รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 13)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 2 พฤศจิกายน 2011.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุพระโสดาบัน"
    หลักสูตรออนไลน์ 30 ชั่วโมง
    (ชั่วโมงที่ 13)

    เกริ่นนำ


    [FONT=&quot]สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้ดังนี้ [/FONT]
    [FONT=&quot]จงอย่าประมาทเรื่องน้ำท่วม และภัยจากสงคราม
    ทั้งสองกรณีนี้สามารถจักเกิดขึ้นได้
    ให้คอยสังเกตการณ์และเตรียมการณ์เอาไว้แต่เนิ่นๆ
    อย่างในกรณีน้ำจักท่วม ให้คอยดูระดับน้ำในแม่น้ำด้วย อย่าคิดว่าไม่ใช่หน้าของฤดูน้ำท่วม
    เวลานี้กาลของฤดูเปลี่ยนแล้ว เนื่องจากภาวะภูมิอากาศของโลกวิปริตไป

    จงอย่าได้ยึดว่ายังไม่ถึงฤดูฝน พึงอยู่อย่างผู้รู้ในสภาวะต่างๆ จักได้ไม่เดือดร้อน และลำบากให้มากจนเกินไป
    เรื่องภัยจากสงคราม ก็จงอย่าประมาท ให้คอยติดตามข่าว
    และพร้อมอยู่ในความไม่ประมาท ให้พิจารณาแบบเดียวกัน
    เพราะอีกไม่นาน ภัยสงครามจักเกิดขึ้นโดยมีจีนเป็นต้นเหตุ ทั่วทั้งทวีปเอเชียจักเดือดร้อน
    เรื่องของโลกยังจักวุ่นวายไปอีกนาน ให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาในโลกนี้
    เป็นที่อันหาความสงบไม่ได้ ให้เพียรปล่อยวาง
    และรู้สักเพียงแต่ว่ารู้ อยู่ให้มีความเดือดร้อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จักทำได้
    แล้วจงตั้งสติเอาไว้ให้ดี อย่าตกใจกับเรื่องราวต่างๆ อันจักเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า
    ให้ระลึกเอาไว้เสมอว่า โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ มีอันที่จักต้องฉิบหายไปในที่สุด[/FONT] อ้างอิง


    ก่อนเข้าสู่การเรียนรู้ในชั่วโมงนี้ ขอย้ำว่าต้องทำการบ้านของทุกบทนะครับ.



    สรุปทบทวนจากชั่วโมงที่ 12

    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านว่า...
    " การวัดกำลังจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    จะต้องวัดกันด้วยอารมณ์ ไม่ใช่วัดกันด้วยสมาธิ


    ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะอะไร เพราะมาทุกเที่ยวก็มีทุกท่านมารายงานทุกเที่ยวว่าสมาธิมันไม่ดี
    บางวันก็ดีบ้าง บางวันก็ไม่ดีบ้าง บางทีก็ตัวโยกไปโคลงมา
    บางทีก็อยากจะหงายหลัง เดี๋ยวก็อยากจะคว่ำหน้า เดี๋ยวก็มีอาการซู่ซ่า
    บางทีก็มีน้ำตาไหล บางวันใจสบาย บางวันใจทรงไม่อยู่
    ไอ้นี่เขาไม่นับ เขาไปนับกันอารมณ์ปลด
    คือถือที่มีความสำคัญก็คือมีอารมณ์ปลด
    นี่อารมณ์ปลดที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะปลดกันตรงไหนนี่
    อันดับแรกก็สังโยชน์ 3 คือ สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา ลีลัพพตปรามาส
    "
    ตัดสังโยชน์ 3 ข้อนี้คือเป็นพระโสดาบัน

    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านว่า...
    " อารมณ์พระโสดาบัน ถ้าทำได้ก็ครึ่งทางพระนิพพาน


    (ชั่วโมงที่ 13)


    ละสักกายทิฏฐิ ในระดับพระโสดาบันคือการคิดถึงความตาย คิดว่าเราต้องตายแน่นอน
    แต่เมื่อคิดถึงความตาย ต้องระวังใจอย่าให้มีจิตเศร้าหมอง อย่าให้จิตฟุ้งซ่าน
    ไม่เช่นนั้นถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ

    เรื่องนี้เป็นจุดสำคัญอันหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติเพื่อพระโสดาบันพึงระวัง
    เหมือนเครื่องบิน ที่บินขึ้นไปแล้วแต่หาทางลงหรือลานจอดไม่ได้เพราะโดนน้ำท่วม
    เมื่อคิดถึงความตายแล้ว คิดถึงว่าเราจะต้องตายแล้ว
    หากไม่เข้าใจอาจจะ
    มีจิตใจเศร้าหมอง หรือมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    อย่างที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เขากลัวการคิดถึงความตายนั่นเอง


