ลูกไก่และปลา (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 28 พฤศจิกายน 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    76.jpg

    ลูกไก่และปลา


    มีใครเลี้ยงไก่แบบปล่อยธรรมชาติบ้าง ? เลี้ยงแบบไม่ขัง ถ้าคนที่เลี้ยงไก่แบบปล่อย จะต้องเคยมีประสบการณ์ว่า เวลาที่อันตรายเกิดขึ้น แม่ไก่จะร้องบอก แล้วลูก ๆ ก็จะหายวับไปกับตา เคยเห็นไหม ? ถ้าฉุกเฉินกระทันหัน แม่ไก่ร้องกระต๊ากทีเดียว ลูกไก่จะหายวับไปเลย

    ถาม : หลบไปอยู่ใต้ปีกหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : อยู่ตรงข้างหน้านั่นแหละ แต่เราจะมองไม่เห็น อันนี้จะว่าเป็นธรรมชาติก็ได้ จะว่าเป็นฤทธิ์ที่เป็นวิบากกรรมก็ได้

    ตราบใดที่แม่ไก่ไม่ร้องเรียกครั้งต่อไป ลูกไก่จะเหมือนกับตาย แข็งทื่อไปเลย แล้วสีของเขาคล้ายกับสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นมาก ถ้าตาไม่ดี..มองไม่เจอหรอก เขาจะนอนนิ่งไปเลย

    ถ้าเราไปเดินหา บางทีเหยียบเขาตายไม่รู้ตัว ต่อให้เราเหยียบตาย ถ้าแม่ไก่ไม่ร้อง ลูกไก่ก็เฉย ที่พูดถึงเรื่องลูกไก่นี้เพราะว่า

    ประการที่หนึ่ง ในเรื่องไสยศาสตร์ เขาเชื่อว่าลูกไก่มีคาถาวิรุณจำบัง กำบังสายตาของคนและสัตว์ได้ แต่ถ้าคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็อย่างที่บอกมา เวลาเขานอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว และสภาพร่างกายที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ก็เลยทำให้มองไม่เห็น

    ประการที่สอง ลูกไก่เชื่อแม่ แม่ที่ถือว่าเป็นครู ถ้าครูสั่ง ก็ทำสุดชีวิตของตัวเลย โดนเหยียบตายก็เฉย เพราะถือว่าครูยังไม่สั่งให้เลิก

    และประการสุดท้าย ถ้าหากกิเลสแรงก็หัดตายเสียบ้าง ลูกไก่สามารถปิดทวาร ไม่รับรู้อาการภายนอกเลย จนกระทั่งเสียงแม่เรียก ถึงจะกลับฟื้นคืนชีวิตมาอีกที เราจะทำอย่างไรที่จะปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้กิเลสกินใจเราได้

    ถ้าที่ไหนเขามีเลี้ยงไก่ลักษณะอย่างนี้ ก็ให้ไปสังเกตดู เวลาอันตรายเกิดขึ้น แม่ไก่กระต๊ากทีเดียว ลูกไก่ก็หายวับไปเลย ตัวไหนที่แม่กระต๊าก แล้วยังยืนอยู่ รับประกัน..ตายทุกราย..!

    จะว่าไปแล้ว สัตว์มีสามัญสำนึกและสติรู้น้อยกว่าคน เขายังสามารถที่จะเอาตัวรอดได้

    สมัยยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นไก่จะมีเยอะมาก พออาตมาไม่อยู่ ปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีเหลือ เพราะว่าพอไม่อยู่แล้ว เขาไปตัดกิ่งไม้ ตัดให้เหลือแค่ที่ตัวเองคิดว่าดี..

    แต่ไก่ขึ้นต้นไม้ไม่ได้ ไก่ต้องอาศัยกิ่งไม้ต่ำ ๆ ก่อน พอบินขึ้นไปเกาะสักกิ่งหนึ่งได้แล้ว ก็จะค่อย ๆ บินขึ้นไปตามกิ่งทีละช่วง แล้วจะไปอาศัยนอนปลายกิ่ง เพราะถ้าหากมีศัตรูมา กิ่งไม้ไหวจะได้รู้ตัวก่อน แต่ปลายกิ่งนั้นจะต้องอยู่ใต้กิ่งอื่น.. ป้องกันไม่ให้ศัตรูที่มาจากข้างบนทำอันตรายได้

    ทีนี้คนตัดก็ไม่ค่อยสังเกต ไปตัดกิ่งไม้เสียเหี้ยนเตียน ไก่ก็เลยไม่มีที่นอน พอไปนอนข้างล่างศัตรูเข้าถึงได้ง่าย..ก็เรียบร้อย

