รวมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย อภิราม, 7 ตุลาคม 2010.

  1. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
    ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

    ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

    อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
    แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

    ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
    แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

    ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

    อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
    ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น



    ************************


    พระพุทธเจ้ารู้
    และท่านก็ตรัสสรุป
    ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
    ตลอดจนหยุดตามท่าน
    คือการมองเข้าข้างใน
    และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
    คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
    พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
    เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
    อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์


    ขอขอบพระคุณ
    แหล่งที่มา : :: Œ??Ã?ѡà:: :: ͨҹ - ?Ð́?Ї??Ҡየ?ͧ?슁ധ??Ðʑ?Ҋс?ط?਩Ҧlt;/a>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ตุลาคม 2010
  2. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    (พระราชพรหมยาน)

    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


    [​IMG]


    ขอแจ้งให้ทราบว่าทุกคนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต
    ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหนไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ


    ๑.ศิษย์ชั้น ๓ พยายามรักษาศีล ๕ ได้เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง
    แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนมากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น ๓ คือศิษย์ขนาดจิ๋ว


    ๒.ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร
    ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง


    ๓.ศิษย์เอก มีปฏิปทาดังนี้
    ()รักษาศีล ๕ ครบถ้วนเป็นปกติ
    ()เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า
    ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ




    ถ้าปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมานี้ มาพบหรือไม่มา ขออนุญาตเป็นศิษย์ หรือไม่ขออนุญาตก็ตาม
    ให้ทราบว่าอาตมารับเป็นศิษย์แล้วด้วยความเต็มใจ



    **************************

    ขอขอบพระคุณ
    แหล่งที่มา : ?٤ӊ͹˅ǧ?荷ըʘ聡ʴ?˹钠ǧ?

     
  3. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ฉะนั้นลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา
    แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียว คือ จำนำทางให้ลูกพ้นทุกข์
    เข้าไปหาแดนความสุข ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
    ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั้นคือ พระนิพพาน



    **************************



    ลูกรักทั้งหลาย ธรรมส่วนใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ที่พ่อจะปกปิดไว้ไม่มี พ่อสอนหมดทุกอย่าง
    เมื่อพ่อตายแล้ว ขอลูกแก้วของพ่อ จงประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยส่วนนี้ทั้งหมด
    ในเมื่อขันธ์๕ มันทรงไม่ไหว พ่อก็อยู่ไม่ได้ พ่อสอนลูกอยู่เสมอว่า
    ขันธ์๕ เป็นของธรรมดา มัน เกิด แก่ เจ็บ และตายเหมือนกันหมด
    ลูกจะเกาะขันธ์ ๕ ของพ่ออยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้
    ความดีที่จะเกิดมีขึ้นนั้นไซร้คือการปฏิบัติตนเอง ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม
    ถ้าสามารถทำได้ในที่สุด ในไม่ช้าก็จะบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล


    แหล่งที่มา : พ่อรักลูก ๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  4. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]





    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าพระอริยเจ้ามี ๔ เหล่า
    คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
    แต่การบรรลุจริงๆไม่จำเป็นต้องตามลำดับ นั่นก็หมายความว่า ถ้ามีอารมณ์ทรงความเป็นพระโสดาบันได้
    คือ ในขณะใดที่หวังประคองใจให้อยู่ในขอบเขตของพระโสดาบัน
    เวลานั้นก็เอาอารมณ์ของพระอรหันต์มาใช้ด้วย
    ถ้าอารมณ์พระอรหันต์จริงๆ เอากันตัวปลายเลยนะ ตัวอรหันต์นั่นก็คือ สังขารุเบกขาญาณ
    คือวางเฉยในร่างกาย เรียกว่าวางเฉยในขันธ์ ๕ หรือร่างกายนั่นเอง
    นั่นหมายความว่า วางเฉยในกายด้วย วางเฉยในอารมณ์ด้วย ต้องฝึก


    ที่มา: ธรรมะปฏิบัติ เล่ม ๑๒ หน้า ๗๓




    ********************



    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...นัตถิ โลเก อนินทิโต... คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก พระพุทธเจ้าเองยังถูกนินทา
    อาตมาเป็นสาวกรุ่นจิ๋วของพระองค์ทำไมจะไม่ถูกนินทา เวลานี้คำนินทา คำติเตียนก็เกลื่อนโลก เต็มโลกไปหมด ไม่เห็นหนักใจอะไร จะนินทาสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็แก่ลงไปทุกวัน ใครเขาสรรเสริญยังไงก็ตาม ก็ยังแก่ลงทุกวัน นินทาก็แก่ สรรเสริญก็แก่ ฉะนั้น คำนินทาและสรรเสริญทั้ง ๒ ประการนี้ ท่านพุทธบริษัท
    องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงแนะนำว่า จงอย่าถือเอาเลยทั้ง ๒ อย่าง



    (จากหนังสือ หนีนรก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  5. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมัน
    ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี คนที่มีบารมีต้น นี่นะ เขาเก่งแค่ทานกับศีล
    อย่างเก่งถ้าอุปบารมี ก็เก่งแค่ฌานสมาบัติ จิตใจพอใจมาก แต่พูดเรื่องนิพพานไม่เอาด้วย
    คนที่มีบารมีเข้าถึง ปรมัตถบารมีเท่านั้น จึงจะพอใจในนิพพาน




