รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เนื่องจากมีผู้ที่มีความสงสัยในการปฏิบัติเป็นจำนวนมาก
    แต่ว่าบางครั้งไม่รู้ ไม่ทราบว่าจะถามใคร จะปรึกษาใคร
    ผมจึงคิดจะตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อรับตอบปัญหาในการปฏิบัติ
    ตามความสงสัยของแต่ละท่าน
    ด้วยตัวผมเองนั้นได้ฝึกปฏิบัติมาตามคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    และได้ปฏิบัติมโนมยิทธิกับกรรมฐาน40มาในระยะหนึ่ง
    จึงพอจะมีความเข้าใจสามารถจะอธิบายทุกๆท่านในระยะเริ่มต้นได้
    ขอให้ทุกๆท่านที่มีความสงสัยสามารถฝากคำถามเอาไว้ได้เลยครับ
    จะมาตอบให้อย่างรวดเร็วที่สุด
    ขอให้ทุกๆท่านมีความเจริญในธรรมครับ

    วันนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2010 เวลา สามทุ่ม

    ผมจะอัพเกรด สมาธิที่ผมแนะนำใหม่ทั้งหมด

    จุดไหนที่เห็นว่าทำแล้วเกิดผลช้า หรือไม่ตรงกับจริตของสาธารณะชน ผมจะตัดออก

    แล้วเปลี่ยนใหม่ ให้ฟังแล้ว อ่านแล้ว ทำได้ ตรงกับจริตของผู้ฟัง แบบเป้ะๆ

    ดังนั้นผมขอเวลาปรับเปลี่ยนซักระยะนะครับ

    ช่วงนี้จะพัฒนาการถ่ายทอด และจะโละของเก่าบางอันออก

    ดังนั้นใครที่มาใหม่ให้เริ่มอ่านตั้งแต่หน้าที่90เป็นต้นไปเลยนะครับ ไม่ต้องย้อนไปตั้งแต่ต้น

    เพราะผมจะเปลี่ยนวิธีการแนะนำใหม่ครับ<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  2. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ผมอยากทราบว่า การที่เรานั่งสมาธิไปพักหนึ่ง

    แล้วรู้สึกขนลุกซู่มาก ๆ ไปทั้งตัวแล้วต่อมาก็จะรู้สึกวูบ ๆ

    เหมือนตัวเรากำลังตกเหวดิ่งลงไป แล้วสักพักก็เกิดแสงจ้าวาบมันแจ้งมาก

    จากนั้นก้เห็นอะไรบางอย่างเป็นประกายแวววาวสีส้มลอยอยู่ในที่แจ้งนั้น

    ไม่ทราบว่ามันคืออะไร

    ขอบคุณมากคับ
     
  3. Jeerachai_BK

    Jeerachai_BK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +821
    ขอถามเรื่องอาการของปีติ

    ถาม: ในปฐมฌาน ผู้ปฏิบัติสมาธิต้องผ่านอาการของปีติทั้ง ๕ หรือเปล่าครับ?

    ผมเคยฟังบันทึกการบรรยายจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผมจำได้ประมาณว่า "ผู้ปฏิบัติสมาธิจะต้องผ่านปีติทั้ง ๕ โดยเริ่มจากปีติเล็กน้อยไปจนถึงปีติโลดโผน" และ "ผู้ปฏิบัติสมาธิบางคนผู้ซึ่งเคยได้ฌานในอดีตชาติ จะรู้สึกถึงปีติบางอย่าง เีพียงชั่วครู่เดียว ท้ายสุด ท่านเหล่านี้จะรับรู้ปีติทั้งหมด"

    ช่วยชี้แจงสิ่งนี้ด้้วยครับ

    (หากถ้อยคำที่อ้างอิงนี้คลาดเคลื่อน ขออภัย ณ ที่นี้ครับ)

    ขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
  4. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขอบคุณมากครับที่ตั้ง
    ผมมีความสงสัยว่า สิ่งที่กำลังจะบอกต่อไปนี้ คือ จิต กำลังจะหลุด ออกจากกาย หรือเปล่าครับ

