รู้ด้วยญาณ ต่างจากรู้ด้วยใจ(จิต) อย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Prasit5000, 9 มีนาคม 2017.

  1. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....ก่อนอื่นผมอยากให้ท่าน ลองอ่านพระสูตรนี้อย่างตั้งใจ ดูว่า ท่านเข้าใจคำสอนของพระองค์ เหมือนที่ผมเข้าใจหรือไม่
    ....."
    [๕๙๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ ฯ
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
    แขวงเมืองพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุเบญจวัคคีย์ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด ๒ ประการนี้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุด ๒
    ประการเป็นไฉน คือ การประกอบความพัวพันกามสุขในกามทั้งหลาย อันเป็น
    ของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบ
    ด้วยประโยชน์ ๑ การประกอบการทำตนให้ลำบาก เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ
    ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทาอันไม่เกี่ยวข้อง
    ส่วนสุดทั้ง ๒ ประการนี้นั้น ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุทำญาณ (เห็นประจักษ์
    รู้ชัด) ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ เป็นไป
    เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน
    อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือ สัมมาทิฐิ ... สัมมาสมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    มัชฌิมาปฏิปทานี้นั้นแล ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ ย่อมเป็นไป
    เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ฯ
    [๕๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ แม้ความเกิด
    ก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความป่วยไข้ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์
    ความประจวบกับสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสัตว์
    และสังขารอันเป็นที่รักเป็นทุกข์ แม้ความไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ โดยย่อ
    อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทัยสัจนี้แล คือ ตัณหาอันให้
    เกิดในภพต่อไป อันสหรคตด้วยความกำหนัดด้วยสามารถความเพลิดเพลิน เป็นเหตุ
    ให้เพลินในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลายก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แล คือ ความดับตัณหานั้นแลโดยความสำรอกไม่เหลือ
    ความสละ ความสละคืน ความปล่อย ความไม่พัวพัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฐิ
    ฯลฯ สัมมาสมาธิ ฯ

    .....พระสูตรอาจยาวไปสักหน่อย ผมจะถามท่านว่า ท่านเข้าใจ อริยสัจ สี่ หรือไม่
    ....ทุกข์ สมุททัย นิโรท มรรค ล้วนถูกอธิบาย โดยพระองค์อย่างแจ่มแจ้ง โดยไม่ต้องมีพระอรรถกถาจารย์มาอธิบายต่อ

    .....ท่านลองตรึกนึกตามคำอธิบายนั้น เข้าใจหรือไม่ ผมว่าเข้าใจนะ
    ......ผมจะลองอธิบายตาม แบบบ้านนอกๆของผมนะ เหมือนที่ท่านคิดหรือไม่
    .....ทุกข์ คือนี้ชัดเจนเพราะ ขันธ์ห้าไม่เที่ยง สมุททัย คือ การที่เราไปยึดเอาขันธ์ห้า ว่าเป็นเรา เป็นของเรา นี้ก็หมายถึง ตัวผู้รู้ตัวที่สอง ไปยึดเอาตัวผู้รู้ตัวที่หนึ่งว่าเป็นตนนั้นเอง นิโรธ ก็คือ การที่ ตัวผุ้รุ้ตัวที่สอง สามารถตัด ความเป็นตัวสังโยชน์คือตัณหาที่ยึดเอาว่า ตัวผู้รุ้ที่เรียกว่าจิต ว่าเป็นตน มรรค คือ วิธีทางปฏิบัติให้สามารถ ตัด เส้นสังโยชน์ นี้ให้ได้ เส้นแรก ก็ตัดตัวสักกายะทิฏฐิ น้้นแหละ

    ......การที่เราอ่าน แล้วตรึกนึกคิดแล้วเข้าใจคำสอนนี้ เรียกว่า รู้ด้วยจิต รู้ด้วยใจ