    ************************​



    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


    ปลงให้เห็นว่า อนิจจัง นี่มันเป็นของไม่เที่ยงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดในโลกนี้
    ถ้าไม่เที่ยงเราไปยึดมันเข้าแล้วมันเป็นทุกข์ ต้องปล่อยตามมัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันแล้วในที่สุด
    มันก็เป็นอนัตตา พังสลายตัวหมด อย่าไปยึดไปถือมัน อย่าไปยึดว่าจะมีอะไรเป็นเราเป็นของเราต่อไป
    แม้แต่ร่างกายเรายังพัง ในเมื่อร่างกายเรายังพังแล้วจะมีอะไรทรงอยู่ อะไรมันทรงอยู่แล้วก็ตาม
    ถ้าหากว่าร่างกายเราพังแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิ์จะมายึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา


    ที่มา: ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ๑๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  6. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    " คนเราเกิดมาในโลกนี้
    ไม่ทำความชั่วเลยน่ะ...ไม่มี
    ถ้าเราจะชดใช้บาปมันก็ชดใช้กันไม่ไหว
    มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนา
    คือหนีบาป
    การภาวนาให้จิตทรงตัว
    การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย
    พยายามรวบรวม บารมี ๑๐ ประการ ไว้ให้ครบถ้วน
    พยายามตัด สังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
    จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
    มี พรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
    ทรง ศีล ให้บริสุทธิ์
    มี อิทธิบาท ๔ ทรงตัว
    เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้
    ลูกรักของพ่อ จะไม่ต้องเกิดอีกต่อไป "



    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑





    ************************​



    สำหรับ กรรมบถ ๑๐ ที่บอกแล้วว่ามีทั้งศีลและธรรม ศีลก็คือว่าศีลข้อที่ผ่านมาแล้วฝ่ายธรรมชัดๆ ก็คือ
    - มโนกรรม ที่ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครอย่างหนึ่ง
    - ไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญอย่างหนึ่ง
    - มีความเห็นถูกตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างหนึ่ง
    ความจริงธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ ถ้าอย่างอ่อนๆ ก็เป็นพระสกิทาคามี ถ้าปฏิบัติได้อย่างกลางๆ ก็เป็นอนาคามี
    ถ้าปฏิบัติได้อันดับสูงสุด เป็นอรหันต์เลย ธรรมะ ๓ ประการนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อย หนักมาก ใหญ่มาก มีคุณมีประโยชน์มาก


    (จากหนังสือ หนีนรก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  7. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]




    ".. เราเกิดมาชาตินี้มันทุกข์ ถ้าเราเกิดอีกแสนชาตินี่ มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ ?
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
    มีความหิว ความกระหาย ความร้อน ความป่วยไข้ไม่สบาย ความปรารถนาไม่สมหวัง
    การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ไม่ถูกใจ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายไปในที่สุด
    ทุกชาติที่เราเกิดมา มีอาการอย่างนี้ทั้งหมด .."


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ฉบับก.พ. ๒๕๔๖ หน้า ๔๙




    ***********************​



    การที่จะหนีอบายภูมิทั้ง ๔ คือการไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปนั้น
    ต้องกำจัดสังโยชน์ คือ อารมณ์ชั่ว ๓ ประการ ให้พ้นจากใจ อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ ประการ คือ
    ๑. ที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ตายตัดทิ้งไป ให้มีความรู้สึกว่ามันจะต้องตายแน่และไม่ประมาทในชีวิต คิดทำความดีต่อไป
    ๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ตอนนี้ตัดทิ้งไป ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ๓. สีลัพพตปรามาส มีการปฏิบัติในศีลไม่แน่นอน ไม่จริงจัง อันนี้ต้องทิ้งไปหันมากลับมาปฎิบัติในศีลให้แน่นอนและจริงจัง ฆราวาสเพียงแค่ศีลห้า หรือว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้แล้ว สำหรับภิกษุสามเณรก็มีศีลของท่าน


    (จากหนังสือ หนีนรก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  8. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกอีกไม่กี่วัน มันก็พัง
    ฉะนั้น ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วท่านบอกว่ามีความสุข
    พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่าท่านมีความสุข
    เราก็พยายามทำให้สุข เหมือนอย่างท่านบ้าง
    ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่า คิดว่าเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิต
    ว่าจิตของเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี



    ***********************​



    การที่จะทรงความดีเต็มระดับตามที่กล่าวมาให้ครบถ้วน ให้ปฏิบัติดังนี้

    ๑.คิดถึงความตายไว้ในขณะที่สมควร คือไม่ใช่ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อตื่นขึ้นใหม่ๆอารมณ์ใจยังเป็นสุข
    ก่อนที่จะเจริญภาวนาอย่างอื่น ให้คิดถึงความตายก่อน คิดว่าความตายอาจจะเข้ามาถึงเราในวันนี้ก็ได้
    จะตายเมื่อไรก็ตามเราไม่ขอลงอบายภูมิ ที่เราจะไปคืออย่างต่ำไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม
    ถ้าไม่เกินวิสัยแล้วขอไปนิพพานแห่งเดียว คิดว่าไปนิพพานเป็นที่พอใจที่สุดของเรา
    ๒.คิดต่อไปว่าเมื่อความตายจะเข้ามาถึงเราจะเป็นเวลาใดก็ตาม
    เราขอยึดพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
    คือไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ยอมเคารพด้วยศรัทธาคือความเชื่อถือในพระองค์
    ขอปฏิบัติตามคำสอนคือกรรมบท ๑๐ประการโดยเคร่งครัด ถ้าความตายเข้ามาถึงเมื่อไรขอไปนิพพานแห่งเดียว


