระนางคันทิยาทรยศ ฆ่าพระนางสามาวดี จึงแต่งตั้งให้เป็น อัครมเหสี มียศสูงขึ้น แล้วเล่าว่า นางสามาวดี ก็ดี นางสนม 500 ก็ดี ย่อมเป็นภัย กับเราอยู่เสมอ ตายเสียก็ดี คนที่ฆ่า ต้องเป็นคนที่เรารัก มีความหวังดีกับเรา พระนางมาคันทิยาเสียท่ารับว่า เป็นตัวการ พระเจ้าอุเทนก็ว่า ดีแล้ว ญาติพวกพ้องร่วมกันมีกี่คน เอามารับความดี ความชอบให้หมด ได้ตัวมาแล้วจับฝังดิน เชือดเนื้อ พระนางมาคันทิยา ทอดให้กินทีละชิ้น ๆ จนตาย
    พระภิกษุได้ทราบ ก็กลับไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลทั้งสองนี้มีคติไม่เหมือนกัน สำหรับ พระนางสามาวดีกับคณะ ตายไปแล้ว ก็เหมือนกับ คนที่ไม่ตาย สำหรับ พระนางมาคันทิยานั้น มีชีวิตอยู่ ก็เหมือนกับคนตายแล้ว แปลกไหม เพราะว่า คณะของพระนางมาสาวดีทั้งหมด ก่อนที่จะถูกไฟเผาเป็นพระโสดาบัน ในขณะ ถูกไฟเผา พระนางสามาวดี สอนบรรดา คนทั้งหลาย ของตนว่า จงอย่าโกรธ มาคันทิยาพราหมณ์ และ พระนางมาคันทิยา ทุกคนจงอย่าประมาท ดังนั้นทุกคน จึงพากัน พิจาณาขันธ์ 5 บางคน ก็เลื่อน จากพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี บางท่าน ก็เลื่อนเป็น พระอนาคามี ตายแล้ว ท่านก็ไปเกิด บนสวรรค์ มีนิพพานเป็นไปในเบื้องหน้า สำหรับพระนางมาคันทิยาตายแล้ว พากันไปอเวจีมหานรกหมด
    นี่พูดกันเรื่องเผาก็เลยว่า เรื่องนี้ให้ฟัง อย่างที่คุณอ๋อยนี่ หลวงน้า ท่านปรารภว่า วันนี้เหตุที่ปรากฏเป็นอัศจรรย์ คนเป็นโรคอย่างนี้ มีทุกขเวทนามาก แต่ไม่ครวญ ไม่คราง ไม่ร้อง เป็นเรื่องอัศจรรย์ ท่านบอกว่า พบเป็นรายที่ 2 รายแรกก็คือ เจ้าคุณนร ฯ ทั้งนี้ เพราะท่านมีสังขารุเบกขาญาณ มีอารมณ์วางเฉยในขันธ์ 5 อาการอย่างนี้ ถ้าหากเรา จะฝึกกัน โดยวิธีใช้อารมณ์ นั่งหลับตา เป็นสมาธิ เป็นปกติแล้ว ใจเราก็จะดีแค่สมาธิ อันนี้ใช้ไม่ได้ ยังไกลต่อความเป็นจริง เวลาเราหลับตา ฝึกสมาธินั่น เราฝึกให้อารมณ์ ทรงอยู่ อารมณ์ที่ทรงนี้ เราต้องให้มั่น หลังจากเลิกสมาธิแล้วด้วย ให้อารมณ์มันชิน คือ ชินในกุศล ชินในความดี มุ่งจุดอยู่จุดหนึ่ง นั่นก็คือ พระนิพพาน คนที่จะมีอารมณ์ อย่างนี้ได้ จะต้องมี อารมณ์รักพระนิพพาน จับในอารมณ์รักพระนิพพานนี่ ต้องสิงอยู่ในใจ ถ้าอารมณ์รักพระนิพพาน ไม่เข้าถึงที่สุด มันจะทนไม่ไหว ทนไม่ไหว เพราะ สังขารุเบกขาญาณ มีกำลังไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ามีกำลังพอก็จะคิดว่า ทุกขเวทนาของขันธ์ 5 มันจะมีอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้ามันพังเมื่อไร เราก็จะไปพระนิพพาน มีความสุข ใจมันไปจับที่ความสุข จุดโน้นนะ ความทุรนทุรายจึงไม่มี
    ต่อไปต้องพิจารณาอีกนิดหนึ่ง อย่างคุณอ๋อยนี่ นอนอยู่ในห้องก็ฟังเทปธรรมะบ้าง เสียงสวดมนต์บ้าง แกเคยบอกว่า เขาฝึกมโนมยิทธิกัน จะไปดูสวรรค์ ดูนั่นดูนี่ แกไม่ต้องการ แกต้องการไปพระนิพพาน อย่างง่ายๆ แบบสุกขวิปัสสโก แบบนี้พูดมาหลายปี จำได้ว่า 3 ปีกว่าเกือบ 4 ปี นี่ถึงแม้เราจะคิดไว้วันละน้อย ๆ แต่คิดบ่อย ๆ อารมณ์ก็เกิดความชิน คำว่า ชินตัวนี้ก็คือ ฌาน จิตมันตั้งตรง จิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน คิดว่า ถ้าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน ถ้าคิดอย่างนี้ ตายก็ไปนิพพาน คิดไว้แบบไหนก่อนตาย จิตมันจะไปตามนั้น ดูตัวอย่างท่าน โฆษกเทพบุตร ตอนท่านเป็นคน ตอนท่านจะตาย เห็นท่านมหาเศรษฐี มีสุนัขท่านกินข้าวมธุปายาส ท่านก็แบ่ง ให้มันกินบ้าง หมาตัวเมีย ก่อนที่แกจะตาย แกก็มองดูเจ้าสุนัขตัวนั้นว่า มันเป็นหมายังดีกว่าเรา ตั้งแต่เกิดมา ข้าวมธุปายาส ไม่เคยกินเลย จิตใจไปจับในสุนัข ในที่สุดก็จะตาย จิตก็เข้าไปสู่ครรภ์ของสุนัข เลยเกิดมาเป็น ลูกหมา แต่อาศัยที่เพิ่งตายจากคนไป จึงมีความรู้สึกอย่างคน รู้ภาษาคนทุกอย่าง นี่สังเกตให้ดีนา สุนัขที่เรา เลี้ยงแมวที่เราเลี้ยง ถ้าเราพูดรู้ภาษาง่าย ๆ เจ้าพวกนี้จะมาจากที่ 2 สถาน คือ ถ้าไม่มาจากคน ก็มาจากเทวดา
    พระพุทธเจ้าบอกว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี จะเกิดเป็นเทวดาใหม่ หรือเป็นพรหมใหม่ นี่แสนยากหายาก จะมาเกิดค้างอยู่แค่มนุษย์ ก็แสนยากเหมือนกัน ส่วนมากลงอบายภูมิ เพราะว่า คนเราที่ไปเกิดเป็นเทวดา ด้วยอาศัยบุญเบื้องหลัง เกิดมาย่อมทำบาป ด้วยกันทุกคน แต่หาก ก่อนตาย เราสร้างความดี เราก็ไปเป็นเทวดาก่อน เป็นพรหมก่อน พอหมดจากวาสนาบารมี ก็ต้องไปใช้หนี้กรรม คือ อกุศล ต้องลงอบายภูมิ ใช่ไหมล่ะ ทีนี้ถ้าจะไปกัน ก็อย่าไปมันเลย แค่เทวดากับพรหมน่ะ ดีไม่ดีมันป๋อม ตกแค่ท้องหมามันยังดีนะ มีข้าวกินนะ ถ้าลงนรกนี่มันแย่ กว่าจะมาใหม่ สำหรับ ท่านโกฏอริยกะ เกิดเป็นหมาก็มีความรู้ภาษาคนดี ต่อมา เจ้านายมีความเคารพ ในพระปัจเจกพุทธเจ้า อาศัยเธอเป็นสุนัขแสนรู้ เวลาที่ท่านเจ้า ของไม่มีโอกาส ที่จะไปรับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนเช้า มาฉันที่บ้าน ก็ใช้สุนัข ตัวนี้ ไปนิมนต์ แกไปถึงหน้าสำนัก ก็เห่าบ้าง หอนบ้างเป็น สัญญาณว่า มารับ แล้วก็เดินนำมา บางคราว พระปัจเจกพุทธเจ้า แกล้งทำเลยไป ไม่เลี้ยวเข้าบ้าน แกก็ไปขวางหน้า ท่านก็แกล้งไปหยุด แกก็เอาปากดึงสบง ฉลาดเสียด้วยนา อาศัยที่จิตใจของเธอ มีความรักในพระ ตายไปเธอก็ได้เกิด เป็นเทวดา นี่เป็นอันว่า จิต ใจ ของเรามีความสำคัญ ก่อนตาย จิตใจของเราจับจุดไหน อย่านึกว่า ความดีของเราไม่มี เราจะไปจับพระนิพพานได้ยังไง นิพพานนี่ไปไม่ยาก ไม่ต้องเสียสตางค์
    ไปนรกซี ต้องลงทุนมากกว่า ต้องลงทุนโกหกเขา ทำร้ายเขาสารพัด
    ไปสวรรค์ ไปนิพพาน นอนในมุ้งเรา ก็ไปได้ นอนนึกถึง คุณของพ่อ ของแม่ นอนนึกว่า ไอ้คนนั้น ไม่มีข้าวจะกิน พรุ่งนี้ จะเอาข้าวไปให้มัน สักก้อน 2 ก้อน บ้านนั้นมันไม่มี สตางค์ใช้ เออ มีสตางค์อยู่ 2 บาทพรุ่ง นี้เอาไป แบ่งให้สักสลึง ยังไม่ทันจะให้ ถ้าตายเวลานั้น ไปสวรรค์เลย เพราะจิตเป็นกุศล
    ถ้าเราอยาก จะเป็นพรหม นอนภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ จับลมภาวนา นึกถึงทาน นึกถึงศีล อะไรก็ช่าง จิตมันทรงอารมณ์ มึความชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ นึกถึงความดีว่า ภาวนาพุทโธ ถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ดี ธัมโมพระธรรมก็ดี สังโฆพระสงฆ์ท่านก็ดี นึกถึงทาน การบริจาค เป็นจาคานุสติกรรมฐานว่า เออ วันนี้ เราเห็นคนเขาหิวข้าว เห็นสัตว์ตัวผอม เดินกระย่องกระแย่ง เราให้ข้าวไปก้อนหนึ่ง เรามีความปรารถนาอย่างไร สัตว์ก็มีความปรารถนาอย่างนั้น จิตใจเราอยู่แบบนี้เพลินสบาย เสียงวิทยุในบ้าน ดังอ้าว ๆ เด็กในบ้านทะเลาะกัน เราก็ไม่รำคาญ เราคิดเพลิน อย่างนี้อารมณ์ เป็นปฐมฌาน คืนนั้น ถ้าตาย ก็ไปเกิดเป็นพรหม ง่ายนิดเดียว
    ถ้าเราอยาก จะไปนิพพาน ก็คิดดูว่า ตั้งแต่เช้ามาจนนอนนี่ โอ้โฮ มันมีอะไร กันบ้างนี่ ในวันนี้ เช้าตื่นขึ้นมา อุ๊ ไม่ไหวแล้ว ขี้ปาก เลอะเทอะ ต้องไปแปรงฟัน ต้องไปล้างหน้า ต้องหุงข้าว หุงปลา อาหาร ก็จะกิน เดี๋ยวก็ถ่ายอุจจาระ เดี๋ยวก็ถ่ายปัสสาวะ ยุ่งกันไปหมด เฮ้ย ไอ้เกิดมาเป็นคนนี่ หาความสุขอะไรไม่ได้ จะดูคนไหน ๆ ก็วุ่น วายไปด้วยการงาน ทำงานเกือบตาย เมื่อต่างคนต่างตาย ทรัพย์สินที่เราหามาได้ มันก็ไม่เป็นของเรา ชาวบ้าน เอาไปหมด แม้ร่างกายของเราก็เอาไปไม่ได้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ร่างกายไม่ใช่ เราไม่ใช่ของเรา นี่เป็นของจริง แล้วทำไมเราจึงเกิด เราเกิดเพราะว่า เราหลง หลงอยู่ในโลภะ ความโลภ ความโกรธ ความจริงคนทุกคนเกิดมาแล้ว มันก็ทุกข์ เกิดมาแล้วมันก็ตาย คนทุกคนก็มีความปรารถนาดี ที่ทำอะไรไปก็เพราะ มีความปรารถนาดี เขาถึงทำอย่างนั้น แต่เราไม่ชอบใจ เราก็ไม่โกรธเขา ประการสุดท้าย เราก็เมาในชีวิต ชาวบ้านเขาตาย เราก็เห็นแต่เพียงว่า เขาตาย ไม่ได้คิดว่าเราจะตายบ้าง เป็นอันว่า เกิดมาเพราะ อาศัยความชั่วที่ในจิต คือ
    1. ติดอยู่ในโลภ
    2. ติดอยู่ในความโกรธ
    3. ติดอยู่ในความหลง
    ทีนี้เราไม่เอาละ เลิกเกิดมันเสียดีกว่า มีหน้าที่หากินโดยสุจริต ก็ทำไปตามหน้าที่ จะมีรายได้มากเท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่เราไม่ทุจริต คิดว่าเมื่อชีวิตยังมีอยู่ คนในปกครองยังมีอยู่ ต้องทำมาหากิน ยังชีพให้ทรงตัว เพื่อให้คนในปกครองมีความสุขด้วยอามิส คือ ทรัพย์สินที่หามาได้ แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า
    ทรัพย์สินที่หามาได้นี้ช่างมัน ตายแล้วจะอยู่กับใครก็ช่าง เราไม่สนใจ กับมันอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย สำหรับชีวิตเรา
    ถ้าใครจะสร้างความโกรธความพยาบาทให้เกิดกับเรา เราก็ถือว่า นั่นเป็นความบ้าของเขา เราไม่อยากจะโกรธ ไม่อยากพยาบาท ถ้าเราไม่ดี เราไป พูดกับเขา เขาก็แสดง อาการโหดร้าย สร้างความ สะเทือนใจให้เกิด เราก็ใช้อุเบกขาเสีย วางเฉยเสีย ไม่ใช่เราโกรธ
    แต่เมื่อพูดแล้วเขาดีด้วยไม่ได้ เราก็ไม่พูด ทำใจให้สบาย ไม่ติดใจในเรื่องของความโกรธ ความพยาบาท แต่ถ้าเราคิดดูว่า ถ้าจะฆ่าคนนี้ ก็น่านึกว่าคนที่เราจะฆ่านะ จะอยู่อีกสักกี่ปี ถ้าเราไม่ฆ่าเขาจะอยู่สัก 500 ปีได้ไหม ก็อยู่ไม่ได้ เราไม่ต้องฆ่าหรอก ความจริงไอ้คนจะตายน่ะนะ มันของไม่ยาก คนเกิดมาเท่าไหร่ มันก็ต้องตายหมด เท่านั้นอยู่แล้ว นี่เป็นอันว่า ถ้าจิตใจของเราไม่ผูกพันในขันธ์ 5 คำว่า ไม่ผูกพันนี่ค่อยๆ คิด ค่อย ๆ ปลง จิตตั้งอารมณ์ไว้เพียงน้อย ๆ ว่า หน้าที่ของเรามีเท่าไร เราจะทำตามหน้าที่ ที่เราเกิดมาแล้ว แต่ทว่าชีวิตนี้หรือชีวิตไหนก็ตาม ไม่ว่าจะมีกี่ชาติก็ต้องอยู่ในสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์และสลายตัวในที่สุด เหมือนชาตินี้ เป็นอันว่า คิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็น ชาติสุดท้าย สำหรับเรา ต่อไปชาติหน้า คำว่า เป็นมนุษย์ก็ดี คำว่า เป็นเทวดาก็ดี คำว่า เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ไกลไปกว่านั้นนะ
    ใช้ อุปสมานุสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ ท่านเรียกว่า นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ทำเท่านี้และทำไปเถอะ ไม่ต้องไป ใช้เวลามันหนักหรอก อารมณ์มันจะชินเข้าไปทุกที ๆ ขณะที่เรายังไม่ป่วยไข้ ไม่สบายนี่ ยังไม่รู้สึกว่า อารมณ์นี้ มันดีขนาดไหน พอป่วยไข้หนัก ขึ้นมาเมื่อไร จะรู้สึกตัว นี่ทุกคน อาตมาเคยสังเกต พอป่วยหนักขึ้นมาจิตก็จับพั้บว่า เราต้องการพระนิพพาน พอเริ่มป่วยน้อยๆ นะก็ตั้งจิต คิดว่า คราวนี้เราคงจะตาย มันตายหรือไม่ตายก็ช่างมัน ก็คิดว่า ทรัพย์สินทั้งหลายของเรามันไม่มี ญาติพี่น้องที่จะตายร่วมกับเราไม่มี ชีวิตนี้ เราอาจจะตาย ตายก็ช่าง เราต้องการไปนิพพาน คิดบ้างลืมไปบ้าง อะไรก็ตาม นี่สำหรับป่วยน้อยๆ แต่พออาการเริ่มเครียดเข้ามา จิตมันจะจับเป็นอารมณ์จับเป็นเอกัคตารมณ์ อาตมาลองมาแล้วนา
    นอกจากนั้น ในเวลาปกติ เราอย่าไปยุ่งกับชาวบ้านเขา เรามันจะแย่ เราควรจะยุ่งกับใจเราเอง เป็นสำคัญ ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็ดูว่า จิตของเราประกอบไปด้วยราคะไหม หลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณหรือเปล่า จิตเราหนักไปด้วยโลภะหรือเปล่า ถ้าอยากร่ำรวยธรรมดา นั่นไม่เป็นไร เป็นสัมมาอาชีวะ รับราชการเงิน เดือน 10 บาท อยากจะได้เงินเดือนพันบาท ก็ทำความดีเรื่อยไป จนได้เงินเดือนพันบาท อย่างนี้ไม่ใช่โลภ เป็นสัมมาอาชีวะ ไอ้โลภนี่ อยากจะแย่งเขา อยากจะโกงเขานะ ดูว่า จิตของเรา มันข้องในเหตุนี้ บ้างหรือเปล่า แล้วโทสะพยาบาทจองล้างจองผลาญน่ะ คิดจะประทุษร้ายคนนั้น อยากจะแกล้งคนนี้ อยากจะทำร้าย คนโน้น มันมีในใจหรือเปล่า แล้วชีวิตของเรา เกิดมาในเบื้องต้น แล้วก็แก่ แล้วก็ต้องตายนะ คิดบ้างหรือเปล่าว่า เราจะต้องตาย ไอ้ความตายมันไม่มีนิมิตเครื่องหมาย จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ บอกกาล บอกเวลา กันไม่ได้
    เราคิดหรือเปล่า ว่าเราอาจจะตายเดี๋ยวนี้ นี่เราชำระจิตของเราอย่างนี้ดีกว่า ทะเลาะกับใจ เราเองดีกว่า
    เป็นอันว่า ถ้าใจของเราเป็นสุข ร้อนก็เป็นสุข หนาวก็เป็นสุข ร่างกายมันร้อนมันหนาว แต่ใจเราไม่หนาวด้วย ร้อนด้วย ใจมันสุข มันจะหิวกระหาย ทำใจเป็นสุข ร่างกายไม่สุขก็ช่างมัน ป่วยไข้ไม่สบายใจก็สุข ทุกขเวทนา จะหนักมากเพียงไร ใจก็สุข เท่านี้ใช้ได้ ถ้าจิตเป็นสุขได้ อย่างนี้เขาเรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ และ ประกอบด้วยมี อริยสัจ ประจำใจคิดว่า ร่างกายที่มันทุกข์อยู่แล้ว ที่ทุกข์จะมีได้ อาศัยตัณหา ความทะยานอยาก ถ้าอยากเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีแล้ว อยากเป็นเทวดา เราก็ไม่มี อยากเป็นพรหมก็ไม่มี พอเราตัด 3 อย่างนี้ได้เป็นพอจิตใจรัก พระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ช้าจิตมันก็เป็นสุข ท่านบอกว่า
    นิพพานัง ปรมัง สุขัง ถ้าชาตินี้มันไม่เป็นสุข ตายไปแล้วจะไปพบสุข อันนั้นไม่ได้ ต้องจิตเป็นสุขก่อน
    ถูกด่าก็เป็นสุข อยากด่า ก็ปล่อยให้มันด่าสบาย เดี๋ยวมันก็แพ้เรา
    เอ้า เวลาล่วงเลย ไปมากแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติพระกรรมฐาน กันเสียที ขอสรุปว่า ขอให้ท่านรักษาอารมณ์ที่ ประพฤติปฏิบัติมา และทรงอยู่ อารมณ์นั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ต่างทำร่วมกันมาทุกอย่าง จึงขอบรรดาท่านทั้งหลายพยายามทบทวนกำลังใจของท่านว่า
    <table border="0" width="52%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" width="4%">1. </td> <td class="webbody" width="96%">ทานบารมี เราทำครบถ้วนแล้ว </td></tr> <tr> <td class="webbody">2.</td> <td class="webbody">ศีลบารมี เราฝึกฝนไว้ดีแล้ว </td></tr> <tr> <td class="webbody">3. </td> <td class="webbody">ภาวนาปฏิบัติ เราทำไว้ครบถ้วน </td></tr></tbody></table> ฉะนั้น จงรักษากำลังใจของท่านไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ โดยตั้งจิตคิดไว้เสมอว่า ความเป็นมนุษย์ จะไม่มีสำหรับเราอีก จะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ความเป็นเทวดา หรือ พรหม ก็จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการก็คือ พระนิพพาน เมื่อคิดไว้ดังนี้แล้ว ก็พยายามชำระกำลังใจ ของทุกท่าน ทุกวันว่า อย่าให้ใจ ไปเมาอยู่ในอำนาจ ของความโลภ ถือว่า ทรัพย์สิน ทั้งหลายที่เกิดมา มีทรงได้ก็สลายตัวได้ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แต่เมื่อทรงอยู่ก็ต้องมี ความขยันหมั่นเพียร เพื่อความสุขตามอัตภาพ
    ประการที่สอง ทำจิตให้อภัยแก่คนที่ทำความผิดอยู่เสมอ เว้นไว้ แต่ว่า ถ้าผิดระเบียบวินัยต้องลงโทษ การลงโทษก็ลงโทษ เพื่อความหวังดีต่อบุคคลนั้น จะได้ไม่ทำความผิดต่อไป ถ้ามีคนเขาด่านินทาว่าร้ายเรา ให้อภัยแก่เขา ถือว่า เขาเป็นผู้หลงผิด
    ประการที่สาม คิดอยู่ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ มันเป็นโทษ มันเป็นภัย ที่เราเกิด มาได้ ก็เพราะ อาศัยตัณหา ดึงเรามา เวลานี้เราพบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขึ้นชื่อว่าความ ต้องการ คือ ความอยาก อันเป็นตัณหา อยากจะมีร่างกาย อย่างนี้ไม่มีสำหรับเรา อยากจะเป็นเทวดา หรือ พรหมไม่มีสำหรับเรา เรามีความต้องการอย่างเดียวคือ
    ธรรมะฉันทะ ความพอใจในธรรม ได้แก่พระนิพพาน
    สำหรับการฝึกจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การทรงจิตมีความสำคัญควรฝึกไว้เสมอ ๆ เพื่อเป็น การทรงอารมณ์ เพราะบรรดาท่านทั้งหลาย ก็ทราบอยู่แล้วว่า ความดีที่ท่านทำไว้ สามารถจะเข้า พระนิพพานได้ในชาตินี้ หากว่า ท่านไม่ประมาท
    ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านทุกคนตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น รักษากำลังใจตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
    เมื่อคุณอ๋อยศิษย์คนสำคัญ ของหลวงพ่อ ตายลงไป บรรดาศิษย์ที่เหลือทั้งหลาย ต่างก็อยากจะทราบว่า คติของคุณอ๋อยเป็นอย่างไร จะได้ผลแค่ไหน ซึ่งก็เป็นธรรมดา ที่จะต้องรู้สึก เช่นนั้น โดยเฉพาะ คุณเสริมมีความเป็นห่วงอยู่ว่า ในขณะที่ตายนั้น คุณอ๋อยไม่มีสติ คือ ไม่รู้สึกตัว เหมือนคนนอนหลับ แล้วตายในขณะหลับ คงจะตั้งจิตไม่ได้ดีกระมัง ไม่เหมือนเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งลาพระเรียบร้อยแล้วโดยยังมีสติดี จึงต้องคอย ถามจากที่พึ่งคือ หลวงพ่อ
    คืนวันที่ 12 มกราคม 2521 คืนวันที่คุณอ๋อยตาย และเป็นวันที่ตั้งศพ สวดพระอภิธรรม คืนแรกนั้น หลวง ่อ มาถึงตอนเกือบ 2 ทุ่ม พอถึง ใคร ๆ ก็เข้าไปรุมถาม หลวงพ่อ ให้คำตอบว่า พระท่านสั่งมาว่า ถ้าใคร ถามเรื่องนี้ให้ ตอบว่า "กายใสเป็นแก้ว จิตเป็นประกายพฤกษ์" คุณเสริม ได้ยินคำนี้ รู้ว่า คุณอ๋อยไปดี ไม่ตกต่ำ หน้าบานเป็น กะโล่ หุบยิ้มไม่ลง จนเจ้าตัวออกจะสงสัยว่า ใคร ๆ คงนึกว่า หมอคนนี้ดีใจที่เมียตาย บรรดาศิษย์อื่น ๆ ก็ยิ้มย่องผ่องใสโดยทั่วกัน ทำให้งานศพนี้ผิดกับศพอื่น คือ ไม่มีใครร้องไห้เลย มัวแต่ดีใจกันหมด บรรดาแขกคงจะแปลกใจตาม ๆ กัน
    แต่อาจารย์ เป็นอย่างไร ศิษย์ก็มักเป็นอย่างนั้น คือ หลวงพ่อ ท่านชอบ ทดลอง ชอบพิสูจน์ ลูกศิษย์ ก็เอาอย่าง กล่าวคือ ได้ยินคำตอบนี้แล้ว ยังต้องอุตส่าห์ไปสอบจากทางอื่น อีกหลายทางจนได้ ทางแรกพิจารณา เอาจากดินฟ้าอากาศ ในขณะที่ พระราชทานเพลิง ซึ่งแต่เดิมมีแดดจ้า แต่พอแขกมาเป็นส่วนใหญ่ ฟ้าก็ครึ้ม มีฝนโปรย เป็นละอองละเอียด อาการของดินฟ้าเช่นนี้ ตรงกับที่จำได้ว่า หลวงพ่อบอกไว้เมื่อ คราวไปทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าจอมกิตติที่เชียงแสนว่า ไปคราวนั้นฝนจะตก เพราะเป็นพิธีใหญ่ ที่พระเสด็จมามาก เมื่อใดที่พระองค์ใหญ่ ๆ เสด็จ เทวดาจะมาชุมนุมมาก ฝนจะต้องตก ในคราวนี้ก็เช่นกัน จะเป็นสภาพอากาศเป็นไปโดยธรรมชาติ หรืออย่างไร ก็เหลือที่จะเดา ถือเอาว่า เป็นนิมิตดี ก็แล้วกัน
    ทางที่สอง คุณรัชนี เจนรถา คน "ตาดี" ของพวกเราบอกเพื่อนฝูงที่งานพระราชทานเพลิงว่า เห็นคุณอ๋อย ลอยวนเวียน อยู่รอบเมรุ แต่งกายสวยงามมาก
    ทางที่สาม ผู้มีตาดีผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งเล่าว่า
    "คุณอ๋อยนี่ถ้าหากว่า เราสามารถ จะเห็นได้นะ ความจริง เขามาทุกคืน ฉันว่า เขาอยู่นี่ ตลอดแหละในช่วงที่เรา ทำบุญนี่ ดีไม่ดี เวลานี้ เขาอาจจะมายืนยิ้ม ๆ อยู่ก็ได้ เขามีภาพ สวยสดงดงาม รัศมีสว่างจ้า ที่เขามีสภาพแบบนี้ เป็นเพราะ อาศัยอะไร เป็นสำคัญ สมบัติของคุณอ๋อย ที่ได้แบบนี้ พวกเราทั้งหมดก็ทำร่วมกันมาใช่ไหม พอเขาบอกว่า จะทำบุญอะไร ใครบ่นรำคาญมีบ้างไหม มีแต่ ต่างคนต่างควัก ถ้ายอดเงินมันขาด ต่างก็แย่งกันเติมเสีย จนเกินแล้วเกินอีก ไอ้ทรัพย์ที่ออกมานี่ มากหรือน้อย ไม่สำคัญ สำคัญที่ กำลังใจ คนมีสตางค์น้อยให้น้อย แต่ว่ากำลังใจมันเท่ากัน ให้เท่าที่จะให้ได้ เป็นอันว่า กำลังใจของคนทุกคน น่ะสม่ำเสมอกับคุณอ๋อย เวลานี้คุณอ๋อย เขาตายไปแล้ว ขนาดเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็ดี พรหมก็ดีสวยสู้เขาไม่ได้ แต่เขาอยู่ไหนฉันไม่รู้นะ ไม่รู้ที่เขาหรอก เห็นเขามานี่ ฉันไม่ได้ ไปดูบ้านเขา เห็นไหม เขาสวยขนาด นั้นได้ พวกเราก็สวยขนาดนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ ถ้าใครจะถือเป็นเรื่อง ของอากาศก็ตามใจ งานศพ คุณอ๋อยวันนี้รู้สึกว่า อากาศมันครึ้มนะ ครึ้มนี่จะว่า พยับเมฆ หรือ พยับหนาว มันจะมาก็ตามใจญาติโยม แต่ความจริงฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร มันอยากจะครึ้มก็ครึ้ม มันอยากจะแจ๋ก็แจ๋ ตามเรื่องตามราว เราก็นั่งคุยกันผ่อนคลายความเหนื่อย แต่สักประเดี๋ยวหนึ่งได้ยิน เสียงกระชาก ๆ ข้างหลังว่า นี่ นั่งมุดหัวคุย อยู่นั่น แหละ ดูเสียบ้างอะไรมาข้างหน้าข้างหลัง เหลียวหลัง ชำเลือง ๆ ดูใครพูดหว่า เสียงว่า มาอีกว่า มันจะเห็นอะไร ดูข้างบนนี่ แหงนขึ้นไปดูอะไร เสียงบ้างซี ดูก็เห็น แพรงพราว อยู่ในอากาศ เต็มไปหมด สวยบอกไม่ถูก เสียงมาอีกว่า นี่ อย่าเสือกดูข้างบน เขาให้ดูข้างล่างแล้วกัน นึกว่า ให้ดูข้างบน ท่านบอก ดูคนที่มันมา วันนี้ทั้งหมดน่ะ ไอ้พวกที่มาจริง ๆ แล้ว เอาจริงนี่นะ คนพวกนี้ 80 เปอร์เซ็นต์มันไปอย่างอ๋อยทั้งนั้นแหละ ท่านว่า ยังงั้นแหละ บอกให้ดูตรงนี้ ไอ้เราไปดูข้างบน เห็นพราวแพรว สวยไปหมดอากาศ หาที่ว่างไม่ได้เลย"
    ต่อไป เป็นเรื่องของ โยมพวง โยมพวงเป็นอุบาสิกา อยู่ที่วัดท่าซุง กลางคืน แกหาบของ มาที่วัด ทำกรรมฐานแล้วนอนค้าง เช้ามืด แกก็รีบกลับ โยมพวงเป็นคน "ตาดี" คนหนึ่ง แต่เดิมแกเห็น พระนิพพานไม่ได้ หลวงพ่อ ให้แกทำวิปัสสนามาก ๆ แกทำไปทำไป แกก็มองเห็นได้ แต่แกไม่เคยฟัง เกร็ดความรู้ต่าง ๆ หลักกรรมฐานของหลวงพ่อ พอเลิกกรรมฐาน แกก็กราบลาไปนอน คราวหนึ่ง แกสงสัย ก็ถามหลวงพ่อว่า บนนิพพานน่ะผู้หญิงอยู่ได้ ด้วยหรือ หลวงพ่อตอบว่า ทำไมจะไม่ได้ ถามทำไมล่ะ โยมพวงตอบว่า เห็นคุณ อ๋อย อยู่บนนั้น นี่ก็เป็นเรื่องของ โยมพวงแกเห็นไปเอง
    เรื่องประเภทนี้ เคยมีคนเรียนถาม หลวงพ่อว่า
    ในนิพพานไม่มีขันธ์ไม่มีรูป ทำไมจึงเห็นเป็นรูปท่านเหล่านั้นได้
    หลวงพ่ออธิบายว่า
    แล้วแต่ท่านเหล่านั้นจะทำให้เห็น ส่วนมากถ้าท่านให้เห็น ท่านก็ให้ปรากฏเป็นภาพขณะยังไม่ตายเพื่อจะได้จำได้ เวลาพูดก็ใช้ถ้อยคำเหมือนเดิม มิฉะนั้นก็จะไม่รู้กัน จะเข้าใจว่า เป็นคนอื่น ถ้าท่านไม่ให้เห็นก็ เห็นไม่ได้
    อีกทางหนึ่งที่คณะของคุณอ๋อยเคยใช้กัน คือ การทรงกระดาน ที่ทั่วไปเรียกว่า ผีถ้วยแก้ว การทรงกระดานนี้ มีขณะบุคคลเรียกชื่อว่า คณะพรสวรรค์ ดำเนินการอยู่ ถือว่า เป็นการทดลองการศึกษาอย่างหนึ่ง ปรากฏว่า การทรงกระดานเป็นประโยชน์ในหลายกรณี เช่น สอบถามในปัญหาปลีกย่อย หรือปัญหาทางโลก ซึ่งไม่ควรถาม จากอาจารย์ของตน จะว่า ตามภาษาฝรั่งว่า เป็น "ฮ้อบบี้" ก็ได้ ผู้ที่ร่วมอยู่ในวงล้อม มีการศึกษา ทราบอยู่แก่ใจว่า ในวงการนักวิทยาศาสตร์แล้ว เขาถือว่า เรื่องเช่นนี้ เป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย เพราะฉะนั้นเมื่อได้ความรู้ จากการทรงกระดานแล้ว ก็ไม่ได้เอาไปเป็นเครื่องยืนยัน กับผู้อื่นว่า เป็นจริง อย่างนั้น อย่างนี้ คือ รับฟังไว้ด้วย ความสนใจเท่านั้น
    ในกรณีที่มีการตายเกิดขึ้น คณะของคุณอ๋อยไปหาความรู้จาก การทรงกระดาน ซึ่งปรากฏผลดังนี้ คือ
    16 กุมภาพันธ์ 2520 วันสิ้นชีพิตักษัย ของเสด็จพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต นิมนต์หลวงตาแสงมาถาม
    ถ. (ถาม) หลวงตาคงทราบเรื่องท่านหญิง
    ส. (หลวงตาแสง) สบายไปแล้ว
    ถ. ขอให้หลวงตาเล่า
    ส. เขาทำพิธีรับ พึ่งเสร็จ รีบ ๆ ทำกันไว ๆ หมั่นสำรวจทุกข์ ที่มีต่อกายต่อใจ ที่กระทบ ฉะนั้น เรื่องนี้เป็นข้อพิสูจน์
    1. ว่ายึดมั่น เชื่อในพุทธานุภาพ
    2. เชื่อและรู้ ในสัจธรรมของมวลมายา
    3. รู้ในภาวะตนเองของจิต เมื่อกระทบกับความเป็นจริง
    4. รู้ทุกอย่างว่า อนัตตา
    ถ. ก่อนจะสิ้นท่านรู้ตัวหรือเปล่า
    ส. รู้
    ถ. รู้ก่อนสัก 7 วันได้หรือไม่
    ส. เขารู้ รู้ในภาวะของจิต มิใช่รู้อย่างรู้หนังสือ
    ถ. ก่อนสิ้นท่านเป็นพระอริยะอยู่ก่อนหรือเปล่า
    ส. เป็น
    ถ. ระดับไหน
    ส. สอง
    ถ. คนดี ๆ ทำไมไม่อยู่เพื่อประเทศชาติ
    ส. คนดี ๆ เขาก็หนีไปเสวยวิมุติสุข
    ต่อไปเสด็จพระองค์หญิง (ว.) ก็เสด็จ
    ว. ว่าไงจ๊ะ พี่โย่ง ตามหญิงนะทุก ๆ คน หญิงเป็นสุขที่สุด ไม่มีอะไรสุขมากเท่านี้อีกแล้ว
    ถ. จะพยายามเพคะ
    ว. ต้องไปให้ได้นะพี่ ทุก ๆ คนด้วยนะจ๊ะ หญิงคอย
    ถ. หลวงพ่อช่วยยังไงเพคะ
    ว. ตั้งอารมณ์ให้หญิง
    ถ. ทรงมีทุกขเวทนามากหรือ
    ว. ก่อนโดนมันยิงก็รู้สึก หวิว ๆ แล้ว เมื่อโดนยิง รู้สึกชาไปทั้งตัว แล้วระลึกถึงหลวงปู่ พอเริ่มหน้ามืด ก็รีบจับลมภาวนา เพราะรู้ตัวว่า คงไปไม่รอดแน่ ทุกครั้งที่หญิง มาทำงานแทนในหลวง ก็จุดธูปก่อนทุกทีแล้ว รู้สึกตัวให้เหมือนว่า เราทำงานทุกครั้ง ต้องมีภัยแน่ ๆ โธ่ ไปทำงานก็ต้องเตรียมไว้ ไปทำในแดน ผกค. ก็ ต้องเตรียมแล้ว หญิงสังหรณ์ตั้งแต่ทำบุญสุโขทัยแล้วว่า แม่ต้องมารับ
    ถ. ที่ท่านแม่ย่ามากอด ?
    ว. ใช่ รีบ ๆ กันซีพี่โย่ง
    ถ. จะสำเร็จแค่ไหน
    ว. ยึดหลวงพ่อและหลวงปู่ให้มั่น ๆ
    ถ. เมื่อกี้ทำพิธีอะไร
    ว. บวช
    ถ. ท่านอยู่ในภาวะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
    ว. จิต บวชนี่ไม่ใช่บวชมีนาคอะไรนะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัส "เอหิภิกขุ"
    ถ. คนเวลาไปนิพพานต้องบวชทุกคนหรือ ?
    ว. ถวายตัว
    ถ. พวกเราดีใจที่ท่านหญิงเป็นองค์นำหน้า
    ว. เราชนะแล้วนะ
    ถ. เป็นไปได้ยังไง รวดเร็วมาก
    ว. ธรรมดาพี่ เอาแน่อะไรไม่ได้
    ถ. มีอะไรจะให้พวกเรารับใช้ก็ได้
    ว. ดูหลวงปู่ หลวงพ่อ เพราะเป็นหลักใหญ่ที่ทุกคนจะไปสู่นิพพานได้
    ถ. ที่หลวงพ่อเคี่ยวเรื่อง นิพพาน ตั้ง 3 คืน ท่านบอกว่า ไม่ใช่ท่าน เคี่ยวเอง ที่เคี่ยว เพราะมีคนจะได้ นั่นหมายถึง ท่านหญิงหรือเปล่า
    ว. นั่นแหละ เธอก็ได้ธรรมะ โธ่ สำคัญอารมณ์ตอนตายนิดเดียวเท่านั้น จริงๆ นะ
    ถ. หลวงพ่อนำไปหรือ
    ว. ท่านตั้งอารมณ์ให้เท่านั้น นอกนั้นอยู่ที่เรา
    ถ. ภาวนา พุทโธ หรือว่า นิพพานัง
    ว. พุทโธ
    ถ. ท่านทรงเห็นพระนิพพานก่อนจะสิ้นหรือ ?
    ว. พระท่านมา
    ถ. ที่รับสั่งว่า "สว่าง" ?
    ว. จ๊ะ
    ถ. ท่านไม่ห่วงข้างล่างหรือ
    ว. ไม่รู้จะห่วงทำไม ช่วยได้ แต่อย่าห่วง หญิงรู้ก่อนแล้ว เขียนพินัยกรรมก่อนแล้ว
    ถ. ที่หลวงปู่บอกว่าท่าน "หมดกรรม" ทรงจำได้ ?
    ว. ได้ ถึงได้เตรียม หญิงไม่นึกเลยว่าจะตายอย่างมีเกียรติ นึกว่าคงหง่อมตาย
    ขอบใจมาก ๆ นะทุก ๆ คน สิ่งใดที่หญิงเคยล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ ขออโหสิกรรมด้วย ทุก ๆ คนจะได้ ไปสบาย ๆ หมั่นอโหสิกรรมกันนะ จะได้ไม่มีการจองเวร
    ต่อจากนายสิบตำรวจพัว ชระเอม ตายด้วยโรคมะเร็ง จ่าฯ คนนี้มีจิตศรัทธาในหลวงพ่อมาก เคยถวายทาน ใหญ่ ๆ หลายหน หลวงพ่อโทรศัพท์ทางไกล มาแจ้งว่า เจ้าตัวเขาขอให้เชิญทรงกระดาน จ่า ฯ ผู้นี้ จะพูด ว่า ไม่เคยพบหน้ากันกับกลุ่มคุณอ๋อยก็ว่าได้ เมื่อ 10 มีนาคม 20 ขณะที่ทรงกระดานกันอยู่ ก็มีผู้เดินกระดานว่า "คนเฝ้าเยอะนะ ผมหมายถึงเทพ"
    ถ. ท่านพัวหรือ
    พ. ใช่ครับ
    ถ. อยากให้ช่วยเล่า เพราะ เป็นคนที่ 2
    พ. พระท่านมารับฮะ
    ถ. เห็นว่าจะไปไหว้พระที่จุฬามุนีสัก 3 วันก่อน แล้วไปหรือเปล่า
    พ. ไป สวยมาก
    ถ. ตอนอยู่จุฬามุนีเห็นพระนิพพานไหม
    พ. พระท่านบอก
    ถ. ตอนป่วยจิตใจเป็นอย่างไร
    พ. ตอนจะไปรู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยคล่อง มีเจ็บบ้างก็พยายามจับ "พุทโธ" คิดว่าไม่เอาอีกแล้ว ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น มันรู้สึกเบื่อขึ้นมา ในขณะนั้น ก็รู้สึกสบาย แปลก ๆ รู้ตอนหลัง พระท่านบอกว่า อารมณ์ ตอนสบายนั้นอยู่ในภาวะฌาน เบื่อฮะ ที่ต้องนอนต้องกินยาอะไรจุกจิก จิตใจไปจับพุทโธเข้า แล้วเพ่งที่เบื่อเป็น อารมณ์ เลยไปๆ มาๆ ก็เป็นเอกัคตา คิดทวนไปทวนมาก็คิดว่า ไม่เกิดตามหลวงพ่อสอนดีกว่าเหมือนกับ เราตกลงใจ อะไรสักอย่างที่แน่นอน นั่นแหละครับ ถึงอยากให้ท่าน ๆ ทั้งหลาย ได้เอามา เป็นแนว นิด ๆ หน่อย ๆ บ้าง
    ถ. ตอนใกล้ ๆ มีการทุรนทุรายไหม
    พ. ตอนนั้นผมไม่รู้ เพลินไป รู้แต่ว่า พอคิดได้ พระท่านก็มาเรียกไป
    ถ. เรียกยังไง
    พ. ท่านก็ว่า "ลูกสบายแล้ว ลูกตัดสินใจถูกแล้ว มาหาซิ ลูกจะไม่มีทุกข์แล้ว"
    ถ. เห็นฉันพรรณรังสีไหม
    พ. สว่างมากครับ
    ถ. มองเห็นตัวเองไหม
    พ. เห็นฮะ
    ถ. ลักษณะยังไง
    พ. ก็ศพธรรมดา เห็นศพตัวเองสังเวชใจ ยิ่งเห็นคนร้องไห้ก็สงสาร สงสารที่เขารักตัวปลอม