    ......การรู้ด้วยจิต รู้ด้วยใจ ไม่ต้องไปนั่งภาวนาหรอกครับ อ่านแล้วเข้าใจ เรียกว่า สุตมยปัญญา คือรู้ด้วยการฟัง และการอ่าน จินตามยะปัญญะ เรียกว่า รู้ด้วยตรึกนึกคิด เมื่ออ่านแล้วก็ตรึกนึกคิดตาม

    .....การรู้ด้วยญาณ เป็นอย่างไร ก่อนที่จะรู้ด้วยญาณมันก็ต้องรุ้ด้วยจิตก่อน เพราะตัวจิต จะต้องเป็นตัวป้อน ข้อมูลให้กับตัวญาณ
    ....ต้องปลุกตัวญาณให้ตื่นขึ้นมาก่อน
    ....อันนี้บางท่านอ่านแล้วไม่สบายใจ ก็ไม่ต้องอ่านต่อก็ได้

    .....ตัวญาณนี้ก็คือตัว นิพพานธาตุนั้นแหละซึ่งมีอยู่ในตัวเรานี้แหละ เราต้องปลุกให้ตื่น
    ....วิธีปลุกก็ทำสติปัฏฐานสี่นี้แหละ ยกตัวอย่าง เช่น ทำอานาปานสติ สร้างสติจากการผ่านเข้าออกของลมหายใจ ตามด้วย ตัวสัมปชัญญะ
    ....สติ ที่ตามลมหายใจ จนเป็นหนึ่งเดียวเรียกว่า จิตมีสมาธิ
    ....สัมปชัญญะที่ เกิดอย่างต่อเนื่อง ก็จะกลายเป็นตัวญาณ

    ....ต่อมาก็ป้อนความรู้ให้กับตัวญาณ ยกตัวอย่าง เช่นการเจริญ อนัตตสัญญา ก็ให้จิตที่มีสมาธิ เพราะจิตที่มีสมาธิ เป็นจิตที่ทรงพลัง ป้อน ให้ญาณเห็นว่า จิต มิไช่เรา ไม่มีเราในจิต

    .....ถ้าตัวญาณรับรุ้ แค่ครั้งเดียว เท่านั้น ก็สามารถเรียกว่าตรัสรู้ เรียกว่าเกิดวิปัสสนาญาณ ตัด สักายทิฏฐิได้ ถือว่าเป็นการบรรลุธรรม

    .....พระอรหันต์นาคเกษม อุปมาว่า ดังจุดไฟ ดูตัวเลขในที่มืด เห็นแค่ครั้งเดียว ก็รุ้แล้วว่าเลขอะไรไม่ต้องจุดไฟดูซ้ำอีก

    .....การรู้ด้วยญาณ เราจะนั่งอ่าน เอาไม่ได้ต้องภาวนา ท่านเรียกว่า ภาวนามยปัญญา คือรู้ได้ด้วยการภาวนา
    ....ในสมัยพระพุทธกาล เมื่อพระองค์ทรงเทศนาอยู่ มีผู้บรรลุธรรม ก็เพราะ จิตที่ตั้งใจฟังเป็นสมาธิ และตัวสัมปชัญญะก็ตื่นอยู่ตลอด ก็เลยแทงตลอดด้วยตัวรับรุ้คือตัวสัมปชัญญะที่เกิดอย่างต่อเนื่อง นั้นเอง
    .....จิต จะรู้อย่างไร ก็เป็นแค่จิตตามยปัญญา ไม่สามารถทำให้บรรลุได้

    .....จิตที่มีกิเลสครอบงำ เช่นจิตที่มีนิวรณ์ เป็นจิตที่ไร้พลัง ไม่มีทางเอามาเครื่องบรรลุธรรมได้
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    คุณประสิทธิ ฮับ