    แนวการคิดคือวิปัสนาที่ถูกคือ
    เมื่อคิดถึงความตาย คิดถึงทุกข์จากการมีขันธ์ 5 คือร่างกายแล้ว
    ให้วางจิตลงในพรหมวิหาร ไล่ตัวต้นจนถึงตัวปลาย
    เริ่มจากเมตตาว่าคนอื่นเขาก็ทุกข์เหมือนเรา ขอให้พวกเขามีความสุข
    หากใครทุกข์เราจะช่วย เราจะไม่เบียดเบียนเพราะแค่นี้ก็มีทุกข์มากแล้ว
    แล้วจึงจบด้วยอุเบกขา ตามตำราเรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ
    (บอกศัพท์ไว้เผื่ออ้างอิง คนเขียนไม่ได้มั่วคิดเอง แต่ไม่ต้องจำศัพท์ก็ได้)
    วางเฉยเสียเพราะยอมรับความเป็นธรรมดา หรือกฏของความเป็นธรรมดา อ้างอิง

    การละหรือการปล่อยวางมาจากการยอมรับกฏของความเป็นธรรมดา
    ในเมื่อร่างกายมันจะแก่จะตายก็ช่างมัน แต่เราก็ดูแลแก้ไขรักษาไปเท่าที่ทำได้
    ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าไม่ใช่ละแบบโง่ ๆ
    อย่าลืมว่าแม้พระพุทธเจ้าท่านก็ยังมีหมอชีวกโกมารภัจ
    ไม่ใช่ละสักกายทิฏฐิแล้วไม่ดูแลร่างกาย เพราะเมื่อเรายังไม่ตาย เราก็ยังจำเป็นต้องอาศัยร่างกาย
    ที่ว่าละสักกายทิฏฐิ คือละความพอใจในร่างกาย
    ละอย่างอ่อน ๆ แบบพระโสดาบัน คือ เห็นว่าร่างกายมันไม่ดี
    เพราะมันต้องแตกพังสลาย คือตายในที่สุดเป็นธรรมดา

    หากคิดถึงความตายแล้วจิตใจเศร้าหมองหรือมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    นั่นเป็นเพราขาดการยอมรับกฏของความเป็นธรรมดา
    แต่หากกำลังใจไม่พอ ยอมรับไม่ได้
    ให้ขอพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า คือคิดถึงพระเป็นพุทธานุสติ
    หรือคิดถึงศีลที่เรารักษาบริสุทธิ์ดีแล้วเป็นสีลานุสติ
    หรือนึกถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุขเป็นอุปสมานุสติ
    แล้วจิตใจจะสดชื่น ไม่เศร้าหมอง
    คิดว่าหากเราตายเวลานี้เราไปพระนิพพานแน่นอน

    ถ้าปฏิบัติแล้วจิตใจเศร้าหมอง หรืือฟุ้งซ่าน แสดงว่าผิดทาง ไม่ใช่ทางสายกลาง ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ

    การแก้อารมณ์เศร้าหมองหรือฟุ้งซ่าน (เรียกสั้น ๆ ว่า ฟุ้ง หรืออารมณ์ฟุ้ง)
    ไม่ใช่การหลับตานั่งสมาธิให้จิตนิ่งอย่างที่พวกฤาษีโยคีทำกัน
    แต่ควรแก้ด้วยปัญญาญาณหรือวิปัสสนาญาณ คือการพิจารณายอมรับความเป็นธรรมดา
    หรือกฏของความเป็นธรรมดา

    การยอมรับกฏของความเป็นธรรมดานั้นนำไปสู่การละหรือการปล่อยวาง
    หรือกล่าวอีกอย่างว่า เราต้องละหรือปล่อยวางด้วยการยอมรับกฏของความเป็นธรรมดา
    นักเจริญมหาสติปัฏฐาน ชอบกล่าวกันว่า " รู้สักแต่ว่ารู้ " นั่นเอง




    [FONT=&quot]สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอน[/FONT][FONT=&quot]เรื่องกฎของธรรมดา ( โดยย่อ )
    [/FONT]
    " [FONT=&quot]ให้รู้จักใช้อาการทุกขเวทนาให้เป็นประโยชน์
    เนื่องจากพระตถาคตเจ้าทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด
    พระอรหันต์ทั้งหมด ต่างบรรลุธรรมวิมุติได้ ก็ต้องการพิจารณาทุกข์กันทั้งสิ้น ไม่มีใครบรรลุด้วยหนทางอื่น "[/FONT]
    [FONT=&quot]
    " เมื่อได้รับอารมณ์กระทบกระทั่งด้วยความไม่ถูกใจ
    ก็เห็นทุกข์นี้เป็นธรรมดา ให้พยายามเพียรระงับความไม่ชอบใจลงเสียด้วยปัญญา
    อย่าเอาเหตุผลมาตัดสินว่าเป็นความถูกหรือความผิด หากแต่พิจารณาว่าเป็นกฎของธรรมดา
    การที่เราเกิดมามีร่างกายย่อมต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นเรื่องธรรมดา
    ในเมื่อเราต้องการไปพระนิพพาน ไม่ต้องไปคิดว่าใครผิดหรือใครถูก
    หากคิดอยู่ก็ถือว่ายังติดอยู่ในโลก
    (ยังติดอยู่ในสมมุติ)
    ให้เพียรปล่อยวาง คิดว่าโลกนี้ก็แค่นี้แหละ ไม่รู้จักถือสาหาความไปเพื่อประโยชน์อะไร
    อย่าไปแก้ไขใคร ให้แก้ไขใจของตนเองเป็นสำคัญ
    ละไปเสียให้ได้ พิจารณาว่าเป็นปกติธรรม
    ถ้าหากกุศลกรรมเข้าดลจิตเขาก็คิดดี พูดดี ทำดี
    แต่ถ้าหากอกุศลกรรมเข้าดลจิต เขาก็คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เป็นธรรมดา[/FONT] " อ้างอิง



