วิชาธรรมะเปิดโลก วัดเขาสมโภชน์ ใครเคยไปบ้างครับ ผมมีเรื่องที่สงสัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dioma619, 28 มิถุนายน 2009.

  1. dioma619

    dioma619 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +73
    คือผมได้ไปสองวัน ไปเช้าอีกวันนึงกลับ เพราะผมมีญาติที่มาบวชวัดนี้(หลวงพี่) ผมได้ถือศีลแปดตอนประมาณหนึ่งทุ่มแล้วเขาจะมีให้นั่งออกกรรม ตอนนั้นผมทำไม่ได้ ผมนั่งหายใจไม่ได้ แต่พอหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ(สี่ทุ่ม)หลวงพี่ก็ให้ผมไปนั่งกับท่านหน้าหลวงพ่อคง ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องนั่งให้ได้ เพราะเป็นวันแรกและครั้งแรกที่ผมได้ไปนั่ง ตอนขึ้นไปมีพระบวชใหม่นั่งออกกรรมอยู่ เกิดความกลัวเล็กน้อย และสงสารท่าน ก็เลยภาวนาต่อหน้าหลวงพ่อคงว่า "ขอให้ผมปลอดภัย ถ้าผมจะเห็นจะได้รับรู้ ขอให้ผมเห็นในสิ่งที่ผมควรที่จะรู้ สิ่งที่ไม่ควรรู้ก็ไม่ต้องให้รู้" ผมนั่งไปได้ประมาณสิบห้านาทีเกิดอาการชาที่มือ แต่ก็ยังนั่งไม่ได้ เพราะผมไปมัวกังวลกับจังหวะของท้องและยุบ-พอง ทำให้หายใจไม่ได้ ผมจึงเปลี่ยนมาเป็นเข้า-ออกแทน ก็เริ่มหายใจแรงขึ้นและโยกตัวมากขึ้น จนชาไปทั้งตัวตอนนั้นผมรู้สึกหนักไปทั้งตัวมาก นิ้วติดกันห้านิ้วทั้งสองข้าง อยากจะเลิก แต่เหมือนมีคนบอกว่าอย่าเพิ่ง ทนอีกหน่อย(ผมคิดว่าเป็นจิตสำนึกผมเอง) ผมก็ทน แล้วผมก็นึกในใจว่า เราขอให้เรื่องที่บาดหมางต่อท่านจบกันแค่ตรงนี้เถิด อย่าจองเวรเบียดเบียนกับเราเลย เราขออโหสิกรรม เราเองก็จะอโหสิกรรมเช่นกัน แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ผมเริ่มรำเป็นท่าแบบของจีนมีการเขียนตัวอักษรที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ(เข้าใจว่าเป็นภาษาจีน จากการที่คนรอบข้างที่มารอบดึกด้วยกันบอก) ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ได้แต่คุมลมหายใจ เข้า-ออก ผมแวบนึกไปถึงพระที่ผมเห็นตอนแรก และผู้หญิงที่มานั่งรอบเดียวกับผมซึ่งกำลังออกกรรมอยู่ ว่าน่าสงสาร เท่านั้นแหละผมโล่งไปทั้งร่างไม่มีการชา หายใจเบาลง ผมพยายามลืมตาแต่ทำไม่ได้ ลองหันไปตามเสียงสามารถทำได้แต่เหมือนหัวเด้งกลับที่เดิม เพราะหลวงพี่บอกไม่ต้องสนใจ แต่ผมยังนึกสงสารอยู่ ผู้หญิงฝั่งซ้ายมือผมเธอยังร้องไห้ อยู่ๆผมก็ตบพื้นอย่างแรงแล้วชี้ไปที่เธอและทุกๆคน ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำออกไปนั้นมีความหมายว่าอะไร มันเป็นสิ่งที่ผมทำออกไปก่อนแล้วความหมายมันถึงแวบเข้ามาในหัว ว่าไม่ต้องกลัว เดี๋ยวผมจะช่วย เธอยังร้องไม่หยุด ผมเริ่มหายใจแรงขึ้นอีก แล้วผมก็เขียนตัวหนังสือกลางอากาศอีกไปที่พี่เขาและทุกๆคนเขียนรอบตัวผมด้วยและตรงหน้าตัวเอง หลวงพี่ถามว่าเข้าใจความหมายไหม ผมส่ายหน้าด้วยตัวผมเอง(ไม่ใช่กายไปก่อนแล้วจิตระลึก) แล้วเธอก็เงียบไปพักนึง ผมนอนลงเพราะผมเหนื่อยแต่ยังไม่หลุดจากการนั่งยังกำหนดลมเข้าออกอยู่ ผมลุกขึ้นมานั่งใหม่ ผมขอน้ำดื่มโดยทำท่าชี้ที่คอชี้ที่ตัวแล้วทำท่าดื่มน้ำมีความหมายว่าร่างนี้ขาดน้ำ(ผมไม่ได้กินน้ำเลยตั้งแต่หกโมงเย็น)พอผมได้ดื่มน้ำทั้งๆที่ไม่ได้ออกจากการนั่ง ผมตบพื้นอีกและชี้ไปที่ทุกคนแล้วชี้ที่ผม ผมทำท่าพนมมือแล้วนั่งสมาธิ มีความหมายว่า ให้ทุกคนนั่งสมาธิอย่างใจเย็นๆ ระหว่างนั้นมีแม่ชีที่อยู่ด้วยท่านพูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อย ผมตบพื้นและชี้ไปที่ท่านและทำท่าเอานิ้วชี้ไปปิดที่ปาก มีความหมายว่า อยากให้ท่านเงียบๆ ไม่ใช่เรื่องตลก แต่ท่านก็ยังพูดอยู่อีก ผมตบพื้นอีก มีความหมายว่าผมหงุดหงิด หลวงพี่จึงบอกว่าอย่าไปสนใจสิ จิตของผมมันบอกว่าผมทำไม่ได้ถ้ายังเห็นคนเดือดร้อนอยู่ ผมรูสึกปวดเมื่อยอยู่ๆร่างกายผมก็นวดไปตามจุดต่างๆขึ้นเอง แม่ชีก็ยังพูดเล่นกับญาติโยมอยู่ ผมลุกเดินออกมาทั้งๆที่หลับตามานั่งตรงหน้าพระประธาน แต่ก็มีแม่ชีนั่งออกกรรมอีก ผมตบพื้นอีกแล้วทำท่าเหมือนคนหงุดหงิด แล้วก็มีเสียงมาจากข้างหลังว่า มาชี้หน้ากุทำไม กุไม่ชอบ ผมก็ทำท่าล้อเลียนเขา หลวงพี่ให้กลับไปนั่งที่เดิม ผมก็กลับไปนั่งที่เดิม ผมขอน้ำดื่มอีกหลวงพี่ไม่ให้ ผมทำท่าขอโดยอธิบาย หลวงพี่บอกทรมานใช่ไหม ผมส่ายหน้า พยายามบอกใจยังสู้แต่ว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว หลวงพี่ไม่เชื่อบอกว่าร่างกายน่ะมันไหวแต่จิตน่ะคิดไปเองซึ่งตอนนั้นผมจุกน้ำอยู่ ผมทำท่าเพื่อบอกว่าผมสื่อสารกับท่านไม่เข้าใจเพราะร่างนี้ใช้พูดออกมาไม่ได้.....มันยาวตัดแค่นี้ละกันความจริงมีต่ออีก(นั่งไปประมาณหนึ่งชม.) ผมรู้ความหมายของท่าทางที่ผมทำออกไปครับ

