รวมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย อภิราม, 7 ตุลาคม 2010.

  1. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]




    วิธีปฏิบัติจริงๆ

    อย่ามัวคิดว่าจะต้องนั่งขัดสมาธิ จะต้องนั่งพับเพียบเสมอไป
    ถ้านึกถึงภาพพระ เวลาเดินไปเดินมาทำการงานก็ดี ไปธุระก็ดี ให้นึกถึงไว้เป็นปกติให้ชิน


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓




    ***************************



    "ทีนี้ คนไหนต้องการจะไปพระนิพพาน ก็เป็นของไม่ยาก
    สัพพเกสี ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร
    เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเอง เราก็ไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์
    เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ตาม
    มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว
    ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า
    กายของเราเองนี่มันยัง จะตาย ยังจะพัง เราจะยังปรารถนาอะไรภายนอกอีก
    เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน
    เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑ นาทีนะ สัพพเกสีนะ ลูกหลานของเธอพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ
    อย่างน้อยก็กามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน
    นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานทุกคนได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินล่ะก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้"


    ที่มา: พ่อรักลูก หน้า ๑๑๔-๑๑๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  2. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    จิตจริงๆมีสภาพเป็นปภัสสร คือ มีสภาพแจ่มใส
    การที่เราให้ทานก็ดี รักษาศีลก็ดี เจริญภาวนาก็ดี เราจะล้างสิ่งที่มันสกปรก ให้มันเข้าถึงสภาพเดิมของมัน
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติล้างให้จิตมันสะอาดจากกิเลส อันดับต้นก็คือ ฌาณ ๔
    พอจิตเข้าถึง ฌาณ ๔ ก็เหมือนกับแก้วที่ล้างสะอาดแล้วและสิ่งที่จะเพิ่มเข้ามาอีกก็เป็นวิปัสนาญาณ


    ที่มา: รวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม ๖ ชุดธรรมะคือการให้




    ***************************



    เอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์

    ตื่นขึ้นมาเช้าท่านจะทำความดีอะไรก็ตาม ตื่นขึ้นมาใจเราจะจับไว้เสมอว่า
    มนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา
    เราต้องการถ้าตายไปคราวนี้ ต้องการพระนิพพานโดยเฉพาะ ด้วยความจริงใจนะ
    แต่วิธีปฏิบัติจริงๆเขารวมแบบนี้ นึกว่าไม่เอาแล้วร่างกายนี้ ช่างมัน
    ตายก็ตาย ช่างมัน กูไปนิพพาน ถ้าตั้งใจจริงมันก็ไปได้


    ที่มา: รวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม ๖ ชุดธรรมะคือการให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  3. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]




    อารมณ์พระอรหันต์

    ไม่ติดในรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ๕ อย่าง
    ถ้าเราไปไล่เบี้ย ๕ อย่างนี้ ก็ช้า เขาไม่ใช้กัน เพราะว่าการเป็นพระอรหันต์นี่
    เขาตัดอารมณ์ๆเดียว ถ้าตัดได้ก็เป็นพระอรหันต์ นั้นคืออวิชชา


    ที่มา: รวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม ๖ ชุดธรรมะคือการให้



    *****************************



    อารมณ์ที่สำคัญที่สุดที่จะต้องทำ และก็ส่วนที่มีความสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ...เวลาก่อนหลับ จะต้องส่งจิตไปนิพพานก่อน ถ้าตื่นขึ้นมาใหม่ ก็ต้องยังไม่สนใจอะไรทั้งหมด ไปนิพพานก่อน ทำให้มันเป็นปกติ เวลาทำงานทำการ ถ้าอยู่ว่างคนเดียว ไม่มีใครชวนคุย ว่างงานนิดหนึ่งหรือเวลาทำงานอยู่ จิตจับอยู่ที่พระนิพพานเป็นอารมณ์
    ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกคนก็ไปนิพพานทุกคน...


    ที่มา: รวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม ๖ ชุดธรรมะคือการให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  4. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]





    ไปนิพพานนี่ไปไม่ยาก ตัดตัวเดียวที่ร่างกาย คือ สักกายทิฏฐิ
    ตัวอย่าง ท่านปูติคัตตติสสะ ติสสะ เนื้อเน่านะ ปูติคัตตะ แปลว่ากายเน่า
    ท่านติสสะ อาศัยที่ท่านฆ่านกชาติก่อนแล้วก็หักแข้งหักขานก หักปีกบ้าง เป็นต้น เวลาเก็บไว้ข้างวัน
    พอมาชาติหลังนี่พอท่านบวชพระก็ป่วย ฌานสมาบัติท่านก็ไม่ได้ ท่านพุพองทั้งตัว ผลที่สุดก็เน่าทั้งตัว จนปฏิบัติไม่ได้
    พระพุทธเจ้าทรงมาแนะนำว่า ติสสะ เธอจงพิจารณาตามความเป็นจริงว่า
    ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็จะนอนทับถมพื้นแผ่นดิน จะมีวิญญาณไปปราศแล้วมีสภาพมีสภาพเหมือน ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์
    ฟังเสียงแค่นี้ พระติสสะ จิตตัดร่างกายทันที พระพุทธเจ้าบอกว่าร่างกายไม่มีความหมาย
    ท่านก็เลยไม่ติดในร่างกายแล้วก็ตายทันที พระถามว่า ติสสะ ตายแล้วไปไหน พระพุทธเจ้าบอกว่าไปนิพพาน