    ภาวนา นะ มะ พะ ธะ ไปเรื่อย ๆ และจับภาพพระเป็นปกติ(อ้นนี้คงไม่ลงรายละเอียดนะครับ) เหมือนความรู้สึกทางกายมันหาย ไปและเหมือนมันลอย ๆ นิด ๆๆ(อันนี้อธิบายยาก)และก็สว่างมาก ๆ จนแสบตา ใจเต้นแรง(ผมคงตื่นเต้น)และเย็นไปทั่วและรอบ ๆ และผมไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไงต่อ ลืมตาทุกที่ และหลังจากลืมตา ใจเต้นแรงมาก ๆ ครับ

    รบกวนแนะนำด้วยครับ ถ้ามันจะถอดจิต จริง ๆ ผมควรทำยังไงต่อครับ
    ส่วนมากจะกลัว ว่า เข้าร่างไม่ได้ ออกแล้วไปไหน กลับยังไง หรือว่า เจอผี
    T_T

    ขอบคุณ
     
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทำอย่างไร ถึงจะละสังโยชน์ตัวที่สี่ และห้าได้ ^-^
     
  6. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ขออนุญาติตอบ เรื่อง ปิติ ครับ ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องผ่านปิติ ทั้ง 5 เหมือนกันหมดนะครับ

    ยกเว้นคนที่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อจะมาสอนผู้อื่นต่อ อันนี้ ก็ไม่แน่ครับ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze
    ตอนที่ขนลุกซู่มากๆนั่นเป็นปีตินะครับ
    แล้วพอเริ่มรู้สึกวูบๆ เหมือนดิ่ง
    หรือเริ่มรู้สึกว่าร่างกายไม่มีหรือเบาๆลง
    อันนั้นเป็นอาการที่จิตเริ่มเลื่อนจากอุปจารสมาธิเข้าสู่ฌาณละเอียดนะครับ

    ให้เราประคองอารมณ์ที่จิตดิ่งเอาไว้
    ให้อารมณ์มันประคองดิ่งเอาไว้ซักระยะหนึ่ง
    ถ้าประคองไม่ได้มันจะค่อยๆถอนขึ้นมาก็ไม่เป็นไร
    ให้เข้าๆออกๆจนชิน จนสามารถให้อารมณ์มันดิ่งเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
    แล้วถอนขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้

    ทีนี้ถ้าเราทำให้อารมณ์มันดิ่งสู่จุดนั้นได้อีกที
    ให้เราอธิษฐานปักหมุดในจิตของเรา ขอให้เราสามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์นิ่ง ดิ่ง สงบระดับนี้
    ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการ
    เพื่อให้เราสามารถจดจำอารมณ์และเข้าออกได้คล่อง ถ้าไม่อธิษฐานเอาไว้มันจะลืมวิธีเข้า
    ทีนี้ถ้าเราจะเข้าอีกรอบ เราก็อธิษฐานจิตขอเข้าสู่อารมณ์เดิม เราก็จะเข้าได้อย่างรวดเร็วขึ้นครับ
    ให้เราสนใจอารมณ์ที่นิ่ง ดิ่งเอาไว้ก่อนในขั้นต้นนะครับ เห็นอะไรอย่าพึ่งไปสนใจในขั้นต้น
    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Jeerachai_BK<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1692780", true); </SCRIPT>