    ถ. บวชวันนี้หรือ
    พ. ฮะ ที่พระจุฬามุนี พอออกไปพระท่านก็เรียก "เอหิภิกขุ"
    ถ. สภาพร่างบนนิพพานเป็นอย่างไร
    พ. เป็นพระฮะ ตามไปนะฮะ
    ถ. จะพอประทานรสชาติบนพระนิพพานได้ไหม ?
    พ. อย่าไปติด บรรยายเลย เพราะ ความสวย เอาไปไม่ได้ฮะ ฟังแล้ว ก็แค่ชื่นใจ ประเดี๋ยวเดียว สู้หมั่นฝึก หมั่นละดีกว่า
    ถึงคราวคุณอ๋อยตายบ้าง พรรคพวกก็เชิญมาคุยกัน ตามธรรมเนียม (คุณอ๋อย สิ้นเมื่อ 12 มกราคม2521 วันที่ 14 มกราคม 2521 เป็นวันนัดทรงกระดาน )
    อ๋อยขอบคุณมากนะจ๊ะทำใจได้ไหมจ๊ะ อ๋อยสบายดีมากเลย ได้พบทุก ๆ องค์ไปไหนก็สบาย
    ถ. ที่รัชนีเห็นภาพสมเด็จ ฯ ประทานม้วนอะไรให้
    อ. ให้ตัดเรื่องห่วงวัด ท่านทรงให้ดูพยากรณ์ของวัดและหลวงพ่อ
    ถ. อารมณ์ที่ทำจิตได้นั้นตอนไหน
    อ. ก่อนตาย ถ้าทำได้ก็ไม่พ้นวัน
    ถ. มีความรู้สึกยังไง
    อ. ทุกข์เกิด เป็นห่วงหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อท่านมา ท่านสอนไม่ให้ติดในตัวบุคคล อยากให้ทุกคนรีบขึ้นไปจัง อิสระจริง ๆ ไปไหนหรือหาใครก็สะดวก ได้ไปกราบพระจนชุ่มใจจริง ๆ
    ถ. ตอนเสวยวิมุติสุข เป็นยังไง
    อ. เบา อิ่มใจ สบาย เบาใจ สดชื่น เสียดายว่า เราโง่ตั้งนาน พวกเราไปได้ทุกคนเลย มีความสุขจริง ๆ
    ถ. ตอนไป ไปในฌาน 4 หรือ
    อ. ฌาน 4
    ถ. คนไม่ได้ฌาน 4 ทำไง
    อ. ถึง แต่ไม่รู้
    ถ. ถึงในขณะพิจารณาหรือว่าเวลาทำสมาธิ
    อ. ถึงทั้งเวลาพิจารณาและอยู่เฉย ๆ ตอนยังไม่ตายเคยได้อะไรที่ไหน
    ถ. อยากถามเรื่องฌาน
    อ. อย่าเพิ่งถามเลย ยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองไปได้ยังไง ขอศึกษาก่อนนะ
    ถ.พระรูปของสมเด็จ ฯ องค์ปฐม ท่านเสกให้หรือเปล่า
    อ.เดี๋ยวนี้ท่านก็เสด็จ
    ถ. ตอนก่อนตายคงจะมารับกันมากกระมัง
    อ. มากันมาก เห็นแล้วตกตะลึง
    ถ. มารับก่อนสิ้นใจหรือ
    อ. ใช่ สวยมาก ๆ สมเด็จ ฯ ทรงฉันพรรณรังสีสวยที่สุด
    ถ. หลวงตาบอกว่า จะอาการหนักเดือนกุมภาพันธ์ ทำไมจึงไปเสียก่อนได้
    อ. ขืนอยู่ก็ต้องครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างนั้น ต่อมาเมื่อ 25 มกราคม 2521 (พระราชทานเพลิงเมื่อ 19 มกรา คม 2521)
    ถ. ขอทราบชื่อข้างบน
    อ. มี 2 ชื่อ ที่เรียกทั่วไปชื่อหนึ่ง เฉพาะชื่อหนึ่ง เอาชื่อไหน
    ถ. เอาทั้ง 2 ชื่อ
    อ. ทั่วไปเรียก "แม่อ๋อย" ชื่อเฉพาะเรียก "ธรรมภิกขุ" ท่านเห็นว่า อ๋อยเลี้ยงพระมาก รู้หรือเปล่าว่าอ๋อยไป เพราะเลี้ยงพระนะ
    ถ. จิตตอนใกล้จะดับเป็นยังไง
    อ. ตอนนั้นพิจารณาความทุกข์ของร่างกายว่ามันเลว ใจเลยสบาย คือ เราอย่าไปคิดเจ็บตามไปกับร่างกาย อารมณ์เหมือนคนเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งรู้สึก นั่นแหละ จะรู้สึกเบาขึ้น ๆ เรื่อย ๆ จนใจเรา จับอยู่ที่พระจะเห็น พระท่านใสขึ้น นั่นแหละที่ตัวเราแยกออกโดยแท้เลย ที่จริงอ๋อยหลุดไปเกือบวันหนึ่งแล้วนะ อ๋อยถึงได้เห็นร่างและได้พิจารณาร่าง เรามีพระชั้นเยี่ยม ๆ นะ จับท่านไว้ให้ดี
    ถ. ตอนเผาที่มีฝนปรอยน่ะ พี่อ๋อยทำหรือ
    อ. พระย่ะ
    ถ. เริ่มตัดเมื่อไหร่ ?
    อ. วันที่ 11 นะจ๊ะ ตอน 3 ทุ่ม รู้สึกปวดมาก จะเหมือนวันอาทิตย์ ทนแทบแย่ ใจฉันก็นึกถึง หลวงพ่อ ท่านอยู่ว่า ท่านจะให้อยู่ ก็ต้องขอไม่ทรมาน แล้วอารมณ์ก็ชัก เคลิ้ม ๆ พิจารณาว่า ร่างเรานี่ มันทรมานจริง ๆ แค่นั้นเอง หลวงพ่อท่านก็ปรากฏขึ้น ใจคิดนะ แต่ไม่เหมือนหลวงพ่อตอนนี้หรอก สวยมาก ใจเลยจับที่ท่านกับสมเด็จองค์ปฐม
    พอดีตอน 4 ทุ่มกว่า ๆ หลวงปู่ (ธรรมไชย) ท่านก็มาทำพิธี ตอนนั้นจิตยัง กึ่งห่วง กึ่งยังไม่ห่วงอยู่ ใจยังได้ ยินเสียงหลวงปู่ ชัดมาก เลยได้ฟังท่าน สวดอะไร จนเคลิ้มอีกครั้ง คราวนี้ ก็ได้พบพระมากมาย หลวงพ่อ หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสนใหญ่ก็มา ท่านให้กำลังใจมาก โดยเปล่งฉันพรรณรังสี เห็นคราวนี้ติดตา พร้อมกับได้ฟังเทศน์ หลวงปู่ อีกครั้งในเรื่องของ ทุกข์ชาดก จิตเลย พิจารณาตาม ดูตัวเองที่นอนอยู่ดูกาย (ใหม่) ที่ดีกว่า สังขาร ขันธ์ 5 แล้ว หลวงพ่อท่าน จึงชวนไปดูที่อยู่ใหม่ ตอนนั้น สมเด็จฯ ตรัสว่า ยังติดห่วงงานของวัดของหลวงพ่อ เป็นตัณหาอย่างหยาบๆ อยู่ เลยต้องพิจารณาทบทวน ท่านทรงพระเมตตา แสดงภาพในอนาคต ให้ปรากฏขึ้น ฉันเลยสบายใจขึ้น
    ตอนตี 3 ต่อตี 4 เมื่อจิตทบทวนไปมา เรื่องภาระต่าง ๆ เรื่อง วัดหลวงตา เรื่อคุณ และ ลูก ๆ พร้อมทั้ง ดูสังขขารตัวเอง ว่า จะมีแต่จะทรุดลง ๆ แล้วยัง ทำความลำบาก ให้กับอีกหลายคน ไหน ๆ ก็จะทิ้งแล้ว ไม่ต้องให้ใครเขามาลำบากกับเราอีก เมื่อจิต เราคิดเพียงเท่านี้ ใจเลยเป็นสุขอิ่ม เหมือนกับเรา ตัดสินใจตกลงใจจะเอาอะไร อย่างหนึ่งแน่นอน นั่นแหละที่เรียกว่า วิมุติสุข
    ถ. ตอนจิตออกไป ไม่รู้ตัวใช่ไหม
    อ. จ้ะ เหมือนคนเคลิ้ม ๆ แล้วเลยไป
    ถ. อย่างนนี้ก็เป็นฌาน 4 หรือ
    อ. จ้ะ
    ถ. จิตไม่ได้จับพระนิพพานหรือ
    อ. จับซีจ้ะ จับตลอดเวลา นี่เล่าให้ฟังถึงความรู้สึก

