วิญญาณไทย สมัย ร.1..ที่เวียงจันทน์

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย wmt, 13 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. wmt

    wmt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +1,432
    วัดสะตะสะหัสสาราม
    (วัดสีสะเกด)



    วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้นำพาพุทธศาสนิกชนไทยกลุ่มหนึ่งประมาณ 110 คน ไปทำบุญที่ประเทศลาวและเขมร ด้วยรถบัส 2 คันและรถตู้อีก 1 คัน รายละเอียดต่าง ๆ อ่านได้ที่รายงานพิเศษ ในบทความนี้จะเล่าเฉพาะเหตุการณ์ต่าง ๆ ในวัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน) หรือวัดสีสะเกด ซึ่งอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์เท่านั้น

    ข้าพเจ้าเคยไปเวียงจันทน์มาแล้ว 3 ครั้ง แต่ละครั้งได้เข้าไปไหว้พระในหอพระแก้วทุกครั้ง แต่ไม่เคยเข้าไปในวัดสีสะเกดแม้แต่ครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่วัดนี้กับหอพระแก้วอยู่คนละฟากถนน ห่างกันแค่ 20 เมตรเท่านั้น หากวัดระยะที่ตั้งก็ประมาณ 300 เมตร

    เมื่อฉันเพลเสร็จแล้ว ข้าพเจ้านั่งรถตู้เข้าไปก่อนคณะใหญ่พร้อมกับไกด์และชาวคณะอีก 10 คน เมื่อย่างเท้าเข้าไปในอาณาบริเวณพระอุโบสถ รู้สึกขนลุกและประทับใจในความเก่าแก่โบราณของสิ่งปลูกสร้างมาก เพราะสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

    ช่วงแรกข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้ไกด์ลาวเป็นคนอธิบายแก่ผู้ร่วมคณะฟัง ต่อมาสักพักข้าพเจ้าได้อธิบายให้ฟังเอง สังเกตเห็นว่าเขาอธิบายไม่ค่อยตรงกับความจริงนัก เพราะเขาบรรยายประวัติความเป็นมาของวัดนี้โดยไม่มีไทยเกี่ยวข้องเลย เมื่อเดินรอบพระอุโบสถได้สักพัก ข้าพเจ้าได้ถามไกด์ลาวว่า “ที่วัดนี้มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้ามามากไหม”

    ไกด์ลาว (คุณรัศมี) “ไม่มากค่ะ”
    ผู้เขียน “ทำไม”
    คุณรัศมี “ไม่ทราบค่ะ เท่าที่หนูทำหน้าที่มา นักท่องเที่ยวไทยไม่ค่อยชอบมาที่นี่”
    ผู้เขียน “แล้วพวกนักท่องเที่ยวชาติต่างชาติเข้ามามากไหม ?”
    คุณรัศมี “มากค่ะ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวฝรั่ง ญี่ปุ่น และเกาหลีค่ะ , พวกฝรั่งและญี่ปุ่นเวลาเข้ามาที่นี่แล้ว จะตื่นเต้นและอัศจรรย์ในความงามของสถาปัตยกรรมไทยแบบโบราณมาก แต่นักท่องเที่ยวไทยไม่อยากเข้ามา ส่วนใหญ่มาแล้วก็รีบออกไป”
    ข้าพเจ้าถามอีก “ทำไม ?”
    คุณรัศมี “หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ”

    เมื่อเดินชมเกือบรอบพระอุโบสถ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงแว่ว ๆ ข้างหูว่า “ท่านครับ ช่วยนำพาชาวไทยมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกผมด้วย”
    ได้ฟังดังนั้นจึงกำหนดจิตว่าใครมาพูดข้างหู เมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้วก็รู้ว่า ผู้ที่พูดเป็นวิญญาณคนโบราณที่สถิต(เฝ้า)วัดแห่งนี้ ดูลักษณะการแต่งตัวของพวกเขาแล้วรู้สึกว่า พวกเขาเป็นวิญญาณทุกข์ หน้าตาและเครื่องแต่งกายดูไม่ดีเลย จึงได้ถามเขาทางจิตว่า “พวกโยมเป็นใคร ชาติก่อนทำอะไรไว้จึงมาอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ที่อาตมาเห็นก็คือ เหล่าวิญญาณที่อาศัยอยู่ในบริเวณพระอุโบสถจะเป็นเทวดาผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่งตัวสวยงาม แต่เหตุไฉนพวกโยมจึงดูโทรม ๆ อย่างนี้”