    ไม่จำเป็นจะต้องผ่านทุกปีติครับ
    ไม่จำเป็นจะต้องผ่านปีติเลยด้วยก็มี
    บางคนจิตก็สงบเป็นฌาณ4 ไปเลยก็มี ไม่ต้องไล่ปีติ หรือไล่ฌาณ1-3
    บางคนไปคิดว่าเราจะต้องผ่านอารมณ์ไล่ขึ้นไปทีละฌาณ
    จริงๆ ไม่เป็นแบบนั้นเสมอไปนะครับ
    ที่จิตจะเป็นฌาณ4 ไปเลยก็มีมาก
    อีกทีก็บางคนได้ฌาณ4แล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่านี่เป็นฌาณ4ก็มี
    ทำให้ถอยหน้าถอยหลัง เพราะไม่รู้อารมณ์
    ดังนั้นถ้าไม่เกิดปีติ ก็อย่าไปคิดว่าจิตเรายังไม่เป็นสมาธินะครับ
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณchoosake
    เป็นอาการที่จิตจะออกจากกายถูกแล้วครับ
    คือกายมันกำลังจะดีดออก
    ทีนี้เราม่ดูว่าเราติดอะไรดีกว่ามันถึงไม่ออก
    1.ก็คือเราอาจจะอยากออกมากไป หรือเครียดเกินไป หรือตื่นเต้นเกินไป
    ต้องทำใจสบายๆนะครับ เหมือนเราจะนอนธรรมดาแล้วก็ภาวนาไปเรื่อยๆ
    หัวใจมันจะเต้นช้ากว่านี้ แล้วมันจะไม่เหนื่อยมาก
    ผมเดาว่าหลังจากที่คุณไม่ออก คงจะรู้สึกเหนื่อย กับหนัก หรือปวดหัวมึนๆนิด
    เกิดจากเหตุผลข้างบนนะครับ

    2.อีกอย่างก็คือกลัวครับ เราก็มาหาเหตุผลกันว่าเรากลัวอะไร เพราะอะไร
    และต้องทำยังไงถึงจะหายกลัว
    ที่คุณกลัวเนี่ยเกิดจากความไม่รู้ คือไม่รุ้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราต่อไป
    เราจะตายไหม ออกไปแล้วจะกลับยังไง ออกแล้วเราจะไปไหน เราจะเจออะไรน่ากลัวไหม พอเจอแล้วมันจะเป็นยังไง
    คำถามเหล่านี้ ทำให้กิดความลังเล ไม่มั่นใจ ว่าเราจะออกดีไหม หรือไม่ออกดี
    เป็นเหตุให้จิตเกิดความภวงค์แล้ว ออกไปไม่ได้ครับ

    แล้วต้องทำยังไงดีล่ะ ให้ทำอย่างนี้ครับ
    ให้เราตั้งจิตขอให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาคุ้มครองเราในการฝึก
    ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาสงเคราะห์ดึงอาทิสมานกายหรือจิตของเรา
    ออกจากร่าง เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยถึงความรู้ในพระพุทธศาสนา
    คราวนี้เราก็ไม่ต้องกลัวแล้วครับ เพราะพระอยู่กับเรา ถ้าเราออกมาได้เราก็อยู่กับพระ พระพุทธองค์มีพระประสงค์ให้ไปที่ไหนเราก็ไป

    แต่อารมณ์เราเนี่ยจะต้องทิ้งร่างกายจริงๆนะ คือว่าเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ต้องการร่างกายนี้ ถ้าเราตายขึ้นมาตอนนี้ เราไปอยู่กับพระพุทธเจ้า พระอยู่ไหนเราไปที่นั้น
    คราวนี้เราจะไม่กลัว แล้วกำลังใจที่จะออกมันจะมีความเด็ดเดี่ยวมากขึ้น

    ทีนี้พออกมาได้แล้วอย่าลืมนะครับ อธิษฐาน
    ให้เราอธิษฐานปักหมุดในจิตของเรา ขอให้เราสามารถนำอาทิสมานกายของเราออกจากร่างนี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการ

    บางคนลืมอธิษฐาน ทำให้ออกมาได้นานๆครั้ง ไม่คล่องดั่งใจ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ มีผลยังไงก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1693078", true); </SCRIPT>
    สังโยชน์ข้อที่4และ5
    เราจะละได้ก็ต่อเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วเท่านั้น