    ที่อยากจะถามคือ
    1 จำเป็นไหมต้องถือศีลแปดเพื่อที่จะนั่งได้ ศีลห้าถ้านั่งจะได้รึไม่
    2 ทำไมบางคนแสดงออกมาแบบทรมาน มีความทุกข์ บางคนหัวเราะ บางคนดิ้นเหมือนสัตว์ บางคนเหมือนเทพเป็นเพราะอะไร หรือเป็นเพราะอุปทานไปเอง เพราะวิชานี้เห็นบอกว่าเป็นการออกกรรม แต่มีเป็นเทพด้วย
    3 การที่ผมเปลี่ยนจากยุบพอง เป็นเข้าออก เป็นการดีหรือไม่ สมควรหรือไม่ จะเป็นการขัดตำราวิชาหรือเปล่า
    4 สิ่งที่ผมทำออกมาทั้งหมด นั่นเป็นความจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่สิ่งที่จิตผมปรุงแต่งขึ้นมา
    5 ทำไมร่างกายของผมทำท่าทางออกมาก่อน แล้วความหมายถึงตามมาที่หลัง(ผมไม่แน่ใจเหมือนกันมันเหมือนว่ามีคนใช้ร่างผม ผมอยู่ได้แต่ข้างใน เวลาทำท่าทางออกไปแล้วเหมือนมีคนมาบอกความหมายกับผมทีหลัง)
    6 ทั้งๆที่ผมไม่รู้ความหมายของการเขียน แล้วผมเขียนได้ยังไง เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งรึเปล่า
    7 ที่ผู้ชายตะโกนบอกผมว่า ชี้หน้ากุทำไม กุไม่ชอบ จะเป็นการสร้างกรรมใหม่รึเปล่า
    8 แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นพูดถึงเรื่องปัจจุบันได้
    9 ทำไมผมถึงไม่พูดแบบคนอื่นเขา ได้แต่ทำท่าทางสื่อความหมาย แล้วทั้งหมดมันเป็นกรรมหรือสิ่งที่ดี
    10 ผมนั่งได้เร็วไปไหมเพราะผมไปวันแรกและนั่งครั้งแรกเอง เห็นหลวงพี่บอกบางคนไปสามวันยังไม่ได้

    ปล. ผมอายุยี่สิบไปวัดเขาสมโภชน์เป็นครั้งที่สอง แต่มานั่งครั้งแรก (ไปครั้งแรกไปงานบวชพี่เขา)