    พระไตรปิฏก เรา มีหลายสำนวนแปล

    บาลี เนียะ มี บทเดียว

    แต่คำแปลนั้น ผู้ฉลาดในการรักษาพระไตร
    ปิฏกท่าน วางกุสโลบาย ให้มีหลายๆ สำนวนแปล

    อย่างตรง วรรค "ทำจักษุ ทำญาน" อ่านตาม
    ที่คุงประสิทธิยกมา บาลีคำเดียว กล่าวทวน
    สองวรรค พี่ไทยยังแปล ไม่เหมือนกันเลย


    สำนวนแปลเล่มอื่น ถ้าผมจำไม่ผิด จะเขียนว่า
    "บังเกิดธรรมจักษุดุจญาณ" บ้างก้ "ทำญาณ
    ให้เหมือนดั่งมีจักษุ"

    สำนวนพระตามวัด "เหนนามดั่งตาเหนรูป"
    "เหนธรรมดั่งจับต้องได้"

    เยอะมาว์ก
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ที่นี้ คุณ ประสิทธิ จะเหนกุสโลบาย ที่เขา
    จะหาคำ ศัพท์ มาให้กระโดดตะครุบ

    ด้วยอาการ คำนี้แหละใช่ คำอื่นเปล่า

    ดังนั้น สิ่งที่ผู้รังสรรพระไตรปิฏกจะพึง
    หวังได้ คือ การไม่ยึดคำศัพท์ตายตัว

    ชาวพุทธจึงมีปรกติ พูดด้วยคำไหนก้ได้
    ให้เห็น อาการตระครุบคำศัพท์ จิตจะแคบ
    มีกำแพงกั้น

    ถ้าปล่อย จิตจะกว้าง ไม่มีขอบ ไม่มีเขต
    หาที่สุดไม่ได้ ไม่มีไป ไม่มีมา มีสันติลักษณ

    นั่นสงบ นั่นรำงับ

    หยุดการตะครุบ

    เว้นแต่ จะมีใครสนใจ เข้ามาเหนบ้าง เราก้
    ว่าไปตามประสบการณ์ เท่าที่เขาจะรับได้
     
  4. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ต้องรู้จัก รูป นาม และสังเกตส่วนนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ชำนาญ
    ธรรมดาแล้ว สภาวะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ นั้นเกี่ยวพันโยงใย เป็นสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการยึดเอารูปกายนี้เป็นของตน ยึดเวทนา ยึดสัญญา ยึดสังขาร ยึดวิญญาณ จนเกิดตัณหา ภพ ชาติ เวียนว่ายตายเกิด
    แม้ธรรมชาติส่วนนามจะเกิดดับรวดเร็วเพียงใด แต่เพราะมีอวิชชาจึงยึดนามไว้ สัมพันธ์กับรูป จนไม่เห็นการเกิดดับของนามธรรม และยิ่งสัมพันธ์เข้ากับรูปกายด้วยแล้ว ยิ่งยากที่จะแยก รูป นาม ออก กลายเป็น สักกายทิฎฐิ คือ มองเห็นทั้งหมดรวมกันเป็นตน
    เมื่อเจริญมหาสติปัฎฐาน แยกสภาวะ รูป นาม ได้แล้ว จึงจะเห็นการเกิดดับของส่วนนาม และ การดับไปทั้งหมด ขาดการปรุงสภาวะ จึงจะเข้าใจได้ถึง นิโรธ และมรรค

    การเห็นด้วยญาณ คือ การเห็นสภาวะจริงที่เกิดดับ เห็นดังตาเห็นรูป นั้นแหละครับ
     
  5. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ที่กล่าวมาเป็นทฎษฎี ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญาต้องลองปฏิบัติดูว่าตรงมั้ย วิธีปฏิบัติมีอยู่แล้ว มรรค 8 สติปัฏฐาน 4 อนุสติ 10 ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาก็ตอบตัวเองได้แบบไม่มีข้อสงสัย
     