    ถ. ทิ้งร่างไปตั้งแต่ตอนตี 4 หรือ
    อ. ใช่จ้ะ ร่างมันทำงานของมันไปจนกว่าถ่านจะหมด
    ถ. แล้วอยู่ตรงนั้นจนกี่โมง ถึงได้ไปข้างบน
    อ. เคลื่อนไปอยู่เรื่อย ๆ เพราะท่านพาไปดู
    ถ. ไปแล้ว เขามีพิธีอะไรบ้าง
    อ. วันนั้นแหละจ้ะ ท่านก็เรียกเป็น เอหิภิกขุ
    ถ. กระดูกพระอรหันต์ เขาว่า ต้องเป็นพระธาตุ ?
    อ. อยู่ที่อธิษฐานจ้ะ ใครจะไปรู้ว่าจะได้เป็นล่ะจ๊ะ
    ถ. บนนิพพานมีเพศหรือเปล่า
    อ. ไม่มีจ้ะ
    ถ. คุณอ๋อย เป็นภิกษุ หมายถึงเป็นผู้ชายหรือ ?
    อ. พระค่ะ เราอย่าไปติดเพศซีคะ
    ถ. พวกสุกขวิปัสสโก บางทีมีคนเขาไปเห็นอยู่ข้างบนนั้น ไปได้ยังไง
    อ. กายทิพย์ไงคะ กายบุญ เหมือนเราทำหุ่นไว้นั่นแหละ
    นี่ก็เป็นเรื่องของการทรงกระดาน ฟังกันไว้เล่น ๆ หรือพูดว่าฟังกันไว้สนุก ๆ ดีกว่า สำหรับตัวคุณเสริมเอง นั้นมีความสงสัยไม่หายว่า เมื่อพระท่านทำพิธีให้อย่างใหญ่โต และ หลวงพ่อบอกว่า หาย แล้วทำไมจึงตายได้ พอดีตอนที่หาหลักฐานต่าง ๆ สั่งให้ผู้เขียนรวบรวมนั้น บังเอิญพบพระดาษกำหนดการพิธี ซึ่งหลวงพ่อ พิมพ์เองตามคำสั่งของพระท่านปรากฏว่า มีใจความ ดังนี้
    กำหนดบำเพ็ญกุศลพิเศษ
    (1) เจริญพระกรรมฐานเสร็จ ผู้บำเพ็ญกุศลคลุมตัวด้วยผ้าขาวประคองรูปเปรียบซึ่งมีสายสิญจน์ผูกติดอยู่ ด้วยสายสิญจน์ พระถือไว้ทุกรูป
    (2) ในเวลาเดียวกันนั้นพระสวดมาติกา เสร็จแล้วบังสุกุล (ตาย)
    (3) หลังจากนั้น เอารูเปรียบใส่ไว้ในถาดหรือสังกะสี เริ่มจุดไฟเผารูปเปรียบหรือรูปแทน พระสวดหน้าไฟ (พระอภิธรรม 7 บท)
    (4) เมื่อพระสวดเสร็จ ผู้บำเพ็ญกุศลถวายไทยทาน แด่ภิกษุสามเณรทุกรูป เมื่อถวายเสร็จแล้ว ใช้ผ้าขาวคลุมตัว พระสงฆ์บังสุกุล (เป็น) แล้วให้พร
    (5) ขณะที่พระให้พร ขอให้ผู้บำเพ็ญกุศลนึกถึงเจ้ากรรมทั้งหลายที่เคยถูกกระทำมาในกาลก่อนทั้งหมด คือ ก่อนวันนี้ เรื่อยลงไปถึงในอดีตทั้งหมด ขอให้อโหสิกรรมและอนุโมทนา
    (6) พระให้พร (ยถา) แล้วใช้สวด อัตถลัทธา จบแล้วใช้ มงคลจักรวาลน้อย ภวตุสัพ ฯ เป็นเสร็จพิธี ตอนที่ พระให้พร ให้ผู้บำเพ็ญกุศล และคนอื่น ร่วมกับการรับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์
    (7) หลังจากนั้น เรื่องของหมอ หมดภัยในวัฏฏสงสาร
    พิธีนี้ทำเมื่อ 16 กรกฎาคม 2520 ก่อนวันตายถึง 6 เดือน ไม่มีใคร เอาใจใส่กับคำว่า "หมดภัยในวัฏฏสงสาร" ไปทึกทักกันเองเอาว่า หมายความว่า หายจากโรคกันหมด ซึ่งก็เป็นการดี ไปอย่างหนึ่ง คือ ดีแก่กำลังใจของครอบครัว คติของคุณอ๋อย ที่พวกข้างหลังอยาก จะรู้มีผลเป็นประการใด ก็ได้นำมาแสดงไว้แล้ว คุณอ๋อยจะไปอยู่ที่ไหน ผู้ที่รู้ เองเห็นเองไม่ได้ ก็ย่อมจะไม่มีความแน่ใจลงไปได้ ที่แน่ใจได้นั้น คือแน่ใจว่า คุณอ๋อย ไปสู่สุคติ แน่นอน เป็นกำลังใจ แก่เพื่อนในทางธรรม ที่จะตั้งจิตปฏิบัติเพื่อผลสูงสุด อันเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา ได้ไม่น้อยทีเดียว
    บัดนี้ เป็นกาล อันสมควร ที่จะยุติเรื่องคุณอ๋อย ได้แล้ว ผู้เขียนไม่ตั้งใจ จะยกย่อง ยืนยัน หรือ ช่วยอวดอ้าง สรรพคุณ ของคณะปฏิบัติธรรมคณะนี้ว่า จะดีกว่า วิเศษกว่าคณะอื่น แต่อย่างใด เพียงแต่ประสงค์จะให้เป็น เครื่องยืนยัน ในการปฏิบัติธรรม ตามคำสอนขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติตามได้จริง มีผลประเสริฐจริง เท่านั้น

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  7. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="578"><tbody> <tr> <td colspan="3" valign="top"> <table class="webbody" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="webbody" height="33" width="749">
    ขุนช้างขุนแผน<!-- #EndEditable -->​
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td height="206">
    </td> <td colspan="3" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--> <tbody> <tr> <td valign="top"><!-- #BeginEditable "detail" -->

    (เล่า 22 เมษายน 2521)
    เดินทางมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี พอรถเลี้ยวจากฝั่งนี้ข้ามไปฝั่งตะวันตก เห็นวัดพระธาตุแล้ว เห็นวัดป่าเลไลย์ ตอนนี้ใจหายวาบ เพราะ ปรากฏภาพของบุคคล กลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่คนเดียว เป็นคนกลุ่มหญ่ แต่งตัวสวย สดงดงาม มาถึงก็ยกมือไหว้ มองไปเห็นเป็นคนสำคัญคือ ขุนช้าง
    ขุนช้างท่านเป็นเทวดา คือ เจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จึงถามท่านว่า หน้าตาของท่านเวลานี้สวย แต่ตามนิยายเขาบอกว่า ท่านหัวล้านน่ะ ไม่รู้ว่าหัวใคร แต่หัวผมจริงๆ มันไม่ล้านครับ เป็นหัวเถิกง่ามถ่อ ธรรมดาๆ เท่านั้น ถามท่านว่า สมัยนั้น เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ แล้วก็รับราชทินนาม เป็นขุน ก็เป็นเรื่องน่าแปลก ก็เลยถามว่า เรื่องวันทอง เรื่องขุนแผน กับท่านนี่ ดูแล้วมันเลวจริง ๆ ก็อยากจะทราบว่า เรื่องแห่งความเป็นจริงนั้นมันยังไง เลวทรามขนาดนั้น ก็แสดงว่า บ้านเมือง ไม่มีขื่อไม่มีแปดู เหมือนว่า พระราชาไม่มีความหมาย
    ท่านขุนช้างฟังแล้วท่านก็ยิ้ม บอกว่า มันแย่จริงๆ เรื่องราวในคราวก่อนนี้ ผมกับขุนแผนไม่เคยมีเรื่องร้าย เพราะ เป็นเพื่อนเล่นกันมา ตั้งแต่อยู่วัดเป็นเด็กๆ แล้วต่อมา ก็เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน ถ้าผมบังเอิญ จะไปแย่งเมียขุนแผนอย่างนั้นผมคิดว่า ผมคงจะตายไม่รู้ว่าแบบไหน จึงถามว่า เป็นเพราะอะไรท่านบอก ว่าขุนแผนนี้ มีความรู้ ร้ายกาจมาก ถ้าปรารถนา จะฆ่าคน อย่างผมนี้ มันไม่ยาก ไม่ต้อง ใช้อาวุธ เป็นแต่ เพียงแกหยิบเอาต้นหญ้าขึ้น มาต้นเดียว ต้องการให้ต้นหญ้านั้นเข่นฆ่าผม ผมก็ตายแล้ว
    ท่านขุนช้างนี่ ท่านเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านมาให้เห็นไม่ใช่ว่า ผู้เห็นจะใช้ฌานสมาบัติใช้ฌานอะไร เป็นอานุภาพของเทวดาแสดงให้เห็น อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ผีหลอก คนถูกผีหลอก เขาเข้าฌานสมาบัติ หรือก็เปล่า
    ถามท่านขุนช้างว่า ก็เมื่อท่านเป็นเพื่อนกับขุนแผน แล้วเรื่องร้ายทั้งหลายแหล่ ที่คนเขียนขึ้นนั้นมันมาได้ยังไง ท่านก็กล่าวว่า เวลานั้นเป็นสมัยราชาธิปไตย คนที่อยู่ในสมัยราชาธิปไตยต้องเป็นคนดี มีจริยาดี ทั้งสองคน เป็นขุน ขุนช้างเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็มีความรู้ดี ขุนแผนเป็นคนจนแต่ก็จนอย่างขุนแผน ไม่ใช่จนอย่างยาจก เป็นคนที่มีวิชาความรู้ดี คำว่า จน ก็หมายถึงว่า ไม่ได้มีเงินอย่างเหลือล้นนั่นเอง และขุนแผน เป็นคนมีลูกน้องมาก นอกจากเบี้ยหวัดเงินปี ที่พระราชาให้ ขุนแผนก็ต้องล้วงเงินในกระเป๋าของตนเลี้ยง คนทั้งหลายที่มีกำลังดี เก็บเอาไว้ต่อสู้กับฆ่าศึก ขุนแผนเป็นลูกขุนไกร ท่านบอกว่า ความจริงขุนแผนกับขุนช้างไม่มีเรื่องอะไร มีความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ตอนที่ขุนแผนไปตีเมืองจอมทอง มีคนเขามาแกล้ง แย่งความดีของขุนช้าง คิดจะให้ขุนช้างถูกขุนแผน ฆ่าตาย จึงเอากระดูกคนมาแสดงว่า เวลานี้ขุนแผนตายแล้ว และขุนแผนก็สั่งว่า สำหรับวันทอง ซึ่งเป็นเมียเล็ก เห็นว่า ไม่คู่ควรกับใคร ขอมอบไว้กับขุนช้าง ปกครองด้วย ช่วยรักษาเธอให้มีความสุข
    นี่เห็นไหม เห็นว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขียนกันไปน่ะ มันลอกเปลือกกันมาก
    ถามท่านขุนช้างว่า เวลาท่านตายทำไมจึงไม่ไปเป็นสัตว์นรก ท่านก็ยิ้มแล้วชี้หน้าว่า ท่านล่ะตัวท่านเองทำไม จึงไม่ไปเป็นสัตว์นรก ก็เลยบอกว่า ฉันระลึกชาติไม่ออกนี่ ท่านเป็นเทวดา ท่านรู้ก็บอกซี ท่านบอกว่า สมัยนั้น ท่านขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี (พระบำราบอรินทร์ก็ดี พระยากาญจนบุรีก็ดี สามชื่อนี้ ได้แก่ ขุนแผน คือ พลายแก้ว) คนสมัยนั้นทั้งหมด เขาเป็นนักบุญกัน ท่านก็ชี้จุดต่าง ๆ ให้ดูว่า เมืองสุพรรณ มันดาดาษไปด้วยวัดวาอาราม กรุงศรีอยุธยาก็ดาดาษไปด้วยวัดวาอาราม วัดติดๆ กัน นั่นแสดงว่า คนสมัยนั้นจิตเขา เป็นมหากุศล ทำบุญ ทำกุศล สวดมนต์ ใส่บาตรไหว้พระ เจริญสมถะวิปัสสนากันเป็นปกติ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับขุนแผน ถามขุนช้างว่า จริง ๆ ราชทินนามของท่านก่อนที่ท่านจะตายน่ะ มีราชทินนามว่ายังไง บรรดาศักดิ์น่ะ ท่านบอก ว่าบรรดาศักดิ์ของผมจริง ๆ ก็เป็นพระยา มีนามว่า พระยาภานุมาศ เอ๊ะ ภานุมาศ ก็ช้างซี ? ใช่แล้วพระยาภานุมาศอยู่กับเมืองหลวง มีหน้าที่ควบคุมช้างสำหรับขุนแผนนั้น ได้แก่ พระยากาญจนบุรี แต่เนื้อแท้ จริง ๆ เป็น เจ้าพระยา ในตอนสุดท้าย แต่ทว่า ประวัติศาสตร์หายไป ทั้งสองคน เวลาที่รับราชการอยู่ก็ชอบทำบุญ ตอนพ้น จากราชการก็ไปจำศีลกันในเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนแผน ไปอยู่ที่เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนท่านขุนช้าง ปรากฏว่า หลบไปอยู่ทางเขาราวเทียนภูเขาราว เทียนนี่อยู่ทางหลังอำเภอหันคา สองคนจำศีลภาวนาได้ ฌานสมาบัติ ตายจากความเป็นคน ขุนช้างไปเกิด เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่สำหรับขุนแผน เวลาตายก็เข้า ฌานตาย เพราะมีกำลังใจใหญ่ ตายแล้วไป เกิดเป็นพรหม แล้วท่านก็บอกว่า ขุนแผนขยันเกิด เพราะมีนิสัย ชอบยุ่ง เขาถือว่า คนไทยที่มีน้ำใจดี เป็นคนของเขา เขาถือว่า เป็นพี่เป็นน้องเขา ตายจากสมัยนั้น แล้ว ก็มาเกิดในสมัย พระนารายณ์มหาราช มี นามว่า นายเหล็ก สมัยรัตนโกสินทร์ก็มาเกิดอีก แล้วก็ชอบยุ่งตามเคย อย่ารู้เลย ว่าเป็นใคร
    นี่เป็นเรื่องของขุนช้างขุนแผน ตามที่เทวดาขุนช้างท่านเล่า จริงเท็จอยู่กับท่าน ท่านแถมท้ายว่า อย่าเชื่อ ประวัติว่า ขุนช้างเป็นคนหัวล้าน นั่นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นนิยายที่เขาเขียนขึ้นมาว่า ขุนช้างเป็นคนเลว ความจริงขุนช้างก็ดีขุนแผนก็ดีเป็นคนที่มีระเบียบวินัย เวลานั้นท่านบอกว่า เป็นสมัยพระเจ้าพันวัสสาหรือ ที่เรียกกันว่า พระเจ้าสามพระยานั่นเอง ขุนแผนนั้น ถ้าจะเอาความร่ำรวยกันจริง ๆ แล้ว มันก็รวยกว่าผม แต่ว่า เงินที่มันสะสมไว้มีน้อย ก็เพราะว่า มันแจกเขามาก ขุนแผนจึงรู้สึกว่า ทรัพย์สินที่มีอยู่ในตนจนจริง ความจริงคำว่า ขุนแผนนี้ ไม่มีในทำเนียบของราชการ ชาวบ้านเขาตั้ง ขุนแผนก็ดีขุนช้างก็ดี ชาวบ้านเขาตั้ง ที่เรียกว่า คนเผ่านี้ว่า เผ่าขุนช้าง สำหรับ ขุนแผน ก็เหมือนกัน ที่เรียกว่า ขุนแผน ก็เพราะ มันเป็นคน ออกแบบออกแผนจู้จี้จุกจิก เห็นอะไรไม่ดี ก็จัดสรร กราบบังคมทูลพระเจ้าพันวัสสา พระองค์ก็เห็นด้วยทุก ประการ อาศัยที่มัน เป็นคนวางแผน ชอบเปลี่ยนแปลง ชอบจัดระบบให้สมดุลย์อยู่เสมอ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ขุนแผน
    ขุนแผนหรือไอ้แก้ว ที่มันมีเมีย เป็นปี๊บ ๆ น่ะ ความจริงไม่ใช่ว่า มันจะเป็นคนเจ้าชู้วิ่งหาผู้หญิง แต่ความจริงเจ้าแก้วกับผม ลักษณะมันต่างกัน นี่ผมยืนให้ท่านดู ดูมาดนายช้างเสียบ้าง นายช้างน่ะ เป็นคนมาดดี สง่าผ่าเผย ตาผ่องใส แล้วก็หน้ารูปไข่นิด ๆ แต่ว่า หน้าเป็นหน้าของผู้ชาย ไม่ใช่รูปไข่ของผู้หญิง ลักษณะ ท่าท่างองอาจ นี่ท่านจะว่า ละซีว่า หน้าตาคงเหมือนช้าง ซึ่งเป็น สัตว์เดียรัจฉาน ? ท่านอย่าว่า ซิ นี่คนคุมช้าง มันก็ต้องสง่าผ่าเผย มีกำลังเหมือนช้าง แต่ว่า ช้างตัวนี้ มันเป็นตัวที่มีศักดิ์ศรี แต่ว่า เจ้าแก้วมันมีรูปร่างอีกอย่างหนึ่ง เจ้าแก้วนี่ถ้าจะ ดูลักษณะจริง ๆ มันก็เป็นคนสมส่วนสมสัด ท่าทางทะมัดทะแมง แต่ผิวเจ้าแก้ว มันขาวกว่าผม ผมเป็นค่อนข้างขาว อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า เป็นคนขาว แต่ว่า เวลาเดินเดินแรง เพราะ คุมช้างนี่ ต้องเดินแรง เวลาทำงานผมช้าไม่ได้ ไอ้แก้ว มันเรียกผมว่า ไอ้โคล้ง ๆ ชื่อจริง ๆ มันก็ไม่เรียก ผมชื่อ ศรี นะ ชื่อผมจริง ๆ ว่า ศรี เขาแปลว่า มิ่งขวัญ ไอ้แก้วน่ะชื่อจริง ๆ เขาว่า พลายแก้ว พลายแก้ว คือ ช้างแก้ว ช้างที่มีกำลังใหญ่ ช้างตัวประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ ที่เขาให้ชื่อว่า พลายแก้ว ก็เพราะ มันออกมาฤกษ์ดี โหรพยากรณ์ว่า เจ้าเด็กคนนี้จะมีอำนาจมาก สามารถจะปราบปราม ข้าศึกได้ทุกทิศ โดยที่จะใช้กำลังคน เข้าประชิดกับข้าศึก ด้วยกำลังไม่มาก
    ผมสวยสู้ไอ้แก้วมันไม่ได้ ไอ้แก้วมันสวยมาก ท่าทางมันดี กิริยาก็แช่มช้อยกว่า ผู้หญิงปัจจุบัน ผู้หญิงสมัยนี้น่ะ มันเป็นผู้ชายเสียมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงสมัยโน้นน่ะ เขาเป็นคนเก็บตัว มีจริยามารยาทดีพูดน้อย เห็นผู้ชายไม่ใช่ว่าจะวิ่งเข้าไปคุยจะไปควงกับผู้ชาย มีแต่จะเก็บตัวตามจารีตประเพณี เป็นคนน่ารัก แต่ลักษณะการย่อง ๆ หนีไปหาคู่รัก เวลาพ่อแม่เผลอ มันก็มีเป็นของธรรมดา แต่ว่า จริยาท่าทาง หน้าบ้านเขาดี ที่เจ้าแก้วมันมีเมียมากเพราะ
    1.รูปร่างหน้าตามันดี สวยเก๋ มีเสน่ห์
    2.เป็นคนอ่อนโยน
    3.เป็นคนกตัญญูรู้คุณ
    4.มีจิตใจเผื่อแผ่ มันไม่ค่อยเก็บสตางค์ ไปที่ไหน มันก็จ่าย ให้ลูกน้องดะ เห็นคนยากจน เข็ญใจ มันก็สง เคราะห์ให้ตามสมควร มีอะไรพอที่มันจะช่วยเหลือได้ มันช่วยทุกอย่าง
    เวลานั้นบ้านเมืองมันกว้าง คนก็น้อย การทำไร่ไถนาก็เป็นของไม่ยาก เหมือนกับชาวเขาเวลานี้ อยากจะไปฟันป่าตรงไหนก็ไปกัน ทำกันได้ตามชอบใจ ใครไม่มีทุน ไม่มีรอน เจ้าแก้วมันก็ให้ ความจริงผมก็ไม่ ยอมแพ้มันนะ ใครมาขอ ผมก็ให้เหมือนกัน แต่ว่า สู้มันไม่ได้ มันเที่ยวเก่ง มันพูดเก่งกว่า มีคนรู้จักมากกว่า ก็เลยมีคนมาไถมันมาก ในเมื่อมีคนมาไถมันมาก ผมมีคนมาไถน้อยกว่า ลูกไอ้แก้วก็เลย มาไถผม ต่อไปขึ้นมาบนบ้านบอก คุณพ่อไอ้นี่ดี คุณพ่อไอ้นั่นดี มันอยากว่าดีผมก็เลยให้มัน ลูกไอ้แก้วมันเรียกผม ว่าพ่อทุกคนแหละ มันรักผมเหมือนพ่อ ผมก็รักมันเหมือนลูก ฉะนั้นตามนิยายปรัมปราที่เล่ากันมา มันทำเสียไปหมด คนขนาดเป็นขุนน้ำขุนนางเป็นพระยาแบบนั้น ใครจะเลวแบบนั้น เลิกพูดกันทีนะเรื่องไอ้แก้วกับไอ้ช้าง
    (เพิ่มเติมที่ไทรงาม อำเภอพิมาย เมื่อ 21 มีนาคม 2522 คัดเอาแต่ใจความ)
    รุกขเทวดา แสดงภาพเป็นหญิง แต่งชุดเขียว ๆ มาเล่าว่า ตนเองชื่อบัวคลี่ ตายตั้งแต่สมัยขุนช้างขุนแผน แล้วมาเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่นั่น รู้สึกเสียดาย ที่เป็นพระอริยะเบื้องต้น หากได้รับการสั่งสอนทีดี ก็คงจะบำเพ็ญไปนิพพาน เสียตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์
    ในการตอบคำถาม ปรากฏว่า บัวคลี่ไม่ได้ตาย เพราะถูกขุนแผนผ่าท้องเอาลูกไปทำลูกกรอก ความจริงลูกกรอกเขาเกิดมา เพื่อให้คุณแก่พ่อแม่ และมีลักษณะพิเศษ คือ เวลาท้องนั้น ท้องโตได้ยุบได้ บัวคลี่คลอด ลูกออกมาเป็นลูกกรอก แล้วต่อมาอีก 3-4 เดือน จึงได้ตายด้วยโรคภัยธรรมดา