    ข้อปฏิฆะ เราจะต้องทรงพรหมวิหาร4 แผ่เมตตาให้จิตของเราเปี่ยมด้วยเมตตา เปี่ยมด้วยความชุ่มเย็น เปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อผู้อื่นอยู่เป็นประจำ
    ถ้าว่าง่ายๆก็คือทรงฌาณในพรหมวิหาร4อยู่เสมอ มิได้ขาด
    ฌาณก็คือชิน คือให้เมตตาจนชิน จนความเมตตาเป็นนิสัยของเรา
    จากเดิมที่เราขี้โมโห ต่อมาเราจะเริ่มไม่โมโห มากที่สุดก็คือหงุดหงิด
    จากหงุดหงิดก็ให้เราเมตตาไปเรื่อยๆ จนไม่รู้สึกหงุดหงิดอีกต่อไป
    ถ้าแม้แต่อารมณ์หงุดหงิดนิดหน่อยก็ไม่มี ถือว่าเราละสังโยชน์ข้อนี้ได้ขาด

    ข้อกามราคะ ข้อนี้จะต้องควบกรรมฐานหลายข้อ ได้แก่อสุภะ10 กายคตานุสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา
    คือพิจารณาเห็นความสกปรกในร่างกายและวัตถุธาตุต่างๆ จนจิตใจวางจากร่างกาย
    สำคัญที่ว่า วางเฉยในร่างกาย ไม่ใช่รังเกียจร่างกาย
    ถ้ารังเกียจร่างกายยังไม่ถูก เพราะว่าเราจะมีโทสะ แล้วอาจจะหลงฆ่าตัวตาย
    แบบพระในพุทธประวัติ ที่มีพระพิจารณาอสุภะจนจ้างคนให้มาฆ่าตัวเอง
    เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีอารมณ์วางเฉยในร่างกาย คิดว่าร่างกายนี่สกปรกจริง
    ใจเราไม่ต้องการร่างกาย ไม่มีความปรารถนาในร่างกายอีก
    แต่ว่าตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่เราก็จะต้องทรงมันเอาไว้ โดยไม่ให้ติดในร่างกาย
    อารมณ์ที่ต้องวางพอจะบอกได้ครับ
    แต่ว่าการพิจารณาข้อนี้ละเอียดมากครับแนะนำให้ฟังจากหลวงพ่อฤาษีจะดีกว่า

    สังโยชน์ข้อ4และ5ต้องตัดควบคู่กันไปครับ
    เนื่องจากพิจารณาอสุภะมากๆจะทำให้จิตเกิดปฏิฆะง่าย จึงต้องมีเมตตาเข้ามาประคับประคอง
    ส่วนการเจริญเมตตามากๆ จะทำให้ราคะกำเริบได้ง่าย จึงต้องมีอสุภะเข้ามาประคับประคอง
    ดังนั้นต้องเจริญควบคู่กันไปครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2008
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอพิศูจน์หน่อยได้ไหมครับ...คุณ Xorce
    ให้พิศูจน์ไหมเอ่ย...
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ผมไม่มีคุณวิเศษอะไรที่ดีพอจะให้คุณ วิษณุ12 พิสูจน์หรอกครับ
    ถ้าอ่านแล้วนำไปใช้ได้บ้างไม่มากก็น้อย ผมก็โมทนาด้วยครับ
    ถ้าอ่านแล้วคิดว่าใช้ไม่ได้ ก็คิดซะว่าไม่เหมาะกับจริตของคุณก็แล้วกันครับ
    ผมปฏิบัติมาตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    หากผมตอบไม่เหมาะสมประการใด ก็ให้คิดว่าเป็นความไม่ดีของผม
    แต่หากผมตอบแล้วเกิดประโยชน์ประการใด ก็ให้คิดว่าเป็นความดีของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ
    ไม่ใช่ความดีของผมแต่ประการใด
    นักปฏิบัตินั้นต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วครับว่ากำลังปฏิบัติได้ตรงตามพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่หรือไม่
    ดังนั้นแล้วไม่ต้องไปพิสูจน์ใครหรอกครับ เราพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอว่าปฏิบัติมาถูกทางก็เพียงพอแล้วครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2008
  13. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากคับ
     