    ผู้เขียนสรุปว่า ให้หมั่นพิจารณาทุกข์ และสรุปทุกข์ให้ลงที่ขันธ์ 5 คือการมีร่ายกาย
    ผู้เขียนเห็นว่าการพิจารณาที่เห็นทุกข์ได้ง่ายอย่างหนึ่ง
    คือการพิจารณาเรื่องทุกข์จากการเรียนและการทำงาน หรือการทำมาหากิน
    เพราะวันหนึ่งเราต้องทำงาน 8 - 9 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 - 6 วัน
    นับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานมาก ๆ สำหรับชีวิตมนุษย์
    ต้องเรียนและทำงานตั้งแต่อายุ 20 - 55 ปี จากนั้นเกษียณไม่กี่ปีก็ตาย
    หากเทียบกับเทวดานางฟ้าทั้งหลายต้องถือว่าท่านสบายกว่าเรามาก
    เพราะการมีร่างกายเราจึงมีทุกข์ เราต้องหาปัจจัย 4 คืออาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
    รวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวกสบายต่าง ๆ
    การจะมีสิ่งเหล่า ๆ นั้นได้ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยจากทำงานและการเดินทางเพื่อทำมาหากิน
    เมื่อไปทำงานก็ต้องมีเรื่องกระทบอารมณ์ โดนบีบคั้นจิตใจ
    เช่น มีปัญหากับเจ้านาย ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ

    เมื่อเห็นทุกข์แล้วก็ยอมรับกฏของความเป็นธรรมดาว่า
    ตราบใดที่มีร่างกายเราก็ต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ และต้องมีการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดา
    แต่เราจะไม่ถือสาหาความกับใครเพราะเราจะไปนิพพานแล้ว เราจะไม่ผูกเวรกับใครอีก


    สวัสดี.


    - จบชั่วโมงที่ 13 -

    การบ้านของชั่วโมงที่ 13 :
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้
    2. ดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ที่แนบมานี้ไปฟัง การบ้านคราวนี้มี 2 ไฟล์เสียง

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3"><tbody><tr></tr><tr><td>[​IMG]</td><td>การบ้านบทที่ 13 - 1.mp3
    </td></tr><tr><td>[​IMG]</td><td>การบ้านบทที่ 13 - 2.mp3
    </td></tr></tbody></table>

    วิธีการฟัง :
    ให้ปิดไฟ หรือนั่งในที่มืดด้วยท่าสบายผ่อนคลาย
    ควรฟังในที่สงบหรือที่อันควรแก่การฟังธรรม
    ฟังอย่างตั้งใจและค่อย ๆ พิจารณาตามไปตลอดการฟัง
    3. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ
    4. ตอบคำถามว่า กฏของความเป็นธรรมดา คืออะไร?
    อะไรบ้างที่จัดว่าเป็น กฏของความเป็นธรรมดา ?



    ไฟล์ MP3 การบ้านของวันนี้ คือเสียงเทศน์ของท่านจิตโต
    ท่านเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง
    ดังนั้นเวลาที่หลวงพี่จิตโตกล่าวถึงคำว่า " หลวงพ่อ "
    ขอให้ทราบว่าหมายถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง


    ส่งการบ้านและพูดคุยกันได้ที่นี่
    สำหรับท่านที่ไม่ได้สมัครสมาชิกเว็บพลังจิต เชิญพูดคุยแนะนำกันได้ที่ Facebook กาขาว


    ทบทวนย้อนหลัง
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 1)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 2)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 3)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 4)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 5)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 6)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 7)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 8)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 9)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 10)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 11)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 12)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2011
  2. eee