    <!-- #EndEditable --></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  8. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
  9. นำธรรม

    นำธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +2,914

    ขอนอบน้อมโมทนาในเรื่องราวต่าง ๆ ที่ท่านผู้เจริญได้นำมาบอกเล่าแก่ ชนรุ่นหลังได้รับรู้ อันเป็นธรรมทานแก่สติปัญญา ของข้าพระพุทธเจ้าตลอดจนผู้เจริญทั้งหลาย

    ขอบารมีแห่งพระอันไม่มีประมาณ และพระธรรม พระอริยสงฆ์ คุณแห่งบิดา มารดา ครูบาอาจารย์มีหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด
    ขอให้ท่านมีความเจริญทั้งทางโลก และทางธรรมมีปัญญาอันเป็นเครื่องตัดกิเลสเป็นฉับพลันนิพพานเทอญฯ
    นำธรรม อนันตชัย:cool: :cool: :cool:


    หากท่านปรารถนาพระโพธิญานขอจงสำเร็จเป็นพระโปรดโลกดังมโนปณิธานเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2007
  10. นาสังสิโม

    นาสังสิโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +1,703
    อยากทราบเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราช ครับ
     
  11. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
  12. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,442
    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TH class=thHead height=25>ข้อมูลทั่วไป</TH></TR><TR><TD class=row1><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD> </TD></TR><TR><TD align=middle>กระทู้หรือคำตอบที่คุณต้องการไม่มี</TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    เปิดไม่ได้ครับ ผมก็อยากทราบด้วย โดยเฉพาะ ก่อนพระเจ้าพรหม ท่านเป็นเณร 7ขวบ ที่ดอยน้อย(ดอยจอมกิตติ)มาก่อน เล่าให้ฟังได้ไหมครับ
     
  13. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    นี่ค่ะ..ใช่รึป่าวคะ

    ประวัติพระเจ้าพรหมมหาราช
    ส่วนหนึ่งของประวัติเมืองฝาง​
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="500"> <tbody> <tr> <td>
    พระราชประวัติพระเจ้าพรหมมหาราช
    พระผู้สร้างวัดพระธาตุสบฝาง

    [​IMG]แผ่นดินไทยในอดีต ทิศเหนือจดแม่น้ำฮวงโห ทิศไต้จดประเทศมาลายูและทะเลอินเดีย ชนชาติไทย ถูกรบกวนและรุกราน จากประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดมาโดยตลอด จนไม่สามารถ ที่จะทนอยู่ได้ จึงได้ส่งผู้คนให้อพยพหลบภัย เพื่อหาที่อยู่ใหม่ในทางไต้ ตามสายของแม่น้ำ ลงมาโดยลำดับ โดยการนำของรี้พลขุนศึกแห่งนักรบไทย ได้ทำการรบพุ่งกับเจ้าของถิ่น
    เดิม มีพวกระว้า(ลั๊วะ) และพวกขอมเป็นต้น มีแพ้บ้าง ชนะบ้างตามลำดับ
    [​IMG]ลุถึงสมัย 200 ปีก่อนพุทธศักราช ชนชาติไทย ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในผืนแผ่นดินใหญ่คู่กับจีน ในท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ ระหว่างลุ่มแม่น้ำฮวงโห เป็นเวลานับพันปีก่อนพุทธศักราช ซึ่งเป็นอาณาจักรอันใหญ่หลวง มีระเบียบการปกครองอันมั่นคง เป็นปึกแผ่น ส่วนชนชาติจีนนั้น ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบเหนือขึ้นไปอีกมาก ภายหลังชนชาติจีนได้อพยพเข้ามา อยู่ใกล้ชิดกับไทย
    ได้เกิดประจันหน้ากัน แย่งชิงถิ่นฐานกันนับเป็นเวลา 2000 ปี ก่อนพุทธศักราช ในสมัยพระเจ้าฮ่วงตี้ 2158-2055 ก่อนพุทธศักราช ชนชาติจีนเรียกชนชาติไทยว่า มุง, ต้ามุง, ปา, ลุง และอ้ายลาวบ้าง และชื่ออื่นๆ อีกหลายชื่อ แต่ว่าชนชาติไทยเรียกตัวเองว่า ไต หรือ ไทยมาโดยตลอด
    สมัย 150 ปีก่อนพุทธศักราช ชนชาติไทย ไม่สามารถที่จะทนต่อการรบกวนของชนชาติจีน จึงได้พากันอพยพเป็นการใหญ่ ใหลเลื่อนลงมาทางทิศใต้ของแม่น้ำแยงซึเกียง จึงได้ละทิ้งผืนแผ่นใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ ให้แก่ชนชาติจีน (ในสมัยพระเจ้าตวงหว่าง กษัตริย์จีน 139-153)
    [​IMG]พ.ศ.300 ในสมัยพระเจ้าจีนซีหว่องตี้ (พ.ศ.296-334) ชนชาติไทยได้ทำศึกกับชนชาติจีน ซึ่งเป็นข้าศึกที่ใหญ่มาก และในที่สุดชนชาติไทย ก็ได้อพยพลงมาทางทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง ชนชาติไทย ได้แยกย้ายกันไปหลายก๊ก หลายเหล่า ที่อยู่ต่อสู้ไม่ยอมหนี ก็มีจำนวนมาก แล้วรวบรวมกัน ตั้งนครขึ้น ในมณฑลเสฉวน ยังมีชนชาติเผ่าอื่นที่ได้อพยพลงมากับชนชาติไทย เช่น ฮกเกี้ยน กับกองทัพของ "ขงเบ้ง" ทำให้ต้องหนีลงทางใต้ อีกเป็นจำนวนมาก ในพวกที่ทนสู้กับกองทัพจีน มีผู้นำไทยที่สามารถผู้หนึ่งคือ "สินุโล" สามารถรวบรวมอาณาจักรไทยขึ้น แล้วตั้งเป็นรัฐอิสระเรียกว่า "อาณาจักรน่านเจ้า" เป็นอาณาจักร ที่เป็นปึกแผ่นมั่นคงอยู่จนมีอายุ 500 ปี (พ.ศ.1281-1769)
    ในสมัยเดียวกับสมัยน่านเจ้า ชนชาติไทยจำนวนมาก ซึ่งได้อพยพลงสู่แหลมสุวรรณภูมิ ได้ช่วยกันสร้างเมืองขึ้น มีจำนวนหลายเมือง บางเมืองได้แซกอยู่ในเขตของอาณาจักรของพวกขอม ซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นเดิม ในสมัยนั้นได้แบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคเหนือมี "เมืองสยาม" เป็นเมืองสำคัญ ภาคใต้มี "เมืองละโว้" ชนชาติไทยที่อยู่เหนือขึ้นไปจากอาณาจักรของขอม พยายามตั้งตัวเป็นอิสระคือ อาณาจักรไทย "โยนก" มีเมืองเชียงแสน เป็นเมืองสำคัญ หรือเป็นเมืองหลวงของไทย
    [​IMG]อาณาจักรไทยโยนก มีกษัตริย์ไทยครอบครองติดต่อกันมาหลายสิบพระองค์ กษัตริย์องค์ที่ 25 มีพระนามว่า "พระเจ้าพังคราช" มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีบุญญาธิการมาก ทรงพระนามว่า "พระเจ้าพรหมมหาราช" พระเจ้าพรหมมหาราชองค์นี่แหละ ที่ทรงสร้างวัดพระธาตุสบฝาง ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียด ในโอกาสต่อไป ณ ที่นี้จะได้กล่าวถึงการอพยพของชนชาติไทย ให้จบเสียก่อน
    ในปี พ.ศ.1796 ปี กุบไลข่านตีจีนได้ทั้งหมด แล้วได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์จีน หลังจากนั้น ได้ส่งกองทัพมาตีอาณาจักรน่านเจ้า ของไทยในปี พ.ศ.1796 ชนชาติไทยส่วนใหญ่ จึงได้พากันอพยพหนีภัย ลงมาทางใต้เป็นครั้งที่ 3 ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของการอพยพ ตั้งแต่บัดนั้นชนชาติไทย ไม่มีแผ่นดินเหลืออยู่เป็นอิสระ ตกเป็นเมืองส่วยของชาติอื่นมาตลอด
    ในผืนแผ่นดินจีน
    [​IMG]ในสมัยพระเจ้าพังคราชนี้ พวกขอมที่เมืองอุโมงค์เสลา เกิดแข็งเมืองต่อไทย พระเจ้าพังคราช ไม่สามารถที่จะปราบปรามขอม ให้อ่อนน้อมได้ เมื่อพวกขอมเห็นว่า พวกไทยอ่อนกำลังกำลังลงเช่นนี้ ขอมจึงได้ยอกองทัพ มาตีเมืองเชียงแสน พวกขอมได้รับชัยชนะ แล้วได้เนรเทศ พระเจ้าพังคราช ไปอยู่ที่เมือง "สี่ตวง" ในปัจจุบัน คือเวียงแก้ว ตำบลป่าสักน้อย อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของเมืองเชียงแสนเก่า ซึ่งยังมีซากเมืองปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
    พระเจ้าพังคราช จำต้องได้ส่งส่วยเป็นทองคำ ปั้นเป็นลูกกลม มีขนาดเท่าผลมะตูม ส่งไปถวายพวกขอม ปีละ 4 ลูกเป็นประจำทุกปี (ตำนานบางแห่งก็ว่า 3 ปีต่อครั้ง) ในฐานะที่เป็นเมืองขึ้นหรือเมืองส่วย ส่วนพวกขอม เมื่อได้ขับไล่กษัตริย์ไทย ออกไปจากเมืองเชียงแสนแล้ว ก็เข้ามาอาศัย ปกครองคนไทย ในเมืองเชียงแสนต่อไป

    [​IMG]ในสมัยที่คนไทย ตกอยู่ใต้อำนาจของพญาขอมเมืองเชียงแสนนี้ ได้รับความกดขี่ข่มเหง จากเจ้านายขอมต่างๆ นา นา ทั้งดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยามคนไทย เป็นการบีบคั้น ทางจิตใจ คนไทยอย่างรุนแรง ตามตำนานสิงหนวัติได้กล่าวไว้ว่า ได้มีสามเณรเมืองสี่ตวงองค์หนึ่ง ซึ่งมีอายุได้ 19 ปี พักอาศัยอยู่วัดแห่งหนึ่ง ในเวียงโยนก เช้าวันหนึ่งสามเณรองค์นี้ได้ออกบิณฑบาต ได้เข้าไปในคุ้มของพญาขอม สามเณรได้ไปยืนหยุดอยู่ เมื่อพญาขอม ได้เห็นสามเณร เข้าถึงในคุ้มของตน ก็ได้สอบถามพวกไพร่ฟ้าที่เฝ้าประตู พวกไพร่ของพญาขอมก็ตอบว่า สามเณรองค์นี้เป็นพวกไทย จากเวียงสี่ตวงพญาขอมได้ฟังดังนั้นก็โกรธเป็นอันมาก และได้กล่าวปริภาษ ด้วยคำหยาบช้า ว่า "เณรเป็นคนเมืองไพร่เท่านั้น หาควรที่จะเข้ามารับบิณฑบาต ในบ้านของท้าวพญาขอม อันยิ่งใหญ่ไม่" แล้วจึงร้องบอกให้ไพร่ทั้งหลายว่า "สามเณรเป็นลูกคนเมืองส่วย พวกสูทั้งหลาย อย่าเอาข้าวของกูไปใส่บาตรให้มันเลย"
    สามเณรได้ฟังพญาขอม ว่าดังนั้นแล้ว ก็เกิดความน้อยอกน้อยใจเป็นอันมาก และพร้อมกันนั้น ก็เกิดทิฏฐิมานะ คิดหาหนทางที่จะตอบแทน ความหยาบช้าของพญาขอมให้จงได้
    [​IMG]คิดแล้วก็เดินออกจากคุ้มพญาขอม เมื่อเดินถึงกู่แก้ว จึงยกเอาอาหารบิณฑบาต ที่ตนได้มาจากบ้านอื่น ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธาตุ แล้วก็ได้ตั้งจิตสัจจะอธิษฐานว่า "ด้วยเดชบุญกุศล ที่ข้าได้ประพฤติปฏิบัติ ในธรรม ของพระพุทธเจ้า จะเป็นด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ภาวนากุศล จงดลบันดาลให้ข้าจงจุติ (ตาย) จากโลกนี้ ภายใน 7 วันเถิด แล้วขอให้ข้า จงได้ไปเกิดในครรภ์ ของนางเทวี มเหสีเจ้าเมืองเวียงสี่ตวง (พระเจ้าพังคราช) และเมื่อหากว่าข้าได้เกิดมาแล้ว ขอให้ผู้ข้ามีรูปอันงาม มีกำลังอันกล้าแข็งมีอายุยั่งยืนนาน เป็นที่รักของเจ้าเมืองเวียงสี่ตวง ผู้เป็นพระบิดา เมื่ออายุข้าได้ 16 ปี ขอให้ข้าได้รับชัยชนะ ในการปราบพญาขอมดำผู้โอหัง ด้วยเหตุว่า พญาขอมผู้นี้ ไม่รู้คุณของพระรัตนตรัยแก้วสามประการ"
    [​IMG]เมื่อสามเณร ได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน ต่อพระบรมธาตุดอยกู่แก้วแล้ว ก็นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่ยอมฉันข้าวและน้ำครั้นล่วง 7 วัน สามเณรองค์นี้ก็ได้ถึงแก่มรณภาพ ด้วยสัจจวาจา ดวงวิญญาณ ของสามเณร ก็ได้ไปถือปฏิสนธิ ในครรภ์ของพระนางเทวี มเหสีของพระเจ้าพังคราช
    ส่วนพระนางเทวี ในราตรีนั้นกาลคืนนั้น ขณะที่พระนางทรงบรรทมอยู่ พอใกล้สว่าง ก็ทรงสุบินนิมิตรว่าได้เห็นช้างเผือกตัวหนึ่ง มายืนอยู่ใกล้พระองค์ แล้วเดินผ่านเข้าไปในเวียงทางทิศใต้ เมื่อพ้นเวียงออกไปแล้ว ได้วิ่งไล่คนทั้งหลาย ฝูงชนได้แตกตื่นหนีกันเป็นวุ่นวาย เมื่อพระนางสดุ้งตื่นขึ้น จึงได้ทรงเล่านิมิตรนี้ ให้พระราชสวามีฟัง พระเจ้าพังคราชทรงทำนายว่า จะมีผู้มีบุญ มาเกิดในครรภ์ของพระนาง ตั้งแต่นี้ต่อไปขอให้พระนางจงรักษาพระครรภ์ไว้ให้ดีเถิด เมื่อพระนางทรงครรภ์ได้เป็นเวลา 3 เดือน พระนางทรงต้องการอาวุธต่างๆ พระเจ้าพังคราช ก็ทรงหาให้ตามความประสงค์

    [​IMG]ครั้นพระครรภ์ครบถ้วนทศมาส พระนางก็ประสูติพระกุมาร มีวรรณผุดผ่อง ศิริโฉมงดงาม ดังพรหม พระบิดาจึงทรงขนานพระนามว่า "เจ้าพรหมราชกุมาร" เมื่อทรงเจริญวัย พระบิดา ได้ทรงให้เข้ารับการศึกษา จากครูอาจารย์ที่มีวิชาความรู้ ทางศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม พระเจ้าพรหมกุมาร เป็นผู้มีจิตใจกล้าหาญสามารถเรียนศิลปศาสตร์ จากครูบาอาจารย์ได้อย่างว่องไว สามารถใช้อาวุธ และตำหรับตำราพิชัยสงคราม ได้เป็นอย่างดี พระเจ้าพังคราชพระราชบิดา ได้ทรงค้นหาครูบาอาจารย์ ผู้ทรงความรู้ทางพิชัยสงคราม และพระฤาษีผู้ทรงวิชาด้วยอิทธิฤทธิ์ ให้พระกุมารได้ศึกษาอบรม จนพระราชกุมารได้ศึกษาจนจบ ทรงมีฝีพระหัตถ์ อันเข้มแข็ง ยากที่จะหาผู้ที่เสมอเหมือน ในยุคนั้น ตามตำนานสิงหนวัติกล่าวว่า พระเจ้าพรหมกุมาร จับช้างเผือกได้เชือกหนึ่ง จากกลางแม่น้ำโขง ชื่อว่า "ช้างเผือกพวงคำ" เมื่อได้ช้าเผือกคู่บารมีแล้ว พระเจ้าพรหมกุมาร ได้ทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นเมืองหนึ่ง ริมฝั่งแม่น้ำสาย ให้ประชาราษฎร์ ชาวบ้านชาวเมือง ช่วยกันขุดคูทดน้ำ จากแม่น้ำสายเข้ามาเป็นคูเมือง ทรงตั้งเมืองนี้ว่า "เมืองพวงคำ" เหมือนกับชื่อช้างเผือกคู่บารมี ปัจจุบันเมืองนี้เป็นที่ตั้งตัวอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
    [​IMG]พระเจ้าพรหมกุมาร ทรงใช้เมือง "พวงคำ" นี้เป็นค่ายฝึกไพร่พล ให้เกิดความชำนิชำนาญ วิชาการใช้อาวุธ ทั้งหัดไพร่พลให้รู้จักการยิงปืนไฟ ให้ได้คล่องแคล่ว เมื่อไพร่พลทั้งหลาย มีความชำนาญจนจบวิชาการรบแล้ว ก็ประกาศแข็งเมือง เลิกการส่งส่วยให้แก่ขอมต่อไป ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าพรหมกุมาร ก็ทรงแต่งตั้งไพร่พล ปลอมตัวเข้าไปสืบหาความลับ ข่าวสารในเมืองเชียงแสน อยู่เป็นประจำเพื่อต้องการทราบความเคลื่อนไหว ของพวกขอม ที่จะมีการเตรียมรี้พล ออกมาปราบปรามคนไทยอย่างไรต่อไป

    [​IMG]พญาขอม รอส่วยจากเจ้าพญาของไทย คือพระเจ้าพังคราชมาได้ สอง สามปี ไม่เห็นทางไทย นำส่วยที่เป็นทองคำไปถวาย พญาขอมก็บันดาลโทสะ คิดจะสั่งสอนคนไทยให้หัวอ่อนลงเสียบ้าง จึงเตรียมยกทัพ ที่จะมาเหยียบย่ำคนไทยให้แหลกอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายคนไทยที่ปลอมตัว อยู่กับฝ่ายขอมในเมืองเชียงแสน เมื่อสืบข่าว ได้เรื่องแน่ชัดแล้ว ก็รีบกลับนำข้อความ และเรื่องราวที่ได้รู้เห็นมากราบทูล พระเจ้าพรหมกุมารทรงทราบ พระเจ้าพรหมกุมาร จึงทรงให้แม่ทัพนายกอง ได้เตรียมกองทัพผู้กล้าหาญ ที่ได้ฝึกฝนมาดีแล้ว ออกไปตั้งรับ และสู้รบกับทหารของพวกขอม กองทัพไทยและกองทัพขอม ได้ทำการสู้รบกันที่ทุ่งสันทราย ฝ่ายซึ่งได้ฝึกมาดีกว่า ก็กำความมีชัยชนะ ได้อย่างง่ายดาย ทัพของขอมได้แตกพ่ายไม่เป็นส่ำ หนีเข้าเมืองเชียงแสน แล้วปิดประตูเมืองไว้ทุกด้าน ไม่ยอมออกมาสู้กับไทยอีก เพราะเกรงกลัวฝีมือรี้พลของพระเจ้าพรหมกุมาร กองทัพของเจ้าพรหมกุมาร ก็เข้าล้อมเมืองเชียงแสนไว้ ส่งทหารเข้าประชิดกำแพงเมือง
    [​IMG]พระเจ้าพรหมกุมารทรงช้างคู่บารมีชื่อ "พวงคำ" นำพลเข้าบุกประตูเมือง ช้างคู่บารมี เข้าแทงประตูเมืองพังทะลายลง ทหารไทยทั้งหลายก็ได้ตรูกันเข้าเมืองได้ คนไทยอดใจที่คับแค้นมานานแสนนาน ถึงทีแล้ว จึงห้ำหั่นทหารขอม ล้มตายลงอย่างมากมาย ให้สมกับที่พญาขอมได้ข่มเหงไทย มาเป็นเวลานาน 17 ปี พวกขอมที่รอดตาย ก็พากันหนีลงทางใต้เพื่อเอาชีวิตรอด ทหารพระเจ้าพรหมกุมาร ได้ขับไล่พวกขอมไป อย่างกระชั้นชิด ริบทรัพย์ และที่จับเป็นเชลยได้ ก็ให้เอาไปทำการงาน ที่ขัดขืนก็ได้ฆ่าเสียให้ตาย เพื่อกวาดล้างพวกขอม ให้สิ้นซากจากเมืองเชียงแสน ทหารพระเจ้าพรหมกุมาร ได้ยกทัพขับไล่พวกขอม ลงไปทางทิศใต้เป็นเวลา 1 เดือน จึงทรงยับยั้ง เมื่อเห็นว่าพวกขอม ได้หนีลงไปอยู่เรื่อยๆ จึงทรงให้กองทัพไทย เดินทางกลับเมืองเชียงแสน ปรับปรุงซ่อมแซมเมือง ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้อัญเชิญ พระเจ้าพังคราช พระราชบิดา มาครองเมืองเชียงแสนต่อไป พระเจ้าพังคราช ทรงรักใคร่พระเจ้าพรหมกุมารเป็นอย่างมาก แล้วทรงยกเมืองเชียงแสน ให้พระเจ้าพรหมกุมาร ทรงครอบครองต่อไป แต่พระเจ้าพรหมกุมารไม่ทรงรับ พระเจ้าพังคราช จะทรงตั้งให้เป็นมหาอุปราช พระเจ้าพรหมกุมารก็ไม่ทรงรับอีก กราบบังคมพระราชบิดาว่า ขอให้ยกพระเชษฐาธิราช คือ เจ้าฟ้า "ทุกขิตกุมาร" ขึ้นเป็นมหาอุปราชเถิด พระเจ้าพังคราชในเมื่อเห็นว่า ความตั้งพระทัยของพระราชโอรสน้อย เป็นอย่างนั้น จึงทรงได้ปฏิบัติตามความประสงค์ ของพระเจ้าพรหมกุมาร คือ ทรงตั้ง เจ้าฟ้าทุกขิตกุมาร เป็นมหาอุปราช