    ***************************



    วิปัสนากรรมฐานที่เขาสอน ตัดขันธ์ ๕ อย่างเดียว อารมณ์จริงๆ ก็คือ
    ไม่ให้สนใจกับร่างกายเรา ร่างกายคนอื่น และวัตถุธาตุต่างๆ
    เพราะมันเป็นทุกข์ไม่มีอะไรมาก


    ที่มา: รวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม ๖ ชุดธรรมะคือการให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  5. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    "สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น
    มันมีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีความสลายตัวไปในที่สุด
    ทุกสิ่งจะเป็นคนก็ตาม สัตว์ก็ตาม วัตถุก็ตาม เป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่สามารถจะเป็นเจ้าของตลอดกาล"
    ถ้าหากว่าเราพิจารณาอย่างนี้นั้นอยู่เป็นปกติ จิตใจของท่านพุทธบริษัทก็จะเป็นอารมณ์ปลด
    คือปลดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เกาะในอะไรทั้งหมด
    ในเมื่ออารมณ์ของเราไม่เกาะในอะไรทั้งหมดและก็ไม่เดือดไม่ร้อนใดๆ สภาวะอย่างใดจะพึงบังเกิดขึ้น
    ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพียงเท่านี้ก็เป็นอันว่า ท่านจบกิจในพระพุทธศาสนา ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่มีอีกแล้ว
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงกล่าวว่า ถ้าขันธ์ ๕ ของท่านสลายตัวเมื่อไร อันดับนั้นท่านเรียกว่า "พระนิพพาน"


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ฉบับ ก.พ. ๒๕๔๖



    ****************************



    เราคิดว่า เราเลวกว่าเขา เราจะเลวอย่างไร มันเลวไม่ได้ เพราะว่ามันเท่าเขา มันเน่า มันเปื่อยเหมือนกัน
    เราคิดว่า เราเสมอเขา มันก็เสมอไม่ได้ เพราะร่างกายของคนย่อมคล้ายคลึงกัน แต่ว่าจิตใจของคนไม่เท่ากัน จิตใจของเขาอาจจะเป็นสัตว์นรก เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ก็ได้ ต้องดูภายใน คือ จิตใจหรือร่างกายภายใน

    ก็รวมความว่า ตัดอารมณ์ความรู้สึก ๓ อย่าง ว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา
    ตัดโยนทิ้งไป เราไม่สนใจเขา เราสนใจแต่ตัวเราอย่างเดียว ชำระกายภายในให้สะอาด
    ให้สวยที่สุด เท่าพระอรหันต์
    ท่านบอกว่า ถ้าจิตเข้าถึงตอนนี้อารมณ์จะมีแต่ความเป็นสุข จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
    เป็นของธรรมดาไปหมด
    คนที่เขาแสดงความรักในเรา ก็จงทราบว่า ไม่ช้าเขาก็เกลียดเรา เพราะมันเป็นของธรรมดา
    ของชาวโลก
    ถ้าใครเขารักในเรา เราก็จงอย่าดีใจ ใครเขาเกลียดเรา เราก็อย่าเสียใจ เขาสรรเสริญเรา
    เราก็อย่าดีใจ เขานินทาเรา เราก็อย่าสะเทือนใจ ทำอารมณ์ใจเป็นสุข


    ที่มา: หนังสืออ่านเล่นเล่มที่๑๗ ตอนเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม ๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  6. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ขณะนี้พ่อมองเห็นลูกรักของพ่อทุกคน บางคนก็ลืมตา บางคนก็หลับตา และก็อยู่ในจิตสงบ
    วิชาที่พ่อให้ลูกไว้นี้ เป็นวิชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ที่พ่อกล้าท้าว่าใครจะหาว่าพ่ออวดอุตริมนุสธรรม หมายถึง อวดธรรม อันยิ่งที่ไม่มีในตน แต่ที่มีในตน

    ท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ จะมีความหมายอย่างไร แต่นี่พ่อไม่ได้ไปอวดกับใครเขานะ
    พ่อพูดกับลูกของพ่อที่ได้มโนมยิทธิแล้วทุกคน และพ่อไม่ได้พูดเพื่อให้ลูกทั้งหลายมีความกำเริบเสิบสาน
    แม้ลูกจะได้วิชานี้มาไม่ถึง ๑๐ วัน เพิ่งได้กันใหม่ ๆ เป็นของใหม่เอี่ยมของลูก
    พ่อต้องการให้ลูกของพ่อทั้งหมด "ฝึกความชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ และญาณ ๘"
    เพราะว่า วิชานี้จะไปนั่งใช้กันเวลาค่ำ เวลาเช้ามืด เวลาสงัดนั้นไม่ได้