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,306
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    http://www.buddhism-online.org/Index1.htm เวปนี้ครับ สอนธรรมะ online สมัครเ็ป็นนักเรียนได้ครับ มีทําข้อสอบด้วย ทุกอย่างอยู่ในตําราของทางเวปเเล้ว ถ้าอ่านเเล้วจะเข้าใจทุกอย่างในหลักเบื้องต้นของธรรมะเเน่นอนครับ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ธรรมะ เมื่ออ่านและจดจำแล้ว
    ต้องน้อมนำเข้ามาปฏิบัติ เพื่อขัดเกลาจิตของเราด้วยครับ
     
  16. เฒ่าหนังเหนียว

    เฒ่าหนังเหนียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +102
    ตอบง่ายๆๆคือปล่อยว่าง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ต้องสนใจปล่อยว่างจะต่ายก็ปล่อย อิอิ
     
  17. เฒ่าหนังเหนียว

    เฒ่าหนังเหนียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +102
    บางถีไปนั่งป่าช้าก็ได้ยินเสียงกึก....กะ เสียงคนเดินบ้าง เสียงคนคุยกันบ้างแต่ก็ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจครับ โชคดี
     
  18. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    เวลาปกติไม่ได้นั่งสมาธิ บางครั้งนอนอยู่ ก็บริกรรมไปด้วย มันรู้สึกที่ลิ้นปี่ มันเป็นโพลง บางครั้งมันก็หมุน บางครั้งมันก็กระเพื่อมกระจายเบา ๆ ไปทั้งตัว ทำให้ทั้งตัวสั่นกระเพื่อมไปด้วย(แต่สั่นข้างใน)

    เคยนอน ๆ แล้วดิ่งเหมือนกันค่ะ บริกรรมไปครั้งสองครั้งก็ดิ่งแล้ว (เป็นตอนกลางคืน) จากนั้นก็ไม่ดิ่งอย่างนั้นอีกเลยค่ะ แต่เคยสั่นกระเพื่อมข้างในแรงมาก ได้ยินเสียงดังที่หัว แสงจ้าบาดตา ทั้ง ๆ ที่หลับตา อาการเกิดพร้อม ๆ กันน่ะค่ะ จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวค่ะ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ให้เราทำใจสบายๆครับ อย่าเร่งหรือเครียดเกินไป
    ถ้าแสงจ้า บาดตา สั่นๆ
    เป็นอาการที่กายทิพย์กำลังจะออกครับ
    แต่ถ้าจิตดิ่งนั้น เป็อาการของการเข้าฌาณลึก

    ถ้าอยากให้ออกต้องทำใจตัดร่างกาย คือร่างกายนี้ช่างมัน
    เราไม่เอาร่างกายนี้แล้ว
    ถ้าอารมณ์มันทิ้งร่างกายได้จริงๆ มันจะหลุดออกไป
    ถ้าเรายังกลัวตาย หรือลังเลสงสัย
    ออกไปแล้วจะเป็นไง อะไรแบบนี้
    มันจะไม่ออกครับ

    ให้เราขอบารมีพระแล้วทำใจ ให้แน่วแนไม่ลังเลสงสัย
    ทำใจทิ้งร่างกายให้ได้ แล้วมันจะหลุดออกมาครับ
    ทำแบบเดียวกับที่อธิบายให้คุณchoosakeน่ะครับ
    จุดสำคัญคือทำใจให้สบายครับ อย่าตื่นเต้นมาก
    ถ้าตื่นเต้นมากก็จะทำไม่ได้
    ดังนั้นขอให้รักษาใจให้สบายเอาไว้ ไม่ว่าจิตจะนิ่งดิ่งลึก หรือว่ากายทิพย์จะออกก็ตาม

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    อันนี้เป็นตัวอย่างของที่มีคนมาสนทนาธรรมกับผมทางmsnนะครับ
    ขออนุญาติเอามาลงเพื่อเป็นธรรมทานครับ
    อันนี้อีเมลผมนะครับเผื่อใครอยากจะสนทนาแบบสบายๆด้วยกัน saturndg@hotmail.com

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2008
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...