    [​IMG]ฝ่ายพระเจ้าพรหมกุมาร เมื่อทรงปราบพวกขอมสงบราบคาบแล้ว ทรงคิดในอนาคต ไปข้างหน้าว่า เมื่อพวกขอมได้ปราชัยพวกไทย ในภายหลังพวกขอมอาจจะคิดการแก้แค้นอีกก็เป็นได้ พระเจ้าพรหม จึงได้กราบถวายเรื่องราว ให้พระราชบิดาทรงทราบ แล้วกราบลา พาเอาไพร่พล พร้อมทั้งช่างทั้งหลาย มีช่างตีเหล็ก ช่างทอง ช่างไม้ บัณฑิตผู้มีปัญญา พร้อมทั้ง พระสังฆมหาเถร อพยพไปทรงตั้งเมืองใหม่ขึ้น ทางทิศตะวันตก ของเมืองเชียงแสน เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำฝางตอนบน ทรงสถาปนาเมืองนี้ว่า "เมืองชัยปราการ " ซึ่งได้มีซากเมือง ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ การที่พระองค์ทรงสร้างเมืองชัยปราการนี้ขึ้นก็เพื่อจะให้เป็นเมืองหน้าด่าน เพื่อป้องกันข้าศึก ที่จะมาทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงแสน
    [​IMG]พญาขอมได้ครองเมืองเชียงแสน นานได้ 17 ปีก็หมดอำนาจแล้วก็หนีลงทางใต้ ไม่กลับมารุกรานไทยอีก ตลอดสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช ครั้นทรงสร้างเมืองชัยปราการ เสร็จเรียบร้อยแล้วประมาณ 3 ปี พระพุทธศักราชล่วงได้ 949 ปี (ตามบันทึกของกรมศิลปากร ว่า พ.ศ.1483) มีพระมหาเถระองค์หนึ่ง ชื่อว่า พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นชาติมอญ มีบ้านเดิมอยู่เมืองสะเทิม (พม่าเรียกว่า ตะโถ่ง) อยู่ใกล้กับเมืองเมาะลำเลิง ประเทศพม่า พระพุทธโฆษาจารย์นี้ ท่านได้ออกจากเมืองมอญ ลงสำเภาไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศลังกา มีความรู้พระพุทธศาสนา จบพระไตรปิฏกอย่างแตกฉาน ก็ได้กลับมาสู่ประเทศของตน ท่านได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศมอญ และประเทศพม่าตามลำดับ แล้วได้เดินทางเข้ามาในเมืองสุโขทัย ลำดับมา จนถึงเมืองโยนก ถึงเมืองเชียงแสน ในสมัยพระเจ้าพังคราช นอกจากพระพุทธโฆษาจารย์ จะนำพุทธศาสนา มาเผยแผ่ในนครโยนกแล้ว ท่านยังได้อัญเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาด้วย 16 องค์ เป็นอัฏฐิหน้าผาก มีขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ได้แบ่งพระบรมธาตุขนาดใหญ่ 1 องค์ ขนาดกลาง 2 องค์ และขนาดเล็ก อีก 2 องค์ ถวายแก่พระญาเรือนแก้ว ส่วนที่เหลือได้ถวายแก่พระเจ้าพังคราช พระเจ้าพังคราชได้นำพระโกฏเงิน พระโกฏทอง และพระโกฏแก้ว มารองรับพระบรมธาตุทั้ง 11 องค์นั้น ทรงมอบให้พระเจ้าพรหมมหาราช นำไปประดิษฐาน ก่อพระเจดีย์ไว้ที่บนดอยน้อยหรือจอมกิตติ ซึ่งเป็นดอยที่ พระพุทธเจ้า ทรงประทานเกษาธาตุ บรรจุไว้ก่อนแล้ว ในสมัยโน้น
    [​IMG]พระเจ้าพรหมราชให้ช่างก่อพระเจดีย์ชึ้น กว้าง 3 วา สูง 6 วา 2 ศอก บนดอยจอมกิตติ พระเจดีย์แล้วเสร็จ ในวันจันทร์ เดือน 6 เพ็ญ พ.ศ.1483 โดยบริบูรณ์ ได้ให้มีการทำบุญฉลองอย่างมโหฬาร ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ถวายมหาทานแก่ประชาราษฎร์ เป็นการมหาปางอันยิ่งใหญ่ พระพุทธศาสนาก็ได้เจริญรุ่งเรืองในเมืองเชียงแสน โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชนี้ ได้เกิดศิลปกิจกรรม ในสร้างพระพุทธรูปด้วยทองสำริด ซึ่งเรียกว่า ศิลปกรรมสมัยเชียงแสน เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราช ได้สร้างเจดีย์จอมกิตติสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์เสด็จกลับ นครชัยปราการ พระองค์ได้ให้ช่างก่อพระเจดีย์ขึ้น ณ บนดอยพระธาตุสบฝาง หลังจากได้สร้าง เมืองชัยปราการเสร็จแล้ว 4 ปี พระองค์ได้นำเอาพระบรมธาตุที่ทรงแบ่งไว้ จากการสร้างพระธาตุดอยกิตติ ได้นำมาบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดพระธาตุสบฝางนี้ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ให้ช่าง หล่อพระพุทธรูปขึ้นด้วยทองสำริด เป็นจำนวนมาก ได้นำไปถวายไว้ตามวัดที่พระองค์ทรงสร้าง มีวัดส้มสุก วัดเก้าตื้อ วัดป่าแดง วัดดอกบุญนาคเป็นต้น ประชาชนที่นับถือพุทธศาสนา ก็พากันสร้างพระพุทธรูป ตามเจตนาของแต่ละคนเป็นจำนวนหลายองค์ ถวายไว้ที่บนพระธาตุสบฝางนั้น

    [​IMG]พระเจ้าพรหมมหาราช ทรงเสวยราชสมบัติ ณ เมืองชัยปราการจนพระชนมายุได้ 77 พรรษา ประวัติศาสตร์ ของเมืองชัยปราการ ก็เป็นอันยุติลง ต่อจากพระเจ้าพรหมมหาราช ก็ได้มีพระมหากษัตริย์ อีกหลายพระองค์ ที่ได้ทำการขับเคี่ยวกับพวกขอมมาโดยตลอด จนถึงสมัยราชวงศ์ของพระเจ้ารามคำแหงเป็นที่สุด

    ประวัติหนองแปดหาบ
    [​IMG]หนองแปดหาบ ซึ่งเป็นปากน้ำกก กับแม่น้ำฝางมาบรรจบกัน ณ ที่นี้เรียกว่าสบฝาง ซึ่งมีหนองแปดหาบ ทอดยาวไปตามตีนเขา ดอยพระธาตุสบฝาง เป็นระยะทางยาว ๘๐๐ วา กว้าว ๖๐๐ วา นับว่ากว้างใหญ่พอสมควร ในสมัยโบราณ ณ ที่ปากแม่น้ำกก กับแม่น้ำฝางมาบรรจบกันนี้ ที่เรียกว่า สบฝางนี้ มีถ้ำหนึ่ง ภายในหน้าถ้ำ เป็นวังน้ำวน ภายในถ้ำเป็นที่ ประดิษฐานพระพุทธรูป บนหลังถ้ำสบฝางนี้ ได้มีปู่ผ้าขาวตนหนึ่ง มาจากเมืองกัมโภชะ ได้มาก่อเจดีย์ไว้เป็นที่สักการะบูชา ของคนทั้งหลายแล
    [​IMG]ในขณะที่มีการก่อสร้าง พระธาตุสบฝางนั้น ได้มีพ่อค้าสองคนพี่น้องเป็นชาวเมืองกัมโพชะ มาทำมาค้าขาย ระหว่างเมืองชัยปราการ กับเมืองกัมโพชะ (เมืองกัมโภชะ อยู่ในเขตเมืองต่องกีของแคว้นไทยใหญ่ ในเขตพม่า ในปัจจุบัน) พ่อค้าสองคนพี่น้อง ได้นำสินค้าไปขายในเมืองเชียงแสน ขากลับ ได้มาพบการสร้าง พระธาตุสบฝาง จึงได้หยุดขบวนวัวต่าง ได้ขึ้นไปร่วมทำบุญ เสร็จแล้ว ได้จ้างคนให้ทำแพเพื่อนำขบวนวัวต่างและลูกน้อง ข้ามจากหนองแปดหาบ ไปยังฝั่งตรงข้าม เพื่อเดินทางไปเมืองกัมโภชะ บังเอิญแพที่นำคณะพ่อค้า สองพี่น้องได้เกิดล่มกลางหนอง น้องชายของพ่อค้าได้เสียชีวิต พร้อมกับทองคำที่ได้จากการค้าขาย จากเมืองเชียงแสน มีจำนวน 8 หลังม้า ส่วนพี่ชายของพ่อค้า ก็ได้ไปสร้างเจดีย์ที่ดอยหมอก ระหว่างดอยสองลูก เรียกว่าพระธาตุสองพี่น้อง ซึ่งปรากฏอยู่จนปัจจุบันนี้ เรียกดอยพระธาตุน้ำค้าง (อยู่ในตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย) เหตุที่พ่อค้าเมืองกัมโภชะได้สร้างเจดีย์ไว้บนดอยน้ำค้างนี้ ก็เพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้พ่อค้าผู้เป็นน้องชาย ที่เสียชีวิตจากแพล่ม ในกลางหนองแปดหาบ ตั้งแต่นั้นมา หนองสบฝาง ก็ได้ชื่อว่า หนองแปดหาบมาจนถึงปัจจุบัน
    นี้ เหตุที่แพล่มกลางหนองนั้น ตำนานได้กล่าวไว้ว่า น้องชายของพ่อค้าได้ให้บริวารของเขา ยิงลูกของพญานาค (งู) แล้วเอามาเผาไฟสู่กันกิน พญานาคจึงโกรธ ออกจากถ้ำ มาปั่นน้ำในหนอง ให้เกิดฟองใหญ่ ในขณะที่แพของพวกพ่อค้า กำลังข้าม แพของพวกพ่อค้าก็แตกออกแล้วล่มจมลงในหนองนั้น

    [​IMG]วัดพระธาตุสบฝาง ได้กลายเป็นวัดร้างมานับตั้งแต่เมืองชัยปราการได้ถูกขุนศึกแห่งพม่า ได้มาทำศึกสงคราม เพื่อแย่งชิงเอาพระนางสามผิว แห่งพระเจ้าฝาง ขุนศึกพม่าพระองค์นี้ ชื่อพญาสุทโธ ผู้มีกองทัพอันเกรียงไกร ได้ตีเอาเมืองชัยปราการ จากพระเจ้าฝาง จนสำเร็จ แต่หาได้พระนางสามผิวตามความประสงค์ไม่ เนื่องจากได้มีมหาดเล็กของพระเจ้าฝาง ได้ถวายชีวิต ปลอมตัวเป็นพระเจ้าฝางพร้อมกับ นางสนมผู้จงรักภัคดี ได้ขี่ม้าขาว กระโดลงน้ำบ่อซาววา สิ้นชีวิตในนั้น ส่วนพระเจ้าสุทโธ คิดว่าพระนางสามผิว ได้กระโดดบ่อน้ำตาย จึงได้ไปสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองฝาง เรียกว่าวัดเวียงสุทโธ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ศาลจังหวัดฝาง และเรือนจำอำเภอฝาง ส่วนพระเจ้าฝาง ได้พาพระนางสามผิว และข้าทานบริวาร ไปประทับอยู่กับ พญาเมืองวชิรปราการ กำแพงเพชร จนสิ้นพระชนม์

    [​IMG]ในปี พ.ศ.2467 ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย ได้เดินธุดงค์ ไปเมืองเชียงแสน ไปแวะไปพัก ที่บนดอยพระธาตุสบฝาง ได้เห็นพระเจดีย์ อันเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม มีพระพุทธรูปมากมาย จึงให้คนอุปัฏฐาก นำหนังสือไปหาเจ้าเมืองฝาง เพื่อขอให้อุปถัมภ์ ที่จะบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุสบฝาง ท่านเจ้าเมืองฝาง ก็เกิดศรัทธา ได้พาประชาชน ไปร่วมการก่อสร้างพระธาตุสบฝาง โดยก่อหุ้มพระธาตุองค์เดิมให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ทำพิธีสมโภช ถวายทานแก่พระสังฆเถระ แล้วท่านครูบาศรีวิชัย ก็ได้มอบวัดพระธาตุสบฝาง ให้แก่ ครูบาเตชา วัดแม่ฮ่างหลวง (วัดศรีบุญเรืองในปัจจุบัน)
    [​IMG]เมื่อครูบาเตชา วัดแม่ฮ่างหลวงถึงแก่มรณภาพ ครูบาแก้ว กาวิชโย วัดแม่แหลง ตำบลแม่อาย ได้รับภาระดูแล วัดพระธาตุสบฝาง ใน พ.ศ.2476 เกิดไฟไหม้วิหารวัดพระธาตุสบฝาง ครูบาแก้ว กาวิชโย จึงได้ขนย้ายพระพุทธรูป ไปฝากไว้ตามวัดต่างๆ มีวัดท่าตอน วัดสันโค้ง วัดแม่อายบ้านเด่น วัดแม่ฮ่างหลวง ซึ่งได้มีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
    เมื่อท่านครูบาแก้ว ถึงแก่มรณภาพ ครูบาก๋องคำ กัญจโน วัดแม่อายบ้านเด่น ได้รับการสืบทอด การรักษาดูแลต่อมา ครูบาก๋องคำ ได้สร้างศาลาการเปรียญ ไว้เป็นที่สำคัญ สร้างถังเก็บน้ำฝน ซ่อมองค์เจดีย์ มีการโบกปูนใหม่ เมื่อครูบาก๋องคำ มรณภาพลง พระครูโศภณเจติยาราม เจ้าคณะอำเภอฝางเป็นผู้ดูแลรักษา จนมาถึง พ.ศ.2503 พระครูโสภณเจติยาราม ได้จัดให้พระครูสังฆรักษ์ธีระ ไปเป็นเจ้าอาวาส
    [​IMG]พระครูสังฆรักษ์ธีระได้ไปอาราธนาพระราชสังวรพิมล (หลวงปู่โต๊ะ) แห่งวัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี เมเป็นผู้อุปถัมภ์ พระครูสังฆรักษ์ธีระ ลงมือก่อสร้างอุโบสถยังไม่ทันสำเร็จ ท่านพระครูสังฆรักษ์ ก็ถึงแก่มรณภาพไป พระครูวุฒิญาณพิศิษฎ์ เจ้าคณะอำเภอแม่อาย ได้ไปขอพระปฏิบัติธรรม แห่งสำนักอาจารย์สนอง เรียกว่า สำนักสังฆทาน มาบริหาร เผยแผ่สั่งสอนการปฏิบัติธรรม ท่านได้มาอยู่เมตตาได้ 2 พรรษา แล้วก็ลากลับ ต่อจากนั้น พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ เจ้าคณะอำเภอได้มอบหมายให้พระครูคำบาง อชิโต เจ้าคณะตำบลแม่นาวางเป็นผู้ดูแล วัดพระธาตุสบฝาง พ.ศ.2532 พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ ได้ลาออกจำตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอแม่อาย แล้วได้ไป ควบคุมดูแล และพาพระภิกษุ สามเณรไปจำพรรษา ได้ทำการก่อสร้าง ถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น อุโบสถ วิหารจตุรมุข และเสนาสนะอื่นๆ อีก จนถึง พ.ศ.2534 พระครูศิลาจารโสภิส ได้ถึงแก่มรณภาพ ทางคณะสงฆ์ ตำบลแม่นาวาง ได้เสนอแต่งตั้ง พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ เป็นเจ้าอาวาส วัดพระธาตุสบฝาง และได้จัดสร้างสถานที่ มีกุฏิกัมมัฏฐาน สร้างห้องน้ำให้พอเพียงกับผู้ที่มาพัก สร้างถังเก็บน้ำฝนไว้ใช้บริโภค มาจนถึงปี พ.ศ.2540 พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ ได้ถึงแก่มรณภาพ วัดพระธาตุสบฝาง จึงได้อยู่ในความดูแลของ เจ้าคณะตำบล หมุนเวียนกันไปรักษา ดูแลพระธาตุสบฝาง จนถึงปัจจุบันนี้

    [​IMG]วัดพระธาตุสบฝาง ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำกก ห่างจากบ้านท่าตอน ประมาณ 7 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอฝาง 32 กิโลเมตร การเดินทางไปวัดพระธาตุสบฝาง ไปได้ สองทาง คือ ทางรถยนต์ มีถนนแยกจากบ้านสันโค้ง ตำบลแม่อาย ไปทางบ้านคายใน รถยนต์สามารถขับไปถึงบนพระธาตุ อีกทางหนึ่ง ลงเรือหางยาวจากบ้านท่าตอน ไปลงที่บันใดนาค ทางขึ้นวัดพระธาตุสบฝาง
    อีกทางหนึ่ง ลงเรือใช้เวลา 20 นาที ก็ถึงบันใดนาค วัดพระธาตุสบฝาง เป็นวัดป่า ไม่มีหมู่บ้านที่อยู่ติดกับวัด เว้นแต่ที่เชิงเขา มีบ้านเรือนของชาวบ้านที่ไปอาศัยทำไร่อยู่ประมาณ 18 ครอบครัว (พ.ศ.2512) พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ประจำในวัดนี้ เป็นพระที่สมถะ อยู่ง่ายกินง่าย เป็นผู้สันโดษ เพราะวัดนี้ ไม่มีกิจนิมนต์ ไม่มีอติเรกลาภ เพราะอยู่ห่างจากชุมชน พระที่อยู่เป็นพระที่ปฏิบัติกัมฐาน ลักษณะวัด เป็นป่า มีต้นไม้ขนาดใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณเขา เหมาะแก่การอยู่อาศัยของนักแสวงหากายวิเวก มีเสนาสนะสัปปายะพอสมควร แต่อาหารสัปปายะ ไม่ค่อยจะสมบูรณ์ ต้องอาศัยเครื่องกระป๋อง

    เอกสารอ้างอิง
    -ประวัติ วัดดอยจอมกิตติ เชียงแสน
    -ประวัติ เมืองฝาง วัดปูแกง อ.พาน
    -ประวัติ เมืองฝาง ฉบับภาษาไทยใหญ่ ของท่านเจ้าแหว่ง วัดเปียงกอก (พ.ย.2482)
    -ประวัติ วัดพระธาตุสบฝาง ของกรมศิลปกรที่ 4 เชียงแสน


    พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ เจ้าอาวาส
    รวบรวม เรียบเรียง
    </td></tr></tbody></table>

    http://www.fangcity.com/sopfang1.html
     
  14. นาสังสิโม

    นาสังสิโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +1,703
    ขอบคุณมากครับ
    ที่ต้องการทราบเพราะว่าได้เหรียญของขวัญวันเกิดรุ่น 4 ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมา
    ด้านหลังเขียนว่าพระเจ้าพรหมมหาราชปราบริปูพ่าย ก็เลยอยากทราบประวัติท่าน
     
  15. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    มีเนื้อหาสาระมากมาย และเป็นประโยชน์มากๆครับ โมทนาสาธุครับ
     
  16. มองทุกมุม

    มองทุกมุม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สาธุ...ในความวิริยะอุตสาหะของ จขกท.เป็นอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้ เรื่องทรัพยากรณ์ ณ.พ.ศ 2556 นี้ เป็นที่สนใจขยายวงไปในสังคมภายนอกเป็นวงกว้างมาก ประกอบกับข้าพเจ้าสนใจติดตามเรื่องนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์ขององค์หลวงพ่อมา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 ก็จะสามสิบปีแล้ว สนใจและติดตามเรื่องนี้มาตลอด ประกอบกับเพื่อนสนิทที่เป็นนักเรียนรุ่นเดียวกันได้เข้าไปทำงานกับบริษัทน้ำมันที่ ลานกระบือ กำแพงเพชร 2 คนด้วย ทำให้มีข้อมูลที่ยืนยันถึงความเป็นผู้รู้จริงขององค์หลวงพ่อ หลายๆเรื่องด้วยกัน ประทับใจมาก จึงขอยกเอาเฉพาะตอนเรื่องทรัพยากร แยกออกมาเพื่อง่ายต่อผู้สนใจไว้ ณ.ที่นี้ แล้วจะนำข้อมูลหลักฐานอื่นๆ ที่ยืนยันถึงความรู้จริงขององค์หลวงพ่อเรามาประกอบบ้างตามสมควร...