    เหล่าวิญญาณตอบว่า “พวกผมคือทหารของกองทัพสยามในสมัย ร.3 มารบที่เวียงจันทน์แล้วเสียชีวิตที่นี่ เมื่อเสียชีวิตแล้วยังไปไหนไม่ได้ เพราะยังมีวิบากกรรมอยู่มาก”
    ผู้เขียน “ทำกรรมอะไรไว้ละ ?”

    วิญญาณทหารโบราณ “เผาเวียงจันทน์ครับ ส่วนบางคนก็ตายในขณะจิตที่เศร้าหมอง (จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา) คือเมื่อชนะศึกแล้ว ท่านแม่ทัพได้รับคำสั่งจากกรุงเทพ ฯ ให้เผาเวียงจันทน์ให้สิ้นซาก ทำให้เป็นเมืองร้าง เพราะเกรงว่าลาวจะรวบรวมสมัครพรรคพวกได้อีก ท่านแม่ทัพก็เลยสั่งให้ทหารชั้นผู้น้อยเผาปราสาทราชวัง บ้านเรือน วัดวาอารามให้สิ้น เวียงจันทน์กลายเป็นทะเลเพลิง กลายเป็นเมืองร้างไปขณะหนึ่ง สถานที่ไม่ถูกเผามีเพียง 2 แห่งเท่านั้น คือหอพระแก้วกับวัดสะตะสะหัสสารามแห่งนี้ เนื่องจากหอพระแก้วเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต และวัดสะตะสะหัสสารามเป็นวัดที่เจ้าพระยาจักรี (ร.๑) เคยนำพาทหารไทยมาบูรณะไว้เมื่อครั้งยกทัพมาตีเวียงจันทน์ครั้งแรก (ถ้าเผาวัดนี้ก็เหมือนเผาวัดตัวเอง)”
    ผู้เขียน “อาตมาช่วยโยมไม่ได้หรอก เพราะปีหน้า (2551) จะไม่ได้มาที่นี่อีก อาตมาจะพาชาวคณะไปทำบุญที่ลาวใต้ (จำปาศักดิ์) ด้านจังหวัดอุบล ฯ โยมให้คนอื่นช่วยเถอะ”

    เหล่าวิญญาณ “ท่านครับ ช่วยผมด้วย ช่วยทำบุญและนำพวกผมกลับประเทศไทยด้วย” เสียงพวกเขาเป็นทุกข์และโหยหวนยิ่งนัก ข้าพเจ้าใจแข็งไม่รับปาก เพราะมีงานคั่งค้างมากมาย หนังสือไตรรัตน์ก็ยังไม่เสร็จ ค้างมา 4 - 5 เดือนแล้ว สมาชิกก็โทรมาทวงเป็นประจำ ก็เลยรีบย่างเท้าจะออกจากบริเวณพระอุโบสถ

    เมื่อจะออกจากโบสถ์ เทวดาที่รักษาประตูทางเข้าก็เตือนว่า “ท่านครับ ท่านเป็นภิกษุ ไฉนเมื่อเข้ามาในบริเวณโบสถ์แล้วไม่เข้าไปไหว้พระประธานเล่า ?”