    "ต้องใช้ให้ได้ทุกขณะจิตทุกอิริยาบท ทุกอาการและทุกสิ่งแวดล้อมที่เข้ามาล้อมเราอยู่"


    ที่มา: เรื่องจริงอิงนิทานฉบับพิเศษ คำสั่งของพ่อ



    **************************



    "อย่าเมากายจนเกินไป อย่าเมาชีวิต จงอย่าคิดว่าร่างกายของใครดี ดูร่างกายของเรานี้ มันสกปรกโสมม และมีความเสื่อมโทรมไปเป็นธรรมดา ในไม่ช้ามันก็พัง อยู่คนเดียวมีความสุข
    สุขอย่างมีคนคนเดียว แต่ก็ทุกข์อย่างคนมีขันธ์ ๕ ฉะนั้นขอลูกทุกคน จงตั้งหน้าตั้งตาปลงจิตคิดว่า
    อนิจจัง วตสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
    อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทีละน้อย คือทรุดโทรมไป
    อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดก็ตาย ให้เอาใจนึกถึงภาพคนตายว่า
    เวลานี้คนที่เขาตาย มานอนอยู่ข้างหน้าเรา สภาพมันเป็นยังไง
    เตสัง วูปสโม สุโข ร่างกายที่เปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้าเรางดไม่มีเสียได้แล้ว
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรัสว่า จะมีกายแก้ว คือพระนิพพาน"

    (คัดจากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน พิเศษ)

    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์ปีพ.ศ. ๒๕๓๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  7. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ..ถ้าเป็นด้านสุขวิปัสสโก เราก็ฝึกฝนกำลังจิตกันมาดีแล้ว อันดับแรก ที่จะหลับ หรือว่าตื่นใหม่ๆ หรือจะทำใจเพื่อบูชาพระ ก็ตัดกำลังใจว่า ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี่ มันพังแน่ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เราก็ช่างมันตาย แต่ตายคราวนี้ ไม่ไปไหน ขี้เกียจแล้ว เป็นมนุษย์ทำงานมาก ถ้าไปพักแค่เทวดาหรือพรหม ก็ไม่เป็นเรื่องเดี๋ยวก็หล่นมาใหม่ ไปนิพพานดีกว่า
    ตัดสินใจเพื่อนิพพาน แล้วก็จะภาวนาพิจารณาอย่างไรก็ช่าง เริ่มจับอารมณ์พระนิพพานก่อนใช่ไหม
    ถ้าจะดีแล้วก็ก่อนหลับจับอารมณ์พระนิพพานก่อน พอตื่นมาใหม่ๆ คิดว่าวันนี้อาจจะตายได้ ถ้าตายวันนี้ขอไปพระนิพพาน
    หลังจากนั้นจะภาวนาพิจารณาอะไรก็ช่าง ว่าไปเถอะ ให้มันจับเสียตั้งแต่ก่อนหลับ และตอนตื่นใหม่ๆให้จิตมันไม่คลายตัว นี่ถือว่า อารมณ์มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ใช่ไหม


    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ หน้า ๓๔๓-๓๔๔



    ********************************

    ก่อนจะหลับ ก็ตั้งใจคิดว่า หลับนี่มันจะได้ตื่นหรือไม่ได้ตื่นก็ไม่ทราบ
    มันอาจจะตายเสียก่อนตื่นก็ได้ ถ้าตายเมื่อไรเราต้องการไปนิพพานเมื่อนั้น ให้จิตมันเชื่องกับคำว่า นิพพาน คำว่า เอกัคคตารมณ์ นี่มันเป็นฌาน คำว่า เอกัคคตารมณ์ หมายถึงว่ามีอารมณ์อันเดียว อารมณ์อันเดียวได้แก่อะไร ได้แก่อารมณ์ที่จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ต้องการพระนิพพาน อย่างนี้ท่านเรียกว่า
    เป็นผู้ทรงอุปสมานุสสติกรรมฐานเป็นฌาน
    อุปสมานุสสติกรรมฐาน หมายถึงว่าการนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าเวลาตายนี่อย่าลืมนะว่าตัวมันไม่ได้ไปด้วย ใช่ไหม ใจมันไป และเวลาที่เราอยู่นี่ ถ้าจิตเราเกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าร่างกายตายเมื่อไร มันออกจากกายเมื่อไร มันก็ไปนิพพาน มันไม่รู้จักที่อื่น


    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ หน้า ๓๗๑-๓๗๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  8. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    หลวงพ่อปานบอกว่า ตามธรรมดาคนที่เกิดมาแล้วนี่ จะไม่เคยมีบุญวาสนาบารมีนั้น ไม่มี ทุกคนต้องมีบุญวาสนาบารมีมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่พอใจในการเจริญพระกรรมฐาน
    ส่วนใหญ่ก็มักจะเคยเจริญกรรมฐานมาแล้วในชาติก่อน เคยได้มาแล้วคนละหลายๆกอง วิธีปฏิบัติให้ปฏิบัติตามนี้