    ทรัพยากร
    (เล่าเมื่อ 18 มิถุนายน 2517)

    พระผู้ใหญ่มาเล่าเรื่อง ทรัพยากรของประเทศไทย แล้วหลวงพ่อบันทึกเทป เล่าถ่ายทอดตามคำบอกไว้ จะคัดมาแต่เฉพาะใจความสำคัญดังนี้
    " น้ำมันส่วนใหญ่ของประเทศ จุดใหญ่จริงๆ ที่ฝรั่งก็เคยคิดพิสูจน์นั้นมีอยู่ ในผืนแผ่นดิน ตั้งแต่... ผ่าน... และ วกไปทาง... เป็นโค้งมีรัศมีไกลจนถึงเขต... สายนี้เป็นสายที่มีส่วนลึกมาก มีปริมาณสูง ถ้าจะใช้จริงๆ เฉพาะสายนี้ใช้เลี้ยงทั้งโลกประมาณ 4,000 ปี ความสูญเสียของน้ำมันในบ่อนี้ ยังลดไป ไม่ถึง 1 ใน 10 จัด ว่า เป็นสายที่ยาวและใหญ่มากที่สุดในโลก ปริมาณเปรียบเทียบกับตะวันออกกลางแล้วยังมากกว่า
    บริเวณ... จะมีแร่สำคัญ ที่มีรังสีร้ายแรง ใช้ได้ทั้งทางทำลาย และทางสันติภาพมากมาย ที่เราเรียกกันว่า แร่ใส แต่แร่นี้ ถ้าจะค้นได้ ก็ต้องหลังจาก ค้นหาน้ำมันได้ก่อน เพราะว่า ทางนี้ยังไม่มีใครสนใจการใช้แร่นี้ และวิธีที่จะนำมาใช้เป็นประโยชน์ ก็ใช้กรรมวิธีคล้ายคลึงกันกับ แร่ยูเรเนียม แต่ว่า วิธีต่างกันเล็กน้อย แร่นี้มีมูลค่ามาก จะเป็นทรัพยากรของประเทศ
    ต่อจากนี้ไปขอพูดถึงทรัพยากรที่เป็นทองคำ ทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำนี้ มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่วนที่คนโบราณรวบรวมเป็นแท่งไว้แล้วก็มี สำหรับทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำนี้ จะหาจุดให้ใหม่ตามแผนที่ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลา

    สรุปแล้ว ทรัพยากรส่วนน้ำมันก็ดี ทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำก็ดี ทรัพยากรส่วนที่เป็นแร่ใสก็ดี ทั้งสามนี้ น้ำมันเป็นตัวชูโรง และเป็นทรัพยากรที่หาได้ก่อน ทั้งนี้ เพราะว่า คนต้องการน้ำมันก่อน ทรัพยากรที่จะปรากฏทีหลัง คือ ทองคำ ทองคำนี้มีจุดตั้งแต่เหนือถึงใต้ แต่ก็เป็นส่วนที่มีความลึกมาก คนที่สนใจมีน้อย เพราะนึกว่าทองคำไม่มี แต่เมื่อได้น้ำมันแล้วก็ไม่เป็นไร ทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำ ต้องใช้แรงงานสูง เพราะว่า บางจุดเดินเข้าไปอยู่ใต้ภูเขาเสียมาก ส่วนที่อยู่บนพื้นราบก็อยู่ไม่สู้ไกลจากภูเขา ถ้าจะบุกเบิกตามวิธีการที่เราใช้กันในสมัยปัจจุบัน คือ ใช้น้ำฉีด หรือขุดด้วยเรือ ก็รู้สึกว่าจะได้ผลไม่มากนัก ทองคำบางส่วน ก็ปนอยู่กับแหล่ง วูลแฟรม แต่อยู่ลึกกว่า ถ้าอาศัยการค้นคว้าด้วยดาวเทียม ก็รู้สึกว่า จุดที่จะแสดงให้เห็นได้ง่าย เวลานี้ฝรั่งมีความรู้ในการค้นคว้าด้านนี้ใกล้ความเป็นจริงมาก
    รวมความว่า ทรัพยากรของประเทศ จะเข้าถึงเวลามั่งคั่งสมบูรณ์จริงๆ รวมทั้งน้ำมันที่เป็นทรัพยากรที่จะหาได้ก่อนเพื่อน ก็รู้สึกว่า ใช้เวลาไม่มากนัก เลขที่จะพึงใช้ไม่ถึง 2 ตัว คือ หมายถึงเวลาที่จะค้นคว้าน้ำมัน ที่ปริมาณ 1 ใน 10 ของทรัพยากรที่จะค้นคว้าได้ ส่วนน้ำมันปริมาณสูงในเขตของไทยก็อยู่ในเกณฑ์ 17 ปี ขึ้นไป นี่คือน้ำมันที่จะเป็นที่พอใจที่ใช้กันไม่รู้จักหมด

    ต่อจากนี้ไป มาว่ากันถึง แร่ใส เท่าที่เห็นเวลานี้ก็มีความลึกสักหน่อย ต่อไปเมื่อถึงเวลาอันสมควร เรากล่าวว่า อยู่ในเกณฑ์ 20 ปี ไม่ถึง 30 ปี แร่นี้จะมีความอ้วนขึ้น หนาตัวขึ้น อีกอย่างหนึ่งจะพูดว่า เป็นเพราะการ ดูดน้ำมันมากๆ หรือ จะพูดว่า แผ่นดินยุบลงไป หรือจะพูดว่า แร่ลอยขึ้นมา ก็ไม่ถูกส่วน ที่ถูกควรจะพูดว่า แร่เลื่อนขึ้นมา เนื่องจาก การเคลื่อนไหวของแผ่นดิน ทำให้ใกล้หน้าพื้นดินมากขึ้นในระยะ 20 ถึง 30 ปี ข้างหน้า ผิวของแร่จะอยู่บนดิน แร่ใสนี้เทียบปริมาณกับแร่อื่นแล้ว นับว่าไม่มากนัก แต่ถ้าขุดนำมาใช้ประโยชน์แล้ว ใช้ไปเจ็ด-แปดร้อยปี ก็ยังหมดไปไม่ถึง 30 หรือ 31 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแร่ที่มีอยู่ เพราะต้องใช้ความพยายามนิดหน่อย แร่อันนี้จะสร้างเงินตรา และทรัพยากร หรือทรัพย์สิน ให้เกิดความมั่งคั่งมาก
    เรามาพูดกัน ถึงน้ำมันดีกว่า แร่ใสก็ดี แร่ทองคำก็ดี จะมีได้ต้องใช้เวลานาน ส่วนน้ำมันเวลานี้ ทั้งคนไทย และฝรั่งเหยียบกันไป เหยียบกันมา ในกาลต่อไป ทรัพยากรส่วนนี้ จะเป็นทรัพยากรใหญ่ สร้างผลกำไรให้ แก่ประเทศมหาศาล ฉันกำหนดให้ใช้เวลาสูงสุดไม่เกิน 32 ปี แต่อาจจะค้นคว้าได้ในระยะเร็วเท่าใดก็ได้ สุดแล้วแต่ปัญญาของคน แค่น้ำมันอย่างเดียวก็เหลือกินเหลือใช้
    แต่ว่า ความพอใจของมนุษย์ มันไม่สิ้นสุดลง แค่จะพึงหาทรัพยากรได้เพียงเท่านั้น เมื่อมีทุนมากความดิ้นรนก็มาก เมื่อมีกำลังมากก็ต้องการใช้แรงงานให้มาก เมื่อความอยากมีมาก ความขยันหมั่นเพียรก็มาก ความแก่ของคนไม่มี ความเหน็ดเหนื่อยของคนไม่มี เพราะความอยากเป็นสำคัญ การค้นคว้าจะค่อยทำค่อยไป การหาจุดต่างๆ ฉันจะยังไม่บอกละเอียด ถึงแม้จะบอกไปก็ไม่มีประโยชน์ มันจะเป็นโทษ สำหรับกำลังใจ เพราะทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกาลเวลาเป็นสำคัญ
    คำว่า "กาลเวลา" ก็หมายถึงว่า บุญญาธิการของคน ทรัพยากรต่าง ๆ ที่จะเข้าหาจุดพบ ก็ต้องอาศัยบุญของคน ประสมประสานกันกับวิชาความรู้ ในเมื่อกรรมที่เป็นอกุศล ยังหยั่งลงสู่จิตของบุคคลผู้บริหารประเทศ หรือมีส่วนในการบริหารประเทศยังมีมากเพียงใด โมหะที่ทำให้ใจบอด ก็ยังจะปรากฏทำให้ลบเลือนปิดบัง ทำให้ค้นพบทรัพยากรนั้นโดยยาก ถึงแม้ฝรั่งผู้ค้นคว้าเองก็ตาม ถ้ายังหวังเอาเปรียบแก่เจ้าของประเทศมากอยู่ โดยมีปริมาณที่ต้องการเอาเปรียบตั้งแต่ 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป การค้นคว้าทรัพยากรในประเทศ ก็จะเป็นไปด้วยความยาก
    แต่ถ้าคนในประเทศ คือ ฝ่ายบริหารและบุคคลผู้รับช่วง เป็นไท ก็อาจค้นหาทรัพยากรนั้นง่ายขึ้น คำว่า "ไท" หมายถึงว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยอิสรภาพ ไม่เป็นทาสของความโลภ ไม่เป็นทาสของความเห็นแก่ตัว ไม่เป็นทาสของความอยากใหญ่ ที่มีกำลังใจ ต้องการให้ประเทศชาติเจริญ ไม่ขายประเทศ เพราะว่า ได้ทรัพยากรมาแล้วจะหวังประโยชน์ส่วนตัว คือ เปอร์เซ็นต์ส่วนตัวมากเกินไป หมายความว่า แทนที่บุคคลผู้ ค้นพบจะต้องจ่ายเงินให้แก่ ประเทศชาติมาก คนประเภทนี้ ก็ตัดรายรับของประเทศลง มีความประสงค์ เพียงรางวัลของตัว ประเทศชาติจะได้รับประโยชน์น้อยไป ถ้ายังมีบุคคลที่มีความคิดตามที่กล่าวมานี้ อยู่ในส่วนการบริหารประเทศ ตั้งแต่เป็นรัฐบาล ลงมาถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย คำว่า "น้อย" ในที่นี้ก็ไม่น้อยมาก หมายถึง อันดับผู้มีวาสนาบารมี อยู่ในเกณฑ์ปานกลางหรือสูง ทรัพยากรหรือก็พอจะหลบหน้าคุณอยู่ได้ เพราะกำลังใจของบุคคลประเภทนี้ยังมีโมหะ แต่ที่ทรัพยากรทั้งหลายกำลังจะปรากฏขึ้นก็เพราะอาศัย บุญญาธิการของพระมหากษัตรย์องค์ปัจจุบัน
    มีมากพอสมควรเพียงพอที่จะเป็นผู้วางรากฐาน ให้ปรากฏพบแหล่งน้ำมัน ขึ้นในประเทศ เป็นอันดับแรก สำหรับในกาลต่อไปก็อาศัยพื้นฐานความดีของพระองค์ และข้าราชการบางส่วน ที่มีความดีก็จะเป็นเหตุให้ ได้น้ำมันขึ้นมาใช้สอย แต่ได้แร่ธาตุบางอย่างที่มีคุณค่าสูงมาบ้างตามสมควร

    ทีนี้เรามาพูดถึง ข้าราชบริพาร นับตั้งแต่ฝ่ายบริหาร มีคณะรัฐมนตรีเป็นต้น ที่จะมีกำลังใจ เป็นไทจริง ๆ เวลานี้ก็มีอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังหาคน ที่เป็นไทจริง ๆ ยาก ปริมาณคนที่มีจิตมีความเป็นไท ไม่ใช่ทาสของความโลภ ที่มีเกียรติในการบริหารก็มีมากพอสมควร แต่คนที่รับบัญชาไปปฏิบัติ ยังมีอารมณ์เนื่องอยู่ในความเลวมาก
    ในเมื่อกาลแห่งความยุ่งยากนี้ผ่านไป (อีกไม่นาน ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว) คนดีจะปรากฏทีละน้อยๆ เพราะ อาศัยพระราชจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์ เป็นผู้นำ คนเลวจะค่อยๆสลายตัวไป คนดีจะค่อยๆรวบรวมกำลังกันขึ้นนำ แต่ทว่า วันเวลา ก็เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ต้องถือว่า เป็นกาลที่ประเทศ กำลังจะมีโชคดี ด้วย เวลาที่ใช้ ก็ไม่นานปีเกินไป จนเกินวิสัย ที่เราจะคอยกันได้ เมื่อกาลนั้นปรากฏ เราชาวไทยที่มีจิตใจเป็นไท จะรวบรวมตัวกันมากมีกำลังหนัก คล้ายสมัยเมื่อ พระเจ้าตากสินมหาราช รวบรวมกำลังคนไทย ให้มีใจเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คนเลวทั้งหลาย หรือว่า คนดีในปัจจุบัน ก็จะพยายามค่อยๆ ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะว่า ไม่สามารถนำความชั่วร้าย มาใช้กับประเทศได้ การรวมตัวเป็นปึกแผ่นของคนดีอันนี้ ก็จะเป็นเหตุให้พระและเทวดาที่มีอานุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระและเทวดาไทยๆ ที่มีใจเป็นไท
    ฉันพูดเรื่องไทๆ เขาจะพากันหัวเราะ บอกว่า ทุกคนเป็นไทย แต่ฉันว่า ไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ใจเป็นทาส ไม่ใช่ไท ไทต้องมีน้ำใจอิสระ มีความผ่องแผ้วของใจ มีอารมณ์สดใส ถึงแม้ว่า จะมีกิเลสก็มีกิเลสอยู่ในขอบเขต คือ ขอบเขตของกิเลส รู้ว่านี่ส่วนตัว นี่ส่วนรวมของประเทศชาติ ถ้าอารมณ์รู้ และแยกความรู้นั้นไปใช้ เป็นส่วนเฉพาะได้ นั่นเราเรียกกันว่า "ไท"
    เมื่ออารมณ์ของคน "ไท" ในประเทศไทยรวมตัวกันได้มากเมื่อไร ตอนนั้นแหละ ความศิวิไลของประเทศ จะปรากฏ คือ จะเป็นประเทศที่มั่งคั่งสมบูรณ์ เป็นประเทศที่คนอื่นให้เกียรติ เป็นประเทศที่ทุกคนคือ ชาวโลกทั้งหมดยอมรับนับถือ เพราะมีความอุดมสมบูรณ์

    แต่ว่า ไทยที่พูดไทยไม่ชัด แล้วก็คิดว่า เป็นคนไทย อยู่ในประเทศ บุคคลประเภทนี้ ไว้วางใจอะไรไม่ได้ มีทางเดียว คือเอาเปรียบ และหวังยึดกรรมสิทธิ์ ในฐานะที่ตนเข้ามาอาศัย แต่ว่าในเวลานั้นประเทศไทยก็เป็น ประเทศที่รุ่งเรืองไปด้วยอำนาจ ถึงแม้ว่าจะมีคนน้อยสรรพาวุธน้อย แต่ว่าคนส่วนใหญ่ของโลก หวังที่จะพึงมีประโยชน์ จากน้ำมันเป็นสำคัญ เขาจะใช้กำลังของเขา ป้องกันเรา โดยเราไม่ต้องออกปากใช้ เขาก็จะช่วย
    ความจริงเขาไม่ได้ช่วย เขาช่วยผลประโยชน์ของเขา แต่ว่า ให้ผลในทางที่เรามีอิสรภาพ มี อำนาจ มีสิทธิ ก็เหมือนกับเขาช่วยเรา

    เรื่องที่ฉันพูดให้ฟังนี้ก็เพื่อจะให้เป็น กำลังใจ

    กับคนที่มีความคิดปรารถนา ต้องการให้ประเทศชาติร่มเย็น เป็นสุข

    อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน


    แล้วเด็ก ๆ รุ่นลูก ๆ หลาน ๆ ของคนพวกนี้โตขึ้น มีอำนาจวาสนา เมื่อไรจะเห็นว่า ตอนนั้นแหละ ประเทศไทย เต็มไปด้วยความรุ่งเรือง เพราะว่าอะไร เพราะว่า คนไทยเดิมมาเกิดมาก และที่คนไทยเดิมมาเกิดมาก ก็เพราะว่า ถึงกาลสมัยที่คนไทย ต้องทำให้ประเทศไทย เป็นแหลมทองตามเดิม คำว่า "ทอง" หมายถึง ดี มีค่าสูง ฉันไม่ได้คิดว่าประเทศไทยจะรวยด้วยทองคำ แต่สิ่งเหล่านี้จะปรากฏขึ้นภายหลัง หลังจากที่ได้น้ำมันแล้ว ภูเขาบางลูกจะต้องถูกทำลาย เพราะทองคำอาศัยอยู่ในภูเขามาก
    สำหรับแร่ใส ฉันจะยังไม่พยากรณ์ให้เป็นที่แน่ใจ เพราะแร่ใสอยู่ในความลึกมาก แต่พูดไว้สักหน่อยก็ได้ว่า แร่ใสจะได้มาในเวลาควบคู่กับทองคำ ตอนนั้นเมื่อทองคำปรากฏ แร่ใสปรากฏ คนเลวน้อยลงแล้ว คนเลวภายในก็น้อยลง คนไทยที่เขาว่า
    เป็นไทยแต่พูดไทยไม่ชัด มีเกลื่อนกลาดอยู่ในประเทศไทย ก็หมดกำลังที่ปรารถนาจะยึดประเทศไทยเป็นของเขา ก็จะมีใจเป็นไทยขึ้น
    คือหวังว่า การเข้าเป็นหุ้นส่วนจะดีกว่าการคิดประทุษร้าย ในตอนนั้นไทยจะเป็นอิสระเต็มที่ เอาละ สำหรับวันนี้ก็พอกันทีนะ แต่ว่า ฉันก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะกลับ
    จงคิดว่าเราจะมีประเทศเป็นทองคำ ก็ดี จะมีประเทศเป็นน้ำมันก็ดี

    จะมีประเทศเป็นแร่ใสก็ดี ทุกคนจะคิดว่าเราจะตาย จงอย่าเอาจิตใจ

    ไปเกาะไอ้น้ำมัน และแร่ธาตุให้มากนัก คิดว่า

    เราทำเพื่อความเป็นอยู่ของคนทั้งมวล แต่เราไม่ทำ

    เพื่อหวังอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัยของชีวิต

    มีจิตใจตั้งตรงอยู่เฉพาะพระนิพพาน


    แล้วทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เจ้าเด็กหนุ่ม ๆ ที่มันมารวมตัว เป็นลูก เป็นหลาน กับยังมีกลุ่มคนดีอีกหลายกลุ่ม คนพวกนี้ถ้าคิดว่า สามารถจะสกัดจิตของตน ให้เป็นคนไท ไร้ความเป็นทาสทางด้านจิตใจ คือ โล ภะ โทสะ โมหะ ก็หมายถึงว่า นั่นคือ การเป็นศัตรูของประเทศ โมหะให้เบ ลงมา คิดแต่เพียงว่า เราต้องตาย แต่จำต้องอาศัยทรัพย์สินเพื่อหวังความสุข นี่เป็นเรื่องของคนธรรมดาถ้า จิตใจของคนชำระความชั่ว เข้ามาสู่ความดี ได้ถึงขนาดนี้ ประเทศไทยจะเป็นไทสมบูรณ์บริบูรณ์ และเพียบพูนไปด้วยทรัพย์สิน ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยความสุข ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยสรรพาวุธที่บุคคลอื่น เขาหามาแลกน้ำมัน แม้แต่สรรพวุธที่ประหัตประหารโลกทั้งโลก ด้วยเพียงจุดๆ เดียวก็จะพึงมี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เขาให้แก่ประเทศไทยโดยรู้ว่า ประเทศไทยไม่ทำลายเขา
    แล้วในกาลต่อไป พระราชาองค์นี้ ก็จะเป็นที่พึ่งของคนไทยต่อไป ความราบเรียบสงบเงียบ จากอันธพาล จากคนที่ขายชาติ จะค่อย ๆ มีขึ้นทีละน้อย จิตใจของคนจะเป็นไท ขึ้นมาทีละหน่อย ๆ ในเมื่อพระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใน ทศพิธราชธรรม และข้าราชบริพารรู้จักความเป็นไท ไทยเก่าๆ จะเข้าสิงใจไทยปัจจุบัน ให้ทำการให้ประเทศไทย เพื่อไทย การคิดล้มล้างชาติไม่มีผล สำหรับคนทั้งหลายที่คิด พวกเขาจะต้องสลายตัวไปตามกาลสมัย
    เอาละ ฉันจะกลับ บอกทุกคนว่า ฉันโมทนาที่ทุกคนมีเจตนาดีเพื่อไทย และทำใจให้เป็นไท คนใดเมื่อมีจิตใจเป็นไท คนนั้นในเวลานั้นอารมณ์ใจจะผ่องใส จะเข้าถึงธรรมโดยง่าย คือโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย
    เมื่อเป็นคนก็เป็น คนดี ตายแล้วก็เป็น ผีดี พ้นจากผีก็เป็นเทวดา เข้า นิพพาน ได้อย่างดี
    ในที่สุดนี้ของ จงบอกเขาว่า ฉันดีใจกับความดีของคนไทยทุกคน... สวัสดี
    (ท่านขุนช้างเล่าให้หลวงพ่อฟัง ประมาณ 5 เมษายน 2521 เป็นการเพิ่มเติม)
    น้ำมันนี่กว่าจะเจาะลงไปถึงมันกี่พันกี่หมื่นฟุต หรือว่ากี่พันกี่หมื่นเมตร เจาะลงไปแล้วก็ได้ น้ำมันขึ้นมาไอ้น้ำมันนี่มันก็มีเหตุอยู่ 2 ประการที่จะได้น้ำมัน คือ
    1. ฟางเน่า หญ้าเน่า สัตว์เน่า หอยเน่า คนเน่า สะสมกัน ไอ้ความเน่ามันเกิดเป็นแกส กระแสที่ไหลไปจาก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองพวกนั้น สะสมกับน้ำธรรมชาติ เพาะตัวขึ้นมาอาศัยแกสผสมขึ้นมา ก็เกิดเป็น น้ำมันจุดไฟติด นี่อย่างหนึ่ง
    2. อาศัยแร่ธาตุที่มันเป็นหิน หินที่มีความชื้นที่เขาเรียกว่า หินน้ำมัน คือ มันไม่ใช่หินจริง ๆ มันเป็นสิ่งเนื้อหนังผสมกันกับธาตุดิน มีความเน่าของบางจุด เข้าผสมกันมีความชื้น เป็นน้ำมันอีกอย่างหนึ่ง
    น้ำมันที่ว่าจะเจาะลงไปพบนี่ เป็นน้ำมันผิวต้น ถ้าเจาะลงไปๆ ดึงดูดเอาความชื้นขึ้นมา แล้วมีปัญญาเจาะลงไปอีก มันก็จะไปเจาะน้ำมันอีก ชั้นของน้ำมันมีตั้งหลายชั้นสมมติว่า จะสูบน้ำมันขึ้นมาจริง ๆ โอ้โฮ มัน มีตั้งเยอะแยะ นี่ความจริง ดินแดนแผ่นนี้ ที่เรียกกันว่า แหลมทอง และเป็นเมืองทองก็เพราะ มีทรัพยากรมาก นอกจากน้ำมัน ก็ยังมีแร่มีหิน มีเพชรนิลจินดา มีเงินมีทอง มีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีค่า คนที่มีปัญญา ยังจะใช้ได้อีกนาน แต่ว่า ถ้าคนมีกำลังใจเป็นพาล คือ ความโง่
    ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าพวกของตน และขนของ อกไปเป็นส่วนของตนมาก เมืองของตนรวยไม่ชอบ ชอบไปให้เมืองชาวบ้านอื่นเขารวย ขนทรัพย์ขนสินไปให้ชาวบ้านอื่นเขารวย
    ถ้ายังมีน้ำใจอยู่อย่างนี้ละ ของที่มีค่า มีราคาดี มันก็ยังปรากฏน้อย
    ถ้าคนทุกคนในเขตนี้ ที่เรียกกันว่า คนไทย มีใจรักชาติ มีความซื่อสัตย์สุจริต หวังความเจริญของบ้านเมือง ต้องการให้บ้านเมือง เจริญจริงๆ ทรัพยากรจะได้มากยิ่งกว่านี้ ไอ้ที่เขาว่ายังไม่ขึ้นมาๆ นี่
    ไม่ใช่เทวดากันไว้ ไม่ใช่ผีกันไว้ ไม่ใช่อย่างงั้น มันเป็นไอ้มนุษย์ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละที่กันอยู่
    เช่น อย่างว่า มีทุนมีงบประมาณเท่านี้ เขาให้ไปทำเท่านี้ มันก็กันเสีย ไปทำเท่าโน้น ไม่พอดิบพอดีกับเงินที่จ่ายไปแล้ว ผลประโยชน์นั้น จะได้สมบูรณยังไง ที่ท่านได้ฟังมาจากคนก่อนว่า ถ้าคนไทยดีขึ้นมาเมื่อไร ทรัพยากรทั้งหลายมันก็จะปรากฏมากเท่านั้น
    ถ้ามีดีเต็มที่มันก็เกิดขึ้นมาเต็มที่ ดีน้อยมันก็เกิดน้อย
    ไอ้คำว่า "ดี" ในที่นี้ ที่ว่าทรัพย์มันจะขึ้นมามากนั้น ไม่ใช่มันลอยขึ้นมาเอง แต่เป็นด้วยการใช้ปัญญาของตนเอง หรือปัญญาที่ศึกษามาจากในต่างประเทศ ใช้ปัญญานั้นให้มันครบถ้วน ไม่ใช่ว่าไปเรียนกันมาแล้ว อยากจะได้เงินเดือน อยากจะได้เงินพิเศษ เงินกินบ้าง เงินโกงบ้าง เงินยักบ้าง เงินยอกบ้าง เงินแป๊ะเจี๊ยะ บ้าง เงินเก๊าเจี๊ยะบ้าง เป็นต้น อย่างนี้ ของดีมันก็ผุดขึ้นมาไม่ได้
    ถ้ากำลังใจของคนมันดีจริงๆ ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีปัญญามาก เงินก็ใช้น้อย จะได้ผลเป็นของดีขึ้นมามาก คนที่มีปัญญามากนี่ เขาใช้เงินน้อย คือ ใช้ปัญญาช่วยด้วย ใช้แรงงานของ คนช่วยด้วย ใช้อย่างอื่นแทนเงิน
    อย่างคนโบราณนี่ เขาก็รู้จัก เอาทองหยอง ขึ้นมาใช้ รู้จักเอาน้ำมัน ขึ้นมาใช้ เขามีตะเกียงใช้เหมือนกัน แล้ว ก็เป็นตะเกียงน้ำมัน จะว่าใช้น้ำมันหมู ก็เอาหมูที่ไหน มาฆ่าตั้งเยอะแยะ จะว่าใช้น้ำมันมะพร้าว โรงกลั่นน้ำมันมะพร้าวก็ยังไม่มี น้ำมันตั้งแต่โยนกนคร หรือ สุโขทัย หรือกรุงศรีอยุธยานี่ เขายังไม่ได้ใช้น้ำมันต่างประเทศ
    ทองในประเทศนี่ เขายังส่งไปขายนอกประเทศด้วยซ้ำ เงินก็เหมือนกันเขาใช้ เงินในประเทศ ไม่ได้ซื้อ เงินนอกประเทศ แล้วเขาจะเอาเงินนี้ไปต่างประเทศ แลกเอาสิ่งของที่เราไม่มีเข้ามา ของทั้งหลายเหล่า นี้มันมีมาแล้วแต่อดีตกาล เขาใช้มาแล้วแต่อดีตกาล แต่ คนสมัยนี้ไม่ได้ใช้ปัญญาอย่างคนในสมัยนั้น อะไรๆ ก็ต้องให้เป็นชาวต่างประเทศมาค้นคว้าหาทั้งหมด
    จึงปรากฏว่า มันขึ้นมาไม่ได้ ถึงขึ้นมาได้ เขาก็ต้องหากำไร ยกเอาไปบ้านเขามากกว่า ที่เราจะพึงได้ สมัยผม (ขุนช้าง-ขุนแผน) เขาก็หาน้ำมันกันได้ จะบอกวิธีก็ได้
    น้ำมันนี่ เขาหากันตามเชิงเขา วิธีการหาน้ำมันก็เป็นของไม่ยาก เขาไปดูแหล่งเฉพาะวัตถุที่จุดไฟได้ดี หรือต้นไม้ที่มีการไวไฟเป็นต้น
    คนเขามีปัญญา เมื่อเจอะเหตุทั้งสองประการอย่างนี้ เขาก็หาแหล่งน้ำมันกัน น้ำมันที่จะพึงได้มาก็เป็นน้ำมันข้น บางจุดก็เป็นน้ำมันสีดำ บางจุดก็เป็นน้ำมันสีแดง แล้วเขาก็ใช้วิธีเกรอะ ตามวิทยาการ
    การหาแหล่งน้ำมันก็ดี แหล่งทองก็ดี เวลานั้นเขาใช้ผีช่วยบ้าง ใช้คนทิพย์ช่วยบ้างชี้บอกจุด ชี้บอกทางการ เจาะ การสกัดมันก็เป็นของไม่ยากนัก การใช้น้ำมันสมัยนั้น มันไม่มาก เหมือนสมัยนี้ ไม่มีรถยนต์ แต่ปีหนึ่งก็ใช้เป็นหมื่นๆ ถังเหมือนกัน การที่จะใช้แรงงานคน โดยเฉพาะใช้ปัญญา มากกว่าทรัพย์ ก็สามารถหาน้ำมัน ได้ขนาดนั้น เวลานี้ เราใช้ทั้งปัญญาด้วย ทั้งแรงเครื่องจักรด้วย ถ้าหาแบบนั้น มันจะได้มากกว่านี้มาก
    (เพิ่มเติม เมื่อ 24 มีนาคม 2522)
    น้ำมันในประเทศไทยนี้เกิดจากสามแหล่งใหญ่ ๆ คือ
    1. สายจากพม่า เป็นน้ำมันใสเกรดดี วกมาจากด้านมะริด
    2. สายจากประเทศจีน เป็นน้ำมันขุ่นหยาบ น้ำมันสายนี้ ไหลผ่านแร่ชนิดหนึ่งเรียกว่า ยูเรเซียม ซึ่งเป็น แร่ ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จัก มีลักษณะดำเป็นมันเลื่อม และมีความร้อนสูง แร่นี้เป็นเชื้อทำให้ เกิดภูเขาไฟ เมื่อน้ำมันข้นนี้ ไหลผ่านแร่ ก็จะถูกความร้อน ทำให้น้ำมันมีคุณภาพดีขึ้น คือ ใสมากกว่าเดิม
    3. สายในประเทศเอง คือ เกิดเองในประเทศ เช่นที่ นครสวรรค์ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น้ำมันจากประเทศจีนไหลมารวมกับสายพม่า ที่บริเวณนครสวรรค์ ทำให้เป็นน้ำมันคุณภาพดี แล้วเผยกว้าง เป็นอ่าวไหลผ่านลงมาทางใต้ ออกไปยังอ่าวไทย บ่อน้ำมันบนดินที่ตื้นมากที่สุดอยู่ทางทิศเหนือ.....


