วัดลั่นทมแดง

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 22 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    วัดลั่นทมแดง" (นามสมมติ)อยู่ไม่ห่างจากเขาตะเกียบนัก วัดนี้กว้างขวางร่มรื่นเหมาะสมกับนักบวชผู้ละโลกเข้าสู่พระธรรม มีทั้งภิกษุ สามเณร และแม่ชีล้วนจำศีลภาวนากันอย่างผาสุกร่มเย็นมาหลายสิบปีจะมีปัญหาอยู่บ้างก็ถือว่าเป็นปกติของคนหมู่มากที่อยู่รวมกัน ไม่ว่าวัด สำนักสงฆ์ สถานที่ราชการบริษัท หรือสำนักงานต่างๆอันเป็นสิ่งธรรมดาสามัญปัญหาสำคัญคือความซุกซนของสามเณรอายุราว 10 ขวบเศษยังเป็นเด็กเล็กอยู่มาก แม้ว่าหลวงพ่อจะให้โอวาท สั่งสอน จนถึงดุด่าว่ากล่าวบรรดาสามเณรน้อยรับฟังแล้วสงบสำรวมได้ไม่นานความรักสนุกซุกซนตามวิสัยเด็กก็เกิดขึ้น..ลืมสนิทว่าตนเป็นสามเณรแล้วมีชาวบ้านไปฟ้องหลวงพ่อว่าเณรน้อยที่อุ้มบาตรเดินต้อยๆ ตามภิกษุสงฆ์ออกโปรดสัตว์แก่ชาวบ้านร้านตลาดเป็นนิจศีลนั้น..วันดีคืนดีก็วางบาตรออกไปวิ่งเล่นไล่กันเอิกเกริก..เดือดร้อนต้องเรียกมาชำระความกันวุ่นวายไปหลายครั้งหลายครา!

    เณรถือศีล 10 ยังกวัดแกว่งได้ถึงเพียงนี้ บรรดาแม่ชีทั้งกลางคนและวัยชราถือศีล 8 หรือเพียง 8 ข้อเล่า..จะเคร่งครัดหรือย่อหย่อนเป็นไฉน?

    มีเสียงเล่าลือว่าแม่ชีคนหนึ่งช่างเจรจามีอารมณ์ขันหาที่เปรียบมิได้ เช่นมีอุบาสิกาเข้าไปทำบุญก็ทักทายยั่วเย้า..แหม!ทำไมถึงผ่ายผอมเหลือเกิน คงจะกินข้าวปลาอาหารไม่ลง อีกหน่อยจะไปไหนมาไหนก็คงจะ "กลิ้งไป" อย่างแน่นอน!

    ว่าแล้วก็หัวเราะกิ๊กๆจนตัวงอเพราะขบขันคำพูดของตัวเอง

    คืนหนึ่งก็เจอดีโดนผีหลอกเข้าอย่างจังจนกรีดร้องก้องวัดลั่นทมแดง!

    คืนนั้น แม่ชีตุ่ม(นามสมมติ) กำลังนอนหลับอยู่ในมุ้ง พลันต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบเหมือนมีใครกลุ่มหนึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่ทางหน้าต่างตามด้วยเสียงกระซิบกระซาบพึบพำดังมาตามสายลมที่พัดโชยไม่ขาดสาย

    ครั้นเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นก็เงียบหายไปแม่ชีตุ่มเคลิ้มหลับก็พอดีมีเสียงใครหัวเราะคิกคักอยู่ที่หน้าต่างหัวนอนตัดสินใจเปิดมุ้งออกไปดูให้รู้แน่..ภาพน่าขนหัวลุกก็ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างอย่างถนัดชัดเจน

    ..
    ร่างผ่ายผอมสูงลิ่วเหมือนต้นตาลกำลังโอนเอนไปมา พร้อมๆ กับเสียงร้องวี้ดๆ ดังโหยหวน สะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจเล่นเอาแม่ชีตาเหลือก ร้องเสียงหลง

    "
    ผีหลอก! ช่วยด้วยๆผีหลอกแล้ว..."