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๘
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2010
  9. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    ความโลภ ท่านสอนไว้ว่า ตัดได้ด้วยการบริจาคทาน
    เพราะการบริจาคทานเป็นการเสียสละที่มีอารมณ์จิตประกอบด้วยเมตตา การให้ทานที่ถูกต้องนั้น
    ท่านสอนให้ๆทาน ด้วยความเคารพในทาน คือให้ด้วยความเต็มใจและให้ด้วยอากรสุภาพ
    ก่อนจะให้ ให้ทำความพอใจ มีความยินดีในเมื่อมีโอกาสได้ให้ โดยคิดว่า ขณะนี้เราได้มีโอกาสทำลายล้างโลภะ ความโลภ อันเป็นรากเหง้าของกิเลสได้แล้ว มหาปุยญลาโภ บัดนี้ลาภใหญ่มาถึงเราแล้ว คิดแล้วก็ให้ทานด้วยความเคารพในทาน ผู้รับนั้นจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นผู้มีร่างกายบริบรูณ์ หรือทุพพลภาพก็ตาม
    ขอให้มีโอกาสได้ให้ก็ปลื้มใจแล้ว เมื่อให้ทานไปแล้วทำใจไว้ให้แช่มชื่นเป็นปกติเสมอ




    *********************​



    คนที่เข้าถึงพระโสดาบันน่ะ มีอารมณ์เป็นสุขปกติ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว
    คำว่า ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ก็คือ เขาเฮที่ไหนไปที่นั่น เขาลือที่โน่นดีไปที่โน่น เขาลือที่นี้ดีมาที่นี่
    ผลที่สุด หาดีอะไรไม่ได้ จับไม่ถูก มีอารมณ์ไม่แน่นอน มีสติไม่ตรง อย่างนี้ไม่ใช่พระโสดาบัน

    สำหรับพระโสดาบันน่ะอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่น ที่ไหนไม่สำคัญ คำสอนของอาจารย์องค์ไหน พระองค์ไหน องค์ไหนๆ ก็ไม่สำคัญ ถ้าตรงต่อคำสอนของ องค์สมเด็จพระบรมสุคต พระโสดาบันยอมรับ ย่อมไม่ถือว่าอาจารย์เป็นสำคัญ ถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไปนั่งนับถือตัวบุคคลว่า พระองค์นั้นสอนดี พระองค์นี้สอนไม่ดี อาจารย์องค์นั้นสอนดี อาจารย์องค์นี้สอนไม่ดี เขาไม่ถืออาจารย์เป็นตัวสำคัญ เพราะท่านถือว่าเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส


    ที่มา: ทางสายสู่พระนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  10. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    พระพุทธเจ้ามีกฎแห่งการสอนอยู่ว่า

    ๑. สัพพปาปัสสะ อะกะระณัง ให้บรรดาพระสงฆ์และพระองค์เองก็เช่นเดียวกัน
    พยายามสอนให้ทุกคนละจากความชั่วทุกประเภท คือ
    ไม่ทำความชั่วทุกประเภท ไม่ทำ ไม่พูด และก็ไม่คิดซะด้วย
    ๒. กุสลัสสูปสัมปทา แนะนำให้ทำความดีทุกประการ
    ๓. สจิตตะปริโยทะปะนัง แนะนำสั่งสอนให้มีจิตใจผ่องใส คือไม่มีอารมณ์มัวหมอง มีอารมณ์สดชื่นอยู่เสมอ
    ๔. เอตัง พุทธานะสาสะนัง ท่านยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด


    ที่มา: แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ



    **********************************


    หากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว
    จะใช้ปัญญาใคร่ครวญในขันธ์ห้า ที่เรียกกันว่าร่างกาย
    ว่านี่ร่างกายเราเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายของเราเป็นของไม่เที่ยง ถ้าเรายึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ จิตมันก็เป็นทุกข์ เราจะปล่อยมันไปเสียเพราะมันเป็นอนัตตา ในที่สุดนั้น ร่างกายคนอื่นหรือว่าทรัพย์สินอื่นๆ ในโลกก็เช่นเดียวกัน

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราสักแต่ว่าเห็น เราสักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือว่ามันเป็นเราของเรา
    ถ้าทำจิตอย่างนี้ได้จนเป็นเอกัคตารมณ์ มีปัญญาเห็นได้ชัดสามารถตัดขันธ์ห้า คือไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้าได้
    ใจจะเป็นสุข ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้เสมอๆ จะไม่กำหนดรู้คำภาวนา ไม่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้

    การพิจารณาปลงใจอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทั้งนี้ เพราะพิจารณาอยู่อย่างนี้เป็นปกติอารมณ์ของท่าน อย่างเลวท่านก็เป็นพระโสดาบัน ดีขึ้นไปอีกนิดหนึ่งท่านก็เป็นพระสกิทาคามี ดีขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่งท่านก็เป็นพระอนาคามี แต่จิตทรงอย่างนี้ได้จริงๆตลอดเวลานั่นท่านเป็นพระอรหันต์
    พระอรหันต์เป็นกันตรงนี้เท่านั้น เป็นไม่ยาก