  6. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากรู้ความจริง อย่างในคำสอนพระไตรปิฏก ถ้าคำสอนในนั้น มันแย้งกัน แล้วเราก็จะยึดหลักอะไร

    ......ถ้าเราจะมานั่งปฏิบัติ สิ่งที่เราพบเห็นมันใช่หรือเปล่า อย่างน้อยต้องมี แผนที่นะผมว่า

    .....อย่างเรื่อง ญาณ กับจิต ในพระสูตรก็กล่าวตรงๆ ว่ามิใช่สิ่งเดียวกัน

    ....ขอยกมาเป็นตัวอย่างนะครับ

    [๖๙๕] คำว่า ความตรัสรู้ ความว่า ย่อมตรัสรู้ด้วยอะไร ย่อมตรัสรู้
    ด้วยจิต ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตหรือ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีญาณก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคล
    ผู้ไม่มีญาณตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยญาณ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณหรือ
    ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้
    ได้ด้วยจิตและญาณ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยจิตและญาณหรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้
    ด้วยกามาวจรจิตและญาณซิ ย่อมตรัสรู้ด้วยกามาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้า
    อย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณซิ ตรัสรู้
    ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยสัจจานุโลมิกจิต
    และญาณซิ ตรัสรู้ด้วยสัจจานุโลมิกจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วย
    จิตที่เป็นอดีตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอดีตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิต
    ที่เป็นปัจจุบันและญาณไม่ได้ (แต่) ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณ
    ในขณะโลกุตรมรรค ฯ
    [๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างไร ฯ
    ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุ
    เป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่
    ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธ
    เป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างนี้ ฯ

    .......มีคนที่เขาเป็นนักปฏิบัติ ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของผม

    ......แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา

    .....จะให้ผมเข้าใจว่า ไม่มี นามธาตุที่เรียกว่า นิพพานธาตุ ให้ผมเข้าใจว่า ญาณ กับ สัมปชัญญะคือสิ่งเดียวกันกับ จิต ผมนึกไม่ออก ที่จะมาร้อยเรียงธรรมะในคำสอนที่เป็นพุทธวัจนะให้เข้าใจ

    ......ถ้าท่านเห็นว่า จิตเท่านั้นคือผู้รุ้ ก็ทำไปตามที่ท่านเข้าใจเถอะครับ
     
  7. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ขอบคุณครับ

    .....การเจริญสติปัฏฐาน เพื่อแยกรูปแยกนาม แต่ก่อนผมเคย อ่านเรื่องแยกรูปแยกนาม ผมถามว่าแยกไปทำไม
    .....ถ้าว่าเห็นการเกิดดับ เพราะเราแยกรูปแยกนามได้ การเห็นการเกิดดับ เห็นด้วยจิตหรือเห็นด้วยสัมปชัญญะ
    .....สมมุตินะ ถ้าเราจะแยกรูปแยกนาม โดยไม่ต้องเจริญสติปัฏฐานได้หรือไม่ ส่วนตัวผม ผมว่าแยกได้นะ มันไม่ได้ยากอะไร นี้คือ รูป นี่คือนาม แม้แต่เห็นการเกิดดับ ก็ไม่ต้องเจริญสติปัฏฐานผมว่าเห็นนะ อย่าง ความสุขหายไป ความโกรธหายไป มันก็เห็นนะผมว่า

    ....อันนี้ไม่ใช้ผมเถียงแบบหาเรื่องนะ คุยกันแบบเอาความจริงมาพูดนะ

    ....ถ้าแรงไปก็ขอสูมาด้วยนะ

    ....ส่วนตัวผมมองไปที่ตัวผู้รู้ว่า อย่างสัมปชัญญะ กับสติ มันเป็นการรับรู้ที่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ถ้าเป็นสิ่งเดียวกัน ทำไมจึงจะมาบอกว่า มีสติ มีสัมปชัญญะ ผมมองไปที่ว่าใครเป็นคนรับรู้ต่างหาก ลำพังตัวจิต น่าจะอยู่ในระดับ ตรึกนึกคิดเอาเท่านั้น