    แทบไม่ขาดเสียง ภาพน่าสยองก็หายวับไปตามด้วยเสียงตุ๊บตั๊บโอดโอยมาจากพื้นดินแม่ชีตุ่มเอะใจวิ่งเข้าไปเกาะหน้าต่างมองดู..เห็นสามเณร 2-3 องค์ตะเกียกตะกายจากการนอนแอ้ง สวมแต่สบงกับอังสะลุกขึ้นได้เผ่นอ้าวไม่เหลียวหลังหายลับไป

    รุ่งขึ้นแม่ชีตุ่มที่โดนแกล้งก็ไปฟ้องสมภาร สามเณรแก่นแก้ว 3 องค์ปลอมเป็นผีหลอกแม่ชีก็ยอมรับสารภาพว่าทำไปเพราะความซุกซนตามประสาเด็กสมภารจึงลงโทษด้วยการให้ไปยืนกางแขนในโบสถ์เพื่อให้เข็ดหลาบ

    สามเณรรูปหนึ่งมาเล่าภายหลังว่าต่อไปนี้จะไม่เล่นพิเรนทร์แบบนั้นอีกแล้ว..เพราะในโบสถ์มีเสียงหัวเราะคิกคักน่าขนพองสยองเกล้าจนแทบร้องไห้ไปตามๆ กัน!เลื่อมรุ้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์พุแค

    ความเชื่อที่ว่า เด็กๆ กับคนป่วยมักจะมีประสาทสัมผัสอ่อนไหวทำให้มองเห็นสิ่งเร้นลับต่างๆ ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ รวมทั้งได้ยินเสียงแปลกๆที่ผู้ใหญ่ส่วนมากมักจะไม่ได้ยินอีกด้วย

    พูดตรงๆ ก็คือมองเห็นผีได้ยินเสียงผีนั่นแหละค่ะ!

    บางคนสันนิษฐานว่าสาเหตุมาจากเด็กและคนป่วยจิตใจย่อมจะอ่อนแอยิ่งกว่าคนทั่วไปภาพและเสียงจากมิติอื่นจึงปรากฏให้รับรู้ได้อย่างง่ายดาย

    แต่บางคนก็เชื่อว่าเด็กๆย่อมมีความเพ้อฝันสารพัดตามประสาเด็ก ชอบเล่นสมมติว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เอาอย่างดาราการ์ตูนที่ตัวเองชื่นชอบพูดคุยกับตุ๊กตาเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ

    ใครๆก็ทราบดีว่าเป็นธรรมชาติของเด็กนะคะ

    หนักกว่านั้นก็ถึงขนาดสร้างเพื่อนที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาพูดคุยด้วย เล่นด้วยหลายๆ ครั้งก็หัวเราะต่อกระซิกกับความว่างเปล่าบางทีก็ทะเลาะเบาะแว้งกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน จนทำให้ผู้ใหญ่หลายๆคนขนหัวลุกมาแล้ว

    ส่วนคนเจ็บป่วยอาการหนักนั้นย่อมอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจคล้ายกับเด็กๆแน่นอน

    สัญชาตญาณรักชีวิตและหวงแหนลมหายใจ ทำให้หวาดกลัวความตายอย่างน้อยก็วิตกกังวลว่าอาการจะทรุดหนักลงหรือเปล่า? ล้มเจ็บคราวนี้จะถึงวาระสุดท้ายของตนหรือไม่? ถ้าตายแล้วจะไปไหน...

    สาเหตุเหล่านี้ทำให้เกิดจินตนาการไปต่างๆ นานา เช่นเห็นญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วมารอคอยบ้างมาชักชวนบ้าง

    หรือไม่ก็เห็นยมทูตมารอรับวิญญาณไปโลกหน้าเพราะจิตใต้สำนึกทำให้หวาดระแวง จนกระทั่งเชื่อถือว่าเป็นจริงเป็นจัง ทั้งๆที่หลายรายหายเจ็บป่วยเป็นปกติดังเดิมแต่ชอบพูดว่า...ยังไม่ถึงคราว!