    ขอบพระคุณที่เข้ามาตอบคำถาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2009
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    อ่านแล้วแปลกดีนะ
    เรารู้สึกเหมือนเป็นการปิดสวิสช์การทำงานในระบบปัจจุบัน
    แล้วไปเปิดระบบเครื่องฉายหนัง หยิบม้วนเทปที่บันทึกเรื่องเก่าๆมาเปิดดู
    แล้วกลายเป็น เราดูหนังที่เครื่องมันฉายอีกที แต่ไม่รู้ว่าเครื่องฉายหนังรุ่นนี้
    มันมีชีวิตจริงๆหรือเปล่า หรือว่าแค่ฉายให้เราดู เพื่อให้เรารู้สึกสำนึกผิดในอดีต
    หรือฉายให้เราดูเพื่อให้เราตระหนักถึงกรรมที่เคยทำในอดีต เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
    ถึงกรรมที่กำลังทำในปัจจุบัน และในอนาคตอันใกล้ และเพื่อยอมรับกรรมที่มีที่เป็น
    ในปัจจุบัน เพื่อขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรที่เราไม่รู้จักในชาตินี้ และหยุดการจอง
    เวรกับคนที่มาทำร้ายเราในปัจจุบัน หยุดการพยาบาทคนอื่นๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    การถือศีล มีผลให้จิตใจปกติ มีผลให้จิตมีกำลังเพราะปลอดจากกรรมที่เกิดจากการผิดศีล
    ทางกาย วาจา ใจ ปลอดจากสภาวะเป็นพิษชั่วคราว ก็มีกำลังชั่วคราว ถ้าปลอดจากสภาวะ
    ที่เป็นพิษถาวรคือถอนพิษออกที่ใจได้ถาวร ก็จะมีผลใจสะอาดถาวรได้เป็นบุญที่มีอานิสสงค์มาก
     
  3. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    1 ศีลห้าก็เพียงพอต่อการนั่งสมาธิภาวนา ศีลแปดช่วยเสริมได้แต่ไม่ถึงกับจำเป็น
    2 เป็นอุปาทานของจิตใต้สำนึก ตรงนี้ผมไม่ขอฟันธง เป็นไปได้ว่า ในอดีตชาติมีความทรงจำของการเกิดเป็นสิ่งเหล่านั้น เมื่อไหร่ที่ความทรงจำนั้นผุดขึ้นมาโดยขาดสติสัมปชัญญะ ก็สามารถออกอาการเต้นแรงเต้นกาได้ ลองคิดดูน่ะครับว่า นี่หรือคือการตัดกรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง กรรมนั้นไม่สามารถตัดได้ ทำไปทำมา ก็กลายเป็นกรรมใหม่ไป
    และที่สำคัญ สิ่งที่ทำมันเป็นบุญกุศลแค่ไหนกันเชียวถึงจะไปแก้กรรมได้ ดังนั้นตัดกรรมไม่ได้จริง ที่ออกอาการต่างๆเป็นเพราะจิตใต้สำนึกคล้ายกับคนสะกดจิตตัวเอง
    3 จะยุบพอง จะเข้าออก มีค่าเท่ากัน
    4 เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา แล้วออกมาทางร่างกาย นักปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องตามมรรคไม่แสดงอาการเหมือนคนไร้สติอย่างนี้หรอก
    5 แน่นอน ท่าต้องออกก่อน เราจึงจะรู้ความหมาย เหมือนคนพูดด้วย ถ้าไปฟังเขาพูดก่อน เราจะรู้ได้ไงว่าเขาจะพูดว่าอะไร เวลาดูหนังก็ต้องเห็นภาพก่อนแล้วสมองจึงแปลความหมายอีกที
    6 เขียนมั่วๆก็ได้ แน่ใจแล้วหรอว่าเป็นภาษาจีน คนมีอุปาทานมันก็ปรุงไปได้ร้อยแปดนั่นแหล่ะ คุณไม่สงสัยบ้างล่ะว่า อาจเป็นภาษาญี่ปุ่นหรือเกาหลีก็ได้นะ หุๆๆๆ
    7 กรรมเล็กน้อย สนใจไปใย
    8 ไม่เข้าใจคำถามครับ
    9 ต่างคนต่างจิตที่ปรุงออกมา จะให้เหมือนกันได้ยังไง สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ไม่ดีครับ ทำให้หลง ถ้าเทียบสังโยชน์ก็อยู่ในข้อสาม สีลัพตปรามาส
    10 อันนี้แล้วแต่คน ไม่มีเร็วมีช้า ขึ้นอยู่กับของเก่าที่เคยทำมา

    สรุปว่า เลิกสนใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องดีกว่า ปฏิบัติแบบนี้มีแต่งมงาย ลองหันมาศึกษาทางสายเอกสติปัฏฐานสี่ น่าจะดีกว่านะครับ...
     
  4. ผู้หลง

    ผู้หลง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +7
    ผมก็มีข้อข้องใจตรงนี้เหมือนกันว่าตัดกรรมได้จริงๆๆหรือ
    อนุโมทนาครับ
     
  5. dioma619

    dioma619 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +73

    คือธรรมะเปิดโลกนี่นะครับไม่ใช่เป็นการตัดกรรมนะครับแต่เป็นการให้รู้ว่าเราทำกรรมอะไรเอาไว้บ้าง การที่บอกว่าปฎิบัตแบบนี้แล้วมีแต่งมงายผมว่าน่าจะลองเปิดรับสิ่งใหม่ๆบ้างดีกว่านะครับ อย่ามาตำหนิต่อว่ากันเลย

    ความเป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก คือ กาลหนึ่งสมัยที่สมเด็จพระบวรนาถสมณโคตมยังทรง​