    ที่มา: ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  11. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ระมัดระวังเรื่องจิตใจให้มาก
    ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้ใช้อนุสสติ คือ ตามนึกถึงความดี คือ
    - นึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า
    - ยอมรับนับถือพระธรรม
    - ยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์
    นี่เรียกว่า เป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
    พยามยามนึกถึงความดีของเทวดา นึกถึงความตายที่จะเข้ามาถึง นึกถึงอารมณ์ของพระนิพพาน
    อย่างนี้เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ต้องครบทั้งหมด

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงสอนว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วที่ทำมาแล้วในกาลก่อน จงอย่าตามนึกถึงมัน
    นึกถึงความดีที่ทำไว้แล้วเท่านั้น ผลของความดีจะส่งผลให้เป็นสุข คือไปเกิดบนสวรรค์ได้


    ที่มา: แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ




    ***********************



    เวลาที่เราจะเข้ามาเจริญสมาธิจิต ให้ตัดอารมณ์ที่มีความห่วงใยที่เรียกกันว่า ปลิโพธ
    คิดเสียว่าเวลานี้ เราเป็นบุคคลคนเดียว เราไม่มีเพื่อน เราไม่มีพี่ เราไม่มีน้อง เราไม่มีอะไรทั้งหมด
    แม้แต่ร่างกายนี่ก็เหมือนกัน เราก็ไม่ถือว่าเป็นสาระเป็นแก่นสาร เป็นร่างกายจริงๆจังๆอะไรของเรา
    เพราะมันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแก่ไปในท่ามกลาง แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุด

    เป็นอันว่าร่างกายนี่ก็ไม่ใช่ภาระของเราที่จะต้องห่วงเกินไป เป็นอันว่าเวลานี้เราเป็นคนไม่มีห่วง
    เรามีภาระอย่างเดียวคือ จับจิตเฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งซึ่งเป็นมหากุศล
    จะพาตนไปสู่สวรรค์ก็ได้ ไปสู่พรหมโลกก็ได้ ไปสู่พระนิพพานก็ได้


    ที่มา: กรรมฐาน ๔๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2010
  12. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    อานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐาน แก้อารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต
    นอกจากจะใช้อานาปานุสสติกรรมฐาน จะใช้อนุสสติอื่นๆ รึว่า กสิณ รึว่า อสุภ ควบคุมก็ได้ตามใจชอบ
    แต่ว่าจุดใหญ่จริงๆ ต้องยึดอานาปานุสสติกรรมฐานไว้เป็นอารมณ์ นี้เพื่อป้องกันจิตโยกโคลง
    หมายความว่า จิตมีความสะทกสะท้านมาก จิตไม่ทรงตัว
    ถ้าจิตของเรา ไม่ทรงตัว มีการหวั่นไหวมาก การเจริญพระกรรมฐานก็ไร้ผล


    ที่มา: พรหมวิหาร ๔



    **************************



    ความเมตตากรุณาใน ๒ ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินศรีทรงสอนว่า ในอันดับแรก
    อย่าเพิ่งแผ่เมตตาไปในบุคคลที่เราคิดว่าเป็นศัตรู ต้องยับยั้งไว้ก่อน ให้แผ่เมตตาคือ ความรัก กรุณาความสงสาร เฉพาะในบุคคลกลุ่มเดียวกัน มีอารมณ์ไจเหมือนกันเป็นกลุ่มคนที่เรารัก เพราะว่าถ้ามุ่งหน้าไปหาศัตรูแล้วก็จิตมันจะหวั่นไหว

    จนเมื่อกำลังใจของเรามั่นคงดีแล้วต่อไปเราก็ มองดูองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสงเคราะห์ไม่เลือกบุคคลใด เพราะกำลังใจเข้มแข็ง ความจริง พระเทวทัตเป็นศัตรูของพระองค์มานับแสนกัป
    แต่ตอนที่พระเทวทัตมา ก็บวชกับองค์สมเด็จพระบรมครู พระองค์ก็ไม่ทรงถือโทษ กลับให้การอุปสมบท สอนให้ได้อภิญญาสมาบัติ น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ เห็นศัตรูเป็นมิตร มีจิตประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี พระพุทธเจ้าทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น
    แต่ตอนนี้ต้องขอให้ ใจมันสูงเสียก่อนนะ กำลังใจเข้มแข็งเสียก่อน


    ที่มา: พรหมวิหารสี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  13. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ...ขอให้ทุกท่าน จงอย่าหลงตัวว่าเป็นผู้ทรงญาณ เป็นพระอริยเจ้า
    ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ต้องประกาศ เห็นหน้าปั๊บรู้จักได้ยินชื่อ ก็รู้ว่าเป็นพระอริยเจ้า
    หากว่าท่านยังไม่เป็น และหลงว่าเป็นนี่มันจะซวย ไม่ต้องประกาศเขา ความดีอยู่ที่เรา เราไม่ได้บวชเพื่อบูชาของชาวบ้าน
    เราบวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ...