    มโนมยิทธิและประวัติของฉัน

    [​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=XuxS4ef3epM"]http://www.youtube.com/watch?v=XuxS4ef3epM[/ame]

    ตอนที่ ๑๐ ผมบ้า(ต่อ)

    “ความก็มีอยู่ว่าเมื่อปี พ.ศ ๒๕๑๘ ปีนั้นหล่อรูปหลวงปู่ปาน ที่วัดท่าซุง

    อ.เมือง จ.อุทัยธานี ท่านหญิงวิภาวดี คือ หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี

    ท่านได้ทุลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถให้ทรงเททอง” ...ฯลฯ...

    (หนังสือหน้า ๘๐ บรรทัดที่ ๓ เป็นต้นไป)

    ถามท่านว่า “ท่านจะคุยเรื่องอะไร”

    ท่านก็เลยตอบว่า “ท่านสงสัยเรื่องน้ำมันใช่ไหม ท่านได้ถวายพระพรกับ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้วว่าประเทศไทยมีน้ำมัน และ

    ท่านก็เลยสงสัยว่ามันจริงหรือไม่จริงใช่ไหม?”

    ก็ตอบว่า”ใช่” ท่านก็ถามว่า “ท่านก็พิสูจน์ด้วยกำลังใจของท่านแล้วว่ามันมี”

    ก็บอกว่า “ใช่ ไอ้นั้นอาจจะเป็นอุปาทานก็ได้ ก็บอกว่าเมื่อถวายพระพร

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปว่ามี ไอ้กำลังใจตอนนี้มันอาจจะคิดมีมี

    ดีไม่ดีของที่ไม่มีกลับเห็นว่ามีก็ได้ มันก็ไม่แน่นอนนัก”... ฯลฯ....

    (บรรทัดที่ ๑๗)...ก็เลยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องน้ำมัน มันมีไหม?”

    ท่านก็บอกว่า “มี ดูตามนี้สิ” “คำว่าดูตามนี้นะ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร

    เทวดาท่านพูดน่ะท่านไม่ได้พูดส่งเดชเหมือนคนเราพูด ไอ้นั่นมี ไอ้นี่มี

    อธิบายท่าโน้นท่านี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านไม่ใช้อธิบายลอยๆ ท่านบอกดูตามนี้สิ

    ตาเราเห็นหมดทั้งประเทศเลย เห็นชนกันทั้งประเทศมันมีที่ไหนบ้าง

    โอ้โฮ ดูตามสายผิวๆนะ ถ้าเราเห็นเป็นสายนี่ มันเป็นผิวๆ ไม่ใช่ส่วนลึก

    คือจากมะริดเรื่อยมา จนกระทั่งออกทางสิงห์บุรี เป็นลำแม่น้ำใหญ่จริงๆ

    บางส่วนกว้างถึง ๑ กิเมตร บางจุดกว้างเกินกว่า ๓ กิโลเมตร

    ส่วนที่แคบจริงๆ จะต้องไม่น้อยกว่า ๑ กิโลเมตร เป็นทางยาวมาก

    มาออกชนกับสายเหนือที่สิงห์บุรี ทางสายเหนือก็ไหลเรื่อยลงมาเรื่อยจากโน่น

    จากจีน จากธิเบตก็ว่าเรื่อยมาเลยเข้ามาถึงเขตประเทศไทย ยังไม่ถึงไทยแท้

    แต่ไทยเก่าเข้าถึงประเทศไทยเก่าๆ คือด้านเชียงตุง มันจะมีแร่ประเภทหนึ่ง

    ที่มีความร้อนสูง ไอ้เจ้าแร่ประเภทนี้ เวลาน้ำผ่านมา มันจะร้อนขนาดเป็นไอเดือด

    ก็เป็นปัจจัยหนึ่งคือต้มกลั่น น้ำที่มีตะกอนสูงให้มันสุก น้ำตะกอนตกลง

    ฉะนั้นน้ำมันที่ไหลมาจากด้านทิศเหนือจะมีความใสกว่าปกติ ถ้าถูกสายนะ

    ถ้าถูกน้ำมันจริงๆ” ถ้าจะถามว่า “เวลานี้ ที่เขาเจาะถึงจุดศูนย์จริงๆหรือยัง”

    ผมก็ต้องตอบว่า “ศูนย์จริงๆน่ะมันยังไม่ถึงแท้ มันถึงแค่ผิวของศูนย์จริงๆ

    แค่ผิวถ้าลึกลงไปอีกประมาณสักกิโลเดียวหรือกิโลเศษๆ ถ้าเจาะ

    จะพบน้ำมันมากกว่านี้เยอะและความใสของน้ำมันจะมีมากขึ้น”

    ขอพูดย้ำอีกหน่อย ถ้าหากว่าเขาจะขุด เขาจะเจาะอย่างที่ต่างประเทศเขาทำกัน

    เขาต้องเจาะไปถึง ๖ กิโลเมตรละก็ อันนี้มันจะถึงศูนย์กลาง

    ข้างล่างมันจะกลายเป็นทะเล เห็นเป็นสายนี่มันผิว

    ถ้าถึง ๖ กิโลเมตรน่ะหยั่งลงถึงทะเลเลย ทะเลน้ำมัน ในนั้นเป็นทะเลทั้งหมด

    เป็นพื้นที่เดียวกันทั้งหมด โตใหญ่มากเลยประเทศไทยออกไปหน่อย

    อันนี้เป็นอ่างใหญ่มาก”...ฯลฯ...


    ตอนที่ 11 ผมบ้า (ต่อ)

    "บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและเพื่อนพระภิกษุสามเณร วันนี้ก็ยังพูด พูดให้ท่านทั้งหลายฟังไว้เป็นการรักษาอารมณ์ส่วนหนึ่ง รวมความว่าในตอนนี้ผมยังไม่หมดบ้า มันก็ยังบ้าต่อไป ตอนนั้นก็มาพูดถึงเรื่องน้ำมัน เทวดาท่านบอกว่า ท่านก็ยืนยันว่า "โลกถ้าใช้น้ำมันอย่างนี้ เฉพาะปี พ.ศ.2518 ทั้งโลกใช้น้ำมันวันละเท่าไหร่ น้ำมันนั้นประเทศไทยถ้าเจาะลึกถึงที่สุด ถึงทะเลของน้ำมัีนก็จะใช้ไป 4,000 ปี ยังไม่หมดน้ำมัีน และ ก็น้ำมันจะหมดไปไม่ถึง 25 เปอร์เซ็น และท่านบอกว่าถ้าหากดึงขึ้นมาหมด ประเทศไทยจะยุบเป็นทะเลเลย ดีมาก ตอนนั้นจะเมื่อไรก็ช่าง ผมไม่เอาแล้ว ผมก็อยู่ไม่ถึง ผมก็สบายใจ"(บางตอนจากหนังสือมโนมยิทธิและประวัติของฉัน โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ)หาอ่านดูรายละเอียดกันได้ หรือสนใจฟังที่เป็น ไฟล์เสียงก็ที่นี่นะ...https://drive.google.com/folderview?id=0B94y9ilhu8KZOEhpckdxRi03ckU&usp=sharing&tid=0B94y9ilhu8KZYnI3dkhhalNxUmc

    ไฟล์หนังสือ http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3.8879/


    ขอยกที่หลวงพ่อท่านเล่าไว้ในเรื่องจริงอิงนิทานบางช่วงบางตอนมาต่อไว้่หน่อย ที่ว่า
    "ถ้าคนมีกำลังใจเป็นพาล คือ ความโง่ ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าพวกของตน และขนของ ออกไปเป็นส่วนของตนมาก เมืองของตนรวยไม่ชอบ ชอบไปให้เมืองชาวบ้านอื่นเขารวย ขนทรัพย์ขนสินไปให้ชาวบ้านอื่นเขารวย ถ้ายังมีน้ำใจอยู่อย่างนี้ละ ของที่มีค่า มีราคาดี มันก็ยังปรากฏน้อย
    ถ้าคนทุกคนในเขตนี้ ที่เรียกกันว่า คนไทย มีใจรักชาติ มีความซื่อสัตย์สุจริต หวังความเจริญของบ้านเมือง ต้องการให้บ้านเมือง เจริญจริงๆ ทรัพยากรจะได้มากยิ่งกว่านี้"

    "ไอ้ที่เขาว่ายังไม่ขึ้นมาๆ นี่ ไม่ใช่เทวดากันไว้ ไม่ใช่ผีกันไว้ ไม่ใช่อย่างงั้น มันเป็นไอ้มนุษย์ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละที่กันอยู่"
    (5เมษายน 2521)

    [​IMG]

    พระเมตตา

    โดย พระมหาวีระ ถาวโร

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาต่อกันเรื่องน้ำมัน วันก่อนมาจบลงตรงไหน มาจบลงตรงที่เข้าไปถึงเจ้าหน้าที่ต่างประเทศผ่ายที่เข้ามาสำรวจน้ำมันในเขตประเทศไทย แต่ว่าจะเป็นบริษัทไหนอาตมาก็ไม่ทราบ เวลานั้นามันหลายบริษัทด้วยกัน และการเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบว่า อาตมาเองไม่รู้ภาษาต่างประเทศเลย ถ้าจะคุยกับชาวต่างประเทศ ถ้าไม่ใช้ภาษาไทยก็เห็นจะต้องใช้ภาษกลาง ยกแขนยกขาเสียเมื่อยแย่ก็เลยไม่ใช้ละ ใช้ภาษาไทยก็แล้วกัน ก็เป็นโชคดีจริงๆที่ชาวต่างประเทศท่านนั้นพูดภาษาไทยได้คล่องและก็ชัดเจนมาก อย่างตัว ร.เรือ ล.ลิง แหม...ใช้ได้ดีจริงๆ เข้าใจว่าก่อนจะมาประเทศไทย ท่านคงศึกษาไทยมาดีแล้ว เพราะว่าคนงานของหน่วยสำรวจน้ำมันก็เป็นคนไทย เป็นคนไทยเกือบทั้งหมด นอกจากนักวิชาการและผ่ายชำนาญการของเขาเท่านั้นเป็นชาวต่างประเทศ.
    ......ฯลฯ......​
    วันนั้นโชคดีจริงๆที่เป็นชาวต่างประเทศคนนั้นท่านพูดภาษาไทยชัด คล่องแคล่วชัดเจนเข้าใจภาษาไทยได้ดีมาก
    ท่านถามว่า “ท่านมาธุระอะไร”
    ก็เลยถามท่านอีกต่อ คือแทนที่จะตอบ ถามว่า “คณะของท่านมาสำรวจน้ำมันในอ่าวไทยใช่ไหม...?” ท่านก็ตอบว่า “ใช่”
    ตอนนี้ “ท่านเทวดาหัวหิน” ท่านกระซิบบอกว่า “สำหรับบริษัทนี้ เขาพบจุดสำคัญน้ำมันในอ่าวไทย เกินกว่า 4 จุด 4 จุดที่เป็นน้ำมันที่มีปริมาณสูง แล้วก็เป็นน้ำมันเกรดดีมาก ใสกว่าน้ำมันตะวันออกกลางมาก เกรดที่พบจริงๆจะเป็นน้ำมันเบนซินอยู่แล้ว (นั่นก็หมายความว่า ถูกกลั่นจากใต้ดิน คือความร้อนกลั่นจนกระทั่งตระกอนตก) แกบอกว่าดีกว่าน้ำมันที่พบที่มะริดมาก น้ำมันที่พบที่มะริด เป็นเกรดของน้ำมันโซล่า แต่ว่าน้ำมันที่พบในอ่าวไทยนี่ เป็นเกรดสูงกว่าน้ำมันก๊าส จะเป็นน้ำมันเบ็นซินอยู่แล้ว เพราะถูกความร้อนกลั่นจัด เผาผลาญตะกอนตก” ท่านกระซิบบอก เพราะว่าท่านไปด้วย เมื่อท่านกระซิบบอกอย่างนั้นจึงถามว่า “พวกท่านสำรวจน้ำมันในอ่าวไทย ท่านสำรวจพบบ้างหรือยัง?”
    แต่ว่าแทนที่ท่านจะตอบ ท่านกลับถามว่า “เวลานี้ผมกำลังสำรวจในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากฝั่งไป 92 ไมล์ แต่ว่าเป็นทะเลเศรษฐกิจของไทย ถ้าสำรวจมาแล้วน้ำมันชุดนี้จะเป็นสิทธิของประเทศไทย ผมอยากจะถามว่าที่ผมสำรวจน้ำมันที่นั่นมันจะพบไหม?”
    นี่ความจริงท่านก็คงจะคิดว่าอาตมานี่เก่งเหมือนเทวดา เมื่อท่านถามแบบนี้อาตมาก็งง ก็ชักจะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร ก็เป็นอันว่าต้องใช้กุนซือพิเศษ หรือไม่ได้ใช้ เขาบอกเลย
    ท่านบอกว่า “ถามเขาก่อน ถามว่าในอ่าวไทยคุณพบแล้วเกิน 4 จุดใช่ไหม? ถ้าเขาตอบว่าไม่พบ ก็ต้องตอบว่าที่เขาเจาะหรือสำรวจอยู่เวลานี้ไม่พบเหมือนกัน” อาตมาก็ต้องตอบตามที่ท่านกุนซือบบอก ก็ตอบเขาบอกว่า “คุณต้องบอกมาก่อนว่าในอ่าวไทยเฉพาะบริษัทของคุณที่สำรวจอยู่เวลานี้ ที่สำรวจผ่านมาแล้วพบไม่น้อยกว่า 4 จุดใช่ไหม?”
    ท่านผู้นั้นตอบว่า “ไม่พบขอรับ ไม่พบเลย”
    ท่านกุนซือบอกว่า “ถ้าเขาบอกว่าไม่พบ เราก็ต้องตอบตามวิธีนี้”ถ้าหากว่าคุณสำรวจแล้วในอ่าวไทยไม่พบ การสำรวจในมหาสมุทรอินเดียมันก็ต้องไม่พบ
    จึงตอบท่านไปบอกว่า “สัจจังเว อมตา วาจา” คนที่พูดวาจาตามความเป็นจริงเป็นวาจาไม่ตาย
    ท่านผู้นั้นก็ตอบเป็นภาษาไทยว่า “ผมพูดความจริง ผมอาจจะถูกไล่ออกจากงานก็ได้ครับ”
    ก็เป็นเวลาพอดีได้ยินเสียงวิทยุเรียกมาพอดี ใช้ก็ใช้ลูกน้อง 2 คนของท่านไปรับวิทยุแทน เมื่อลูกน้องไปรับวิทยุแทน ก็เลยนั่้งคุยกับท่าน ตอนนั้นยังไม่นั่ง เขานั่งอยู่ อาตมายืนอยู่แต่เขาไม่ได้เชิญให้นั่ง ก็เลยไม่รู้จะนั้งตรงไหน เมื่อเขาเชิญให้นั่ง ก็เลยนั่งคุยกัน
    ตอนนี้รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันสองคนสบายมาก ไม่มีใครต้องหันหน้าหันหลังกันไป ดูคนโน้นดูคนนี้ ปรากฏว่าคนที่ไปด้วยกันเป็นคนฉลาดทั้งหมด ไม่่ต้องให้สัญญาณ รู้สึกว่าท่านจะแลาดกว่าอาตมามาก เห็นเขาเหลือบไปเขามองไปมองมา ทุกคนก็เลยถอยไปไกลหมดเลย ไปนั่งคุยดูโน่นดูนี่กันตามสบายคุยกันตามเรื่อง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยให้อาตมาคุยกันสองคน
    ท่านผู้นั้นก็เลยบอกว่า "ที่ท่านถามเมื่อกี้นี้ เมื่ออยู่ด้วยกันสองคน ท่านขอไว้อย่างหนึ่งว่า "ขอให้ท่านสงวนไว้เป็นความลับนะครับ หากว่าท่านไม่สงวนไว้เป็นความลับ โทษมีกับผมอย่างหนัก"
    ก็เลยบอกว่า "อาตมาจะสงวนเป็ฯความลับสักกี่ปี?"
    ท่านผู้นั้นก็บอกว่า"ถ้าผมไปต่างประเทศเมื่อไร ท่านพูดได้เลย ถ้าผมยังไม่ไปต่างประเทศเมื่อไร ท่านอย่างเพิ่งพูด อีกประการหนึ่งเวลาที่ท่านพูด ท่านจงอย่าบอกว่าผมเป็นใคร"
    ก็เลยบอกว่า "เวลานี้อาตมายังไม่รู้ว่าท่านเป็นใครเลย แล้วก็ท่านไม่ต้องบอกชื่ออาตมาๆไม่ต้องการทราบชื่อท่าน เพราะถ้าหากขืนทราบชื่อท่าน ดีไม่ดีละก็อาตมาเผลอไป มันจะเป็นภัยกับท่าน"
    แต่ความจริงเราจะต้องการชื่อแซ่ของเขาเพื่อประโยชน์อะไร เราต้องการจริงๆ นั่นก็คือผลที่เราต้องการ นั่นคือน้ำมัน ในที่สุดท่านมองไปเห็นไม่มีใครอยู่ไกล้ ท่านก็เลยพูดเบาๆ แต่ว่าได้ยินชัด พอที่คนอื่นที่อยู่ไกลไปสัก 2 วาจะไม่ได้ยิน
    ท่านบอกว่า "ตามที่ท่านถามในตอนแรกน่ะ ตรงตามความเป็นจริงครับ เฉพาะบริษัทของผมที่ผมทำงานอยู่นี่ (ความจริงเขาไม่ใช่เจ้าของบริษัท) สำรวจในอ่าวไทยแล้ว พบน้ำมันจริงๆเกินกว่า 4 จุด แต่ทว่าเขาไม่ให้ผมพูดนี่ครับ เขาให้ปิดไว้ ผมก็จำเป็นจะต้องปิด ผมเป็นลูกจ้างเขา ถ้าหาว่าผมไม่ปิดเขาอาจจะไล่ผมออกงาน อันนี้เป็นความจริง"
    ก็เลยบอกท่านว่า"เป็นความจริง เรื่องนี้อาตมาเห็นใจ"
    แล้วก็ถามว่า "ทำไมทางบริษัทจึงต้องปิด"
    [​IMG]
    ท่านผู้นั้นบอกว่า "เรื่องนี้ผมไม่ทราบเขาเลยครับ ผมเป็นลูกน้องเขา เป็นแต่เพียงเขาบอกว่า ถ้าพบแล้วสำรวจแน่นอนว่ามีจริงรู้ปริมาณจริงก็ต้องปกปิดไว้ แค่ความจริงที่ท่านถามว่าน้ำมัีนที่พบนะพบจริง และมีีความใสจริงน้ำมันในประเทศไทยที่พบแล้ว ใสกว่าตะวันออกกลางมากครับ ถ้าจะเทียบว่าเป็นน้ำมันก๊า๊สก็มีเกรดสูงกว่า ถ้าจะเรียกว่าเป็นน้ำมันเบ็นซินก็ต่ำไปนิดหนึ่่ง
    เลยถามท่านว่า "น้ำมัีนประเภทนี้ถ้ากลั่นจะได้อ๊อกเทนสูงไหม ได้เบ็นซินมากไหม?"
    ท่านบอกว่า "เป็นเบ็นซินเลยครับ กลั่นนิดเดียวไม่ต้องทำงานมาก ท่านบอกว่าสมมุติว่าเราได้น้ำมันดิบธรรมดาจากตะวันออกกลางมา ต้องกลั่นถึงสี่ช่่วงจึงจะเป็นเบ็นซินละก็ น้ำมัีนของประเทศไทยต้องใส่ช่วงที่ 4 เลย และกลั่นออกมาเป็นเบ็นซินทันที เกรดมันก็อยู่ไกล้เบ็นซิน แต่ว่ามันอ่อนไปนิดหนึ่ง อาจจะมีตะกอนหรือเชื้อที่มีความจางมันมีอยุ่"
    ถามว่า "ถ้าจะกลั่นกันจริงถึงออกเทนไหม?""ถ้าอ๊อกเทนก็ได้เปอร์เซ็นสูงมากจะมีเปอร์เซ็นสุงกว่าน้ำมันเบ็นซินที่จะเป็นได้"(ถ้าจำไม่ผิดน้ำมันลักษณะนี้สมัยนี้เรียกว่า "เบนเดลเสด"คือเป็นน้ำมันที่เกรดดีมาก ที่เห็นว่าเราส่งออกไปยังอเมริกาทุกวันนี้ โดยอ้างว่าดีเกินไปหรืออย่างไรนี่แหละ ไม่แน่ใจ ก็ลองสืบค้นกันดู) โอ้โฮ คิดดีใจ ดีใจว่าที่ท่านบอกว่าน้ำมันในประเทศไทยมีความใสกว่าน้ำมันที่ถูกกลั่นแล้วจากใต้ดิน มีความใสกว่าตะวันออกกลางมาก ตรงเป๋งตามที่ท่าน"เทวดาหัวหิน"ท่านบอก แล้วก็สำหรับน้ำมันดิบที่ได้ขึ้นมา ก็ยังมีปริมาณเกรดดีกว่าของตะวันออกกลาง ของตะวันออกกลางที่เขาได้มาน่ะ นี่เป็นอันว่าประเทศไทยรู้สึกว่ามีความโชคดีมาก
    แล้วท่านผู้นั้นยังมาถามต่อไปว่า "เมื่อผมบอกท่านตามความเป็นจริงแล้ว ผมก็อยากจะทราบว่าที่ผมสำรวจในมหาสมุทรอินเดีย จะพบไหม?
    ตอนนี้ท่านหัวหินท่านก็บอกว่า"บอกเขาเลยว่าพบและให้ถามว่าเวลานี้เริ่มเจาะแล้วใช่ไหม?"
    จึงได้ถามว่า "เวลานี้น่ะคุณกำลังเริ่มเจาะแล้วใช่ใหม แล้วก็เจาะมาหลายวันแล้ว?"
    เขามองหน้า เขามองหน้าอาจจะรู้สึกแปลกใจ เขาบอกว่าเขาสำรวจแต่เราถามว่าเริ่มเจาะ เจาะก็หมายถึงเจาะสำรวจเหมือนกัน
    เขาบอกว่า "ใช่ครับ ท่านทราบได้ยังไง แล้วมีใครบอกท่าน?
    บอก "จะบอกอะไร อาตมาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ ก็เดาเอาว่าที่ท่านสำรวจแล้วถ้าเห็นผลแล้วก็ต้องเจาะ"
    เขาบอก "เจาะแล้วครับ"
    ถามว่า"ท่านเจาะลงไปเวลานี้มันลงไปถึง 3 ใน 4 จวนที่จะถึงแล้วใช่ไหม?"
    อีตอนนี้ท่านมองหน้าเป๋งเลย แต่ความจริงที่ถามนี่ญาติโยมคงทราบ อาตมาไม่รู้จริงหรอก ก็มีท่านข้างหลังเขาบอกตลอดเวลา เรายืนข้างหน้า ท่านบอกว่าเวลานี้เขาเจาะลงไป 3 ใน 4ก็อาจจะถึงแล้ว ท่านผู้นั้นก็บอกว่า"ถ้าตามตำรานะ ตามหลักวิชาการก็คิดว่าเป็นยังงั้นครับ แต่ก็มีความไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปตามนั้นไหม?"
    ก็เลยบอกว่า"ถ้าตามความรู้สึกของอาตมา ต้องใช้ศัพท์ว่าอย่างนี้ ตามความรู้สึกของอาตมาว่ามันเข้าไป 3 ใน4ก็จะถึงปริมาณของน้ำมัน ปริมาณของน้ำมันที่คุณเจาะไปนั่นรู้สึกมันมีมากพอ เฉพาะจุดเดียว ถ้าใช้ในประเทศไทย พ.ศ.2518 เหลือใช้ จะต้องขายต่างประเทศ"
    ท่านเลยถามว่า "เกรดที่จะพึงได้มัีนคล้ายคลึงกับในประเทศไทยไหม?"
    ก็ตอบว่า เกรดที่จะพึงได้ คล้ายคลึงกันมากอาจจะหย่อนไปสักนิดหนึ่งเอาเดาๆกันอย่างนี้ก็แล้วกัน ว่าอย่างน้อยอย่างต่ำที่สุึดก็ต้องเป็นเกรดของดีเซลหมุนเร็วเป็นอย่างต่ำ หรืออาจจะสูงกว่านั้น อาจจะดีกว่านั้น การกลั่นจะดีมาก จะสะดวกมาก"
    ท่านก็พอใจ พอคุยกันไปแล้วท่านก็ชอบอกชอบใจ ก็ชวนเข้าไปในบ้าน จะไปนั่งคุยกันในบ้าน ความจริงตอนนั้นนั่งคุยกันโคนต้นมะพร้าวอากาศสบาย อาตมาเห็นว่ามันไม่เป็นการสมควร เราต้องการแค่นี้ เข้าไปในบ้านก็เป็นการรบกวนเขา อีกประการหนึ่งวิทยุที่เรียกมาอาจจะมีความสำคัญ พอคุยกันเสร็จพอจะลาจากกัน ลูกน้องสองคนก็ออกมารายงานบอกว่า"สถานที่ทำการเจาะน้ำมัน เวลานี้มีคนพลาด เอามือซุกเข้าไปยังไงก็ไม่ทราบ ไอ้เครื่องเจาะมันกระแทกมือ รู้สึกมือเสียไปมือหนึ่ง"
    ก็พอดีแกก็ชี้ให้ดู ฮ.กำลังบินมาพอดี บอก "ฮ. ตัวนี้กำลังนำคนเจ็บไปสู่โรงพยาบาล" สถานพยาบาลนี่้ เป็นสถานพยาบาลของบริษัทเขา ไม่ใช่โรงพยาบาลของเรา อาตมาทราบข่าวเท่านี้ก็มีความพอใจก็ลาท่านกลับ....ฯลฯ...
    ก็ขอยกมาประกอบไว้ที่นี่เีพียงเท่านี้ เพื่อพอรู้ว่า เรื่องผลประโยชน์ของชาวโลกนี้มันซับซ้อนมาตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อ 40 ปีที่แล้วแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ตามคำสอนที่หลวงพ่อว่า
    "เรื่องที่ฉันพูดให้ฟังนี้ก็เพื่อจะให้เป็น กำลังใจ