    ผู้เขียนตอบว่า “ไหว้พระข้างนอกแล้วนี่”

    เทวดา “แต่มันไม่เหมือนกันนี่ท่าน ดูลูกศิษย์ท่านซิ เขาเป็นชาวบ้านแต่ก็ยังเข้าไปไหว้พระประธาน ส่วนท่านเป็นภิกษุหัวหน้าคณะไม่ยอมเข้าไปไหว้ได้อย่างไร ผิดธรรมเนียม ผิดประเพณี รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

    ข้าพเจ้าจำนนต่อเหตุผลของเทวดาผู้รักษาประตู (อารักขเทวดา) จึงหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในพระอุโบสถ กราบพระประธาน ฯ เมื่อกราบพระประธานเสร็จแล้ว ได้เดินลงมาเจอเหล่าเทวดาและวิญญาณทหารโบราณดักรอหน้าประตูโบสถ์ พวกเขาอ้อนวอนอีกว่า “ท่านครับ ช่วยรับปากหน่อยซิครับว่าจะมาทำบุญที่นี่อีกในปีหน้า”

    เมื่อไหว้พระสวดมนต์และได้กราบพระประธานแล้ว จิตที่แข็งกระด้างก็อ่อนลง จึงได้ถามเทวดาและเหล่าวิญญาณว่า “ทำไมจึงต้องทำบุญภายในปี 2551 และทำไมต้องเป็นคณะของอาตมาด้วย คนไทยกลุ่มอื่นคณะอื่นทำไม่ได้เชียวหรือ ?”

    ทวดาตอบว่า “ปีหน้า 2551 พวกเขาจะหมดวิบากกรรม เพราะพวกเขายกทัพมาตีลาวใน พ.ศ.2370 ปีนี้ พ.ศ. 2550 นับจากวันที่เสียชีวิตจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 180 ปีแล้ว ปีหน้าพวกเขาจะพ้นจากวิบากกรรม เมื่อพวกท่านทำบุญไปให้ พวกเขาจะได้มีเสบียงคือบุญไปผุดไปเกิด อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่า ท่านและชาวคณะมีความเหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่นี้ หากแม้นท่านไม่ยอมทำหน้าที่นี้ ทางเทพเบื้องบนที่ดูแลพระพุทธศาสนาอยู่ก็จะหาบุคคลอื่นคณะอื่นมาทำภารกิจนี้จนสำเร็จลุล่วงไปจนได้นั่นแหละ”

    ข้าพเจ้าถามอีกว่า “แล้วจะไปเกิดที่เมืองไทยทั้งหมดหรือ ?”

    เหล่าวิญญาณนักรบโบราณตอบว่า “ไม่หรอกครับ ส่วนใหญ่จะกลับไปเกิดเป็นคนที่ประเทศไทย แต่บางส่วนจะขอเกิดเป็นคนลาวที่นี่ เพราะอาศัยอยู่ที่นี่มานาน”

    ข้าพเจ้าถามอีกว่า “ถ้าไปเกิดกันหมด แล้วใครจะอยู่เฝ้าที่นี่ละ?”

    วิญญาณนักรบ “ไม่ต้องห่วงครับท่าน เมื่อพวกผมไปเกิดหมดแล้ว เทพยดาชาวลาวแท้ ๆ จะมารับหน้าที่เฝ้าวัดนี้ต่อ (ดุจรัฐบาลทักษิณออกไป รัฐบาลสุรยุทธ์ก็เข้ามารับช่วงต่อ แม้ว่าทั้งสองจะไม่ค่อยถูกกัน ... อันนี้ผู้เขียนเติมเอง)”

    ข้าพเจ้าถามอีกว่า “แล้วจะให้ทำบุญอย่างไรบ้าง ?”