    eee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +23
    การบ้านของชั่วโมงที่ 13 :
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้
    ตอบ รู้สึกว่า ทุกสิ่งในโลกมีกฎธรรมดา ตามธรรมชาติอยู่แล้วการฝืนทำให้เป็นทุกข์ รู้อะไรเข้ามากระทบก็ให้ปล่อยวางไม่ต้องไปคิดให้มากเรื่องเพราะไม่มีประโยชน์และทำให้ยังยึดติดถูกหรือผิด ดีหรือชั่วไม่ต้องยินดี ยินร้าย รู้สักแต่ว่ารู้
    2. ดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ที่แนบมานี้ไปฟัง การบ้านคราวนี้มี 2 ไฟล์เสียง
    การบ้านบทที่ 13 - 1.mp3
    การบ้านบทที่ 13 - 2.mp3
    วิธีการฟัง :
    ให้ปิดไฟ หรือนั่งในที่มืดด้วยท่าสบายผ่อนคลาย
    ควรฟังในที่สงบหรือที่อันควรแก่การฟังธรรม
    ฟังอย่างตั้งใจและค่อย ๆ พิจารณาตามไปตลอดการฟัง
    ตอบ ฟังแล้วค่ะ
    3. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ
    ตอบ การดูจิตเราเห็นง่ายกว่าเพื่อน รับรู้และชำระสะสางได้ดีกว่าคนอื่น แก้ที่ใจเราไม่ต้องแก้ที่ใจใคร เรื่องเกิดที่ใจเรา เราอาจเห็นเห็นคนนี้ไม่ดี ทำไม่ดี กิริยาไม่ดี จริงๆคือใจเราไม่ชอบ
    ต้องแก้ที่ใจเรา จมอยู่กับความไม่ชอบ ไม่ต้องการ จมกับความรู้สึกเศร้าหมอง นั่นคือการทำลายใจตัวเอง เราก็ต้องดูใจว่าใจเราเป็นอย่างนี้ เราไปยึดถือแล้ว
    มันเป็นจริงก็ใช่ เราไม่ชอบก็ใช่ ไม่อยากให้เกิดก็ถูกแต่ว่าเราจะทำอย่างไรเราฝืนใครไม่ได้ บังคับใครไม่ได้ ทุกคนล้วนเป็นไปตามขันธ์5 กรรมวิบากกันไป
    เราจะไปสอนให้เขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่ทำได้คือมีสติรู้ตัวว่า ตอนนี้ใจเราเศร้าหมองแล้ว เราต้องแก้ไข
    ชอบอีกหลายๆจุดไม่มีเป็นพิเศษค่ะ แต่ชอบวิธีที่ท่านอธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐานให้เข้าใจง่ายค่ะ^^
    4. ตอบคำถามว่า กฏของความเป็นธรรมดา คืออะไร?
    อะไรบ้างที่จัดว่าเป็น กฏของความเป็นธรรมดา ?
    ตอบ กฎของความเป็นธรรมดาคือไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ไม่เที่ยวเป็นทุกข์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกขัง ไม่มีสภาพถาวรต้องแตกดับสูญไป
    เช่น ร่างกาย เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ยู่กับเราตลอดกาลไม่ได้ เกิดแล้วต้องตายคงสภาพอยู่ไม่ได้ต้องดับไปสักวัน เมื่อไปยึดเกิดความขัดแย้งก็เป็นทุกขัง ห้ามไม่ให้แก่ ไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตายไม่ได้ เป็นอนัตตา
    สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก จัดเป็นกฎของความธรรมดาค่ะ
     
  3. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    <table id="post784759" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175">Chaiyaboon
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2007
    ข้อความ: 499
    พลังการให้คะแนน: 293 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_784759" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>อุเบกขาแบบควาย !!!!

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1">
    <noscript>[​IMG]</noscript>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พศ.ศ ๒๕๔๓
    ฉบับที่ 2 หน้า 4


    ถาม : การที่มีอุเบกขามากไปทำให้เป็นคนไม่ยอมคนหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : มันต้องดู คนที่เข้าถึงธรรมจริง ๆ ไม่ใช่เป็นคนไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่เขารู้ว่าอะไรมันเหมาะมันควรกับวาระกับเวลาอย่างไร โบราณเรียกว่ากาลเทศะ เรื่องที่ดิ้นรนไปแล้วไร้ประโยชน์เขาก็นอน มันเสียเวลาไปดิ้นทำไม รถชนกันตูมพังกระจายจะเสียเวลาไปเข็นรถเหรอ ก็โทรเรียกประกันมาแล้วก็นอนรอมันสิ

    อุเบกขา เป็นอุเบกขาที่ประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ใช่ปล่อยวางแบบลูกศิษย์หลวงพ่อชา ลูกศิษย์หลวงพ่อชา เป็นพระด้วยนะ โดนลมตีหลังคากุฏิเปิดไปหลังคามุงด้วยแฝก ท่านเองท่านก็ปล่อยมันไปเรื่อยแหละ ฝนจะตกแดดจะออกก็ช่างกูจะนั่งกรรมฐานของกู หลวงพ่อชาทนไม่ได้ไปถึงก็ คุ้ณ ซ่อมหลังคาสักหน่อยสิ ท่านบอกผมปล่อยวางซะแล้วครับ หลวงพ่อชาบอกว่าไอ้ปล่อยวางแบบนี้มันปล่อยวางแบบควาย (หัวเราะ) ควายมันตากแดดตากฝนทนกว่าคุณอีก คนเรามีปัญญามันต้องแก้ไข แก้ไขให้สิ้นกำลังตัวเอง สิ้นกำลังปัญญา สิ้นกำลังคน สิ้นกำลังทรัพย์ ถ้าแก้ไขไม่ได้แล้วค่อยยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม ถ้ายังมีช่องทางให้ดิ้นรนแม้แต่นิดเดียวก็ต้องทำก่อน ไอ้ปล่อยวางแบบนั้นเดี๋ยวก็นั่นล่ะ ควายอึดกว่าเราเยอะเลย


    </td></tr></tbody></table>
     
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ thitarat [​IMG]
    สวัสดีค่ะ


    แต่อย่างไรก็ตาม ในข้อนี้ดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าเมื่อไรจึงจะหมายความว่านินทา และเมื่อไรจึงจะหมายความว่าไม่นินทา เพราะ

    ถ้าเรายกตัวอย่างบุคคลที่ 3 มาเพื่อเป็นตัวอย่าง และเรากล่าวถึงเขา จะหมายถึงการนินทาหรือไม่?