    อันดับแรก ให้วางหนังสือไว้ที่บูชาต่อหน้าพระพุทธรูป จุดดอกไม้ธูปเทียนเสร็จตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานด้วยความเคารพ
    นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ากรรมฐานทั้ง ๔๐ กองนี้
    มีกองใดบ้าง ที่เคยได้มาในชาติก่อน เมื่ออ่านไปแล้วขอให้ชอบกองนั้น
    ถ้าชอบกองไหน คั่นไว้ หรือขีดไว้ ทำสัญลักษณ์ไว้ หรือเขียนไว้ก็ได้
    และต่อมา เมื่อชอบหลาย ๆ กองแล้ว กลับมาทีหลัง ก็มาดูใหม่ บูชาใหม่ว่า
    กรรมฐานที่ชอบหลาย ๆ กองนี้ กองไหนถ้าทำแล้วจะได้ง่ายที่สุด
    ให้ทำกองที่มีความรู้สึกว่าชอบใจมาก และง่ายที่สุด
    ก็บูชาพระแล้วก็ตั้งใจอธิษฐาน กลับมาย้อนดูใหม่ ดูกรรมฐานที่ชอบ


    ที่มา: หลวงพ่อธุดงค์ ตอนไปเที่ยวสุวรรณวิหาร



    *************************



    ขอให้พยายามตั้งกำลังใจให้ทรงตัวให้พอดี ๆ อย่าใช้อารมณ์เครียด
    การเจริญกรรมฐาน จงอย่าถือเอาเวลานั่งสมาธิเป็นสำคัญ ถ้ายังใช้เวลานั่งสมาธิเป็นสำคัญ ก็ยังถือว่า ยังไกลต่อมรรคผลมาก
    เพราะขึ้นชื่อว่าความจริง วิปัสสนาญาณนี่เขาแปลว่า ความจริง ที่แปลว่า รู้แจ้งเห็นจริง

    ท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่า ความจริง มันมีอยู่กับเราทุกขณะ ทุกขณะที่เรายังมีลมหายใจเข้าออก เราต้องรู้จักความจริง อย่าถอยหลังไปหาความจริงที่แล้วมา หรือว่าอย่าคิดข้างหน้า ไปหาความจริงที่ยังไม่ถึง


    ที่มา: เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม ตอนที่ ๑ หนังสือหลวงพ่อธุดงค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  9. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ถ้าหากจิตซ่านล่อกแล่กๆหาการทรงตัวไม่ได้ มันก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับการเอาตะกร้าไปตักน้ำ
    ตักทั้งวันทั้งคืนไม่มีน้ำติดขึ้นมา อย่างที่สุดก็เป็นตะกร้าเปียกๆเท่านั้น
    สู้เราเอาจอกเล็กๆเข้าไปตักจ้วงทีเดียวติดขึ้นมาหน่อยหนึ่งไม่ได้


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๖



    ************************



    ...เรื่องขันธ์ ๕ พ่อยึดถือไม่ได้ เพราะอะไรๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของพ่อ ขันธ์ ๕ มันจะพัง มันก็เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ แต่ที่พยายามรวบรวมกำลังใจให้อยู่เช่นนี้ ก็เพราะห่วงลูกหลาน เพราะลูกหลานของพ่อทุกคน ถ้าลูกหลานของพ่อไม่ดีขนาดนี้ละก็ลูกเอ๋ย ไม่ต้องห่วง อย่าว่าแต่เสียงของพ่อเลย แม้แต่ร่างกายของพ่อ ลูกก็จะไม่ได้เห็น บางทีลูกจำนวนมาก อาจจะไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของพ่อเสียด้วย เวลานี้พ่อก็มาคิดถึงร่างกายของพ่อว่ามันแก่มากแล้ว สงสารลูกรักที่มีความดี เพราะบรรดาลูกทั้งหลายคงจะคิดว่าที่พึ่งใหญ่ของเธอนี้ ก็คือพ่อ แต่ลูกจงอย่าลืมว่า ที่พึ่งจริงๆที่ลูกจะพึ่งได้ ก็คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พ่อได้ศึกษามา และก็ปฏิบัติมาพอมีผล
    จงเห็นว่า ชีวิตมีความหมายน้อยกว่าความดี เราเกิดมาแล้วคราวนี้ เราก็ต้องตาย ไหนๆจะตาย ขอให้เราตายอยู่กับความดี เท่านี้เป็นพอ และถ้าความดีนี้เป็นความดีสูงสุด ลูกรักทั้งหมดของพ่อก็จะไปพระนิพพานได้


    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ หน้า ๓๒๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  10. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ถ้าจะถามว่ารักษาศีล มีปัญญาบารมีควบด้วยไหม...?
    ก็ตอบได้ง่ายๆ ว่า คนโง่น่ะไม่มีใครเขารักษาศีล
    คนที่ทำลายศีลน่ะไม่ใช่คนฉลาด เพราะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตน
    นี่คนที่รักษาศีลได้ครบถ้วนบริบูรณ์ก็เป็นคนมีปัญญาบารมีอยู่แล้ว ไม่ยาก...ไม่เห็นอะไรจะยาก