    พระ ชนม์อยู่ ในกาลนั้นได้เสด็จขึ้นสู่ดาวดึงส์ เทวสถานเพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในวันที่เสด็จกลับ จากดาวดึงส์ ได้มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากคอยรับเสด็จอยู่ก็ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงใช้พุทธานุภาพแสดงโลกทั้งสามให้ปรากฏแก่พสกนิกรผู้เป็นศานุศิษย์ของ พระพุทธชินสีห์ ประชาชนที่มารับเสด็จในวันนั้นต่างก็ได้รับทิพยจักขุญาณเห็นเทวโลก มนุษย์โลก และอบายโลกพร้อมกัน กล่าวคือ เทวดาทั้งหลายก็เห็นมนุษย์และสัตว์ในอบาย มนุษย์ทั้งหลายก็เห็นเทวดาและสัตว์ในอบาย สัตว์ในอบายทั้งหลายก็เห็นทั้งมนุษย์และเหล่าเทวดา เรียกว่าทั้งสามโลกมองเห็นกันทะลุปรุโปร่ง ​


    ใน วันนี้พระพุทธคุณนั้นเป็นอานุภาพที่ไร้ขอบเขต ทรงฤทธานุภาพสูงสุดในจักรวาล ในวันนั้นเทวดามนุษย์และสัตว์เดรัจฉานทั้งปวงต่าง ๆ ก็ได้พบพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ มิตาสหายและบริวารเก่า ๆ ที่กำลัง เสวยผลกรรมอยู่ในภพต่าง ๆ กัน เป็น ทุกขเวทนาบ้าง สุขเวทนาบ้าง จึงเกิดเมตตาจิต อธิษฐานอโหสิกรรมผู้ที่ได้เคยกระทำชั่วต่อกันมาให้ได้พ้นจากบาปกรรมเวรเหล่า นั้น ​

    ในวันนั้นเองมีผู้มีปัญญาเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยินดีในภพชาติ หลุดพ้นจากอาสวะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก ​

    จาก นั้นมาธรรมะเปิดโลก ก็มิได้ปรากฏในพระประวัติพระพุทธศาสนาอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหลวงพ่อคง พุทธสาวกสมัยที่พุทธกาลนี้ ได้ถือเนกขัมมะวัตรเป็นบรรพชิตบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะอันแรงกล้า วิรัติแล้วจาการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ทั่งโยตรง และโดยทางอ้อม ตั้งแต่อยู่ในฆราวาสวิสัย ดำริมั่นที่จะออกจากกามได้จาริกเพื่อเจริญวิมุติญาณเข้าสู่โลกกุตระสภาวะมา โดยลำดับ ​

    จนกระทั่งลุถึงถ้ำอรหันต์ เขาสมโภชน์ลพบุรี ท่านได้ปฏิบัติธรรม กรรมฐานเป็นอุกฤษ จนบังเกิดความตึงเครียด ในทุกส่วนของประสาท ก็ยังไม่สำเร็จผลดังหวัง ทำให้รู้สึกท้อแท้ ท่านจึงน้อมจิตอธิษฐาน ว่าหากคุณพระพุทธเจ้า มีจริงขอทรงมาโปรดให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด ในครั้งนี้เองก็มีปรากฏบังเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ท่านได้พบพระวิสุทธิสัมมาสัมพุทธเทพ และได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติกรรมฐาน อาศัยบุญบารมีเก่าที่หลวงพ่อ คงเคยเป็นหลวงพ่อร่วง ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิกถาไว้สั่งสอนปวงชนมาก่อน พระพุทธองค์จึงทรงประทานธรรมะเปิดโลกให้ เมื่อหลวงพ่อใช้กำลังสติปัญญาเข้าพิจารณาภูมิอันเป็นอาสวะแห่งงวัฏฏะแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตใจมุ่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์สำเร็จวิสุทธิญาณในวันนั้นเอง ​

    จาก นั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกเขษฐ์ได้ทรงประทานพุทธานุญาต ให้หลวงพ่อคงโปรดแสดงธรรมะเปิดโลก แก่พสกนิกรพุทธบริษัทได้ โดยอาราธนาพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และอริยสัฆานุภาพ มาเป็นอำนาจเปิดโลก เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจแจ้งเรื่องกรรมและกรรมและกลไกของกรรมโดย ถ่องแท้ กรรมฐานธรรมะเปิดโลก จึงได้รับการถ่ายทอดสาธิตจากหลวงพ่อคงนับตั้งแต่นั้นมา​
     
  6. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    เห็นด้วยกับคุณวิมุตตินะ ขอเสริมหน่อยในแง่ของวิทย์นะ
    การที่เราหายแรง ๆ และเร็ว มันจะเป็นการแลกเปลี่ยนก๊าซ อย่างรวดเร็ว
    เลือดเราจะมีอาการเรียกว่า คล้ายเป็นกรดนะเพราะมันจะไปกระตุ้นประสาทและระบบการหมุนเวียรเลือด ประการแรก มันจะชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ประการที่สอง เรามีการตั้งค่า ว่าจะตัดกรรม ตั้งเริ่มแรกมันถูกบันทึกเป็นสัญญาเรียบร้อย พอถึงจุดหนึ่ง ร่างกายจะตอบสนองจิตสั่งให้ทำเป็นจิตที่เรากลัว
    ถามว่าเป็นจิตใต้สำนึกไหมก็ไม่เชิง มันเป็นอุปทานที่ตอบสนองสัญญาของเรา
    อุปทานตัวนี้ จะมีผลต่อร่างกายของเราที่ออกอาการต่าง ๆ กันไป บางคนร้องไห้
    ไม่ใช่แต่ที่นี้นะ ต่างประเทศก็มี และต่างประเทศเขาไม่นิยมทำกันแล้ว เขาหันมานิยม การเจริญสติแทน เราตั้งค่าและ เห็นเพื่อนออกอาการ
    มันกลายเป็นอุปทานหมู่ในที่สุด