    ******************************​


    ...ความประสงค์ที่เจริญสมาธิก็คือ ต้องการให้อารมณ์สงัด และเยือกเย็น ไม่มีความวุ่นวายต่ออารมณ์ที่ไม่ต้องการ และความประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อยากให้พ้นอบายภูมิ คือไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปตร อสุรกาย สัตย์เดียรฉาน
    อย่างต่ำถ้าเกิดใหม่ขอเกิดเป็นมนุษย์และต้องเป็นมนุษย์ชั้นดี คือ
    ๑. เป็นมนุษย์ที่มีรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่มีอายุสั้นพลันตาย
    ๒. เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรัพย์สินไม่เสียหายด้วย ไฟไหม้ โจรเบียดเบียน น้ำท่วม หรือลมพัดทำลายเสียหาย
    ๓. เป็นมนุษย์ที่มีคนในปกครองอยู่ในโอวาท ไม่ดื้อด้านดันทุรังให้มีทุกข์ เสียทรัพย์สินและเสียชื่อเสียง
    ๔. เป็นมนุษย์ที่มีวาจาไพเราะ เมื่อพูดออกไปเป็นที่พอใจของผู้รับฟัง
    ๕. เป็นมนุษย์ที่ไม่มีอาการปวดประสาท คือปวดศรีษะมากเกินไป ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้าคลั่งเสียสติ

    รวมความว่าโดยย่อ ก็คือ ต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขทุกประการ เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทุกประการ ทรัพย์สินไม่เสียหายจากภัย ๔ ประการคือ ไฟไหม้ ลมพัด โจรรบกวน น้ำท่วม และเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุข ไม่เดือดร้อนด้วยเหตุทุกประการ...


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2010
  14. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ไม่มีความลำบากสำหรับคนที่มีอารมณ์ใจเข้มแข็งและเป็นคนมีความฉลาด
    ฉลาดในที่นี้ต้องหลีกจากกิเลส จงอย่าเอากิเลสมาฉลาด จำพุทธสุภาษิต

    อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง

    กล่าวโทษโจษความผิดอย่าโยกความผิด อย่าโยกโทษให้ไปอยู่กับใคร
    ถ้าความเร่าร้อนในใจเกิดขึ้นกับเรา เราต้องแสวงหาความผิดของตนเอง
    กล่าวโทษโจษตนเองไว้เสมอ ถ้าเราไม่เลวไม่มีความเร่าร้อน



    ***************************​



    ...สำหรับอารมณ์ที่ต้องการในขณะทำสมาธิ ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เวลานั้นต้องการอารมณ์สบาย
    ไม่ใช่อารมณ์เครียด เมื่อมีอารมณ์เป็นสุขถือว่าใช้ได้ อารมณ์เป็นสุขไม่ใช่อารมณ์ดับสนิทจนไม่รู้อะไร
    เป็นอารมณ์ธรรมดาแต่มีความสบายเท่านั้นเอง ยังมีความรู้สึกตามปกติทุกอย่าง
    ...เริ่มทำสมาธิใช้วิธีง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ใช้ธูปเทียนเท่าที่มีบูชาพระ ใช้เครื่องแต่งกายตามที่ท่านแต่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องแต่งตัวสีขาว ฯลฯ เป็นต้น เพราะไม่สำคัญที่เครื่องแต่งตัว ความสำคัญจริง ๆ อยู่ที่ใจ ให้คุมอารมณ์ใจให้อยู่ตามที่เราต้องการก็ใช้ได้


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  15. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    การปฏิบัติธรรมนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    ธรรมะของเรา ไม่ใช่ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า
    ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง
    ธรรมะของเราต้องปฏิบัติเร็วๆ ไวๆ

    ไม่ใช่ว่าจะมารับฟังกันแล้วก็ยังมีความโลภ ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทำให้อารมณ์ชั่วยังสิงอยู่ในใจ
    นั่นไม่ใช่เป็นวิสัยของศากยบุตรพุทธชิโนรส




    ******************************​




    ...อาการนั่ง ถ้าอยู่ที่บ้านของท่านตามลำพัง ท่านจะนั่งอย่างไรก็ได้ตามสบาย จะนั่งสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้หรือนอน ยืน เดิน ตามแต่ท่านจะสบาย ทั้งนี้หมายถึงหลังจากที่ท่านบูชาพระแล้ว เสร็จแล้วก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและหายใจออก คำว่า กำหนดรู้ คือหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ถ้าต้องการให้ดีมากก็ให้สังเกตด้วยว่า หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้น ขณะที่รู้ลมหายใจนี้ และเวลานั้นจิตใจไม่คิดถึงเรื่องอื่นเข้าแทรกแซง คือไม่คิดเรื่องอื่นในเวลานั้น จะมีเวลามากหรือน้อยก็ตาม
    ชื่อว่าท่านมีสมาธิแล้ว คือ ตั้งใจรู้ลมหายใจโดยเฉพาะ...



    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  16. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ...การเจริญกรรมฐานโดยทั่วไปนิยมใช้คำภาวนาด้วย เรื่องคำภาวนานี้อาตมาไม่จำกัดว่าต้องภาวนาว่าอย่างไร เพราะแต่ละคนมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน บางท่านนิยมภาวนาด้วยถ้อยคำสั้น ๆ บางท่านนิยมใช้คำภาวนายาว ๆ ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ท่านจะพอใจ อาตมาจะแนะนำคำภาวนาอย่างง่าย ๆ คือ พุทโธ คำภาวนาแบบนี้ง่าย สั้น เหมาะแก่ผู้ฝึกใหม่ มีอานุภาพและอานิสงส์มาก เพราะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า การนึกถึงชื่อของพระพุทธเจ้าเฉย ๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่อง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ว่า คนที่นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ตายไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้าบนสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อยนับพัน พระองค์ตรัสว่านับเป็นโกฏิ ๆ