    เทวดาตอบว่า “ทำบุญให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยถวายพระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ พระพุทธรูป ไตรจีวร และถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ลาวด้วย โดยนิมนต์พระสงฆ์ลาวมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิญญาณทหารกล้าเหล่านี้เมื่อได้อนุโมทนาบุญแล้ว จะกลายเป็นเทพบุตรในทันใด ที่สำคัญ ท่านจะต้องนำนายทหารที่ยังรับราชการอยู่ไปด้วย ให้เขาเป็นตัวแทนชาวสยามเอ่ยปากขอโทษและขออโหสิกรรม(ในใจ)ต่อชาวลาวในอดีต เมื่อวิญญาณชาวลาวอโหสิกรรมให้แล้ว เวรและความบาดหมางกันมาแต่อดีตหลายร้อยปีก็จะมลายหายไป เกิดความสมานฉันท์แทน ทหารสยามโบราณกลุ่มนี้ เขาไปรบในนามตัวแทนของประเทศ มิใช่ไปรบในกิจส่วนตัว ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ ย่อมมีความเกี่ยวพันกับคนสยามทุกคน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นท่านควรจะรับอาสาเป็นตัวกลางทำหน้าที่นี้ เพื่อช่วยระงับเวรให้หมดสิ้นกันในชาตินี้ ตามพุทธพจน์ที่ว่า


    น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
    อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน

    ไม่ว่าในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร
    แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมแต่โบราณ.”

    ข้าพเจ้าตอบ “OK งั้นอีก ๑ ปีข้างหน้า ประมาณเดือนสิงหาคม 2551 อาตมาจะกลับมาทำบุญที่นี่อีกครั้ง แล้วในระหว่างที่ยังรอเวลานี้ให้ทำอะไรบ้าง ?”
    เทวดาตอบว่า “ระหว่างนี้เมื่อพุทธศาสนิกชนชาวไทยทำบุญใด ๆ ก็ให้พยายามอุทิสส่วนกุศลเจาะจงแด่เหล่าวิญญานที่สถิต ณ วัดแห่งนี้ดวย เขาจะได้ไม่ลำบากเกินไป ประดุจนักโทษชั้นเยี่ยมที่ใกล้จะพ้นโทษ”

    ภารกิจที่ต้องทำก็คือ
    ๑. นำวิญญาณนักรบโบราณกลับบ้าน
    ๒. ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน (แทนบรรพบุรุษ)
    ๓. สร้างความสมานฉันท์ให้แก่ชาวพุทธสองประเทศ
    ๔. ได้บำเพ็ญบุญบารมีตามแนวทางของพระโพธิสัตว์





    ประวัติวัดสีสะเกด (โดยย่อ)

    วัดสีสะเกด (Wat Sisaket) หรือวัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน) เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ สตสหัสส แปลว่า 100,000, อาราม แปลว่า วัด, วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว) ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ ท่าเตียน ของไทย) เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์ ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น ไกด์บางคนบอกว่ามี 6,000 กว่าองค์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วัดนี้ก็มียังมีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครเวียงจันทน์

    ใน พ.ศ. 2321 เจ้าพระยาจักรี (ร.๑) ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ยกทัพไปทวงถามเครื่องบรรณาการจากลาว ลาวไม่ให้จึงสู้รบกัน ลาวรบแพ้เพราะไม่เจนศึกเท่าทหารสยาม ในฐานะที่เจ้าพระยาจักรีเป็นนักรบผู้ทรงธรรมและเคยบวชเรียนหลายพรรษา เมื่อชนะศึกแล้วจึงนำพาทหารสยามบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ก่อนเดินทางกลับประเทศใน พ.ศ.2322 เพื่อเป็นพุทธบูชาอุทิศส่วนกุศลให้ทหารทั้ง 2 ประเทศที่เสียชีวิต เนื่องจากรบกันโดยไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน สถาปัตยกรรมวัดนี้เกือบทั้งหมดจึงเป็นสถาปัตยกรรมไทย

    เมื่อเจ้าอนุวงศ์ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์ลาวเมื่อ พ.ศ. 2348 ก่อนหน้านั้นพระองค์เคยเสด็จมาช่วยไทยรบกับพม่า 2 ครั้ง ก็ได้โปรดให้บูรณะและสร้างวัดนี้ต่อด้วยสถาปัตยกรรมไทย วัดนี้จึงเป็นวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของทหารและชาวพุทธสองประเทศมาแต่โบราณ เพราะเป็นวัดที่ทหารของทั้งสองประเทศช่วยกันสร้าง