    หาเหตุที่สมมุติให้เจอ
     
  7. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    นิทานที่คุณ จขกท เล่าให้ฟังก็น่าสนใจดีครับ
    คุณคงมั่นใจแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะกล่าวอีก
    เพียงแต่สงสัยนิดหน่อยว่า ธรรมวินัยที่แสดงไว้ดีแล้ว เมื่อปฏิบัติตามก็ลุถึงโลกุตตรได้ แล้วทำไมยังต้องไปลองอะไรที่มันนอกเหนืออีกล่ะ
    ทางที่ถูกนั่นมีอยู่ จะไปลองทางที่คลุมเครืออยู่ไปใย
    โชคดีแล้วกันครับ...
     
  8. dioma619

    dioma619 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +73
    ทำไมต้องว่ากันด้วยอ่ะครับ มันเป็นเรื่องจริงๆนะ ช่างเหอะผมจะอโหสิละกัน ไม่ถือโทษโกรธ เพราะผมเป็นคนโพสเอง ถ้าท่านไม่เชื่อจะบังคับให้เชื่อก็กะไรอยู่ ธรรมะเปิดโลก ก็เป็นการนั่งสมาธิในอีกหนึ่งรูปแบบ ย่อมมีเหตุผลที่สมควรในตัวมันเอง ถ้าทางไหนทำให้เกิดสมาธิได้ก็สมควรกระทำไม่ใช่หรือ ถ้าทางเลือกทางที่หนึ่งทำไม่ได้เราก็น่าจะลองวิธีอื่นบ้างมิใช่หรือ พระพุทธเจ้ายังลองหลายๆอย่างเลยครับ แต่ก็ขอบพระคุณที่เข้ามาตอบคำถาม

    สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ
     
  9. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    สรุปว่าคุณตั้งกระทู้เพื่อถาม หรือเพื่อเผยแพร่ธรรมะเปิดโลกกันล่ะครับเนี่ย?

    ถูกต้องครับที่พระพุทธเจ้าลองหลายๆทาง และพบทางที่ถูกในที่สุด
    ในเมื่อพระพุทธเจ้าบอกทางที่ถูกที่สุดให้เราแล้ว เรายังต้องลองเองอีกหรือครับ

    ผมขอถามสักคำถามได้ไหมครับ
    วิชาธรรมะเปิดโลกที่ช่วยให้เรารู้เห็นกรรมที่ทำเอาไว้เนี่ย ไม่ทราบว่าต่างกับการระลึกชาติตรงไหน และช่วยให้เกิดวิปัสสนาปัญญาเพื่อการบรรลุธรรมได้อย่างไร?
    พอจะตอบอย่างมีเหตุมีผลได้ไหมครับ กรุณาด้วยครับ...
     
  10. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    สำหรับเจ้าของกระทู้หากจะยึดตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือปฏิบัติตามแนวทางของพระไตรปิกฏ ในพระไตรปิกฏปางเปิดโลกมี แต่กรรมฐานเปิดโลกไม่มี เขาเรียกว่าการเสริมเข้าไปทีหลัีงดังนั้นเราต้องพิจารณาให้ดี เราเคยไปวัดนี้เหมือนกันเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องธรรมหรอกแต่ก็รู้ว่าไม่ตรงกับจริตเรา ไป 2 ครั้งนะ ปฏิบัติไปคำถามมีมากมายเต็มหัวไปหมดคิดได้เลยไม่สงบ เลยเลิกไปมาสังเกตุและ พิจารณา เหตุเราที่ปฏิบัติ และศึกษาหลายทางเพราะเราไม่มีพื้นฐานความรู้ของศาสนานี้ เราเลยต้องค้นหาหลาย ๆ ทาง เพื่อหาทางสงบของจิตใจให้ได้ การปฏิบัติไม่ได้ให้ไปมีฤทธิ และไม่ได้ให้ย้อนอดีต ไม่ได้เป็นจุดมุ่งหมายของศาสานาพุทธ ศาสนาพุทธมุ่งเพื่อหลุดพ้นเท่านั้น
    เราควรหยุดพิจารณาตรงนี้นิดถึง
     
  11. cacalot

    cacalot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2006
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +130
    ผมก็เคยไปบวชที่นี่มาเหมือนกันนะครับ ตามที่ผมเคยสัมผัสมาก็เป็นอย่างที่จขกทว่ามานั่นละครับ แต่จุดประสงค์ผมมองว่าหลวงพ่อท่านคงจะให้คนได้เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมแล้วหันมาประพฤติปฏิบัติกันมากขึ้น เหมาะกับคนที่ไม่มีพิ้นฐานหรือคนที่เริ่มเข้ามาใหม่ แต่ส่วนใหญ่คนในกระทู้นี้หรือคนที่ตอบส่วนใหญ่จะมีพิ้นฐานการปฏิบัติกันมาพอสมควรแล้วเลยไม่อยากให้ไปสนใจเรื่องแบบนั้น แต่ก็อยากให้เข้าใจคนที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาในพระพุทธศาสนานะครับว่าบางคนก็มีพื้นฐานต่างกันหรือบางคนก็ยังไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติถึงขั้นจะเอาให้หลุดพ้นไปเลยทีเดียว ก็ต้องหาจุดอะไรมาดึงให้คนใหม่ๆเริ่มสนใจจะเข้ามา ยังไงก็ให้เวลากันหน่อยนะครับ
     