    และที่เห็นชัดที่สุดก็คือ เวลาแม่ไก่เลี้ยงลูก พอได้สัก ๑๐ วัน หรือครึ่งเดือน แม่ไก่จะบินขึ้นต้นไม้ ไม่ยอมนอนข้างล่าง เพราะรู้ว่าข้างล่างอันตรายมาก ลูกไก่แหกปากร้อง แม่ไก่ก็เรียกอยู่ข้างบน..ให้ขึ้นมา ลูกไก่ก็ต้องพยายามขึ้นไป ปีกลูกไก่เล็กนิดเดียว บินขึ้นไปได้สัก ๒ ศอก ก็หล่นลงมา ก็ต้องหาทาง.. กิ่งไหนที่พอจะขึ้นถึง ก็บินขึ้นไปเกาะ…

    ค่อย ๆ ขึ้นไปทีละช่วง.. แม่ไก่จะเรียกจนกว่าลูกจะขึ้นมาครบ ถ้าเรียกจนค่ำแล้ว ลูกยังขึ้นมาไม่ครบ แม่ไก่จะหุบปากเลย “ถ้าไม่ตายเสียก่อน พรุ่งนี้เจอกัน” เอาอย่างนั้นบ้างไหม ?

    สมัยก่อนคุณมงคล ลูกชายเจ้าของบ้านอนุสาวรีย์ฯ เขาเบื่อที่พวกเรามากันเยอะแยะ เขาบอกว่าสำหรับเขานะ พวกที่ยืนด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ปล่อยให้ตายไปเสียเลย ใช้วิธีคัดเลือกแบบธรรมชาติ ผู้ที่แข็งแรงจึงจะรอดจากวงจรกิเลสได้

    ฉะนั้น..พวกเราควรที่จะระมัดระวังอยู่จุดหนึ่งคือ ความหวังพึ่งพิงคนอื่นมากเกินไป ถ้าตราบใดที่ยังรู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งอยู่ ก็จะไม่ใช้ความพยายามจริง ๆ ต้องตัดหาง ไม่ใช่ตัดหางแล้วปล่อยวัดนะ ตัดหางแล้วปล่อยเข้าป่า…ป่ากิเลส ถ้ารอดออกมาแล้วค่อยว่ากันใหม่

    เรามาดูอีกทีว่า เมื่อแม่ไก่ไม่หันหลังกลับมารับจริง ๆ ลูกไก่ก็ต้องใช้ปัญญา ทำอย่างไรจะขึ้นไปหาแม่ได้ ตัวเองมีกำลังสติและสมาธิแค่นี้.. ก็ต้องหางานที่เหมาะกับกำลังสติและสมาธิแค่นี้..โดยใช้ปัญญาของตัวเอง

    ก็ต้องพยายามบินขึ้นในระยะหนึ่งก่อน เสร็จแล้วค่อยดูว่า จะไปทางไหนต่อ จนกระทั่งในที่สุดก็ขึ้นไปอยู่กับแม่ได้…

    คราวนี้เราเป็นคน ฝึกมาปีแล้วปีเล่า ต้องบอกว่านานเกินไปแล้ว แม่ไก่ให้โอกาสลูกแค่ ๑๐ วันหรือครึ่งเดือนเท่านั้น ตามไม่ได้ก็ทิ้ง..!

    บางท่านประมาทเกินไป ทำเหมือนกับว่า ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องตาย ก็เลยไม่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างจริง ๆ จัง ๆ พอเหนื่อยหน่อยลำบากหน่อยก็พอแล้ว ที่พอแล้วนั้นพอกินหรือ ? สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาเห็นอะไรเยอะเลย จากการที่เลี้ยงไก่

    อย่าดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ต้องระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตายลงไปไม่วันใดวันหนึ่ง ฉะนั้น..ถ้ามีอะไรที่ตัวเองทำ เพื่อให้ตัวเองไปในที่ซึ่งดีที่สุด ไปให้ได้ไกลที่สุด ก็ต้องทำเอาไว้ก่อน มัวแต่ไปใจเย็นอยู่เหมือนกับไม่รู้จักตาย เดี๋ยวก็ได้ตายจริง ๆ ตายฟรีด้วย..!