    ที่มา: บารมี ๑๐



    *********************



    จงมีเมตตาเป็นปกติ เมตตานี่เป็นตัวยืนสำคัญ
    บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เลี้ยงทั้งทาน เลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งวิปัสนาญาณ
    เพราะเมตตาเป็นอาการที่สร้างอารมณ์ใจให้เยือกเย็น ไม่มีกังวลในอย่างอื่น มีจิตคิดอย่างเดียว คือคิดสงเคราะห์ รักคนอื่น สงสารคนอื่น เกรงว่าเขาจะมีทุกข์เราไม่ต้องการยัดเยียดความทุกข์ให้แก่บุคคลอื่น ต้องการอย่างเดียวยัดเยียดความสุขให้แก่เขาด้วยอำนาจเมตตา


    ที่มา: บารมี ๑๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  11. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ไอ้สุขในกามมารมณ์ก็โยนทิ้งไป ทุกข์จากการกระทบกระทั่งใจ สิ่งที่ไม่ชอบ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็โยนทิ้งไปเฉย....นอนนึกให้สบายๆ วาดภาพไว้ว่า ถ้าตายเมื่อไร พังเมื่อไร เราไปนิพพานเมื่อนั้น


    ที่มา: บารมี ๑๐



    ***********************



    ต้องการดับความโลภ ด้วยทาน
    การบริจาค คือ จาคะ ดับความโกรธด้วยมี เมตตา กรุณา มีความรักมีความสงสารปรารถนาในการเกื้อกูล ดับความหลงด้วยการไม่ติดอยู่ในวัตถุ ไม่ติดอยู่ในร่างกาย ไม่ติดอยู่ในโลกใดๆทั้งหมด
    จิตใจของบุคคลทั้งหลายทำได้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีกล่าวว่า ท่านตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ใจของบุคคลนั้นเมื่อร่างกายตาย...ใจก็ไปนิพพาน


    ที่มา: บารมี ๑๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  12. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    อันดับแรก องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา
    ให้พิจารณาแต่จิตของตัวเท่านั้น จริยาของผู้อื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ที่เรียกว่า
    "อักขาตาโร ตถาคตา"
    ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก
    "อัตนา โจทยัตตานัง"
    จงเตือนตนด้วยตนเอง
    เตือนไว้ว่า พระพุทธเจ้าสอนแบบไหน เราทำตามนั้น
    พระพุทธเจ้าห้ามแบบไหน เราเว้นตามนั้น
    นี่เป็นแบบที่จะต้องปฏิบัติตาม อย่างเคร่งครัด


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ก.พ. ๒๕๔๖ หน้า๗๔



    **************************



    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทหรือเพื่อนภิกษุสามเณร
    จงสนใจในการให้ทานให้มาก เพราะการให้ทานนี่ไม่ใช่จะหวังการร่ำรวยอย่างเดียว
    การให้ทานเป็นปัจจัยของความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


    ที่มา: บารมี ๑๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  13. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]




    ก่อนที่จะให้ทาน ถ้าหวังผลเพื่อเป็นปัจจัยเพื่อนิพพาน ต้องเลือกบุคคลผู้ให้
    ถ้าไม่สามารถจะให้ได้อย่างไงและจริงใจ ก็ต้องให้ใช้วิธีถวายสังฆทานดีที่สุด


    ที่มา: บารมี ๑๐



    ***************************



    การไปนิพพานจริงๆก็ขอสรุปว่า อันดับแรกทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้ พระโสดาบันจริงๆก็คือ
    ๑. ไม่ลืมความตาย
    ๒. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    ๓. ทรงกรรมบท ๑๐ ให้ครบถ้วน
    หลังจากนั้นจับอารมณ์พระอรหันต์ตามสมควรตามเวลาที่จะพึงทำได้ คือไม่คิดว่าเราจะเกิดในมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลกต่อไป เราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน ตัวนี้เป็นตัวตัดโมหะ ความหลง ต่อไปตัดโลภะ ด้วยการให้ทาน หรือจาคานุสติกรรมฐาน คือนึกอยากจะสงเคราะห์ ประการที่สาม ก็มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ในบุคคลและสัตว์ เป็นการตัดโทสะ ความโกรธ ถ้าตัดได้อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทไปนิพพานแน่


    ที่มา: ธรรมะปฏิบัติ เล่ม ๑๒ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  14. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]





    การถือตัวถือตนว่า เราเสมอเขาก็ดี เราดีกว่าเขาก็ดี เราเลวกว่าเขาก็ดี เป็นปัจจัยของความทุกข์
    อย่ามองคน ด้วยฐานะ อย่ามองคน ด้วยศักดิ์ศรี อย่ามองคน ด้วยความรู้ความสามารถ
    มองคนแต่เพียงว่าสภาพของเขา เป็นวัตถุเหมือนสภาพของเรา จิตใจของเราพร้อมในการเมตตาปรานีไม่ถือตน
    เขาจะมาในฐานะเช่นใดก็ช่าง ถือว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด การกำหนดอารมณ์ อย่างนี้
    เราก็สามารถจะกำจัดตัว มานะ การถือตัวถือตนเสียได้ อย่างนี้เรียกว่า อรหัตมรรค