    พ.ศ. 2369 เกิดกรณีพิพาทสยาม – ลาว (ไทยเรียกเหตุการณ์นี้ว่ากบถเจ้าอนุวงศ์) ศึกครั้งนั้นไทยแทนแค้นลาวมาก จึงทำลายเมืองเวียงจันทน์โดยการเผาเกือบหมด ยกเว้นวัดนี้กับวัดพระแก้ว เพราะเป็นวัดที่ตนสร้างมากับมือ

    พ.ศ. 2370 ก่อนกองทัพสยามเดินทางกลับประเทศ ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมและฌาปนกิจศพทหารที่เสียชีวิตที่วัดแห่งนี้


    จากเหตุการณ์เผาเวียงจันทน์นี่แหละ ชาวลาวรุ่นใหม่ที่เรียนมาถึงประวัติศาสตร์ตอนนี้จึงแค้นไทยไม่หาย เมื่อไทยพูดว่า “บ้านพี่ – เมืองน้อง” ลาวรุ่นใหม่จึงไม่ยอมรับไทยเป็นญาติ เขามักจะถามกลับว่า

    “ใครเป็นพี่ – ใครเป็นน้อง”
    ไทยบางคน เกลียดพม่าไม่หายในเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่สอง อย่างไร
    ลาวบางคน ก็แค้นไทยไม่เลิกในเหตุการณ์เผาเวียงจันทน์ อย่างนั้น

    ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ไม่มีภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา ทางการลาวยึดที่ดินวัดไปเป็นสถานที่ราชการหมด เหลือเพียงตรงบริเวณพระอุโบสถนิดหน่อย วิญญาณทหารสยามที่สถิตอยู่ในวัดนี้จึงอาภัพเพราะไม่มีใครไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ชาวลาวก็ไม่ทำบุญกรวดน้ำให้ เพราะยังไม่หายแค้น ทำบุญจากประเทศไทยไปให้ก็ไม่ค่อยจะถึง เพราะอยู่ไกลและวิบากกรรมก็ยังไม่สิ้น (ซวยสองต่อ) หากอยากทำบุญให้ ต้องไปทำที่เวียงจันทน์เท่านั้น

    หากผู้อ่านท่านใดติดตั้ง Hi-Speed Internet แล้วอยากรู้ว่าวัดสีสะเกดนี้ (Wat Sisaket) ตั้งอยู่ส่วนไหนของนครหลวงเวียงจันทน์ ให้ติดตั้งโปรแกรม Google Earth ตรวจดูพิกัดแล้วจะรู้ (อยู่ห่างแม่น้ำโขง 250 เมตร)

    เครดิตบทความ พุทธวิริโย ภิกขุ
     
  2. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    เรื่องกบถเจ้าอนุวงศ์ คนไทยสะใจ คนลาวแค้นฝั่งหุ่นมานานร้อยกว่าปี ขนาดสมัยสงครามเย็น ทหารลาวยังไม่มีใครอยากอยู่ฝั่งไทยเลย ไปอยู่ฝั่งเวียดนามหมด

    ผมพอเข้าใจความรู้สึก ดีที่ผมเคยศึกษาประวัติศาสตร์มาก่อน การที่ผมข้ามไปฝั่งลาวจึงรู้ตัวว่าทางฝ่ายโน้นคิดยังงัย เราต้องทำตัวยังงัย เราต้องให้เกียรติเค้ามากๆ แม้ดูจากพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ทางการลาวจะไม่สบอารมณ์กับคนไทยก็ตาม
     
  3. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    สรุปรายการนี้ ผีนักรบไทยก็ยังคงตกค้างอยู่ที่นั่นจนมาถึงทุกวันนี้ใช่ไหม ครับ
    ท่าน WMT
     
  4. ลูกพ่อโต

    ลูกพ่อโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +304
    เพิ่งรู้ว่าไทยเผาเมืองเขาด้วย สงครามไม่มีดีสักอย่าง
     

แชร์หน้านี้

Loading...