    หรือถ้าเรากล่าวถึงบุคคลที่ 3 แล้วต้องการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเขา ทั้งในแง่ดี และแง่ไม่ดี เพื่อเป็นบทเรียนให้เราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สิ่งนี้ถือเป็นการนินทาหรือไม่?

    หรือแม้แต่ การกล่าวถึงบุคคลที่ 3 ในทางที่ไม่ดี เพื่อเป็นบทเรียนให้กับเรา ในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สิ่งนี้ถือเป็นการนินทาหรือไม่?

    เพราะใจจริงแล้วเจตนาเรามิได้ต้องการจะนินทา แต่ด้วยการกล่าวถึงบุคคลที่ 3 ก็อาจจะมีขอบเขตการตีความที่กว้างขวาง และครอบคลุมไปได้ถึงการนินทา


    ฐิตารัตน์
    </td> </tr> </tbody></table>

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า "เจตนาคือกรรม"



    ดูที่เจตนาว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลขณะที่พูด
    หรือกล่าวอีกอย่างว่าพูดด้วยเจตนากุศลหรืออกุศล
    พูดง่าย ๆ คือประสงค์ดีหรือประสงค์ร้าย
    ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้ฟัง และต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึง

    บางครั้งต้องระวังด้วย ตั้งต้นด้วยกุศลแต่พูด ๆ ไปชักมีอารมณ์
    คือขาดสติ แม้ตอนแรกตั้งใจดีแต่พูด ๆ ไปชักเผลอ
    ยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์ เผลอพูดด้วยความโกรธ ความเกลียด ความริษยา

    ลองพิจารณาดูว่าในการพูดถึงใครก็ตามนั้นเราขาดจิตเมตตาหรือไม่
    บางครั้งเราเลี่ยงได้ด้วยการ พูดถึงเป็นตัวอย่างโดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวคนหรือไม่ต้องระบุชื่อ


    อันที่จริงเราอาจจะไม่สามารถระบุได้ว่าทำอย่างนี้เรียกว่านินทาหรือไม่
    เพราะเราต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ
    และคนที่จะรู้เจตนาก็คือตัวผู้กระทำนั่นล่ะ
    วันไหนถ้ารู้สึกไม่แน่ใจ รู้สึกมีอารมณ์โกรธไม่พอใจเจือปน ทำแล้วใจเศร้าหมองก็อย่าพูดถึง
    แต่ถ้าวันไหนมั่นใจว่าหายโกรธแล้ว เพียงแต่พูดถึงโดยมีเจตนากุศลอื่น ๆ ก็ค่อยพูด
    แบบนี้น่าจะสบายใจที่สุด

    ตัวอย่างที่อาจไม่ถือว่าเป็นการนินทา ในความเห็นของผม
    (อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาด้วยว่ามีเจตนาอย่างไร บริสุทธิ์ใจหรือไม่)

    1. การร้องทุกข์หรือแจ้งความโดยกล่าวพาดพิงถึงผู้ที่ได้ทำชั่ว

    2. การขอร้องแก่ผู้ที่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนความชั่ว เช่น ตำรวจ ผู้บังคับบัญชา
    โดยกล่าวพาดพิงถึงผู้ที่กระทำความชั่วนั้น

    3. การเตือนให้ผู้คนระวังการจากบุคคลที่ทำความชั่วหรือเป็นอันตรายต่อสังคม

    4. การขอให้ผู้มีอำนาจชี้ขาดในปัญหาต่างๆโดยกล่าวพาดพิงถึงผู้อื่น
    เช่น กล่าวว่า เขาได้ทำชั่วอย่างนั้น อย่างนี้


    เป็นตัวอย่างนะครับ
    เราไม่ได้มุ่งร้าย ต่อคนชั่วนั้น เราเพียงต้องการหยุดการกระทำของเขา
    แต่ถ้าเขาถูกจับแล้ว ตำรวจจะลงโทษอย่างไรก็เป็นเรื่องของกฏหมาย


    หลักในการปฏิบัติของศีลคือ
    1. เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง
    2. เราจะไม่ยุยงให้คนอื่นละเมิดศีล
    3. และเมื่อเห็นคนอื่นละเมิดศีลแล้วเราจะไม่พลอยยินดี


    ดังนั้นแม้ว่าเราไม่ได้นินทา แต่เราฟังใครนินทาแล้วเรามีใจยินดีในการกระทำของเขาไปด้วย
    ก็ถือว่า ศีลกรรมบถ 10 เราไม่บริสุทธิ์แล้ว
    (แต่ศีล 5 ยังบริสุทธิ์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2011
  5. thitarat

    thitarat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +203
    สวัสดีค่ะ

    ส่งการบ้านบทที่ 13 ค่ะ (เรียนทันเสียที ^^)