    *********************



    ร่างกายของเราก็เป็นโทษ ร่างกายของบุคคลอื่นก็เป็นโทษ
    ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่ได้เป็นที่พึ่งที่อาศัย ไม่ได้เป็นสมบัติของเราจริง
    หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง คิดไว้อย่างนี้ตลอดเวลา
    ท่านทั้งหลายก็สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้โดยไม่ยาก


    ที่มา: ธรรมะปฏิบัติ เล่ม ๑๒ หน้า ๘๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  15. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    ขอเตือนสักนิด ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์พระนิพพานจริงๆ
    ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงอารมณ์ บารมี ๑๐ ประการให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี ๑๐ ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเรา เรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุม ให้ทรงตัวให้มีกำลัง จรณะ ๑๕ ที่เป็นกำแพงกั้นที่จะไม่ให้เราตกอยู่ในสภาวะของความชั่วแห่งจิต
    อีกประการหนึ่ง กำลังที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรว่าจะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราเข้าถึงความสุข นั่นคือ อิทธิบาท ๔ รวมความว่าถ้าเราต้องการพระนิพพาน คุณธรรมทั้ง ๓ ประการนี้อย่าให้พลาดจากจิต


    ที่มา: ธรรมะปฏิบัติ เล่ม ๑๒ หน้า ๙๔




    **********************



    ถ้าทางที่ดีเพื่อจะปฏิบัติตน ให้สมควรกับเป็นพุทธสาวกของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ก็ควรจะยึดพุทธภาษิตบทหนึ่งที่ว่า นิมิตตัง สาธุรูปนัง กตัญญูกตเวทิตา
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความเป็นผู้มีความกตัญญูรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้วและตอบสนองคุณท่าน
    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นคนดี


    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ หน้า ๓๘๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  16. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    "ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าเราไม่ต้องการอย่างอื่น เราต้องการอย่างเดียว คือพระนิพพาน
    เห็นใครเขาตาย ก็นึกว่าไม่ช้าเราต้องตายอย่างเขา เห็นใครเขาแก่ ก็นึกว่าไม่ช้าเราก็ต้องแก่ตามเขา
    เห็นใครเขาป่วย ก็นึกว่าไม่ช้าเราก็ป่วยตามเขา ถ้ามันตายแล้วไปไหนก็นึกว่าช่างมันไม่เอาอีกแล้ว
    ความเกิดที่เต็มไปด้วยความระยำ เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการอย่างเดียว คือ
    แดนพระนิพพาน เป็นแดนอมตะ ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ไม่มีความป่วยไข้ ไม่มีความไม่สบาย ไม่มีทุกข์แม้แต่เท่าขี้เล็บ ไม่มีทุกข์เลยในแดนพระนิพพาน..."



    ****************************​



    ทรงสติสัมปชัญญะให้ดี ทรงอสุภสัญญาเป็นปกติ
    มีจาคะ จาคานุสสติกรรมฐาน จิตใจต้องการให้ทานเป็นปกติ
    มีสีลานุสสติกรรมฐาน มีการทรงศีลเป็นปกติ
    มีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    มันจะพังเมื่อไรก็ช่างมัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาเป็นปกติ
    อย่างนี้เราก็เข้าอริยผลได้โดยไม่ยากนัก
    ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีความสำคัญอยู่เพียงเท่านี้
    ในการเข้าถึงอริยมรรคอริยผล ไม่ใช่จะมาศึกษากัน ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดตลอดกาลตลอดสมัย
    ทำใจให้สบาย ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวเมื่อร่างกายเกิดทุกขเวทนา เพียงเท่านี้จิตใจของทุกท่านถ้วนหน้า
    ก็จะเข้าถึงความสุข คืออริยมรรคอริยผลตามที่ตนพึงปรารถนา


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ เล่ม๑๕ หน้า๙๖
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  17. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    การเจริญสมาธิน่ะ อย่าลืมว่าต้องมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วน
    ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง จะไม่มีผลจาการปฏิบัติ
    สำหรับศีล ศีล๕ ต้องบริสุทธิ์ แต่ความจริง ศีลท่านบริสุทธิ์อยู่เรื่อยนะ
    แล้วไอ้เราจะบริสุทธิ์ตามศีลรึเปล่า ชักสงสัย (หัวเราะ) ใช่ไหม