    .....พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งที่พระองค์นำมาสอน มิได้ตรึกนึกเอาด้วยใจ ธรรมะทั้งหลายที่นำมาสอนล้วนมาจากพระพุทธญาณทั้งสิ้น
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตัวแรกรู้แบบที่เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้
    ของตัวจิตนั้นๆ
    เป็นการรู้แบบธรรมชาติหรือ
    อัตโนมัติของตัวจิตมันเอง
    ซึ่งไม่มีจิตหรือมีตัวเข้าไปกระทำ
    บางท่านเรียกว่ารู้แบบจิตเหนือจิต

    อีกตัวเป็นการรู้ที่ยังมีตัวเข้าไปกระทำ
    ไม่ว่าจาก สมาธิ ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต
    สติ ปัญญา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ
    ตั้งปฎิบัติเอา อนุสัย วิบากจริต
    ขันธ์ ๕ นามธรรม ฯลฯ พวกนี้เข้าไปร่วม
    พูดง่ายๆคือยังมีตัวจิตร่วมเป็นผู้กระทำอยู่
    ไม่ว่าจะในด้านพิเศษหรือธรรมดา


    ปล ปฎิบัติให้เข้าถึงให้ได้ก่อน ใช้งานไปก่อนครับ
    แล้วค่อยวาง ค่อยทิ้งมัน เรา
    ถึงจะเข้าใจกิริยาของได้มันครับ

    เข้าใจที่สื่อนะครับ
     
  9. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....การเข้าใจในธรรมะ มิได้เข้าใจเพราะเราแกะ ภาษา

    ....คำสอนในพระสูตรล้วน ออกแบบสำหรับการฟัง การอ่านอาจจะไม่ ประทับใจ ไม่เชื่อลองดาวน์ดโหลด เสียงอ่านไปฟัง จะมีคำสอนที่เป็นท่อนซ้ำ เหมือนกับว่า เป็นการเรียกให้คนฟัง ปลูกให้คนฟัง ตื่น แล้วจึงส่งเนื้อหา

    .....ถ้านั่งอ่านแบบแกะเป็นตัวๆ จะเรียกว่าฟังด้วยสติ สัมปชัญญะได้อย่างไร เพราะมัวแต่ใช้สมองในการแกะตัวหนังสือ

    ....เป็นเพียงความเห็นนะครับ
     
  10. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ไม่แรงอะไรหรอกครับ สนทนาธรรมกัน ก็ต้องเห็นต่างกันได้
    ถ้าจะแยกรูปนาม โดยไม่ต้องเจริญสติปัฎฐาน เช่น ความสุขหายไป ความโกรธหายไป ก็น่าจะเห็นได้ง่ายๆ ใช่ไหมครับ แต่ว่า จริงๆแล้ว ความโกรธ ความสุข นั้นเจ้าของอาจจะสังเกตุได้ไม่ถึง ความสุข ความทุกข์ที่แท้จริง และความเกิด ดับ ที่แท้จริง เพราะ เวทนาในเวทนามีอยู่ จิตในจิตมีอยู่ ธรรมในธรรมมีอยู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมุทัย
    คุณ Prasit5000 อาจจะลองสังเกตใหม่ว่า ทำไมความสุขมันถึงเกิด ทำไมความโกรธมันถึงเกิดได้ มันเจอเหตุใดมาก่อนหน้าหรือ ความสุขมันถึงเกิด และความโกรธมันถึงเกิด และเมื่อมันเกิดแล้ว มันดับไปตอนไหน การตอบคำถามเหล่านี้ จึงไม่ใช่แค่รู้ว่า โกรธหายไป สุขหายไป แต่จะต้องเฝ้ามองความเป็นไปของสภาวะธรรมที่เกิดกับตนเองอย่างต่อเนื่อง
    คำถามคือ ปฏิบัติธรรมต้องยากขนาดนี้เลยหรือ ก็ตอบว่า กิเลสมีอำนาจมากกว่าความรู้เพียงเท่านี้มากนัก เพราะสามารถร้อยรัดให้สัตว์เกิดตายเป็นอนันตชาติ หากไม่ใช่ความรู้ในการสังเกตุตนให้ละเอียดแล้ว ก็ยากที่จะถอนสิ่งร้อยรัด
     