    ...เมื่อภาวนาควบคู่กับลมหายใจจงทำดังนี้ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ภาวนาควบคู่กับลมหายใจตามนี้เรื่อย ๆ ไปตามสบาย ถ้าอารมณ์ใจสบายก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไป แต่ถ้าเกิดอารมณ์ใจหงุดหงิด หรือฟุ้งจนตั้งอารมณ์ไม่อยู่ก็จงเลิกเสีย จะเลิกเฉย ๆ หรือดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุหรือหาเพื่อนคุยให้อารมณ์สบายก็ได้ เพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ อย่ากำหนดเวลาตายตัวว่าต้องนั่งให้ครบเวลาเท่านี้แล้วจึงเลิก ถ้ากำหนดอย่างนั้นเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านขึ้นมา จะเลิกก็เกรงว่าจะเสียสัจจะที่กำหนดไว้ ใจก็เพิ่มการฟุ้งซ่านมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ ก็จะเกิดเป็นโรคประสาทหรือโรคบ้า ขอทุกท่านจงอย่าทนทำอย่างนั้น


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๔



    ******************************



    สำหรับ อานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญที่สุด

    เรื่องการทรงฌานและเป็นกรรมฐานที่ระงับกายสังขาร คำว่าการระงับกายสังขารนี่ก็คือ ระงับทุกขเวทนา เวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย ความรู้สึกมันมีว่ามันเจ็บ มันปวด มันเสียด ถ้าเราสามารถดับมันเสียได้ด้วยลมหายใจเข้าออกในอานาปานุสสติกรรมฐานได้ ทุกขเวทนาทั้งหลายมันจะระงับไปในทันที

    แล้วเป็นกรรมฐานที่เข้าถึงฌานได้ง่ายที่สุด แล้วก็เป็นกรรมฐานที่เป็นพื้นฐานใหญ่ ถ้านักเจริญกรรมฐานทั้งหลายไม่สามารถทรงฌานในด้านอานาปานุสสติกรรมฐานได้ ท่านผู้นั้นก็ไม่สามารถจะเข้าฌานในกองอื่น ๆ ได้เหมือนกัน เพราะการจะเข้าฌานในกรรมฐานกองใดกองหนึ่งนอกไปจากนี้ ต้องพึ่งอานาปาฯเสมอ เมื่ออานาปานุสสติเข้าถึงฌานแล้วรวมความกรรมฐานกองอื่นทุกกอง
    ถ้าเราได้อานาปานุสสติถึงฌาน ๔ เสียกองเดียว กรรมฐานกองอื่น ก็เป็นเรื่องเล็ก



    ที่มา: ธรรมปกิณกะ๒ หน้า ๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2010
  17. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]




    ปัญจขันธ์ ก็ได้แก่ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มี มันมีก็เหมือนว่ามันไม่มี คือมันไม่มีการทรงตัว หาอะไรทรงตัวไม่ได้

    มีแล้วเดี๋ยวก็พัง
    มีความเกิดในเบื้องต้น
    มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง
    แล้วมีความสลายตัวไปในที่สุด
    รูปมันก็ปรากฏขึ้นเดี๋ยวเดียว ท่านบอกว่า
    ชีวิตเหมือนความฝัน รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้

    ชีวิตของเราที่ทรงอยู่นี้มันก็เหมือนความฝัน มันมีอยู่แล้วไม่ช้ามันก็สลายตัวไป รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ ดอกไม้เมื่อแรกยังตูม ต่อมามันก็แย้มที่ละน้อยๆ ในที่สุดก็พังไป สภาวะของรูปมันก็เป็นเช่นเดียวกัน เสียง กลิ่น รส และสัมผัสมันก็เหมือนกัน ท่านบอกว่าทุกสิ่งทั้งหมดนี้จงรักษาอารมณ์ให้เป็น เอกัคคตารมณ์ ว่ามันไม่มี คำว่า ไม่มี ความจริงมันมีแล้ว มันก็ไม่มี เพราะต่อไปมันจะพัง


    ที่มา: ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า ๑๑๓-๑๑๔


    ***************************​

    ...การเทียบบารมีจะเทียบให้ฟัง บารมีเขาจัดเป็น ๓ ชั้น บารมีต้น ท่านเรียกบารมีเฉย ๆ บารมีตอนกลางท่านเรียก อุปบารมี บารมีสูงสุงท่านเรียก ปรมัตถบารมี ถ้าคนที่มีบารมีต้นในขั้นเต็มท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทานกับศีล เขาจะทำสะดวกเฉพาะการให้ทานกับการรักษาศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล ๘ อย่างเก่งก็มีกันแค่ศีล ๕ ท่านผู้นี้จะไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐานถ้าชวนในการเจริญสมาธิทำกรรมฐานท่านบอกทำไม่ได้ กำลังใจไม่พอ หรือจะพูดให้ดีอีกนิดท่านบอกว่าไม่ว่างพอ เวลาไม่มี นี้สำหรับคนที่มีบุญบารมีขั้นต้นจะอยู่กันแค่นี้

    ...ถ้ามีบารมีเป็น อุปบารมี เขาเรียกว่า บารมีขั้นกลาง อุปบารมี บารมีนี่พร้อมที่จะทรงฌานโลกีย์ บารมีนี้พร้อมเรื่องฌานโลกีย์ที่ทรงได้แน่ ท่านพวกนี้จะพอใจในการเจริญพระกรรมฐานแล้วก็พอใจในการทรงฌาน แต่ว่าถ้าจะชวนในขั้นบุกบั่นในวิปัสสนาญาณท่านจะบอกว่าไม่ไหวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิ วิปัสสนาญาณอาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งนัก เพราะว่าสมถะกับวิปัสสนานี่แยกกันไม่ได้ต้องอยู่คู่กัน แต่กำลังด้านวิปัสสนาญาณจะต่ำจะเข้มแข็งเฉพาะสมถภาวนา แล้วท่านพวกนี้ถึงแม้ว่าจะพอใจในการเจริญกรรมฐาน ถ้าเราบอกว่าหวังนิพพานกันเถอะท่านพวกนี้ก็บอกว่าไม่ไหวกำลังใจไม่พอจะชวนไปนิพพานขนาดไหนก็ตามเขาจะไม่พร้อมจะไป และก็ไม่พร้อมจะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ อันนี้เป็นอุปบารมีนะ