    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ ๑๙ หน้า๑๙




    ****************************​




    เห็นว่าทุกอย่างในโลกเป็นทุกข์ แม้แต่ร่างกายก็เป็นปัจจัยของความทุกข์
    จิตใจต้องรื่นเริง ต้องคิดว่าตัวทุกข์ตัวนี้ เราเข้าใจว่าติดมาหลายอสงไขยกัป เราแพ้มันเราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลานี้เราจับตัวทุกข์ได้ เราจะสลัดทุกข์ทิ้งเป็นชาติสุดท้าย ร่างกายเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ เราจะไม่ต้องการมันอีก ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร เราต้องการไปนิพพานอย่างเดียว
    รวมความคือว่าเราเป็นผู้ชนะ เราเข้าใจในทุกข์ เราเห็นในทุกข์ เราไม่ติดในทุกข์ ไม่ติดในสิ่งที่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เราก็เป็นผู้ชนะ และการชนะของเราก็มีขอบเขตของมันเพียงแต่ชั่วคราว ในขณะใดที่ยังมีลมหายใขเข้าออกยู่ เราอยู่ในเขตของความทุกข์ เราก็พร้อมจะหนีความทุกข์เมื่อลมหายใจสิ้นไป กำลังใจก็มีความสดชื่น
    เหมือนกับคนที่อยู่ในที่กักขัง รู้วันเวลาที่เราจะพ้นจากที่กักขัง
    เวลามันใกล้เข้ามาเพีองใด เราก็มีความปลื้มใจเพียงนั้น


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ เล่ม๑๕ หน้า ๕๒-๕๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  18. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    โลกนี้ก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี
    ไม่เป็นดินแดนที่มีความสุขจริง
    มันสุขแล้วกลับทุกข์ สลับกันไป
    สิ่งที่จะสุขที่สุด ที่องค์สมเด็จพระจอมไตร
    บรมศาสดาต้องการนั่นก็คือ พระนิพพาน
    ที่เรียกกันว่า เอกันตบรมสุข
    มีแต่สุขอย่างเดียว
    หาความทุกข์เจือปนไม่ได้


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ ๒๐ หน้า ๓๘



    **************************


    พรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานกองหนึ่งใน ๔๐ กอง พรหมวิหาร ๔ ถ้าเราทรงได้ศีลทุกสิขาบทไม่ขาด แล้วสมาธิจะทรงตัวดี ปัญญาที่จะพิจารณาวิปัสสนาญาณจะมีสภาพแจ่มใสมาก เรียกว่าดีทุกอย่าง
    พรหมวิหาร ๔ มีอะไรบ้าง
    ๑. เมตตา ความรัก
    ๒. กรุณา ความสงสาร
    ๓. มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย
    ๔. อุเบกขา วางเฉย
    ทั้ง ๔ อย่างนี้ ถ้ามีประจำใจบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้ามีพรหมวิหาร ๔ อย่างอ่อน ก็สามารถจะทรงศีลได้บริสุทธิ์
    ถ้ามีพรหมวิหาร ๔ อย่างกลาง ก็สามารถทรงฌานได้ทุกขั้น
    ถ้ามีพรหมวิหาร ๔ ขั้นสูงสุด สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด เป็นกำลังของวิปัสสนาญาณ


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๒๐ หน้า๗๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  19. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ภาวนามัย นี่ก็เช่นเดียวกัน เราใช้คำที่ภาวนา
    คือ ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผล ถึงราคะ ความกำหนัดยินดี
    โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง
    ว่ามันมีจิตตรงเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์
    ถ้าเห็นว่ามันเป็นความทุกข์ ก็รีบตัด ตัดด้วยอะไร?
    ตัดด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    หรือวาตัดด้วย ทาน การให้ ทำลายความโลภให้หมดไปจากจิต
    ตัดด้วย ศีล คือ ทำลายความโกรธให้หมดไป
    ตัดด้วย ปัญญาใหญ่ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    ไม่สนใจในร่างกายของเราด้วย ไม่สนใจในร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจในวัตถุต่างๆ
    จิตมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ก.พ.๒๕๔๖ หน้า ๔๐




    *********************************



    ขณะใดที่คิดว่าจะทำงาน ในขณะนั้นมักไม่มีงานทำ
    ขณะใดคิดว่าจะพัก เป็นมีงานจนถอนตัวไม่ออก
    อาการอย่างนี้มีเป็นปกติ จนใจไม่มีความรู้สึกแล้ว
    ถือว่าเกิดมาเป็นคน มันก็ต้องยุ่งอย่างคน
    จะนั่งนอนสบายอย่างเทวดาหรือพระพุทธรูปไม่ได้
    เป็นบทเรียนให้เห็นอริยสัจอยู่เสมอ เป็นของดี