     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    ดิฉันมีประสบการณ์ขนหัวลุกเรื่องทำนองนี้มาเล่าสู่กันฟังค่ะสมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี วันหนึ่งพ่อแม่ก็พาดิฉันกับน้องชายชื่ออั้น-ไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ที่พุแค อยู่ติดๆ กับโรงโม่หินท่าพระลาน ก่อนถึงตัวจังหวัดราวสิบกว่ากิโลเมตรชาวบ้านเรียกกันว่า "สวนสวรรค์" พวกเราไปเที่ยวราวสิบคน ทั้งญาติและเพื่อนบ้าน โดยเหมารถสองแถวทั้งไปและกลับ
    เมื่อถึงจุดหมายพวกเราก็กรูเกรียวกันเข้าไปเลยค่ะ รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ดอกไม้สวยๆ บานสะพรั่ง มีลำธารไหลริน เสียงนกร้องเพลง ผีเสื้อสีสวยจับกลุ่มบินว่อนผ่านไปมาไม่ขาดสายเสียงน้ำไหลริน สายลมพัดโชยเย็นฉ่ำน่าสบายที่สุด...สมแล้วค่ะที่เขาเรียกว่า "สวนสวรรค์"มีม้ายาวริมลำธารกับใต้ร่มไม้ สนามหญ้ากว้างขวางเขียวขจี เห็นแล้วน่านอนเกลือกกลิ้งดูกลุ่มเมฆล่องลอย นกบินผ่าน ยอดไม้ไหวเอนตามสายลมราวกับจะร้องเพลงให้พวกเราฟังที่พวกเราเด็กๆ ชอบมากที่สุด คือต้นไม้ทุกต้นมีชื่อเขียนบอกไว้ด้วย ทำให้เรารู้จักยูง, ยาง, ประดู่, อินทนิล, มะค่า, เสลา...มากมายนับไม่ถ้วนเลยค่ะ"มาดูอะไรนี่เร้ว..." เสียงตะโกนของตาอั้น-น้องชายวัย 5 ขวบของดิฉันทำให้พวกเราหันไปมอง เห็นแกกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ใกล้ๆ พุ่มไม้ ท่าทางชอบอกชอบใจเต็มที "ใครเคยเห็นต้นไอ้นี่มั้ย? ทายซิว่าต้นอะไร? อย่ามองป้ายชื่อก่อนนะ"แต่ไม่ได้ผลหรอกค่ะ พวกเราไปถึงก็เห็นชื่อเลยร้องขึ้นพร้อมๆ กันว่า"พญาไร้ใบ!!" ทั้งมุงดูและวิจารณ์กันสนุกปาก ทำนองว่าต้นไม้อะไรไม่มีใบหรอก มีแต่กิ่งก้านหงิกงอหยักไปมา แต่ก็เป็นพุ่มสวยแปลกตา เกิดมาพวกเราก็เพิ่งเคยเห็นนี่เอง บางคนพูดเล่นๆ ว่าอยากเด็ดกิ่งไปปลูกที่บ้านจังขณะนั้น พวกผู้ใหญ่ข้ามลำธารไปปูเสื่อนั่งคุยกันอยู่ใต้ร่มไม้แล้ว บางคนก็นอนหงายสบายใจ เราชักชวนกันไปสมทบ...ทันใดตาอั้นก็ร้องขึ้นอีก"เราลงไปเล่นน้ำกันมั่งดีกว่า นั่นไง! เด็กๆ เล่นน้ำกันตั้งหลายคนแน่ะ!" ดิฉันกับเพื่อนๆ หันไปมองแต่ไม่เห็นใครในลำธารแม้แต่คนเดียว"อย่าพูดมาก รีบข้ามไปหาพ่อแม่เร็วๆ ฝั่งโน้นมีสนามให้วิ่งเล่นกว้างกว่าฝั่งนี้อีก" ดิฉันเดินนำหน้า มองดูคนอื่นๆ ที่มาเที่ยวสวนสวรรค์กันบางตา หรือจะหลบไปนั่งๆ นอนๆ อยู่หลังต้นไม้ด้านในค่อนข้างหนาทึบก็เป็นได้สังหรณ์บางอย่างทำให้หันไปมองน้องชาย...ตาอั้นก็กำลังโบกไม้โบกมือไปทางลำธารพอดี"โบกมือให้ใครน่ะ อั้น? ไม่เห็นมีใครซักคน""เด็กผู้หญิงผมยาว ใส่เสื้อแดงไงล่ะ...นั่นไง เขาเดินยิ้มขึ้นจากน้ำมาแล้ว! ตัวเปียกโชกเชียว...ไม่หนาวเหรอ?" ดิฉันอ้าปากค้าง เย็นวาบตั้งแต่ต้นคอไปถึงไขสันหลัง เพื่อนๆ อีก 2-3 คนก็หน้าขาวซีดไปตามๆ กัน เมื่อเห็นตาอั้นกำลังพูดคุยกับความว่างเปล่า บางทีก็พยักหน้ามาทางพวกเรา"พวกพี่ๆ ฉันเอง...อ้าว? เธอไปไหนไม่ได้จริงๆ เหรอ? ต้องอยู่ในน้ำไปตลอดเลย...โถ! น่าสงสารจังเลย...งั้นไปก่อนนะ วันหลังค่อยเจอกัน"ตาอั้นโบกมือหย็อยๆ ก่อนจะหันกลับมาพบพวกเรานั่งแหมะบนพื้นหญ้าอย่างสิ้นเรี่ยวแรงไปตามๆ กัน ขนลุกซู่ซ่าไปหมด...เชื่อแล้วค่ะว่าเด็กเล็กๆ เห็นผีได้จริงๆ บุญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...