    1. อ่านแล้วรู้สึกเห็นตรงตามที่สมเด็จองค์ปฐมท่านได้กล่าวว่าอย่าประมาทในเรื่องน้ำท่วม และภัยจากสงคราม เรื่องของโลกจักวุ่นวายไปอีกนาน ให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาในโลกนี้เป็นที่อันหาความสงบไม่ได้ ให้เพียรปล่อยวาง เพราะโดยส่วนตัวดิฉันเรียนมาทางสายการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เห็นประวัติศาสตร์โลก หรือประเทศต่างๆ ในแต่ละสมัยเป็นไปตามที่สมเด็จองค์ปฐมได้กล่าว ณ ตอนเรียนในเวลานั้น ดิฉันเข้าใจ แต่มิได้ปล่อยวาง และมีความทุกข์ไปกับสิ่งที่เรียนว่าอีกไม่นาน ระบบระหว่างประเทศก็จะต้องล่ม อีกไม่นาน ระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศก็ต้องล่ม อีกไม่นาน ก็เกิดสงคราม เกิดความขัดแย้ง

    ตอนที่เรียนตอนนั้นก็รู้สึกวิตกกังวล เคยไปปรึกษาอาจารย์ว่าแล้วหนูจะอยู่ทำไม จะเรียนทำไมในเมื่อลงท้ายเรียนไป จบไปก็ต้องตกไปเป็นทาสของทุนนิยม รับใช้นายทุน ความรวยกระจายอยู่กับคนส่วนน้อย ความยากจนตกอยู่กับคนส่วนมาก จะเรียนหรือไม่เรียนก็เหมือนกัน อาจารย์ก็เลยหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่เป็นไร เรียนๆไปจะรู้เองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นสัจธรรม อันไหนล่มแล้ว เดี๋ยวระบบใหม่ก็เกิดอีก เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวล่มเป็นเรื่องปกติ ต้องรู้เท่าทันและอยู่ให้ได้

    เมื่อดิฉันได้อ่านบทเรียนที่ 13 โดยเฉพาะคำกล่าวของสมเด็จองค์ปฐมเมื่อวานนี้ ทำให้ดิฉันน้อมนึกถึงคำพูดของอาจารย์ในวันนั้น และบทความวิชาการของอาจารย์อีกท่านหนึ่งเรื่องระบบโลก ทำให้ดิฉันเข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิตในโลก และวิธีการปรับตัวเพื่อให้อยู่ในโลกนี้ได้ ด้วยการปล่อยวาง

    นอกจากนี้ ดิฉันยังรู้สึกเห็นด้วยและประทับใจกับคำพูดของสมเด็จองค์ปฐม ที่ว่า อย่าถือสาหาความกับใคร แก้ไขใจตนเป็นสำคัญ เพื่อเตรียมไปนิพพาน ทำให้เมื่อเช้านี้ดิฉันคิดได้ว่า จะทำชั่วไปทำไม จะโกรธทุกคนไปทำไม จะทำไม่ดีไปทำไม ในเมื่อลงท้ายพวกเราก็จะลงเอยเท่ากันด้วยความตาย สมบัติเอาอะไรไปไม่ได้ มีแต่บาป บุญ ติดตัว สู้ทำความดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เพื่อไปสู่พระนิพพานเสียดีกว่า

    2. ในไฟล์เสียง 13.1 ในเรื่องการลดละสิ่งที่เป็นที่รัก ดิฉันคิดมานานแล้ว ในเรื่องนี้ นับตั้งแต่การได้อ่านเรื่องภัยพิบัติ ดิฉันเริ่มทำใจให้เข้าใจว่าสมบัติพัสถานเป็นสิ่งที่สามารถละวางได้ และก็เริ่มรู้สึกว่าทรัพย์สมบัติเราไม่มีความหมายเท่ากับการสะสมความดีที่เรามีอยู่เพื่อไปให้ถึงพระนิพพาน

    แต่ในเรื่องการละจากคนที่รัก หรืออยู่กับคนที่เกลียดยังคงเป็นสิ่งที่ต้องพยายามเพิ่มเติมที่อาจต้องอาศัยเวลา เพราะเคยมีในบางความคิด ที่เห็นว่า การมีคนที่รักนั้นเป็นทุกข์ เพราะต้องคอยติดตามดูแลกันมาตลอดไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ การมีคนที่รักทำให้เรารู้สึกเป็นภาระ แต่ในเมื่อตอนนี้เรายังไม่สามารถละจากเรื่องทางโลกได้ด้วยเรายังเป็นผู้ที่ยังคงอาศัยอยู่ในโลก ก็ยังคงต้องรับสภาพกันต่อไปค่ะ

    ไฟล์เสียง 13.2 ทำให้เข้าใจเรื่องกรรมบถ 10 และการทำสมาธิ รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริง และสามารถเริ่มทำได้ทันที แต่โดยส่วนตัวยังไม่เข้าใจมากเท่าไหร่ค่ะ อาจจะต้องฟังเพิ่มและปฏิบัติเพิ่ม ถ้ามีความเข้าใจในส่วนนี้เพิ่มเติมจะกลับมาตอบเพิ่มเติมค่ะ

    ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้ค่ะ

    ฐิตารัตน์
     
  6. thitarat

    thitarat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +203
    ขอขอบพระคุณมากๆค่ะ
     
  7. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    คนเขียน เขียนไม่ทันแล้วน่ะสิครับ ^_________^

    ขอให้ทบทวนไฟล์เสียงที่ผ่าน ๆ มานะครับ
    แล้วอาจจะประหลาดใจว่า อ้าว ทำไมตอนแรกฟังไม่เห็นได้ยินตรงนี้