    ...ถ้าเป็นปรมัตถบารมีเราจะเห็นว่าอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบารมีเก่าเพิ่มพูนหนุนขึ้นมาก็มีความต้องการเรื่องพระนิพพาน พวกที่มีจิตหวังนิพพานนี่จะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานกันจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ คือต้องหวังหลาย ๆ ชาติถ้าจิตหวังพระนิพพานจริง ๆ พวกนี้ก็มีหวัง ที่เรียกว่ามีบารมีเป็น ปรมัตถบารมี



    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๙๕ มกราคม ๒๕๓๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2010
  18. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    สำคัญที่ใจ

    ต่อแต่นี้ไปโอกาสแห่งการเจริญพระกรรมฐาน การเจริญพระกรรมฐานที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติในอันดับแรกเราสมาทานศีลกันก่อน แล้วต่อไปก็สมาทานพระกรรมฐาน เพื่อปฏิบัติในด้านสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา นี่การเจริญพระกรรมฐานนี้เราปฏิบัติเพื่อเอาดีทางใจ เพราะว่าองคสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

    "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ด้วยใจ"

    เป็นอันว่าคนเราจะดีหรือชั่วก็อยู่ที่ใจตัวเดีย ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว อารมณ์ใจดี กายและวาจาใจก็ดีไปด้วย
    กายก็ดี วาจาก็ดี จะทำดี จะพูดดี จะพูดชั่วขึ้นอยู่กับอารมณ์ของใจ หรือใจเป็นผู้สั่ง
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงแนะนำท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เพื่อหวังประโยชน์สุขแห่งตน
    คือพยายามฝึกใจให้เข้าถึงความดี ทีนี้การเจริญพระกรรมฐานก็ชื่อว่าเราต้องการความดี ต้องการความสุขในทางใจ อารมณ์ใจมีความสุขเสียอย่างเดียวกายและวาจามันก็สุขด้วย เพราะว่าความสุขหรือความทุกข์มันอยู่ที่อารมณ์ของใจ นี่การเจริญพระกรรมฐานอันดับแรก

    วันนี้จะขอพูดแบบเจริญกรรมฐานแบบง่ายๆ เพื่อหวังผลตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ในอันดับแรกขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอให้ทำตนให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์เสียก่อน เพราะว่าคนส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายแล้วมักไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
    การที่เราจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีศีล ๕ เป็นที่พึ่ง ทั้งนี้ก็หมายความว่าเราเป็นผู้มีใจรักษาศีล ๕ และรักษาศีล ๕ ไว้เป็นปกติ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงศีล ๕ เป็นปกติ และระมัดระวังไม่ให้ศีล ๕ บกพร่อง ความจริงในระดับเบื้องต้น เราเกิดเป็นมนุษย์ก็จริงแหล่ แต่สติสัมปชัญญะมันก็ฟั่นเฝือไปบ้าง ตามอำนาจของอกุศลกรรม มันจะบันดาลให้จิตใจของเราเห็นผิดเป็นชอบ


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติเล่ม ๑๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  19. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    จะเริ่มเป็นพุทธภูมิทันทีเมื่อตัดสินใจ คือว่าเรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่นะ คนที่ถามนี่ใครนะ เข้มแข็งมากนี่ คือว่าเรื่องความปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ถ้าตั้งใจที่จะปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์เดี๋ยวนั้นนะ แล้วก็ถ้าตั้งใจแบบนี้นะ ถ้าคิดว่าจะไปนิพพานชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิ ความจริงปรารถนาพุทธภูมิดี...ดีมาก จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่งเอาไหม แต่เคยเล่าทีไรมันได้แสนบาทนี่...(หัวเราะ)

    คือว่ามีพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นปฏิสัมภิทาญาณในสมัยพระพุทธเจ้า ฉันก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ท่านมีสามเณรองค์เล็ก ๆ อายุ ๗ ขวบอยู่องค์หนึ่ง เวลาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าท่านก็เอาสามเณรไปด้วย เวลาไปหาพระพุทธเจ้าท่านก็กราบพระพุทธเจ้าหลายครั้ง
    ต่อมาเวลาขากลับเณรน้อยก็เดินตามหลัง เณรน้อยก็คิดว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นอรหันต์อันดับสูงสุด ในด้านของความสามารถอรหันต์อีก ๓ เหล่าสู้ไม่ได้ แต่ทว่าอาจารย์ของเรายังต่ำกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งสูงกว่า...สู้ไม่ได้ ต่อไปนี้เราปรารถนาพุทธภูมิดีกว่า เราคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป พอแกคิดเสร็จอาจารย์ก็หยุด บอก...
    "เณร! เดินข้างหน้า"