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง กลางคืนเข้านอนแล้วได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่เกาะพระฤๅษีมีน้ำล้อมรอบ ถ้าเราแยกเสียงที่ผิดธรรมชาติออกจากเสียงน้ำที่ไหลตามธรรมชาติไม่ได้ เราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    คืนนั้นที่ตื่นขึ้นมาเพราะว่ามีเสียงแปลก ๆ ก็สงสัยว่าเป็นเสียงอะไร ? เอาไฟฉายไปส่องดู ปรากฏว่าปลากระสูบในลำธารขึ้นมาหลายร้อยตัวเลย ทวนน้ำขึ้นมา..ทวนน้ำขึ้นมา พอถึงตรงที่น้ำตื้น ก็จะแฉลบตัวเองเพื่อที่จะขึ้นต่อไป เสียงตอนที่แฉลบน้ำนั่นแหละที่ดังผิดปกติ และไม่ใช่แค่เพียงตัวเดียวนะ แต่เป็นร้อย ๆ จึงได้รู้ว่าเขาขึ้นมาผสมพันธุ์กัน

    พวกนี้จะขึ้นมาวางไข่ที่ต้นน้ำ พอเกิดเป็นตัว หากินได้ แข็งแรงพอแล้ว ก็จะตามน้ำลงไป ไปหาที่เหมาะสมกับตนเอง พอถึงฤดูผสมพันธุ์ ก็จะแห่กันมาเพื่อที่จะผสมพันธุ์กันใหม่ ก็ต้องว่ายทวนน้ำขึ้นมาอีก ตรงไหนก็ตามที่น้ำน้อย ก็ต้องกระเสือกกระสนให้ผ่านไปให้ได้

    การที่ปลาทวนกระแสน้ำ เหมือนกับพวกเราที่ทวนกระแสกิเลสอยู่ พอทวนมาก ๆ บางทีเราก็ล้า เวลาปลาเขาล้าก็จะหาทางหลบ ถ้าไม่มีก้อนหิน ไม่มีรากไม้ให้บัง เขาก็ว่ายไปทางด้านข้าง เพราะว่าด้านข้างน้ำจะไหลเบาที่สุด ฉลาดมากเลย ถ้าเป็นเราก็มักจะดาหน้าไปแล้วก็ตายคาที่..! เพราะชอบไปตรงที่กิเลสแรงที่สุด

    ปลาเขาจะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไป จนถึงจุดหมายปลายทางของเขาด้านบน เขาจึงจะสามารถที่จะแพร่พันธุ์ของเขาต่อไปได้ สามารถที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์ของเขาต่อไปได้ ลองมานึกว่า ถ้าหากตัวเราแพ้กิเลส ก็เท่ากับว่าเราไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ แล้วจะไปสั่งสอนคนอื่นต่อ ก็ขาดความขลัง เพราะว่าตัวเองยังทำไม่ได้ สิ่งที่พูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือ

    ในเมื่อเรามาดูตัวอย่าง ทั้งลูกไก่ก็ดีทั้งปลาก็ดี ลูกไก่รู้จักเอาตัวรอดจากอันตรายด้วยการเชื่อฟังพ่อแม่ และพยายามตะเกียกตะกายตามพ่อแม่สุดชีวิต เพื่อที่จะได้อยู่รอดต่อไปได้ ขณะเดียวกันปลาก็ต้องทวนน้ำขึ้นมาด้วยความยากลำบากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไกลขนาดไหน ถ้าหากตัวไหนหากินไปถึงปากอ่าว ก็ต้องตะกายกลับมาหลายร้อยกิโลเมตร แต่ท้ายสุดเขาก็กลับมายังที่เดิมที่เดียวกัน เพื่อที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเองต่อไป

    ใครที่ผิดพลาด ก็แปลว่าจะต้องกลายเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นตั้งแต่กลางทาง หรืออาจจะมาไม่ถึง ไม่สามารถที่จะจับคู่เพื่อที่จะกระจายพันธุ์ของตัวเอง ก็เหมือนกับคนที่แพ้กระแสกิเลส ไม่สามารถที่จะสืบทอดความดีของครูบาอาจารย์ได้ ขณะเดียวกันนอกจากตัวเองไม่สามารถที่จะได้ความดีอันนั้นแล้ว เราจะกระจายความดีต่อไปก็ไม่ได้อีก

    ถ้าเราเปรียบกระแสน้ำเป็นกระแสกิเลส ทุกวันนี้เราต้องทวนน้ำอยู่ตลอดเวลา จะเป็นปลาตายไม่ได้ เพราะปลาตายจะลอยตามน้ำ ต้องเป็นปลาเป็น ว่ายทวนน้ำไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ารอดจากเบ็ด รอดจากฉมวก รอดจากตาข่ายไป เป็นอันว่าคุณแข็งแรงพอที่จะทำหน้าที่ตนเองให้สมกับที่เกิดมาชาตินี้ แต่ถ้าหากว่าไม่รอด ชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่..!

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤศจิกายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...