  11. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....อื่อ นับถือครับ

    .....นับว่าใจดีคนหนึ่ง
     
  12. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....คนส่วนใหญ๋เขาก็พูดอย่างคุณนั้นแหละ เพราะอะไรรู้หรือเปล่า เพราะความเห็นมันต่างกัน ตั้งแต่ผมเสนอ ตัวผุ้รุ้สองตัว , เรื่องนิพพานธาตุ เป็นต้น มันไม่เข้าหูพวกคุณก็เลยว่าผม ไม่รู้ธรรมะ

    .....ถ้าคนอ่าน เคยฟังและปฏิบัติ ธรรมะแนวดูจิต สายพระวัดป่า ถ้าท่านคิดว่าเดินถูกละ ก็ไม่ต้องอ่านสิ่งที่ผมเขียน ก็ไปตามทางของท่าน
    .....ผมต้องการเสนอธรรมะที่เป็น วิทยาศาสตร์มากกว่า ธรรมะที่เป็นเหตุเป็นผล ทุกอย่างต้องอ้างอิงซึ่งกันและกัน และอ้างอิงทางพระไตรปิฏก

    .....ผมยังคิดไปถึงว่า จะทำอย่างไรถึงจะนำเอาเทคโนโลยี่ใหม่ๆ มาใช้เพื่อเสริม แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้ได้ผลอย่างแท้จริง และรวดเร็ว ยังหาคนที่เชื่อในแนวทางเดียวกันไม่ได้

    ....ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจ สิ่งที่ผมพูด ล้วน ทิ้งท้ายให้ไปทดลองทำกัน มิใช่พูดเป็นเชิงนัย นำไปปฏิบัติไม่ได้ ถ้าผมไม่ลองทำดูก่อนแล้วจะมาคุยกับผู้อ่านได้อย่างไร

    .... ผมอยากให้คนมาตอบผมในรูปเหตุผลว่าผมพูดว่าสิ่งนั้นควรเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุอย่างนั้น ผิดเพราะเหตุไร เอาแบบ คนมีความรู้หน่อยคุยกันแหละ

    .....การบรรลุธรรม เป็นเป้าหมายสุงสุด อย่างน้อยละสักกายะทิฏฐิ ให้ได้ ถ้าใครก็ตามคิดว่า สิ่งที่ท่านทำมันถูกก็ทำไป แต่ท่าท่านพยายามอย่างสุงสุดแล้วยังไม่บรรลุ ลองมาฟังสิ่งที่ผมพูดบ้างจะเสียหายอะไร ผมก็ไม่ได้คิดเอาเอง สิ่งต่างๆ ก็ล้วนมาจากพระสูตร

    .....ผมปูทางในการนำเสนอ มาสองสามตอน มันเป็นเพียงแค่เริ่มต้น ถ้าไม่ต้องการอ่านแนวทางนี้ ก็ไม่ต้องมา แล้วมาดีสเครดิต กันก็แล้วกัน

    .....ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่พระองค์ประทานมาให้ทุกคนในโลก สามารถ ศึกษาและนำมาทดลองปฏิบัติ นำมานำเสนอเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ได้ทุกคน โดยไม่มีเจ้าของ อุปมาเหมือน อากาศ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสูดหายใจโดยไม่ต้องขออนุญาติใคร
     