    เณรก็เดินไปเดินมาแล้วก็นึก เอ...เป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีมาก เป็นอรหันต์ปกติสาวกบำเพ็ญบารมีแค่ ๑ อสงไขยกับแสนกัปถึงจะเป็นอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าขั้น ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับแสนกัป ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป จึงเข้านิพพาน เราเป็นอรหันต์ธรรมดาดีกว่า อาจารย์บอก...
    "เณร! เดินหลัง"

    อาจารย์ทำแบบนี้ ๓ เที่ยว
    เณรก็ถามว่า "อาจารย์ครับ ประเดี๋ยวให้ผมเดินหน้า ประเดี๋ยวให้ผมเดินหลัง มันเรื่องอะไรกันครับ ?"
    อาจารย์ก็ถามว่า "ขณะที่ฉันให้เธอเดินหน้า เธอคิดอะไร ?"
    เณรบอก "ผมคิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าครับ"
    อาจารย์บอก "นั่นแหละ...มันเป็นกันตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มเป็นเมื่อคิด" ไปๆ มาๆ ไม่เอาดีกว่า เป็นสาวกดีกว่า

    ก็รวมความว่า...ถ้ามีความตั้งใจปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่เริ่มตัดสินใจ อย่าไปคิดว่ายังไม่เป็นนะ




    พิมพ์โดย: ธรรมบาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2010
  20. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    ถ้าลาพระพุทธเจ้าละเจอะหน้าเทวทัตแหงๆ ลาพุทธภูมิก็ไม่ยาก ก็ไปที่หน้าพระพุทธรูปก็แล้วกัน
    จุดธูปบูชา ตั้ง นะโม ๓ จบ ว่า พุทธัง...ธัมมัง...สังฆัง...สรณัง คัจฉามิ ว่า อิติปิโส อีกจบหนึ่ง
    แล้วก็ขอขมาโทษท่าน เสร็จแล้วกล่าวคำปฏิญาณ
    "ข้าพระพุทธเจ้าขอลาพระพุทธภูมิ ขอเป็นสาวกภูมิตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป" เท่านั้นไม่มีอะไรมาก
    ถ้าได้มโนมยิทธิให้ไปพระนิพพาน ขอลาพระพุทธเจ้าตรง ถ้าถามว่าปฏิบัติแบบไหนให้เร็วท่านจะบอกให้ดีกว่า ปฏิบัติให้ตรงกับที่เราพร่อง ขอจุดให้ตรงกับที่เราพร่องแล้วไม่ยาก



    ****************************​



    บทกลอนบูชาคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    นมัสการพระราชพรหมยานผู้ประเสริฐ
    ท่านเป็นเลิศด้านวิชากรรมฐาน
    ดำเนินตามองค์ประทีปแก้วพิชิตมาร
    มุ่งนิพพานภพเกษมแสนเปรมปรีดิ์
    เก่งวิชามโนมยิทธิทิพย์สมบัติ
    พระไตรรัตน์อริยสงฆ์ผู้เรืองศรี
    สอนธรรมะแสงแห่งธรรมนำชีวี
    บุตรพระชินสีห์อรหันต์เจ้าผู้เกรียงไกร
    ช่วยสั่งสอนทางที่พ้นทะเลทุกข์
    เมืองบรมสุขดินแดนสว่างไสว
    ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
    จิตผ่องใสบริสุทธิ์เอกอนันต์
    ปฏิปทาเที่ยวธุดงค์จนเก่งกล้า
    อภิญญาสมาบัติท่องสวรรค์
    พรหมโลกจนสุดแดนนรกโลกันต์
    เทวโลกแดนสุขสันต์ทิพย์วิมาน
    พาเข้าพบพระพุทธองค์ผู้ทรงศักดิ์
    แจ้งประจักษ์มโนจิตอันกล้าหาญ
    บรรลุมรรคผลอภิสัมภิทาญาณ
    ยอดตำนานอริยะเจ้าเลื่องฤาชา
    ปฏิมากรพระจุฬามณีเจดีย์สถาน
    บูรณาการวัดท่าซุงบำรุงศาสนา
    สร้างสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา
    เรืองจรัสศรัทธาเปล่งบารมี
    มอบคาถาแก้จนคนทั่วทิศ
    พรหมเนรมิตกุศลส่งเป็นเศรษฐี
    พระปัจเจกประทานให้เหล่าไพรี
    ทรัพย์ทวีมหาลาภไม่อับจน
    ละขันธ์ห้าตัดกิเลสเป็นนิมิต
    บำเพ็ญจิตเสริมต้นทุนบุญกุศล
    น้อมบูชาเกิดสิ่งดีศิริมงคล
    ยกใจตนพ้นความทุกข์สุขนิรันดิ์
    หลวงพ่อสร้างพระเครื่องแสนศักดิ์สิทธิ์
    อิทธิฤทธิ์ตถาคตช่วยสร้างสรรค์
    พุทธคุณบันดาลโชคมหัศจรรย์
    เทพเทวัญมาสถิตย์ป้องกายา
    กันระเบิดนิวเคลียร์โรคระบาด
    ศัตรูพินาศพระโลกเชฐช่วยรักษา
    ออกจากบ้านไปที่ใดอาราธนา
    พระพุทธาพลานุภาพก้องปฐพี
    คำสอนหลวงพ่อฝากไว้ในใจลูก
    จงพันผูกนิพพานไว้อย่าหน่ายหนี
    ตามแนวทางศิษย์พระพุทธเจ้าจอมมุนี
    สู่สุขาวดีศรีสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล


    ผู้แต่ง จ.อ.ณัฐวุฒิ ศรีหริ่ง กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ จ.สมุทรปราการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...