    เรื่องการละนั้น ขอให้ทบทวนไฟล์เสียงในบทนี้อีกครั้ง
    คือท่านสอนว่าให้ละ แต่ไม่จำเป็นต้องทิ้งเดี๋ยวนี้
    ในเมื่อยังมีภาระต้องดูแล หรือจำเป็นต้องอาศัย หรือยังมีประโยชน์เราก็เก็บไว้
    เพียงแต่ใจเราไม่ไปยึดเกาะว่ามันเป็นของเราตลอดไป ไม่ยึดว่ามันจะต้องอยู่กับเราตลอดไป

    พระโสดาบันยังมีครอบครัวได้ และยังไม่จำเป็นต้องสละทรัพย์สินทุกอย่าง
    เพียงแต่มีความรู้สึกว่ามันเป็นอนิจจัง ในที่สุดมันก็ต้องจากเราไป
    มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา สุดท้ายมันก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เพราะมันไม่ใช่ของเรา
    เราไม่รู้ว่าระหว่างเรากับสิ่งเหล่า ๆ นั้นอะไรจะพังไปก่อนกัน

    เมื่อถึงเวลาที่สิ่งนั้นต้องจากเราไป เราก็ไม่หวั่นไหว หรือหวั่นไหวน้อยกว่าชาวบ้านทั่วไป
    เพราะเราได้ละไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเรายอมรับกฏของธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  8. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    โหหหหห ไปกันเร็วจังค่ะ อาจาร์ยรอdiyaด้วยค๊า
     
  9. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    อย่าเรียกอาจารย์เลยครับ ^_^'
    เรียกพี่ดีกว่า...
     
  10. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    555 คับป๊มมมมมม คุงพี่ อย่าเพิ่งไปเร็วนักค่า diya มาถึงชั่วโมงที่ 10 แว๊วว :cool:
     
  11. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
  12. thitarat

    thitarat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +203
    ขอบพระคุณค่ะ ตอนนี้คงต้องฝึกทบทวนบทเรียนอีกหลายๆรอบเลยค่ะ ^^

    บทเรียนที่ผ่านมาเป็นประโยชน์มาก ต้องขอขอบคุณที่ช่วยให้ธรรมทานกับดิฉันในการปรับปรุงตนให้เป็นคนที่ดีกว่านี้ ทั้งในทางโลกและทางธรรมค่ะ ขออนุโมทนาสาธุการนะคะ

    ช่วงนี้กำลังทบทวนบทเรียนทีไ่ด้เรียนมา และปฏิบัติตามกรรมบถ 10 อยู่ค่ะ และกำลังสอบอารมณ์ตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าที่ละนั้น พร้อมที่จะละได้จริงไหม ทั้งทรัพย์สมบัติ ครอบครัว สังขาร (อารมณ์ยังไม่ทรงตัวเท่าไรน่ะค่ะ จากที่ก่อนหน้านี้เคยคิดได้ว่าอารมณ์ทรงตัวแล้ว แต่บางทีก็ยังมีอยู่บ้าง) ส่วนในข้อเรื่องการรักษาศีล และการนินทา ตอนนี้เข้าใจชัดเจนมากค่ะ และทำให้ดิฉันคอยเตือนตนให้ไม่ประมาทในศีล และกรรมบท 10 ค่ะ

    ขอบพระคุณมากๆนะคะ ถ้าสมมติว่ามีอะไรที่ติดขัดเพิ่มเติม หรือมีความก้าวหน้าอะไรจะแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมนะคะ

    ขอบพระคุณค่ะ

    ฐิตารัตน์
     
  13. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ส่งการบ้านชั่วโมงที่ 13 ค่า

    การบ้านของชั่วโมงที่ 13 :
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้
    ตอบ บทเรียนน้อมนำให้เราคิดพิจารณาการมีร่างกายนี้เป็นทุกข์ เกิดมาก็เป็นทุกข์ โตมาก็เป็นทุกข์ เรียนก็เป็นทุกข์ ทำงานก็เป็นทุกข์ จนจะตายก็ต้องเป็นทุกข์ รู้สึกว่าเกิดการกระทบกระทั่งกับกายกับจิตนี้ได้ตลอดเวลาค่ะ แล้วจะไปถือสาหาความหรือป่าวล่ะ สังเกตุตัวเองดูแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะมาทำการบ้านหลักสูตรเร่งรัดนี้หรือป่าว ความกระทบกระทั่งนั้นเกิดมีอยู่ แต่เราเริ่มตั้งสติกับมันและจะคิดไปว่าโกรธไปใย โมโหไปทำงาน จักสนใจไปให้ได้อะไร ชีวิตนี้ไม่เห็นมีอะไร ปล่อยไปเถิดน่ะเราจักทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน

    2. ดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ที่แนบมานี้ไปฟัง การบ้านคราวนี้มี 2 ไฟล์เสียง
    วิธีการฟัง : ให้ปิดไฟ หรือนั่งในที่มืดด้วยท่าสบายผ่อนคลาย ควรฟังในที่สงบหรือที่อันควรแก่การฟังธรรม ฟังอย่างตั้งใจและค่อย ๆ พิจารณาตามไปตลอดการฟัง
    ...ฟังแล้วค่ะ...