  13. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    หรือหมายความว่ารู้ตามสิ่งที่มันเป็นคือถ้า้เชื่อว่าเป็นมันก็เป็น...แต่จริงแท้หรือป่าวไม่มีใครรู้นอกจากเรา
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    การปฏิบัติมันเป็น
    ข้อเท็จจริง หรือ ว่าความคิดเห็น
    จะเขียนให้ลองพิจารณาดูนะครับ
    แม้ว่า เจ้าของกระทู้ หรือ พ่อพุทธท่าใหญ่คนนี้
    จะทำเป็นไม่สนใจข้อความที่เคยเขียน
    แต่รับรองได้ว่า จะเป็นไปอย่างที่ข้าพเจ้าได้เคย
    บอกไปแล้วแน่นอน คือ จะไม่เข้าใจและปฏิบัติ
    อะไรไม่ได้ซักอย่าง
    และตอนนี้ก็กำลังเป็นอยู่..เหอะๆๆ
    ลองอ่านดูจะเข้าใจว่า ทำไมถึงได้ ฉายาพ่อพุทธท่าใหญ่

    ยกตัวอย่าง เราต้องการความรู้เรื่องกาแฟ
    ในแง่ของรสชาติกาแฟตัวนั้น
    แต่อยู่ดีๆ มีคนที่ไม่เคยกินกาแฟซักแก้ว
    แล้วมาใช้การแสดงความเห็น
    วิพากษ์ วิจารณ์ คิดว่า รสชาติกาแฟ น่าจะ
    เป็นอย่างโน้นนี่นั่น
    คิดว่ากาแฟแบบนี้คิดว่า
    เป็นอย่างโน้นนี่นั้น แล้วยังคิดว่า
    ความเห็นตนเองถูกด้วยนะ
    นอกจากบอกได้ว่าไม่รู้จริงแล้ว
    ยังใช้ไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ...
    ถ้าทางด้านวิชาการก็คือ
    ไม่น่าเชื่อถือเลยใช้ไม่ได้จบเกมส์
    และทางด้านปฏิบัติเรียกว่า ไม่รู้อะไรเลย
    แต่ทำเป็นอวดรู้

    แต่มีบางกลุ่ม ที่เจียมตัว แม้ไม่เคยกินกาแฟ
    แต่ก็รู้จักค้นคว้าหาข้อมูล ที่เกี่ยวกับกาแฟ
    มาตอบ เอามาอ้างอิง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับกาแฟ
    บุคคลอย่างนี้ ถือว่า รู้จักตัวเอง ไม่หลอกตัวเอง
    อย่างนี้ถือว่า น่าเชื่อถือ ยอมรับได้
    เพราะมีการอ้างอิงโดยไม่มีความเห็นส่วนตัวเข้า
    ไปรองรับ......

    แต่มีบางกลุ่ม ที่ไม่เคยกินกาแฟ แต่รู้จักค้นคว้า
    แต่ว่า ดันติดอยากได้รับการยอมรับ อยากมีชื่อเสียง
    เลยไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟมา แล้วแอบแทรก
    ความเห็นตัวเองเข้าไป โดยที่ไม่ผ่านกระบวนการ
    พิสูจน์อะไรเลย หรือผ่านการประเมินอะไรเลย
    บุคคลเหล่านี้ นอกจากจะไม่ได้เรื่องทางปฏิบัติ
    ยังเป็นพวกยึดติดทางโลกอย่างไม่รู้ตัว...

    และไอ้ที่แย่ ที่สุดในทางปฏิบัตินะครับ..
    คือนอกจากไม่เคยกินกาแฟแล้ว
    ไปเอาตำรามาอ้างแล้ว
    ใส่ความคิดตัวเองปนเข้าไปแล้ว
    ยังเอาไปฟาดฟัน กับบุคคลกลุ่มที่เคยกินกาแฟ
    กับกลุ่มที่ไม่เคยกินกาแฟแต่มีข้อมูลด้านกาแฟ

    และที่หนักกว่า คือ เอาไปพาดฟันกับกลุ่มที่
    ไม่เคยกินกาแฟด้วยกันแล้วใช้ ความเห็นในการ
    วิจารณ์เรื่องกาแฟด้วยกัน.....