    ที่มา: จดหมายจากหลวงพ่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  20. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ไอ้สะเดาะเคราะห์จริงๆน่ะ เคราะห์ก็คือ บาปอกุศลนะ ทีนี้ไอ้บาปอกุศลนี่ เราทำอย่างไรก็ตัดมันไม่ออก ถ้าพิธีกรรม ถ้าเราไปพูดว่าสะเดาะเคราะห์ เขาไม่เห็นด้วย ใช่ไหม ก็พูดว่าสะเดาะเคราะห์ คือว่า การสะเดาะเคราะห์ เป็นการทำบุญให้กำลังมันเกินไอ้ความชั่ว ให้กำลังมันเกินบาป คือบาปนี่ ไปละเมิดมันไม่ได้ ทำๆไปไม่ช้ากำลังก็เกิน เกินทีนี้มันก็จับตัวไม่ได้ ก็เลยเกาหลัง ถ้ากำลังมันมากไป ก็เกาหลังติดๆกัน (หัวเราะ) นี่ยกตัวอย่างให้ดูนะ คือว่าตัดเข้าเลย ไม่มีทางตัดออก มันตัดไม่ได้แน่
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไม่มีใครสามารถถอนรากผลของกรรมได้ แม้แต่พระอรหันต์ยังโดนกฎของกรรมเล่นงาน
    อย่าง พระโมคคัลลาน์ นี่ ท่านตีพ่อตีแม่มาตั้ง ๑๐๐ ชาติมาแล้ว
    ท่านก็ลงนรกมาแล้ว ไอ้เศษของกรรมมันยังตามมาส่งผลอีก
    พระโมคคัลลาน์ไม่ใช่ฉันนี่ ท่านเป็นพระที่ทรงฤทธิ์ โจรมาล้อมตั้ง ๒ ครั้งแล้วก็หนีไป พอครั้งที่ ๓ ท่านก็มานึกว่ามันเรื่องอะไรวะ ก็อ๋อ ว่าเศษของกรรม ถอยหลังไปว่าตีพ่อตีแม่มา ท่านยอมนะ ถ้าเป็นเราไม่แน่นะ (หัวเราะ) ถ้าเราเก่งอย่างท่านนะ ไม่แน่นะ ดีไม่ดีเอาทองคำเข้าวาโยกสิณ เอาลมติดไป หอบติดบ้านใครบ้านมัน (หัวเราะ) ท่านทำอย่างนั้นท่านทำได้ คือว่า การที่ท่านถูกตี ท่านก็ไม่ยอมเจ็บ ถอยออกจากร่างไป อันนี้คือความมีฤทธิ์ของท่านนะ
    ท่านอธิษฐานไม่ให้มันเจ็บก็ยังได้ ก็เลยยอมให้ตี เขาตีจนกระดูกเหลว พอเขาไปแล้วก็เอาร่างไปซุก ท่านประสานกระดูก ไปลาพระพุทธเจ้าตาย เห็นไหม ถ้าท่านทำได้อย่างนั้น ท่านจะยอมเจ็บเหรอ ท่านไม่ยอมเจ็บหรอก ก็ปล่อยให้ตีซากขันธ์ ๕ ไป ไอ้จิตดีไม่ดีมันก็ออกไปลอยอยู่ข้างนอกแล้ว
    เหมือนกับฝึกมโนมยิทธิเก่งๆก็เป็นอย่างนั้นได้ คือรวบรวมกำลังใจปั๊บ
    ไปแล้ว กูไม่อยู่ กูไปแล้ว ถ้ามึงเน่ากูไม่มา ถ้ามึงไม่เน่ากูจะกลับมาใหม่


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ ๒๐ หน้า๑๐-๑๑



    *********************



    ถ้าจะมองคนอื่นด้วยปรารถนาสงเคราะห์ก็มองได้ ถือว่ามองดี เพราะมีเมตตาปรานี
    แต่ถ้าว่าจะมองเขาในอารมณ์ตรงข้ามจากนี้ โดยมองว่าทำไมเขาจึงยุ่งนัก ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง เป็นต้น
    การมองทำนองนี้เป็นอุปกิเลส เว้นเสีย อย่ามอง ถ้าอารมณ์อย่างนั้นจะพึงมี ก็จงเตือนตนเองว่า
    ก็เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของคน ในเมื่อเขาเป็นคน คนเขาก็ต้องมีอารมณ์
    และความประพฤติอย่างนั้น เราเองก็เหมือนกัน ขณะนี้ที่แอบไปยุ่งกับสิ่งที่เขาพอใจ
    โดยจะแอบไปวางแผนใหม่ในเหตุที่เขายังไม่ต้องการ อันนี้เป็นเรื่องที่เราเองก็แอบเป็นคนเข้าพอใจแล้ว
    ตราบใดที่เราเป็นคน เราจะสร้างคนอื่นให้พ้นจากความเป็นคนไม่ได้
    ต่อว่าเมื่อไรเราเลิกเป็นคน ทำใจตนให้เป็นพระ เมื่อนั่นแหละ
    เราก็สามารถจะเปลี่ยนแปลงสร้างสรรให้คนอื่นเลิกเป็นคนได้
    แต่ว่าถ้าเราเป็นคนอยู่ และเข้าไปยุ่งกับคนอื่น บางทีคน ๆ นั้นเขามีส่วนเป็นคนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว
    เมื่อเราเข้าไปยุ่งอีกรายจะกลายเป็นการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการเป็นคนให้แก่เขามากขึ้น
    แทนที่จะช่วยให้เขาพ้นจากความเป็นคนก็กลายเป็นการเพิ่มคนให้แกเข้า เรื่องมันก็จะไปกันใหญ่


    ที่มา: จดหมายจากหลวงพ่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...