    3. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ
    ตอบ ชอบไปหมดเลย เลือกไม่ถูกทั้ง 2 ไฟล์ สรรพสิ่งในโลกล้วนอยู่ภายใต้กฎธรรมดา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามรู้ตามดูจิต สติตามจับจิตรู้ สักพักพอมันว่าง มันไปคิด สติจะจับความคิดได้ทัน สุขวิปัสโก

    4. ตอบคำถามว่า กฏของความเป็นธรรมดา คืออะไร?
    ตอบ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป กระไรหนอก็มีแค่นี้เอง เกิด ตั้ง วาง ดับไปแค่นี้เอง

    อะไรบ้างที่จัดว่าเป็น กฏของความเป็นธรรมดา ?
    ตอบ โลกธรรม 8, สังขารของคนสัตว์สิ่งของ, อารมณ์ความรู้สึก, ดวงดาวบนท้องฟ้า, รูปรสกลิ่นเสียง, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทุกๆ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของความเป็นธรรมดา

    รบกวนสอบถามพี่karanค่ะฟังเทศน์ท่านจิตโตแล้วรู้สึกอารมณ์จะเบาสบาย ผ่องใส อารมณ์ดีอีกตะหาก
    ท่านอยู่ที่วัดไหนหรือคะอยากไปทำบุญและก็อยากไปฟังท่านเทศน์สอนแบบนี้บ้างค่ะ
     
  14. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเทศน์ของท่านได้ที่
    เว็บไซต์ http://tamma.homeip.net

    ไปกราบนมัสการท่านได้ "บ้านสบายใจ" แต่ช่วงนี้งดชั่วคราวเนื่องจากเพิ่งพ้นจากภาวะน้ำท่วม
    หากต้องการเดินทางไป สามารถร่วมเดินทางไปกับทีมงานของเว็บพลังจิตได้ครับ
    ตามลิ้งค์นี้ ไปนมัสการท่านจิตโตที่บ้านสบายใจ

    หลวงพี่สมปองหรือท่านจิตโต ท่านอยู่ใกล้วัดท่าซุง
    ท่านมาสอนที่บ้านตลิ่งชัน

    บ้านตลิ่งชัน เป็นสถานที่รับแขกของหลวงพี่สมปอง
    อยู่พุทธมณฑลสาย ๑ ตรงข้ามสายใต้ใหม่สุด ๆ ขับจากถนนบรมราชชนนีเข้าไป
    ข้ามสะพานเล็ก ๆ ๒ สะพาน ปากซอยจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวโกเด้ง พอเข้าซอยแล้วจะมีป้ายบอก
    หลวงพี่สมปอง จะมารับแขกทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ ๓ ของทุกเดือน
    ถ้าหลวงพี่สมปองไม่อยู่ จะมีโยมพี่สาวของท่าน ดูแลสถานที่อยู่
    (ก็เป็นบ้านของเธออ่ะนะ) เบอร์โทร. ๐๒-๘๘๗-๗๒๔๘ โยมจิตร


    ท่านจิตโต บ้านสบายใจ | Facebook
    สร้างและดูแล Page โดยฆราวาส ท่านจิตโตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจนี้



    "ด้วยสัจจะวาจาแห่งเรา
    ขอให้เทวดา นางฟ้าทั้งหลายที่มีฤทธิ์มากจงฟ
    <wbr>ังและจงจดจำบุคคลทั้งหลายเหล่าน<wbr>ี้เอาไว้
    เมื่อใดก็ตามบุคคลเหล่านี้เดือด
    <wbr>ร้อนหรือมีเรื่องทุกข์ใจ ไม่เกินวิสัยที่จะช่วยได้
    ขอจงช่วยในทันที ถ้าเกินวิสัยเป็นไปตามกฎแห่งกรร
    <wbr>มก็ให้ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา"
    - ท่านจิตโต -



    <table class="uiInfoTable profileInfoTable noBorder"><tbody><tr><td style="vertical-align: top;">
    </td><td style="vertical-align: top;">
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2011
  15. gogogourmet

    gogogourmet สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +24
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้
    -ถ้ายอมรับกฎของความเป็นธรรมดาได้ เราก็จะไม่ทุกข์ แต่รู้สึกว่ายากอยู่เหมือนกันที่จะยอมรับได้แบบไม่บังคับใจตัวเอง
    3. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ
    -สิ่งใดที่เรามีอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นของอนิจจัง ถ้าเข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลายว่ามันเป็นกฎเกณฑ์แบบนี้ จนใจเธอเชื่อและยอมรับมัน เธอจะไม่อาลัยอาวรณ์กับสิ่งต่างๆ
    4. ตอบคำถามว่า กฏของความเป็นธรรมดา คืออะไร?
    อะไรบ้างที่จัดว่าเป็น กฏของความเป็นธรรมดา ?
    - คือ กฎของกรรม และไตรลักษณ์
    - ชีวิตมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งของทั้งหลายก็มีวันเสื่อมสลายผุพัง
     
  16. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    969
    ค่าพลัง:
    +1,174
  17. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    ท่านจิตโตท่านเป็นพระ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นท่านเดียวกับ jeto2008 หรือไม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...