  12. dioma619

    dioma619 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +73
    ผมก็แค่บอกต่อว่าผมไปนั่งมาอย่างนี้แล้วมีคำถามอย่างนี้ๆๆ แล้วคุณก็มาต่อว่าวิชา ซึ่งผมเห็นว่ามันไม่ถูกที่จะมาดูถูกกัน ในเมื่อท่านยังไม่ได้ลองก้ไม่ควรที่จะตำหนิ สิ่งที่ผมชี้แจงออกไปนั่นคือสิ่งที่พระผู้ปฏิบัติดีแล้วได้อธิบายให้ผมเข้าใจอย่างที่ผมตอบท่านไปแล้ว สิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจและยังไม่มีโอกาสถามพระผู้ปฏิบัติดีแล้วผมก็แค่มาโพสถามคนที่เคยไปที่วัดแห่งนี้ว่าท่านได้ทราบหรือไม่ ถ้าท่านทราบผมก็หวังว่าจะได้รับคำตอบก็แค่เท่านั้นเอง มีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้ในตอนนี้ ผมสาบานได้ว่าเรื่องที่เล่าทั้งหมดเป็นความจริงที่เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่ผมจะลองไปที่วัดแห่งนี้ผมได้มีโอกาสศึกษาเรื่องราวประวัติมาบ้าง

    ทางที่ดีที่สุดมันไม่หรอกครับ ถึงจะมีทางที่ดีที่สุดของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าผมจำไม่ผิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่าเชื่อถ้ายังไม่ได้ลอง แล้วผมก็บอกแล้วว่าการนั่งธรรมะเปิดโลกไม่ใช่เป็นการเห็นกรรมเก่าแต่เป็นการแสดงออกของกรรมทางกาย ผู้ปฎิบัติต้องพิจารณาหรือคาดเดาเองเองว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าปฏิบัติจนบรรลุได้ระดับหนึ่งมีโอกาสเห็นเป็นนิมิตภาพได้(แต่ยากมาก) ถ้าเข้าใจถึงหลักการนั่งเข้าใจถึงการแสดงออกมามีโอกาสถึงการนั่งเข้าสมาธิขั้นสูงได้ คือการนั่งสมาธิแบบที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คือไม่ยึดติดทั้งอดีตและอนาคต (พระอาจารย์บอกมา) ซึ่งผมยังไม่สามารถปฏิบัติถึงขั้นนั้นได้ รวมถึงการนั่งสมาธิแบบทั่วไปไม่สามารถทำให้ผมเข้าสมาธิได้นานเหมือนวิธีนี้ ผมยังไม่ได้เล่าให้จบว่าในช่วงท้ายหลังจากที่ผมออกกรรมแล้วผมได้กำหนดว่าผมอยากสงบมันก็ทำให้ผมนั่งสมาธิได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ประมาณครึ่งชม. ซึ่งผมไม่เคยทำได้เลย ปกติอย่างมากก็3-5นาทีก็ฟุ้งซ่านแล้ว ผมไม่เคยนั่งได้สงบเท่าครั้งนี้ แล้วมีความสุขเท่าครั้งนี้เลย

    ถ้าท่านไม่เชื่อผมก็คงชี้แจงไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะความรู้ของผมยังมีอยู่น้อยนิด และผมก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องบรรลุธรรมให้ได้ ผมเพียงแค่อยากเข้าใจในธรรมและหลักการเท่านั้น ผมคงไม่อาจบอกว่าทุกคนต้องบรรลุธรรมให้ได้ ถ้าผมทำให้ท่านเกิดความคับแค้นเคืองใจ ผมขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ผม ผมไม่ได้คิดจะลองดีกับท่าน เพียงแต่ผมไม่อยากให้เกิดการดูถูกดูแคลนในการปฏิบัติ พระและวิชาของวัดแห่งนี้ก็เพียงเท่านี้เอง

    อนุโมทนาที่ท่านเข้ามาชี้แจง และเสนอความคิดเห็นโดยเสียเวลาอันมีค่ามาตอบคำถาม ขอบพระคุณครับ
     
  13. ผู้หลง

    ผู้หลง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +7
    เห็นด้วยอย่างยิ่งกับcacalotเลยครับ ผมก็เคยทำมาเหมือนกันครับ2วัน
    มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ มีแต่สมาธิปรกติครับเหมือนทำอยู่ที่บ้าน

    อาจารย์ท่านเลยบอกว่าผมไปไกลแล้ว การปฏิบัตินี้เหมาะกับผู้เริ่ม
    ท่านก็ให้เหตุผลว่าไม่รู้จะดึงคนที่ไม่สนใจในธรรมเข้ามาอย่างไร นี่ก็เป็นวิธีนึง
    ครับให้คนธรรมดามาสนใจในธรรมเท่านั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  14. cacalot