    ถามหน่อยสั้นๆ ต้องการรู้รสชาติต้องทำอย่างไร?
    ถ้าไม่มีโอกาสได้ชิม ควรทำอย่างไร?
    ไม่ใช่ไม่เคยได้ชิมกาแฟเลย
    แต่พูดเหมือนกับตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟ
    รู้รสชาติกาแฟ เค้าเรียกว่าพวกจอมปลอมนะครับ

    ดังนั้นแยกให้ออก ระหว่างข้อเท็จจริง
    กับความคิดเห็น เข้าใจที่สื่อนะครับ
    เข้าใจหรือยัง ว่า กิริยา พ่อพุทธท่าใหญ่ เป็นอย่างไร

    ข้อเท็จจริง นัยยะมันแฝงไว้ว่า
    แม้ตอนนี้อาจจะจริงถ้าคุณเชื่อแต่ต่อไปอาจจะเท็จได้
    หรือแม้ว่าตอนนี้เท็จต่อไปอาจจะจริงก็ได้...


    อย่าทำตัวเป็นนักปฏิบัติที่เกิดมา มีคนบอกว่า
    เห้ย โลกนี้มันกลมนะ แล้วยึดว่าโลกจะต้องกลม
    นักปฏิบัติที่ดี ต้องพิสูจน์ให้ได้ ว่าโลกมันกลมหรือไม่
    มันอาจจะแปดเหลี่ยม แบน เก้าเหลี่ยมก็ได้
    หรือกลมจริงๆก็ได้ แต่ต้องไม่ไปยึดมันตั้งแต่แรก
    ต้องพิสูจน์ให้รู้ด้วยตัวเองว่ามันกลมจริงๆหรือเปล่า
    พอรู้แล้วก็วาง แค่รู้ว่ามันกลม...
    พอจะเก๊ทแนวทางนะครับ
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    รู้ด้วยญาณ ต่างจากรู้ด้วยใจ (จิต) อย่างไร

    แยกเด็ดขาดยังงั้นทำให้สับสน

    ญาณ
    เป็นชื่อหนึ่งปัญญา ปัญญาเป็นเจตสิก ที่เกิดร่วมกันกับจิต ซึ่งต่างก็อาศัยกันและกัน
     
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ถ้าความจริงของธรรมชาติมันยังดูขัดแย้งกับความจริงของเราแล้วมันจะพิจารณาเป็นเรื่องจริงได้ยังไง...สิ่งที่เราจะรู้ได้เพียงน้อยนิดแต่สิ่งน้อยนิดนั้นแหละควรรู้
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    พิจารณาให้ตัวจิตเห็นว่า
    มันเป็นเช่นนั้นเอง
    ไม่ใช่เรื่องนั้นมันจริง
    หรือไม่จริงนะครับ
    เพราะไม่ว่าจริงหรือไม่จริง
    ล้วนแต่ยังมีการปรุงแต่งอยู่ครับ
    เพราะมีตัวไปกระทำให้มันจริง
    หรือกระทำให้มันไม่จริงอยู่ครับ
    เก็ทเนาะ
     
  18. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    จิต ไม่ใช่ขันธ์ห้า
    จิต ไม่ใช่สติ

    ปัญญากับญาณ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน

    เวลาเกิดญาณ จะเกิดแวบเดียว แล้วหายไป
    มันจะบันทึก สิ่งที่หยั่งรู้ บันทึกไว้ที่ความรู้สึก

    จากนั้นปัญญาเจ้าของ จะทบทวนสิ่งที่หยั่งรู้นั่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...