    กับคนที่มีความคิดปรารถนา ต้องการให้ประเทศชาติร่มเย็น

    เป็นสุข อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน แล้วเด็ก ๆ รุ่นลูก ๆ หลาน ๆ

    ของคนพวกนี้โตขึ้น มีอำนาจวาสนา เมื่อไรจะเห็นว่า ตอนนั้นแหละ

    ประเทศไทย เต็มไปด้วยความรุ่งเรือง เพราะว่าอะไร เพราะว่า

    คนไทยเดิมมาเกิดมาก และที่คนไทยเดิมมาเกิดมาก ก็เพราะว่า

    ถึงกาลสมัยที่คนไทย ต้องทำให้ประเทศไทย เป็นแหลมทองตามเดิม

    คำว่า "ทอง" หมายถึง ดี มีค่าสูง ฉันไม่ได้คิดว่าประเทศไทยจะรวยด้วยทองคำ

    แต่สิ่งเหล่านี้จะปรากฏขึ้นภายหลัง หลังจากที่ได้น้ำมันแล้ว"

    "(อีกไม่นาน ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว) คนดีจะปรากฏทีละน้อยๆ

    เพราะ อาศัยพระราชจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์ เป็นผู้นำ

    คนเลวจะค่อยๆสลายตัวไป คนดีจะค่อยๆรวบรวมกำลังกันขึ้นนำ

    แต่ทว่า วันเวลา ก็เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ต้องถือว่า เป็นกาลที่ประเทศ

    กำลังจะมีโชคดี ด้วย เวลาที่ใช้ ก็ไม่นานปีเกินไป จนเกินวิสัย

    ที่เราจะคอยกันได้ เมื่อกาลนั้นปรากฏ เราชาวไทยที่มีจิตใจเป็นไท

    จะรวบรวมตัวกันมากมีกำลังหนัก คล้ายสมัยเมื่อ พระเจ้าตากสินมหาราช

    รวบรวมกำลังคนไทย ให้มีใจเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คนเลวทั้งหลาย

    หรือว่า คนดีในปัจจุบัน ก็จะพยายามค่อยๆ ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะว่า

    ไม่สามารถนำความชั่วร้าย มาใช้กับประเทศได้


    (เล่าเมื่อ 18 มิถุนายน 2517)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2014
  17. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    <font color="#ff0066">เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่ </font><br /> <a href="http://www.facebook.com/BuddhaSattha" target="_blank"><font face="verdana"><font size="5"><font color="#006600"><b>เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา</b></font></font></font></a><br /><font color="#ff0066">และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน</font>

    <font color="#006600">เว็บทางนิพพาน</font> <font color="#0000ff">เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น</font><br /><font color="#0000ff">ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน</font><br /><font color="#006600">ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่</font> www.tangnipparn.com

    <font size="5"><font face="Browallia New"><font color="darkorchid"><b>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญ</b></font></font></font> <a href="http://buddhasattha.com/" target="_blank"><font size="5"><font face="Browallia New"><font color="#0066ff"><b>เว็บศูนย์พุทธศรัทธา</b></font></font></font></a><br>
    <a href="http://buddhasattha.com/" target="_blank"><img src="http://buddhasattha.com/wp-content/uploads/2010/09/bgs.jpg" border="0" alt="" title="แวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา"/></a>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2013
  18. มองทุกมุม

    มองทุกมุม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +1,822
    http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3/605419889485777
    คุยกับหม่อมกร ได้แชร์ลิงก์
    7 ชั่วโมงที่แล้ว
    ขอเล่าเรื่องเบาๆบ้างนะครับ
    วันนึงเมื่อ 3-4ปีก่อน ผมได้นำเรื่องน้ำมันที่เป็นปัญหาของชาติไปปรึกษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง พอดีอาจารย์ธนิต ศรีกลิ่นดี(อดีตสมาชิกคาราบาว) ท่านได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย ผมเองไม่รู้จักอาจารย์ธนิตมาก่อน เคยเห็นแต่ในทีวี พอเล่าจบอาจารย์ธนิตมองหน้า แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร

    หลังจากนั้นหลายเดือน ผมได้เจออาจารย์ธนิตอีกครั้ง แกสารภาพว่า ตอนที่ผมเล่าเรื่องน้ำมันคราวก่อนแกถึงกับขนลุก แกบอกว่าอาจารย์ของแกคือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยเล่าเรื่องน้ำมันที่มีอยู่ในประเทศไทยไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ก่อนหลวงพ่อเล่าจบ ก็มองหน้าอาจารย์ธนิตแล้วพูดว่า "จะมีคนมาทำเรื่องนี้ต้องช่วยเขานะ"

    ผมก็เลยลองค้นดูว่าหลวงพ่อพูดไว้ว่าอย่างไรเพราะอยากรู้เหมือนกัน ไปพบในเว็ปพลังจิตครับ เลยขออนุญาตินำมาแปะไว้เพื่อเผยแพร่ครับ

    อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรเป็นเรื่องส่วนบุคคลนะครับ ส่วนผมนับถือหลวงพ่อมาก เคยฟังเทศน์จากหลวงพ่อตอนผมอายุ 11 ขวบในวังสวนจิตร หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสพบหลวงพ่ออีกเลย

    อ่านตรง ทรัพยากร นะครับ หลวงพ่อเล่าเรื่องน้ำมันไว้เยอะทีเดียว
    (เล่าเมื่อ 18 มิถุนายน 2517)

    http://palungjit.org/threads/รวมเรื่องจริงอิงนิทานของ-หลวงพ่อฤาษี-วัดท่าซุงค่ะ.66433/

    ที่มา...http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3/605419889485777



    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99-%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B5.491930/page-2

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0.493942/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2013
  19. มองทุกมุม

    มองทุกมุม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +1,822
    [​IMG]
    ภาพบ่อน้ำมันบ่อก๊าซที่คนไทยไม่เคยเห็น กระทรวงก็ไม่ให้ดู แต่กระทรวงพลังงานให้คนมาขอสัมปทานดูในการแจกสัมปทานรอบที่ 20 ผมใช้คำว่าแจกเพราะสัมปทานบ่อน้ำมันไทยจะมีมูลค่ากี่แสนล้านบาทก็ไม่มีการประมูลครับ ซึ่งขัดกฎบัตร Natural Resource Charter ใครมาขอก็เขียนโครการแล้วก็ให้กันไป ทาง natural resource charter เขียนไว้ชัดว่าต้องทำการประมูลให้โปร่งใส

    ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมรับรู้รับฟังการประมูล จะช่วยลดโอกาสการกระทำทุจจริตการสมคบคิดระหว่างข้าราชการและนักธุรกิจได้ แต่ของไทยกระทรวงบอกประชาชนอย่ามายุ่ง ผมว่ากระทรวงคงลืมไปว่าประชาชนคือเจ้าของบ่อน้ำมันตัวจริงย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมในการตรวจสอบการดำเนินงานใดๆของกระทรวง

    ไทยแจกบ่อน้ำมันไป 20 รอบแล้ว คนไทยเจ้าของบ่อน้ำมันตัวจริงไม่รู้รายละเอียดกันเลย แถมปลัดกระทรวง+อธิบดีไปรับเงินเดือนโบนัสจากผู้ขุดเจาะน้ำมัน ไม่ต่างสมภารกับพระลูกวัดกินไก่วัดเสียเอง ผมว่าชาวบ้านคงต้องรวมตัวกันจับสมภารสึกซะแล้วละครับงานนี้

    เพราะขุดน้ำมันกันมาเกือบ 40ปี จนสามารถส่งออกไปขายต่างประเทศ แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่อยู่ดีกินดีขึ้นสักที...ที่มา...http://www.facebook.com/photo.php?fbid=622654614428971&set=a.608891892471910.1073741828.605419889485777&type=1&theater

    ภาพนี้ชัดเจนว่า หลวงพ่อของเรารู้จริง สิ่งที่ท่านเล่าแม้จะใช้คำว่าเรื่องจริงอิงนิทาน แต่ทุกคำเป็นสัจจะธรรม ทนต่อการพิสูจน์เสมอ ไม่จำกัดกาลเวลา ผ่านมากี่ปีความจริงก็คือความจริง น้ำมันในเมืองไทยมีมากจริงๆ

    ภาพที่นำมาให้ดูนี้ ถ้าเทียบกับคำบอกเล่าของหลวงพ่อ มันคือน้ำมันที่อยู่

    เพียงผิวๆ ยังไม่ถึงแท๊งค์น้ำมัน เพราะถ้าเจาะลงไปลึก 6 กิโลเมตรเหมือนประเทศอังกฤษ ท่านบอกว่า

    หัวเจาะจะจมลงไปในแ๊ท๊งค์น้ำมัน 2 กิโลเมตร ที่มา...มโนมยิทธิและประวัติของฉัน...

    บางช่วงบางตอนของตอนที่ ๑๐ผมบ้า(ต่อ)"โอ้โฮ ดูตามสายผิวๆนะ ถ้าเราเห็นเป็นสายนี่

    มันเป็นผิวๆ ไม่ใช่ส่วนลึก คือจากมะริดเรื่อยมา จนกระทั่งออกทางสิงห์บุรี เป็นลำแม่น้ำใหญ่จริงๆ

    บางส่วนกว้างถึง ๑ กิเมตร บางจุดกว้างเกินกว่า ๓ กิโลเมตร ส่วนที่แคบจริงๆ จะต้องไม่น้อยกว่า ๑

    กิโลเมตร เป็นทางยาวมาก มาออกชนกับสายเหนือที่สิงห์บุรี ทางสายเหนือก็ไหลเรื่อยลงมาเรื่อยจาก

    โน่น จากจีน จากธิเบตก็ว่าเรื่อยมาเลยเข้ามาถึงเขตประเทศไทย ยังไม่ถึงไทยแท้ แต่ไทยเก่าเข้าถึง

    ประเทศไทยเก่าๆ คือด้านเชียงตุง มันจะมีแร่ประเภทหนึ่งที่มีความร้อนสูง ไอ้เจ้าแร่ประเภทนี้ เวลาน้ำ

    ผ่านมา มันจะร้อนขนาดเป็นไอเดือด ก็เป็นปัจจัยหนึ่งคือต้มกลั่น น้ำที่มีตะกอนสูงให้มันสุก น้ำตะกอน

    ตกลงฉะนั้นน้ำมันที่ไหลมาจากด้านทิศเหนือจะมีความใสกว่าปกติ ถ้าถูกสายนะ ถ้าถูกน้ำมันจริงๆ” ถ้า

    จะถามว่า “เวลานี้ ที่เขาเจาะถึงจุดศูนย์จริงๆหรือยัง”ผมก็ต้องตอบว่า “ศูนย์จริงๆน่ะมันยังไม่ถึงแท้ มัน

    ถึงแค่ผิวของศูนย์จริงๆ แค่ผิวถ้าลึกลงไปอีกประมาณสักกิโลเดียวหรือกิโลเศษๆ ถ้าเจาะ จะพบน้ำมัน

    มากกว่านี้เยอะและความใสของน้ำมันจะมีมากขึ้น” ขอพูดย้ำอีกหน่อย ถ้าหากว่าเขาจะขุด เขาจะเจาะ

    อย่างที่ต่างประเทศเขาทำกัน เขาต้องเจาะไปถึง ๖ กิโลเมตรละก็ อันนี้มันจะถึงศูนย์กลาง ข้างล่างมัน

    จะกลายเป็นทะเล เห็นเป็นสายนี่มันผิว ถ้าถึง ๖ กิโลเมตรน่ะหยั่งลงถึงทะเลเลย ทะเลน้ำมัน ในนั้น

    เป็นทะเลทั้งหมด เป็นพื้นที่เดียวกันทั้งหมด โตใหญ่มากเลยประเทศไทยออกไปหน่อย อันนี้เป็นอ่าง

    ใหญ่มาก”...ฯลฯ...


    ตอนที่ 11 ผมบ้า (ต่อ)

    "บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและเพื่อนพระภิกษุสามเณร วันนี้ก็ยังพูด พูดให้ท่านทั้งหลายฟังไว้เป็นการรักษาอารมณ์ส่วนหนึ่ง รวมความว่าในตอนนี้ผมยังไม่หมดบ้า มันก็ยังบ้าต่อไป ตอนนั้นก็มาพูดถึงเรื่องน้ำมัน เทวดาท่านบอกว่า ท่านก็ยืนยันว่า "โลกถ้าใช้น้ำมันอย่างนี้ เฉพาะปี พ.ศ.2518 ทั้งโลกใช้น้ำมันวันละเท่าไหร่ น้ำมันนั้นประเทศไทยถ้าเจาะลึกถึงที่สุด ถึงทะเลของน้ำมัีนก็จะใช้ไป 4,000 ปี ยังไม่หมดน้ำมัีน และ ก็น้ำมันจะหมดไปไม่ถึง 25 เปอร์เซ็น และท่านบอกว่าถ้าหากดึงขึ้นมาหมด ประเทศไทยจะยุบเป็นทะเลเลย ดีมาก ตอนนั้นจะเมื่อไรก็ช่าง ผมไม่เอาแล้ว ผมก็อยู่ไม่ถึง ผมก็สบายใจ"


    ฟังเสียงหลวงพ่อเรื่อง "มโนมยิทธิและประวัติของฉัน"ได้ ใน คำสอนหลวงพ่อ หมวด ท.เทปออกใหม่ ปี พ.ศ.2527 นะท่านผู้สนใจทุกท่าน มีทั้งหมด 12 เทปคลาสเส็ท 24 ตอน ตอนที่ 9เป็นต้นไปท่านจะพูดถึงทรัพยากรณ์ซึ่งมีมหาศาลในประเทศไทย บริหารดีๆ ซื่อสัตย์ ซื่อตรง เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนรวม มากกว่าผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง คนไทยทุกๆคน จะไม่มีคนจน หลวงพ่อบอกว่า คนจนที่สุดจะมีเงินแสนใช้ ไม่ใช่จนที่สุด ถึงขั้นไม่ที่จะอยู่ ไม่มีข้าวจะกิน อย่างตอนนี้หรอกนะ

    มโนมยิทธิและประวัตของฉัน mp3https://drive.google.com/folderview?id=0B94y9ilhu8KZOEhpckdxRi03ckU&usp=sharing&tid=0B94y9ilhu8KZYnI3dkhhalNxUmc

    [​IMG]

    ไฟล์หนังสือ http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3.8879/

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=lT22MpowSsI"]http://www.youtube.com/watch?v=lT22MpowSsI[/ame]

    ลงให้ดูเพื่อเป็นความรู้ จุดนี้ทำการขุดเจาะลึก 2600 เมตร หรือ 2 กิโลกับ 600เมตรจะได้น้ำมันประมาณนี้ แต่องค์หลวงพ่อเคยบอกว่า"ถ้าถึง ๖ กิโลเมตรน่ะหยั่งลงถึงทะเลเลย ทะเลน้ำมัน ในนั้นเป็นทะเลทั้งหมด เป็นพื้นที่เดียวกันทั้งหมด โตใหญ่มากเลยประเทศไทยออกไปหน่อย อันนี้เป็นอ่างใหญ่มาก”...ฯลฯ...(ไม่ทราบว่าเจาะลึกถึง 6 กิโลเมตร เทคโนโลยี่ปัจจุบันทำได้หรือเปล่านะ ถ้าทำได้ เจอทะเลน้ำมันตามที่องค์หลวงพ่อบอกแน่ๆ)

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6_zg3m3JmHA"]http://www.youtube.com/watch?v=6_zg3m3JmHA[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=tWq7qNzFwWw"]http://www.youtube.com/watch?v=tWq7qNzFwWw[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=PjRvecN63FA"]http://www.youtube.com/watch?v=PjRvecN63FA[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=9b-9TiUulNk"]http://www.youtube.com/watch?v=9b-9TiUulNk[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=KyrsywffKOM"]http://www.youtube.com/watch?v=KyrsywffKOM[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=dr1lzkmGi7A"]http://www.youtube.com/watch?v=dr1lzkmGi7A[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2014
  20. cwmdosthai

    cwmdosthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +312
    ขอบคุณครับ ที่นำข้อมูลดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...