    cacalot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2006
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +130
    เฮ้ออ สุดท้ายเหมือนคนมีภูมิธรรมสูงๆ มาตัดกำลังใจคนเพิ่งเรื่มเข้ามาอีกแล้ว อนาถใจ
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ความถ้อใจของเรา คือความอ่อนแอของเรา หากไม่พ้นเจตตนาตรงนี้ก็ยากที่จะเข้าใจ
    สนามอารมณ์ทดสอบเราตลอดเวลา กำลังใจของเราต้องถูกทดสอบเสมอ
    แต่คิดว่าเจ้าของกระทู้คงไม่ท้อหรอกมั้ง แต่กำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เรียนรู้
    พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ แม้ตัวท่านและพระไตรปิกฏทุกสิ่งต้องเรียนรู้
    จากการปฏิบัติ แล้วจะเกิดปัญญา เมื่อนั้นสิ่งใดใช่ สิ่งใดไม่ใช่เราจะรู้เองภายหลัง
    ตอนนั้นมานะของเราจะลดลง หากเราเข้าใจในสิ่งที่เรารู้ เมื่อเราเข้าใจ ต่อไปเราจะหันทิศ
    ทางไปอย่างถูกต้องเอง ทุกอย่างต้องลองผิดลองถูกเสมอ

    ควรระวังความหลงให้จงหนัก
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    คือ แบบนี้ จริงๆ แล้ว จขกท ไปได้ดีกว่าคนอื่นๆ ปฏิบัติธรรมได้ดี กำลังเข้าทาง
    การเห็นสิ่งที่สำคัญ เพียงแต่ยังไม่พร้อมฟันธงว่าเห็น ยังต้อง เปิดกรรม ไปเรื่อยๆ
    จนกว่าจะยอมรับว่า กรรม ที่เปิดออกมาดู กางออกมาดู มันคือ กรรม ล้วนๆ

    กรรม ล้วนๆ ก็คือ ทำให้ติดข้องในภพล้วนๆ

    การออกกรรมคำนี้ เป็นอุบายธรรม แรกๆ จะเหมือน การชดใช้กรรม แต่จริงๆแล้ว เมื่อ
    ถึงระยะหนึ่ง เมื่อพร้อมจะมองกรรม พร้อมจะเข้าใจธรรม จะผลิกคำว่า ออกกรรม ไม่ใช่
    การชดใช้กรรมแต่อย่างใด "ออกกรรม" คำนี้ก็คือ เผลอกระทำกรรม นั่นแหละ

    สมมตินะสมมติ สมมติว่า จขกท พร้อมที่จะฟังธรรมแล้ว พร้อมที่จะก้าวหน้าทางธรรม
    แล้ว ก็ให้มองลงไปเลยว่า กำลังสร้างเวรกรรมอะไรอยู่(ออกลีลากรรม)

    1. ถามเรื่องศีล8 ทำไม่ทำศีล 5 ไม่ได้ : กรรมที่กำลังสร้างเวรก็คือ การไม่เชื่อฟังครูบา
    อาจารย์ ใจข้างในเริ่มคตต่อผู้มีคุณ

    2. ทำไมบางคนมีท่าทางมากมาย แต่ของคุณเหมือนจะดีกว่ : เป็นการพัฒนาขึ้นของเวร
    กรรมในข้อ 1 มันก่อตัวหนักแน่นขึ้น แล้วกำลังแสดงตัวว่า ฉันดีกว่า ฉันเลิศกว่ากระมัง

    3. เปลี่ยนจากยุบหนอ เป็นเข้าออกได้ไหม : เป็นการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของกรรมใน
    ข้อที่ 1 โจมตีลงไปที่ต้นทางปฏิบัติกันเลยทีเดียว จะคว่ำผู้สอนให้ได้ แต่อาจจะลังเล หรือ
    ไม่ก็แค่โยนหินถามทาง

    4. สิ่งที่ผมทำนั้นเป็นจริงหรือไม่ : อันนี้พอสรุปได้ว่า ในข้อ 3 อาจจะเป็นการโยนหินถาม
    ทาง หากมีใครมาร่วมอุปทานว่า นั่นจริง ก็จะเกิดหนทางปฏิบัติที่เลิสกว่าได้แน่ๆ

    5. ละไว้สรุปทีหลัง เพราะมันเป็นจุดเริ่มผลิกกลับ

    6. ทำไม่ผมเขียนได้ : เพื่อควานหาสิ่งมาสนับสนุน เพื่อสะสมสัพอาวุธ สร้างเสริมกำลังก็
    ต้องมีการควานหาหลักฐานให้ยึดมั่นถือมั่น หากการเขียนได้ คือ ความสามารถ ย่อมเป็น
    หลักฐานยืนยันความจริงในข้อ 4. ที่อุทานไว้

    7. การชี้หน้า : เกิดการสงสัยขึ้นมาว่า มีใครคนอื่นที่ปฏิบัติได้เลิศกว่าเราหรือเปล่า คือ
    ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างเรานี่แหละ แต่เลิศกว่า มีบ้างไหม ใครจะมาชิงบัลลังก์ฉัน

    8. ทำไมเขาพูดปัจจุบันได้ : เพื่อหาหลักฐานว่าเขาเลิศกว่าเราตามข้อ 7 ไหม จึงควาน
    หาสิ่งที่เขาทำได้ แต่เราทำไม่ได้ หากมี และหากเป็นจริง ก็แปลว่าว่า อาจจะมีคนเลิศ
    กว่าเราอยู่ การก่อการปลดแอกสร้างการปฏิบัติชนิดใหม่ขึ้นมา เลิศกว่า เร็วกว่า ก็คงจะ
    ล้มพังพาบหากมีคู่แข่ง

    9. ทำไมไม่เหมือนคนอื่นเขา : ชักลังเลเสียแล้วว่า หรือว่าที่เขาทำเขาดีๆกันหมด หรือว่าที่
    เราทำคือดีกว่า

    10. ทำไมเราทำได้เร็ว หลวงพี่ก็พูดเช่นนั้น : เมื่อวัดอะไรจากใครไม่ได้ จิตก็ต้องน้อม
    กลับไปฟังคำจาก ผู้สอนอีกครั้ง กลับลงมาน้อบน้อมต่อผู้มีคุณอีกครั้ง

    ก็เป็นอันว่า การออกกรรมคิดกบฏ จบลงด้วยการยอมสิโรราบ ทั้งหมดเกิดขึ้นเป็นกรรม
    ลึกๆ มองยาก แต่ร่องรอยกรรมที่สำแดงออกมานั้น มันเป็นรอยทางที่จะตรวจลงไปให้
    พบ แล้วยอมรับถึงสิ่งที่มีนั้น หากยอมรับได้ตามความเป็นจริง ก็จะสลดใจ จะหน่ายใน
    กรรมที่สร้างเอาไว้จนเกือบๆจะดูดี [ อุปนิสัยนี้ จะทำให้ ไม่สามารถรับฟังธรรมจากผู้
    มีคุณธรรมสูงกว่าไปเรื่อยๆ จะเผลอปรามาสผู้มีคุณธรรมสูงกว่าไปเรื่อยๆ แต่ในมุมกลับ
    ที่คู่ขนานกันไปก็ทำงานอยู่ จึงสามารถฟังธรรมได้ต่อ ยังเสวนาธรรมได้อีก ก็ไม่ใช่การ
    ปิดโอกาส จะแกว่งไปแกว่างมาจนกว่าจะหาจุดสมดุลย์ แล้วตัดสิน กรรมทั้งสองด้าน
    เพื่อเห็นทางสายกลาง ]

    สิ่งที่ผลักดันให้คิด ให้เทียบ ให้หา ให้ถาม ให้ควาน ให้สงสัย ให้ปรารภ(อุทาน)เพื่อเอา
    กลับมาเป็นตน(อัตตา) เพื่อเป็น อัตตวาทุปาทาน(อัตตา+วาทะ+อุปทาน) ก็คือสภาวะ ตัณหา

    สิ่งที่ควรเห็น จากการออกกรรมของเราก็ดี ของใครก็ดี ก็คือ เห็นการทำงานของ ตัณหา
    ที่ผลักดันให้เราไหลตามมัน หากตัณหาทำงานแทนเรามันจะเหมือนๆเรามีความสามารถ
    เพราะมันเหมือนเราไม่ใช่ผู้จงใจ ก็แน่หละ ก็ตัณหามันทำงานแทนเราอยู่ กรรมต่างๆที่
    สร้างเวรสร้างชาติสร้างภพ มันก็ออกไปโดยเราไม่ได้ควบคุมทั้งนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ให้แยกให้ออกว่่า

    อะไรคือธรรมที่ดับทุกข์แท้จริง เป็นจริงตามนั้นจริงๆ
    อะไรคือความเชื่อ ที่ไม่ได้ดับทุกข์ และเป็นเรื่องที่เสกสรรค์ขึ้น ผ่านมาแล้ว หรือยังไม่เกิดขึ้น

    เมื่อแยกออก เราก็จะมีสติมองเห็น ไม่สับสนว่า นี่คือการปรุงแต่ง หรือ นี่คือ ธรรม
     
  18. dioma619

    dioma619 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +73
    สาธุครับ
     
  19. dioma619

    dioma619 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +73
    สาธุครับ
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เคยได้ยินไหม ตัดกิเลสได้ ก็ตัดกรรมได้ ของเก่ารู้ ไม่ดีก็ละ ของใหม่มาพิจารณาก่อนแล้วจึงทำและการละอัสมิงมานะเป็นธรรมอันแรกเริ่มเดิมทีที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จและเข้าใจธรรม ธรรมะที่แท้จริงมันอยู่ในตัวของเราเพียงแต่เราไม่เชื่อถือแม้แต่ตัวเองต้องให้คนอื่นคอยบอกตลอดเวลาแล้วแบบนี้เรียกเข้าถึงธรรมได้อย่างไร ลองตรองดู ไม่ต้องไปคิดให้มันวุ่นวายหรอกตัวเราชอบอะไรถ้าเป็นสิ่งที่ดีคนอื่นเขาก็ชอบแต่ถ้าเป็นสิ่งไม่ดีคนอื่นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน(คนทั่วไป) แต่ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับเจตนา ดังนั้น การจะก้าวล่วงสิ่งต่างๆได้นั้น มันจะเริ่มจาก มโนหรือใจ แสดงออกมาทางกาย และ วจี เช่นเดียวกันกับสิ่งที่ท่านพบประสบเจอนั่นแหละ กรรมเก่าเป็นของตัดได้ยากเพราะเหตุว่าเป็นอดีตผ่านไปแล้ว แต่กรรมใหม่สิของควรสนใจอย่าให้เหมือนในอดีต แล้วความทุกข์ทั้งหลายจะดับลงเอง ผมว่าอย่าไปรีบร้อนเลยค่อยๆทำใจเย็นๆ ตัวเราสามารถหลอกคนอื่นได้นับครั้งไม่ถ้วนในหนึ่งชีวิตแต่ตัวเราไม่สามารถหลอกตัวเราได้เลยถ้าลองคิดพิจารณาดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...